คิดซ้อนพุทโธ
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ถาม-ตอบ ปัญหาธรรม วันที่ ๑๖ มกราคม ๒๕๕๓
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี
วันนี้ปัญหามันพื้น ๆ มาเนี่ยแต่มันเบื้องต้นน่ะ ปัญหามันพื้น ๆ จนเราคิดว่าจะไม่ตอบเลยนะ เพราะคิดว่ามันไม่เป็นประเด็น แต่เขาโทรศัพท์มาทวงแล้วทวงอีกน่ะ ทวงมากเลย มาในเว็บไซต์ เขาฝากมาทวงใหญ่เลย จะให้ตอบให้ได้ ไอ้เราก็ดูเป็นพื้น ๆ อันนั้นพื้น ๆ ก็เลยตอบ คิดว่ามันก็เป็นประโยชน์กับปฏิบัติใหม่ ทำไมกำหนดพุทโธแล้วเป็นอย่างนี้ทำไมเป็นอย่างนั้น แค่นั้นน่ะไม่มีอะไรเลย เดี๋ยวพรุ่งนี้จะเป็นน่าน น่านเขาถามมาแล้วค่อยว่าอันนู้น เอาอันนี้ก่อน เอาเลยล่ะ
ถาม : อันนี้เขาถามมานะ ที่จะบริกรรมจนกระทั่งนอนบริกรรมหายไปใช่ไหม แม้ตอนนี้ยังไม่เคยสัมผัสสมาธิจริง ๆ ก็ตาม แต่สัมผัสถึงความสว่างตอนหลับตาครับ ก็จะต้องทำต่อไปไม่ท้อถอย กระผมได้ฟังไฟล์ของอาจารย์มาหลายไฟล์แล้ว ตอบคำถามกระผมได้หลายคำถาม แต่ยังมีบางประการบางประเด็นที่ผมยังไม่พบคำตอบ จึงอยากจะกราบเรียนถามอาจารย์ดังต่อไปนี้ครับ
๑. เมื่อบริกรรมพุทโธไม่ว่าจะชัดหรือเร็วเพียงใด ก็ยังพบว่ามีความคิดแทรกเข้ามาอยู่ดี แม้จะทำให้หยาบโดยการเปล่งเสียงท่องพุทโธออกมาดัง ๆ ก็ยังมีบ้างแต่การมีแทรกเข้ามาก็ยังมีความถี่น้อยกว่าช่วงที่กระผมฝึกหัดใหม่ ๆ และความคิดที่แทรกเข้ามามีอยู่สองแบบคือหนึ่งยังไม่ทราบว่ากำลังจะคิดอะไร จิตก็กลับมาบริกรรมพุทโธเหมือนเดิม สองคิดซ้อนกับพุทโธไปด้วย เหมือนปากก็พุทโธไปแต่ใจคิดออกมาเป็นเรื่อง พยายามหลายครั้งแต่ห้ามไม่อยู่ อุปมาเหมือนกับเปิดเพลงฟังไปพร้อมกับไปท่องพุทโธ อยากถามว่ากระผมยังคงทำอย่างนี้ต่อไป โดยที่ไม่ต้องไปสนใจความคิดที่แทรกเข้ามา หรือต้องตั้งใจให้มากกว่านี้เพื่อปิดกั้นความคิดให้ได้อย่างสมบูรณ์ กระผมเคยลองแล้วรู้สึกเหมือนกดดันตัวเองมากเกินไป แล้วก็ปวดหัวไปหมด กระทั่งออกจากการนั่งสมาธิแล้วก็ยังมึน ๆ เพราะเดิมทีเป็นคนที่ปล่อยให้จิตคิดตามรู้เอา จิตจึงมีอาการต่อต้าน (แต่เมื่อมีอาการตรงนี้น้อยลงแล้วครับ) นี่ข้อที่หนึ่ง
ตอบ : เวลาพุทโธ ๆ เห็นไหม เวลาท่องพุทโธเนี่ย เวลาท่องพุทโธไปแม้แต่เสียงดัง ๆ ท่องพุทโธเสียงดัง ๆ มันก็ยังมีการแทรกเข้ามา โดยธรรมชาติใช่ไหม อันนี้มันปัญหา มีปัญหาเพราะว่าเราไปรู้ผลก่อนไง ไปรู้ผลก่อน ถ้าเราพุทโธแล้วเนี่ยมันจะสงบไง นี้พอพุทโธ ๆ ๆ เราคิดว่าพุทโธมันจะสงบเห็นไหม นี้พอพุทโธ ๆ ๆ ๆ ไปเนี่ย เราไปสร้างผลไว้ก่อน เนี่ยที่ว่าเป็นสัญญา ๆ เนี่ย เราไปสร้างผล เราไปหมายผลไว้ก่อน พอเราหมายผลไว้ก่อนเวลาเราท่องพุทโธ ๆ ๆ ไปเนี่ยความคิดแทรกเข้ามาเห็นไหม
ความคิดมันแทรกเข้าเพราะอะไรรู้ไหม เพราะว่าเราไปหมายผล แต่จิตเรายังไม่เป็นตามนั้น เพราะเราใหม่ ๆ จิตเราต้องปรารถนาใช่ไหม เราพุทโธ ๆ ๆ แล้วมันจะได้ผล ว่างอย่างนั้น ปล่อยวางอย่างนั้น สมความปรารถนาอย่างนั้น ทีนี้มันยังไม่ถึงผล อย่างเช่นทำงานนี่ เราทำงานนี่แต่งานเรายังไม่เสร็จ เราคิดว่าเรายังไม่ทำงาน งานเราเสร็จแล้ว ถ้างานเราเสร็จแล้วรูปร่างจะออกมาเป็นอย่างนั้น
นี้พอเราทำงานอยู่งานยังไม่เสร็จ พุทโธมันแทรกเข้ามานี่เห็นไหม เพราะถ้างานเรายังไม่เสร็จ คือความคิดเรายังไม่ปล่อยวางโดยธรรมชาติของมัน นั้นวิธีแก้ของมันคือพุทโธไปอย่างนั้นน่ะ อะไรจะเกิดขึ้นมาเราไม่ต้องไปรับรู้มัน ทีนี้เพราะความไม่รับรู้มัน พูดง่าย ๆ นะแต่เวลาทำมันยากตรงไหน เวลาทำที่มันยากอย่างที่ว่าเนี่ย เมื่อก่อนอารมณ์มันคิดนึกอย่างไร เราก็ไม่รู้ไม่เห็นน่ะ แต่เรามาทำพุทโธ ๆ จิตมันสงบบ้างอาการที่มันเกิดขึ้น เรารู้มันเห็นน่ะก็เหมือนที่ชวนะมันไวไง
แต่เดิมน่ะด้วยความปกติแต่สามัญสำนึกเนี่ยมันก็มีความคิดบ้าง มันมีอะไรบ้าง มันก็รู้ ๆ อยู่แต่มันก็ไม่ได้สนใจ มันก็ปล่อยไปตามเวลา แต่พอเราพุทโธ ๆ ๆ บ้างจิตมันดีขึ้นใช่ไหม จิตมันดีขึ้นก็ยิ่งเห็นชัดขึ้น มันเห็นชัดขึ้นมันก็ยิ่งมีความคิดมันแทรกเข้ามาเห็นไหม ความคิดมันแทรกเข้ามาบ้างอะไรบ้าง คิดซ้อนบ้าง ความคิดซ้อนมันก็เหมือนกับเราซักผ้าน่ะ เราเอาผ้าสกปรกมาซักผ้ายังไม่สะอาด มันก็ยังสกปรกอยู่บ้างใช่ไหม เราซักผ้า ซักผ้าเนี่ยความสกปรกก็หลุดไปบ้างแต่มันยังไม่สะอาด
เนี่ยมันคิดซ้อนไง แล้วยังไม่สะอาดมันยังสกปรกอยู่ นี่ก็เหมือนกันความคิดมันเป็นธรรมชาติที่จิตมันเคยคิดอยู่ เราพุทโธ ๆ ๆ อยู่ มันก็คิดซ้อนขึ้นมาเหมือนกัน เนี่ยมันเป็นเรื่องธรรมดาของมันน่ะ แต่นี้เราไปคาดคิด ถ้าพุทโธปั๊บเหมือนผ้าสกปรกเลยชุบน้ำขึ้นมาสะอาด ผ้าสกปรกชุบน้ำมาสะอาดแล้ว เราไปหวังกันอย่างนั้นน่ะ แล้วมันก็สะอาดไหม ชุบน้ำขึ้นมามันก็ยังสกปรกอยู่อย่างนั้นน่ะ
นี้พอเราพุทโธ ๆ ๆ อยู่ มันก็มีความคิดแทรกอยู่อย่างนั้นน่ะ ถ้ามีความคิดแทรกอยู่อย่างนั้นเราวิตกกังวลทำไม ไอ้นี่คือความสกปรกของมันอยู่ใช่ไหม เราจะพุทโธเพื่อความสงบใช่ไหม เราจะพุทโธเพื่อความสงบ เราไม่ใช่พุทโธให้มันมีความคิด แต่ในความคิดมันเป็นธรรมชาติ มันเป็นธรรมดาของมันอยู่อย่างนั้น ถ้ามันเป็นธรรมดาของมันอย่างนั้น เราก็พุทโธของเราไปเรื่อย ๆ พอพุทโธไปเรื่อย ๆ พอมันสงบเข้าจริง ๆ น่ะมัน อ้อ มันสงบสงบเป็นอย่างนี้ แล้วไม่สงบเป็นอย่างนั้น ไม่สงบ
แต่นี้ที่มันทำเนี่ยมันทำยาก พอเวลาพุทโธ ๆ ๆ มันทำได้ยาก พอทำได้ยากขึ้นมานี่ มันจะมีอยู่อันเดียวนะที่น่าเป็นห่วง คือจะท้อใจก่อนไง พวกเราจะท้อใจ พวกเราจะแบบว่าไม่มีความอดทน เราคือว่าเป็นคนที่ว่าไม่เข้มแข็งว่างั้นเถอะ ถ้าคนไม่เข้มแข็งเวลาทำไปเนี่ย เวลาได้ผลขึ้นมาเหมือนเด็ก ๆ เลย เอาไอติมมาล่อน่ะชอบแต่อย่างอื่นไม่เอา นี่เหมือนกันเอาแต่สิ่งง่าย ๆ ไง เอาสิ่งง่าย ๆ เอาสิ่งที่เป็นไปได้ ฉะนั้นจะต้อง ถ้ามันยังพุทโธซ้อนอยู่ มันจะสิ่งใดอยู่ พุทโธให้ชัด ๆ ไว้
ถาม : อยากถามว่าแล้วกระผมต้องทำยังไงต่อไป
ตอบ : เนี่ยตั้งไว้เนี่ย ตั้งสติไว้ แล้วพุทโธไปเรื่อย ๆ เพราะสิ่งนี้มันได้ผลแล้ว ถ้ามันไม่ได้ผล เราจะพูดบ่อย เพราะตัวเราเองเราพุทโธมาก่อน ๒ ปี สุดท้ายแล้วเรามาใช้ปัญญาอบรมสมาธิ แล้วเราพิจารณาจิตไปตลอด ในการพิจารณาจิตของเราเห็นไหม พิจารณาจิตไปตลอด อันนี้ก็เหมือนกัน ถ้าทำพุทโธมันได้ผล พุทโธไปเรื่อย ๆ เพราะการว่าพุทโธให้จิตมันสงบเข้ามาเนี่ย เพราะพุทโธมันปลอดภัย
คำว่าพุทโธมันปลอดภัยเพราะอะไร มันปลอดภัยเพราะว่าจิตมันมีพุทโธนี้เกาะไว้ มันไม่เสีย ทีนี้มันไม่เสีย ฉะนั้นมันจะได้ผลยากไหม ยาก แต่มันไม่เสีย แต่ที่เราปล่อย ปล่อยที่ที่เราเกาะไว้ นี่ทำงานเนี่ยเราไม่มีอะไรเลย เราทำงานตามสบายของเราเหมือนวัวเหมือนควาย วัวควายให้มันเดินเล่นเพ่นพ่านของมัน ให้มันไปกินหญ้า กินเป็นผักสวนครัวเขา เสียตังค์นะ แต่ถ้าวัวผูกไว้เนี่ยวัวผูกไว้ วัวผูกไว้นะคนเลี้ยงวัวเขารู้ เราอยู่เราธุดงค์มาเราเห็นมาเยอะ ถ้าไปเลี้ยงวัวแล้วขี้เกียจนะ วัวเนี่ยถึงเวลาแล้วต้องกินน้ำวันละครั้ง ถ้าไม่ให้มันกินน้ำนะ ผูกเชือกไว้เนี่ยเชือกจะรัดคอวัวตาย
ไอ้คนที่เอาวัวไปผูกไว้น่ะ บางทีเชือกน่ะมันรัดคอเพราะวัวมันจะเดินของมัน มันจะงุ่นง่านของมัน แล้วไอ้งุ่นง่านเนี่ย ไอ้เชือกมันจะพันตัวมันเองแล้วมันตาย คนเลี้ยงวัวเนี่ยวัวตายเพราะที่เขาผูกไว้เนี่ยเยอะแล้ว อันนี้ก็เหมือนกัน อันนี้ว่าพุทโธ ๆ ๆ เนี่ย เรามีเกาะไว้เห็นไหม เรามีเกาะไว้จิตเรามีสิ่งนี้มันปลอดภัยไง มันปลอดภัยทีนี้มันได้ยากไหม มันได้ยาก แต่ถ้ามันได้ยากทำที่สุดแล้วถ้ามันไม่ได้ขึ้นมาเนี่ย เพราะคำว่าสมาธินะกรรมฐาน ๔๐ ห้อง วิธีการทำความสงบถึง ๔๐ วิธีการที่พระพุทธเจ้าสอนไว้ ฉะนั้นถึงบอกอะไรก็ได้คำว่าอะไรก็ได้ให้จิตมันสงบไง
แต่เวลามันใช้ออกปัญญาอีกเรื่องหนึ่ง เนี่ยสมาธิอบรมปัญญา ปัญญาอบรมสมาธิ ถ้ามีปัญญาตอนนั้น ถ้ามีปัญญาขึ้นมาเนี่ยปัญญามันเกิดขึ้นมา นั่นอีกขั้นตอนหนึ่ง เวลาหลวงตาท่านพูดบ่อย สมาธินี่น้ำเต็มแก้วคือจิตมีรากมีฐานของมัน ถ้าน้ำเต็มแก้ว แต่ขั้นของปัญญาไม่ใช่น้ำเต็มแก้วเนี่ย น้ำเต็มแก้วเนี่ย แก้วเนี่ยมันบังคับน้ำให้อยู่ในแก้วนั้น แต่เวลาขั้นของปัญญาเนี่ยมันไม่มีแก้วบังคับนะ ขั้นของปัญญาไม่มีขอบเขต มันจะไปของมันเต็มที่เลย เพราะปัญญาของเรานี่ มันไปได้เต็มที่เห็นไหม พอไปเต็มที่ เวลาขั้นของปัญญาไปอีกเรื่องหนึ่ง
แต่ถ้าขั้นของสมาธินี่ วิธีการคำว่าอะไรก็ได้เนี่ยเพื่อให้จิตสงบนี่ ๔๐ วิธีการเนี่ย พุทโธ ๆ หรือว่ามรณานุสสติเห็นไหม ปัญญาอบรมสมาธิเนี่ย กสิณต่าง ๆ นี่ เพื่อให้จิตมันสงบ ถ้าจิตมันสงบคำว่าปลอดภัย คำว่าปลอดภัยเราจะไม่เสียหาย มีคำบริกรรมพุทโธ ๆ ๆ ไว้เนี่ย ถ้ามันไม่ได้จริง ๆ แล้วเนี่ย คำว่าปัญญาอบรมสมาธิเนี่ย ปัญญาอบรมสมาธิเนี่ยใช้ปัญญาไล่ความคิดไป ปัญญา ก็มันคิดอยู่แล้วอะไรคือปัญญาอีกล่ะ สตินี่ตามความคิดนั้นไปความคิดมันเกิดดับ นั้นคือปัญญาอบรมสมาธิ
ถาม : นี่อยากถามว่ากระผมต้องทำอย่างนี้ต่อไป โดยที่ไม่ต้องไปสนใจความคิดที่แทรกเข้ามา หรือต้องตั้งใจให้มากกว่านี้
ตอบ : ไม่ต้องไปสนใจความคิดเข้ามา ไม่ต้องสนใจเลย เพราะเราไม่สนใจไม่สนใจความคิดนั้น แล้วเรากำหนดพุทโธ ๆ ๆ เนี่ย เราเอาจิตของเราเนี่ยไปสนใจพุทโธ ถ้าไปสนใจพุทโธเห็นไหม เหมือนมือที่ว่ามือนี่หยิบของได้ชิ้นเดียวนี่ ถ้าจิตมันไปพุทโธทั้งหมด ความคิดไม่มีหรอก นี่จิตนี้หนึ่งเดียว คิดได้อย่างเดียว มือหยิบของได้ชิ้นเดียว
ทำไมพุทโธมันซ้อนเข้ามาล่ะ มันซ้อนเข้ามาเนี่ย มันซ้อนเข้ามาเพราะมันเร็วไง ความคิดของจิตนี่มันเร็วมาก พุทโธ ๆ ๆ นี่ เราพุทโธไม่ทันมันแล้วมันซ้อนเข้ามา ทีนี้ไม่ต้องไปสนใจมัน พอไม่สนใจมัน ดูสิมือเราเนี่ยถ้าเราหยิบชัดเจนขึ้นมา หยิบพุทโธชัดเจนขึ้นเนี่ย ความคิดมันหายไปโดยธรรมชาติเลย โดยความจริงเลย แต่นี่มันละล้าละลังไง เวลาพุทโธนี่พุทโธเราต้องนึกขึ้นมาเพราะเป็นวิตกวิจารใช่ไหม แต่ความคิดมันโผล่มาเอง เอ๊ะ นี่อะไร ไอ้นึก นึกเกือบตาย เพราะเรานึกขึ้นมาเนี่ยมันรู้ ๆ อยู่แล้วว่าเรานึกพุทโธ มันก็ไม่สนใจ กิเลสมันร้ายนัก แต่เวลามันเป็นความคิดแล่บมาเนี่ย มันอยากรู้อันนั้นน่ะ พออยากอันนั้นมันคิดซ้อน คิดซ้อนไง พอคิดซ้อนขึ้นมาเนี่ย อันนี้มันเป็นกำปั้นทุบดินนะ เพราะอะไรรู้ไหมเพราะมันไม่ใช่ชำระกิเลส เพราะมันต้องการให้จิตสงบ ฉะนั้นเราไม่ได้ฆ่ากิเลสเลย กิเลสเนี่ยมันสบายมัน คือมันไม่มีอาวุธอะไรไปฆ่ามัน แต่พุทโธ ๆ ๆ ๆ ๆ นี่เพียงแต่ว่าแบบว่าเลิกแล้วต่อกันนะ คือว่าเอ็งก็อยู่ของเอ็ง ข้าก็อยู่ของข้า ให้จิตข้าสงบนะ ไอ้กิเลสมันเลยชะล่าใจเห็นไหม มันถึงกวนตลอดไง แต่พอเป็นขั้นของปัญญานะ มันมีมีด มีดมันธรรมาวุธนะ ปัญญานี่จะไปฆ่ามัน มันหลบ ถ้ามีปัญญาออกนะ กิเลสมันจะหลบ มันจะซ่อนตัว แต่ถ้าเป็นบริกรรมพุทโธ ๆ ๆ สมถะเนี่ย มันชะล่าใจ เพียงแต่ว่าเราเหมือนที่ว่าหินทับหญ้า หินทับหญ้าเนี่ย คือเรา แยกกัน เราแยกกันนะ เอ็งอยู่ส่วนเอ็ง ข้าอยู่ส่วนข้า แล้วข้าสงบได้เพราะสมาธิมันไม่ได้การฆ่ากิเลส มันเพียงแต่ทำจิตให้สงบ ทำความสะอาดของใจเท่านั้นเอง ฉะนั้นเพราะถ้าเนี่ยเวลาปฏิบัติใหม่มันงงตรงนี้ไง งงว่า ถ้าพุทโธ ๆ ๆ จิตเป็นสมาธิขึ้นมาเนี่ยแล้วปัญญามันจะไม่มี แล้วก็อยากจะใช้ปัญญา แล้วเวลาปัญญาออกไปก็คิดว่าปัญญา หลวงปู่เจี๊ยะเห็นไหม อ้างหลวงปู่เจี๊ยะบ่อย หลวงปู่เจี๊ยะบอกว่าเราคิดตามข้อกระดูกนี่เป็นชั่วโมง ๆ นี่ ถ้าจิตมันอยู่ในโครงสร้างของเราเนี่ยคือสมถะ เพราะจิตมันไม่แล่บออก ไม่แล่บออก สมถะนะ เนี่ยเราคิดว่าเราอยู่ จิตมันวิ่งอยู่ตามโครงสร้างของกระดูกนี่ เราคิดว่านี่คือวิปัสสนาแล้ว ไม่ใช่ แต่พอเป็นสมถะจิตมันสงบแล้วเนี่ย จิตนี่ก็วิ่งอยู่ในโครงสร้างเดิมนี่แหละ แต่ แต่จิตเห็นกระดูกเห็นโครงสร้างตามความเป็นจริง แต่ขณะที่เราพยายามบังคับให้มันอยู่ในโครงสร้างเนี่ย จิตมันอยู่ที่ข้อกระดูกนิ้ว กระดูกข้อมือ กระดูกข้อศอกเห็นไหม เราบังคับไม่ให้มันแล่บ ไม่ให้มันออกเห็นไหมเนี่ยสมถะ นี่ก็เหมือนกันมันพุทโธ ๆ ๆ ๆ ถ้ามันสงบแล้วเห็นไหม พอจิตมันสงบแล้วเวลาออกขั้นของปัญญา มันเป็นคนละเรื่อง ไม่ต้องไปห่วง เราจะอ้างหลวงตาประจำ หลวงตาจะบอกว่าเวลาทำสมาธิไม่ต้องมาห่วงปัญญา ถ้าเราจะทำความสงบของใจไม่ต้องไปห่วงปัญญา ไอ้นี่มันละล้าละลัง นี่มันละล้าละลังเห็นไหม ถึงว่าไม่ต้องไปสนใจอย่างอื่นใช่ไหม ใช่! ทำหน้าที่สิ่งใดทำให้มันชัดเจนไปทีละอย่าง กินข้าวเสร็จแล้วเนี่ยนั่งอยู่เฉย ๆ เนี่ย ถ้วยจานไปล้างเองไม่ได้หรอก กินข้าวเสร็จแล้วก็ลุกขึ้นไป แล้วเก็บสำรับนั้นไปล้างถ้วยล้างจานมันก็จบ นี่เหมือนกันเวลากินข้าวเสร็จแล้ว กินเสร็จแล้วใครจะล้างเนี่ย นี่เวลาทำสมาธิเวลาทำความสงบก็เป็นห่วงนู้นเป็นห่วงนี่ไง ทำหน้าที่ของตัวเองให้ชัดเจน สิ่งใดสิ่งหนึ่งให้เป็นชัดเจนตามหน้าที่นั้น ถาม : ๒. ในเมื่อในการบริกรรมพุทโธระหว่างวัน กระผมพบว่าบางครั้งจิตจะเผลอนานกว่าการนั่งสมาธิเป็นเรื่องเป็นราว กล่าวคือพุทโธหายไปเลย แล้วมีความคิดโผล่ขึ้นมาแทน (ในลักษณะไม่ใช่ความคิดซ้อนพุทโธ แต่พุทโธหายไปเลย มีแต่ความคิด) ตรงนี้กระผมลองแก้ด้วยคำบริกรรมพุทโธ ธัมโม สังโฆ พบว่าเผลอแบบหลุดไปเลยน้อยลง วิธีนี้ใช้ได้หรือไม่ครับ
ตอบ : เนี่ยพุทโธอย่างเดียว ย้อนกลับไปที่ข้อแรกไม่ต้องสนใจสิ่งใดเลยพุทโธอย่างเดียว ทีนี้เพียงแต่มันมีประเด็นไง เนี่ยมันมีประเด็นว่า ถาม : เวลาพุทโธหายไปเลย แล้วมีความคิดโผล่ขึ้นมาแทน (ในลักษณะความคิดซ้อนพุทโธ แต่พุทโธหายไปเลย มีแต่ความคิด) ตอบ : เห็นไหมเวลามีความคิดขึ้นมาแทน เนี่ยคือว่าเวลาเรากำหนดพุทโธเนี่ยนะ พุทโธเนี่ยเป็นพุทธานุสสติ เราวิตกขึ้นมานึกพุทโธ ๆ ๆ ๆ ถึงมีใช่ไหม ถ้าเราไม่นึกพุทโธ ๆ ก็ไม่มีใช่ไหม ฉะนั้นเวลา
ในลักษณะความคิดซ้อนพุทโธ แต่พุทโธหายไปเลย มีแต่ความคิดเห็นไหม คือความคิดมันไม่ได้นึกพุทโธไง พลังงานตัวนี้มันไม่ได้เกาะเกี่ยวอะไรเลย มันเป็นพลังงานธรรมดาไง เป็นพลังงานธรรมชาติของมัน นี้พอมันนึกพุทโธก็ความคิดเฉย ๆ ไง ไม่มีพุทโธเลย เนี่ยอาการที่เขาเป็นน่ะ เขาเป็นจริง ๆ อย่างนี้แสดงว่าพุทโธหาย พุทโธหายนี่ไม่ใช่พุทโธหายแบบเข้าสมาธินะ พุทโธหายเพราะว่าของหาย ถืออยู่ในมือแล้วตกหาย แต่ตัวเองไม่ได้อะไร มันได้แต่มือไง มือถือพุทโธอยู่แล้วพุทโธหลุดหายไปก็เหลือมือเฉย ๆ ความคิดคนมีอยู่ ธรรมชาติคนมีอยู่ แต่คำบริกรรมมันมีที่ให้จิตมันเกาะเกี่ยวไว้ แล้วเวลาพุทโธหายไป มันเหลือแต่พลังงานที่มันเกาะเกี่ยวสิ่งใด มันก็เล่นเป็นความคิดเฉย ๆ เห็นไหม เห็นโทษมันหรือยัง เนี่ยเห็นโทษของการไม่บริกรรมไหม พอเห็นโทษของการไม่บริกรรมเนี่ย พอมันอยู่เฉย ๆ เนี่ย ความคิดมีแต่ความคิด พุทโธหายไปเลยมีแต่ความคิด เนี่ยแล้วความคิดมันคืออะไร ความคิดนั้นคือพลังงาน ความคิดนะ เพราะเวลามันคิดพุทโธมันจะมีขึ้นมา นี้พอพุทโธมันหายไปเนี่ย ความคิดมันไปคิดอย่างอื่น มันไปคิดอย่างอื่น พลังงานอันนั้นมีอยู่ พุทโธไปเรื่อย ๆ เนี่ยการภาวนาเนี่ย ถ้าพูดถึงใครทำอะไรแล้ว เนี่ยประสบการณ์เนี่ยมันจะบอกเลยพูดมาเนี่ยมันพูดถึงวุฒิภาวะของจิต ของใจที่มันประสบสิ่งใดมา นี่หลักการภาวนาต้องมีอย่างนี้คือว่าเราไปรู้ไปสัมผัสไปทำมา อย่างเช่นเรากินอาหารเนี่ยน้ำพริกนี้เผ็ดไป น้ำพริกนี้เค็มไป เปรี้ยวไป เพราะลิ้นเราสัมผัส นี้ใจมันสัมผัสความรู้สึกสัมผัสที่มันเป็นจริงเห็นไหม กลับมาที่พุทโธเหมือนเดิม หลวงตาถึงบอกว่าพุทโธสะเทือนสามโลกธาตุ พุทโธคำเดียวสะเทือนสามโลกธาตุเพราะมันสะเทือนหัวใจ แล้วหัวใจมันเป็นอย่างนั้น กลับมาที่พุทโธอย่างเดียว มันเยอะ ถาม : ๓. กระผมได้ศึกษาธรรมะของครูบาอาจารย์ท่านหนึ่ง ซึ่งท่านเน้นการเดินจงกรมเพื่อสร้างสติ ท่านกล่าวว่า สำหรับมือใหม่การนั่งนิ่ง ๆ อาจทำให้เกิดโมหะสมาธิ แล้วท่านยังย้ำว่าสติที่ได้จากการเดินจงกรม หรือเคลื่อนไหวเป็นสติที่มั่นคง แต่ท่านให้กำหนดรู้อยู่ที่สัมผัสเท้ากระทบ ไม่ได้บอกให้บริกรรมพุทโธกำกับไปด้วย หากจิตคิดเมื่อใดให้กลับมาที่สัมผัสเท้ากระทบทันที โดยที่ไม่ต้องสนใจความคิดนั้น ณ จุดนี้ผมเข้าใจว่าโมหะสมาธิเกิดจากการที่ผู้ปฏิบัติบริกรรมพุทโธ แล้วไปจงใจให้พุทโธหาย พุทโธหายไปเอง หรือพอสงบนิดหน่อยก็ปล่อยพุทโธ แล้วเข้าไปเกาะกับความสงบนั้น ทั้ง ๆ ที่จริง ๆ แล้วจิตยังนึกพุทโธได้อยู่ ตรงนี้คือโมหะสมาธิใช่หรือเปล่าครับ ตอบ : คำตอบอันนี้มันจะไปตอบไอ้พุทโธหายข้างบนนั่นน่ะ เวลาพุทโธหายก็เป็นอันนี้น่ะ แต่เวลาเราเป็นเองเนี่ยมันนึกไม่ออก มันรู้ไม่ได้ แต่เวลาไปอ่านธรรมะคนอื่นมันรู้ได้นะเห็นไหม ถาม : ถ้าพุทโธแล้วเข้าไปเกาะกับการกำหนดที่เป็นจริงโดยพุทโธ ให้อยู่ตรงนี้คือโมหะสมาธิใช่หรือเปล่าครับ แต่การเดินจงกรมนั้นเป็นของหยาบ ยากที่จะเคลิ้มซึ่งตรงนี้ผมพบว่าการเปล่งเสียงท่องพุทโธออกมา หรือการเน้นพุทโธชัด ๆ เร็ว ๆ ก็เป็นการป้องกันการเกิดโมหะสมาธิด้วยเหมือนกัน ไม่ทราบว่ากระผมเข้าใจถูกหรือเปล่าครับ ตอบ : เนี่ยเวลานี้เข้าใจถูก เวลาเข้าใจถูกเนี่ยเวลาเข้าใจเนี่ยออกมันใช้ธรรมะ ใช้ปัญญา เนี่ยตรรกะการคำนวณ การคิด การหาเหตุหาผล เนี่ยมันเข้าใจได้ แต่! เวลาตัวเองเข้าไปประสบเนี่ยงง เวลาพุทโธ ๆ ๆ เวลามันคิดนี่ถูกหมดนะ แต่เวลานั่งสมาธิเวลาอะไรเกิดขึ้นเฉพาะหน้านี่ไม่ทัน นี่ไงเอ้าไม่ทันเพราะอะไร เราไม่เป็นปัจจุบันธรรมนะ เนี่ยอย่างนี้ถูก คำว่าถูกเป็นโมหะสมาธิไหม เพราะพุทโธ ๆ ๆ ๆ หายไปเนี่ย มันว่าง ๆ ๆ ๆ มันก็เนี่ยเป็นโมหะสมาธิ แล้วสิ่งที่เท้ากระทบเห็นไหม ให้กำหนดรู้เนี่ยเพื่อแก้โมหะสมาธิ ผู้หัดใหม่ต้องให้ชัดเจน นี่ก็เหมือนกันพุทโธต้องชัดเจน แล้วพุทโธมันจะเป็นของมันไปเอง คำว่าพุทโธเนี่ยพุทโธเป็นพุทธานุสสติ อันนี้มันเป็นคำตอบในตัวมันแล้ว ถาม : ๔. บางครั้งการบริกรรมพุทโธโดยการนึกในใจ ผมพบว่าปากหรือลิ้นของกระผมนั้น มีอาการสั่นไหวตามจังหวะการบริกรรม ไม่ทราบว่าตรงนี้เราปล่อยไปอย่างนี้ได้หรือไม่ครับ ตอบ : กลับมาที่พุทโธอย่างเดียว อันนี้มันเพียงแต่ลิ้นสั่นไหวนะ เวลาพุทโธ ๆ ๆ ไปเนี่ย พอจิตมันจะลงบางทีมันเอียง มันวูบ มันต่าง ๆ เนี่ย พอมันวูบปั๊บเราก็จะวูบ พอวูบปั๊บ จิตมันก็จะแว้บ เนี่ยมันขาดช่วงแล้ว พอแว้บขึ้นมาก็ตั้งต้นใหม่ นั้นต้องทำอยู่อย่างนี้แล้วตั้งสติดี ๆ อย่าให้มันเป็นบ่อย เป็นบ่อยนั่น ถ้าอาการเอนเอียงอาการต่าง ๆ เนี่ย เราพยายามตั้งพุทโธไว้หรือพยายามรักษาไว้ แต่เวลามันวูบเนี่ยเห็นไหม อาการวูบเนี่ยมันลึกกว่าการเอียง พออันนั้นลึกกว่าเนี่ย จิตเนี่ยมันปล่อยอารมณ์ความรับรู้ที่หยาบเนี่ย มันไปรับรู้อาการที่วูบนั้น อาการวูบนั้นจะติดอยู่ที่จิต แล้วมันถึงเวลามันจะวูบอยู่อย่างนั้นน่ะ เนี่ยมันจะเป็นอุปสรรคเข้าไปเรื่อย ๆ ในการเป็นสมาธิเนี่ย อาการเอนเอียง อาการวูบ อาการมันตกจากที่สูง อาการต่าง ๆ เนี่ย เนี่ยสิ่งนี้มันเหมือนกับรสชาติอาหารอีก รสชาติอาหาร ถ้าอาหารที่ไม่กลมกล่อม รสชาติที่ไม่ถูกใจเราเนี่ย เราไม่พอใจสักอย่างหนึ่งเลย แต่ถ้าเราปรุงอาหารจนกลมกล่อมที่เราพอใจแล้วเนี่ย รสชาติอันนั้นที่ถูกใจเรา จิตเวลาเข้าสมาธิเนี่ย มันจะมีรสชาติที่มันไม่กลมกล่อมเห็นไหม อาการวูบ อาการเอียงน่ะเป็นรสชาติที่เราไม่พอใจทั้งนั้นเลย แล้วมันก็ไม่มีรสชาติอะไรที่เราพอใจเลย แล้วกิเลสมันก็จะเอารสชาติอย่างนี้มาหลอกให้จิตเนี่ยติดอย่างนี้ไปตลอด นี่อาการที่กว่าเราจะปรุงอาหารของเราจนรสชาติที่ถูกใจเรา เนี่ยมันพอใจแล้วมันเป็นตามจริง ฉะนั้นมันปรุงยากมันปรุงยากเพราะว่ามันปรุงแล้วมันไม่พอใจสักทีหนึ่ง จิตมันไม่พอใจสักทีหนึ่ง ฉะนั้นเราก็ต้องกำหนดพุทโธ ๆ ๆ ๆ อาการอย่าไปติดมัน รสที่ไม่พอใจเราก็ไม่จำรสนั้นมาตลอดไป เปลี่ยนใหม่ เปลี่ยนใหม่ ทิ้ง ๆ ๆ ๆ ทิ้งตลอด อยู่กับพุทโธตลอดอย่างเดียวไปเลย อาการที่ลิ้นมันสั่นต่าง ๆ เหมือนกันบางคนไม่นั่งพุทโธ นั่งเฉย ๆ น่ะ พอพุทโธ ๆ ๆ ๆ น้ำลายเต็มปาก อึ๊ก! พุทโธ ๆ ๆ ๆ อึ๊ก! แล้วพอเลิกพุทโธมันก็หาย มันหลอกร้อยแปดนะ กิเลสนี่ร้ายนัก ถาม : ๕. เนื่องจากชีวิตของคนเราไม่เที่ยง ถ้าหากว่ากระผมยังไม่สามารถปฏิบัติได้แม้แต่ชั้นกัลยาณปุถุชน ยังบริกรรมจนจิตรวมไม่ได้ แล้วต้องตายเสียก่อน จะมีอุบายหรือวิธีการใดที่จะได้เกิดใหม่ชาติหน้า ได้เป็นมนุษย์พบพุทธศาสนาที่แท้จริง ไม่ถูกหลอกจากบุคคลแอบอ้าง และยังคงมีศรัทธาในการปฏิบัติครับ เพราะกลัวการเกิดใหม่โดยลืมทุกสิ่ง แล้วใช้อำนาจบุญที่ได้ทำชาตินี้ไปกระทำความชั่ว พาตัวเองตกต่ำในชาติถัดไปครับ ตอบ : อันนี้ก็น่าเห็นใจ ทุกคนเวลาคิดดีก็คิดอย่างนี้ เวลาคิดดีเห็นไหม เราปฏิบัติในชาตินี้ ถ้าพูดถึงการปฏิบัติเนี่ยนะ การภาวนาของเราเนี่ย ศีล สมาธิ ปัญญา ปัญญาจะเกิดจากการภาวนาพุทโธ ๆ ๆ นี้นะ พุทโธ ๆ ๆ ๆ เนี่ยมันทำให้จิตนี่มั่นคง แล้วจิตเนี่ยต่อไปนี่มันจะมีปัญญา มีเชาว์ปัญญาของเขา เนี่ยเวรกรรมเห็นไหม เนี่ยจูฬปันถกเห็นไหมที่ว่าไม่มีปัญญา ที่ว่ามหาปันถกพี่ชายให้ท่องเนี่ย ในชาติหนึ่งเคยบวชเป็นพระ แล้วพระองค์หนึ่งท่องปาติโมกข์ ตัวท่านเองชำนาญมาก พอเห็นพระท่องกุก ๆ กัก ๆ เนี่ย ไป..เหมือนกับเห็นมันก็ทนไม่ได้ มันไปหัวเราะ ไอ้พระองค์นั้นก็เลยอาย ก็เลยไม่ทำความดีอีกเลย กรรมอันนั้นน่ะนะ มาอีกชาติหนึ่งนะทำให้สมองทึบมากเลย ทั้ง ๆ ที่เขามีบุญมากนะ เนี่ยพูดถึงเวรกรรมไง เนี่ยถ้าเราศึกษาพระไตรปิฎกทุกคนจะกลัว กลัวว่าถ้าชาติต่อไปเนี่ยทำบุญชาตินี้มีอำนาจชาตินี้ สังเกตได้ไหมคนมาจากพรหม มาจากสวรรค์พวกนี้จะมีอำนาจในตัวเองเขาเอง แต่อำนาจนี้เป็นสากลนะ คือว่าอำนาจเนี่ยสังเกตได้ไหม ถ้าคนใช้อำนาจในทางที่ดีเขาจะทำให้ประเทศชาติมีความร่มเย็นเป็นสุข แต่บางคนใช้อำนาจนี้ไปทางที่อิทธิพล ไปทางการทำร้าย สังเกตได้คนที่มีอิทธิพลแล้วทำร้ายประเทศชาติ พวกนี้มีเชาว์ปัญญาทั้งนั้นน่ะ เนี่ยเขาพูดอย่างนี้นี่ ถูก แสดงว่าเนี่ยเห็นไหม กลัวการเกิดใหม่โดยลืมทุกสิ่งแล้วใช้อำนาจบุญที่ทำในชาตินี้ไปกระทำความชั่ว อำนาจบุญกุศล อำนาจของเนี่ยมันเป็นอำนาจสากลคือมันทำอะไรก็ได้ไง เหมือนเงินนี่ทำดีก็ได้ทำชั่วก็ได้ เงินเนี่ยซื้อสิ่งเป็นประโยชน์ก็ได้ ไปจ้างคนทำลายคนอื่นก็ได้ ตัวเงินเฉย ๆ มันใช้ได้ทุก ๆ อย่าง บุญกุศลที่เป็นอำนาจเนี่ย แล้วถ้ามีปัญญามีสติควบคุมมันน่ะ มันจะใช้ประโยชน์ได้ดีมาก ๆ ฉะนั้นถ้าเป็นห่วง เป็นห่วงก็ทำดีไว้นี่ล่ะ ภาวนานี่แหละ การนั่งภาวนากันทำให้เรามีเชาว์ปัญญา เชาว์ปัญญาในการทำสิ่งที่ดี ๆ นี่พูดถึงถ้ายังภาวนาเห็นไหม เราอยู่กับพระมานะพระหลายองค์ที่ภาวนามาแล้ว มันไม่ก้าวหน้าเนี่ย เขาก็บอกว่าเขาก็อยากจะภาวนาเนี่ยไปเรื่อย ๆ เพื่อจะให้ภพชาติสั้นเข้ามา อย่างน้อย ไอ้อย่างนี้เป็นธรรมชาติ อย่างเช่นน้ำมัน พลังงานต่าง ๆ นี่เป็นประโยชน์มากเลยแล้วเอาไปใช้อะไร จิตเราก็เหมือนกัน ถ้าทำบุญกุศลเนี่ยมันเป็นสิ่งพลังงานที่ดี มันเป็นพลังงานที่ดี แล้วในนั้นเป็นน้ำมัน แล้วน้ำมันไปใช้อะไรต่อไป ถ้าน้ำมันไปใช้อย่างอื่นต่อไป อันนี้มันต้องอยู่ในปัจจุบัน เนี่ยเวลาอดีตอนาคตถึงแก้กิเลสไม่ได้ เวลาคิดดีมันก็เป็นห่วงอย่างนี้ แต่มันก็ไม่น่าจะมีปัญหา ถ้าเราสุคโตเห็นไหม ครูบาอาจารย์เราสอนว่า ถ้าในปัจจุบันดีพรุ่งนี้ก็ต้องดี ถ้าในปัจจุบันดี เนี่ยเราทำได้ดีสุดความสามารถของเรา ก็ทำอยู่ในบุญกุศลพยายามทำ บุญกุศลเป็นของ ๆ เรานะ เราทำมาบุญกุศล ๆ แล้วเสียสละ ๆ โธ่ อยู่บ้านนะเข้าห้องพระปิดนั่นล่ะบุญกุศล พุทโธ ๆ กำหนดพุทโธนั่นแหละ ทำทานร้อยหนพันหนไม่เท่าถือศีลบริสุทธิ์หนหนึ่ง ถือศีลบริสุทธ์ร้อยหนพันหนไม่เท่าสมาธิหนหนึ่ง มีสมาธิร้อยหนพันหนไม่เท่าเกิดปัญญาหนหนึ่ง แล้วมันเกิดจากอะไรน่ะ เนี่ยทำอย่างนี้ทำประเสริฐที่สุด ทำบุญ ๆ ๆ ทำบุญต้อง.. ทำบุญ ๆ ๆ บุญกิริยาวัตถุ ก็นั่งสมาธินี่เสียสละ เสียสละกิริยาท่าทางที่สะดวกสบายมานั่งสมาธินี่ก็บุญแล้ว บุญนี่เกิดขึ้นมาจากเราฉะนั้นอันนี้มันจะห่วงนักก็มาตั้งสติ แล้วสุคโตในปัจจุบันนี้ ถ้าปัจจุบันสุคโตข้างหน้ามันจะสุคโตตลอดไป ถาม : ๖. งานที่ไม่ต้องใช้ความคิดมากจะบริกรรมพุทโธไปด้วย ดีหรือเปล่าครับ หรือว่าทำงานใด ๆ ก็ควรจดจ่อกับการทำงานนั้น ๆ ไปเลยครับ เคยอ่านเจอหลวงพ่อ
...ตอนเป็นเณรท่านเดินจงกรมไปอ่านหนังสือไป แล้วถูกพระผู้ใหญ่ท่านตักเตือนว่าทำสองอย่างพร้อมกันมันไม่ได้ความน่ะครับ ตอบ : อันนี้ถูกต้อง อันเนี่ยอย่างเงี้ยพุทโธไปแล้วอ่านหนังสือไปเนี่ย ทำทั้งสองฝ่าย แต่ถ้าเราบริกรรมพุทโธ ๆ ๆ นะ เนี่ยเราก็ทำงานอย่างเดียว แต่ถ้าอย่างที่ว่าเช่นในเมื่อทำงานใด ๆ ก็ควรจดจ่อกับงานนั้น นี่ก็ถูกต้อง ถ้างานที่มันต้องใช้สติใช้อะไรเนี่ยอยู่กับงานนั้นเลย อันนี้มันจะย้อนกลับไปที่ว่าพุทโธคิดซ้อนน่ะ ถ้าพุทโธคิดซ้อนเห็นไหมทำไมมันคิดซ้อนได้ล่ะ นี้ถ้างานหยาบ ๆ เนี่ยเห็นไหมมันอยู่กับงานก็ได้อยู่กับพุทโธก็ได้ ถ้างานหยาบ ๆ ด้วยความชำนาญของมัน เราอยู่กับพุทโธก็ได้แต่อยู่กับงานการเดินสมาธิ เราก็ตั้งสติอยู่เห็นไหม เวลาเดินสมาธิเนี่ยเราก็กำหนดจิตของเราอยู่ เท้ามันก็เดินไปตามธรรมชาติของมัน นี่ก็เหมือนกันเวลาทำงานนี่ทำงานไปของมัน แล้วเรากำหนด เราอยู่กับงานแต่เวลามันว่างอยู่ก็กลับมาพุทโธ กลับมาพุทโธก็เป็นวัวผูกอยู่นั่นล่ะ ฉะนั้นถ้าทำงานอย่างนี้ถือว่าทำงานอย่างเดียว มันไม่ได้ทำสองอย่าง แต่ที่ว่าหลวงพ่อ
.ท่านเดินจงกรมด้วยแล้วท่านอ่านหนังสือไปด้วยเห็นไหม เนี่ยทำสองอย่าง แต่ท่านก็อาจทำอย่างเดียวก็ได้ แต่ทีนี้พระผู้ใหญ่เขาเตือนเป็นธรรมดาเป็นครูบาอาจารย์ก็ต้องสอนเป็นเรื่องธรรมดา อย่างนี้ไม่ถึงกับเสียหาย ทำอย่างใดอย่างหนึ่งให้ชัดเจน ถาม : ๗. ไม่ทราบว่าพระอาจารย์มีคำแนะนำอื่น ๆ เพิ่มเติมหรือเปล่าครับ กระผมจะน้อมปฏิบัติสุดความสามารถที่จะทำได้ครับ หากมีโอกาสจะมาหาอาจารย์ ตอบ : คำแนะนำก็เนี่ยคำแนะนำ คำแนะนำก็คือให้ตั้งใจ ให้ตั้งใจของเราทำเพราะเวลาองค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้า พระลูกศิษย์นะอย่างสาวก สาวกะที่เวลามีมรรคมีผลไปกราบท่านน่ะ ท่านจะถามว่าใครนี้ทรมานมา ใครนี้ทรมานมา คนที่ทรมานเห็นไหม เวลาองค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้า ยังปรารถนาอย่างนั้น นี่ก็เหมือนกัน เราปฏิบัติของเราเนี่ยเพื่อผลประโยชน์กับของเราเอง ปฏิบัติของเราเองแล้วไม่ต้องไปน้อยเนื้อต่ำใจ ไม่ต้องไปอะไรเพราะอำนาจวาสนาเนี่ย คนเราน่ะแข่งบุญแข่งอำนาจวาสนากันไม่ได้ สิ่งที่เกิดขึ้นมาแล้ว ปัจจุบันนี้ถ้าเราสนใจในศาสนานี่สุดยอดนะ โธ่ สนใจในศาสนา โทษนะ โยมออกไปในสังคมสิคนนั้นก็ถาก คนนี้ก็ถาง คนสนใจศาสนาเนี่ย คนนี้ก็ครึ คนนี้ล้าสมัย ให้สนใจศาสนาเนี่ย อยู่สังคมไม่กล้าบอกฉันเป็นนักภาวนานะ เวลาบอกเรานี้ทำภาวนาเหรอ ยังไม่กล้าพูดเลยว่า เราภาวนา เนี่ยมันเป็นวาสนาหรือยัง ฉะนั้นทำตรงนี้แค่เรามานับถือเรามาตั้งใจปฏิบัติเนี่ย อันนี้เป็นวาสนาของเราแล้ว ถ้าเป็นวาสนาของเราแล้วเนี่ยเราทำของเรา เราตั้งใจทำของเรา ถ้าเราตั้งใจทำของเรานะ คนอื่นเหมือนประสาเรา เราเดินบนถนนเนี่ยเพชร นิล จินดา อยู่เต็มไปหมดเลย คนอื่นเดินข้ามไปนี่ไม่สนใจเลย แล้วเราเดินมาแล้วเราเห็นเพชรนิลจินดา เราก้มลงเก็บ เรามีคุณค่ากว่าเขาไหม นี่ก็เหมือนกันเราเกิดเป็นชาวพุทธ แล้วเราพบพุทธศาสนา พุทธศาสนาสอนให้เราพุทโธ ๆ ๆ เนี่ย คนอื่นมันเหยียบย่ำกันไปหมด มันก้าวก่ายมันเหยียบข้ามไปหมดเลย มันบอกว่าครึ ล้าสมัยไม่หาเงินให้กู ไม่ให้กูมีความสุข ไม่มีประโยชน์อะไรเลย แล้วเขาก็เหยียบย่ำกันไป แล้วเรามาเนี่ยเราเก็บของเรา เราพอใจของเรา เรามีวาสนาไหม ถ้าเรามีวาสนาเนี่ย แนะนำอย่างนี้แนะนำ ใครจะว่าใครจะติเตียนยังไงเรื่องของเขา เราทำของเราเห็นไหม ดูสิขนาดว่าพุทโธ ๆ ๆ อยู่ชั่วคราวเนี่ยยังรู้ได้ เนี่ยมันสัมผัสได้ด้วยความสว่างทั้ง ๆ ที่จิตไม่มีสมาธิเนี่ย โดยพื้นฐานนะโดยความเข้าใจของเราเนี่ย คน ๆ นี้มีการศึกษามาก มีการศึกษาเพราะอะไร เพราะเขาบอกว่าเนี่ย โดยความสัมผัสสมาธิยังไม่เคยสัมผัสเลยเขาก็พูดจริง ๆ ของเขา แล้วเวลาสมาธิไม่เคยสัมผัสเนี่ย เวลาได้สัมผัสความสว่างตอนหลับตา คือว่าเขาประสบการณ์อะไรเขาก็พูดตามความเป็นจริงของเขา สมาธิเนี่ยยังไม่เคยสัมผัสเลย ขนาดยังไม่เคยสัมผัส แต่เวลาจิตมันปล่อยวางของมัน เขาได้สัมผัสความสว่าง แล้วเนี่ยห่วงหน้าพะวงหลัง แล้วชาติหน้าจะเป็นอย่างไร เขาต้องมีพื้นฐานของเขา แล้วเนี่ยอันหนึ่ง ปฏิบัติไปเนี่ยไม่ต้องการให้ไปเจอบุคคลอื่นเป็นผู้ชักจูงไป แสดงว่าเขาเห็นอย่างนี้มานาน เขารู้อย่างนี้มานาน ฉะนั้นไอ้อย่างนี้มันเป็นประสบการณ์ของชีวิต เวลาหลวงปู่มั่นนะ เวลาหลวงปู่มั่นเวลาประพฤติปฏิบัติไม่มีคนสอน ขนาดว่าเวลาไม่มีคนสอนนะ แล้วเวลาไปเพราะอะไรเพราะทุกคนก็ต้องหวังพึ่งอาจารย์ใช่ไหม ไปหาหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่เสาร์บอกว่า ผมก็สอนท่านไม่ได้ ผมก็ไม่รู้จะสอน ก็รื้อก็ค้นเอาเองสิ เวลาไม่มีคนสอนเนี่ยเราฟังเทศน์หลวงตาทุกคืนนะ หลวงตายังบอกเลยนะ ถ้าไม่มีคนชี้นำ ไม่มีคนสอนเนี่ย มันจะมากันได้ยังไง แล้วในปัจจุบันน่ะ มีคนสอนมีคนชี้นำอยู่เนี่ย แล้วถ้าไม่มีเนี่ยมันต้องกระเสือกกระสนไป เนี่ยท่านพูดอย่างนั้นอันหนึ่ง แล้วอย่างนี้ปั๊บเนี่ย คิดถึงว่าตอนที่หลวงปู่มั่นนิพพานแล้วน่ะ โอ้โห เศร้าใจนะ เวลาท่านพูดทีไรฟังแล้วสะเทือนใจมาก เวลาอยู่ต่อหน้าคนก็ไม่แสดงออก พอหลวงปู่มั่นจะเสียนี่ โอ้โหย พระเนี่ยนั่งล้อมอยู่เต็มเลย พอหลวงปู่มั่นเสียแล้ว ทุกคนก็ต่างคนต่างจากไป อยู่คนเดียวนะ มานั่งอยู่ปลายเท้าน่ะ ตั้งแต่บัดนี้ไปจะให้ใครสอนเพราะใจดวงนี้มันไม่ลงใครเลย มันสะท้อนใจนะ ใจดวงนี้มันไม่ลงใครเลย แล้วพอผ่านไปแล้วน่ะ สุดท้ายเห็นไหมพอไปเจอจุดและต่อมไม่มีใครสอน ดิ้นรนเอง ท่านพูดบ่อย ถ้าหลวงปู่มั่นอยู่ไปบอกปั๊บขาดเดี๋ยวนั้นเลย แต่นี่เพราะไม่มีใครอยู่ต้องหาเอง ต้องหาเอง เนี่ยมันถึงมาบอกไง ถ้าไม่มีใครชี้นำ มันต้องดิ้นรนเอง แต่มันมีคนชี้นำขนาดไหน แล้วก็ย้อนไปตอนหลวงปู่มั่นไม่มี แล้วนี่พออย่างนี้เขาถึงเป็นห่วง แล้วคนเอาอย่างนี้มันคตินะ มันจะทำให้เราไม่นอนใจ ทำให้เรามั่นคง ฉะนั้นคำว่าพุทโธ ๆ ๆ เนี่ยให้ภาวนาพุทโธไปเรื่อย ๆ เนี่ยมันเป็นพื้นฐานหมด มันเป็นเบื้องต้น ทีแรกเรามองไปแล้วเนี่ยมันเหมือนจะไม่มีประเด็นให้ตอบไง ถ้ามีประเด็นตอบเนี่ยก็ต้องเอาพุทโธมาตั้ง แล้วบอกว่าทำไมต้องพุทโธแล้วพุทโธยังไง มันเหมือนพื้นฐานของการปฏิบัติที่จะเริ่มต้น ที่มันจะเป็นไป แล้วมันมีอาการของมันมา หนึ่ง สอง สาม สี่ ห้า หก ตอบหมดแล้วเนาะ แล้วก็คงไม่มาแล้วเนาะ ตอบแล้ว เดี๋ยวจะให้ลงในนั่น เพราะมาก็พูดอย่างนี้ หญ้าปากคอก การปฏิบัติหญ้าปากคอก การกำหนดพุทโธ ๆ ๆ เนี่ย การปฏิบัติแล้วทุกคนต้องทำยังไง ๆ เหมือนเด็กที่มันเขายังไม่ทางวิชาการ เด็กให้มันแค่หัดเขียนอักษรเป็นเนี่ย มันเขียนได้ยากเลย นี่ก็เหมือนกัน เด็กให้เขียนอักษรได้ พอเขียนอักษรได้ ให้รวมคำได้ พอรวมคำได้ เด็กจะเขียนหนังสือได้แล้ว เริ่มต้นเนี่ยหาใจของตัวให้ได้หากระดานดำ แล้วหาใจของตัวให้ได้ แล้วหาชอล์กให้ได้เขียนไปที่ใจของตัว ถ้าเขียนเป็นทำเป็นนะ เขียนเป็นทำเป็น ปัญญาของมันเกิดขึ้นมาแล้วเดี๋ยวมันจะก้าวเดินของมันต่อไป แล้วมันจะเป็นประโยชน์กับมัน ทุกคนต้องทำอย่างนั้น พระที่ปฏิบัติมาทุกคน ครูบาอาจารย์ที่ปฏิบัติมาทุกคน ดูหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นสิ สององค์เป็นอาจารย์ลูกศิษย์กัน ปรึกษากันหาทางออกด้วยกันมาสององค์เนี่ย มีปัญหาก็ปรึกษากันคุยกันเพื่อหาทางไป แล้วของเราเนี่ยถ้าจิตมีกระดานดำของมัน มีชอล์กของมัน มันเขียนเป็นอักษรได้แล้ว เดี๋ยวมันหาช่องทางของมันออกไปได้ ถ้าหาช่องทางของมันออกไปได้เห็นไหม เนี่ยการปฏิบัติมันเป็นอย่างนี้ แต่เริ่มต้นเป็นอย่างนี้ เริ่มต้นยากทุกคนน่ะ ทีนี้ไอ้ว่าง่าย ๆ ๆ ๆ น่ะ ทีนี้เมื่อก่อนไม่อยากจะย้อนกลับมาว่าง่าย ๆ ๆ ๆ ๆ มันทำให้คนมักง่าย ถ้าคนมักง่าย คนไม่เอาไหนน่ะ สังคมคนไม่เอาไหน คนมักง่ายมันเยอะแยะไปหมด สังคมคนที่จริงจัง คนที่ตั้งใจ คนที่เอาความจริงจัง มันหาได้น้อย ถ้าหาได้น้อยมันต้องเป็นอย่างนี้ คนพยายามต้องให้มันจริงจัง ต้องพยายามทำมันให้ได้ แล้วจริงจังขึ้นมา มันเครียดนี่ มันทำให้เราปฏิบัติไม่ได้ อันนั้นมันก็เป็น.. เครียดเพราะอะไร เพราะว่าเรามีเป้าหมาย มีกรอบที่ไปบังคับมันจนเกินไป แต่ถ้าเราไม่
นะ เราตั้งใจเราอยากได้ใช่ไหม ใช่ อยากแล้ววางไว้ แล้วทำไปตามข้อเท็จจริง มันเป็นหรือไม่เป็น ให้ทำมันเป็นไปตามข้อเท็จจริง อย่างที่มันจะซ้อนไม่ซ้อนเนี่ย เดี๋ยวมันจะรู้ของมันเอง แต่นี่เราไปตั้งเป้าไว้ก่อนใช่ไหม มันเป็นอย่างนั้น มันจะว่างอย่างนั้น มันจะบีบคั้นเราเอง มันเครียด ๆ เพราะเราเครียดเพราะเราอยากได้ผลว่างั้นเถอะ แต่ถ้ามันอยากไม่ได้ผล ไม่อยากได้อย่างไรก็มีเวลาสามวันต้องกลับแล้วเนี่ย แล้วสามวันยังไม่ได้ทำยังไง ก็ล็อกเลย ล็อกจะให้มันได้ ไม่ได้ มาปฏิบัติก็ได้บุญแล้ว มาปฏิบัติเราได้ชีวิตอย่างนี้แล้ว ชีวิตใช่ไหม ชีวิตรุกขมูล เรากลับมาอยู่กับธรรมชาติ เรากลับมาอยู่กับโคนไม้ เรากลับมาอยู่กับชีวิตปกติของเรา แต่เวลาเราออกไปทำงานเนี่ย นี่ชีวิตของทางโลก มันต้องมีตำแหน่งหน้าที่การงาน แต่นี่เรากลับมาใช้ชีวิตปกติ ชีวิตของมนุษย์ไง มนุษย์ก็มีการอยู่การกินอยู่อย่างนี้ เรากลับมาใช้ความเป็นจริงของมนุษย์ ถ้ามนุษย์มันอยู่ของมันได้ ตรงนี้เรากลับมาเพื่อสร้างสมหลักฐานของเรา เพื่อประโยชน์กับเราเนาะ จบเนาะ เอวัง