เทศน์เช้า

รักกับชัง

๑๕ มี.ค. ๒๕๔o

 

รักกับชัง
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

เทศน์เช้า วันที่ ๑๕ มีนาคม ๒๕๔๐
ณ วัดสันติธรรมาราม ต.คลองตาคต อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

มันเป็นอย่างนั้นเอง โลกธรรม ๘ ไง เราว่าศาสนานี่พวกเรานี้เข้าใจ มองปัญหาตรงนี้ผิดว่าทำดีแล้วต้องได้ดี แบบดีที่เราคิดกันไง แต่เราก็ยังยืนยันประจำว่า ทำดีนี่ต้องได้ดีเด็ดขาด !

พระพุทธเจ้าสอนว่า ”ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว”

แต่ความดีนี่ เราให้ค่าความดีกันผิดไปเอง เราให้ค่าความดีว่า ความสะดวกสบายนั้นเป็นความดี ความยกย่องสรรเสริญไม่ใช่ความดี แต่เราว่าเป็นความดีไง

แต่เรากลัวมากเลยนะ ใครมาชมว่าหลวงพี่ดี หลวงพี่ควรมองเลย ไอ้ดีจริงไม่ดีจริงมันเรื่องของเรา ให้เขามาชม คนมาพูดเพื่อหวังประโยชน์ เขาต้องพูดว่าเราดี เขาจะพูดเลยว่า เราดีอย่างนั้นอย่างนี้ แต่ก็เคลิ้มนะ ทุกคนจะเคลิ้ม ถ้าไม่มีสติจะเคลิ้มทันทีเลย เรากำลังมองว่าตรงนั้นเป็นความดี แต่ไม่ใช่ความดีเห็นไหม

ความสุขในโลกนี้ไม่มีหรอก มันมีพระมาหาเราองค์หนึ่ง เขาบอกเลยเขามีแฟนแล้ว เขามาบวช ๑๕ วัน แล้วเขาก็มาได้ ๒ ปีแล้ว แฟนเขามาหาไง “โอ๊ย!! ความสงบนี้หาได้ยากนะ โยมต้องหาความสงบเอาสิ” เขาว่าเลยนะ เขาเข้าใจว่าการติดสมาธินั้นเป็นนิพพานแล้วนั่นนะ เราฟังแล้วโอ๊ย อยากจะขำ เขาว่าเป็นความสงบไง แต่เป็นความสุขมาก

เขาบอกว่า “ขนนี้พองหมด ขนพองสยองเกล้า”

อันนี้เป็นปิตินะ ปิติธรรมไง ธรรมปิติ เวลาเราเกิดความสงบ ขนจะพองแล้วตัวจะใหญ่ มีความสุขมากเลย เห็นไหมแค่นี้พระองค์นั้นเข้าใจว่าอันนี้ไม่นิพพานก็เป็นนิพพานแล้วนั่นนะ เขาถึงได้กล้าพูดกับแฟนเขาไง ความสงบนี้หายากมาก โยมต้องไปหาเอาสิ (หัวเราะ) แฟนเขามาหาแล้วจะให้สึก... เห็นไหม แล้วก็มาพูดกับเรา แล้วเขาก็พูด โอ้โฮ... ชมใหญ่เลยนะ เราสงสารไง เราสงสาร เราก็เลยเอาเทปให้ฟัง ทีแรกจะไม่ให้ คิดว่าพระจากกรุงเทพฯมา คงจะแบบว่าปฏิบัติไม่เป็นหรอก แล้วเทปเราคงจะฟังไม่ได้เรื่อง แต่เราก็ยังให้ไป

นี่จะบอกว่า ความสุขแท้เห็นไหม เราจะยกตัวอย่างให้ดู คนแค่ไปจิ่มๆ ขนาดนี้ยังเคลิบเคลิ้มไปหลงใหลว่าอันนี้เป็นถึงนิพพานแล้ว ทั้งๆ ที่มันไม่ใช่นะ มันเป็นแค่จิตสงบเห็นไหม ถึงว่าความสุขอื่นใดเท่ากับความสงบไม่มี ความสุขในโลกนี้ไม่มีหรอก ความสุขแท้ๆ คือความสงบ ความอิ่มใจ ใจที่ไม่ดิ้นรน

เห็นไหมเมื่อกี้รถไปชน เราตกใจเลย เพราะอะไร แล้วทุกข์มาก เพราะอะไร เพราะเอาใจไปไว้ที่ตรงนั้น ไม่ได้เอาใจไว้ที่ใจตัว ใจตัวไม่ได้อยู่ที่ใจตัวนะ ใจตัวไปอยู่ที่วัตถุที่เราหามา เรานี้เอาใจไปไว้ที่วัตถุหมดนะ แล้วก็ไปเร่าร้อน เพราะนี้มันแห้งไง หัวใจไปกองไว้ที่ตรงนั้นๆ ตรงที่ได้มา ไปกองไว้ ไอ้ตรงนี้มันก็เร่าร้อน ถ้ามีความสงบมันดึงกลับมาหมดเลย

เอ็งก็อยู่ส่วนของเอ็งสิ หัวใจข้าสงบ ข้าอิ่ม ข้าสบาย นั่นคือความสุข ไม่เอาใจนี้ไปฝากไว้กับใครหรอก เราถึงได้ว่า ถ้าพูดเมื่อกี้แล้วจะพูดด้วยว่า “ที่ไหนมีรักที่นั่นมีทุกข์” แล้วมีจริงๆ มีความรักแล้วมีทุกข์นะ

ไอ้โด่ง ไอ้วานทุกข์ไม่ทุกข์ รักไม่รัก แล้วก็ปากแข็ง ผู้ร้ายปากแข็งนะ มีลูกไม่รักมันหรอก เลี้ยงไปตามหน้าที่ ลองเขาจับไปเรียกค่าไถ่วิ่งจู๊ดๆ ไปหาเลยล่ะ ปากก็พูดว่าไม่รัก กิเลสมันป้องกันตัว ๒ ชั้นนะ ลูกก็ผูกใจจะขาดอยู่นะ แต่เวลาคุยกันนะ

“เราก็รู้ทันนะ เราก็ไม่รักลูกหรอก ลูกเราก็เลี้ยงตามหน้าที่”

ไอ้ปากเรามันพูดไป ไอ้กิเลสมันติดไปเต็มตัวแล้ว เห็นไหม “ที่ไหนมีรักที่นั่นมีทุกข์”

แต่พระพุทธเจ้าทรงสอนให้มีเมตตาธรรม เมตตาธรรมมันไม่ผูกมัดไง ความรักมันยึดเป็นเจ้าของ มันยึดเป็นของของเรา ที่ไหนมีรักที่นั่นมีทุกข์

แล้วมีโกรธมีทุกข์ไหม? ถ้ามีรักมีทุกข์ แล้วถ้าเกลียดมีทุกข์ไหม? เกลียดก็ทุกข์

ทีนี้มันมองไม่เห็นไง ดูสิ เห็นไหมมุมกลับ กับเมื่อกี้นี้ว่านะ แบบว่าเราไม่รักหรอก เห็นไหม เราทำตามหน้าที่ แต่ความรักนี้เป็นของที่ไม่เสียหาย เราเลยดูว่าไม่น่าเกลียด แต่ไอ้ความโกรธเวลาออกมามันน่าเกลียดมากเลย แล้วก็บอกว่า ใครมาปฏิบัติธรรมนะ แล้วละความโกรธความเกลียดได้คนนั้นได้ผล ได้ประโยชน์นะ มันละไม่ได้หรอก ละไม่ได้หรอก เพียงแต่ยับยั้งปรับเข้าไปใต้พรมไง

ที่เขาว่ากันใช่ไหม ที่ว่าละความโกรธได้ ละความโกรธได้น่ะต้องเป็นพระอนาคามีนะ แล้วเอ็งเป็นพระอนาคามีแล้วเหรอเอ็งถึงละความโกรธได้ แต่ยับยั้งได้หรือจับมันมาซ่อนเร้นได้ไง ยับยั้งได้ ยับยั้งได้ชั่วคราว แต่ยังไม่มีเวลากระแทกให้มันออกมา ยังไม่ได้ไปจุดประกาย ยังไม่มีอะไรไปสปาร์คมันออกมา อันนี้มันเป็นจริตนิสัย

เช่น เราว่าหลวงปู่มั่นเป็นพระอรหันต์นะ แล้วเราก็เข้าใจกันว่าหลวงปู่มั่นนี้ดุมากเลย หลวงปู่มั่นบอกว่า ความดุกับความโกรธอันนั้นมันไม่ใช่โกรธเป็นความมีพิษ ไอ้ที่ว่าความโกรธที่ผูกมัดไง อย่างเช่น อาฆาตมาดร้าย มันทำให้เร่าร้อน พอเราโกรธขึ้นมาเราจะร้อนหมดเลยนะ เราโมโหขึ้นมาจะร้อนหมดเลยนะ แล้วเราก็ไปทำลายคนอื่น อันนั้นมันทำลายนะ ทำลายจิตที่เครียดมากเลย ทำให้มีแต่ความทุกข์มากเลย

แต่ครูบาอาจารย์นะ โอ้โฮ!! อาการเดียวกันเลย แต่มันไม่ใช่ความโกรธ มันเป็นเหมือนกับหมอ เหมือนผู้ใหญ่สอนเด็กไง เด็กมันทำผิดใช่ไหม แล้วเด็กมันไม่รู้ ผู้ใหญ่บอกเด็กว่า เด็กมันทำผิด แล้วเด็กมันก็ไม่รู้ เราก็โกรธ เราก็โมโหไง เราโมโหลูกของเรา พอโมโหขึ้นมา เห็นไหมมันเป็นอาการของการโกรธ

แต่ถ้าเราไปโมโหกับเรื่องความอิจฉา เรื่องความพยาบาทนะ มันเป็นการผูกอาฆาตเป็นการทำลายกัน แต่ลูกของเรา เราติเราว่าลูกของเรา เราอาฆาตลูกเราไหม ไม่ได้อาฆาตหรอก ไอ้โกรธอันนี้ก็เหมือนกัน มันแบบว่ามันเห็นลูกศิษย์หรือเห็นชาวพุทธเราทำความผิด มันอาการแสดงออกมาชี้ให้เห็นว่า ผิดถูกด้วยความรุนแรง คนมันไม่ฟังไง พอฟังแล้วว่าอันนี้เป็นความดุเห็นไหม ความดุอันนั้นไม่เป็นพิษเลย เป็นยา เขาฉีดยา

“เข็มแทงเข้าไปในเนื้อเจ็บไหม”

“เจ็บ”

“แล้วทำไมอยากให้แทงล่ะ”

“เพราะอยากให้โรคหาย”

“แต่ถ้าเราโดนตี โดนทำร้ายร่างกายกัน เจ็บไหม”

“เจ็บฟรีๆ”

“ต่างกันไหม”

นี่เราจะชี้ให้เห็นว่า อาการของความโกรธ อาการของความโกรธนะ อาการนี่มันเป็นภารา หะเวไง เป็นอาการ เป็นจริตนิสัยที่จะลบล้างให้เป็นดีไปเลย มันหายาก ฉะนั้นไม่ต้องไปคิดเสียใจไง อย่างเช่น ร่างกายของเรานี่เราเป็นโรค แล้วเรารักษาโรคหาย ร่างกายของเราก็ยังเป็นร่างกายของเรา ร่างกายเรานี้เป็นโรค แล้วเรารักษาโรคหาย ร่างกายเรานี้ก็ต้องเปลี่ยนรูปแบบไปด้วยเหรอ?

จริตนิสัยมันพกมาเป็นชาติๆ มันซับซ้อนมามากนัก แม้แต่พระสารีบุตรยังมีจริตนิสัยเป็นอย่างนั้นเลยเห็นไหม กระโดดข้ามคลองที่ว่านี่ พระสารีบุตรนะ อันนี้เป็นจริตนิสัย ใครจะว่าไปนี่ ปล่อย ! เราไม่ไปเดือดร้อน แต่เราต้องมาดูที่ใจว่าเราเป็นอย่างนั้นไหม ถ้าโกรธถ้าเกลียดอย่างนี้มันไม่ถูกต้อง เราค่อยละค่อยวางไง เห็นไหม ถึงว่า

“ที่ไหนมีรักที่นั่นมีทุกข์ ที่ไหนมีโกรธมีเกลียดที่นั่นก็มีทุกข์”

แต่อาการต่างกัน เราพูดเห็นไหม รักกับเมตตาก็ต่างกัน

การโกรธ การเกลียด กับการชี้บอกความถูกผิด พระมาเรายังพูด เขามาพูดเรื่องนี้ให้เราฟัง เราบอกเลยล่ะ สังคมไทยเสีย ก็เสียเพราะเรื่องนี้ ชาวพุทธ ทุกทะเบียนบ้าน มันใช้ศาสนาพุทธในทางที่ผิดไง ว่าอย่างนั้นเลยนะ ใช้ศาสนาพุทธในทางที่ผิด ผิดตรงไหนไง ผิดที่เวลาเราโกรธนะ เวลาแสดงออกเขาว่าโกรธเกลียดใช่ไหม ว่าเป็นคนมีอารมณ์มาก ต้องเก็บไว้ให้เรียบร้อย แล้วเวลาทำอะไรก็บอกว่า ไม่เป็นอะไร ฉันปล่อยวางเห็นไหม สังคมเดี๋ยวนี้มั่วซั่วไง

“ต้องเป็นสิ ต้องเป็น ต้องเอ็ด ต้องว่า ถ้าคนนั้นผิดนะ”

“ถ้าคนนั้นถูกเราก็ต้องชมเชยสิ”

แต่นี่พอคนนั้นผิดก็ปล่อยกันๆๆ ปล่อยกันนะ เพราะอะไร ก็เพราะเวลาปล่อย ก็เพราะตัวเองไม่เอาถ่าน เราไม่ได้ปล่อยนะ เราเป็นชาวพุทธนะ เราปฏิบัติไปถึงขั้นปล่อยวางแล้ว(หัวเราะ) เราเป็นชาวพุทธเห็นไหม เอาศาสนามาอ้าง เอาศาสนามาขาย เอาศาสนามายกสถานะ ของตัวเองว่าตัวเองทำถูกต้องไง นี่กิเลสมันหลอกชาวพุทธ

เราจะบอกว่าชาวพุทธที่เสียอยู่ เสียตรงนี้ เราเอาเรื่องศาสนาพุทธมาแอบอ้าง มาใช้กินไง ใช้ตามกิเลส เอากิเลสมาปั้น เอาศาสนามาใช้หลอก แล้วจะทำให้สุขอย่างไรล่ะ อาการข้างนอกเป็นอาการข้างนอก

พระพุทธเจ้าสอนเลย “ความสุขจริงๆ มันลงที่หัวใจของเรานะ”

วัตถุนี้เป็นปัจจัย ๔ เครื่องอาศัย ปัจจัย ๔ เราไม่ตื่นกับสิ่งภายนอก แต่เราต้องหามาเพราะเราต้องอาศัยอยู่ เราไม่อาศัยไม่ได้ เพียงแต่เราไม่ตื่นเต้น ไม่ตกใจ ไม่กระวนกระวายไปกับเขาเท่านั้นไง มีมากมีน้อยเราก็รักษาของเราไว้ไง แล้วเราก็มาชำระให้ความสุขแท้เข้ามาในใจของเราไง ความสุขแท้ พอเราอยู่อย่างนี้ ความสุขแท้ กิเลสมันจะย้อนกลับมา ความสุขแท้นี่ทำมาแสนยาก ดูสิ ทำดีไม่เห็นได้ดีเลย

ยกตัวอย่างเห็นไหม แต่ไอ้ที่ว่าพระปฏิบัติดี พระทำตัวดีเพราะมีคุณค่า เขาถึงหันมามองและเขาถึงหันมาเล่น หันมาเล่นเลยนะ เพราะการยอมรับของกิเลส กิเลสจะยอมรับให้คนอยู่บนหัวคนยากมาก เราถึงยกพวกกิจกรรม พวกนักวาด ต้องตายแล้วนะภาพเขียนจึงมีราคา ถ้ามีชีวิตอยู่ไม่ค่อยมีราคาหรอก เพราะมันไม่ยอมรับคนคนนั้น ยกเว้นแต่หลวงปู่แหวน ครูบาอาจารย์ สร้างสมบุญญาบารมีมาจนแม้มีชีวิตอยู่คนก็ยอมรับ

การมีชีวิตอยู่แล้วยอมรับนี่หายากนะ ส่วนใหญ่จะชมกันตอนตายไปแล้ว คนตายนี้ดีทุกคน ประเสริฐเลอเลิศเลย แต่ตอนอยู่นี่ไม่มองหน้ามัน กิเลสมันเป็นอย่างนั้น เราถึงบอกว่า คำว่ากิเลสมันเป็นอย่างนั้น เราก็ย้อนกลับมาสอนใจไงว่า คนเขาจะชมเราดี คนเขาจะยอมรับเรา ไม่มี ถึงจะดีจริงๆ นะ เขาจะพูดไว้ข้างหลัง

สังเกตได้คนดีเขาจะชมกัน คนนั้นดีนะ คนนี้ดีอย่างนั้นอย่างนี้ ต่อหน้าจะบอกว่า เอ็งดี..มันพูดไม่ได้ อย่างเช่น ลูกกับพ่อแม่ ลูกจะพูดว่ารักพ่อแม่นี่ไม่มีหรอก ไม่มีหรอก เห็นหน้าแม่แล้วมันจะวิ่งหนี แต่ถามมันสิ รักไหม รัก แต่มันพูด พูดไม่ได้ กิเลสมันไม่ยอม กิเลสนี่มันถือมั่น มันทิฐิว่าตัวตัวมันเองยอดที่สุด แม้แต่พ่อแม่ รักพ่อแม่มันก็ยังไม่พูดว่ารักพ่อแม่นะ ยกเว้นบางครอบครัวสนิทกันจะคุยกัน รักกัน แต่ความจริงให้ลูกไปบอกพ่อแม่ว่ารักพ่อแม่มีเด็กคนไหนทำได้บ้าง มีคนไหนบอกแม่ๆ หนูรักแม่ มีไหม มีแต่เด็กมันพูดกัน ผู้ใหญ่นี้พูดไม่ออก

นั่นนะกิเลสในใจเรา เราไปมองกลับมาว่าทำไมเราทำดีแล้วไม่ได้ดีไง เราจะชักมาตรงนี้ไง เราว่าเราทำดีแล้วทำไมไม่ได้ดี ได้ ! หนึ่งเราไม่หลอกตัวเราเอง จิตใจที่บริสุทธิ์ ศีลบริสุทธิ์เข้าไปแล้วองอาจกล้าหาญ เราไม่มีแผลในหัวใจ เราเข้าไหนองอาจกล้าหาญเลย เห็นไหม

ความสุขอันแรกคือว่าเรานี้เป็นคนกล้าหาญ เรานี้เป็นคนเข้าได้ทุกสังคม เราไม่กลัวใคร เห็นไหม เราไม่กลัวใครในหัวใจนะ แต่ถ้าคนมีความผิดในหัวใจ เข้าที่ไหนมันจะมีการหลบๆ ซ่อนๆ มันไม่กล้าสู้หน้าสังคม เห็นไหมนี่ความสุขอันแรก

แล้วความสุขอันต่อไป เราก็ไม่มีโทษไง เราไม่ทำความผิด โทษมีไหม? แต่ไอ้การที่เขาจะยอมรับเรา อันนั้นเป็นวาสนาบารมีนะ หายากมาก วาสนานี่คนที่จะยอมรับกันหายากมาก

ดูอย่างเช่นครูบาอาจารย์เราสิ พระอรหันต์นี้มีมากมายเลย เช่น งานหลวงปู่กิม ว่าเป็นพระอรหันต์นะ เป็นพระอรหันต์เลย เพราะหลวงปู่ดูลย์บอกไว้ เวลาไปบอกให้โยมฟังเลย วันนั้นเอาดอกไม้จันทน์ไป พอไปนะ จะไปวาง โยมบอก อย่าๆ อย่าวางนะ เอามานี่ เอามาใส่ถาดแล้วเอาไปแจกกันไง เราจะเอาไปวางเขามาขอเอาไปใส่ถาด เอาถาดมาให้เลย แล้วเอาไปแจกกันต่อ เพราะว่าของไม่ค่อยมี เห็นไหมนั่นขนาดพระอย่างนั้น มันมีชื่อเสียงในสังคมภายในไง ของไปทุกอย่างเป็นประโยชน์หมด ดอกไม้จันทน์เราเอาไป เราจะเอาไป พวกนี้อธิษฐานแล้วจะเอาไปวาง โยมก็ขอเลย ใส่ถาดแล้วก็เอาไปแจกโยมต่อไป ได้ประโยชน์หมด เอาไปได้ประโยชน์หมด นี่จะบอกว่าการยอมรับไง

แล้วพระเราดีๆ ตายในป่าก็เยอะ ที่ออกมาแล้วจะให้โยมยอมรับมันต้องมีวาสนาบารมีนะ การสร้างสมมาพอสมควร อย่างเรานี่เอาแค่มีความสุข เกิดมาเป็นมนุษย์แล้วอยู่กับความสุขของเรานะ แล้วเราเป็นไปของเรา เรามีความสุขก็พอกันแล้ว เราต้องดีใจว่าเราพบยาอย่างประเสริฐ ธรรมะนี่ ธรรมโอสถนี่ยอดเยี่ยม ยอดเยี่ยมจริงๆ เลย แต่ทุกคนมองข้ามนะ

อย่างที่ว่าเมื่อกี้นี้ ถึงจะเอามาใช้ก็เอามาใช้หนุนกิเลสของตัว ไม่ได้ใช้จำกัดกิเลสของตัวเลย เอามาใช้หนุนกิเลสจะให้มันพองขึ้นอีกนะ เพราะว่าเราเป็นชาวพุทธ เรานี้มาเจอสมบัติอันประเสริฐ เราควรจะได้ดื่มได้กินธรรมะของพระพุทธเจ้า เราควรจะปฏิบัติตัวของเราเป็นคนดี ทุกข์ยากอย่างไรก็ฝืนก็ทนเอา ต้องทนนะ ยามันขม ทนแล้วเราจะได้เป็นคนประเสริฐไง โยมก็ทน พระก็ทน เราก็ทนนะ อยู่ดีๆ ก็มาเรียกตังค์นี่ทนไหม ทน ! ต้องทนเอา ทนเพื่อความดีไง ความดีมันทำยาก (เทปสิ้นสุดเพียงเท่านี้)