เทศน์เช้า

คุณค่าตน

๒ ก.พ. ๒๕๔o

 

คุณค่าตน
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

เทศน์เช้า วันที่ ๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๐
ณ วัดสันติธรรมาราม ต.คลองตาคต อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ศาสนาไง พอดีคนเกิดมาก่อน ศาสนาถึงตามมา ศาสนาเกิดเพราะว่าคน ถ้าพูดอย่างนี้แล้วมันก็ไปขัดกับที่ว่าพระพุทธเจ้าร้อยองค์พันองค์ พระพุทธเจ้าแสนองค์ ศาสนามีมาก่อน สัมพุทเธไง ศาสนามีมาก่อน แต่โลกมันหมดไปแล้วมันเกิดมาใหม่ เวียนกลับ ... พระพุทธเจ้าเกิดจึงมีธรรม

แต่นี้เราพูดถึงปัจจุบันว่าโลกมันเกิดมาก่อน ศาสนามัน ๒,๐๐๐ กว่าปีเอง ๒,๕๐๐ ปีเศษๆ แต่โลกนี้มันกี่ล้านปี เดี๋ยวก็ซ้ำอยู่อย่างนั้น ถึงว่าศาสนาไง นี่เรามองศาสนาต่ำกันเกินไปรู้ไหม เวลาพูดศาสนา คนจะคุยกันกันแค่ศีลธรรมจริยธรรมไง ศีลธรรมมีศาสนาหรือไม่มีศาสนา คนดีก็คือคนดี คนชั่วก็คือคนชั่วใช่ไหม ศีลธรรม แค่ศีลธรรม !โลกมองแค่นั้นนะ มองศาสนาก็มองคนดี ศาสนาสอนให้เป็นคนดีๆ แต่แน่นอน

แต่อย่างนั้นมันมองแล้วมันต่ำเกินไป ศาสนาเรานี่ว่าศาสดาเป็นผู้สิ้นกิเลส สอนให้แบบว่าสุขภายใน สุขจนหมดกิเลส ศาสนาจริงๆ ไม่ใช่ลัทธิศาสนา ลัทธิไง ลัทธิก็ได้แค่ลัทธิปรัชญา แต่ตัวศาสนานี่มัน โอ้โฮ มันเข้านะ เพราะตัวศาสนามันย้อนได้ไง

อย่างเช่นว่า ถ้าอย่างมนุษย์มันไม่เหมือนสัตว์ มนุษย์มันจำได้ เกิดมาจากอะไร มาจากอะไร ไปจากอะไรใช่ไหม มันระลึกเมื่อวานนี้ได้ มันให้คำตอบตรงนี้ได้ไง

กรรมคืออะไร กรรมมา สะสมกรรมมา กรรมดีทำให้เกิดดี กรรมชั่วทำให้เกิดชั่ว แต่กรรมดีกรรมชั่วมันคละเคล้ากัน ทุกคนต้องคละเคล้ากันไปหมด มันถึงให้ผลเป็นลุ่มๆ ดอนๆ ไง ไม่มีการให้ผลดีตลอดและให้ผลชั่ว ผลดีหรือผลชั่วมันเกิดเพราะว่ากิเลสที่เราควบคุมไม่ได้ นี่พระพุทธเจ้าถึงสอนตรงนี้ไง

เรานี้เกิดมาเป็นมนุษย์ประเสริฐที่สุดแล้ว แต่แล้วพอศาสนามาควบคุมไว้ ควบคุมกิเลสที่ว่ามันจะพลิกในทางไม่ดี ถ้าพลิกกันให้ดีก็เกิดเป็นมนุษย์นี่แสนประเสริฐนะ มนุษย์สมบัติยอดเยี่ยมที่สุดเลย ยอดเยี่ยมมาก นี่ไง พอเริ่มต้นมาแค่นี้เองนะ แค่พบสมณะแค่นั้นล่ะ มงคล ๓๘ ประการเห็นไหม ได้เห็นสมณะ เห็นเพื่อความสงบไง ... ได้พบสมณะที่เป็นของแท้นะ เป็นมงคลอย่างยิ่ง

อันนี้อย่างถ้าเป็นมงคลอย่างยิ่งตอนพระพุทธเจ้าตรัสรู้เห็นไหม ไอ้ที่เดินออกมาที่เจอโยม ไม่เชื่อเห็นไหม นั่นก็เจอพระพุทธเจ้า เจอตรงๆ เลย ทำไมไม่เป็นมงคลล่ะ เพราะตัวเองไม่เข้าใจแล้วไม่ยอมรับ นี่เพราะกิเลสตัวปฏิเสธภายใน

อันนี้ถึงว่าต้องศึกษาธรรมะก่อน เป็นมงคลอย่างยิ่งก็ต่อเมื่อมันส่งกระแสถึงกันไง ฝ่ายหนึ่งเข้าใจแล้วเปิดรับ อีกฝ่ายหนึ่งส่ง อย่างวิทยุอย่างนี้ถ้ามีคลื่นมามันก็เปิดได้ คลื่นไม่มาอย่างนี้ วิทยุมันก็เป็นแค่วัตถุอย่างหนึ่ง มนุษย์ก็เป็นวัตถุอันหนึ่ง ร่างกายนี้ก็เป็นวัตถุอันหนึ่ง หัวใจนี้ก็เป็นวัตถุอันหนึ่ง แต่เป็นนามธรรม เป็นวัตถุอันหนึ่ง ไม่อย่างนั้นไม่เป็นธาตุรู้ เป็นวัตถุอันหนึ่งที่ไม่แปรสภาพด้วย ไม่อย่างนั้นนิพพานใครจะไปเสวยสุข ไม่อย่างนั้นตายไปแล้วตัวนี้จะไปไหน ไม่แปรสภาพเด็ดขาดเลย

นี้ศาสนาเข้าไปชำระตรงนี้ ตัวศาสนาแท้นะ แต่ถ้าศาสนาอย่างหยาบ อย่างกลาง อย่างละเอียดนี่ไม่ว่ากัน ถูกต้อง.. พอสังคมมันไม่ดี สังคมไม่ดีโทษพระๆ ถูกต้อง.. ดูพระว่าพระต้องสอนพระก่อนเห็นไหม บางคนพระดีมันก็ขึ้นมาก่อน สังคมพระนี้ถึงจะไปสอนโลกเขา นี้สังคมมันก็อย่างว่าแหละ

พระก็มีพระสมมุติสงฆ์เห็นไหม บวชมาสองแสนองค์ในเมืองไทยก็เป็นพระทั้งหมด แต่เป็นพระสมมุติ พระแท้หมายถึงว่าไม่ได้บวชก็เป็นพระ อย่างเช่น นางวิสาขาไม่ได้บวชแต่ก็เป็นพระ พระแท้คือพระภายใน ข้างในเป็นพระไง เป็นพระภายใน จิตใจที่ว่าเป็นพระก็คืออริยบุคคลภายในไง

ธรรมะหรือว่าธรรมที่ประเสริฐ ประเสริฐที่ธรรมนี้ เป็นคนบัญญัติ เป็นคนให้ค่า เท่ากับมาให้ค่านะ แต่ความจริงแล้วไม่ได้ให้ค่า เกิดจากการกระทำของเรา สมุจเฉทปหานตัดขาดออกไปแล้วมันเป็นเนื้อแท้ของมันไง ถึงว่าเป็นสมบัติส่วนบุคคลไง สมบัติใครสมบัติมันใช่ไหม

ธรรมะนี้เป็นของที่มีอยู่ดั้งเดิม พระพุทธเจ้ามาตรัสรู้ มันเป็นของลึกลับนะ ลึกแสนลึก แต่อยู่ในหัวใจเรานะ ลึกแสนลึก กว้างแสนกว้าง ไม่มีใครสามารถจะรู้ได้ บางอย่างนี่เราคิดไม่ได้ อย่างเช่น เราพูดว่าเรื่องนรกสวรรค์เราก็ไม่เชื่อกันแล้วเห็นไหม นี่เห็นไหมลึกหรือไม่ลึก ลึกอย่างนี้ ลึกที่แบบว่าไม่สามารถรู้ได้ไง ลึกแบบว่าไม่มีใครจะมีความสามารถ วิทยาศาสตร์ไหนก็พิสูจน์ไม่ได้

ไอน์สไตน์มันก็ว่าไม่ได้ ไอน์สไตน์มันยังบอกเลยเห็นไหม ว่าถ้ามันถือได้มันถือพุทธเลย ไม่ได้ ! เพราะอะไร เพราะว่ามันมีการส่งออก เพราะธรรมชาติของหัวใจ ดูสิ พลังงานอันไหนบ้างที่มันจะเข้าไปกินตัวมันเอง พลังงานไหนมันก็ต้องส่งออกใช่ไหม พลังอันไหนที่เข้าไปข้างใน

แต่พลังงานนี่ พระพุทธเจ้าสอนตรงนี้ไง สอนตรงนี้ว่าให้ย้อนกลับมาดูตรงตัวธาตุรู้ ตัวใจแท้ ตัวธาตุรู้นะ ธาตุ แต่ว่าธาตุเป็นวัตถุไง ตัวรู้ว่านามธรรมนี้เป็นวัตถุได้ วัตถุได้ด้วยการที่ว่าจิตแก้จิต มันเป็นนามธรรมอยู่ เป็นนามธรรม ไม่สามารถเอาเข้าไปจับต้องมันได้ ยกเว้นแต่เอาตัวมันเองจับตัวมันเองได้ เอาความรู้สึกนี้เข้าไปจับความรู้สึกไง เอาตัวจิตแก้จิตไง

จิตแก้จิตเลยกลายเป็นโวหารติดกันไปหมดเลยว่าอะไรที่มันง่าย ว่าจิตแก้จิต จิตดูจิต จิตเพ่งจิต ก็เลยกลายเป็นว่าตะครุบเงาไง จิตเพ่งจิต จิตดูจิตนั่นดูเพื่อให้มันสงบตัว ดูให้มันอายไง อย่างเช่น เราจะทำผิด เราเตือนตัวเองนี่อายไหม เรารู้ว่าอย่างนี้ผิดแล้วเรายังจะทำ เหมือนเด็กลักของกิน ... หนูผิดแล้ว อายใจ จิตเพ่งจิตอย่างนั้น เพ่งให้ดูตัวมันเองไง ดูใจของตัวเองแล้วมันจะอาย พออายแล้ว แค่อาย ! มันไม่ได้มีการชำระกัน ต้องเข้าไปชำระไง มันอายนี่ก็สงบตัวลง สงบตัวลงหินทับหญ้าไว้ไง สมาธิธรรมไง

นี่มันเป็นอาการที่แปลกประหลาดที่โลกเขาไม่มี ก็เลยตื่นเต้นกัน นี่จิตเพ่งจิต เอาจิตแก้จิต แต่แก้ได้ แต่อย่างนี้แล้วมันต้องพลิกกลับมาแก้อีกทีหนึ่ง ศาสนาสอนอย่างนั้นแหละ แล้วไม่มีใครรู้ได้ ไม่มีใครรู้ ! ต้องเป็นพระพุทธเจ้าเท่านั้น ! สยัมภูนะ รู้ได้ด้วยตนเอง มีองค์เดียว องค์เดียวเท่านั้นเอง ยกเว้นพระปัจเจกฯ

นี่ศาสนาสอนตรงนี้ไง ว่าเราให้ค่าศาสนาแค่ศีลธรรมไง ให้ศีลธรรมจริยธรรม ศีลธรรมนี่มันแบบว่ามันดี คนมีศีลธรรมนี่ดี เราไม่ได้ว่าไม่ดีนะ แต่ศีลธรรมนี่เป็นอารมณ์ อารมณ์คนมันแปรปรวน อารมณ์คนนี่มันแปรสภาพได้

แต่ถ้าเราไปแก้ตรงฐานของใจ ฐานนี่เกิดอารมณ์ไง แบบว่าเราไปแก้ที่จุดที่มันจะเกิดตรงนี้แล้วตรงนั้นมันหมดแล้ว อารมณ์มันจะแปรปรวนอย่างไรก็ให้มันแปรปรวนไป แต่ว่า อย่างเช่น บางวันเที่ยงมันก็ร้อนใช่ไหม เช้ามันก็เย็น ตกเย็นมันก็เย็น อารมณ์คนก็เป็นอย่างนั้นเพราะมันเป็นธรรมชาติอย่างนี้ เคลื่อนไหวไปตลอดเวลาเพราะว่าจิตกระเพื่อมออกมา

แต่ถ้าตัวในมันรับรู้สภาพความเป็นจริงนะ ถ้าอย่างนั้นแล้วถ้าพูดถึงภาวนาแล้ว ถ้าสิ้นแล้วจะดีหมดนะ แบบว่าเป็นพระอรหันต์แล้วหรือว่าอย่างไร ต้องแบบว่าต้องเป็นเหมือนกับเรียบร้อยหรือว่าดีตลอดอย่างนี้

พระโมคคัลลานะทำไมโดนทุบตายล่ะ นี่เราจะเทียบอารมณ์ไง เทียบสิ่งภายนอกไง ที่มันยังแปรปรวนแปรสภาพอยู่ แต่หัวใจดวงนั้นไม่เป็นไปไง พระโมคคัลลานะโดนโจรทุบตายนะ มาทุบทีแรก เหาะหนีถึง ๓ ครั้ง สุดท้ายพิจารณาว่า อ๋อ นี่กรรมของเรานะ ก็ปล่อยให้โจรทุบจนแหลกจนตายนะ แล้วค่อยใช้ฤทธิ์รวมร่างกายขึ้นมาใหม่แล้วไปหาพระพุทธเจ้า ไปลานิพพานแล้วกลับมาคลายฤทธิ์ออกมันก็แปรสภาพเป็นอย่างเก่า

นี่เราจะชี้ให้เห็นว่าอารมณ์ไง สิ่งที่ภายนอกมันก็ต้องหมุนไปตามธรรมชาติของมันใช่ไหม แต่ไอ้ตัวฐานของจิตถ้าเราแก้ได้แล้ว มันไม่ตื่นตามอันนี้ไง เป็นสุขภายในไง

สุขมีหลายขั้นตอน อย่างเช่น เราสุขอย่างนี้ อาบน้ำก็เย็นสบาย คนเป็นโรคเป็นภัยไข้เจ็บมากอาบน้ำแล้วสบายไหม เพราะอะไร เพราะเราอาบน้ำแล้วมันเย็นที่ผิวหนัง แต่เชื้อโรคมันอยู่ในกายใช่ไหม นี่ก็เหมือนกัน ถ้าแบบว่า เราจะชี้ให้เห็นว่าสุขหลายชั้นไง นี่พูดถึงผลกระทบใช่ไหม แต่จิตอย่างนี้ ร่างกายถ้ามันจะแปรสภาพอย่างนี้มันก็เป็นธรรมชาติของมัน แต่หัวใจที่ไม่ออกมารับรู้เห็นไหม

ถ้าคนเป็นโรคเวลาอาบน้ำ คนธรรมดาเราอาบน้ำก็มีความเย็น มีความสบายใจ แต่คนเขาอาบน้ำแล้วมันก็เร่าร้อน เพราะอันนี้เป็นตัวกิเลสไง เลยยกให้ว่าตัวกิเลสตัวสุขนอกสุขในไง แต่ถ้าคนไม่เป็นโรคเห็นไหม อาบน้ำแล้วมันก็สบาย

นี่ก็เหมือนกัน ร่างกายที่แปรสภาพ หรือว่าอารมณ์ที่เกิดจากความรู้สึกนี่บางทีมันก็ร้อน ทำไม ? อย่างเช่นนะ มันเป็นความรู้เท่านะ มันร้อนหมายถึงว่ามันเป็นไป มันใช้ได้ มันเป็นเครื่องมือว่าขันธ์ ๕ นี้เป็นภาระ

อย่างเช่น อาจารย์มหาบัวท่านพูด ท่านพูดว่าเวลาหลวงปู่มั่น เวลาพระมา ทำโกรธนะ ทำขึงขังนะ เอ็ดอยู่อย่างนี้ อัดเต็มที่เลยนะ พอหันกลับมานี่พูดดีแล้ว พูดเบาๆ พูดแบบกันเอง พอหันกลับมาเอาอีกแล้วเห็นไหม เอ็ดอีกแล้ว เพื่ออะไร เพื่อประโยชน์ไง

จะพูดว่าเวลามันออกมาถึงจะเป็นกิริยาที่รุนแรง หรือกิริยาที่พูดดี มันก็เป็นประโยชน์ทั้งหมดใช่ไหม เพราะท่านรู้เท่าทันนี้ใช่ไหม แต่ต้องใช้กิริยาอย่างนี้ ต้องใช้เครื่องมือแบบนี้ไง ใช้เครื่องมือไง แบบว่าเช่น โอ้โฮ เรื่องทิฐิภายใน มันรุนแรงมากนะ เวลาเราไม่รู้เราไปเกาะไว้ จะพูดกันนิ่มๆ นะ ไม่มีทาง ! อย่างนั้นไม่ใช่อาจารย์คน อาจารย์คนนี่ฟันด้วยขวานนะ สับด้วยขวาน

ดูอย่างเซนนะ เห็นไหม นิ้วยกนิ้วนะ ไปถึงต้องยกนิ้วนะ อาจารย์นี่เรียนหนังสือไง ยกนิ้ว เอานิ้วลงเอาขวานสับเลย แล้วยกนิ้วอีกนะ แล้วยกนิ้ว ไอ้เณรนี้ก็ยกนิ้วแต่ไม่มีนิ้วแล้ว เขาสับทิ้งเลย เพราะมันติดไง ติดในหนึ่ง แต่ก็ยกเห็นไหม ถ้าเป็นเราขนาดโดนตัดนิ้วออกจะไปคิดขนาดไหน นั่นเป็นของเขา.. มหายาน

เวลารุนแรง อาจารย์สอนเวลามันรุนแรง ความยึดมั่นถือมั่นภายในมันรุนแรงมาก ต้องใช้กิริยาที่แรงเข้าไปไง แบบน้ำป่ามาเราต้องใช้ความแรงเข้าไปยับยั้งตรงนั้น ไอ้แรงอย่างนั้นแรงแบบรู้เท่า

นี่จะเทียบให้เห็นหรอก เทียบให้รู้ว่าสุขนอกสุขใน ความติดนอกติดใน ศาสนาสอนมีกี่ขั้นตอน สอนแบบนี้ ศีลธรรมอยู่ข้างนอก แล้วเราก็มาเอาชนะตัวเอง ใครชนะตัวเองได้นะ สุขมากนะ อ้าว จริงๆ ! ก็เหมือนกับคนที่มันทุกข์มาก คนที่มันไสไปตามโลกเขา แล้วมันยืนดูเขาเล่นกัน

เหมือนพวกเราเกิดมา เราเป็นนักกีฬาอยู่ในสนามฟุตบอลต้องวิ่งกันหัวปั่น วิ่งอยู่อย่างนั้น แล้ววันไหนเราออกมายืนอยู่ข้างสนามดูเขาเล่นสิ ต่างกันเยอะเลย แต่เราเรียกสุขได้อย่างไรว่ะ ไม่มัน ! ต้องให้ลงไปเตะด้วยถึงจะมัน เวลาออกไปยืนข้างสนามนี่ไม่ยอม ไม่เอา ฉันไม่ได้เตะด้วยแล้ววิ่งลงไป

นี่มันถึงได้ถามไงว่าภาวนาไปเพื่ออะไรไง จะสุขได้อย่างไร มันจะมีอะไรขึ้นมาเห็นไหม สู้ฉันไม่ได้ ฉันพยายามวิ่งกับเขาอยู่นี่ แล้วได้เตะที ๒ ทีก็ยังดีนะ วิ่งสัก ๔ - ๕ชั่วโมง เตะลูกสักทีหนึ่ง โฮย.. ดีใจ ฉันมีความสุข

นี่ก็เหมือนกัน วิ่งไปเถิด วิ่งไปเถิด วิ่งไป แล้วก็ไปประสบความสำเร็จมาก็เหมือนเตะบอลทีหนึ่ง ได้วัตถุอะไรมาใหม่ก็เหมือนเตะบอลทีหนึ่ง มีความสุขทีหนึ่ง แล้วลองได้พักสิ ลองได้พักแล้วมันจะเห็นคุณค่าไง ถ้ายังไม่พักยังไม่รู้ ถ้าได้พัก อ้อ.. สุขอย่างนี้เอง มีกินมีใช้ตามโลกเขา ไม่ด้อยไปกว่าใคร แต่หัวใจไม่วิ่งตามเขา เหมือนผู้ดูไง นั่งมองเขา โอ้..โอ้..เลย โลกเป็นแบบนั้น

นั่นสุขภายในไง ถึงว่ามันสุข สุขจริงๆ สุขก็สุข สุขไม่ต้องเหนื่อย แต่นี้มันอธิบายออกมาเป็นลักษณะของอาการของใจ มันก็อย่างว่าแหละ มันเป็นนามธรรม มันต้องเรามาประสบว่ามีความสุข มีความสุขนี่

เพราะใช้คำนี้ พูดคำนี้ออกมาเพราะอะไร เพราะว่าเวลาทำบุญ ถูกต้อง ! เวลาโยมมาทำบุญนะ บุญกุศล บุญนี้มันเป็นแบบว่า เป็นบุญที่ว่าการขับเคลื่อนไง เราก็อธิษฐานเอาสิ อยากได้อะไร ถ้ามันเป็นไปนะ แบบว่าบุญกุศลอันนี้เกิด แบบว่าผู้ปฏิบัติธรรมหรือว่าทำความดีสมกับความดี ขอให้ความดีนี้จงให้ผลแก่เรา อันนั้นเป็นผลของบุญ อันนั้นไม่ว่ากัน

แต่ว่าพอยกสูงขึ้นมาเรื่องปฏิบัติเห็นไหม เพื่ออะไร เพื่อไม่ให้ใจมันทุกข์ไง ไม่ให้ใจมันทุกข์ ให้มีความสุขด้วย แล้วพอหัวใจมันสะอาดขึ้น อะไรขึ้น มันจะเป็นไป การงานทุกข์อย่างมันจะเป็นไป ข้างนอกคือบุญกุศลธรรมดา กับบุญในการปฏิบัติ

พระพุทธเจ้าสอนไง ปฏิบัติบูชาไง ปฏิบัติบูชาเห็นไหม ปฏิบัติบูชามันประเสริฐกว่าอามิสบูชา นี่อามิส ให้มานี้เป็นอามิส เป็นของ เป็นอามิส เป็นวัตถุ แต่ปฏิบัติบูชานี่ โอ้โฮ เพราะบูชา บูชานี้เพื่อไปหาพระพุทธเจ้าใช่ไหม แต่ถ้าเราปฏิบัติบูชา เราค้นคว้าพระพุทธเจ้า พุทธะอยู่ที่ใจไง ทุกดวงใจนี่เป็นพระพุทธเจ้าได้หมด ลองปรารถนาพุทธภูมิสิ เป็นได้หมด เหมือนกัน !

แต่ทำไมเราบอกว่าเป็นได้องค์เดียว ไอ้นั่นมันเป็นที่ว่าเพราะการสร้างมานี้มันแสนยากขนาดไหน การสร้างการสะสมมานี่แสนยากมากเลย แล้วมันขโมยกันไม่ได้ด้วย อย่างสมบัติโลกนี่ยังขโมย ยังลักกันได้นะ อย่างบารมีนี้ไม่มีสิทธิ์ ไม่มีสิทธิ์ขโมยกันได้หรอก ของใครของมัน แล้วถึงเวลาจุดแล้วไปบายขึ้นมาอย่างนี้ แบบว่าคราวตรัสรู้อย่างนี้ ถึงว่ามันแสนยาก แสนยาก

เวลาคิดกลับมาตรงนี้ไง เราถึงจะ โอ้..พอใจนะ ทุกข์ส่วนทุกข์ไปเถิด คนทุกข์แบบพวกแอฟริกาเห็นไหม เขาทุกข์แล้วเขามีโอกาสได้แก้ไขไหม ทุกข์ก็ทุกข์อยู่นั่น ดูสิ โยกย้ายกันไปโยกกันมา ทุกข์ก็ทุกข์แค่นั้นเอง ทุกข์เพื่อจะตายต่อไป ไม่มีอะไรเลย

อย่างของเราเกิดมาพบพระพุทธศาสนา ทุกข์เพื่อจะพ้นทุกข์ เหมือนกับคนเขาทุกข์เหมือนกัน สภาพแบบนั้นแต่มีโอกาสรอด อย่างนั้นไม่มีโอกาสรอดนะ นี่เราเปรียบวัตถุให้ดูไง แล้วมาคิดสิ มาคิดถึงที่ว่าถ้าเราไม่เจอศาสนา เราไม่เจอครูบาอาจารย์เราจะปฏิบัติกันอย่างไร มันก็เกิดมาใช้ชีวิตนี้ ชีวิตหนึ่งให้หมดไป เท่านั้นเอง !

แต่เรามาเจอพุทธศาสนาด้วย แล้วมาเจอท่ามกลางการปฏิบัติ พอมีแนวทางอยู่ว่าอย่างนั้นเลยนะ การหาครูบาอาจารย์คือว่าแนวทางการปฏิบัติแบบถนนไง ถนนที่จะเดินไป มีถนนอยู่เราก็เดินไปได้ ไม่มีถนนจะเดินอย่างไร นี่แนวทางมีไง ร่องรอยไง พระพุทธเจ้ารู้ก่อน เป็นผู้เปิดประตูแรก แล้วก็สาวกตามมาๆ ตามมาเรื่อยๆ แล้วเราก็ตามมาๆ

มันถึงจะบอกว่ามีคุณค่าของศาสนาไง คุณค่าของศาสนาคือว่าปฏิบัติแล้วได้ผลนี่ไง ไม่อย่างนั้นก็เขาจะว่า โอ้โฮ นรกก็ไม่มี สวรรค์ก็ไม่มี มรรคก็ไม่มี ผลก็ไม่มี อะไรก็ไม่มีนะ พระก็หัวโล้นๆ มาหลอกกันกิน เท่านั้นเอง ! ไม่มีมรรคไม่มีผล ไม่มีการกระทำกันใดๆ เลยหรือ ศาสนาเป็นศาสนาของเล่น

อาจารย์ว่านะ ศาสนาไม่ใช่ตุ๊กตานะ เอามาหลอกเด็ก ศาสนาสมมุติไง ศาสนาหลอกเด็ก หลอกกันไปก็หลอกกันมา หลอกกันมาก็หลอกกันไป ไม่หลอก ! จริง ! แล้วยิ่งมาอย่างนี้ เคยไปเจออย่างนี้นี่นะ จริง ! จริง ! นี่ยืนยันกันได้จริง ของจริงมีอยู่ แล้วนี้พอถ้ามันจริงผลัวะๆๆ มามันก็จริงมาเรื่อย

ทีนี้พอของจริงมาอยู่นะ มันก็จะ โอ้โฮ ครึ้มใจ วันนั้นเรากลับมาแล้วมาพูดกับพวกนี้เลย โกหกเลยนะ ลักเขามา บอกว่าไปขโมยว่าเป็นศิษย์เรานะ โอ๊ย แล้วมันดีใจนะ โอ้โฮ เราสอนคนได้ขนาดนี้นะ (หัวเราะ) ศิษย์สมมุติไง อุตส่าห์ไปหลอกว่าอันนี้เป็นลูกศิษย์เรานะ ให้มานั่งครึ้มใจว่า ดูสิ ดูสิ เห็นไหม นี่มันเป็นไปได้

ทฤษฎีมีอยู่ไง เวลาเมื่อก่อนน้องชายมันถาม มันบอกว่า “หลวงพี่มีอยู่จริงหรือไอ้หูทิพย์ตาทิพย์ มีจริงหรือๆๆ” ไม่เชื่อเรา เราบอกว่า “อ้าว..จริง มึงฟังเอานะ ในทฤษฎีนั้นมันมีอยู่ อภิญญา ๖ มีอยู่ ถ้าทฤษฎีมีอยู่แล้วเราเข้าไม่ถึงแล้วเราไปโทษว่าทฤษฎีนั้นไม่มีได้อย่างไร หูทิพย์ ตาทิพย์ การรู้วาระจิตมันเป็นอภิญญา ๖”

แต่แท้จริงฟังนะ อภิญญา ๖ นี้ก็ไม่ชำระกิเลส ใช่ไหม อภิญญา ๖ นี้เป็นการส่งออกหมด มันเป็นการรู้ภายนอก ไม่ได้ชำระกิเลสเลย แต่โลกบอกว่าอันนี้มันยอดเยี่ยมมากนะ อันนี้มันของแบบว่าอาจารย์ว่าเป็นของเล่น เป็นของเด็กเล่นนะ เอาไว้เพื่อเป็นประโยชน์ไง เพื่อเป็นเครื่องมือ เพื่อไปดักใจคน เพื่อจะรู้อะไรล่วงหน้า เพื่อจะสอนไง เอาไว้สอนไง เอาไว้แก้ เอาไว้ดัก ใช่ไหม

อย่างมานี่ ถ้าแน่จริงก็ต้องรู้ใจเราสิ เห็นไหม ใครๆ มาก็ต้องรู้วาระจิตสิ ไอ้รู้แบบนั้น พูดประสาเรานะ มันรู้แบบหนังน้ำเน่า มันรู้เพื่อเสริมอารมณ์ไง แต่มันรู้การเกิดดับ รู้ความทุกข์ในหัวใจ อันนี้ต่างหากมันเป็นประโยชน์ไง

ก็เหมือนหมอ เห็นไหม ถ้าแก้ไขได้อันนี้ประเสริฐ จริงไหม หมอนี่ฉีดยาแก้ไข้ ถ้าแก้ไขก็แก้ทุกข์ในใจใช่ไหม รู้อย่างนี้นี่รู้ตามขั้นตอนของการแก้ไข อันนี้ถูกต้อง แต่ถ้าจะมารู้ดักกันอย่างนั้นก็ดูหนังดูละครสิ

เขาพูดอย่างนี้เพราะอะไร ก็ไปหาหมอดูสิ หมอดูจะพูดถึงหมด เพราะอะไร เพราะความชำนาญของเขา พูดไปเถอะ โอ้โฮ หมอดูคนนี้แม่น แม่น ก็เขาคุย พูดร้อยคำถูกคำหนึ่ง ไอ้หมอดูนี้แม่นๆ ทำไมเขาแม่น เขามองดูออก เพราะความชำนาญของเขา พรหมศาสตร์มันมี แล้วเป็นอะไร

หมอดูเวลาดูให้เขานะ เวลาหมอดูกลับบ้านหมอดูทะเลาะกันในบ้านเกือบบ้านแตก หมอดูคนไหนบ้างที่ครอบครัวที่บ้านเขามีความสุข มันเหมือนกัน เหมือนกับมนต์ดำ เราใช้ฤทธิ์ใช้คาถาไปทำลายครอบครัวคนอื่น สุดท้ายแล้วอย่างทางอีสาน พอไปๆ พวกนี้เป็นปอบหมด มันร้อนเข้าๆ เห็นไหม มันเป็นปอบหมด เป็นมนต์ดำ เป็นฝ่ายที่ไม่ถูก

แต่ถ้ามาของเรานี่ มาธรรมะนี่เห็นไหม ให้สัมมาทิฐิ ให้สัมมาสมาธิ ทุกอย่างเป็นสัมมา เป็นสัมมาหมด เป็นของถูกต้องหมด เห็นไหมถึงว่าสมาธิต้องมีศีลคุมไง คุมเพราะไม่ให้ออกตรงนี้ไง ถ้าไม่มีศีลคุม สมมุติจิตใจเราไม่ดี เกิดเราเป็นคนที่ไม่ดี พอเราฝึกหัด พยายามฝึกหัดเป็นสมาธิขึ้นมาจนได้ เพราะจิตใจเราไม่ดีเป็นพื้นฐาน

พอเรามีสมาธิปั๊บสมาธินี้เป็นของที่แปลก เราใช้สมาธินี้ไปในทางที่ลบ เห็นไหมพระพุทธเจ้าถึงบอกว่าให้มีศีลไง ศีลนี้บังคับตรงนี้ไม่ให้เป็นไง ศีลคือว่าไม่ให้รังแกกันใช่ไหม นี้เกิดว่าถ้าเราเป็นคนที่ไม่ดีก็แล้วแต่ ศีลบังคับให้สมาธินี้เกิด พอเกิดขึ้นมาศีลนี้จะไปบังคับ ไปคุมสมาธินี้อีกทีหนึ่งไง

ศีลที่บริสุทธิ์เกิดสมาธิที่ยอดเยี่ยมใช่ไหม เราเกิดสมาธิแล้ว ปัญญาอบรมสมาธิที่ดี ก็ทำให้เกิดปัญญาที่วิมุตติหลุดพ้นได้ แต่ถ้าสมาธิที่ว่าสมาธิเกิดได้ เกิดได้แต่ว่าถ้าเราไม่ควบคุมใจเราดีเราใช้ในทางที่ผิดเลย แล้วพอใช้ไปๆ ตอนใช้มันก็ดีสิ ใช้ได้สนุก ได้มีฤทธิ์มีเดช แต่พอเรากระทำบาป ทำไม่ดีไว้แล้วมันจะได้ผลดีได้อย่างไร ต่อไปสุดแล้วก็ต้องเสีย

ถึงบอกว่าศีลสำคัญ ศีล สมาธิ ปัญญา นี่ทำให้เราหลุดพ้นนะ หลุดพ้นจากความทุกข์ในใจ อย่าไปคิดนะว่าจะหลุดพ้นไปที่อื่น หลุดพ้นที่หัวใจปั๊บไอ้สิ่งข้างนอกมันมาเอง ความรู้ต่างๆ มันมาเองนะ แล้วไม่สงสัยใดๆ เลย แก้ความสงสัยในใจได้นี่ยอดเยี่ยมที่สุดแล้ว แล้วสามโลกธาตุนี้ สวรรค์นรกอะไรอย่างนี้ไม่ต้องไปพูดถึงมันเลย พอดับที่นี่ปั๊บ รู้หมด ! รู้หมดเลย เพราะตัวนี้เป็นตัวเคลื่อนไหว แล้วเราไปแก้ตัวรากฐาน ตัวอื่นจบ พอจบก็เข้าใจ เข้าใจที่นี้ด้วย เข้าใจข้างนอกด้วย เข้าใจหมดเลย

นั่นทำไมพระพุทธเจ้าถึงยอด ศาสนาเรานี้เยี่ยมมากนะ เยี่ยมมาก เกิดมาอย่างนี้ เราดูศาสนาเยี่ยมมากเราก็ภูมิใจตัวเราไง ศาสนานี้เยี่ยมเราก็เยี่ยมด้วยเพราะเราเป็นชาวพุทธไงเห็นไหม มันจะพูดเพื่อมันจะยกตัวเอง

ตัวเราเป็นชาวพุทธเราอยู่ในศาสนาที่เยี่ยมเหมือนกับเราอยู่ในเรือที่ดีไง เอ็งมองไปที่อื่นเขามีแต่เรือที่ผุๆ เรือที่รั่วๆ อยู่กลางวัฏสงสารนะ เขาต้องล่ม ต้องจมอยู่กลางทะเลนะ เขาต้องตายอยู่เป็นอาหารของสัตว์ ของเต่า ของอะไร แล้วเราเป็นชาวพุทธเราอยู่ในเรือเยี่ยมเลย แต่มันไม่อย่างนั้นสิ มันจะเอาขวานฟันเรือตัวเองทิ้ง

ศาสนาเราก็ไม่มี พระก็ไม่ได้สอน เราก็ไม่เคยปฏิบัติเห็นไหม อยู่ในเรือดีๆ มันเอาขวานฟันเรือมันทิ้งไปเรื่อยๆ ไอ้เอ็งมองมาแล้วเรือผุๆ แล้วก็ไปมองว่าเรือเขาไม่ดี ไอ้อยู่ในเรือดีๆ มันก็ทำลายเรือของตัวเองซะ

นั่นเวลาพูดๆ เพื่อเหตุนั้น พูดขึ้นเหตุผลที่คุยมา ตรงนี้ต้องให้ภูมิใจในมนุษย์สมบัติ ภูมิใจในตัวพุทธศาสนา ภูมิใจในการปฏิบัติ ทุกข์ก็ทนเอา ทุกข์โดยธรรมชาติ ทุกข์เป็นอริยสัจ ทุกขังอริยสัจจัง สมุทัยอริยสัจจัง มรรคอริยสัจจัง นิโรธะอริยสัจจัง มันเป็นอริยสัจเลย เป็นความจริงอันประเสริฐเลย แล้วเราจะเป็นอย่างนี้ได้อย่างไร เราก็สู้สิ สู้เราก็เกิดรู้เท่า

อย่างที่ว่าบริหารทุกข์เป็นนะ เกิดมาจากอริยสัจไง ไม่ใช่อริยสัจ ตัวทุกข์นี้ไม่ใช่ผล ตัวทุกข์นี้เป็นแค่แบบเครื่องยนต์ พลังงานเป็นตัวเครื่องยนต์ มันขับเคลื่อนออกมาเป็นพลังงาน อันนั้นเป็นผล จิตนี้วนเข้าไปในอริยสัจ เข้าไปรู้ทุกข์ เข้าไปเห็นสมุทัย ปล่อยสมุทัยด้วยมรรค ออกจากมรรคไปนิโรธ นิโรธมันดับเห็นไหม แล้วทำไมถึงไม่ใช่ล่ะ

ไม่ใช่ ! ต้องออกจากนั้นมาเพราะมันเกิดแล้วดับไง ฝ่ายหนึ่งฝ่ายเกิด ฝ่ายหนึ่งฝ่ายดับ แล้วเราเข้าใจแล้วเราปล่อยออกมาจากอริยสัจ เห็นไหม อย่างเครื่องยนต์มันหมุน เราเองก็เอาจิตเข้าไปในเครื่องยนต์ เข้าไปศึกษาในเฟืองในอะไรทุกอย่าง แล้วมันเป็นพลังงานที่ออกจากเครื่องยนต์ออกมา ไม่ใช่ตัวเครื่องยนต์ ตัวเครื่องยนต์มันเป็นตัวอริยสัจ แล้วพลังงานที่ออกมาเป็นประโยชน์อยู่ข้างนอกไง อันนั้นหัวใจเราพุ่งออกไปจากนั้น ถึงว่ามันโผล่ออกมาจากอริยสัจไง

หัวใจนี้โผล่ออกมาจากอริยสัจ ความรู้ความเข้าใจนี่โผล่ออกมาจากอริยสัจ ต้องวงรอบอริยสัจอันนั้นอีกอันหนึ่ง นั่นศาสนา ! พระพุทธเจ้าสอนอย่างนั้น

เวลาพูดทุกทีนี่นะ ศาสนาอื่นไม่มีหรอก ประกันว่าไม่มี ทำไปเถอะ ไม่มี ! แต่ทำสมาธิได้ก็ทำได้ ถ้าทำสมาธิได้เขากำหนดได้เพราะนี่มันเป็นธรรมชาติอยู่แล้ว แต่ถ้ามรรคอันนี้ไม่มีนะ ไม่ได้มาบนอันนี้นะ ไม่มีทาง หัวใจไม่ได้ฟอกไม่มีทาง ก็เพ่งดูนั่นแหละ เพ่งจิตแก้จิตเขาก็คุยได้ เพ่งแก้จิต เพ่งเฉยๆ นี่นะ เพ่งเฉยๆ ไม่ชำระ

เสื้อผ้าที่ใส่กันกลับไปอย่าซักนะ เก็บเข้าตู้ให้หมดเลยนะ ถอดเสื้อพับเข้าตู้ โอ้ มันสะอาดแล้วไง ก็ไม่ได้ซัก เข้าตู้มันก็เหมือนกัน เสื้อผ้าในตู้ที่สะอาดอยู่แล้วก็มี เสื้อผ้าที่ไม่ได้ซักในตู้ก็มี ก็เข้าไปอยู่ด้วยกัน เห็นไหมมันก็สงบเข้าไปอยู่อันที่เดิม ในตู้คือที่เดิม แล้วมันได้ชำระหรือยัง.. ยัง เราพับเข้าไปสิ ก็สมาธิมันทำให้สงบได้ก็พับเข้าไป แล้วมันแก้ไหม ไม่แก้

แต่เขาว่าแก้เพราะมันไม่เคยรู้ ไม่เคยเห็นสภาพแบบนี้ไง เห็นสภาพแบบนี้ก็เชื่อ ก็เข้าใจว่าอันนี้เป็นผล มันก็เลยกลายเป็นว่าไม่เข้าทาง กริ่มมาหน่อยหนึ่งแล้วไม่เข้าทาง เสียกันไปเยอะ แล้วไม่ใช่เสียกันเยอะนะเพราะเราดูแล้วเกือบจะเป็นกันทั้งนั้นเลยตอนนี้ เกือบจะเป็นทั้งนั้นเลยถึงได้อันนี้ออกมา เอาเท่านี้ก่อนเนาะ เดี๋ยวจะให้พร