เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๑๒ ก.ย. ๒๕๕๓

เทศน์เช้า วันที่ ๑๒ กันยายน ๒๕๕๓
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

เราเกิดเป็นชาวพุทธนะ มนุษย์เป็นสัตว์สังคม ถ้ามนุษย์เป็นสัตว์สังคมเห็นไหม ดูสัตว์สิ มันมีหัวหน้าฝูง มนุษย์เป็นสัตว์สังคม แต่มนุษย์ก็ต้องการอิสรภาพ

แต่ผู้นำก็สำคัญ ผู้นำต้องรับผิดชอบ กินทีหลัง นอนทีหลัง ตื่นก่อน กินทีหลังต้องเก็บล้างด้วย นี่ผู้นำ !! เพราะผู้นำจะเห็นความบกพร่อง ผู้นำเป็นผู้ดูแล

ฉะนั้นสิ่งที่เราทำอยู่นี้มันเพื่อดัดนิสัย “การดัดนิสัย” คือ การดัดกิเลส ความดัดกิเลสเพราะกิเลสมันอยู่กับเรา ถ้าเราไม่ดัดกิเลส เราจะพัฒนาให้เป็นคนดีขึ้นมาไม่ได้ ต้นไม้ที่จะดีเห็นไหม เขาดัดของเขา เป็นต้นไม้ดัดมีราคามากเลย

นี่ก็เหมือนกัน การดัดแปลงของเราด้วยศีลด้วยธรรม การถือธุดงควัตรนะ การถือธุดงควัตรน่ะ สิ่งที่อาหารที่เราบิณฑบาตมาเห็นไหม ของโยมทำมาใหม่ๆ สดๆ ร้อนๆ ทั้งนั้นนะ ไม่มีของที่ไม่ดีเลย เพราะใครมีสิ่งใดมา อยากทำบุญกุศล ก็ต้องการบุญของตัวเองให้มีคุณภาพ

ฉะนั้น ที่พระบิณฑบาตมา เป็นสิ่งที่ดีๆ งามๆ ทั้งนั้น ฉะนั้นที่พระใส่บาตรแล้ว ที่เหลือแบ่งไว้บนโต๊ะนั้นนะ ถือเป็นของสดๆ ร้อนๆ หมดนะ เป็นของที่ดีทั้งหมด เพียงแต่ว่ามันใส่บาตรมา ออกจากบาตรไป มันมีบุบบ้าง ดูแล้วมันไม่สวยงาม พอดูแล้วไม่สวยงาม.. อย่างนี้มันเป็นแค่เครื่องประทังชีวิต

ฉะนั้น “ผู้นำเป็นผู้รับผิดชอบ” การรับผิดชอบ.. ผู้นำจึงสำคัญมาก เพราะครูบาอาจารย์ของเรา ดูศาสดาสิ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมา ถ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ตรัสรู้ธรรมขึ้นมา คำว่ากิเลส.. กิเลสอย่างนี้พวกเราไม่รู้จักหรอก นี่มันเข้าข้างตัวเองทั้งนั้นน่ะ

นี่สิ่งที่เป็นอวิชชา เพราะว่าการเกิด เราจะไม่รู้จักการเกิดและการตาย สิ่งที่เกิดๆ มาจากไหน ถ้าทางวิทยาศาสตร์ก็เกิดมาจากพ่อจากแม่ทั้งนั้นล่ะ แต่ถ้าทางศาสนาเกิดมาจากกรรม การกระทำของเรา จิตปฏิสนธิจิตมันเกิดขึ้นมาเห็นไหม นี่ความไม่รู้ของมัน

มันมีพลังงาน แต่มันไม่รู้ เพราะตัณหาความทะยานอยากมันควบคุมความไม่รู้อันนั้นไว้ มันถึงมาเกิดปฏิสนธิ.. ปฏิสนธิมาเกิดเป็นเราขึ้นมาเห็นไหม เรามีอวิชชา อวิชชาคืออะไร.. คือความไม่รู้ตัวมันเอง สิ่งที่ไม่รู้มันมีอยู่กับเรานะ อวิชชา กิเลสตัณหาความทะยานอยากมีกับทุกคน ถ้าไม่มีกับทุกคน เราจะไม่มีชีวิต

สิ่งที่มานั่งอยู่นี่ยืนยันได้ว่าเรามีอวิชชา ความไม่รู้จัก เราถึงมาเกิด “ชาติปิ ทุกขา การเกิดเป็นทุกข์อย่างยิ่ง” การเกิดสถานะ คือสถานภาพ.. มีสถานภาพ มีเครื่องรองรับ ทุกอย่างต้องกระทบกับสถานภาพนั้น

มีชีวิต.. ชีวิตนี้เกิดขึ้นมาเพราะอะไร เพราะมันมีสิ่งที่พาให้เราเกิดขึ้นมา สิ่งนี้เกิดจากอะไร เกิดจากความไม่รู้ในตัวมันเอง เราที่มาประพฤติปฏิบัติกันนี้ เรามาประพฤติปฏิบัติกันเพื่อศีล สมาธิ ปัญญา มรรค มรรคญาณ อันนี้ไม่มี ! ไม่มี ! แต่เราบอกว่ามี

ในปัจจุบันทุกคนว่าเป็นคนมีปัญญา “ศาสนาพุทธนี่เป็นศาสนาแห่งปัญญา” ชาวพุทธนี่ประเสริฐมาก ชาวพุทธนี่ปัญญาเยอะมาก ชาวพุทธนี่ฉลาดมาก..

..โง่กับตัวเองเห็นไหม สิ่งที่ไม่มี..มันอวดอ้างว่ามี สิ่งที่มีอยู่เห็นไหม อวิชชาความที่ไม่รู้จักตัวมันเอง ความเผอเรอ ความสะเพร่า ความไม่เอาไหน อยู่กับหัวใจทั้งหมดเลย มี.. มันบอกไม่มี เพราะเราเป็นคนดีเห็นไหม

“มนุษย์” เห็นไหม ก็บอกว่าตัวเองดี ทิฏฐิมานะว่าเราดี เราฉลาด เรารอบรู้ เราเป็นหัวหน้า เราเป็นคนเก่ง เราเป็นเทวดา เราเป็นอินทร์ เป็นพรหม นี่ไง กิเลสมันบอกว่ามันมี ทั้งๆ ที่มันเป็นอวิชชา มันไม่รู้จักตัวมันเองเห็นไหม

แต่สิ่งที่ไม่มี.. ศีล สมาธิ ปัญญา สติปัญญานี่มันไม่มี ถ้ามันมีมันต้องรู้จักตัวมันเอง นี่ถ้าสติมันมีเราจะไม่ทุกข์ ถ้าสติมันมี เราจะไม่น้ำตาไหล ถ้าสติเรามี หัวใจเราจะไม่เร่าร้อนอย่างนี้ เพราะมันขาดสติเห็นไหม

มันไม่มี.. แต่มันบอกว่ามี สิ่งที่มีอยู่ ความเร่าร้อน ตัณหาความทะยานอยากในหัวใจเต็มหัวใจเลย มันบอก “ไม่มี ! ไม่มี ! ” เพราะมันหาไม่เจอ มันค้นไม่เจอ มันหาไม่เป็น

แต่ถ้าเวลาพุทธศาสนาเห็นไหม องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี่ สิ่งนี้ตอบชีวิตเราได้ ศาสนาจะบอกว่ามาจากไหน.. มาเพื่ออะไร.. ตายแล้วไปไหน

แต่ลัทธิต่างๆ บอก “ไม่ได้” บอกว่าอ้อนวอนขอกันมา มีคนตบแต่งให้ มีคนดูแลให้ แต่พุทธศาสนา ไม่มี!!

“พุทธศาสนา” เห็นไหม ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน.. เราเท่านั้นที่จะชำระของเรา การเกิดในสถานภาพของมนุษย์ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายกย่องมาก ยกย่องเป็นอริยทรัพย์.. อริยทรัพย์จริงๆ เห็นไหม ดูสิ เวลาศาสนาเผยแผ่ไปแล้ว ทำการวิจัยกัน.. ทำการวิจัยว่า ทำไมมนุษย์ถึงตรัสรู้ได้ ทำไมสัตว์ถึงทำไม่ได้

เวลาร่างกายเขานาบไปกับพื้นดิน เราตั้งขึ้นมา ตัวตรงขึ้นมา เรามีสมองของเรา นี่พูดถึงมนุษย์นะ “มนุษย์สมบัติ” สิ่งที่เกิดเป็นมนุษย์นี่ มันมีคุณค่า มันมีสถานะ มีสถานภาพ ที่มันจะทำให้ดีได้

แต่ที่เราเกิดขึ้นมาด้วยความไม่รู้ ด้วยอวิชชาของเรา.. ด้วยอวิชชา ด้วยความไม่รู้ตัวของเรานี่ ไปศึกษาธรรมะของพระพุทธเจ้า

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านตอบใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า.. องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านตอบสนองในใจของท่าน ท่านได้ชำระกิเลส ท่านได้ชำระพญามาร ท่านได้ฆ่ากิเลส นี่..กิเลสตายไปต่อหน้าเห็นไหม

นี่เวลากิเลสตายไปต่อหน้า ท่านดำรงสถานภาพของท่านเห็นไหม แล้วท่านวางธรรมและวินัยไว้ เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นพระโพธิสัตว์ เป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี่ เป็นผู้รื้อสัตว์ขนสัตว์เห็นไหม นี่ท่านสร้างสถานภาพของท่านมามาก

นี่พอเราเกิดมาเป็นชาวพุทธ เราเกิดมาเป็นมนุษย์ พบพระพุทธศาสนานี่ เราก็ศึกษาด้วยปัญญาของเรา มันเป็นความจำทั้งนั้นล่ะ มันเป็นสิ่งที่ไม่มีอ่ะ มันเป็นสมบัติของพระพุทธเจ้า ..ไม่ใช่สมบัติของเราหรอก

“ถ้าสมบัติของเรานี่ เราต้องรู้จริงเห็นจริงสิ !” นี่มันไม่มีสักอย่างหนึ่งเลย แต่ถ้ามันฝึกหัดขึ้นมาเห็นไหม สิ่งที่มันฝึกหัดขึ้นมานี่ สิ่งที่ไม่มีทำให้มันมีขึ้นมา ศีลธรรม จริยธรรม ความดีงาม ทำให้มันดีงามขึ้นมา พอมีขึ้นมามันก็ทำให้มีรั้วรอบขอบชิดเห็นไหม

สิ่งที่มีรั้วรอบขอบชิด.. รั้วรอบคือศีล.. “ศีล” คือสิ่งที่บังคับไว้เห็นไหม แล้วตัวบ้านล่ะ ศีลล้อมรั้วไว้

แล้วตัวเราล่ะ! ตัวเราอยู่ไหน.. ตัวเราอยู่ไหน.. ศีล สมาธิ เห็นไหม

ศีล.. คือรั้วล้อมบ้านเราไว้

สมาธิ.. คือตัวบ้านเรา

เวลาธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้าใครทำความสงบของใจได้ นี่มีบ้าน มีที่อยู่อาศัย มีความร่มเย็นเป็นสุขเห็นไหม มีที่พึ่งพา..

เรานี่เหมือนอยู่กลางแดด กลางฝนเห็นไหม ไม่มีที่พึ่งพาอาศัยเลย นี่เดี๋ยวลมก็โชกมา เดี๋ยวแดดแผดเผามาเห็นไหม เดี๋ยวอารมณ์ความโกรธมา ความโลภมา ความหลงมานี่ มันพัดใส่เราตลอดเวลาเลย เราไม่มีที่หลบ ที่อาศัยเห็นไหม

เรามีสติปัญญา มีรั้วรอบก่อน แล้วเราก็หาบ้านของเรานะ พุทโธๆๆ กัน นั่งสมาธิเห็นไหม นี่พอสมาธินี่ จิตมันร่มเย็น เพราะมันมีพักอาศัย คูหาของใจ ใจมันหาคูหาของมันเห็นไหม มันมีที่พักที่อาศัยของมัน ถ้าจิตมันมีที่พักที่อาศัยนี่ ความร่มเย็นมาแล้ว

เพราะคนมีบ้านพักอาศัย คนตากแดดตากฝนอยู่นี่ มันเร่าร้อนของมัน นี่แต่บอกว่ามีนะ ร่ำรวยมหาศาล โอ้โฮ.. อยู่ตึก ๑๐ ชั้น ๒๐ ชั้น โอ้โฮ.. ร่ำรวยมหาศาลเลย ทั้งๆ ที่มันตากแดดตากฝนอยู่ในหัวใจนั่นน่ะเห็นไหม.. มันไม่มี ! มันไม่ได้สร้างขึ้นมา !

มันไม่มี.. มันว่ามันมี แต่สิ่งที่มีอยู่คือความเร่าร้อนในหัวใจ ดูสิ นอนอยู่ตึก ๑๐ ชั้น ๒๐ ชั้น มันดิ้นโครมๆ อยู่นั้นนะ มันบอกว่ามันไม่มี อูย.. สุขสบายมาก เราก็มองกันอย่างนั้นเห็นไหม

แต่ถ้าเราฝึกเราฝนขึ้นมานี่ สิ่งไม่มีนะฝึกขึ้นมาได้ ทำได้ การทำขึ้นมานี่ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทำมาก่อน ถ้าสิ่งที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสั่งสอนน่ะ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกกล่าวไว้นี่

ถ้าทำไม่ได้.. องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่บอกหรอก องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะหาทางให้สะดวกที่สุด พ่อแม่นี่อยากให้ลูกนี่มั่งมีศรีสุข พ่อแม่อยากให้ลูกมั่นคง พ่อแม่อยากให้ลูกมีความสุขทั้งนั้นน่ะ

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ารื้อสัตว์ขนสัตว์เห็นไหม “ศาสนทายาท” พระพุทธเจ้าฝากศาสนาไว้เห็นไหม ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา เราเป็นบริษัท ๔ นะ เรามีสิทธิในพุทธศาสนา พระพุทธเจ้าฝากศาสนาไว้

นี่ไง เหมือนพ่อเหมือนแม่ อยากให้ลูกสุขสบายทั้งนั้นน่ะ แต่สุขสบายให้มันเป็นความจริง ไม่ใช่สุขสบายด้วยมารยาสาไถย ด้วยมายาภาพ.. มายาภาพเกิดจากใจ ว่างๆ สบายๆ “สบายๆ มึงจะตายเปล่า !” ตายแบบไม่มีสิ่งใดเลย ! ไม่มีอะไรติดไม้ติดมือไปเลย !

แต่ถ้ามันฝึกฝนขึ้นมาเห็นไหม นี่ลูกหลานเรา มันสร้างเนื้อสร้างตัวขึ้นมาได้ มันมีหลักฐานของมันขึ้นมาได้นะ พ่อแม่สบายใจมากไหม มันรักษาทรัพย์สมบัติได้ มันหาอยู่หากินได้ สมบัตินี้มันจะดูแลรักษาได้ มันจะทำให้สมบัติของเรา ตระกูลของเรามั่นคงไป

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็เหมือนกัน นี่..ศีล สมาธิ ปัญญา ถ้าบริษัท ๔ ฝึกฝนขึ้นมาได้ บริษัท ๔ ทำขึ้นมาได้เห็นไหม นี่มีจริง ถ้าเป็นความเป็นจริงขึ้นมาเห็นไหม ของที่มันไม่มี.. มันไม่มีหรอก ! มันไม่มีอยู่กับเราหรอก !

ถ้ามีอยู่กับเรานะ มันมีอยู่แล้วเห็นไหม ถ้ามันมีมันต้องเจอ กิเลสมันมีจริงๆ นะ แต่ไม่เคยเจอมัน เพราะอะไร เพราะมันต้องเจอกิเลสก่อน

เราอยากจะกินทุเรียน เราอยากได้ทุเรียน เราต้องจับลูกทุเรียนก่อน ลูกทุเรียนมันมีแต่เปลือกนะ เปลือกเขาเอาไว้ให้ปอก เปลือกเขาไม่ได้เอาไว้ให้กิน เขาให้กินเนื้อทุเรียน เขาไม่ได้ให้กินเปลือกทุเรียน

“หัวใจก็เหมือนกัน กิเลสมันห่อหุ้มอยู่” กิเลสมันห่อหุ้มหัวใจอยู่นี่ แล้วเราจะไปเจอมันที่ไหน ถ้าไม่เจอกิเลสก่อน ถ้าไม่เห็นจิตสงบก่อนแล้วเห็นกิเลส มันจะชำระกิเลสได้อย่างไร เราไม่จับลูกทุเรียน เราจะปอกทุเรียนได้ไหม เห็นเขากินทุเรียนกัน ก็นึก กลืนน้ำลาย อึ๊ก.. อึ๊ก.. อู้หู ทุเรียนอร่อย... กลืนน้ำลายอยู่นั่นแหละ ไม่ได้กินหรอก !

คนจะกินทุเรียนมันต้องจับลูกทุเรียน แล้วมันปอกทุเรียน แล้วเปลือกนั้นเขาโยนทิ้ง เขาไม่กินหรอกเปลือกน่ะ เขากินเนื้อมัน !

ใจก็เหมือนกัน.. ใจนี้มันมีอวิชชาห่อหุ้มอยู่ ฉะนั้นสิ่งที่มันมีอยู่คือกิเลสตัณหาความทะยานอยาก ไม่ต้องไปตกใจ เปลือกทุเรียนมันเป็นหนามเห็นไหม มันรักษาเนื้อไว้ นี่ตัณหาความทะยานอยากเห็นไหม

ความอยาก... ความอยากในการกระทำ ความอยากที่จะฝึกฝน ความอยากที่จะตั้งสติปัญญา ความอยากอย่างนี้เป็นผลดี เวลาประพฤติปฏิบัติเห็นไหม ..ดีและชั่ว.. แต่ถ้าเป็นธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเห็นไหม “ข้ามพ้นทั้งดีและชั่ว” แต่ต้องอาศัยคุณงามความดี ทำคุณงามความดีไป

“โลก” เห็นไหม โลกเขาเบียนเบียนกัน เขารังแกกัน เขาทำร้ายกัน เขาใช้ความชั่วทำลายกัน ชั่วมันก็ทำให้เกิดเป็นบาป เป็นอกุศล ดี..ดีทำให้เกิดบุญกุศล แต่บุญกุศลก็เป็นวัฏฏะเห็นไหม บุญกุศลอาศัยคุณงามความดี อาศัยการเสียสละ อาศัยการทำคุณงามความดีของเรา ถ้ามันดีอย่างหยาบ ดีอย่างละเอียดขึ้นไป ดีเห็นไหม

ดูสิ ทำบุญทุกวันเลย สุดท้ายแล้วทำอย่างไรต่อไปล่ะ.. ทำอย่างไรก็นั่งห้องพระไง นั่ง พุทโธ ๆ ๆ อยู่นั่นล่ะ เห็นไหม นั่งเฉยๆ นี่ดีกว่าตักบาตรอีก เพราะการทำบุญนั้นเป็นทาน เวลาปฏิบัติไป ศีล สมาธิ ปัญญา มันพัฒนาขึ้นมาเห็นไหม อาศัยอะไร.. อาศัยความดีทั้งนั้นเลย อาศัยสติปัญญาทั้งนั้นเลย อาศัยความดีขึ้นไป พอขึ้นไปถึงที่สุดแล้วเห็นไหม “ข้ามพ้นทั้งดีและชั่ว”

ถ้าติดดี.. ติดหมดเลย ติดมันก็ไปไม่ได้ แล้วใครจะแก้ออกปลดออกมาให้ได้ ให้มันไปต่อไป เห็นไหม นี่ข้ามพ้นดีและชั่ว แม้แต่คุณงามความดีก็ต้องข้ามพ้นไป แต่ ! แต่ต้องอาศัยความดีนะ... อาศัยความดี อาศัยความวิริยะ อาศัยความอุตสาหะ

“ความเพียรชอบ” ความเพียร ความวิริยะ ความอุตสาหะ ทุกอย่างต้องใช้หมด ทั้งทางโลกและทางธรรม ทางโลกเขาจะประสบความสำเร็จเพราะเขามีความวิริยะ มีความอุตสาหะของเขา เขาถึงจะประสบความสำเร็จของเขา

ในทางธรรมก็เหมือนกัน เดินจงกรมนั่งสมาธิภาวนานี้ มันต้องมีความเพียร มีความวิริยะ มีความอุตสาหะ แล้ว ! แล้วต้องมีสติปัญญา แล้ว! แล้วจะต้องระลึกสำนึกตน ถ้าเราไม่ระลึกสำนึกตน เดิน!สักแต่ว่าเดิน.. หุ่นยนต์มันดีกว่าเรา เราตั้งโปรแกรมให้มันเดินแทนเราเลย มันเป็นไปไม่ได้.. เพราะหุ่นยนต์กับเรามันคนละคน

กิเลสเวลาทุกข์ก็ทุกข์ในใจเรา เวลาสุขก็สุขในใจเรา เวลาติดก็ติดในใจเรา เราเดินจงกรมเราทุกข์เอง เราเหนื่อยยากเอง นี่มันเข้าไปแก้ไข เพราะมันเป็นจิตเราเอง จิตเราเองทำเอง จิตเราเองแก้ไขเอง ..ความรู้สึกของเราเองต้องแก้ไขความรู้สึกของเราเอง เห็นไหม

ความรู้สึกของเราที่ว่ามีๆ อยู่ มันเปลือกทุเรียน มันเป็นหนาม มันยอกตำเห็นไหม อู๋ย.. รู้ธรรมะ.. ธรรมะ.. เปลือกทุเรียนทั้งนั้นน่ะ จับไม่ดีมันก็ทิ่มตำนะ แล้วก็เลือดสาดทั้งนั้น แต่เนื้อมันหอมหวานนะ

ถ้าเนื้อมันหอมหวาน เราจะผ่านพ้นมันเข้าไปอย่างไรให้ถึงเนื้อมันได้ ถ้าถึงเนื้อมันแล้วเราจะเข้าใจว่าเนื้อทุเรียนนี้หอมหวานมาก “รสของธรรมชนะรสทั้งปวง” สิ่งต่างๆ นี้มันอยู่ในใจ คำว่ามีอยู่แล้วมันไม่มี ธรรมะมันไม่มีอยู่แล้วหรอก

แต่มันมีอำนาจวาสนาบารมี มันมีการกระทำ แล้วเราพยายามของเรา ถ้ามันเป็นขึ้นมาเห็นไหม “สัจธรรม” นี่อริยสัจ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมาเห็นไหม นี่สัจจญาณ กิจจญาณ นี่ไง สัจจะมันมีอยู่ กิจจญาณมันมีอยู่ สัจจะการกระทำ ผลของมัน วงรอบของกิจ ๑๓

พระพุทธเจ้ายังไม่มีการประพฤติปฏิบัติ พระพุทธเจ้ายังไม่ปฏิญาณตนว่าเป็นพระอรหันต์ “ไม่ปฏิญาณตน” อาฬารดาบสยกย่องนะว่าได้สมาบัติ เป็นพระอรหันต์เหมือนเรา ใครๆ ก็ยกย่องนะ ยกย่องพระพุทธเจ้าหมดเลย

พระพุทธเจ้าเป็นคนที่มีปัญญามาก ไปศึกษากับใคร เหมือนกับเด็กนักเรียนดี ไปอยู่กับอาจารย์องค์ไหน อาจารย์องค์ไหนก็รัก แล้วอาจารย์องค์ไหนก็อยากให้เป็นลูกศิษย์ เพื่อให้ดำรงลัทธิของเขา

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปฏิเสธมาตลอด เพราะมันไม่มีตรงนี้ไง ไม่มีกิจจญาณ ไม่มีการกระทำของใจไง ไม่มีสัจจะความจริง ไม่มีกิจจญาณการกระทำของใจ ไม่มีสัจจญาณ กิจ ๑๓ ไม่มี เรายังไม่ปฏิญาณตน

นี่ไง เวลาเรากระทำ เปลือกทุเรียนไม่ได้ปอก ยังไม่ได้กินทุเรียน เห็นแต่ทุเรียน.. เห็นแต่ทุเรียน.. แต่ไม่ได้ลิ้มรสก็ไม่รู้มันเป็นอย่างไร มีแต่คนบอกทั้งนั้นน่ะ

เพราะสิ่งนี้เกิดขึ้นมา มันเป็นความจริงขึ้นมา ที่ทำขึ้นมาเห็นไหม ที่บอกว่า มันมีอยู่แล้ว.. มีอยู่แล้ว..

มันมีอยู่แล้ว เหมือนกับสถานะ อย่างเช่นสิทธิมนุษยชน สิทธิของมนุษย์มันมีอยู่แล้ว แต่เราใช้สิทธิหรือเปล่า สิทธิเรามี ถ้าไม่มีใครลิดรอนสิทธิ์ ไม่มีใครทำสิทธิ์เรา สิทธิ์เราก็เต็มตัวอยู่นี่ไง

สิทธิของใจที่จะบรรลุธรรม สิทธิของใจที่จะตรัสรู้ธรรม มี!! แต่มึงได้หย่อนบัตรหรือเปล่า ใช้สิทธิ์ของมึงหรือเปล่า สิทธิมี ! แต่ดันไม่ใช้สิทธิ์ หรือใช้สิทธิ์ในทางที่ผิด ทำให้หัวใจนี้ไม่มีโอกาส เห็นไหม

เพราะว่าอะไร เพราะในมรรค ๘ มรรคขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มีมิจฉาและสัมมา สัมมาทิฏฐิ..ความเห็นชอบ มิจฉาทิฏฐิ..ความเห็นผิด ใช้สิทธิในทางทำชั่ว ใช้สิทธิทำลายตัวเอง ปฏิบัติก็ทำลายเหยียบย่ำตัวเองว่าเป็นธรรม.. เป็นธรรม.. แต่มันไม่ใช่ธรรม !

แต่ถ้าเป็นธรรมขึ้นมาเห็นไหม นี่สิ่งที่กิเลสมีอยู่ก็บอกว่าไม่มี สิ่งที่มันไม่มีที่จะสร้างขึ้นมาให้มี ที่เป็นธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นี่กิจจญาณ สัจจญาณ กิจ ๑๓ ที่มันยังไม่มี ต้องทำให้มันมี ต้องสร้างมันขึ้นมา ทำมันขึ้นมาเพื่อผลประโยชน์กับเราไง เพื่อหัวใจของเราไง เพื่อที่เราจะได้ตรัสรู้ธรรม เพื่อจะได้พ้นจากทุกข์ไง.. เอวัง