เทศน์เช้า

โลกกับธรรม

๑๒ ม.ค. ๒๕๔o

 

โลกกับธรรม
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

เทศน์เช้า วันที่ ๑๒ มกราคม ๒๕๔๐
ณ วัดสันติธรรมาราม ต.คลองตาคต อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

โลกเป็นความจำเป็นนะ เห็นด้วย อย่างเกิดมานี่มีความจำเป็น อย่างการศึกษา การเล่าเรียน ดังนั้นเพราะโลก ของในโลกนี้มันเป็นของบำรุงความสุขแก่ร่างกายไง ความจำเป็นของโลก ความจำเป็นของกายไง อย่างวัตถุทุกอย่างเป็นความจำเป็นของกาย ทุกอย่างมีความจำเป็นหมด เราจะลบมันไม่ได้ ลบไม่ได้หรอก ต้องยอมรับความเป็นจริง

แต่ ! ธรรมะ เวลาธรรมะมันลบล้างที่นี่ไง ลบล้างความยึดมั่นถือมั่นทั้งหมด ของพวกนี้เป็นของสมมุติ เป็นโลกียะกับโลกุตตระใช่ไหม ของที่เป็นโลกียะมันเป็นของชั่วคราวไง อย่างเช่น ชีวิตนี้ก็ชั่วคราว ของใช้ก็ชั่วคราว

แต่ธรรมะนี่นะมันให้เราปล่อยวางพวกนี้ เราก็อยู่ในโลกสมมุตินี่แหละ แต่มันก็ใช้ประโยชน์ด้วยประโยชน์ทั้งหมดใช่ไหม เราไม่ใช้ประโยชน์ก็เป็นโทษนะ เราใช้ประโยชน์อยู่แล้วเกิดมีโทษขึ้นมาครึ่งหนึ่ง เราไม่ได้ใช้ประโยชน์ทั้งหมด ความยึดติดของเรา ความแสวงหา ความอยาก ความเสียใจ ความนี่ นี่เราใช้ประโยชน์ เราได้ประโยชน์มาแล้วเราก็ได้โทษมาด้วย

ธรรมะนี่ใช้ประโยชน์ล้วนๆ ไม่มีโทษเลย ไม่มีโทษเลย นี้คือว่าถ้ามันเป็นไปตามที่ว่านั้นนะ ว่าเราทำงานไป เราได้ยศถาบรรดาศักดิ์ขึ้นมาตามเป็นธรรม ตามธรรมนะ เราได้ตามเป็นธรรม ถูกต้อง ! ไม่ผิดเลย โลกนี้ก็ไม่ผิด แต่นี้ว่าธรรมะเราสอน สอนตรงนี้ ตรงที่ว่ามันแสวงหาหรืออยากจนแบบว่าเราต้องเร่าร้อนจนเกินไปเห็นไหม

ความอยากนั้นเป็นตัณหา แต่ความจำเป็นปัจจัย ๔ ไม่ใช่ตัณหา ! ไม่ใช่ตัณหา ! ปัจจัย ๔ นี่หามาเลี้ยงชีวิต ทุกคนว่า.. ตัณหาแล้วพระหามาทำไม พระไปบิณฑบาตมาทำไม เพราะมันมีร่างกายแล้วนี่เป็นสมมุติ แต่สมมุตินี้ก็มาเปรียบกับสีเห็นไหม สีนี้ถ้าเราเอามาเทหรือเลอะเสื้อผ้าเรามันจะสกปรกไปหมดเลย แต่ทำไมเอามาทาสีบ้าน เขามาทาสีให้มันสวยงามทำไมมันสวยขึ้นมาล่ะ

วิชาการเป็นอย่างนั้น ความรู้ทางโลกเป็นอย่างนั้น ให้ประโยชน์เราทั้งหมดเลย ให้ประโยชน์เห็นไหม แต่ ! แต่เกิดโทษตรงว่า ตรงเวลาโกรธเวลาแค้นกันเห็นไหม คนมีความรู้มาก มันก็แกล้งกันสิ วางยากันสิ ข้าราชการผู้ใหญ่วางยาจนหลุดจากตำแหน่งเลยเห็นไหม นั่นเกิดจากอะไร

นี่เห็นไหม ปัญญามีมาก ถ้าใช้เป็นโลกไง ใช้เป็นการฟาดฟันกันนะ แปลก ! นี้ถ้าเป็นธรรมล่ะ โลกนี้ คำว่าโลกนี้ไม่ใช่โลกมนุษย์นะ เทวดาก็เป็นโลกเพราะกามโลกไง คำว่าโลกนี้เราเข้าใจว่าอันนี้เป็นสมมุติแค่ชั่วคราวนะ ๘๐ ปี ๑๐๐ ปีตาย เทวดาก็ตาย ทุกอย่างนี้เป็นอนิจจังทั้งหมด

ความเป็นอนิจจังทั้งหมด คือว่าเป็นสมมุติทั้งหมด โลกียะไง โลกียะคือความไม่จริง เป็นสมมุติ เป็นชั่วคราว ของชั่วคราวของปลอม ของใช้ชั่วคราว แต่ธรรม ! ธรรมครอบสามโลกธาตุนะ ใจนี้ว่าง ใจนี้หลุดไปเลย สามโลกธาตุนี่

ครูบาอาจารย์บอกว่าเวลาถ้าใจมันหลุดพ้นไปแล้ว เหมือนกับปลามันว่ายไปกลางอากาศ เหมือนกับปลา เหมือนกับมังกร มันเลื้อยไปในอากาศ ไม่มีความติดข้องอะไรทั้งสิ้น มันกว้างสามโลกธาตุ คิดดูว่าสามโลกธาตุ เราเห็นแค่จักรวาลเดียวนะ เห็นแต่โลกที่เป็นวัตถุเท่านั้นเอง แล้วโลกที่เป็นทิพย์ล่ะ แล้วสามโลกธาตุนี่หัวใจที่หลุดพ้นมันเป็นภาชนะบรรจุสามโลกนั้นไว้ มันใหญ่กว่านั้น มันครอบคลุมไปหมดเลย หลุดพ้นจากวัฏฏะ อันนั้นถือว่าเป็นธรรมไง

แต่ธรรมอันนั้นมันธรรมสุดยอดของศาสนาพุทธเรา แต่ธรรมประจำใจของเรา ธรรมประจำใจก็นี่ ศีล ๕ ศีลอะไรนี่ เพื่อความจะยื่นมือออกไปมันก็หดเข้ามาใกล้เข้ามานิดหนึ่งเพราะว่าศีลมันบังคับไว้ ศีลมันกั้นไว้เห็นไหม ศีลมันกั้นไว้ ศีลธรรม !

ธรรมนี้เป็นธรรมของหยาบๆ อย่างเช่น ธรรมอย่างหยาบเห็นไหม มันมีอย่างหยาบอยู่ มันมีอย่างละเอียดขึ้นมาไม่ได้ ถ้าธรรม.. คำว่าธรรมมันมองแล้วมันเข้าใจไง มันถึงมองแล้วเหมือนว่า ที่ว่ามันดูแล้วมันตลกไง ใช่ไหม ประมาณว่ามันพูดแล้วถ้าคนฟัง..

เมื่อวานมันจะฟังแล้วแปลกๆ เนาะ เหมือนกับว่า เอ๊ะ โลกนี้ผิดไปหมดเลย ทำไมเขาผิดไปหมดเลย ไอ้นั้นก็ผิด ไม่ผิด ! ไม่ผิด ! ถ้าเป็นตามความเป็นธรรมไม่ผิด แต่ว่าถ้าคนมีหูมีตามันมองแล้วเหมือนเด็กเล่นขายของ จริงๆ เหมือนกันเลย แต่เราไปยึดกันว่าเป็นจริงเป็นจัง

พอเรายึดสังเกตได้ไหม ของที่มีอยู่กับเรา ถ้าเราเคยมีนิสัยอย่างไรก็แล้วแต่ เช่น เราเคยเที่ยวเตร่แล้วเราก็เลิกไป เราจะมาคิดเลยว่า เอ๊ เมื่อก่อนเราบ้าไปได้อย่างไร เราเคยหลงอะไรอยู่ แล้วเรามาเข้าใจตามความเป็นจริงแล้วเราปล่อย เราจะเข้าใจว่า เอ๊ เมื่อก่อนเราบ้าไปได้อย่างไร

อย่างเช่น เราเมื่อก่อนนะ เด็กๆ นะชอบแข่งรถ นอนนะ บิดแข่งรถนี่ มาคิดเดี๋ยวนี้สิ ไปทำอย่างนี้ได้ไหม นอนไปนะ นอนไปนี่ แค่เสี้ยววินาทีตาย ! แต่มันก็ทำได้ แต่มาคิดถึงตอนนี้คิดถึงตอนนั้นแล้วมันเสียว

นี่ก็เหมือนกัน เรามองกลับไปในโลกที่ว่าเขาหมุนจนหัวปั่นนั่นนะ แล้วเรามองสิ เหมือนกัน ถ้าเราอยู่ในสภาพนั้นเราเข้าไปปั่นกับเขา เราก็เป็นเฟืองตัวหนึ่งในเครื่องยนต์นั้น ถ้าเราหลุดออกมา เอ๊ เมื่อก่อนทำไมบ้าไปกับเขา มันจะว่าอย่างนั้นนะ เอ๊ เมื่อก่อนทำไมเราบ้าอยู่กับเขาล่ะ

พอความเห็นที่ปัญญามันมาแก้ไอ้ความยึดติด มันถึงจะเข้าใจตรงนี้ ถ้าความเห็นอันนี้มันมาแก้ปัญญาการยึดติดนี้ มันก็ว่าอันนี้เป็นความจำเป็น เห็นไหมคำว่าโลกียะ โลกียะมันเป็นการมัดหมดเลย ฟาดมันหมดเลย ฟาดมาเหมือนกับเราเอามือโอบพวกกาว พวกแป้งเข้ามา มันจะติดตามเนื้อตามตัว เหนียวหนึบหนับไปหมดเลย นี่โลกียะ เป็นปัญญาที่ติดเหนียว เป็นปัญญาที่กว้านเข้ามา ผูกพันเป็นการผูกมัด โลกเป็นความผูกมัด เป็นการผูกมัดไง

แต่ธรรมนี่ โลกุตตระเห็นไหม พ้นนี่ พ้น ! โลกุตตระพ้นจากโลก ธรรม ! ธรรมคือพ้นจากโลก พ้นจากความติด ความผูกมัดไง เห็นไหมปัญญานี้แก้ความยึดติด แก้ความผูกมัด อย่างเช่นคำว่าพ่อแม่ลูก ลูกนี่ถูกต้องนะ ธรรมอย่างหยาบๆ นี่แน่นอน ฟังให้ดีนะ การกตัญญูนี่เป็นธรรมอย่างประเสริฐ ความกตัญญูรู้คุณนี่ ประเสริฐสุดนะ นี่ธรรมอย่างหยาบๆ

แล้วมาดูในพระสูตรสิ มีเณรนะ เณรกับแม่ แม่มาบวชด้วยกัน แม่กับลูกมาบวชด้วยกัน แล้วลูกเป็นเณรไปอยู่ในป่า ไปอยู่กับครูบาอาจารย์ในป่า ไปภาวนาจนสำเร็จเข้ามา ไอ้แม่ก็อยู่ในเมือง ผู้หญิงนี่เป็นภิกษุณี รักลูกมาก คิดถึงแต่ลูกนะ คิดถึงแต่ลูก

ก่อนหน้านี้ในพระสูตร วันนั้นไปบิณฑบาตในราชคฤห์หรือเมืองอะไรจำไม่ได้ เจอลูกเดินมา ความผูกพันไง ความผูกพันนี่ ร้องไห้วิ่งเข้าไปหาลูกเลย ลูกเป็นพระอรหันต์ “ถ้าเราโอ้โลมปฏิโลมมันก็ได้แค่โลกนี้ ได้แค่โลกนี้เอง แต่ถ้าเราพูดคำหนักนะ แม่จะหูตาสว่าง”

พอเข้ามาใกล้ลูกเอ็ดแม่เลย “จะเป็นแม่เป็นลูกอะไรกัน จะมาเป็นแม่เป็นลูกอะไรกัน นี่เป็นลูกของพระพุทธเจ้านะ มาผูกพันอะไร” เพราะอารมณ์มันยึดติดไง พอลูกเอ็ดแม่ว่าความเป็นแม่กับลูกมันขาดกันตั้งแต่ตอนบวชแล้ว นี่เป็นเณรแล้ว แม่ก็ส่วนแม่ ไม่เกี่ยว มันเป็นคนละชั้นนะ อย่างนี่นะคฤหัสถ์ใช่ไหม เพศของหญิง เพศของชาย นี่เพศของพระ นี่ไม่ใช่เพศชายเพศหญิง นี่เพศของพรหมจรรย์ เป็นลูกตถาคตศากบุตร

แล้วเอ็ดอย่างนั้นไป แม่เสียใจมาก กลับไปนอนเสียใจมากเลย หลงรักลูกมาเป็นสิบๆ ปี ห่วงอาลัยคิดถึงลูกไง พอเจอหน้าลูกจะทักสักคำก็ไม่มี ลูกกลับเอ็ด ด้วยความเสียใจไง ความเสียใจก็หมุนกลับ หมุนกับภาวนาไง นี่เห็นไหมได้ไปทั้งลูกและแม่ เป็นพระอรหันต์ทั้งคู่เลย เห็นไหมถ้าความกตัญญูนี่แน่นอน นั้นกตัญญู แต่นี่ลึกกว่าความกตัญญูไหม

ถ้าเราใช้แต่ความกตัญญู กฎของความกตัญญูใช่ไหม แม่มา แม่เสียใจมาหาลูก ลูกก็ต้องต้อนรับแบบโลกไป มันก็ได้แค่นั้นล่ะ แต่นี่ใช้เทคนิคไง ใช้เทคนิคที่ลึกเข้าไปอีกชั้นหนึ่ง เอ็ดเลยๆ เอ็ดเพื่อประโยชน์ให้แม่หลุดพ้นเป็นพระอรหันต์ขึ้นมาด้วยเลย

นี่เห็นไหมความติด ความอยาก ธรรมอย่างหยาบ ธรรมอย่างกลาง ธรรมอย่างละเอียด ฉะนั้นถึงว่าถ้าเรามีธรรมเห็นไหม เราก็เป็นคนดี ความกตัญญู ความรู้คุณ ความพึ่งพาอาศัย ความเมตตา อันนี้เป็นธรรมทั้งหมด นี้บางอย่างความเป็นธรรมมันก็ต้องมีเทคนิคอีก มันลึกเข้าไปๆๆ

นี่โลกกับธรรม พอโลกนะ โลกเป็นโลก ธรรมเป็นธรรม เป็นประโยชน์ทั้งหมด ถ้าเราเข้าใจเรื่องธรรมะ เราเข้ามาศึกษาแล้วเรายึดเป็นหลักของเรา มันเป็นทางให้เราผ่านพ้นไปได้ แต่ไม่อย่างนั้นติดนะ ว่าคนปฏิบัติธรรมแล้วดีไง

สังเกตได้ไหม เราเห็นนะ นั่งรถมา พวกไปจำศีลกลับมา คุยแต่เรื่องว่าไปวัดนะ เย็นสบายอย่างนั้น เย็นสบายอย่างนี้ เห็นไหมติดดีไง เวลาเราไปเที่ยว เราไปทำความผิดกัน นั่นก็เห็นไหม พวกนักเลงหัวไม้นั่นก็ติดในทางชั่ว แล้วเวลาไปก็ไปติดดี ดี ! ดีนี่มันติดนะ ควรเหรอ

ทุกข์ควรกำหนด สุขควรเสพว่าอย่างนั้นเลยนะ สุขไม่ต้องไปละมันหรอก เพราะสุขมันหายาก แต่สุขมันอยู่ชั่วคราวมันจะเจือจางไปเอง นี้สุขควรกำหนดนะ ดีควรเสพ แต่เสพไว้ภายในสิ อย่าเอาดีมาฟาดฟันกันสิ

แบบไปภาวนา ไปอยู่จำศีลแล้วกลับมามีความสุข มีความร่มเย็น คุยลั่นรถเลย มันน่าอายไง เหมือนเรา พวกเรามาเอาว่านี่หรือคนมีสติ นี่หรือคนนักภาวนา นี่หรือความดีจริงหรือ อันนี้มันก็แค่โลก ไอ้แค่โม้ ไอ้แค่เอามาให้เขาเหยียบย่ำอีกต่างหาก มันไม่ใช่ความดีแท้หรอก

เห็นไหมนี่ดีควรติด แต่ไม่ใช่ติดมาอย่างนี้ ว่าทำความดีแล้วโลกเขาจะสรรเสริญ ไม่มี ! เมื่อก่อนเห็นไหมที่มีโยมมา เขาบอกเลย “หลวงพี่ เขาถือปิ่นโตมา เดินมาที่วัด ทำไมคนเขาแซว คนเขาล้อเลียนมากเลย” บอกว่า “แม้แต่นะ เขาล้อเลียน เขาแสดงออกแล้ว แม้แต่ว่าถ้าเขาไม่พูดออกมามันก็เจ็บปวด มันก็เจ็บปวดในหัวใจ มันเจ็บแปลบไง”

อย่างเช่น เราไม่เคยไปวัด ไม่เคยทำอะไรเลย แล้วมีคนทำความดีต่อหน้าเราอย่างนี้ ธรรมดาหัวใจมันจะเจ็บแปลบ มันจะปวดแปลบในหัวใจ แต่มันได้พูดจาแซวคนอื่นเข้าไป มันทำให้มันสบายใจไง มันอัดอั้น มันต้องพูดออกไปหน่อยว่าฉันก็มีความดี ความดีที่ฉันไม่ไป เอาความชั่วมาเป็นความดีไง คนเข้าใจความผิด เข้าใจว่าฉันนี่มีฐานะ

แต่ไอ้การที่เขาทำนั้นเป็นการทำความผิด ความเข้าใจไม่ใช่ความจริง ! ความเข้าใจว่าฉันทันโลก ฉันไม่โดนพระหลอก ฉันไม่ต้องไป ใช่ไหม นี่เห็นไหม นี่ความเข้าใจ แล้วเขาถือด้วยนะว่าตัวเองมีปัญญา แต่พอคนโดนแซวเขาก็เสียใจนะ

เราบอก ไม่ต้องหรอก แม้แต่เราเดินถือมาเฉยๆ นะ ถือปิ่นโตเดินผ่านมาเขาก็คิดแล้ว คนมีตามี คนมีความคิดมี เขาก็คิดแล้วเพราะในใจ ความดีใครก็รู้ แต่มันทำไม่ลง เพราะความดีนี้มันต้องฝืนกิเลส มันต้องฝืนกิเลสนะ

โทษนะ อย่างเช่น โยมมานี่ มาทั้งหมดเลยอย่างนี้ ชาวบ้านเขาไม่ว่าเหรอ พวกนี้บ้า ! มากันทั้งหมดเลยนะ ไปมันเรื่อย นี่เห็นไหมปากคนก็ว่าไป เรื่องของเขา ถึงบอกว่าแม้แต่ใจเราจะมายังลำบากอยู่แล้ว แล้วยังมีคนอื่นมาเที่ยวทำให้เราแบบว่ายากขึ้นไปอีก นี่แหละความติดของโลกไง

ความเข้าใจไม่ใช่ความจริงนะ ความเข้าใจที่เข้าใจ ความจริงมาดูกันว่าอย่างนั้นเลย ถึงเวลาดูกัน สุขอยู่ที่ใจ ทุกข์อยู่ที่ใจ ใจนี้เป็นผู้ไปไง อย่างเช่น ไปนี่ ไปก็ไปในสมมุติอีก ไปเกิดเป็นเทวดา ไปเกิดเป็นเทวดาเป็นทิพย์ แต่ก็สมมุติด้วยทิพย์เพราะมันต้องตาย เทวดาต้องตาย พรหมก็มีอายุต้องสิ้น เห็นไหมมันก็ยังเป็นสมมุติ โลกสมมุติอยู่ สมมุติทั้งนั้นเพราะมันแปรปรวน เป็นอนิจจัง ทุกอย่างเป็นอนิจจังทั้งหมด

แต่ธรรมะเราสอนถึงบอกว่า พ้นออกจากอนิจจังไปเลยล่ะ ไม่ใช่อัตตา ! เพราะอัตตามันก็เป็นอนิจจัง ทุกอย่างเป็นอนิจจังทั้งหมด อัตตา.. อนัตตา.. มันคงที่ไม่ได้ ไม่มีอะไรคงที่เลย ยกเว้นหัวใจนะ อย่างคงที่นี่ อย่างเช่น วัตถุนี่มันคงที่ไม่ได้เพราะมันบุบสลาย หัวใจนี่มันเป็นนามธรรม แล้วมันพ้นจากกิเลสแล้วมันถึงคงที่ไง ไม่มีอะไรเข้าไปเจือจางมันได้เลย พอ.. พอนะ

มีคนเขาพูดกัน เราบิณฑบาตออกไป เขาบอกเลยล่ะ เรามันคนจนโว้ย จะให้เศรษฐี เศรษฐีมันไม่เอา เขาว่านะ เขาว่าเป็นพระเศรษฐีไง มันไม่รู้หรอกว่าพระจนขนาดไหนนะ แต่พระพอโว้ย พระไม่เอา เขาแซว เขาบอกว่าเรามันคนจน เหอะๆๆ อย่าไปให้เขาเลย เขาพวกเศรษฐี

มันไม่รู้หรอกว่า เหอะๆๆ ในวัดเราจะมีอะไรบ้าง ไม่มีอะไรเลย แต่หัวใจมันเต็ม คือมันไม่เอา มันพอ มันเลยดูเป็นเศรษฐีเห็นไหม ขนาดพระจนๆ กันนี่เขาว่าเศรษฐี เพราะไม่เอาของเขา แต่ถ้าพระมันจนมันคว้าหมดเห็นไหม เศรษฐีขนาดไหนถ้าใจมันเปิดมันไม่พอหรอก เขาแซวมาเลย

เรามันคนจนโว้ย เศรษฐีเขาไม่เอา เออๆๆ คนรวยเชียว มันรวยที่ไหน ใจคนมันผูกพันนะ บิณฑบาตอย่างนั้นเลย บางคนมาใส่บาตรบ่อย พอเขาใส่บาตรเสร็จเห็นไหม ใจมันผูกพันว่าโลกสมมุตินี่หมายความว่า ถึงบอกว่ามันเป็นสมมุติไง ตายไปแล้วถ้ามันเกิดภพใกล้ๆ เราอาหารมันเหมือนกัน

จะพูดเรื่องอาหาร มีหลายบ้านนะเขามาใส่บาตร เขาใส่ข้าวต้มไง เมื่อคืนฝันว่าที่บ้านเขาอยากกินข้าวต้ม เหอะๆ เขาตายไปแล้ว... มาใส่บาตร ใส่บาตรหลายบ้าน เขาฝันว่าข้าวต้ม เอ๊ะ พระอยากกินข้าวต้มหรือคนอยากกินข้าวต้มไม่รู้นะ เขาใส่บาตรไง

วันนั้นใส่บาตรเลย เขามาใส่เลย บอกว่าฝันว่าพ่ออยากกินข้าวต้ม แล้วเมื่อสองวันนี้บ้านนี้ก็ใส่บาตร ฝันว่าพ่ออยากกินข้าวต้ม ใส่บาตรๆ เห็นไหม นี่ตายไปแล้ว นี่ความผูกพัน ถึงว่าถ้ามันเป็นสมมุตินะ ที่ว่าเราตายแล้วไม่เกี่ยวกัน เกี่ยวกันในภพใกล้ๆ แต่ถ้ามันไกล มันยืดยาวออกไปล่ะ มันไม่เกี่ยว อันนี้ถึงเรียกบารมีไง

เขาถึงบอกว่า “ไม่มี.. ภพชาติไม่มี” อย่าไปเชื่อมัน.. อย่าไปเชื่อมัน.. ความจริง ความผูกพันมันยังมีอยู่ ความผูกพันมันส่งเสริมกันมา ส่งเสริมกันมา ความดีมันส่งเสริมกันมา ต้องมีกรรมร่วมกัน ไม่มีกรรมร่วมกันไม่มาเกิดร่วมกันอย่างนี้เด็ดขาด กรรมมันส่งเสริมมา มันให้ได้ฉุกคิดไง.. ฉุกคิด

อย่างเช่น พระสารีบุตรท่านเป็นโรคท้องเสีย ตอนเช้าต้องฉันข้าวยาคู ข้าวยาคูนี่มันเป็นยา มันต้มอ่อนๆ เป็นยาด้วย แล้วมันจะบำบัดพวกท้องเสีย พระสารีบุตรต้องฉันทุกเช้า ตอนนั้นมันหมด นี่ท่านก็ปวดท้อง ท่านเป็นไข้อยู่ พระโมคคัลลานะมาเยี่ยม

“อ้าว ไปทำอย่างไร”

“มันป่วย”

“ทำอย่างไรถึงหาย ต้องการอะไร”

“ธรรมดาต้องกินข้าวยาคู ต้องฉันข้าวยาคู แล้วตอนนี้มันไม่มี”

พระโมคคัลลานะ เพราะวินัยสงฆ์ห้ามไว้ ของมันไม่บริสุทธิ์ ห้าม ! พระโมคคัลลานะดลใจเทวดาเลย เทวดาก็ดลใจมาที่โยมเลย ตอนเข้าโยมก็ทำข้าวยาคูถวายพระมาเลย แล้วเอามาถวายพระสารีบุตร พระสารีบุตรไม่ยอมฉัน บอกว่าของนี้ได้มาจากการดลใจมันก็ยังเป็นมิจฉาอาชีพไง ของที่ไม่บริสุทธิ์ไม่ฉัน นี่การดลใจเห็นไหม แบบว่ามันดลใจมันยังวนกลับมาได้ นี่ความผูกพัน ความใกล้ชิด นี่หัวใจมันถึงว่า นั่นดลใจ

แต่เวลาอย่างเราพวกเครือญาติ พวกนี้มันไม่ดลใจหรอก มันถือว่า อย่างเช่น เรานี่ เราเป็นพ่อ ใช่ไหม เราตายไป เอาอยากอะไรถ้าเราติดต่อลูกได้เราก็ติดต่อเพราะเราถือสิทธิ์ไง ถือสิทธิ์ว่าเรามันเคยสัมพันธ์กันมา กรรมมันสัมพันธ์กันมา มันก็สัมพันธ์มา มันก็มาอย่างนี้ มาเอาได้ มาขอไม่ใช่มาเอา

แต่ถ้าไม่เคยสัมพันธ์กันมาไปเข้าฝันเขา ไปอะไรเขา เขาไม่รู้เรื่องหรอก เขาไม่รู้ แต่ถ้าสัมพันธ์กันมันจะรู้เลย เพราะเรามีอะไรหลุดออกไปจากเราใช่ไหม อย่างเช่น ญาติเราเสียไปอย่างนี้ เราจะจำได้ พอมาปั๊บมันก็นึกออก มันก็ไป แล้วจะไปเข้าฝันหรือจะไปฝัน คนที่แบบว่ามีโอกาสไง

อย่างเช่น คนไหนเป็นคนบุญจะไปเข้าฝันคนนั้น ลูกมี ๕ คน อีก ๔ คนไม่เคยทำอะไรเลย อีกคนหนึ่งเป็นคนดี จะไปเข้าคนนั้นล่ะเพราะคนนี้จะให้ไง ขนาดเขาเป็นจิตแล้ว เขาต้องเห็นว่าอันไหนมีโอกาสไง โอกาสอยู่ตรงไหนเข้าตรงนั้นแหละ เข้าตรงนั้น เพราะมันกระหาย มันอยาก ถ้ามันใกล้ชิด

แต่ถ้าไม่มาเลยหรือว่าเขามีของเขาแล้วนะ.. ไม่มา อย่างเช่นเรา โอ้โฮ อาหารอย่างดีเลย แล้วเขาไปหาอาหารอย่างไม่ดีมาให้เรา เราจะกินไหม เราก็ไปกินอาหารอย่างดี อย่างดีหมายถึงว่าเราทำมา เราเปิดตู้เย็นตูมมา เต็มตู้เย็นเลย พร้อมไว้ทั้งนั้น นี่ก็เหมือนกัน เราทำบุญกุศลของเรามา เราฝังมาเป็นของเราเลย เวลาไปมันก็แนบกับใจเราไป ทำไมต้องไปขอเขา มันเป็นอีกชั้นหนึ่งต่างหาก แต่ถ้าไม่มีเลยอดอยากก็ต้องขอเขา

อันนี้มันเป็นวัฏฏะ นี่เห็นไหมนี่เป็นวัฏฏะ แต่ถ้าเราทำบุญกุศลของเราไม่ต้องไปห่วงวัฏฏะ แล้วเราไปของเรา เออ.. ของเราเลย ถึงว่านี่โลกกับธรรมไง โลกเป็นที่ผูกมัด เป็นที่ยึดติด แต่ธรรมเราไปดีด้วย แล้วยังไปเสวยสุขข้างหน้าอีกด้วย แล้วไปเอาสุขเป็นเครื่องดำเนินไป พระพุทธเจ้าสอนอย่างนั้น ธรรมะสอนอย่างนั้น

นี่พระพุทธเจ้าตรัสรู้เอามาสอนนะ อาจารย์บอกไง ศาสนาพุทธเรานี้เป็นศาสดาที่สิ้นกิเลสแล้ว กับศาสนาต่างๆ ศาสดาผู้มีกิเลสสอนไม่มีทางถูกต้องหรอก ไม่มีทาง ! ศาสนาผู้มีกิเลสสอน มันมีกิเลสอยู่ในตัวมันจะเอาอะไรมาสอน มันก็ไปจินตนาการ เป็นปรัชญาไป

แต่ของเราพระพุทธเจ้าสิ้นกิเลส พูดถูกต้องทั้งหมด แล้วมันอยู่ในตำรา เราศึกษาใคร่ครวญ แล้วถ้าเราไม่เชื่อพระพุทธเจ้าเราจะเชื่อใคร เป็นชาวพุทธไม่เชื่อพระพุทธเจ้า ไม่เชื่อปัญญาพระพุทธเจ้า หมดสิทธิ์ ! ตายเปล่า นี่เราเชื่อปัญญาพระพุทธเจ้าต้องมาทำความดีไง เพื่อให้ไป ไม่ใช่มีเฉพาะที่นี่ มันจะมีไปข้างหน้าอีก เราเตรียมเสบียงของเราไป เตรียมไปพร้อมๆ มันก็เลยแบบว่าทางโลกไง

อาจารย์บอกว่าปริญญาเอกเห็นไหม เอกก็ลืมตาหนึ่ง เพราะว่าเอกก็ลืมตาเดียว เพราะโลกนี้สำเร็จ แต่ถ้าปริญญาเอกด้วยแล้วเข้าใจ อย่างเช่น พวกผู้ใหญ่เขาไปหาครูบาอาจารย์ ปริญญาเอกหรือว่าประสบความสำเร็จทางโลกด้วย แล้วประสบความสำเร็จทางธรรมด้วย คือว่าไปข้างหน้าด้วย ลืม ๒ ตาไง นี่ยิ่งยอดไง ตาโลกและตาธรรม ต้องเข้าใจอย่างนั้น (เทปสิ้นสุดเพียงเท่านี้)