เทศน์เช้า

สัมมาสมาธิ

๒๗ เม.ย. ๒๕๔o

 

สัมมาสมาธิ
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

เทศน์เช้า วันที่ ๒๗ เมษายน ๒๕๔๐
ณ วัดสันติธรรมาราม ต.คลองตาคต อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

เมื่อวานคุยเรื่องสมาธิ พูดถึงสมาธิในศาสนาพุทธ สัมมาสมาธิ มิจฉาสมาธินะ ถึงว่าสมาธินี้มึนชาไง สมาธิที่มึนชา มึนชานะ ได้มานะ อย่างที่เขามาเล่าให้ฟัง ที่เขาไปกำหนดกัน แหม.. กำหนดนะ มันจะเหมือนกับคอมพิวเตอร์เลย ปั๊บๆๆ มันเป็นแบบว่ามันมึนชาไง มันภูมิใจในอันนั้นไง

แต่มันไม่คิดว่าสมาธินี้ เห็นไหม ฟังสิ! เพราะเขาว่าเขากำหนดสมาธิไง แล้วพอกำหนดดูอะไร มันจะหมุนไปเหมือนกับคอมพิวเตอร์เลย เลื่อนไปปั๊บๆๆ “เป็น ทำไมจะไม่เป็น” เวลาเรานั่งยังเอียงเลย เห็นไหมมันมึนชาไม่มึนชา ต้องทำให้มันสงบสิ ทำให้มันสงบ ให้มันว่าง พอว่างความสุขอันนั้นต่างหากแล้วค่อยหันกลับมาพิจารณา เห็นไหมนี่แค่สมาธินะ

ฉะนั้นสมาธินี่มันเป็นฌาน ฟังสิ..ที่ไม่พูดเพราะอะไรรู้ไหม เราไม่ค่อยพูดเรื่องอย่างนี้ออกไปมากเพราะว่ากลัวโยมจะไปหมายไง ตัวเองจะคิดไง คิดอย่างที่ว่ามึนชาๆ มึนชาคือนึกคิดเอา วิปัสสนึกไง อย่างให้กำหนด ให้นึกเอาๆๆ นึกเอาจนแบบว่าเหมือนกับพวกคนไข้ นึกจนเป็นโรคไง นี่ก็นึกจนเป็นสมาธิไง แต่เป็นสมาธิอย่างนั้น

แต่ถ้าพุทโธนี่เรากำหนดพุทโธเลย แยกออกมาเลย แยกออกมาจากการคิดว่าจะเป็นสมาธินะ เรากำหนดพุทโธไง เคลื่อนฐานออกมาเลย นึกพุทโธๆ เราไม่หวังสมาธิใช่ไหม เราระลึกพุทโธๆๆ พุทโธจนมันจะปล่อยวางเอง พุทโธนี้เป็นอาหารใหม่ของใจ ใจเดิมมันกินอารมณ์ความรู้สึก ที่เราวิตก วิจาร หรือเรานึกมาก หรือว่าเราคิดมาก เราคิดตามไป

อันนี้ก็เหมือนกัน เราคิดซ้ำไปเลยให้เป็นสมาธิ มันก็เป็นความคิดของโลก นี่เราบอกว่าเป็นมิจฉาไง แต่ถ้าพุทโธๆๆ หรืออานาปานสติ พระพุทธเจ้าสอนไว้อย่างนั้นนะ เพ่งกสิณ ใช่ไหม กรรมฐาน ๔๐ ห้อง มันกลับข้างกัน จากความคิดเดิมมาเปลี่ยนเป็นความคิดใหม่จริงไหม เป็นความคิดเหมือนกัน ถ้าว่าจะไม่เป็นความคิดหรือ เป็น! แต่ไม่ได้ความคิดย้ำจากตรงนั้น

แบบเสื้อผ้าสกปรกเราแช่ไว้ในกะละมังอย่างนี้ แล้วน้ำสกปรกอยู่เราซักมันจะเกลี้ยงไหม น้ำมันสกปรกแล้วเอาผ้าไปซัก ถึงซักมันก็สกปรกอยู่อย่างนั้นเพราะน้ำมันไม่สะอาด ถ้าเราเปลี่ยนน้ำไปเป็นกะละมังใหม่ ใช้น้ำใหม่ จากอารมณ์ธรรมดา อารมณ์โลก โลกียะ เราก็เปลี่ยนเป็นพุทโธๆ เปลี่ยนน้ำใหม่แล้วเราซัก ต่างกันไหม? อันนี้สะอาดไหม?

นี่เริ่มต้นจากตรงนี้ ที่ว่าทำให้มึนชา เริ่มจากตรงนี้ไป แล้วถ้าเริ่มต้นตรงนี้ แล้วโลกเป็นอย่างนี้หมดนะ จนหนังสือพิมพ์ลงมาตีนะ “ต่อไปนี้สมาธิจะขายได้” มันจะมีธุรกิจแล้วไง ทำเป็นธุรกิจเลย เป็นคอร์สการศึกษาเลย เขาถึงว่าพระทำไมไม่ทำ เพราะพระเรานี้ให้เป็นของฟรีไง นั่นสัมมาสมาธินะ นี่สัมมาสมาธิเป็นอย่างนี้

แต่มันพูดประสาเรานะ นี่จะพูดประสาเรานะ คนจะรู้จริงและอธิบายจริง มันแบบว่าความหมายไปในกลางอากาศไง แล้วมันจับต้องไม่ได้ ก็มาอธิบายกันอย่างนั้น จับต้องได้ อะไรได้? แล้วคนมันชอบลงทุนอย่างนั้น แบ่งนะ แบ่ง! แบ่ง ฟังนะ

แบบการลงทุน อย่างเช่น เราไปตลาดหุ้นลงทุนในตลาดหุ้น เราซื้อหุ้นในตลาดหุ้น ซื้อหุ้น มีค่าอะไรล่ะ? ค่าอะไร? ค่ามักง่าย ค่าไม่ทำงาน ค่าอยากได้เงินมากๆ ใช่ไหม ซื้อหุ้นได้กำไรมากๆ นี่เป็นสมาธิอีกรูปแบบหนึ่ง

การลงทุนอีกอย่างหนึ่ง เราลงทุนเหมือนกัน การสร้างโรงงานไง การสร้างโรงงานนี้มันต้องสร้างโรงงาน มันต้องเหนื่อยใช่ไหม ต้องการไปสร้างโรงงาน ต้องไปบริหาร ต้องผลิตผลผลิตขึ้นมาได้ นั้นคือสัมมาสมาธิ

ค่าการเล่นหุ้นนี้นี่คือมิจฉาสมาธิ อยากได้ง่าย อยากได้มาก แล้วดูสิความจริงมันเป็นจริงไหม มันก็ไม่เป็นจริงในตัวมันเองอยู่แล้ว แต่ก็มาให้ค่ากัน สมมุติกันขึ้นมา แต่การลงทุนจริง การทำจริงของพวกเรานี้แบ่งออกเป็น ๒ ฝ่ายเลย การลงทุนเป็น ๒ ฝ่าย สมาธิที่ว่าทำจริงหรือไม่จริง ๒ ฝ่ายนี้

แล้วนี้ก็เหมือนกันที่ว่าขณิกสมาธิ อุปจารสมาธิ อัปปนาสมาธิ นี่ ถ้าเราแบ่งเป็นหมวดหมู่ที่ว่า ขณิกสมาธินี้ก็เหมือนกับประถม อุปจารสมาธิก็เหมือนกับมัธยม แล้วก็อัปปนาสมาธิก็เหมือนกับอุดมศึกษา นี่เขาแบ่งอย่างนี้เพื่อตัดตอนกันนะ แล้วตัดตอนมาเข้ากับที่ว่าการลงทุน ตัดตอนว่านี่เป็นคำพูดที่พระพุทธเจ้าพูดสมาธิรวมๆ เป็นหมวดๆ กับพระผู้ปฏิบัติ

แต่ถ้ามาอธิบายเป็นวิชาการ อธิบายเป็นปริยัติ เป็นพวกที่เขาเรียกว่าธรรมกถึก กับคันถธุระกับวิปัสสนาธุระ พระป่ากับฝ่ายเรียนไง ถ้าจะเรียนอย่างพวกวินัยนี่ก็ต้องอธิบายอย่างนี้ อธิบายที่ว่าเป็นวิตก วิจาร ปีติ สุข เอกัคคตารมณ์

เอ็งนึกสิ เอ็งนึกถึงวิจารขึ้นมา พวกเรานึกกัน วิตก วิจาร พุทโธๆ สิ เราก็นึกว่าปีติสิ ฮื้อฮือ ปีติมากเลย สุข..สุขสิ เพราะเราศรัทธาในศาสนา เรามีความสุขมาก

จิตเป็นหนึ่งไหม เป็น! เพราะว่าเราไม่คิดอะไรเลย เป็นสมาธิหรือยัง เป็น! เป็นปฐมฌาน นึกไม่นึก นี่เล่นหุ้น นึกเอา กระแสข่าว นึกเอาใช่ไหม

แต่ถ้าเรามาพุทโธๆ นี่มันไม่มีอาการแบบนี้ ยกออกไปเลย พุทโธๆๆ ปีติไม่ปีติ เดี๋ยวจะรู้เอง ประเดี๋ยวตัวพองขึ้นมา เดี๋ยวน้ำตาไหล เดี๋ยวตัวสั่น เดี๋ยวพองขึ้นมา นั่นแหละปีติแท้ แต่ปีติอย่างนี้นึกปีติไม่ปีติ ปีติปราโมทย์ไง เราดูหนังดูละครพอมีคนมาแล้วเราก็มีความสุข ปีติแบบนี้ปีติแบบโลก

อันนี้อย่างฝ่ายปฏิบัติคือว่าไม่พูดทางโน้นไง ทางที่ว่ามันเป็นวิตก วิจาร ปีติ สุข เอกัคคตารมณ์นี่นะ อันนี้เป็นองค์ของฌาน องค์ของฌานก็องค์ของสมาธิ องค์ของฌานนี้เป็นปฐมฌาน ฌานที่ ๑ แต่ถ้าเวลาเราพุทโธๆ จิตมันรวมเอง เข้าไปจิ่มๆ

อันนี้คือที่ว่าให้แบ่งว่าเป็นหมวดของประถมเพราะอะไร เพราะว่าการเข้าสมาธินี้บารมีของจิตก็ไม่เหมือนกัน การเข้าไปเห็นก็ไม่เหมือนกัน แต่มันอยู่ในหมวดหมู่ของชั้นประถมนั้น เพราะผู้หัดใหม่มันถึงว่าเป็นขณิกสมาธิ มันจะไปอธิบายว่าขณิกสมาธิเป็นอย่างนี้ๆๆ อันนี้เป็นของตายตัวไม่ได้ ไม่ได้..ไม่ได้..เพราะคนมีจริตไม่เหมือนกัน แต่อยู่ในหมวดหมู่ของขณิกสมาธิ อยู่ในหมวดหมู่ของอุปจารสมาธิ สมาธิลึกเข้าไปกว่านั้น ลึกเข้าไปกว่านั้น พอลึกเข้าไปกว่านั้น เด็กมันโตขึ้น ขณะมัธยมมันทำงานได้เพราะมันเป็นวัยรุ่นไฟแรง แล้วถ้าเกิดลึกเข้าไปในอัปปนาสมาธิ มันก็ลึกเข้าไปอีก ลึกเข้าไปนี้มันเป็นพลังงาน อันนั้นเป็นพลังงานมากเลย

เหมือนกับเราเรียนเข้าไปถึงอุดมศึกษาจนจบดอกเตอร์เลย แล้วยังไม่ทำงานนะ จบดอกเตอร์มา ดอกเตอร์จบมาเฉยๆ จบมาเฉยๆ นี้ยังไม่มีตำแหน่งการงานเพราะยังไม่ได้สมัครงาน เข้าไปในอัปปนาสมาธิก็เหมือนกัน เข้าไปพักมีความสุขมากเหมือนกับเราไปเรียนวิชาการ เป็นดอกเตอร์ทำวิทยานิพนธ์รู้ไปหมดเลย เพราะจิตมันสงบนิ่ง มีความสุขมาก

ออกมา ต้องออกมา ออกมาทำงานไง ต้องออกมาหาตำแหน่งหน้าที่การงานนะ ในกาย เวทนา จิต ธรรม ต้องเอานี้มาพิจารณามันถึงจะเป็นงานขึ้นมา ไม่อย่างนั้นเรียนจบมาแล้ว เรียนจบมามันก็จบไปสิ เอ็งก็ไม่มีเงินเดือนกิน เอ็งก็ไม่มีอะไรทั้งสิ้น เพราะเดี๋ยวก็เสื่อม นี่คือสมาธิไง สมาธิมีแค่เท่านี้เอง มีค่าเป็นหนึ่งในมรรคในองค์ ๘ ฉะนั้นอัปปนาสมาธิไง

แต่อย่างที่ว่าสมาบัติ ไอ้นั่นอันนั้นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง อันนั้นก็เข้าได้ แต่มันไม่จำเป็นในการเกี่ยวกับการเอามาวิปัสสนาไง สมถกรรมฐาน วิปัสสนากรรมฐาน แค่นี้เป็นพื้นฐานของการทำวิปัสสนากรรมฐาน เป็นการชำระกิเลส มันจะเกิดปัญญา ปัญญาเกิดจากการออกมาใคร่ครวญไง ปัญญาเท่านั้นนะชำระกิเลส อาจารย์ก็ว่า ในตำราก็ว่า สมาธิไม่สามารถฆ่ากิเลสได้หรอก แต่คนเข้าใจว่าทำให้จิตสงบ จิตสงบไป แล้วก็สงบไปจนว่าพอแรง สงบไปจนเวิ้งว้างเพราะว่าอันนั้นเป็นผล อันนั้นเป็นผล

มึนชาต้องเริ่มปฏิบัติเข้ามา มึนชาต้องถึงขั้นสุดท้ายนะ ขั้นสุดท้ายพอจิตสงบไปเรื่อยๆๆ จนมันเวิ้งว้างนั่นสงบ ใหม่ๆ ก็คิดจินตนาการด้วย ให้มันสงบด้วย จินตนาการให้มันสงบด้วย ถึงว่าเวลาอธิบายออกมาถึงได้เพี้ยนๆ กันไง เห็นไหมเวลาเอาผลมาเทียบกันไง

นักปฏิบัติเหมือนกันนะ แต่ผลมาเทียบไม่เหมือนกัน ขั้นนี้ๆ ว่าอันนี้สิ้นแล้ว ไอ้เขาจะบอกอันนี้เพิ่งเริ่มต้น ไม่เหมือนกัน! เพราะว่าเริ่มต้นมันต่างกัน เราถึงได้พูดว่าที่คุยมันได้ประโยชน์ตรงนี้ไง ได้ประโยชน์ที่ว่าในวงการศาสนา เดี๋ยวนี้เขาเคลื่อนกันไปไหนแล้วไง มันเป็นอย่างไร มันไปอย่างไรกันหมด น่าคิดนะ..

ขณิกสมาธิ พอเวลาเราแบ่ง แบ่งอย่างนี้เลย ถ้าเวลาเขาพูดว่ารู้แน่นอนแล้ว รู้จริง มันก็ต้องบอกขนาดหรือจำนวนได้สิ ถ้ามันเป็นวัตถุนะ คำนวณมาขนาดนี้ๆ ถึงจะเป็นขณิกสมาธิใช่ไหม ขนาดนี้ๆ ถึงจะเป็นอุปจารสมาธิใช่ไหม อันนี้มันเป็นสูตรสำเร็จอย่างที่ว่านั้นไม่มี เป็นสูตรสำเร็จนี้ ถ้าเป็นวัตถุเป็นอย่างนั้น ค่าทางวิทยาศาสตร์นะ ต้องขนาดนี้ๆๆ นะ ผสมแล้วได้ออกมาอย่างนั้นๆๆ

แต่บารมีธรรมเวลาจิตมัน ดูสิ พระพุทธเจ้าถึงได้แบ่งไว้ถึง ๔ จำพวกเห็นไหม ผู้ที่ปฏิบัติยากรู้ยาก ผู้ที่ปฏิบัติยากรู้ง่าย ผู้ที่ปฏิบัติง่ายรู้ง่าย ผู้ที่ปฏิบัติง่ายรู้ยาก บางคนปฏิบัติง่ายๆ พึ๊บไปแล้ว พั๊บๆๆ บางทีโกนผมนี่สำเร็จเลย พระพุทธเจ้าน่ะยังทุกข์นะ พระพุทธเจ้าออกบวชมา ๖ ปี ต้องอดข้าวอดอาหาร บารมีพระพุทธเจ้าเห็นไหมยังขนาดนั้น

แล้วบางคนมาโกนผมไม่ทันตกไปแล้ว พระยสะมาฟังเทศน์คืนนั้นแล้วไปเลย พระพุทธเจ้าไปทรมานตนเองมาขนาดไหน พระยสะมาคืนนั้น ฟังเทศน์คืนเดียวสำเร็จเป็นพระอรหันต์เลย ชุบมือเปิบไหม แล้วอย่างนี้เราถึงว่า มันถึงคาดเป็นความสำเร็จรูปไม่ได้ แล้วแต่บารมีธรรมของใจดวงนั้น

พระสารีบุตรเป็นผู้ที่มีปัญญามาก เป็นเอตทัคคะในศาสนาพุทธเราว่ามีปัญญารองจากพระพุทธเจ้านะ กับพระโมคคัลลานะมีฤทธิ์นะ แล้วเป็นเพื่อนสนิทกันมาก พระสารีบุตรไปฟังพระอัสสชิพูดว่า

“พระพุทธเจ้าสอนว่า ธรรมทั้งหลายย่อมเกิดจากเหตุ ถ้าจะดับทุกอย่างให้ไปดับที่เหตุนั้น”

คือว่าทุกข์นี้ ธรรมทั้งหลายทุกข์ไง เป็นสัจธรรมทั้งหมด เกิดจากเหตุ เกิดจากสมุทัย ก็ไปดับที่นั่น ฟังแค่นี้เป็นพระโสดาบัน ฟังนะ! เราจะพูดเน้นๆ ให้ชัดๆ

พอพระสารีบุตรฟังขนาดนี้ เพราะใจกำลังหาอยู่ ใจกำลังเบิกบาน เห็นพระอัสสชิงดงามมาก ใจมันยอมรับแล้วไง พอพูดมันก็สำเร็จเลย มันเข้าใจแล้วปล่อยไง “สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีการเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นย่อมต้องดับไปเป็นธรรมดา ยํ กิญฺจิ สมุทยธมฺมํ”

พระอัญญาโกณทัญญะก็เห็นอันนี้เป็นพระโสดาบัน พระพุทธเจ้าบอกเลย “อัญญาโกณทัญญะรู้แล้วหนอ อัญญาโกณทัญญะรู้แล้วหนอ” พระสารีบุตรฟังพระอัสสชิพูดปั๊บเดียว คำเดียวสำเร็จสว่างโพลงเลย สว่างโพลงคือเป็นพระโสดาบัน

แล้วไปพูดนะ ฟังสิ! มันแปลกตรงนี้ เพราะพระสารีบุตรกับพระโมคคัลลานะเป็นเพื่อนสนิท แล้วสัญญากันไว้ว่าถ้าใครเจออาจารย์ต้องมาบอกกัน เอาคำพูดนี้ไปบอกพระโมคคัลลานะ บอกว่า “เราเจอแล้วนะ ฟังนะ หมู่นะ ฟังให้ดีนะ เจอพระอัสสชิเป็นลูกศิษย์ของพระสมณโคดมนะ” บอกว่า ฟัง!

“สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีการเกิดขึ้นเมื่อใด สิ่งนั้นต้องมีการดับไปเป็นธรรมดา ธรรมทั้งหลายย่อมเกิดจากเหตุ ถ้าให้ไปดับต้องไปดับที่เหตุนั้น”

พระโมคคัลลานะก็สำเร็จเป็นพระโสดาบันเท่ากัน ฟังนะ! ธรรมะบอกต่อๆ กันมาเห็นไหม ต่อจากพระสารีบุตรมานะ ไม่ใช่พระอัสสชิพูดแล้วนะ พระสารีบุตรไปพูดให้พระโมคคัลลานะฟัง พระโมคคัลลานะก็เป็นพระโสดาบันขึ้นมา แล้ว ๒ คนก็ชวนกันไปหาพระพุทธเจ้า ไปบวชนะ ฟังสิ ถึงว่าที่เทียบบารมี

พอเสร็จแล้วพระพุทธเจ้าสอน พระโมคคัลลานะ ๗ วันสำเร็จเป็นพระอรหันต์ ๗ วันนะ ๗ วัน! พระสารีบุตร ๑๕ วัน ต่างกันหรือยัง ถึงบอกว่ามันไม่มีสูตรสำเร็จไง มันไม่เทียบค่าตรงนี้ ถ้าความจริงแล้วพระสารีบุตรต้องน้อยกว่าพระโมคคัลลานะสิ ทำไมต้องใช้เวลามากกว่า แต่พระโมคคัลลานะใช้เวลาแค่ ๗ วัน พระสารีบุตรใช้เวลา ๑๕ วัน

มันถึงว่าบารมีแต่หนหลังนี่มันมีส่วนมาก ปัญญาการใคร่ครวญ แล้วการทำบุญทำกรรมด้วย ทำกรรมดีก็ส่งเสริมมา ทำกรรมไม่ดี มันก็ปิดกั้นมา

ดูอย่างพระที่เรายกตัวอย่าง จูฬปันถกนี้น่าหวาดเสียว จูฬปันถกนี่น่าหวาดเสียวมากนะ พระพุทธเจ้าถึงว่ายอดไง เอกของศาสดา คบเพื่อนดี คบศาสดา คบพระพุทธเจ้านี่ยอดจริงๆ วันนั้นมหาปันถกไล่ให้พระจูฬปันถกไปสึก มหาปันถกเป็นพี่ชายไล่ให้น้องชายไปสึก ว่าโง่นัก แม้แต่ท่องคาถาคำเดียวก็ไม่ได้ ก็กำลังจะเดินไปสึก พระพุทธเจ้ามาดักเลย

“จูฬปันถกเธอจะไปไหน”

“จะไปสึก”

“ทำไม”

“พี่ชายไล่ให้ไปสึก”

“เธอบวชมาเพื่อใคร เธอบวชกับใคร”

“บวชมาเพื่อพระพุทธเจ้า”

“มานี่ มานี่” พระพุทธเจ้าสอนนะ เพราะว่าตัวเองมีวาสนา มีวาสนาที่ว่าเคยลูบผ้าจนที่ว่าเหงื่อนั้นน่ะ วาสนาการทำมามันซับอยู่ที่ใจ เพราะเคยเป็นกษัตริย์ แต่ก็เคยทำกรรมไม่ดีไว้ เพราะเคยเป็นพระที่มีปัญญามากแล้วก็ดูถูกพวกคนว่าคนโง่ไง ชอบมองคนอื่นว่าโง่ พอมาเกิดชาตินี้ แม้แต่คาถาคำเดียวยังท่องไม่ได้เลย

แต่ที่ว่าตัวเองได้เหมือนกับเรานั่งพิจารณา มาหัดภาวนากันนี่ แล้วมันไปพิจารณาถึงอสุภะอันนี้ พระพุทธเจ้ารู้ว่ากรรมอันนั้นคือกรรมที่ปิดให้ตัวเองไม่สามารถจะท่องหนังสือได้ แต่กรรมดีอันนี้มันไม่มีใครเห็น พระพุทธเจ้าเรียกมา “มานี่ จูฬปันถกเธอมานี่นะ เอานี่ไป เอาผ้าขาวไปลูบๆ ไว้นะ” ลูบจนสำเร็จเป็นพระอรหันต์

ไอ้ที่ว่าคำว่าเสียวถ้าไม่ไปเจอพระพุทธเจ้าก็ไปสึกเสีย ก็ต้องไปอยู่ในโลก ต้องออกไปก็จะหมดโอกาสอันนี้ไป สึกออกไปแล้วก็ต้องไปชีวิตเป็นฆราวาส พระพุทธเจ้ามาดักไว้นะ แล้วกั้นมาเลย แล้วเอามาจนได้ ถึงว่าคบศาสดา ครูบาอาจารย์มีผลอย่างนี้ ประเสริฐมาก

ถึงว่าอย่างที่เขาพูดกันนะ ที่เขาคุยเรื่องสมาธิ เรื่องนั้นเป็นเรื่องอจินไตย อจินไตยหมายถึงว่า พระพุทธเจ้าบอกว่าอย่าไปคิด อย่าไปแบบว่าต้องเป็นอย่างนั้นๆ เพราะว่าอจินไตยมี ๔ อย่าง ที่ว่าพวกเรานี่นะ ในโลกนี้ไม่มีใครสามารถจะรู้ได้ ไม่มี! เพราะพระพุทธเจ้าใคร่ครวญแล้ว พระพุทธเจ้ายังไม่รู้

เรื่องโลก พุทธวิสัย เรื่องโลก เรื่องความแปรปรวนมันจะไปตลอดเวลา มันไม่มีคงที่ ใครไปจับมันให้อยู่ไม่ได้ มันเปลี่ยนอยู่ตลอด เรื่องโลก เรื่องพุทธวิสัยคือว่าปัญญาพระพุทธเจ้ามันมากจนใครก็สามารถคำนวณไม่ได้ เรื่องกรรมมันแปรสภาพตลอด แล้วก็เรื่องฌาน ๔ อย่างนี้พระพุทธเจ้าบอกว่าอย่าคิดนะ คิดไปเถิดไม่มีวันที่สิ้นสุด

แล้วเขาก็จะมาอธิบายกันอยู่ว่าอย่างนั้นๆ เรื่องสมาธินี่ เขาว่าเขาเก่ง เราไม่เชื่อ เราไม่เชื่อหรอก มันแปรสภาพ ถึงเวลาแล้วมันเสื่อมหมด ที่พูดอยู่นั่นพูดแต่ของเก่า ถ้าเอ็งทำสมาธิกันอยู่นะ ทุกคนต้องเสื่อม เสื่อมเด็ดขาด! เพราะมันเป็นกุปปธรรม ธรรมที่เสื่อมไง มันเป็นกุปปธรรมธรรมที่ต้องเสื่อม มันไม่ได้พิจารณาจนเป็นพระอริยเจ้าไง พระอริยเจ้านี่เป็นอกุปปธรรม

กุปปธรรมมันเป็นธรรมที่เสื่อม อกุปปธรรมเป็นธรรมที่ไม่เสื่อมไง สมาธินี้มันยังไม่ถึงเหยียบขั้นตอนไง ไม่เหยียบชั้น มันยังเสื่อมอยู่ พอมันเสื่อมมานี่มันก็อาศัยความจำเดิมนี่มาพูด มันเสื่อม มันอันตรายตรงนี้ไง พออาศัยความจำเดิมมาพูด ความจำเดิมมันอาศัยความคิดของตัวเองเพิ่มเข้าไปด้วย เดี๋ยวมันก็เคลื่อน เดี๋ยวมันก็แปรสภาพ

สมาธิ! เราถึงว่าเวลาพระปฏิบัติ หรือเราอยู่กับครูบาอาจารย์นะ ท่านจะฟังโยม ใครปฏิบัติก็แล้วแต่มานี่ “อ้าว..ว่ามา” เราต้องพูดกับทางนี้รู้แล้ว อันนี้พูดมาขนาดไหนๆ ก็สอนไปขนาดนั้น แต่ถ้าบอกก่อนมันนึก

แต่เดี๋ยวนี้ทางนี้ ที่ไปๆ ใช่ไหม ให้กำหนดเลย เป็นอย่างนี้ๆๆ ให้นึกเอาเลยๆ ให้นึกเอาๆๆ แต่ถ้าปฏิบัติพระเรากลับเห็นว่าอันนี้เป็นอันตรายมาก บอกไม่ให้นึกใช่ไหม ไม่ให้นึก วิปัสสนึกไม่เอา ให้ทำไปตามความเป็นจริง ให้เกิดตามความเป็นจริงของมัน แล้วให้มันเกิดจริงๆ รู้จริงๆ

นี่พูดถึงแค่สมาธินะ แล้วพอคิดดูดีๆ พอเป็นสมาธิแล้วไม่มีความสุขหรือ ความสุขอธิบายด้วยความสุขอีก อธิบายว่าเป็นความสุข เพราะความสุขมันคือเหยื่อไง ความสุขมันทำให้หลงไง ความสุขทำให้ติดไง แล้วมันไปเจอสภาพที่ไม่เคยเห็นมันเวิ้งว้างไง

อันนั้นก็ว่าเป็นผล เป็นขั้นตอน อันนั้นก็ผิด มันถูก เห็นไหม อันนั้นก็ผิด ...คำว่า “ผิด” ผิดว่ายึดตรงนั้นเป็นที่หมายผิด แต่คำว่า “ถูก” ถูกเพราะว่าถ้าผู้ภาวนาต้องเป็นอย่างนั้นทุกคน ผู้ภาวนาต้องผ่านตรงนั้นไง คำว่าถูกมันต้องเป็นทางผ่านของจิตที่ภาวนาไป แต่มันผิดเพราะเราไปยึดว่าอันนั้นเป็นผล อันนั้นเป็นแค่เหตุอันเดียว เป็นการประสบ แล้วมันก็ต้องแปรสภาพไปตลอด

สมาธิธรรมไง อาจารย์บอกเลยแค่มีสมาธินะ จิตผู้มีสมาธิคือจิตตั้งมั่น พอจิตมันเริ่มมีสมาธิจิตจะตั้งมั่น เหมือนกับว่าเรานี่มีบ้านอยู่หลังหนึ่ง ก็เหมือนกับหัวใจมีที่พักอาศัยไง หัวใจมีที่เกาะที่ยึด มีที่พัก ที่อาศัย เห็นไหม แค่มีสมาธินี่ก็พออยู่พอกินแล้ว มันเย็นนะ จากร้อนๆ อย่างนี้ จากที่ว่าเราคิดมาก มันจะสลัดความคิดออกหมดเลย มันถึงจะเป็นสมาธิได้

สมาธิคือจิตมันปล่อยวางทั้งหมดมันถึงเป็นสมาธิ ผลมันเป็นอย่างนั้น สมาธิคือการปล่อยวาง แต่อย่างที่กระทำกันนั้นที่เราว่านี้ มันกดไว้ก็เป็นสมาธิได้ เป็นสมาธิได้อยู่ แต่มันใช้ประโยชน์ได้ขนาดไหนล่ะ เพราะเป็นแล้วมันจะพลิกขึ้นมาไหม พลิกขึ้นมาเป็นงานต่อไปไหม มันจะพอใจแค่นั้นไง

เมื่อก่อนพูด พูดตรงนี้ อธิบายให้ฟังเหตุผล เวลาอธิบายให้ฟัง เรื่องนี้เอาไปเอามาเราบอกว่า “อันนี้เป็นมิจฉาสมาธิ อันนี้เป็นสัมมาสมาธิ” โยมก็จะงงมากนะ ก็ทำได้ทุกคนมันจะเป็นมิจฉาเป็นสัมมาได้อย่างไร ไปนั่งคิดว่าถ้าไม่พูด โยมก็จะยิ่งงง พูดให้ฟังไว้เฉยๆ (เทปสิ้นสุดเพียงเท่านี้)