ถาม-ตอบปัญหาธรรมะ

เกิดเป็นมนุษย์

๑o ต.ค. ๒๕๕๓

 

เกิดเป็นมนุษย์
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ถาม-ตอบ ปัญหาธรรม วันที่ ๑๐ ตุลาคม ๒๕๕๓
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

อันนี้ตอบสดๆ ก่อนเนาะ นี่มันถามมา เห็นไหม

ถาม : คนที่ตายแล้ว วิญญาณไปที่ไหนเป็นที่แรกระหว่างนรกกับสวรรค์

หลวงพ่อ : ไอ้อย่างนี้มัน.. เวลาคนตายนะ พวกเรานี่สงสัยเรื่องการตาย แต่เวลาผู้ที่ปฏิบัติ เห็นไหม เวลาเรากลัวเป็นกลัวตาย นี่มันกลัวไปอย่างหนึ่ง แต่เวลาจะตาย ถ้าคนมีสติมันรู้เลยว่าจะตายหรือไม่ตาย

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะตายนะ แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพอตรัสรู้แล้ว กิเลสสิ้นไปแล้วนะ จิตนี้ผ่องแผ้วหมด พอจิตนี้ผ่องแผ้วหมด ไอ้ความเป็นความตายต่างๆ นี่มันเป็นจริง จริงตามสมมุติ คือจริงตามสภาวะอนิจจัง เป็นความจริงตามสภาวะที่มันไม่คงที่ตายตัวไง แต่เป็นความจริงอันหนึ่งของโลก

ฉะนั้นเรารู้กันได้แค่นี้ไง แต่ความจริงแท้อย่างในธรรมะนี่เราไม่รู้ ทีนี้พอเมื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะตาย เห็นไหม เดินไปนะไปถึงนายจุนทะถวายอาหารมื้อเช้าก่อน พอฉันอาหารของนายจุนทะเสร็จแล้ว เดินไปนี่หิวน้ำหิวต่างๆ ให้พระอานนท์ไปตัก นี่แล้วเวลาเดินไปคนมากราบองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตลอดทางเลย

คนเรานี่จะไปตายนะ เทศน์ไปตลอดทางเลย สอนไปตลอดทางเลย ขนาดไปที่อะไรนะที่ว่านางทั้งคู่นั่นน่ะ เห็นไหม แล้วกษัตริย์มากราบมาไหว้ไง ก็เทศน์ให้เขาฟัง พอเทศน์ให้เขาฟังเสร็จ สุดท้ายแล้วสุภัททะ พราหมณ์แก่นั่นไงมาถามปัญหา ก็เทศน์อีก

เราจะบอกว่า เห็นไหม ถ้าเราจะเป็นจะตายนี่เราต้องมีความหวั่นไหวมาก แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่เคยหวั่นไหวอะไรเลย คนเรานี่นะบอกว่าคืนนี้จะตาย แต่ตั้งแต่เช้ามานี่สอนคนตลอด แล้วสอนสุภัททะจนเป็นพระอรหันต์นะ สอนได้ตลอด นี่ไม่กลัวเป็นกลัวตาย เพราะความกลัวเป็นกลัวตายมันจบไปแล้ว

แต่พวกเรานี่เรารู้ เห็นไหม เราเป็นนักปราชญ์นะ เป็นผู้ที่มีปัญญาทางโลกมาก แต่เราไม่เข้าใจเรื่องอย่างนี้เลย แต่ถ้าเป็นเรื่องทางวิชาการนี่เราจะเข้าใจได้ เห็นไหม

“คนที่ตายแล้ว วิญญาณไปที่ไหนเป็นที่แรกระหว่างนรกกับสวรรค์”

ที่แรกนะ ! ที่แรกที่เวลาคนจะตาย จิตนี้ออกจากร่าง.. จิตนี้ออกจากร่างก่อน จิตนี้มันไป ทีนี้พอบอกว่าไปที่แรก.. ไปที่แรกนี่มันอยู่ที่การกระทำ

จิตตคฤหบดี เห็นไหม เวลาจะตายรถม้านี่มารองรับเลย ที่แรกของจิตตคฤหบดีที่ไปคือไปสวรรค์ แล้วไม่ใช่สวรรค์ธรรมดานะ เป็นสวรรค์ที่เลือกได้ ! คือสวรรค์ ๖ ชั้นนี่เปิดหมดเลย แล้วรถม้าทุกชั้นมารับ แล้วเทวดาชั้น ๑ ก็บอกว่า “มาชั้น ๑” เทวดาชั้น ๒ ก็บอกว่า “มาชั้น ๒” เทวดาชั้น ๓ บอก “มาชั้นนี้” เทวดาชั้น ๔ ชั้น ๕ ชั้น ๖ นี่เทวดาเรียกทุกคนเลย เทวดานี่เรียกร้องให้จิตตคฤหบดีไปชั้นไหนก็ได้ นี่คือที่แรกไง ที่แรกที่บอกว่าจะไป

เวลาเทวทัตทำกรรมไว้มากนะ เวลาสำนึกผิดแล้วจะมาลาพระพุทธเจ้า เห็นไหม พระพุทธเจ้าบอกมาไม่ถึงหรอก... มาไม่ถึงเราหรอก ทุกคนก็กลัวว่าเทวทัตจะมาถึงพระพุทธเจ้านะ ก็ถามพระพุทธเจ้า แล้วพระพุทธเจ้าบอกว่า “มาไม่ถึงเรา ! มาไม่ถึงเรา” พระพุทธเจ้าแบบว่ารู้อนาคตหมด เห็นไหม

“มาไม่ถึงเราหรอก ! มาไม่ถึงเราหรอก” สุดท้ายแล้วมาถึงวัดเชตวัน จะเข้าไปเฝ้าพระพุทธเจ้าก็ขออาบน้ำก่อน ทำความสะอาดร่างกาย พอลงจากแคร่ พอเท้าถึงพื้นนี่พรึ่บ ! ไปเลย นี่ไปนรกทันทีเลย... นรกอเวจีด้วย

นี่เราจะบอกว่า “คนที่ตายแล้ววิญญาณไปที่ไหนเป็นที่แรกระหว่างนรกกับสวรรค์”

ระหว่างนรกกับสวรรค์ นี่มันเป็นไป เห็นไหม เวลาจิตตคฤหบดีนี่ไปเลย สวรรค์ทุกชั้นเปิดหมด แล้วเวลาฤๅษีชีไพรหรือผู้ที่ปฏิบัติ ถ้าจิตเป็นหนึ่งนะ จิตเป็นหนึ่งไปพรหม.. แต่ถ้าคนเรามีเวรมีกรรม คือทำความชั่วนี่มันจะลงนรกอเวจีโดยข้อเท็จจริงของกรรมเลย

ทีนี้ไปที่แรกนี่มันอยู่ที่การกระทำไง ! มันอยู่ที่การกระทำอันนั้น

แต่นี้โดยสามัญสำนึกโดยทั่วไป เราทำความดีไม่เต็มร้อย.. เราทำชั่วไม่เต็มร้อย.. เราทำทั้งดีและชั่ว ! คนเราถ้าทำทั้งดีและชั่วนี่มันจะตัดสินยังไม่ได้ พอมันตัดสินยังไม่ได้ ทีนี้ที่แรกที่ไปก่อนจะไปนรกสวรรค์ คือยมบาลไง ที่ต้องไปให้ยมบาลตัดสิน เห็นไหม เพราะมันมีนะมียมบาลตัดสิน พอไปแล้วนี่เราจะไปไหน แต่ส่วนใหญ่แล้วก็ไปนรก ส่วนใหญ่แล้วก็ลงนรก ส่วนที่ไปสวรรค์นี่น้อยมาก แล้วพอไปแล้วนะจะกลับมาเกิด ก็กลับมาเกิดเป็นมนุษย์อีก

คนเราถ้าเกิดมาเป็นมนุษย์นะ สังเกตได้ไหมเวลามนุษย์เกิดเป็นมนุษย์ พอเวลามนุษย์ตายแล้วก็กลับมาเกิดเป็นมนุษย์อีก เพราะหลวงตาเล่าถึงเณรบัว เห็นไหม ที่ว่าเป็นพระ พอเป็นพระแล้วตายไป พอตายไปปั๊บ.. ตอนเป็นพระนะก็เป็นพระปฏิบัติ แต่ปฏิบัติไม่ถึงที่สุด พอไม่ถึงที่สุดใช่ไหม ทีนี้พอหลวงตาไปเจอ หลวงตาบอก “นี่เณรบัวๆ เปลี่ยนเป็นพระบัว ตายแล้วมาเกิดเป็นเณรบัว”

แล้วในวงของพระก็ถามก็คุยกัน นี่เขาเล่าของเขาได้ ก็ไปถามเขา พอไปถามเขา แล้วเขาก็บอกว่า เวลาเขาตายไปนะ พอตายไปถึงยมบาลนี่มีจิตวิญญาณมากเลย พอมีจิตวิญญาณมากเลย แล้วยมบาลก็ตัดสินว่าให้ไปทางนั้น.. ไปทางนั้น.. ไปทางนั้น แล้วพอถึงเขานี่เขาบอกว่า “แล้วเราจะไปไหนล่ะ” ยมบาลบอกว่า “ท่านจะไปไหนก็ได้ ถ้าท่านจะไปสวรรค์ให้ลงไปที่แหล่งน้ำนี้ มันจะไปเลย.. ถ้าไปนรกก็ไปอีกทีหนึ่ง”

เขาบอกว่าเขาไม่ไปไหนหรอก พอไม่ไปไหนแล้วเขาก็เดินไป พอเดินไปแล้วหิวน้ำมากก็พักเหนื่อย พอพักเหนื่อยนั่งลงแล้วก็วูบ.. วูบก็มาเกิดอีก พอมาเกิดอีกนี่เขาก็ระลึกชาติได้ เขาก็คุยกัน หลวงตาท่านฟังอยู่ ท่านยังไม่แน่ใจ

เพราะอดีตชาติก่อนที่จะเกิดเป็นเณรนี่เขาเกิดเป็นพระ แล้วเป็นพระที่ไหนเขาจำได้หมด เขาก็ตามไปหาอาจารย์เก่าของพระองค์นี้ เขาบอกว่าตอนที่เป็นพระนี่ก็ไปศึกษาพวกไสยศาสตร์ไง ศึกษาพวกไล่ผีปีศาจ คือว่ามีวิชา ! มีวิชาแต่เขาไม่ปฏิบัติ เขาไม่เข้ามาอริยสัจ แต่เขาทำคุณงามความดีของเขามาพอสมควร เห็นไหม

นี่พูดถึงว่าเวลาตายไปแล้วจะไปที่ไหนที่แรก.. เพราะเป็นอย่างนี้ เพราะเวลาตายแล้วมันอยู่ที่เวรที่กรรมของสัตว์แต่ละบุคคล เห็นไหม

“กัมมะพันธุ.. กัมมะปฏิสะระโณ” กรรมเป็นเผ่าพันธุ์.. กรรมเป็นที่กำเนิด.. กรรมที่เป็นการกระทำ.. อันนี้มันจะจำแนกให้เป็นไป

ฉะนั้นเราจะบอกว่าเวลาตายแล้วต้องเป็นอย่างนั้น มันเป็นวิทยาศาสตร์ เราถึงบอกว่าวิทยาศาสตร์แก้กิเลสไม่ได้ไง แต่เวลาแสดงธรรมะก็แสดงเป็นวิทยาศาสตร์นี่ไงเพื่อให้เราจับต้องได้ ฉะนั้นวิทยาศาสตร์นี่มันเป็นสูตรทฤษฎีที่เราทดสอบ ให้มันออกมาเป็นค่าเป็นทางวิทยาศาสตร์ใช่ไหม แต่เวลาจิตใจของคน.. ความรู้สึกของคน.. การกระทำของคน.. แล้วการกระทำของคนก็ไม่เท่ากัน

ถ้าการกระทำของคน เห็นไหม เราทำกับผู้ที่มีคุณ เป็นประเพณีของชาวพุทธนะ ถ้าเวลาบ้านไหนเขาทำไร่ไถนา วัวควายของเขาที่เขาเอาไว้ไถนา เขาจะเห็นคุณของวัวควายเขามาก เวลาวัวควายเขาตายนี่เขาไม่กินเนื้อ เขาเอาไปฝังศพ บางที่เขาถึงกับทำบังสุกุลให้ นิมนต์พระมาสวดมนต์ให้กับวัวควายของเขา นั่นเพราะเหตุใดล่ะ! เพราะนี่เป็นสังคมไทย สังคมพุทธไง ! สังคมพุทธรู้จักกตัญญูกตเวที สังคมพุทธเห็นคุณของคน ถ้าคนเห็นคุณของคน จะทำอะไรนี่มันทำไม่ได้เต็มร้อยหรอก

ฉะนั้นการกระทำของคนมันไม่เหมือนกัน ดูนะอย่างเช่นคนที่เลว เลวถึงกับทำร้ายพ่อแม่ นี่จิตใจเขาต่ำทรามขนาดไหน แม้แต่พ่อแม่ของเขา เขายังทำร้ายได้ แล้วดูจิตใจของคนสิ จิตใจของคนที่เขาดีมากนี่เขาทำอะไรไม่ได้หรอก

ฉะนั้นการกระทำแบบนี้มันถึงค่าไม่เท่ากันไง !

ค่าของกรรม... กรรมนี้เป็นอจินไตย.. กรรมนี้ไม่เสมอภาค ! เหมือนเช่นเรานี่ คนที่มาหาเราแต่ละคน เห็นไหม ได้บุญได้กรรมแตกต่างกันไป บางคนทำบุญด้วยหัวใจ ด้วยความเคารพนบนอบ บางคนมาสักแต่ว่า ไม่อยากมาเลยพ่อแม่บังคับให้มา ก็ทำไปตามประสานั่นแหละ ทำไปแกร็นๆ ไง นี่เห็นไหม บุญไม่เท่ากันไง บุญกุศลไม่เท่ากัน..

แต่ถ้าคนมาด้วยหัวใจ คนมาด้วยความซาบซึ้งใจก็เป็นอีกอย่างหนึ่ง แต่บางคนที่มานะ “เอ๊ะ.. เขาร่ำลือว่าพระองค์นี้ ขอไปดูหน่อยวะ คือจะไปนั่งจับผิด จะไปนั่งดูซิว่าจริงหรือเปล่า” นี่ไงนั่นก็เป็นอีกอย่างหนึ่ง เห็นไหม มาทำบุญที่เดียวกัน บุญกุศลยังแตกต่างหลากหลายกันไป แล้วถ้าเป็นวิทยาศาสตร์มันไม่เป็นไปตามนั้น

ฉะนั้นเวลาที่ว่า ถ้าคนตายแล้ววิญญาณไปไหน.. วิญญาณไปไหนก็ตามแต่กรรมที่มันสร้างมา ! ถ้าสร้างคุณงามความดีมา อย่างเช่นคนที่ทำคุณงามความดีมามหาศาลเลย เขาไม่กลัวตายนะ ! เขาไม่กลัวตาย เพราะมาศึกษาธรรมะแล้ว เข้าใจตามนั้นแล้วมันไม่กลัวตาย และไม่อยากตาย

แล้วยิ่งคนที่ปฏิบัตินะ คนปฏิบัติแล้ว ยิ่งไปสวรรค์ไปพรหมนี่ไม่มีใครอยากไปเลย ! ไม่มีใครอยากไปเลย เพราะเวลามันเนิ่นนานมาก ๘๐,๐๐๐ ปี ๖๐,๐๐๐ ปีนี่โอ้โฮ.. กว่าจะกลับมาอีกที ศาสนานี้ ๕,๐๐๐ ปี ไม่มีใครอยากไป คนที่ภาวนาแล้วอยากให้สิ้นสุดแห่งทุกข์ที่นี่ ไม่อยากไปสวรรค์ ไม่อยากไปพรหม ไม่อยากไป ! เพราะกว่าจะไปแล้วกลับมานะ โอ้โฮ.. ไปเกิดอีกยุคหนึ่งนะ เกิดแน่นอน !

นี่พูดถึงว่า “คนที่ตายแล้วจิตวิญญาณไปไหนเป็นที่แรก” มันพูดไม่ได้ ! มันพูดไม่ได้เพราะว่าอะไร เพราะไม่มีใครบังคับจิตของใคร ! ไม่มีใครบัญชาการพลังงานตัวนี้ได้ พลังงานตัวนี้มันจะเป็นไปตามอำนาจของกรรม

อำนาจของกรรมดีกรรมชั่วจะทำให้จิตตัวนี้ไป คือถ้ามีบุญมากก็ไปสวรรค์เลย ถ้ามีบาปมากก็ไปนรกเลย ถ้ากึ่งๆ แบบครึ่งๆ กลางๆ อย่างพวกเรา ต้องไปให้ยมบาลตัดสินว่าจะไปไหน แล้วท่านจะให้ไปตามนั้น

นี่มันเป็นไปตามนี้ มันไม่มีอะไรตายตัวไง !

 

ถาม : ทำไมมนุษย์ถึงโลภมากนักครับ

หลวงพ่อ : คนเขียนไม่โลภเลยล่ะ... คนถามปัญหานี้ไม่โลภ ถึงเห็นคนอื่นว่าโลภมาก...

“ทำไมมนุษย์ถึงโลภมากนักครับ”

มันเป็นสัญชาตญาณนะ ! มันเป็นสัญชาตญาณ !

เวลาเราศึกษาทางวิทยาศาสตร์ ทางตะวันตกนี่สภาพแวดล้อมของเขาบีบบังคับ ทำให้เขาต้องใช้ปัญญาของเขา ฉะนั้นทางวิทยาศาสตร์ทางปัญญาของเขา เขาถึงได้เจริญมาก ไอ้ของเรานี่นะมันเกิดในประเทศอันสมควร คือเกิดในประเทศที่อุดมสมบูรณ์ อุดมสมบูรณ์นะ ในน้ำมีปลาในนามีข้าว.. คนเกิดมาแล้วไม่อดตาย นี้การไม่อดตาย มันเลยไม่มีการบีบบังคับ ทางยุโรปเวลาหน้าหนาวเขาไม่มีจะกิน ! เขาไม่มีจะกิน ทุกอย่างมันไม่มีจะกิน เขาต้องเตรียมพร้อมของเขา เขาถึงพยายามใช้ปัญญาของเขาเพื่อเอาตัวรอด มันต้องใช้วิทยาศาสตร์ ใช้อะไรเพื่อความเป็นอยู่ของเขา

ฉะนั้นไอ้เรื่องที่เขาถามว่า “มนุษย์ทำไมถึงโลภมาก” นี่โดยสัญชาตญาณมันเป็นอย่างนั้น โดยสัญชาตญาณของมนุษย์มีตัณหา มีกิเลสตัณหาความทะยานอยาก มันมีอยู่แล้ว พอมีอยู่แล้ว แล้วเรามาโดนสิ่งเร้าจากภายนอกอีก

โดนสิ่งเร้า เห็นไหม ดูสื่อมันโฆษณาสินค้าสิ ทุกอย่างนี่มาจากสวรรค์นะ.. ตัวเขียวๆ เป็นปัจจัยที่ ๕ ปัจจัยที่ ๖ ขาดไม่ได้ พระพุทธเจ้าบอกปัจจัย ๔ แต่มันบอกว่าต้องเป็นปัจจัยที่ ๕ นะ รถเป็นปัจจัยที่ ๕ แต่พระพุทธเจ้าพูดถึงปัจจัย ๔ เท่านั้น หลักธรรมนี้ไม่ค้านกับความเป็นจริง ไม่ค้านกับการดำรงชีวิต

นี้การดำรงชีวิตมันต้องมีปัจจัย ๔ มีปัจจัยที่ ๕ นี่ตู่พุทธพจน์นะ กล่าวตู่พุทธพจน์ ! ปัจจัยที่ ๕ ปัจจัยที่ ๖ ปัจจัยคือว่าต้องสำคัญไปหมดไง

ฉะนั้นสิ่งดำรงชีวิตมนุษย์นี่ปัจจัย ๔ มันต้องมีอยู่แล้ว ทีนี้พอปัจจัย ๔ แล้วคนต้องการสิ่งใด นี่เราพูดถึงว่าคนทำไมถึงโลภมากไง ความโลภมันเป็นสัญชาตญาณเลย มันเป็นจิตใต้สำนึกเลย สิ่งนี้แก้ไขไม่ได้ไง.. สิ่งนี้แก้ไขไม่ได้ แต่ ! แต่ถ้าเรามาศึกษาธรรมะใช่ไหม เรามีสติปัญญาขึ้นมานะ เราจะควบคุมตรงนี้ไง

ถ้าเราควบคุมตรงนี้นะ ถ้าควบคุมตรงนี้แล้วเรากลับไปที่สัญชาตญาณเลย สัญชาตญาณคือการเดินจงกรม นั่งสมาธิ ภาวนา ให้มันเกิดขึ้นมาตามข้อเท็จจริงเลย แต่เวลาเราเดินจงกรม นั่งสมาธิ ภาวนากัน เราคิดว่าอยากได้มรรคได้ผลไง มันเป็นความอยากซ้อนความอยาก แล้วคนที่ภาวนาถึงไม่ได้อะไรเลย !

แต่ตั้งแต่หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นมา เห็นไหม ท่านปฏิบัติของท่านโดยข้อเท็จจริง โดยเนื้อหาสาระ โดยสัญชาตญาณทุกคนเกิดมาไม่อยากตายล่ะ ! ทุกคนเกิดมาแล้วอยากสิ้นนิพพานหมดล่ะ ทุกคนเกิดมา พอศึกษาธรรมแล้วอยากจะพ้นไปจากทุกข์ให้หมดล่ะ

นี่ตัวสัญชาตญาณมันมีของมันอยู่ แล้วทีนี้คนเรามันอยู่ที่การจินตนาการ พออยู่ที่การจินตนาการ แล้วพอศึกษาธรรมของพระพุทธเจ้าขึ้นมาแล้วก็เทียบเคียง เห็นไหม ดูสิเศรษฐีโลกเขามีเงินกี่หมื่นล้าน เราก็ต้องการให้มีมากกว่าเขาซักล้านหนึ่ง จะได้ชนะเขา

นี่ไงโดยกิเลสมันเป็นอย่างนั้น แต่โดยข้อเท็จจริงมันจำเป็นต้องใช้อย่างนั้นไหม ถ้าโดยข้อเท็จจริงมันต้องใช้อย่างนั้นปั๊บ นี่ไง “ทำไมมนุษย์เราเกิดมาถึงโลภมากนัก”

โลภนี่มันมีโดยธรรมชาติ ทุกคน ! คนเกิดมาทุกคนมีกิเลสหมด ถ้าไม่มีกิเลส ทุกคนไม่ได้เกิดมานั่งอยู่นี่หรอก คนที่เกิดมามันมีกิเลสทุกคนเลย ! ทีนี้พอมีกิเลสแล้วเราจะควบคุมมันอย่างไร นี่ไง

ฉะนั้นเราบอกว่า “ทำไมมนุษย์ถึงโลภมากนัก” มันก็โลภเพราะกิเลสไง ! เพราะอวิชชาไง !

นี่พระพุทธเจ้าถึงสอนถึงมารไง สอนถึงอวิชชาว่ามันน่าเกลียดน่ากลัว.. อวิชชานี่น่ากลัวมาก แต่มันอยู่บนจิต ! มันอยู่บนจิตคืออยู่บนเรา มันน่ากลัวขนาดไหน พอเราศึกษาธรรมแล้วเราก็ต้องมาขัดเกลา ถ้าเราไม่ขัดเกลานะ... “ทำไมมนุษย์มันโลภมากนัก” แล้วเราก็ไม่เคยดูแลมันเลย แล้วเราก็ส่งเสริมมันด้วยนะ ไอ้ความโลภอันนี้มันจะทำให้ชีวิตเราทุกข์ยาก !

ไอ้ความโลภอย่างนี้มันทำให้เราทุกข์เรายาก ไอ้ความโลภอันนี้มันทำให้เราเจ็บช้ำน้ำใจไง ทีนี้ธรรมะจะไปแก้มันไง ! ธรรมะจะไปแก้มันไง ที่เรามาศึกษา เราเป็นชาวพุทธ เราจะแก้มันอยู่นี่ไง

ถ้าเราจะแก้มัน.. เรารู้ว่ามนุษย์ทำไมโลภมากนัก ! เราก็เอาศีลเอาธรรมมาขัดเกลามันไง เอาศีลเอาธรรม เอาความจริงของเรามาขัดเกลามัน มาดูแลมัน ถ้ามาดูแลมันนะ ไอ้ความโลภมากนัก นี้เราก็เห็นโทษมันไง

คำว่าเห็นโทษนะ “กินก็กินเท่านี้.. อยู่ก็อยู่เท่านี้.. สร้างตึกมาร้อยชั้น ก็นอนแค่ที่นอนนี้...”

นี่ไงปัญญามันจะย้อนกลับมาไง ถ้ามีปัญญาย้อนกลับมานะ เรามีมากมีน้อยเราก็เจือจานชาวบ้านเขา เราก็เจือจานเขา เราก็หาของเรา เราก็ดูของเรา

นี่มันจะแก้โลภที่นี่ไง ! ไม่ใช่ว่ามนุษย์มันโลภมากนัก.. แล้วจะทำอย่างไรความโลภมันถึงไม่มีล่ะ.. มันเป็นไปไม่ได้หรอก !

บาดแผลนี่นะ เวลาเราไปคุ้ยมันนะ ไปเขี่ยมันนะ มันมีแต่เลือดกับเลือด บาดแผลนี่ ยิ่งไปแกะมันนะเลือดมันยิ่งออก ทำไมมนุษย์มันโลภมากนัก.. แล้วเราเข้าไปหามันนะ มันยิ่งโลภมากขึ้นเรื่อยๆ มันยิ่งจะโลภขึ้นเรื่อยๆ ไอ้ที่ว่าเขาโลภมากแล้วเราไม่โลภนี่แหละมันจะโลภมากขึ้นเรื่อยๆ

แต่ถ้าเรามีปัญญา เห็นไหม เราสอนมันไง ! เราสอนมันว่าทำไมเป็นอย่างนี้.. ทำไมเป็นอย่างนี้ นี่ไงมันเห็นเหตุเห็นผล

“กิเลสไม่มีเหตุมีผล ! กิเลสไม่มีเหตุมีผล มันคิดได้ร้อยแปด”

นั่งอยู่นี่มันจะเหาะไปดวงจันทร์กัน นั่งอยู่นี่มันอยากมีเหมืองทองคนละ ๕ เหมือง แล้วมันเป็นไปได้จริงไหม.. กิเลสไม่มีเหตุมีผล แต่มันโลภไม่มีวันหยุด ! มันไม่มีเหตุมีผลนะ ใครบ้างไม่อยากถูกหวยรางวัลที่หนึ่ง ๕๐๐ ครั้ง เอ็งได้ ๕๐๐ ครั้ง กูขอ ๕๐๐ กับ ๑ ครั้ง กูขอมากกว่าเอ็งครั้งหนึ่ง

นี่ไงทำไมมนุษย์มันโลภมากนัก.. มันไม่มีเหตุมีผลไง เราถึงได้ทำไง หลวงตาสอนว่า “เหตุและผลคือธรรม ! เหตุและผลน่ะกิเลสมันกลัว”

กิเลสนะ ถ้าเราตั้งสติของเรานะ แล้วเราเอาเหตุเอาผลของเราเข้าไปต่อรองกับมัน เหตุและผลคือธรรม ! ถ้าเอาเหตุผลเข้าไปนี่มันฟังบ้าง แต่ถ้าคนอื่นสอนมันไม่ฟังนะ...

นี่พูดถึงว่าทำไมคนมันโลภมากนัก !

 

ถาม : พระสงฆ์ที่เข้าร่วมชุมนุมทางการเมืองผิดศีลหรือไม่ สมควรหรือไม่สมควร

หลวงพ่อ : ถ้าพูดอย่างนี้ สังคมสงฆ์เราก็เป็นสงฆ์นะ

“พระสงฆ์ควรเข้าชุมนุมทางการเมืองหรือไม่” ไม่สมควร ! ไม่สมควร ! ไม่สมควร ! เพราะมันมีในสมัยพุทธกาล พระอชาตศัตรูใช่ไหมจะปฏิวัติ นี่คือการเมือง

พระอชาตศัตรูเป็นคนดีนะ เวลาเกิดขึ้นมา อาวุธในพระราชวังของพระเจ้าพิมพิสารนี่มีแสงขึ้นหมดเลย แสดงว่าอู้ฮู.. แรงมาก แล้วก็พวกพราหมณ์ในราชวังบอกว่า “นี่จะแย่งราชบัลลังก์ ให้ฆ่าทิ้ง ! ให้ฆ่าทิ้งเลย”

ทีนี้พอบอกให้ฆ่าทิ้ง แต่พ่อก็ต้องรักลูกเป็นธรรมดา “แล้วมีทางแก้ไขได้ไหม มีทางแก้ไขอย่างไรได้บ้าง” สุดท้ายแล้วก็บอกว่าถ้ามีทางแก้ไขก็ต้องแก้ไข ต้องดูให้ดีว่าจะทำอย่างไร พอสุดท้ายแล้วก็เลยตั้งชื่อให้ว่า “อชาตศัตรู ! คือไม่เป็นศัตรูกับใคร” เป็นเด็กที่ดีมาก แล้วเลี้ยงดูมาอย่างดีมาก เห็นไหม เขาพยายามแก้ไข แต่เพราะเวรเพราะกรรม ! เพราะเวรเพราะกรรมไง

ถึงเวลาแล้ว เทวทัตอยู่กับพระพุทธเจ้า พอเทวทัตนี่อยากจะปกครองสงฆ์ แต่มันไม่มีใครมาศรัทธาพระเทวทัตเลย เทวทัตก็เลยคิดว่าต้องหาฐาน.. หาฐานไว้อย่างไร จะสร้างฐานการเมือง พอสร้างฐานการเมืองก็คิดว่ามองหาใครก็ไม่เจอ สุดท้ายก็มองไปที่อชาตศัตรู

อชาตศัตรูเป็นมกุฎราชกุมาร จะขึ้นปกครองแทนพระเจ้าพิมพิสาร ฉะนั้นพอไปหา ไปยุไปแหย่ใช่ไหม พอไปยุแหย่นี่เหตุผลมีนะ ไปบอกอชาตศัตรูว่าให้ปฏิวัติ

“ทำไมต้องปฏิวัติ เดี๋ยวพ่อก็ให้เอง”

“อ้าว.. เดี๋ยวถ้ามึงตายก่อนพ่อมึงล่ะ”

โอ้โฮ.. คิดแล้วนะ ยุทุกวัน ! ยุทุกวัน ยุจนสุดท้ายนะเอาอาวุธไปเข้าเฝ้าเลย คือจะลอบปลงพระชนม์เลย ทีนี้ทหารก็จับได้ก่อน พอจับได้ก่อนแล้วพ่อก็ถามว่าลูกอยากได้อะไร อยากได้ราชบัลลังก์ พออยากได้ราชบัลลังก์ก็จะให้เลย ให้ทุกอย่างนะ ! ให้ทุกอย่าง ลูกอยากได้นี่ให้เลย

ทีแรกก่อนที่จะเข้ามาก็จับได้ก่อน พอจับได้ก่อนเขาก็ถาม เพราะพวกทหารพอจับได้ก็แบ่งเป็น ๒ ฝ่าย ฝ่ายหนึ่งบอกว่าจะฆ่าเลย เพราะว่าพอจับอชาตศัตรูได้ใช่ไหม ก็ต้องจับเทวทัต พอจับเทวทัตแล้วก็จะจับสงฆ์ จะฆ่าสงฆ์หมดเลย แล้วอีกฝ่ายหนึ่งเขาประชุมกัน เขาประชุมกันในสภา

ฝ่ายหนึ่งบอกว่าต้องจับฆ่าหมด อีกฝ่ายหนึ่งบอกว่าไม่ได้ ! ไม่ได้ ! จำไม่ได้หรือ เพราะก่อนที่จะมีเรื่องนี้ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้พระสารีบุตร... เพราะพระสารีบุตรนี้รู้อนาคตไง พระพุทธเจ้ารู้อนาคต.. อนาคตังสญาณรู้หมดก็ให้พระสารีบุตรไปเดินประกาศที่นครราชคฤห์ บอกว่าเทวทัตกับสงฆ์ไม่เกี่ยวกัน ! เทวทัตกับสงฆ์ไม่เกี่ยวกัน ! เทวทัตกับสงฆ์ไม่เกี่ยวกัน ! ประกาศอยู่ ๗ วันก่อนที่จะเกิดเรื่อง

พอเกิดขึ้นมานะ พออชาตศัตรูเอาอาวุธเข้าไปแล้วนี่เขาจับได้ พอจับได้แล้วก็เลยบอกว่าเทวทัตเป็นสงฆ์ เป็นพระองค์หนึ่งใช่ไหม ทีนี้ขบวนการสงฆ์ก็ปฏิวัติด้วย ก็บอกว่าให้จับให้หมด ! แต่อีกฝ่ายหนึ่งบอกว่าจำไม่ได้หรือ พระพุทธเจ้าประกาศก่อนอยู่ ๗ วันไง บอกว่าเทวทัตไม่เกี่ยวกับสงฆ์ ! ไม่เกี่ยวกับสงฆ์ !

พอประชุมไม่ลงกันก็ไปเฝ้าพระเจ้าพิมพิสาร พระเจ้าพิมพิสารก็ซักทั้ง ๒ ฝ่าย ฝ่ายหนึ่งบอกว่าให้ฆ่าให้หมด.. แต่อีกฝ่ายหนึ่งบอกว่าไม่ได้ เพราะว่ามันไม่เกี่ยวกันแล้ว มันขาดกันตั้งแต่ที่ว่าพระสารีบุตรประกาศก่อนแล้ว

สุดท้ายแล้วพระเจ้าพิมพิสารบอกว่า พวกที่บอกว่าฆ่าไม่ได้นี่ถูกต้อง เพราะมันไม่เกี่ยวกันจริงๆ เพราะพระเจ้าพิมพิสารเป็นพระโสดาบัน สุดท้ายก็ให้เลิกให้เคลียร์กันไป แล้วก็ให้พระอชาตศัตรูขึ้นครอง พอพระอชาตศัตรูขึ้นครองแล้วจะฆ่าพ่อก็ไม่กล้า เพราะจิตใจเป็นคนดีอยู่ แต่ด้วยเวรด้วยกรรมโดนยุแหย่ ก็จับพระเจ้าพิมพิสารไปขังไว้ไง ขังไว้เพราะจริงๆ แล้วไม่กล้าฆ่า ก็ขังไว้

เหตุที่มันเกิดมา นี่การเมือง เห็นไหม เพราะในพระไตรปิฎกมันมียืดยาวมาก..

“พระสงฆ์ควรเข้าชุมนุมการเมืองหรือไม่..”

ไม่ควร ! ไม่ควร ! ไม่ควรเข้าชุมนุมทางการเมือง เพราะถ้าการเมืองแล้ว การเมืองมันเป็นเรื่องของอำนาจ ฉะนั้นในกฎหมายของ พ.ร.บ.สงฆ์ในเมืองไทยที่ว่า “พระสงฆ์ห้ามยุ่งการเมือง.. พระสงฆ์ไม่มีสิทธิลงคะแนนเสียง.. พระสงฆ์ไม่มีสิทธิเลือกตั้ง” ไม่มี ! เขาแยกออกไปเลยไง

พระสงฆ์ เห็นไหม เมื่อก่อนนะในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราช พระสงฆ์นี่มีค่ามากกว่านี้เยอะนะ เพราะเราศึกษามา.. ศึกษามาตั้งแต่หลวงปู่หล้าท่านเล่าให้ฟังว่า สมัยก่อนพระสงฆ์เวลาจะไปไหนนะ รถราทุกอย่างนี่เขาจะให้อำนวยความสะดวกให้พระสงฆ์ เพราะพระสงฆ์หยิบเงินหยิบทองไม่ได้

สุดท้ายแล้วพอสังคมมันอ่อนแอลง สังคมอ่อนแอลง ! สังคมหยาบช้าลง ! บอกให้พระสงฆ์มีค่าเท่ากับข้าราชการ ให้เสียค่ารถครึ่งราคา ให้ทุกอย่างนี่เห็นไหม แต่เดิมพระสงฆ์นี่นะเขายกไว้ เขายกพระสงฆ์ไว้สูงมาก แต่พระสงฆ์เราทำตัวกันไม่น่าเชื่อถือ แล้วสังคมนี้เริ่มอ่อนแอลง ถึงบอกว่าให้พระสงฆ์มีค่าเท่ากับราชการ คือทุกอย่างสิทธิเหมือนราชการ แล้วพระสงฆ์นะ พระสงฆ์มีสิทธิ เห็นไหม

ยกเว้นพระสงฆ์ไม่ต้องเสียภาษี นี่เพราะอะไร เพราะพระสงฆ์ไม่มีสิทธิ พระสงฆ์ไม่มีอาชีพ พระสงฆ์ไม่มีรายได้ พระสงฆ์ไม่มีสิ่งใดๆ เลย ถ้าตามธรรมวินัยนะ

ฉะนั้นพระสงฆ์ไม่ควรยุ่งเรื่องการเมือง ไม่ควรยุ่งเด็ดขาด ! แต่นี่การเมืองมันมายุ่งกับพระสงฆ์ไง ! ย้อนกลับแล้ว.. มันไม่ใช่ว่าพระสงฆ์ไปยุ่งกับการเมืองน่ะ แต่การเมืองมันมายุ่งกับพระสงฆ์ แล้วจะทำอย่างไรล่ะ... การเมืองมันมายุ่งกับพระสงฆ์ ! พระสงฆ์ที่ไหนมีชื่อเสียง การเมืองเข้าไปเกาะหมดล่ะ

นี่ไง นี่เราไปมองกันเอง... “พระสงฆ์ที่เข้าร่วมชุมนุมการเมืองนี่ผิดศีลหรือไม่”แต่ถ้าเป็นเรื่องการเมืองนี่เขามีอยู่แล้วนะ แล้วถ้าพระสงฆ์เรามีสติ พระสงฆ์เราจะไม่ทำขนาดนั้นหรอก แต่พระสงฆ์ก็เป็นมนุษย์คนหนึ่ง พระสงฆ์ก็อยู่ในสังคมๆ หนึ่ง พระสงฆ์ก็อยากให้สังคมนี้ดีที่สุดนั่นล่ะ อันนั้นพระสงฆ์ที่ดีไง เห็นไหม

พระสงฆ์ที่ดี.. นี่พูดแล้วเราสะเทือนพอสมควรเรื่องหลวงตานี่ หลวงตาท่านบอกว่า เขาหาว่าท่านไปยุ่งเรื่องการเมือง.. ท่านบอกว่าท่านไม่ยุ่งการเมือง การเมืองเป็นของสกปรก แต่ท่านช่วยเหลือสังคมต่างหากล่ะ ท่านอยากช่วยเหลือโลก ! ท่านอยากช่วยเหลือสังคม ! ทีนี้พอสังคมมันรวมกันเข้า ในเมื่อชุมชนรวมขึ้นมามันก็เป็นการเมืองโดยธรรมชาติ แต่ท่านไม่ยุ่งกับการเมือง

เราเป็นลูกศิษย์หลวงตา เอ้า.. วันนี้พูดเต็มปากเลยนะ ไม่เคยพูด.. เพราะเขาบอกว่าเราเป็นลูกศิษย์หลวงตา เราบอกว่าไม่ใช่.. เราไม่ใช่ แต่นี่เราจะบอกว่าเราเป็นลูกศิษย์หลวงตา เพราะว่าเราเคยเห็นหลวงตามาเรื่องอย่างนี้ เรื่องสิ่งที่เขาให้ยศถาบรรดาศักดิ์อะไรกับท่านมาเยอะแยะ เมื่อก่อนท่านไม่เอาๆ ทั้งนั้นแหละ แต่สุดท้ายนี่ท่านออกมาช่วยชาติ พอออกมาช่วยชาติต่างๆ แล้ว สิ่งนี้ผลตอบแทนขึ้นมาเพื่อเป็นเกียรติ ! เป็นเกียรติของศาสนา ท่านก็พอรับไว้เป็นพิธีเท่านั้นแหละ

ทีนี้หลวงตาท่านไม่ยุ่งเรื่องการเมืองหรอก จริงๆ แล้วโดยความรู้สึก โดยน้ำใจของท่าน ท่านไม่ยุ่งกับการเมืองหรอก แต่ในเมื่อเราออกมาช่วยโลก คือมันออกมาช่วยใช่ไหม พอมาช่วยปั๊บ นี่สังคมเป็นฝักเป็นฝ่ายขึ้นมา มันก็เป็นการเมืองขึ้นมาเพราะความเชื่อ ! ความเชื่อแบ่งเป็นฝักฝ่ายขึ้นมา แล้วเราจะช่วยเขา เราจะให้พ้นจากวิกฤตินั้นไป

ถ้าหลวงตาท่านปล่อยให้มีการรวมบัญชีนะ แล้วพอรวมบัญชีไปแล้วนะ แล้วเกิดเศรษฐกิจรอบสุดท้ายนี่ เพราะรวมบัญชีเงินนี้มันก็ต้องไปลงทุนในพันธบัตรเขาหมดน่ะ เมืองไทยจะล่มรอบสองนะ !

ถ้าตอนนั้นหลวงตาไม่ออกมาเคลื่อนไหว มันจะมีการรวมบัญชี พอรวมบัญชีเสร็จแล้ว เงินนี้ก็ต้องหาผลประโยชน์ ก็คือซื้อพันธบัตรของทางยุโรป แล้วมันก็จะล้มไปแล้ว ท่านทำนี่ท่านเอาตัวท่านน่ะเจ็บปวดขนาดไหน เอาแลกมา.. แลกมาเพื่อประเทศชาติ ใครคิดถึงบุญคุณท่านบ้าง ! ใครคิดถึงบุญของท่านบ้าง ! มีแต่ด่าสาดเสียเทเสีย แต่บุญคุณของท่าน ท่านทำเพื่อประเทศชาติใครคิดถึงบ้าง !

แต่อันนี้.. เวลาไปร่วมชุมนุมทางการเมืองนี่ไม่ควร ! ไม่ควร ! เห็นด้วย ไม่ควร.. เราอย่าไปยุ่งกับการเมือง เพราะการเมืองจะมายุ่งกับเรา

แต่สำหรับครูบาอาจารย์.. พอเราพูดอย่างนี้ปั๊บ เราเป็นลูกศิษย์ใช่ไหม พูดแต่ว่าพระสงฆ์ที่อื่น แล้วพระสงฆ์ของพวกเราทำไมไม่พูดถึง นี่เราพูดถึงนี้เราถึงบอกให้เห็นว่า เวลาท่านทำ ท่านทำของท่านอย่างนั้นนะ

นี่พูดธรรมะ เดี๋ยวมันจะเข้าไปการเมือง... จบ

 

โอ้.. ไปเรื่อยๆ นะ เพราะอันนี้เราให้เขาถามขึ้นมาเอง

ถาม : ผมโดนรถชน ต้องผ่าตัดสมองถึง ๓ ครั้ง อยากทราบว่าเป็นเคราะห์กรรมของผม หรือความประมาทของผู้อื่น

หลวงพ่อ : เราจะบอกอย่างนี้นะ อุบัติเหตุคือกรรมเวร ! กรรมเวรนี่มันเกิดจากอุบัติเหตุ อย่างเช่นเราอยู่กับครูบาอาจารย์นะ เวลาท่าน... เอ่ยถึงเลยก็ได้ พูดตามตรงเลยล่ะ หลวงปู่จวน.. หลวงปู่จวนนี่ทุกคนจะไปขอประวัติท่านเยอะแยะเลย ท่านไม่ยอมให้ แต่สุดท้ายแล้วท่านก็เขียนประวัติท่านไว้ ๗-๘ ม้วน ท่านอัดเทปเสียงท่านไว้เอง แล้วท่านก็เอาไว้ที่ชั้น ๕ ที่ภูทอกอยู่ชั้น ๕

ธรรมดาท่านจะไม่ให้ประวัติใครนะ แต่ทีนี้พอท่านจะให้ เพราะท่านรู้ว่าท่านจะไปตาย ท่านก็พูดประวัติของท่านใส่ไว้ในเทป ๕-๖ ม้วน แล้วเอาไว้ที่ชั้น ๕ แล้วท่านก็มาขึ้นเครื่องบินที่อุดรฯ แล้วก็มาเครื่องบินตกที่ปทุมฯ แล้วท่านก็เสียไป

ฉะนั้นพอท่านเสียไปปุ๊บเขาก็พยายามวิ่งกัน ท่านก็สั่งพระไว้ว่า ท่านเขียนประวัติของท่านไว้ ท่านพูดประวัติของท่านไว้ในเทป แต่พอไปนะไม่เจอเลย ลมนี่นะลมมันพัด ลมนี่มันพัด มันหอบเอาเทปนี่หายไปหมดเลย เทปนี่มันไปตกอยู่ที่ภูเขาไง เขาไปรื้อค้นได้ไม่กี่ม้วน ได้ไม่ครบ คือว่าท่านไม่ให้ไง

นี่เราจะบอกว่า อุบัติเหตุคือกรรม ! คำว่าอุบัติเหตุนะ

ฉะนั้นเราบอกว่า สิ่งที่ว่าเวลาครูบาอาจารย์... อย่างเช่น คนละมิติที่เขาจะสื่อความหมายกัน เพราะว่าจิตวิญญาณเขาไม่มีมือ เขาใช้ลม เห็นไหม เวลาลมพัดนะ ลมหอบสิ่งต่างๆ ไป ไอ้เรื่องเฮอริเคนนั่นเรื่องของเขานะ เขาไม่เกี่ยวกับเรา

แต่เรื่องความเป็นจริงนี่มันมีของมันอย่างนั้น ทีนี้ถ้ามีอย่างนั้นแล้วเขาบอกว่า “เวรกรรมๆ นี่เพราะมีกรรมๆ” ไอ้เคราะห์เวรเคราะห์กรรมนี่นะ อย่างเราโดนรถชนนี่มันเป็นอุบัติเหตุไหม.. เป็น ! แล้วเวลาเกิดอุบัติเหตุนี่นะ ถ้าเขาเกิดสตินะ เขาแค่มีสตินิดเดียว เขาหักพวงมาลัยหลบนะ อุบัติเหตุนั้นไม่มีแล้ว

เคยเห็นไหมเครื่องบินตกน่ะ เวลาเครื่องบินตก เครื่องบินโดยสาร คนที่มานี่มาจากทั่วโลกเลยนะ มาขึ้นเครื่องบินลำเดียวกัน แล้วก็ไปตกตุ๊บ ! ตายพร้อมกันหมดเลย นี้มันมาจากอะไรล่ะ.. แล้วกรรมทำไมมันกระจายไปขนาดนั้นล่ะ..

พอพูดเรื่องอย่างนี้แล้วทุกคนจะน้อยใจไง อย่างเช่นเราพิการ เราพิการเราก็บอกว่านี่เพราะเรามีเวรมีกรรม.. เรามีเวรมีกรรม หมอมันทำไม่ดีไง หมอผ่าตัดผิดพลาดทำให้พิการ แล้วมาโทษเวรโทษกรรม.. ก็อุบัติเหตุเกิดจากหมอนั่นล่ะ มันก็เป็นเวรเป็นกรรมนั่นน่ะ เพราะว่าโรคเวรโรคกรรมมันมีของมัน โรคความชราภาพมันมีของมัน

ฉะนั้นสิ่งที่ว่า “ผมถูกรถชน ผ่าตัดสมองถึง ๓ หน อยากทราบว่าเป็นเคราะห์กรรมใช่ไหม...” มันเป็นเคราะห์กรรมแน่นอน ทำไมคนอื่นไม่เป็น แต่เป็นเคราะห์กรรมนี่ ไม่ใช่ว่าเคราะห์กรรมแล้วมันจะต้องทำร้ายตัวเอง คิดเหยียบย่ำตัวเองนะ

ทำไมเราเกิดมาเป็นเจ๊กล่ะ ทำไมเราไม่เกิดมาเป็นคนไทยเหมือนเขาล่ะ นี่เป็นเคราะห์กรรมของเราหรือเปล่า ในหมู่คณะนะ เวลาเพื่อนเขาไปด้วยกัน เวลาไปอยู่ในหมู่น่ะเขาบอกว่าพระสงบดีมากเลย เณรมันถาม “ทำไมท่านต้องเป็นเจ๊กด้วย”

อ้าว.. เราเกิดเป็นเจ๊กนะ อ้าว... แล้วมันเป็นเวรเป็นกรรมหรือเปล่าเนี่ย โอ๋ย.. เราก็ต้องน้อยใจนะ เราเกิดเป็นเจ๊ก เราไม่ได้เกิดเป็นคนไทยเชื้อ ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ เราไม่ใช่ไทยแท้ ! อ้าว... แล้วดันมาเป็นพระสงฆ์ด้วย.. อย่างนี้เป็นเวรกรรมหรือเปล่า?

ที่เราพูดนี่เราจะพูดให้เห็น เราจะพูดแบบว่าให้ทุกคนไม่เหยียบย่ำตัวเองไง เพราะถ้าอย่างนั้นปั๊บเราก็บอกว่าเราต่ำต้อยกว่าคนอื่นใช่ไหม เรามีกรรมอย่างนั้น แต่คนอื่นเขาไม่มีกรรม เราด้อยกว่าเขาใช่ไหม คนอื่นเขาจะมีคุณค่ามากกว่าเราใช่ไหม เราด้อยกว่าเขาเหรอ เราถึงมีกรรมอย่างนี้

มันเป็นเวรกรรมของแต่ละส่วนบุคคล ! ฉะนั้นพอสิ่งนี้มันมีเวรมีกรรมใช่ไหม ผ่าตัดสมองถึง ๓ หนใช่ไหม แต่ถ้าผ่าตัดสมอง ๓ หนแล้วหาย นี่คือกรรมดีไง ! แล้วเวลากรรมดีนี่ไม่พูดถึง เวลาคนเขามีเวรมีกรรมนี่โป้ง ! เดียวตายเลย ไอ้เรายังฟื้นมายังหายมา อย่างนี้เป็นกรรมดีหรือเปล่า ?

เหรียญมันมี ๒ ด้านไง มีด้านมืดและด้านสว่าง มีด้านบวกและด้านลบ ในชีวิตเราก็เหมือนกัน มันก็มีด้านบวกและด้านลบ ทุกคนก็อยากมีด้านบวกหมด เหรียญมันมีด้านเดียวไม่ได้ เหรียญมันมี ๒ ด้าน ความรู้สึกของเราเดี๋ยวก็บวกเดี๋ยวก็ลบ

ฉะนั้น มีสติปัญญาแล้วเราพยายามสร้างแต่ทางด้านบวก ด้านลบเราไม่คิดถึงมัน ด้านลบมันเป็นสิ่งที่เขาเรียกว่ากรรมใหม่-กรรมเก่า ดูสิอย่างเช่นเมื่อวานเราทำสิ่งอะไรไม่ดีไป วันนี้มันให้ผลมาใช่ไหม เมื่อวานใครปลูกต้นไม้ไม่ดี วันนี้ต้องไปปลูกใหม่นะ เพราะเดี๋ยวมันตาย แต่ถ้าเมื่อวานใครปลูกต้นไม้ไว้ดีมากเลย วันนี้ต้นไม้ไม่ต้องไปทำอะไรเลย รดน้ำแล้วมันจะขึ้นเลย

ถ้าเมื่อวานทำสิ่งที่ดีไว้นะ วันนี้จะดีมากๆ เลย.. ถ้าเมื่อวานทำสิ่งที่ไม่ดีไว้นะ วันนี้ต้องไปแก้ไข..

ฉะนั้นสิ่งที่เกิดขึ้นมานี้ มันเป็นผลเกิดจากเมื่อวานนี้ พอเกิดจากเมื่อวานนี้ แล้วเราจะแก้ไขวันนี้... เราจะแก้ไขวันนี้ ! พระพุทธเจ้าสอนอย่างนี้ ! พระพุทธเจ้าสอนปัจจุบัน พระพุทธเจ้าสอนให้แก้ที่นี่ ! แต่ถ้าถามว่ามันเป็นเวรเป็นกรรมไหม... เป็น ! แต่กรรมดี-กรรมชั่ว อยู่ที่การแก้ไข พัฒนามัน ทำให้ดีขึ้น !

โอ้โฮ...

ถาม : หมาหอนที่ศาลานี้ แต่บางคน(ฝั่งนู้น)ได้ยิน บางคนไม่ได้ยิน ทั้งที่ตื่นอยู่ ไม่ทราบว่าเป็นเพราะอะไร

(ผู้ฟังหัวเราะ)

หลวงพ่อ : หมาหอนอยู่ฝั่งนี้... ไอ้นี่เป็นคำถามสัพเพเหระเนาะ แต่เราจะตอบเพราะอะไร เพราะพวกนี้เป็นพวกเด็กใหม่ เขาเพิ่งมา แล้วเราเป็นคนบอกเองว่าให้เขียนขึ้นมาถาม แล้วถ้าเขียนขึ้นมาแล้วไม่ตอบ เดี๋ยวหาว่าพระโกหก.. ก็พระท้าเองให้ถาม แล้วทำไมพระไม่ตอบ

มันเป็นไปได้หมดเลยนะ มันเป็นไปได้... อย่างเช่นเรานั่งคุยกันนี่ ถ้าคนเพลินอยู่จะไม่ได้ยิน คนเล่นกันอยู่น่ะ เวลาพูดกันบางคนได้ยินบางคนไม่ได้ยิน เห็นไหม ความเพลินของเขา คือจิตมันสนใจสิ่งใดอยู่ เขาเรียกชวนะ !

เรื่องอายตนะ.. ชวนะนี้ ถ้าจิตเราสมบูรณ์ใช่ไหม เสียงกระทบหูแล้วจิตรับรู้ นี่เขาเรียกว่าจักขุวิญญาณ.. โสตวิญญาณ.. ฆานวิญญาณ.. คือวิญญาณรับรู้ นี่สิ่งที่รับรู้อารมณ์ จะสมบูรณ์

แต่เวลาเสียงที่กระทบหู แต่จิตใจเราไม่สมบูรณ์ พอไม่สมบูรณ์นี่มันไม่รับรู้ เสียงกระทบนะบางทีเราได้ยินเสียง แต่เราไม่รู้ว่าเสียงอะไร เพราะจิตใจเราไม่สนใจ แต่ถ้าจิตใจเราสนใจนะ เราเงี่ยหูฟังดีๆ เราตั้งใจฟังดีๆ นะมันจะชัดเจนมากเลย

ฉะนั้นบางคนได้ยินเพราะจิตเขารับรู้ บางคนไม่ได้ยินเพราะว่ามันเพลินทำอะไรอยู่ หรือคิดเรื่องสิ่งใดอยู่ มันก็ไม่รับรู้สิ่งนี้ได้

เรื่องพื้นๆ เรื่องของประสาทสัมผัส ความรับรู้ ถ้าประสาทสัมผัสมันตั้งใจมันก็ได้ชัดเจน ถ้าประสาทสัมผัสมันไม่ตั้งใจ มันรับรู้อยู่ นี่อย่างเช่นปัจจุบันที่เรานั่งกันอยู่นี่ คลื่นโทรศัพท์มีอยู่ทั่วใช่ไหม เราไม่เปิดเครื่องไง ตอนนี้เราปิดโทรศัพท์อยู่ไม่ได้ยินหรอก แต่ถ้าเราเปิดโทรศัพท์อยู่ ถ้ามันโทรมาตรงเบอร์เรานะ อ๊อดๆๆ แล้ว

นี่คลื่นมันมีอยู่ทำไมเราไม่ได้ยินล่ะ ทำไมเราไม่ได้ยินเลย... นี่ไง อายตนะไง !

อันนี้อันหนึ่ง มันไม่มหัศจรรย์อะไรเลย.. เป็นสิ่งที่ไม่มหัศจรรย์อะไรเลย ถ้ามหัศจรรย์นะ คือมันไม่มีสิ่งใดเลยสิ เวลาเขาภาวนากันนี่เงียบ.. ไม่มีสิ่งใดเลย แล้วเสียงมโหรีมันตีขึ้นมา เสียงขับกล่อมดนตรีตีขึ้นมา อันนั้นสิถึงจะเป็นสิ่งมหัศจรรย์ แล้วเขาได้ยินคนเดียวไง แล้วสิ่งที่เป็นมโหรีขับกล่อมมันมีที่ไหน มันไม่มีไง ทำไมเขาได้ยินล่ะ..

เสียงที่เป็นทิพย์มีนะ ไม่อย่างนั้นมันจะไม่มีอภิญญา ๖ หรอก หูทิพย์ ตาทิพย์น่ะ... เราอยากรู้หูทิพย์ก็เปิดโทรศัพท์สิ ตาทิพย์ก็เปิดทีวีก็เห็นหมดล่ะ กล้องวงจรปิดมันก็เห็นได้ มันเป็นไปได้นะ

 

ไปก่อนเดี๋ยวเวลามันจะยาว..

ถาม : มนุษย์เกิดมาทำไม

หลวงพ่อ : โอ้โฮ.. มนุษย์เกิดมาทำไม นี่เทศน์ได้อีกวันหนึ่งเลย !

ถาม : มนุษย์เกิดมาทำไม.. การได้เกิดมาเป็นมนุษย์ยากเพียงใด.. เทวดาสามารถสร้างบุญหรือทำบุญได้ไหม.. ความตายเป็นเรื่องธรรมดา ทำไมมนุษย์ถึงกลัวตายมาก !

หลวงพ่อ : นี่ถามดีมากเลยนะ

มนุษย์เกิดมาทำไมนี่นะ เรานี่ได้ทรัพย์มาแล้ว เราไม่รู้จักทรัพย์ของเราเอง.. เรานี่ได้ทรัพย์มาแล้ว แต่เราไม่เข้าใจว่าเราได้ทรัพย์..

“มนุษย์สมบัตินี่เป็นอริยทรัพย์ ! มนุษย์สมบัตินี่”

มนุษย์เกิดมาทำไม.. มนุษย์เกิดมาเพราะแรงขับของจิต เพราะมีปฏิสนธิจิต เราพูดเป็นทางวิชาการนะ ! เราพูดเป็นทางวิชาการ เวลาผู้หญิงมีประจำเดือน มันขับถ่ายประจำเดือนไป นี่ไข่ในนั้นมันกี่ล้านๆ ใบ ไข่ที่ขับทิ้งไปแต่ละคราวที่มีประจำเดือนมันกี่ล้านๆ ใบ แล้วสเปิร์มของพ่อ กับปฏิสนธิของไข่ เวลามันเข้าไปแล้วปฏิสนธิวิญญาณ จุติลงสู่การเกิดไง

นี่จิตปฏิสนธิจิต !

ผู้ที่ไม่มีลูกมีหลาน เห็นไหม เขาทำกิฟท์กัน เขาพยายามจะมีลูก เขาหมดเงินเป็นล้านๆ หลายๆ ล้าน แต่เขาก็ไม่มีลูก แล้วนี่เขาบอกว่า “มนุษย์เกิดมาทำไม”

มนุษย์ก็เกิดมาจากไข่ใบเดียวไง แต่ไข่จะเกิดได้อย่างไร เพราะมันไม่หมดประจำเดือน มันขับทิ้งไป ตั้งแต่ชีวิตหนึ่งนี่ขับชีวิตทิ้งไปเท่าไหร่ ไข่หนึ่งใบก็มนุษย์หนึ่งคน นี่ขับมนุษย์ทิ้งไปเท่าไหร่.. ผู้หญิงคนหนึ่งขับมนุษย์ทิ้งไปกี่ล้านๆๆ คน..

นี่พูดถึงถ้าบอกว่าเกิดเพราะพ่อแม่ไง เราจะเปรียบวิทยาศาสตร์ว่าถ้าเกิดจากพ่อแม่ ไข่ใบหนึ่งก็มนุษย์คนหนึ่ง ประจำเดือนรอบหนึ่งมีไข่กี่ล้านใบ แล้วเราปฏิสนธิจิตที่มันลงสู่ครรภ์ เวลามันเกิดนี่มันเกิดมาจากไหน มนุษย์เกิดมาทำไม !

ปฏิสนธิจิตต่างหาก.. ความรู้สึกของเราต่างหากมันมีเวรกรรม มันถึงมาจุติในไข่.. ในครรภ์.. ในน้ำคร่ำ.. ในโอปปาติกะ.. จิตนี้ไม่มีวันเว้นวรรค ! ไม่มีวันเว้นวรรค

นี่ศาสนาตอบเรื่องอย่างนี้ ! ศาสนาสอนลงที่นี่ ! ศาสนาสอนถึงการเกิด การแก่ การเจ็บ การตาย.. แล้วไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตายที่พระพุทธเจ้ารื้อค้นมา.. นี่ศาสนาสอนลงที่นี่

ฉะนั้นมนุษย์เกิดมาทำไม แหม.. มันกำปั้นทุบดินน่ะ ! มนุษย์เกิดมาเพราะมีเวรมีกรรม เพราะเรายังมีอาสวะ เรายังมีแรงขับ เรามีอวิชชาครอบงำจิตเราอยู่ มันถึงต้องไปตามแรงขับที่เมื่อกี้บอกว่า จิตตายแล้วไปเกิดที่ไหน มันอันเดียวกันนี่ไง จิตตายแล้วจะไปนรกก่อนหรือสวรรค์ก่อน นี้มันไปตามแรงกรรม มันจะไปไหนของมันล่ะ มันก็ไปตามกรรมที่ทำดีทำชั่วนั่นน่ะ

ฉะนั้นเพราะมีกรรมดีกรรมชั่ว มันถึงมาเกิดเป็นมนุษย์ไง แล้วเกิดมาเป็นมนุษย์นี่มันโชคดีมาก เป็นอริยทรัพย์ เพราะถ้าไม่เกิดมาเป็นมนุษย์มันจะเกิดมาเป็นสัตว์ เกิดมาในนรกอเวจี ต้องเกิดหมด จิตนี้ พลังงานนี้ ไม่เคยเว้นวรรค จิตดวงนี้มันไม่มีการเว้นวรรค เกิดมาชาติใดชาติหนึ่งก็แล้วแต่

ทีนี้พอเกิดมาเป็นมนุษย์ เรามีโอกาสชีวิตหนึ่งนะ ชีวิตนี้ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว แล้วถ้าพ้นจากกิเลส มันก็จะพ้นจากกิเลสนี้ !

 

ถาม : มนุษย์เกิดมาทำไม? การเกิดมาเป็นมนุษย์ยากเพียงใด?

หลวงพ่อ : ยากมาก ! ในพระไตรปิฎกพูดอย่างนี้นะ... เต่าตาบอด ! เต่านี้มันตาบอด มันอยู่ในทะเล เต่าตาบอดมันต้องโผล่ขึ้นมาหายใจตลอดเวลาใช่ไหม ถ้ามันโผล่ขึ้นมา แล้วมันมีคนทำบ่วงไว้ ถ้ามันโผล่ในบ่วงนั้นแหละ ถึงเกิดมาเป็นมนุษย์หนหนึ่ง แล้วถ้าเต่าตาบอดอยู่ในทะเล มันจะดำผุดดำว่ายเท่าไหร่

ฉะนั้นการเกิดมาเป็นมนุษย์นี่ต้องมีมนุษย์สมบัตินะ !

แล้วถ้ามนุษย์เกิดยาก เมื่อก่อนคนไทย ๑๖ ล้านคน เดี๋ยวนี้ ๖๐ ล้านคน เมื่อก่อนประชากรโลกมี ๒,๐๐๐ ล้าน เดี๋ยวนี้ ๗,๐๐๐ ล้านแล้ว แล้วมนุษย์มันมาจากไหน.. จิตหนึ่ง ! จิตหนึ่ง !

ฉะนั้นการเกิดมาเป็นมนุษย์... การเกิดมาเป็นมนุษย์เราบอกว่ามีบุญมากเพราะอะไร เพราะมนุษย์มีอิสรภาพ มนุษย์มีกฎหมายคุ้มครอง ถ้าเกิดเป็นสัตว์นะ อยู่ในป่านี่เขาล่าเป็นอาหาร เกิดเป็นสัตว์นะ เป็นห่วงโซ่อาหารของสัตว์ที่กินเนื้อ เราเกิดเป็นสัตว์ ชีวิตเราก็เหมือนกับเป็นอาหารเขาเท่านั้นล่ะ ชีวิตเราก็เป็นเหยื่อ.. แต่ถ้าเราเกิดมาเป็นมนุษย์นี่มีกฎหมายคุ้มครอง ไปเกิดเป็นเทวดา อินทร์ พรหมนะเรามองไม่เห็น แต่ของเขา เขาปกครองด้วยพระอินทร์ ถ้าบนพรหมเขาก็ปกครองด้วยวรรณะของเขา พอหมดอายุขัยของเขา เขาก็เวียนตายเวียนเกิดเหมือนกัน นี่คือการเวียนตายเวียนเกิด !

ทีนี้มนุษย์สมบัติมันมีคุณค่า.. มีคุณค่าเพราะเรามีการศึกษาไง มนุษย์มีการศึกษา มนุษย์มีการเจ็บปวด มนุษย์มีหนาวมีร้อน มนุษย์มีความกระทบ มนุษย์มันมีสิ่งเลือก เพราะมันมีตัวเร้าไง เหมือนมันเป็นแผลนี่มันคันตลอดเวลา มนุษย์ต้องหิวตลอดเวลา มนุษย์ต้องเจ็บไข้ได้ป่วยตลอดเวลา มนุษย์ถึงต้องหาทางออก !

 

ถาม : เทวดาสามารถสร้างบุญหรือทำบุญได้ไหม

หลวงพ่อ : ได้ ! แต่ส่วนใหญ่แล้วไม่ค่อยทำ อ้าว.. จริงๆ นะ.. เทวดาสามารถสร้างบุญและทำบุญได้ไหม... ได้แต่ส่วนใหญ่ไม่ค่อยทำ

เราสังเกตได้ไหม พวกเรานี่ทุกข์จนเข็ญใจ เราอยากทำบุญกันเพื่ออยากจะมีความสุข แต่คนที่เขาร่ำรวยมีความสุข เขาไม่ค่อยทำบุญนะ เขาแบบว่าเขาพอแล้ว เทวดานี่เขาสุข.. สุขด้วยทิพย์ของเขา เขาไม่ค่อยคิดนะ เว้นไว้แต่..

ถ้าถามว่าทำได้ไหม.. ทำได้ ! เศรษฐีก็ทำบุญได้ธรรมดา เศรษฐีเงินเขามั่งมีศรีสุข แล้วถ้าเขาทำบุญนะเป็นสิ่งที่ดีมาก เทวดาที่เขาอยากทำบุญ คือเทวดาที่เขาสร้างบุญมามาก เราถึงบอกว่าเทวดาในลัทธิอื่นๆ กับเทวดาในพุทธศาสนาต่างกัน

เทวดาในพุทธศาสนา เพราะศาสนาพุทธนี่ศึกษาถึงเรื่องธรรมะ เพราะธรรมะนี้เทวดาก็ต้องการธรรมะ พรหมก็ต้องการธรรมะ เพราะว่าทุกคนมีความขัดข้องใจ เทวดาก็มีความอึดอัดใจนะ เขาเป็นทิพย์ ของเขานี่เป็นทิพย์ทั้งหมดเลย แต่เขาก็มีความทุกข์ในใจของเขา

ถ้ามีความทุกข์ในใจของเขานะ แล้วเทวดาที่เป็นพุทธนี่มันศึกษาเรื่องธรรมะ พอศึกษาเรื่องธรรมะ นี่เทวดาที่เป็นพุทธถึงเลื่อนชั้น คือเวลาฟังเทศน์ฟังธรรมแล้วมันจะเลื่อนชั้น คือพัฒนาให้สูงขึ้นได้ แต่เทวดาลัทธิอื่นมันเหมือนวิทยาศาสตร์ คือตายตัว พอหมดอายุขัยแล้วก็เวียนตายเวียนเกิด

ฉะนั้นถ้าเทวดาเป็นพุทธ เทวดามีบุญไง เทวดาที่มาฟังเทศน์พระพุทธเจ้า เทวดาที่มาฟังเทศน์หลวงปู่มั่น เทวดาพวกนี้ เทวดาที่สร้างบุญเนี่ยมี ! แต่นี้เทวดาที่สร้างบุญนี่เขาต้องมีความสำนึก อย่างเราจะมากันนี่ เราตั้งใจมาเองหรือโดนบังคับมา

ถ้าเราตั้งใจมาเอง เห็นไหม เพราะความตั้งใจเรามันชักนำให้เรามา ถ้าเทวดาที่เขามีบุญ เขาคิดอยากทำบุญของเขา เขาก็ได้ทำบุญ แต่เทวดาถ้าเขาไม่อยากทำเพราะเขามีบุญอยู่แล้ว เขาอยู่สุขสบายอยู่แล้ว เขาไม่ทำ

ฉะนั้นเทวดาทำบุญได้ไหม... ได้ ! แต่ส่วนใหญ่แล้วไม่ค่อยทำ ! จริงๆ.. คนที่ทำนี่ส่วนน้อยนะ ส่วนน้อยหมายถึงว่า เขาเห็นทุกข์ในเทวดาเขาถึงสร้างบุญต่อ แต่เทวดาที่เขาเพลินในทรัพย์สินของเทวดา เขาบอกว่าเขาพอแล้ว.. เวลาเขาจะตายนะ เทวดานี่เขากินวิญญาณาหาร พอแสงมันเริ่มเฉา.. เฉา.. คือหมดอาหารนะก็ตาย พอตายขึ้นมาเขาจะเสียใจ

นั่นพูดถึงเทวดา !

 

ถาม : ความตายเป็นเรื่องธรรมดา ทำไมมนุษย์กลัวตายกันนัก

หลวงพ่อ : เป็นเรื่องธรรมดาเพราะว่าเรายังไม่ถึงเวลา ให้เราเป็นคนตายเราก็กลัว ต้องให้ไอ้คนเขียนนี้บอกว่ากูจะตายอยู่นี่มันก็กลัว แต่ตอนนี้คนเขียนมันยังเป็นเด็ก มันก็คิดว่าความตายเป็นเรื่องธรรมดา คนอื่นทำไมกลัวกันนัก

เพราะสิ่งใดถ้าไม่ถึงตัวเรา เราจะไม่เห็นโทษมัน.. สิ่งใดถ้ามันถึงตัวเรา เราจะเห็นโทษมัน..

ไอ้นี่เพราะเรานึกว่า โอ๋ย... ความตายเป็นเรื่องธรรมดา... ก็เพราะเป็นวัยรุ่น เห็นไหม มันไม่กลัวตายหรอก มันยังคึกคะนอง ไม่กลัวตายหรอก แต่ไอ้คนแก่นี่มันกลัวตาย เพราะคนแก่มันใกล้ตาย

นี่คนเขียนมันยังคึกคะนองอยู่ มันก็ว่าความตายเป็นธรรมดา.. เวลาเอ็งจะตายแล้วเอ็งจะรู้ว่าธรรมดาหรือเปล่า ! เวลาเอ็งจะตายนะ เอ็งจะรู้เลยว่าโอ๋ย.. ไม่ธรรมดา นู้นก็ยังไม่ได้ทำ นี่ก็ยังไม่ได้ทำ.. เงินทองก็ยังไม่ได้หาเลย จะตายได้อย่างไร.. คนเราถ้ายังไม่ใกล้ตายมันก็ไม่คิดถึงหรอก เวลาใกล้ตายแล้วมันถึงคิด

มันเป็นสัญชาตญาณ ! ทุกคนมีความรู้สึกหมด โดยสัญชาตญาณ ! แต่เพราะเราเห็นว่ามันยังอยู่ไกลนักมันถึงพูดได้ ไอ้ที่ว่าไม่กลัวตาย ไม่กลัว... ธรรมะเป็นนิพพาน.. นี่มันพูดได้ร้อยแปดเลย ไม่จริงหรอก ! ไม่เป็นความจริง !

 

ถาม : ทำไมความกลัวจึงเกิดจากคนเรา.. ทำไมมนุษย์เรารู้ว่าผิดจึงชอบทำกันนัก.. อยากให้พระอาจารย์เล่าเรื่องนรก-สวรรค์

หลวงพ่อ : แหม.. โอ้โฮ มีข้างหลังด้วย

ถาม : จะใช้ธรรมะขั้นใดในการทำให้เกิดความกระจ่าง ขณะเมื่อเห็นอณู

หลวงพ่อ : เห็นอณูนี่นะ เอาอันนี้ก่อนเลย.. การเห็นอณูหรือเห็นสิ่งต่างๆ ถ้าเราเห็นนี้จิตมันเห็นนะ จิตนี่นะมันละเอียดกว่าอีก

แสง.. ความเร็วของแสง... ความรู้สึกของจิตนี้เร็วกว่าแสง !

เราคิดถึงนะ ใครเคยอยู่อเมริกา คิดถึงอเมริกาสินี่ไปกลับได้ ๕ รอบ นั่งอยู่นี่พั่บ ! พั่บ ! พั่บ ! พั่บ ! แล้วถ้าเดินทางนะช้ากว่านั้น

นี่ความคิดไง เพราะเราเคยอยู่อเมริกาใช่ไหม.. แต่ถ้าให้เรานึกอเมริกานี่นึกไม่ออก เพราะเราไม่เคยไป แต่ถ้าคนเคยไปนะ นึกถึงที่เราเคยอยู่สิ คิดไปคิดกลับ.. คิดไปคิดกลับ.. ดูสิเร็วไหม ความคิดนี้เร็วกว่าแสง !

ฉะนั้นพอความคิดนี่เราใช้พุทโธ หรือใครที่จิตมีกำลังขึ้นมา นี่ที่เขาถึงบอกว่าเห็นอณู.. เห็นอณู เห็นความว่าง หรือเห็นต่างๆ นี่เพราะมันเห็นได้

ฉะนั้นจะใช้ธรรมะขั้นใด... ไม่ต้องใช้ขั้นใด เห็นก็คือเห็น.. เห็นก็คือเห็นเฉยๆ ไม่เป็นประโยชน์อะไรเลย.. เห็น ! ความเห็นคือสิ่งที่ถูกรู้ คือจิตมันรู้.. ฉะนั้นตัวจิตเองมันเป็นพลังงานยิ่งกว่านี้อีก ตัวจิตเอง ! ถ้าตัวจิตเองมันเป็นสัมมาสมาธิ มันจะหดเข้ามาในตัวของมัน แต่เพราะตัวจิตเองไม่รู้ตัวมันเอง ดันไปเห็นอณูไง ไปเห็นสิ่งที่รู้ไง

ฉะนั้นสิ่งที่รู้ พอเราเห็นแล้วได้อะไรขึ้นมาล่ะ เห็นสิ่งนี้เพราะจิตมันมีคุณสมบัติมันถึงเห็นได้ นี่ไงเวลาปฏิบัติไป นี่ของอย่างนี้มันเป็นเรื่องเครื่องเคียงไง เป็นเรื่องเล็กน้อย เป็นเรื่องการที่เราจะต้องรู้

แล้วสิ่งที่รู้นะ นี่ถ้ามองเห็นอณู แล้วอณูอะไรล่ะ.. อณูอากาศ เห็นความว่าง หรือเห็นอะไร.. เห็นอะไรบอกมา ! แล้วเห็นแล้วได้อะไร !

ถ้าได้จะไม่ถาม ที่ถามคือไม่ได้ คือไม่รู้ถึงถาม เพราะมันไม่รู้อะไรหรอก ! ความเห็นอย่างนี้ไม่รู้อะไรหรอก มันยังไม่เห็นถึงอริยสัจ ! การจะแก้สงสัยตัวเองได้ มันต้องเข้าใจในตัวของตัวเอง มันจะเห็นเข้ามาในตัวของมันเอง แล้วจะชำระกิเลสของตัวเอง ตัวเองจะรู้จักกระบวนการทั้งหมดเลย !

แต่ตัวเองไม่รู้อะไรเลย แล้วพอไปเห็นอณูก็ว่า อู้ฮู.. เก่งแล้ว อู้ฮู.. มีอภิญญา ๖ ไง รู้วาระจิตเขา รู้ ! รู้ไปหมดเลย แต่มันไม่รู้จักตัวเองไง ตัวเองยังทุกข์อยู่เลย ตัวเองยังเจ็บไข้ได้ป่วยอยู่เลย ตัวเองยังกลืนเลือดอยู่เลย แต่ไปรู้เรื่องของคนอื่น ไม่มีประโยชน์อะไรหรอก !

 

ถาม : ทำไมความกลัวจึงเกิดจากเรา

หลวงพ่อ : อวิชชาไง ! “ทุกอย่างเกิดจากอวิชชา เกิดจากความไม่รู้.. คนเราถ้ารู้จบกระบวนการแล้วจะไม่กลัวสิ่งใด”

ฉะนั้นความกลัวเกิดจากเรา เพราะเรามีความไม่รู้.. ความไม่รู้ทำให้คนกลัว คนกลัว คนตกใจ คนเพราะความไม่เข้าใจถึงกลัว ถ้าเราเข้าใจถึงเหตุถึงผลหมดแล้วเราจะไปกลัวสิ่งใด เพราะความไม่รู้ถึงได้กลัว เพราะอวิชชา เพราะมารถึงทำให้กลัว

ถ้าเพราะไม่มีมาร ไม่มีอวิชชา จะไปกลัวอะไร เราจะไปกลัวของที่ตั้งอยู่นี่ กลัวไปทำไม จะไปกลัวเหล็กกลัวไหล ไปกลัวอะไรกับมัน มันก็เป็นธรรมดาของมัน แต่ถ้าไม่รู้เราถึงกลัว เห็นไหม

“ทำไมความกลัวจึงเกิดจากเรา.. เกิดจากความไม่รู้ เกิดจากอวิชชา !”

 

ถาม : ทำไมมนุษย์เรา รู้ว่าผิดจึงชอบทำกันนัก

หลวงพ่อ : รู้ว่าผิด ! รู้ว่าผิดคือมีสติชั่วครั้งชั่วคราว แต่ทนแรงเร้า ทนตัณหาความทะยานอยากไม่ได้... รู้ว่าผิด ! แต่ไม่มีสติยับยั้ง ไม่มีปัญญายับยั้ง ไม่มีความรอบคอบ มันก็เป็นไป

แต่เวลาพระอริยเจ้า เห็นไหม นี่พวกเราเห็นพระอริยเจ้านั่งเฉย ก็ว่า “โอ๋ย... โง่น่าดูไม่รู้อะไรเลย” นั่นน่ะ.. พระอริยเจ้าน่ะรู้หมด ! รู้ในความคิด รู้ในความสิ่งที่เกิด แล้วพูดออกไปกระทบสิ่งใด พระอริยเจ้าถึงนิ่งอยู่ไง.. แต่เพราะเราไม่นิ่งอยู่ เห็นไหม เพราะเราไม่นิ่งอยู่

“มนุษย์เรารู้ว่าผิดทำไมจึงชอบทำ..” รู้ ! รู้แต่ไม่ได้ชำระล้างจิตใจของตัวเอง มันไม่มีจุดยืนไง มันก็เลยไหลไปตามตัณหาความทะยานอยากไง รู้ว่าผิดแต่ไม่มีสติปัญญา ไม่เคยฝึกฝนไว้ มันก็ไหลไปตามตัณหาความทะยานอยาก คือรู้แว็บหนึ่ง แล้วสิ่งที่มันรู้แค่ ๑ เปอร์เซ็นต์ แต่ไอ้ตัณหา ๙๙ เปอร์เซ็นต์มันก็ลากไปวันยังค่ำล่ะ

รู้อย่างนี้ รู้แบบปริยัติ รู้แบบโลก ! นี่ที่ว่าศึกษาธรรม.. ศึกษาธรรม โอ๋ย.. นี่ว่าง ไม่ต้องทำอะไรเลย.. นี้มันก็คือว่างใน ๑ เปอร์เซ็นต์นั้นไง อีก ๙๙ เปอร์เซ็นต์มันยังรอกระทืบอยู่

“ว่าง... โอ้โฮ ดีไปหมดเลย” นี่เปอร์เซ็นต์เดียว.. เผลอแป๊บเดียว อีก ๙๙ เปอร์เซ็นต์มันลากไปเกลี้ยงเลย !

นี่ปฏิบัติโดยปากไง ทำงานด้วยปาก ! ศึกษาธรรมะด้วยปาก ! ไม่ได้ศึกษาธรรมะด้วยใจ ไม่ได้ศึกษาธรรมะด้วยการปฏิบัติ !

 

ถาม : อยากให้หลวงพ่อเล่าเรื่องนรก-สวรรค์

หลวงพ่อ : ตอนนี้การ์ตูนเอามาแจกเนี่ย เดี๋ยวจะแจกการ์ตูน.. การ์ตูนพระพุทธเจ้า

นรก-สวรรค์นี่นะ มันมีอยู่ในพระไตรปิฎก มันมีอยู่ในพระพุทธเจ้าเสวยชาติ ฉะนั้นสิ่งนี้มี มันถึงมีพวกศิลปะเขาทำได้

ฉะนั้นพระพูดถึงนรก-สวรรค์ ! นรก-สวรรค์นี่เราจะพูดถึงนรก-สวรรค์ในพระไตรปิฎก.. นรก-สวรรค์ของครูบาอาจารย์ที่พูด..

“ภิกษุ.. อวดอุตริมนุษยธรรม พูดสิ่งใดที่เหนือกาลเทศะ มันเป็นดาบสองคม”

แต่การพูด เวลาครูบาอาจารย์ท่านแสดงธรรม นี้ท่านแสดงธรรมด้วยข้อมูล ด้วยประสบการณ์ อย่างเช่นเวลาอาจารย์สอนลูกศิษย์ ถ้าสอนทางวิชาการ เราก็ต้องสอนว่าวิชาการเป็นอย่างนี้ ประสบการณ์ของเราทำมาเป็นอย่างนี้ เพื่อให้ลูกศิษย์มันมั่นใจ

การแสดงธรรม.. นี่แสดงธรรมกับลูกศิษย์ลูกหาที่กำลังประพฤติปฏิบัติขึ้นมา ที่กำลังเข้าด้ายเข้าเข็ม ถ้าต้องย้ำ นี่ต้องเน้นย้ำให้ชัดเจน เพื่อความมั่นใจของผู้ที่ปฏิบัติ ! ผู้ที่ปฏิบัติมันโลเลด้วยกิเลสตัณหาความทะยานอยากอยู่แล้ว สิ่งใดตอกย้ำ พูดให้มั่นคง แล้วมันมีความมั่นคงแล้วมีการพัฒนาขึ้นไป สิ่งนั้นจะเป็นประโยชน์

แต่สิ่งใดพูดแล้วเพื่อความกระจ่าง เพื่อความรับรู้ เพื่อความให้เรามั่นใจ เพื่อให้เราเจริญศรัทธา นี้ก็เป็นธรรม ! แต่สิ่งใดพูดไปโดยเยิ่นเย้อ พูดไปโดยหวังความนับหน้าถือตา สิ่งนั้นไม่เป็นประโยชน์สิ่งใดเลย !

วันนี้ตอบแปลกไหม.. ตอบเพราะอะไร ตอบเพราะว่าถ้าพูดไปนี่มันมีสังคม มีทัศนคติ เห็นไหม จริตนิสัยมันแตกต่างหลากหลาย ฉะนั้นเวลาพูดนี่มันพูดด้วยสตินะ แล้วอย่างเช่นบางอย่างเวลาพูดด้วยความอหังการ์ พูดด้วยความรุนแรง แต่นี่เพราะพูดด้วยความมั่นใจ ให้คนฟังมันมั่นคง.. ไม่ได้พูดด้วยความท้าทาย แต่พูดด้วยความมั่นคง แต่บางอย่างถ้ามันไม่สมควร พูดออกไปแล้วมันก็จะเป็นผลเสีย

ฉะนั้นอยากให้อาจารย์เล่าเรื่องนรก-สวรรค์ นี่ก็เลยจบ... เอวัง