จิตกับวัตถุ
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
เทศน์เช้า วันที่ ๑๒ กรกฎาคม ๒๕๔๐
ณ วัดสันติธรรมาราม ต.คลองตาคต อ.โพธาราม จ.ราชบุรี
เป็นประโยชน์มากเลย เวลาใครมาปฏิบัติ เวลาเราปูพื้น ฟังนะ อย่างเช่น กายกับใจ อย่างพวกเรา พวกที่ไม่เข้าใจนี่กลัวผีไหม? เมื่อวานคนเขามาหา บอกว่า รับขันธ์ ๕ รับขันธ์๕ เขาจะมาแบบว่าปรึกษาไง
รับขันธ์ ๕ นี่เรื่องของนามธรรม เรื่องของจิตวิญญาณไง จิตกับวัตถุ
เวลาจิตนี่ก็ไปหลงมันว่าเป็นผีเป็นสาง กลัวมันไปหมดเลย แล้วอย่างเมื่อกี้นี้พูดถึงวัตถุ เห็นไหม วัตถุก็ให้โทษอีก มันจับได้นี่วัตถุ ร่างกายนี่วัตถุ หัวใจนี่วิญญาณ มันเหมือนกับนรกกับสวรรค์ไง แล้วตัวเรานี้เป็นมนุษย์สมบัติไง อันนี้ก็เหมือนกัน ถ้าตายไปก็เป็นวิญญาณหมดเลย แต่พอมาวิญญาณกับวัตถุ มันผสมกันพอดีไง
แต่พวกเราบอกว่า ที่พัฒนากันอยู่นี่ต้องบอกว่าวัตถุกับจิตใจ ศีลธรรมถึงต้องให้ไปด้วยกันไง
มันก็พอดีกับร่างกายมนุษย์ มนุษย์ถ้ามีชีวิตอยู่นี่พอดีเลย ร่างกายนี้เป็นวัตถุ จิตนี้เป็นวิญญาณ เห็นไหม แต่เวลาเราแบ่งแยกกัน เราหลงไม่เข้าใจไง มันออกจากฐานไง ไม่มองมาที่ตัวเราไง ไปมองวิญญาณก็ไปมองวิญญาณข้างนอก กลัวผีนั่น มีอะไรก็เอามาให้เราเดือดร้อน
พอมองวัตถุก็ไปมองพวกเครื่องกลไก ไม่ได้มองวัตถุตรงนี้
ดูอย่างเช่นแหวนเพชรนี่ ว่าอย่างนั้นเลยนะ แหวนเพชรนี่ เพชรเป็นวัตถุไหม? เป็นวัตถุ ถ้าเราไม่ใช่เจ้าของ มันตกอยู่กับดิน อยู่กับทราย มีค่าไหม? แต่พอเป็นของเราปั๊บ วิญญาณเข้าไปยึดไง ความรู้สึกของเราเข้าไปยึดใช่ไหม? เพชรนั้นก็เหมือนกับเดินได้เลย เราต้องเก็บมันอย่างดี เก็บเข้าตู้เซฟเลย
แต่นี้มันจะเห็นว่าการเข้าไปรับรู้ ที่ว่ามันไม่ผสมกันแบบธรรมชาติ แบบกายกับมนุษย์กับจิตของคนไง จิตของคนปฏิสนธิมันถ่ายทอดมาจากครรภ์ของมารดา แล้วเกิดปฏิสนธิขึ้นมาพร้อมกับผสมกับเรื่องของกรรมทำให้เกิดเป็นมนุษย์ขึ้นมา นั้นน่ะมันเหมือนกับเพชรที่ตกอยู่ข้างนอกนั่นล่ะ เพียงแต่ว่าเราเป็นเจ้าของเข้าไป
ไอ้นี่ก็เหมือนกัน ร่างกายนี่ พวกวัตถุเป็นเพชรนะ เป็นเนื้อหนังมังสาของพ่อแม่ แต่ต้องมีจิตปฏิสนธิเข้าไปผสมกันขึ้นมา มันเลยมองไม่เห็นสภาพความเป็นจริงกันอย่างในปัจจุบันนี้ไง เลยมองข้ามปัจจุบัน มองข้ามสถานะของมนุษย์ไง ไปติดในวิญญาณก็ติดในวัตถุ เคลื่อนออกไปจากตัวเรา ถ้าสถานะของมนุษย์มันก็เท่ากับที่ว่าโลกพยายามพัฒนาให้วัตถุกับศีลธรรมไปพร้อมกัน แล้วก็เลยย้อนกลับมาที่เราเลย เราลืมฐานตรงนี้กันเนาะ ลืมฐานตรงปัจจุบัน
มันพอดีนี่ วิญญาณก็อยู่ในร่างกายเรานี้ ไปกลัวอะไรกับข้างนอก ถ้าไม่ได้ภาวนา มันกลัวนะ กลัวเรื่องของข้างนอก กลัวเรื่องเปรต ผี เรื่องวิญญาณ แต่พอมาถึงเรานี่ ทุกอย่างเลย เห็นไหม อย่างที่เอ็งว่าทุกอย่างเลย อย่างที่ไปหัวหินนี่ไปล่อแล้ว มันมีศาลไงเบ้อเร่อเลยไม่กล้า รื้อเลยๆ เพราะเขาก็ต้องมาพึ่งเรานั่นแหละ ปลูกศาลก็ปลูกศาลไว้ให้เขาอยู่ใช่ไหม?
ผีมีจริง จิตวิญญาณนี้แน่นไปหมด มีไปหมด ถ้าผีดี มีคุณงามความดีเรียกว่าเทพ เรียกว่าเจ้า ถ้าผีเกเรเรียกว่าผี แต่ทุกอย่างนี้มันพ้นจากสถานะปัจจุบันของเราไป มันไปเสวยบุญเก่าไง ไปเสวยผลที่เขาทำมา ทีนี้พอเขามีอะไรเขาต้องมาขอเรา พอเขามาขอเรา เขาแปะๆๆ กับเรา เราอยู่ในสถานะสูงกว่าเขา เพราะเขามีสถานะเดียวคือสถานะของวิญญาณ เรามีสถานะของวิญญาณในตัวของเราด้วย มีสถานะของวัตถุที่เราสามารถทำได้ด้วย เขาถึงผ่านไง เขาต้องมาขอผ่าน เขาถึงต้องมาขอส่วนบุญกุศลของเราไง
อย่างเช่น เขาเป็นหนี้อยู่ แล้วเขาขอให้เราใช้หนี้แทน เห็นไหม เหมือนกัน เขาไม่มีสิทธิที่จะใช้ร่างกายนี้มาในภพปัจจุบันนี้ได้ เพื่อทำคุณงามความดีต่อไปไง เขาก็ต้องมาขอเรา เขามาขอเรา
แต่นี้มุมกลับนะ เรากลับไปขอเขาเนาะ เรากลับไปขอเขา ขอให้ช่วยอย่างนั้น ให้ช่วยอย่างนั้น.. ช่วยอย่างนั้น..
เขาสื่อกันได้ เขาทำกันได้ แต่พระพุทธเจ้าไม่ได้สอนอย่างนั้นเลยล่ะ
ไสยศาสตร์มีจริง อย่างหมอดู อย่างพรหมนี่มีหมดเลยแหละ แต่เป็นไสยศาสตร์ ไสยศาสตร์มันเหมือนกับโยมขี่รถมาที่นี่ ขี่รถกันมาวัดเรา ถ้าโยมไม่เลี้ยวหัวหักเข้ามาในซอยนี้ โยมก็ออกไปนู่นเลยหลังคลองวัดใหม่ เห็นไหม ออกไปนู่นเลย
ไอ้นี่ก็เหมือนกัน ไอ้พวกตำราหมอดู ฤกษ์ยามอย่างนั้นๆๆ แล้วถ้ามันเคลื่อนไปนิดเดียวมันก็ผิดหมด ถึงบอกว่าไสยศาสตร์ไง มันไม่จริงแต่มันรู้ สมมุติถ้าเราขี่รถเข้ามาตามสายทางที่เขาบอกไป คนเกิดเดือนนั้น คนเกิดวันนี้มันให้ผลไหม ก็ให้ผลจริงๆ แต่เราสามารถพลิกแพลงได้สิ เขาถึงไม่กล้าไง ไม่กล้ามาดูพระปฏิบัติไง
ดูพระปฏิบัติ เขาว่าเพียงแต่เราหลับตาสงบไป แล้วจิตมันสงบด้วยบุญกุศล นี่มันก็เปลี่ยนสถานะแล้ว สถานะของกรรมนั้นมันเปลี่ยนไปแล้ว มันได้อันนี้มาเสริมไง
ถ้าเราไปเชื่ออย่างนั้นนะ เหมือนกับเราเชื่อหลักที่ตายตัวไง มันไม่เป็นธรรมชาติไง อย่างเช่น บอกว่าเหมือนคอมพิวเตอร์ ล็อกรถปั๊บแล้วให้ไปเลย ไปตามทาง แต่ความจริงของเราเราเลี้ยวซ้าย เลี้ยวขวา ด้วยจิตวิญญาณไง ด้วยความเป็นไปไง นี่คือตามธรรม
แต่ไสยศาสตร์ต้องเป็นแบบนั้น แล้วมันจริงไหมล่ะ? มันจริงแบบที่ว่า เมื่อชาติที่แล้วเป็นอย่างนั้นๆ เขาพูดได้ไหม? เขาพูดได้แต่ปัจจุบันไง เขาพูดด้วยหลักการ เหมือนเขารู้แผนที่ แล้วเรานี่เอาดวงวิญญาณของเรา เอาชะตาชีวิตของเรา เอาไปให้เขาคำนวณไง เขาเรียนวิชาพรหมศาสตร์มา วิชาหมอดู เขาเรียนอย่างนั้น เรียนสถิติมาไง แล้วก็เอาวัน เดือน ปีเกิดของเรา ตกฟากก็ไม่เหมือนกัน อะไรก็ไม่เหมือนกัน แต่วิชานั้นตายตัวไง
ถึงบอกว่าเราไม่ได้ปฏิเสธว่ามันไม่มีนะ แต่ไม่ให้เชื่อ ไม่ให้ไปเชื่อมัน เราเชื่อพระพุทธเจ้า เชื่อธรรมะของพระพุทธเจ้า ทุกอย่างสรรพสิ่งนี้เป็นอนัตตา ความเป็นอนัตตาไง มันเป็นอนิจจัง ทุกอย่างเป็นอนิจจังคือไม่คงที่
สภาพของเรา อย่างเช่นว่า ปัจจุบันกายกับใจนี่ เห็นไหม ที่เขาพัฒนาให้เป็นเรานี่เราเป็นอยู่แล้ว ทำไมเราไม่ใช้สถานะปัจจุบันนี้ทำคุณงามความดีล่ะ? สถานะนี้พวกจิตวิญญาณยังต้องมาขอ อย่างที่ว่าเทวดาตายนะ ยังบอกว่าขอให้ได้เกิดเป็นมนุษย์.. เกิดเป็นมนุษย์พบพุทธศาสนา จะได้ทำคุณงามความดี จะได้กลับขึ้นไปเกิดเป็นเทวดาใหม่อีกไง เขาต้องการสถานะนี้เพื่อทำความดี แต่เราเอาสถานะที่เขาขอนี่กลับไปขอเขาเหมือนกันเลย กลับไปขอให้เขาช่วย
ถึงบอกว่าถ้าเราไม่ลืมสถานะนี้ แล้วเราทำของเราเอง เราตั้งใจทำคุณงามความดี ตั้งใจ ไอ้อย่างที่ว่ามันเป็นทุกข์นี่ความจริงมันไม่เป็นหรอก ทุกคนเวลามองเข้าไปหากัน อยากจะเป็นเรานะ ทุกคนมองคนอื่นว่ามีความสุขหมด อยากจะเป็นเรา แต่พอเราเข้าไปอยู่ในสถานะของเรา นี่เราเป็นทุกข์เพราะอะไร? ใครๆ ก็มองพวกนี้มีความสุขมาก อยากจะเป็นพวกนี้ เช้าขึ้นมาก็มาวัด มีแต่ความสุข เช้าขึ้นมาก็มาวัด กลับไปร่มเย็นเป็นสุข นี่เขามองอย่างนั้นแหละ แล้วเรามองใจเราทุกข์ไหม?
เรามองใจเราสิ เราจะชี้ให้เห็นว่าความจริงมันไม่ทุกข์หรอก ความจริงเป็นสถานะที่เขาอยากจะเป็นแบบเรา เพราะเขาไม่ได้เอากิเลสของเราไปคิดไง เขาเอาแต่สถานะที่เราทำอยู่ไง เช้าขึ้นมาได้ทำบุญกุศล มาวัดมาวา แต่ในใจเรา เรายังไม่สามารถสงบตัวนี้ได้ไง เชื้อไฟ ยางเหนียวที่อยู่ในใจ ยางเหนียวที่มันสุมมากับใจไง เราต้องให้ตัวนี้ยุบยอบลงไง ถ้าตัวนี้ยุบยอบลงเท่าไหร่ เราจะมีอิสระมากขึ้นเท่านั้น แล้วเราจะมีความสุขเท่านั้น
จิตที่เป็นสมาธิ เรามากำหนดพุทโธ หรือกำหนดอะไรก็แล้วแต่ ตั้งสติไว้ ไม่ให้ความคิดที่มันคิดขึ้นมาจากกิเลสอันนี้ ให้มันฟุ้งขึ้นมาได้ เห็นไหม กำหนดพุทโธ พุทโธ จนจิตสงบ นั่นล่ะคือจิตล้วนๆ ที่ตัวกิเลสมันสงบตัวลง ขนนี่พองหมดเลย ตัวนี่พองใหญ่ โลกนี้เหมือนกับปลายเข็ม เรานี่ใหญ่กว่าโลกธาตุนะเวลาจิตสงบ ปีติมันเกิด เรามีความสุขมาก แค่มันสงบตัวลงเฉยๆ นะ ยังไม่ได้ฆ่ามันเลย
นี่ไงถึงบอกว่าที่มันทุกข์ มันทุกข์ตรงนี้ไง มันทุกข์เพราะความฟุ้งซ่านของกิเลสไง ความคิดที่ไม่เป็นไปตามความเป็นจริง ถ้าความคิดตามความเป็นจริงก็อย่างที่พระพุทธเจ้าว่านั่น สรรพสิ่งในโลกนี้เป็นอนิจจัง โลกนี้มันแปรสภาพไป เราได้สถานะที่เป็นมนุษย์มา ได้สถานะที่เรามานั่งฟังอยู่นี้ เพราะเราสร้างบุญกุศลมา ถึงได้มาตกจังหวะที่เจอแจ๊คพอตที่เรา เหมือนปาลูกศร มันมีช่วงเวลานิดเดียวไง
ชีวิตนี้ ๘๐ - ๑๐๐ ปี แล้วเราตกช่วงนี้พอดีไง แล้วโลกนี้มันกี่ล้านๆ ปี โลกนี้เป็นล้านๆ ปี เราเกิดมากี่ภพกี่ชาติแล้ว เราเกิดมาหมด แล้วเราลืมสถานะนี้ได้อย่างไร? สถานะปัจจุบันที่เราพบพุทธศาสนา พบครูบาอาจารย์ สถานะอันนี้เยี่ยมที่สุดแล้ว นี่คือบุญกุศลอย่างมหาศาลเลย แล้วเราพบ แล้วเราจะเคลื่อนไปไหนล่ะ? มองไปข้างหน้า มองไปแต่เขา มองไปแต่เขาเลยนะ
เห็นเขามาหาเรา มันพูดแล้วเราสะท้อนใจนะ แล้วเราก็มองแปลกด้วย แปลกที่ว่าเขาเห็นว่าเราเป็นเด็กๆ เนาะ แหม.. เขาคุยนะ มีขันธ์ ๕ รับขันธ์ ๕ มีองค์ โอ้โฮ.. จะให้เราถามเลยว่างวดนี้ออกอะไรมั้งนี่ มาคุยว่ามีองค์นะ เรื่องนี้ไร้สาระ! ไร้สาระทั้งหมดเลย เพราะเราอยู่ป่ามันหนักกว่านี้มากนัก แต่ทีนี้พูดไปก็เหมือนกับยกย่องตัวเอง
อยู่ป่ามาเจอสภาพแบบนี้เต็มไปหมด เพราะอยู่ป่าไอ้เรื่องอย่างนี้มันจะเห็นชัด เพราะป่าเป็นที่อยู่ของจิตวิญญาณไง เทวดาเขาจะอยู่ป่ากัน อยู่ลึกๆ เพราะเขาไม่คลุกคลีกับมนุษย์ไง ถ้าอยู่แบบนั้นจะเห็นสภาพแบบนี้หมด อย่างเช่นว่า ลับลงลับแล เห็นไหม ทำไมมันบังกันล่ะ? แล้วมาคุย ถึงบอกว่าเขาลืมสถานะของปัจจุบันไง ลืมสถานะของตัวปัจจุบันนี้ไง
น่าเสียดายมากนะ คนมองข้ามตรงนี้ไป ไปมองแต่ว่าทุกข์ไง ลืมตัวเอง แต่ไปมองไปเสพว่าตัวเองนี้ไปทุกข์ในจิตวิญญาณที่ความคิดอันนั้นไง แต่ไม่ได้มองว่าใต้ความทุกข์อันนั้น มันมีสมบัติพิเศษของมนุษย์อยู่อันหนึ่ง คือหัวใจไง หัวใจที่มันเป็นรูปร่างที่สามารถจับต้องความรู้สึกได้ กับหัวใจหยาบของเขาที่ตายไปกับวิญญาณ เป็นหัวใจที่ล่องลอยนะ เป็นหัวใจที่ไม่สามารถจับต้องได้ไง มันไปตามกระแสกรรมไง
อย่างเช่นว่าหิวนี่หิวนะ พวกที่ทำความทุกข์ว่าหิวจะแย่นะ อย่างที่ว่าปากเท่ารูเข็ม แต่ไม่ตาย ฟังสิ ที่ว่าล่องลอยไปไง มันเป็นความรู้สึก มันหิวแต่มันไม่ตาย อย่างพวกที่ว่ามีความทุกข์นี่ ทุกข์มาก ทุกข์อย่างไรก็ไม่ตาย มันเป็นนามธรรม อย่างไรก็แล้วแต่ มันไม่ถึงกับดับขันธ์ได้ แต่มนุษย์นี่ ถ้าร่างกายมันแอคซิเดนส์ขึ้นมา อย่างเลือดมันคั่งนี่ตายได้ ลมตียังตายเลย
ถ้าร่างกายนี้ ความเป็นไปของสรีระมันไม่สมควรนัก มีสารเคมีเข้าไป อย่างกินยาเข้าไปก็ต้องตาย ทั้งที่จิตมันไม่อยากตายมันก็ต้องตาย เพราะมันมี ๒ สถานะรวมกัน อย่างเช่น เวลาร่างกายแข็งแรงเต็มที่เลย แต่ใครมาให้ข่าวนี่ช็อกทีเดียวก็ตาย เห็นไหม จิตรับรู้อะไรที่เกินกว่าเหตุก็ตาย จิตดับก็ตาย ร่างกายวิกาลก็ตาย แต่ของเขาอย่างนั้นเขามีแต่วิญญาณ เขาอยู่ในภพอย่างนั้น เขาอยู่ในสถานะอย่างนั้นเขาไม่ตาย
ฉะนั้น มันถึงว่าล่องลอยไง มันถึงว่าจับตัวใจไม่ได้ไง ถึงว่าเป็นมนุษย์นี่ตัวใจมันเหมือนกับเราต้อนเข้ามาอยู่ในกรอบผิวหนังแล้ว เราสามารถทำคุณประโยชน์ สามารถจะภาวนา สามารถจะทำประโยชน์ของมันได้มาก กับของเขานี้ไม่มีขอบเขต มันถึงว่าต่างกันไง
ถึงให้กลับมาดูสถานะตัวเอง แล้วดูว่าเราพบอะไร? เราควรจะเป็นประโยชน์ขนาดไหน? มองไปไกลเกินไปไง มองไปไกลเกินไปก็ไม่เห็นเลย ทั้งนั้นนะ เพียงแต่คนจะคิด คนจะรอบคอบขนาดไหน เพราะนักการเมืองก็มองไปอย่างหนึ่ง เวลาพูดก็อย่างนั้นแหละ แต่จริงๆ แล้วก็ต้องให้เจริญ เมืองก็ต้องให้เจริญ ประเทศชาติก็ต้องให้เจริญ แต่เจริญแล้วถ้ามันมีสติ มีความยับยั้งด้วย มันก็เจริญทั้ง ๒ อย่าง แผ่นดินธรรม แผ่นดินทองไง ไม่ใช่แผ่นดินทองแล้วฆ่ากัน แผ่นดินธรรมและแผ่นดินทอง