เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๑o ต.ค. ๒๕๕๓

 

เทศน์เช้า วันที่ ๑๐ ตุลาคม ๒๕๕๓
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

เราเป็นชาวพุทธนะ เรานับถือพุทธศาสนา ปู่ย่าตายายของเราเป็นผู้ฉลาด ได้นับถือพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติ เราเกิดมาท่ามกลางพุทธศาสนา พุทธศาสนาสอนเรื่องพ้นทุกข์.. พุทธศาสนาสอนเรื่องปัญญา.. ให้มีปัญญา

เราชาวพุทธ เห็นไหม โลกนี้เขาเจริญ เขาเจริญกันด้วยปัญญา เขามีปัญญานะ ประเทศที่พัฒนาแล้วประชากรของเขา บุคลากรของเขามีปัญญา มีความรับผิดชอบ ประเทศเขาถึงได้เจริญ คำว่าเจริญของเขา คือเขาเจริญในปัจจัยเครื่องอาศัย คุณภาพชีวิตของเขาสะดวกสบายขึ้น ของเรานี้พุทธศาสนาเป็นศาสนาแห่งปัญญา คนทำบุญแล้วได้บุญมาก..

มีคนถามบ่อยมากเลย บอกว่าทำบุญให้ศาสนาจะมีบุญมหาศาลมากเลย.. ถ้ามีบุญมหาศาล แล้วทำไมเศรษฐีโลกไม่เห็นเป็นชาวพุทธเลย เศรษฐีโลกทำไมไปนับถือศาสนาอื่น เราบอกว่า “ต่อไปข้างหน้าเศรษฐีโลกจะเป็นชาวพุทธ” เป็นชาวพุทธเพราะอะไร เพราะทางตะวันออกเศรษฐกิจกำลังดีขึ้น

อย่างนี้มันเป็นเรื่องของวัฏฏะ ! เรื่องผลของของวัฏฏะ !

ฉะนั้นเราบอกว่าทำบุญแล้วจะได้บุญมากเลย เห็นไหม ถ้าใครทำบุญในพุทธศาสนาจะเป็นเศรษฐี มหาเศรษฐี จะเป็นเศรษฐีโลก ไอ้ความสุขอย่างนั้นมันเป็นความสุขจากปัจจัยเครื่องอาศัย

แต่พุทธศาสนาเห็นไหม สยามเมืองยิ้ม ! สยามเมืองยิ้มคือมันสุขออกมาจากใจ... ถ้าหัวใจมีความสุขเราจะอยู่.. เห็นไหม

เวลาเราธุดงค์ไปตามกระท่อมห้องหอ ประชากรของเราอยู่ได้ แต่ทางตะวันตกนะ ถ้าถึงหน้าหนาวแล้วเขาไม่มีเครื่องทำความอุ่นนะ เขาหนาวตายเลย

ฉะนั้นเราเกิดมาในประเทศอันสมควร เราจะทุกข์จนเข็ญใจ เราจะอยู่กันแบบเศรษฐกิจพอเพียงขนาดไหน ถ้าหัวใจเราเชื่อมั่นเรื่องเวรเรื่องกรรม ความสุขมันอยู่ที่นี่ แต่ทุกคนก็ปรารถนาให้มีความเจริญเป็นเรื่องธรรมดา

ทีนี้ความเจริญ เห็นไหม ดูสิเรามีการศึกษา เราศึกษากันมา หนึ่งสมองสองแขน.. หนึ่งสมองสองขา.. จะพัฒนาประเทศชาติ !

สมองของเราไง ! ถ้าสมองของเราพัฒนาขึ้นมา เรามีการศึกษา เราศึกษาให้เรามีทางวิชาการ ถ้าคนมีทางวิชาการแล้วเราจะไม่เป็นเหยื่อของสังคม ไม่เป็นเหยื่อของกระแส แต่เพราะเราไม่มีปัญญา เราถึงเป็นเหยื่อของกระแส กระแสว่านั่นดีแล้ว สิ่งนั้นดี.. ทำการวิจัยแล้วว่าสิ่งนั้นเป็นประโยชน์ที่สุด.. สุดท้ายแล้วเขาก็ทิ้งก็ขว้าง พอหมดกระแส หมดความนิยมแล้วมันก็หมดค่า

แต่หัวใจของเรานั้นไม่ชราคร่ำคร่านะ ! หัวใจของเรานะมันจะอยู่กับเราตลอดไปใช่ไหม ถ้าหัวใจของเราจะอยู่กับเราตลอดไป หนึ่งสมองสองแขนเขาเอาไว้พัฒนาชาติ “แต่ความรู้สึกของใจ.. ศีลธรรม จริยธรรม จะอยู่กับหัวใจของเราไป”

ถ้าหัวใจของเรามีศีลธรรม จริยธรรมของเรา เราจะมีความสุขตั้งแต่เด็กจนแก่ เวลาเรามีหนึ่งสมองสองแขน เรามีปัญญาของเรา ถ้าร่างกายของเราเข้มแข็ง แข็งแรง เราจะหาปัจจัยเครื่องอาศัยให้ชีวิตเราได้ แต่ถ้าสมองเราฝ่อ ถ้าร่างกายเราอ่อนแอลงไปแล้วใครจะเลี้ยงดูเรา

เรามีลูกมีเต้านะ เราอยากให้ลูกเต้าเราเข้มแข็ง เราอยากให้ลูกเต้าของเรามีปัญญา ในทางจิตวิทยาบอกว่า วันนี้ได้กอดลูกของเราหรือยัง.. วันนี้ได้กอดลูกของเราหรือยัง.. วันนี้ได้ให้ความอบอุ่นลูกของเราหรือยัง.. วันนี้เราให้ความร่มเย็นเป็นสุขกับลูกเราหรือยัง.. นี่ไง เพราะสิ่งนี้มันจะฝังจิตนั้นไป !

ถ้าฝังจิตนั้นไป ถ้าเกิดปัญญา.. ปัญญาเป็นสิ่งที่ดี ! ปัญญาเป็นสิ่งที่ดี แต่ต้องมีศีลธรรมจริยธรรมควบคุมมัน ถ้าปัญญาไม่มีศีลธรรมจริยธรรมควบคุมมันนะ มันทำลายเราก่อน ! มันทำลายเราก่อนนะ เราคิดชั่ว เราคิดคดโกง เราคิดจะทำลายเขา พอคิดขึ้นมาแล้วมันกลัวเขาจับผิดได้

นี่มันทำลายเราก่อนนะ ! ก่อนที่เราจะทำลายคนอื่น มันทำลายหัวใจเราก่อน แต่เราไม่ได้คิดว่ามันทำลายหัวใจเรา เพราะอะไร เพราะอวิชชา เพราะความไม่รู้สึกตัว เพราะเห็นว่าเป็นผลประโยชน์ เราคิดแต่เอาประโยชน์กับเรา แต่มันทำลายเราก่อนแล้ว ! มันทำลายเราแล้ว เห็นไหม

เราได้กอดลูกเราหรือยัง.. เราได้ให้ความอบอุ่นกับลูกเราหรือยัง.. ถ้าเราได้กอดลูกของเรา เราได้ให้ความอบอุ่นกับลูกของเราแล้ว เวลามันจะทำสิ่งใด มันคิดถึงพ่อคิดถึงแม่ คิดถึงชาติ คิดถึงตระกูล คิดถึงความดีความชั่ว เวลาทำอะไรสิ่งใด มันมีการยับยั้ง นี่ศีลธรรมอยู่ที่นี่ไง !

พ่อแม่ปู่ย่าตายายของเราเป็นผู้ฉลาด ให้พุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติ เพราะพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาตินะ พ่อแม่ปู่ย่าตายายของเราก็มีศาสนาในหัวใจ เราเกิดมาในประเทศอันสมควร เกิดมาในครอบครัวที่เป็นสัมมาทิฏฐิ พอเกิดมาในครอบครัวที่เป็นสัมมาทิฏฐิแล้ว พ่อแม่ปู่ย่าตายายก็พาลูกหลานเข้าวัด ให้ความอบอุ่นกับครอบครัว

โลกเขาจะเจริญมันเป็นเรื่องของโลก โลกเจริญมันก็มีแต่วัตถุ มันก็จะเป็นอย่างนี้ตลอดไป พอมันเจริญขึ้นมาถึงที่สุดแล้ว ทรัพยากรหมดแล้ว เขาก็คิดของเขา พยายามหาทางออกของเขา เวลาถึงที่สุดแล้ว มันก็เป็นกรรมร่วมสมัยกัน

แต่ความอบอุ่นในครอบครัวของเรา ความเป็นไปในหัวใจของเรา เห็นไหม นี่พุทธศาสนาสอนเรื่องปัญญา.. ปัญญาอะไร ! ปัญญาอย่างนั้นเป็นปัญญาของโลกๆ นะ เป็นโลกียปัญญา ถ้าอย่างนั้นคอมพิวเตอร์มันดีกว่าเราอีก ทางการวิจัยนะเดี๋ยวนี้เขาใช้คอมพิวเตอร์ทำการวิจัย คอมพิวเตอร์มันคิดการล่วงหน้าไปดีกว่าเราอีก แล้วมันมีอะไร.. คอมพิวเตอร์มันมีอะไร ถ้าไม่มีไฟให้มันก็ทำงานไม่ได้แล้ว

แต่หัวใจของเราสิ ! ปัญญาอย่างนี้ เห็นไหม เวลาปัญญาในพุทธศาสนา คือปัญญาเอาความคิด.. เอาความรู้สึกของเรา.. ไว้ในอำนาจของเรา ! เอาความรู้สึก.. เอาความคิดต่างๆ ในหัวใจของเรานี้ ไว้ในอำนาจของเรา !

“ปัญญาในพุทธศาสนา คือปัญญารอบรู้ในกองสังขาร” สังขาร ความคิด ความปรุง ความแต่ง.. ความคิดที่จินตนาการออกไปนี้ เรามีสติปัญญาควบคุมมัน

นี่พุทธศาสนา..! ศาสนาแห่งพุทธะ ปัญญารอบรู้ในกองสังขาร รอบรู้ในความรู้สึกของเรา รอบรู้ในการคิดของเรา.. เพียงแต่ว่าเราคิดดีหรือคิดชั่ว เรามีสติปัญญายับยั้งของเรา ถ้ามันเกิดที่นี่ได้นะ สังคมจะมีการกระทบกระทั่งกันไหม สังคมจะมีการเบียดเบียนกันไหม

สังคมที่เบียดเบียนกันอยู่นี้ เพราะพุทธศาสนาอยู่ที่ทะเบียนบ้าน แต่ตัวเองถือผีถือเปรต ถือมาร ถือความเห็นอหังการในหัวใจเป็นศาสนา มันไม่ได้นับถือศาสนาพุทธเป็นศาสนา ถ้าพุทธศาสนาเห็นไหม ว่าผู้ที่นับถือพุทธศาสนาเป็นคนโง่ เขาต้องมีการแข่งขัน ! เพื่อความเจริญของครอบครัวของเรา

อันนั้นมันเป็นความคิดของโลก มันไม่ใช่ความคิดของธรรม เห็นไหม ดูสิเขาบอกว่าในเศรษฐกิจต่างๆ เราส่งออกต่างๆ เศรษฐกิจต่างๆ มันผิดศีลผิดธรรม.. ถ้าผิดศีลผิดธรรม แล้วมันทำให้ถูกศีลถูกธรรมก็ได้ มันอยู่ที่เราเลือก อยู่ที่เราพิจารณาของเรา

นี่อาชีพ เห็นไหม องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพูดไว้ในพระไตรปิฎกอยู่แล้ว “อาชีพที่ควรและอาชีพที่ไม่ควรทำ” แต่ในเมื่อเราต้องทำอาชีพที่เราเห็นว่ามันเป็นประโยชน์กับเรา ถ้าเราทำอย่างนั้นก็เพราะเราเลือกแล้ว อยู่ที่เราเลือกใช่ไหม เวลาเราเลือกนี่ เราจะเลือกให้ตัวเลขบัญชีเยอะๆ เสร็จแล้วเราก็จะบอกว่าเลือกให้มีบุญด้วย ! มันจะเลือกไปทุกอย่างเลย ตัวเลือกมันจะเอาหมดเลย

แต่ถ้ามันมีสติปัญญา พุทธศาสนา นี่ศาสนาให้ยับยั้งที่นี่ มันเป็นเรื่องเวรเรื่องกรรมนะ เขาบอกเลยนะ “ถ้ามีคนถือศีล ๕... ถ้ามีคนถือศีลธรรมหมด ประเทศชาติจะไม่เจริญ อู๊ย.. ถ้าคนบวชหมดเลย บวชพระกันหมดเลยนี่ โอ้โฮ.. โลกนี้จะสืบทอดสกุลกันไปได้อย่างไร”

อันนี้มันเป็นความคิดเวลาคิดไง แล้วพระจะบวชได้ไหมล่ะ บวชพระมา ๒ วันก็สึกแล้ว อยู่ไม่ไหวหรอก มันจะสึกหมดแหละ

นี่ไงเวลาเราคิด กิเลสมันคิดเอาเปรียบหมดแหละ ! มันคิดที่ว่า “ถ้าถือศีล ๕ หมดแล้ว มันจะทำกันอย่างไร” ได้หมดแหละ ถ้าเรามีปัญญานะถือศีล ๕ มันก็ทำได้ มีศีลมีธรรมขึ้นมา นี่มันเป็นประโยชน์ทั้งนั้นแหละ แต่มันไปขัดแย้งกับตัณหาความทะยานอยาก นี่เพราะปัญญาเราไม่ทันใช่ไหม พอปัญญาไม่ทัน มันก็คิดจินตนาการของมันไป เพราะไม่มีสติไม่มีปัญญายับยั้ง

ทีนี้พอไม่มีสติไม่มีปัญญายับยั้ง แล้วจะเอาสิ่งใดเป็นเครื่องตรวจสอบล่ะ.. ก็ศีลไง ! ศีลเป็นเครื่องตรวจสอบว่าควรหรือไม่ควร.. ดีหรือไม่ดี.. ถูกต้องหรือไม่ถูกต้อง..

เราจะเอาความคิดของเราเข้าไปตรวจสอบ เอาความคิดของเราไปวัดผลไม่ได้ มันต้องเอาธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะเรายังอ่อนแออยู่ เรายังไม่มีความเข้มแข็งพอ จิตใจเรายับยั้งความคิดของเราไม่ได้ เราทำสิ่งใดไม่ได้เลย สิ่งนั้นถึงต้องเอาศีลเอาธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นเครื่องตัดสินก่อน พอตัดสินขึ้นมาแล้วเราปฏิบัติของเราไปนะ เดี๋ยวมันจะเป็นของเราไง

นี่ศีลธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า กับศีลธรรมของเรา.. ถ้าศีลธรรมของเราเกิดขึ้นมาแล้ว คนที่มีปัญญา คนที่ฉลาด มันจะเอาอริยทรัพย์ไง ! ทรัพย์คือว่าเราทำคุณงามความดี เราจะไม่มียศถาบรรดาศักดิ์ ไม่มีอำนาจแบบทางโลกเขา แต่เราก็มีความสุข ! เราก็มีอบอุ่นในใจเรา !

คนที่เขามีความสุข เขามีทรัพย์สิน เขามีอำนาจทางโลก เวลาเขาจะเกษียณทีหนึ่ง เขาก็ต้องหาคนมาเช็ดขี้ให้เขาดีๆ นะ เดี๋ยวน้ำลดแล้วตอมันผุดนะ เห็นไหม เขามีความสุขจริงหรือเปล่า !

แต่เราก็ไปมองกันว่ามันเป็นความสุขไง นี่เป็นเรื่องของโลกนะ ถ้าเป็นเรื่องของเรา เราต้องมีสติปัญญากับเรา..ความสุขในอริยทรัพย์... ความสุขนะ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสุขอยู่ที่โคนต้นไม้ เห็นไหม

สมัยพุทธกาลมีกษัตริย์องค์หนึ่งออกมาบวช พอออกมาบวชเสร็จแล้วก็ภาวนาถึงที่สุดแห่งทุกข์ได้ด้วย นี่เป็นเรื่องที่มหัศจรรย์ ! เป็นกษัตริย์นะต้องบริหารจัดการ ต้องรับผิดชอบแว่นแคว้นของตัวเต็มที่เลย มันก็ทุกข์พอสมควร แล้วเวลามาภาวนา ถ้าคนผ่านโลกมามาก เวลาภาวนาสิ่งต่างๆ แล้ว ไอ้สัญญาคือสิ่งที่เป็นภาระรับผิดชอบนี้มันจะผุดขึ้นมา แล้วมันล้างได้ยากมาก

แต่นี่เป็นถึงกษัตริย์นะ แล้วมาบวชด้วย บวชเสร็จแล้วเป็นพระอรหันต์ด้วย แล้วเวลานั่งอยู่โคนไม้นะ แบบว่ามันบ่นออกมาไง มันพูดออกมาด้วยความหลุดปากไง ว่า “สุขหนอ ! สุขหนอ ! สุขหนอ !” จนพระที่อยู่ด้วยกันนะเขาบอกว่า พระอดีตกษัตริย์นี่เขาคงคิดถึงพระราชบัลลังก์ คงจะรำพึงรำพันถึงราชบัลลังก์ว่าสุขหนอ.. สุขหนอ.. ก็ไปฟ้ององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็เรียกมาหมดเลย แล้วถามว่า

“เธอพูดอย่างนั้นจริงเหรอ ? สุขหนอจริงเหรอ?”

“จริงครับ !”

“แล้วทำไมถึงบอกว่าสุขหนอล่ะ”

“แหม... มันสุขจริงๆ นะ อยู่โคนต้นไม้นี่มันสุขจริงๆ นะ มันไม่ต้องมีภาระรับผิดชอบ มันไม่ต้องแบกหามสิ่งใดๆ เลย โอ้.. เมื่อก่อนทุกข์มาก ! เป็นกษัตริย์นะ ตื่นขึ้นมาแล้วต้องรับผิดชอบประเทศชาตินะ แบกรับภาระไปหมดเลย มันมีแต่ความทุกข์”

แต่พอมาบวชแล้วนะ ถ้ามันยังเอาความคิดของเราไม่ได้ มันก็ทุกข์นั่นแหละ แต่พอมันชำระล้างแล้ว พอหัวใจมันสะอาดผ่องแผ้วได้ เห็นไหม นอนอยู่โคนไม้นี่ สุขหนอ.. สุขหนอ.. มันมีความสุข มันมีความสบาย มันไม่ต้องกลัวใคร มันไม่ต้องมีใครมาทำร้าย ไม่ต้องมีใครแย่งชิง ไม่มีใครมาแย่งโคนต้นไม้เรา ! ไม่มีใครมาแย่งสิ่งที่ไม่มีอะไรเลย !

เพราะอยู่โคนต้นไม้นะ มีบริขาร ๘ มีบาตร เช้าขึ้นมาก็ออกบิณฑบาต มีกลด มีบริขาร ๘ มีผ้าไตร มีทุกอย่างพร้อมหมด แต่เอาชีวิตไว้ เพราะชีวิตนี้ก็อยู่ได้ด้วยปลีแข้ง เช้าขึ้นมาก็ออกบิณฑบาต นี่มันมีความสุข.. มันมีความสุข สุขหนอ.. สุขหนอ.. เห็นไหม

ความสุขเกิดขึ้นมาจากข้อเท็จจริงในหัวใจ !

นี่พูดถึงว่าไม่มีสิ่งใดเลย แล้วมันจะมีความสุขได้อย่างไร.. ถ้ามันเกิดอริยทรัพย์ขึ้นมา แต่มันไม่เกิดอริยทรัพย์ขึ้นมา มันมีแต่ความฉ้อฉล นี่ก็ไม่เอา นู้นก็ไม่เอา ไม่เอาเลย ไม่เอาของน้อยจะเอาของใหญ่ไง ไม่เอาๆ ไม่เอาจริงหรือเปล่า

ฉะนั้นนี่เราต้องดู เราศึกษามาแล้ว ธรรมะบอกอย่างนั้น ฉะนั้นเวลาคนที่เวลาแสดงธรรมๆ นี่แสดงธรรมออกมาด้วยอะไร แสดงธรรมออกมาด้วยเคารพธรรม เห็นไหม เวลาแสดงธรรมนี่ไม่ลัดตัดตอน ไม่เสียดสี ไม่กล่าวร้ายกับคนอื่น แต่กล่าวร้ายกิเลสนะ เวลาแสดงธรรมนี่กล่าวร้ายกิเลส กล่าวร้ายถึงความรู้สึกนึกคิด ไอ้กิเลสในหัวใจนั่นแหละที่กล่าวร้ายมัน

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่าการฆ่าทุกอย่าง... ในศีลในธรรมไม่ให้มีการฆ่า ไม่ให้มีการทำลายกันเลย มีแต่การเสียสละ แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายกย่องสรรเสริญการฆ่ากิเลส ถ้าใครฆ่ากิเลสได้ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายกย่องสรรเสริญมาก !

การฆ่ากิเลสคือการฆ่าตัณหาความทะยานอยาก ฆ่าความคิด ฆ่าสิ่งเลวทรามในหัวใจ ตัดป่ารกชัฏโดยไม่เสียต้นไม้แม้แต่ต้นเดียว ตัดความรกชัฏในหัวใจนี้ แล้วสิ่งที่ตัดความรกชัฏในหัวใจนี่จะเอาอะไรไปตัด.. จะเอาเครื่องมือสิ่งใดไปตัด..

นี่ทางโลกเขามีเครื่องมือเครื่องไม้ใช้สอยของเขาใช่ไหม.. ในศีลในธรรม เวลาเราจะแก้ไขกิเลสของเรา คือต้องมีสติ ! เริ่มต้นต้องมีสติยับยั้งก่อน คนที่เจ็บไข้ได้ป่วย เวลาเข้าโรงพยาบาลเขาต้องวัดความดันก่อน ดูความผิดปกติของร่างกายก่อน

นี่เริ่มต้นมีสติยับยั้งความรู้สึกของตัวก่อน พอรู้สึกยับยั้งมันแล้ว ถ้ายับยั้งแล้วมันยังแฉลบ มันยังดิ้นรนอยู่ เราใช้สติใช้คำบริกรรมแก้ไข ใช้สติแล้วมีคำบริกรรมเกาะเกี่ยวมันไป ถ้าเกาะเกี่ยวมันไปแล้วจนมันตั้งตัวของมันได้

คนไข้ที่จะเข้าผ่าตัด เขาต้องฟื้นฟูร่างกายให้แข็งแรงก่อน ถ้าคนไข้ไม่แข็งแรง เอาเข้าห้องผ่าตัดนี่ตายหมด ! จิตนี้ตายหมด อู้ย... ใช้ปัญญา วิปัสสนา.. มันไม่ได้ฟื้นฟูตัวมันเองเลย อยู่ทำไร่ไถนา ดินโคลนรกชัฏในหัวใจเต็มไปหมดเลย ร่างกายนี่สกปรกไปหมดเลย มันไปถึงแล้วไปนอนผ่าตัด มันบอกว่า “ให้ผ่าตัดเลย ไม่เป็นไรผ่าตัดได้เลย”... ไม่มีการฆ่าเชื้อ ไม่ต้องทำความสะอาด มันบอกว่าผ่าตัดเลย !

แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ได้สอนอย่างนั้น...! องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่า คนจะเข้ารับการผ่าตัดใหญ่ ต้องมีการฟื้นฟูร่างกาย ต้องให้จิตใจเข้มแข็ง เวลาผ่าตัดเสร็จแล้วออกมา ร่างกายมันจะได้ฟื้นฟูได้เร็ว

“จิตใจของคนจะวิปัสสนา จะฆ่ากิเลส มันต้องมีสัมมาสมาธิ มันต้องมีตัวจิต ! เพราะจิตเป็นตัวปฏิสนธิจิต ปฏิสนธิจิตนี้เป็นตัวเกิด” เราเกิดมาจากท้องพ่อท้องแม่ แล้วบางครอบครัวที่เขาไม่มีลูกล่ะ

เราเกิดจากท้องพ่อท้องแม่ นี่มันเป็นสายบุญสายกรรม มันเป็นผลของวัฏฏะ มันเป็นผลของวิทยาศาสตร์ มันเป็นผลของโลก

แต่ในทางพุทธศาสนาบอกว่า “เกิดจากกรรม” เกิดจากจิตดวงนี้มันมีกิเลสตัณหาความทะยานอยาก มันมีอวิชชา พลังงานที่มีแรงขับ มันต้องขับไปตามธรรมชาติของมัน ไม่มีวาระ การเกิดของจิตไม่มีวาระ เกิดเป็นมนุษย์ เป็นสัตว์ เป็นอินทร์ เป็นพรหม มันเกิดตลอด มันไม่เคยตาย

“จิตนี้ไม่เคยตาย ! แต่มนุษย์ตาย.. เทวดาตาย.. อินทร์ตาย.. พรหมตาย.. มีวาระ เป็นผลของวัฏฏะ แต่ตัวจิตไม่เคยตาย !”

พอตัวจิตไม่เคยตาย มันถึงได้ซับสิ่งนี้มา แล้วมาเกิดเป็นมนุษย์นั่งกันอยู่นี่ไง มันถึงมีจริต มีนิสัย มีความนึกคิด มีความเห็น มีมุมมองแตกต่างกันไป แล้วแต่บุญแต่กรรมของแต่ละดวงจิต.. ! แต่ละดวงจิตมันซับสมบุญกรรมมาแตกต่างหลากหลาย ความแตกต่างหลากหลายนี้ เราพยายามจะควบคุมและพัฒนาของเรา นี่พุทธศาสนานะ !!

เวลาควบคุมมัน ประพฤติปฏิบัติมัน จิตแก้จิต...! “อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ.. ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน” พุทธศาสนาสอนถึงการชำระล้างจิตของตัวเอง พระพุทธศาสนาไม่ได้สอนให้เคารพใครเลย พระพุทธศาสนาสอนให้เคารพพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ !

พระพุทธเจ้าเป็นผู้ที่รื้อค้นธรรมนี้ขึ้นมา เราเคารพพระพุทธเจ้า เพราะพระพุทธเจ้าเป็นเจ้าของศาสนา พระพุทธเจ้าเป็นผู้สร้างสมบุญญาธิการมา รื้อค้นศาสนาขึ้นมา เราเคารพพระธรรม เคารพพระสงฆ์...พระสงฆ์ที่เป็นพระสงฆ์โดยเนื้อแท้ ไม่ใช่พระสงฆ์ที่ว่าเป็นพระสงฆ์แล้วแต่ทางโลก พระสงฆ์ตามกระแส พระสงฆ์ทำแต่การตลาด พระสงฆ์ทำตามโลก อันนั้นเป็นพระสงฆ์อีกอย่างหนึ่ง

พระสงฆ์ เห็นไหม พระสงฆ์ต้องเอาตัวของตัวเองให้รอดก่อน พระสงฆ์ต้องรู้ตามความเป็นจริงก่อน แล้วพระสงฆ์ถึงเอาความจริงนั้นมาสอนคน ! ถ้าพระสงฆ์ไม่รู้สิ่งใดเลย แล้วว่าพุทธพจน์ ! พุทธพจน์ !

พุทธพจน์ก็ก็อบปี้มา พุทธพจน์เอามาเป็นหน้าฉาก หลังฉากมีแต่ความพะรุงพะรังด้วยความเห็นของตัว แต่หน้าฉากเป็นพุทธพจน์ เห็นไหม

แต่ถ้าตามความเป็นจริงแล้ว “พุทธพจน์กับความเป็นจริงของพระสงฆ์ที่ปฏิบัติขึ้นมาเป็นอันเดียวกัน” ถ้าสิ่งที่เป็นอันเดียวกัน พูดออกมาจากความเป็นจริง มันก็คือความจริง พูดร้อยหนพันหนล้านหนมันก็เป็นความจริง แต่ถ้าพูดความเท็จ ! ครั้งนี้ก็เท็จ ครั้งหน้าก็เท็จ เท็จไปเท็จมา เท็จจนไม่รู้ว่ามันผูกคอตายเลย ความเท็จมันผูกคอตัวมันเอง

นี่การแสดงธรรมนะ.. นี่พูดถึงเราเป็นชาวพุทธ พูดถึงศาสนา เราจะเห็นว่าพุทธศาสนามีคุณค่าขนาดไหน ถ้าศาสนามีคุณค่า.. คุณค่าที่เราศึกษา คุณค่าที่เราปฏิบัติ จะเป็นผลของเรานะ !

เราเป็นชาวพุทธ เราทำบุญทำกุศลก็เพื่อเรา แล้วถ้ามีสติปัญญา เราได้ทาน ศีล ภาวนา ถ้าใครภาวนาเป็น แล้วจิตได้สัมผัสธรรม จะเคารพองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาก ซึ้งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จนน้ำหูน้ำตาไหล ซึ้งใจ.. ไม่ต้องมีใครบังคับให้มันไหล มันไหลออกมาจากความรู้สึกของใจเอง เอวัง