เทศน์เช้า

รักตามธรรม

๑๖ มี.ค. ๒๕๔o

 

รักตามธรรม
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

เทศน์เช้า วันที่ ๑๖ มีนาคม ๒๕๔๐
ณ วัดสันติธรรมาราม ต. คลองตาคต อ. โพธาราม จ. ราชบุรี

 

จริง ถ้ายืนตามหลักอริยสัจ “ที่ไหนมีรักที่นั่นมีทุกข์” อย่างเหล้ากินแล้วต้องเมา แต่เหล้ามันไม่เป็นประโยชน์ ความรักมันตัดไม่ได้หรอก มันตัดไม่ได้ มันก็ต้องมี มันก็เหมือนไฟ ไฟเราเก็บไว้ใช้ประโยชน์ไง แต่ไฟมันเผาไหม้บ้านได้ นี้เราพูดครบวงจรไง “ที่ไหนมีรักที่นั่นต้องมีทุกข์”

เอ้า อยู่บ้านเราใส่กางเกงขาก๊วย ใส่กางเกงธรรมดา กางเกงนอน นี่สบาย พอมีรักขึ้นมานี่ไม่ได้นะ ต้องใส่ริมแดงนะ ต้องอวดกัน แค่นี้ก็ทุกข์แล้ว มันเก๊กทันทีเลยแหละ มันมีการตอบสนอง แต่ไอ้อย่างรักของเรานี้ รักระหว่างพ่อแม่ลูก นี่ขนาดว่ารักแบบซื่อกับรักแบบหลงใหลนะ รักฝ่ายตรงข้ามมันรักแบบโง่งมไง

บางคนผิดใจกัน ทำไมฆ่ากันเยอะแยะไปเห็นไหม ความรักชักไปอย่างนั้นเลยล่ะ ขนาดรักบริสุทธิ์มันยังทำให้เรานี้ โอ้โฮ!!! หัวใจนี่เร่าร้อนเลย ไอ้นี่มันหักไม่ได้ เหมือนกับมีคนมาถามเราเลย “หลวงพี่ เวลาญาติเขาเสีย เขาบอกให้ตัดใจเลย แต่ทำไม่ได้หรอก” เราบอกไม่ต้องไปทำมัน ตัดได้อย่างไรอารมณ์ แล้วทำอย่างไรล่ะ เราพลิกให้มันเป็นดีขึ้นมาสิ เราพลิกขึ้นมาไง

อ้าว ท่านไปดีแล้ว ท่านไปตามกาล เป็นสัจจะไง คนเกิดมา เกิด แก่ เจ็บ ตายนะ เราก็ทำแบบว่าอุปัฏฐากเต็มที่แล้ว เออ ถ้าทำอย่างนี้ได้ เห็นไหม นี่ก็เหมือนกัน เราหักห้ามไม่ได้หรอก ถ้าหักห้ามได้นะ พระบวชไม่มีสึกหรอก พระสึกไปเยอะแยะเลย พระบวชมายังสึกออกไป แต่งงานมากมายไปเลย แต่มันเป็นความจริง

สัจจะ อริยสัจ พระพุทธเจ้าสอนไว้อย่างนั้น พูดตามความจริง พระพุทธเจ้าพูดไม่มีสอง เราอย่าว่าสมัยเรานี่ค้านเลย สมัยพระพุทธเจ้าพูดนะ กษัตริย์ที่ไปท้าพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าพูดอย่างนี้จริงหรือ ไม่เชื่อนะ พระพุทธเจ้าบอก “จริง ! ที่ไหนมีรักที่นั่นมีทุกข์”

จริงเพราะอะไร? พระพุทธเจ้าอธิบายเลยล่ะ อ้าว เป็นทุกข์ไหม จนกษัตริย์นั้นยอมรับว่า เออ จริง เป็นทุกข์จริงๆ เพียงแต่เราเข้าใจหรือว่าเรามองไม่เห็นไง เรามองไม่รอบ ในเมื่อเรามองไม่รอบ เราต้องยอมรับนะ แล้วเราอยู่ในกติกาไง

อย่างเช่น ธรรมของคฤหัสถ์ ศีล ๕ เห็นไหม ศีล ๕ นี้มันไม่ผิดนี่นา กาเมสุมิฉาจารา เห็นไหม การมีคู่การครองเรือนไม่ผิด แต่ทุกข์นะ การครองเรือนนี้แสนยาก ใจเราคนเดียว ดูสิ อยากกินข้าวแต่ข้าวยังไม่สุกยังโมโหเลย แล้วมาระหว่างครอบครัวนะ จาก ๒ ใจเข้าไปแล้วยังมีลูกมาเป็น ๓ ใจ

การครองเรือนคือการครองใจนะ เราว่าการครองเรือนหมายถึง การปลูกบ้าน การมีอะไร ไม่ใช่ ! การครองเรือนหมายถึงว่า ในครอบครัว หัวใจระหว่างสามีภรรยาระหว่างลูกเราครองใจกันได้ ซื่อสัตย์กันในหัวใจกัน นั่นคือการครองใจ การครองเรือน โอ้โฮ มองเข้าไปที่หัวใจเรา ขนาดใจเราเรายังเอาใจเราไม่ได้เลย แล้วจะไปเอาใจคนอื่น แต่ ! ในเมื่อมันมีอยู่เราก็ต้องใช้มันไปอย่างนั้น

สมมุติว่ามันหักห้ามไม่ได้ มันตัดขาดไม่ได้ เพียงแต่เราเข้าใจว่าอันนี้ เราเหมือนหมอไง หมอมันจะมองเลยว่าอะไรเป็นพิษ อะไรไม่เป็นพิษใช่ไหม มันใช้ได้อย่างนั้น นี่ก็เหมือนกัน เราเข้าใจว่า ถ้ามากเกินไปมันจะให้โทษนะ เราก็ใช้แบบที่ว่าเราควบคุมมันไม่ได้ไง เราตัดมันไม่ได้ เรามีเราก็ใช้ไปสถานนั้น ต้องใช้นะ มี ใช้เถอะ

ความรักมันมีได้ เพียงแต่ว่าพอมีแล้วพอมันไป อย่างเด็กๆ นี้ยังไม่เข้าใจ พอมันโตเป็นผู้ใหญ่จะบอกเลยล่ะ ส่วนใหญ่คนพูดอย่างนั้นนะ แต่ก็ตัดไม่ได้ ถ้ารู้อย่างนี้นะกลับไปตรงนั้นนะ “ไม่มี” ทุกคนพูดอย่างนั้นหมดเลย ถ้ารู้อย่างนี้นะ กลับไปตรงนี้แล้วว่า “ไม่มีมา” แต่ตรงนั้นก็อยู่ไม่ได้หรอก

เวลามาก็อยู่เราก็สงสารนะ อย่างพวกสำรวยมา อย่างนี้พวกนี้ ถ้าชีวิตพรหมจรรย์นะ ชีวิตเนกขัมบารมีนี้ เหงา เศร้า ซึม ทุกข์ไปอย่างหนึ่ง ชีวิตการมีคู่ เอ่อ มันก็แบบนี้ มันมีเพื่อนก็อุ่นใจนะ แต่ก็ทุกข์ไปอีกอย่างหนึ่ง ทุกข์มันเป็นอริยสัจ มันเป็นความจริง

อย่าปฏิเสธว่าไม่เหงา เหงา ! เห็นเขาคู่กัน เพราะเราเป็นมาก่อน ตอนยังไม่ได้บวชไปไหนเพื่อนเขาไปเป็นคู่ ไอ้เราไปคนเดียว อื้อ เอ๊ะ มันขาดอะไรไปวะ เป็น ! เป็นเด็ดขาด !

ไม่ต้องมาโกหก หัวใจใครหัวใจมัน แต่นี่นะเนกขัมบารมี ไปเที่ยวกันไง เพื่อนเขาไปกันเป็นคู่ๆ ไปด้วยกันเป็นกลุ่ม เราไปคนเดียว เอ่อ แต่มันนิสัยลูกผู้ชายไม่ถึงกับว่าต้องไปมีแบบเขา แต่ความในใจเรา เรารู้นะ เราหลอกเราไม่ได้หรอก

ฉะนั้นเวลามา ไอ้เรื่องเหงา มี ! ก็ทุกข์ไปอย่างหนึ่ง อย่างผู้ที่ไม่มีคู่ก็ทุกข์ไปอย่างหนึ่ง อันนั้นเวลาคนที่พูดไง ถ้ารู้ว่ากลับไปเป็นตรงนั้นได้กลับไปอยู่อย่างนั้นดีกว่า มันก็ไปทุกข์อีกอันนั้นหนึ่ง มาก็มาทุกข์อันนี้ ไปอยู่ตรงนั้นก็ทุกข์อันนั้น แต่อันไหนมันทุกข์มากทุกข์น้อยกว่ากันล่ะ

นี่ถึงว่าไอ้นี่เหงาหงอยเศร้าสร้อย มี ! เอาไว้ในใจเรา แต่มันก็เก็บเอาไว้ในใจของเราสิ แต่ทุกข์อันอื่นมันหนักกว่านี้นะ ฉะนั้นอันนี้ก็จะมาเทียบตรงนี้ที่ว่า “ที่ไหนมีรักที่นั่นมีทุกข์ไง” เพียงแต่เราไม่เคยผ่านตรงนี้มันก็เลยยังไม่เชื่อ ไม่จริงๆ พอเข้าไปปั๊บ เออ เว้ย ต้องอ๋อไง มันจะชักเข้ามาเรื่องภาวนานี่ไง

เรื่องภาวนานี่เหมือนกัน ลองภาวนาซิ ลองภาวนาเข้าไปๆ เวลาพูดนี้ไม่เชื่อหรอก เอ่อ เอ่อ เอ่อ เข้าไปเรื่อยนะ เอ่อเข้าไปเรื่อย ถ้าอย่างนั้นนะ เราถึงได้พูดประจำว่า

“ธรรมะของพระพุทธเจ้า ธรรมโอสถนี้ยอดจริงๆ นะ ยอดจริงๆ”

อย่างเช่น ลองศึกษาสิ ทุกคนนะ บริหารธุรกิจปีหนึ่งจบมากี่พันคนในมหาวิทยาลัย โลกนี้สอนกันมากเลย ทุกคนเรียนจบแล้วต้องทำงานได้อย่างที่เรียนมานะ เมืองไทยจะเจริญรุ่งเรืองมากเลย เพราะคนจบบริหารธุรกิจมามากเลย แล้วทำไมไม่เป็นไปล่ะ นี่นะเพราะอะไร เพราะวิชาการนั้นมันเปลี่ยนตลอดเวลา การตลาดนั้นมันจะเคลื่อนไป มันจะเปลี่ยนไป การบริหารนี้เห็นไหม

อย่างยุคเมื่อก่อนยุคใช้แรงงานใช่ไหม เครื่องจักรไอน้ำไปแล้ว นี้คอมพิวเตอร์ไปอีกแล้ว เปลี่ยนยุคไปอีกแล้ว วิชาการนั้นมันต้องเปลี่ยนไปตลอดเวลา แต่มาธรรมะพระพุทธเจ้าสิ ไม่มีเปลี่ยน ! อริยสัจนี้ไม่เคยเปลี่ยน !

แม้แต่หมดยุคของเรานะ พระศรีอารย์จะมาตรัสรู้นะ ก็ธรรมะอันนี้ เพราะทุกข์มันเป็นอันเดียวกัน ยาอันนี้มันเป็นอกาลิโกไง ไม่มีกาล ไม่มีเวลา ทุกข์เกิดเมื่อไหร่ดับทุกข์ได้หมด ธรรมะพระพุทธเจ้านี้ยอดมาก เพียงแต่ว่าเราทำไม่ถึงไง

นี่มันต่างกับวิชาการทางโลกนะ วิชาการทางโลกนี้ต้องเปลี่ยนไปตลอดเวลา แต่ธรรมะพระพุทธเจ้าไม่เคยเปลี่ยนเลย แล้วเราเข้าไม่ถึงเองต่างหาก สัจจะอย่างนี้เราก็ชักมาที่สัจจะนี้

ที่ไหนมีรักที่นั่นมีทุกข์นี่ ใครเชื่อ? ถึงเชื่อก็เชื่อแต่ปาก ก็เหมือนกับเรียนมา บริหารธุรกิจนี้เรียนมาแต่ประสบความสำเร็จไหม? ไม่ประสบความสำเร็จ จบมาแต่ไม่สามารถบริหารให้ประสบความสำเร็จได้ เห็นไหม จบมาเฉยๆ มีกี่คนที่ว่าประสบความสำเร็จ? ก็มีบ้าง

อันนี้ก็เหมือนกัน พระพุทธเจ้าสอนเราก็เชื่อ แต่เราก็ทำไม่ได้ แต่ทำไม่ได้นี้ยังเป็น ความจริง มันยังน่าเคารพอยู่เห็นไหม เป็นพระรัตนตรัย เป็นแก้วสารพัดนึก พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ แต่วิชาการโลกนี้ไม่เชื่อนะ ถึงเวลาแล้ว เจ้าของวิชาการเองยังมาบอกเลย

“ผมคิดผิดครับ ต้องเปลี่ยนใหม่”

แต่พระพุทธเจ้านี้ไม่มีนะ นี้เพียงแต่ว่า พระพุทธเจ้าว่าไปอย่างนั้น

ถ้าเราบอกเลยว่า มีรักแล้วไม่มีทุกข์ ใหม่ๆ นี้มันยังรักกันอยู่มันก็ไม่มีทุกข์ มีรักไม่มีทุกข์ โอ้โฮ มีทุกข์ได้ไงหลวงพี่ แหม สุขเหลือเกิน อยากจะเป็นคู่กัน สบาย มีความสุขเหลือเกิน อ้าว ไอ้นั่นมีรัก มันเป็นถึงจุดนั้นมีความสุขก็ไม่ว่ากัน

แต่มันจะมีทุกข์เหมือนเรามีทุกข์ขึ้นมา ถ้าพระพุทธเจ้าไม่พูดครบวงจรว่า “ที่ไหนมีรักที่นั่นมีทุกข์นะ” แล้วต่อไปพอเราไปประสบกับความทุกข์ อ้าว มันเปลี่ยนแล้วล่ะ เห็นไหม เอ๊ะ ! ก็ไม่จริงนี่นา... แต่นี้จริง จริงตลอดเลย เพียงแต่เราจะเอาจุดไหนของธรรมะมาเป็นเครื่องหล่อเลี้ยงใจเรา

พูดอย่างนี้เพื่อว่าเปิดโอกาสไง เห็นหลวงพี่ว่าไม่มีรักไม่มีทุกข์ เราก็ว่าเอ่ย เราเลยทำอย่างนั้นไม่ได้ เราถึงบอกว่าต้องพยายามจะหลบหลีกมัน จะกดมันไว้ เวลาหมอเขาพูดไง พวกจิตแพทย์พูดว่าเป็นธรรมชาติ เรื่องการครองคู่การครองเรือนเป็นธรรมชาติของมนุษย์ เป็นธรรมชาติของสัตว์โลก เราก็อยู่กันตามธรรมชาติ

นี่พูดถึงเป็นธรรมชาติ แล้วเราเข้าใจด้วย เหมือนกับยาเสพติด ถ้าเรามาเสพติดนี่เราเสียคน แต่ถ้าเราเจ็บไข้ได้ป่วยขึ้นมาอย่างมอร์ฟีนฉีดมาก็แก้โรคก็ยังต้องฉีด เวลาแก้โรคทำไมเป็นประโยชน์ล่ะ อ้าว ถ้าเราไปเสพติดทำไมมันเสียล่ะ นี่ก็เหมือนกัน ความรักเราก็รู้อยู่นะมันเป็นยาเสพติด ถ้าเราใช้บำบัดความต้องการทางธรรมชาติของเรา อันนั้นเราก็เป็นประโยชน์

แต่ถ้าเราไม่ได้คิดอย่างนั้นเลย เราใช้เสพติดจนมากเกินเหตุทำให้เป็นโทษมหาศาลเลย เราเข้าใจตรงนี้แล้วเราก็ใช้มันถูกต้องไง ใช้มันให้ถูกต้อง มันเป็นธรรมะที่สูงเกินไป บางทีนะ แต่ต้องบอกอย่างนั้น เวลาเราพูดเราชอบพูดอย่างนี้เลย พูดถึงเป้าหมายไง

เราว่ามันยังมีอีกยาวไกลอย่างนั้น ไม่ใช่ว่าครึ่งเดียวๆ พูดไว้ครึ่งเดียวๆ หรือว่าหนึ่งในสี่ของเนื้อหาเท่านั้นเอง แล้วเราก็เข้าใจตรงนี้เราก็จะจบ แต่ถ้าเราพูดให้ยาวไปเลย แต่เราได้แค่ไหน มันอยู่ที่ความสามารถของเรา เราถึงว่าทุกข์นี้เป็นอริยสัจ ทุกข์นี้เป็นความจริงแล้วไม่ให้หลบ พระพุทธเจ้าไม่ได้สอนให้หลบ

ดูอย่างที่ว่าเวลาโกรธ เวลามรรคองค์ ๘ เห็นไหม ความเพียร วิริยะ อุตสาหะนี้ เวลาความโกรธที่ว่าอาจารย์มหาบัวบอก ถ้าความโกรธในกิเลสต้องการอันนั้นเป็นมรรคไง ความโกรธ ความเคียดแค้นกับกิเลส พอเคียดแค้นมันก็เกิดพลังงาน เกิดความอยากกระทำ เกิดความเพียร เกิดแรงวิริยะใช่ไหม

เห็นไหม จากความโกรธมันพลิกได้ แต่ถ้าเราโกรธแล้วเราไม่ทำอย่างนี้มันก็โกรธไปอีกอย่างหนึ่ง ท่านบอกเลยนะ ขนาดกัดฟันกรอดๆ เลยนะ เวลาแพ้กิเลสเห็นไหม ในธรรมะของอาจารย์มหาบัว แล้วท่านก็บอกว่าถ้าเอาไปพูดให้โลกฟังว่าอันนี้เป็นกิเลสนะ ท่านบอกว่าอันนี้เป็นมรรค ถ้าเราใช้ให้เป็นมรรค

แต่ถ้าโกรธทางโลกเขาโกรธแล้วไปฆ่ากันอันนั้นเป็นกิเลส แค่โกรธนี่เป็นมรรคไง เพราะมรรคมันมีอยู่ มันพลิกไปหน่อยเดียว ฉันทะ วิริยะ อุตสาหะ แต่มันต้องเกิดจากตรงนี้ ให้เป็นตัวพลังงานตัวเริ่มต้นไง

ฉะนั้นพอถึงว่าพอชักมาตรงนี้ไง ชักมาตรงอภิธรรม เวลาอธิบายตรงนี้แล้วคนจะงงไง เขาว่า “จิตร้อยดวง จิตแปดดวงอะไร เวลามันเกิด ขณะดวงนี้เป็นดวงนี้”

แต่ถ้าเป็นของเรานี้ จิตนี้เสวยอารมณ์หนึ่ง เวลาเสวยอารมณ์หนึ่งมันเป็นเงานะ มันง่ายกว่ากัน มันก็เป็นวิชาการแล้วมันก็ไล่ต้อนกันนี่เวลาพูดวิชาการ นี้มาพูดเรื่องใจไง มันเปลี่ยน มันไวมาก อย่างนี้เป็นอย่างนี้ๆๆ เราฟังอยู่เหมือนกัน

ไอ้พวกตอบอภิธรรมตอบๆ ไปแล้วไอ้พวกซักก็ซักไปซักมา คนตอบก็หลงนะ คนตอบหลง งงเหมือนกัน เพราะมันใกล้เคียงกัน มันใกล้เคียงกัน

แล้วอย่างเรานี่เราต้องตอบอย่างนี้เลย เวลาเราตอบนะ อันนี้เป็นอย่างนี้ อันนี้เป็นอย่างนี้ ให้มันออกไปห่างๆ กันเลย แล้วบางทีมันคล้ายกัน อย่างฉันทะอย่างนี้ ความพอใจอย่างนี้ กามฉันท์เห็นไหม กามฉันทะ ความพอใจนี้ก็เป็นกามแล้ว ใจเสวยกามแล้ว กามฉันทะ กามราคะนั้นเรื่องของโลกไปแล้ว เห็นไหมกามฉันทะ กามราคะ แยกกันออกไป แต่กามเหมือนกัน

นี้พอแยกกามเหมือนกันปั๊บมาเสวยหรือ มาดูเทวดาสิเวลาขึ้นไปเป็นเทวดา เห็นไหม มีความพอใจ มีการเสวย นั่นก็เป็นกาม กามตั้งแต่เทวดาลงมา ที่เหลือเป็นพรหม นี้กามของเทวดาไง เสวยอารมณ์เห็นไหม นี่เวลาภาวนาเข้าไปมันจะเห็นนะ

อย่างเช่นว่าเราจะพูดเห็นไหม กามอยู่ที่ใจนะ เพราะมันเสวยอารมณ์ มันคิดก่อนไง มันเสวยอารมณ์ แบบเทวดาอย่างนี้ เวลาเขาจะเสพของเขา อย่างเขาจะกินอาหารอะไรเห็นไหม วิญญาณาหาร เพราะความรู้สึกอันนั้นมันเสวยกับความคิดนั้นเอง อันนั้นเป็นอารมณ์แล้ว เป็นกามฉันทะแล้ว กามของเทวดาเข้าไป แล้วกามของเรา

พระอภิธรรมเขาอธิบายไปร้อยแปดนั้นเป็นวิชาการ นี้เรารู้ไว้เพื่อเป็นประโยชน์ของเรา ทีนี้มันยังมีอยู่ ในเมื่อเราเป็นปุถุชนหรือเป็นอริยบุคคลก็ได้ อย่าว่าแต่ปุถุชนเลย ขั้นเริ่มต้นอยู่มันยังมีอยู่เราก็ต้องปล่อยไปอย่างพระพุทธเจ้าสอน ไม่อย่างนั้นมันไม่มีการเริ่มต้นไง ตรงไหนเป็นจุดเริ่มต้น มันใหญ่เกินไป

เด็กไปแบกขอนไม้ มันแบกไม่ไหวใช่ไหม ถ้าเราตัดให้เป็นกิ่งเป็นแขนง เราว่าเด็กมันก็ ช่วยไหว ความเพียร ความอุตสาหะ เรายังเป็นเด็กอยู่ใช่ไหม เราเริ่มต้นอยู่อย่างนี้ เราก็ต้องสู้ไปประสาทเรานี่สู้ได้ อะไรที่เป็นธรรมชาติเราก็ต้องยอมรับมัน แต่ในเมื่อพูดธรรมะก็ต้องพูดอย่างนี้ เป็นของจริงไป (เทปสิ้นสุดเพียงเท่านี้)