ฟ้ากับเหว
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ถาม-ตอบปัญหาธรรม วันที่ ๒๒ มกราคม ๒๕๕๓
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี
ที่เราไม่พูดอะไรเลยนี่เพราะเราไม่ต้องการยุ่งกับใคร แล้วเราไม่ต้องการให้เป็นประเด็นกับใคร สังเกตได้ว่าเราไม่ค่อยได้ออกชื่อใครเลย แต่ที่เราพูดไปนี่ มันเพราะว่าอย่างที่เราออกชื่อนี่ เพราะว่ามันเป็นเอกสารใช่ไหม เอกสารนี้มันเผยแพร่ตามที่สาธารณะแล้วใช่ไหม แล้วเขาเอาเอกสารมาให้ดูนี่ เราก็พูดตามนั้นเท่านั้นเอง อย่างที่พูดนี่ว่าไม่อยากให้ใครรบกวนเลย ไม่อยากให้กระทบกระเทือนกันเลย นี่จริงๆ แล้วเราก็ไม่อยากยุ่งกับใครเลย ในที่เราพูดออกไปนี่นะ เราจะบอกว่า เราพูดเพื่อสาธารณะ เราไม่ใช่พูดเฉพาะบุคคลผู้ใดเลย
อย่างเราเป็นนักวิทยาศาสตร์นี่ เราเป็นนักวิทยาศาสตร์ใช่ไหม ทฤษฎีควอนตั้มหรืออะไรก็แล้วแต่นี่ หลักการเป็นอย่างนั้นใช่ไหม เราจะพูดหลักการอันนี้ แรงดึงดูดแรงโน้มถ่วงต่างๆแล้วแต่นี่ เราต้องพูดหลักการเหล่านี้ ใครจะมีความเห็นแตกต่างนั่นก็เรื่องของเขา แต่เราก็จะชักกลับมาที่หลักการของวิทยาศาสตร์นี้ ส่วนใหญ่เราจะพูดหลักการตรงนี้ ธรรมะนี่ เราจะพูดเรื่องธรรมะ ที่เราพูดออกไปเพราะหลักการมันเป็นอย่างนี้
แล้วทุกคนเขามีความเห็นผิด แล้วเขาพูดออกไปนี่ เราก็พูดแย้งออกไปที่ว่าไปฟังแล้วมันขุ่นใจนั่นแหละ เรารู้อยู่มันจะขุ่นใจไม่ขุ่นใจก็แล้วแต่ เราพูดสัจจะออกไป แล้วพอเราลงตรงนี้นะ ถ้าหลักการทางวิทยาศาสตร์ หลักการโน้มถ่วงต่างๆ นี่ มันเป็นทฤษฎีที่ตายตัวใช่ไหม ทุกคนพิสูจน์ได้ ฉะนั้นเหตุการณ์ที่เราพูดออกไปนี่ ถ้าพวกคนที่ไม่เห็นด้วยนี่มันต้องโต้แย้งออกมา โต้แย้งกลับมาเป็นทางวิทยาศาสตร์จริงไหม
โยม : ครับ
หลวงพ่อ : เรารอตรงนี้อยู่ เรารอคนจะโต้แย้งกลับมาว่าเรานี่พูดผิด ผิดมีความผิดพลาด มีความเห็นผิดอย่างไร เรารอตรงนี้อยู่ แต่อย่างอื่นนี่เราก็พูดตรงนี้ เราพูดถึงหลักการข้อเท็จจริงออกไปเพื่อสังคมจริงไหม ฉะนั้นถ้าสังคมเห็นผิดมันก็เรื่องของสังคมไม่ใช่เรื่องของเราจริงไหม
โยม : ใช่ครับ
หลวงพ่อ : นี่เราก็พูดหลักการความจริงออกไป นี่พอหลักการความจริงออกไปแล้วนี่ อย่างที่ว่าเวลาฟังแล้วนี่ ทีแรกว่า เราอยากจะฟังว่าทีแรกนะ เราพูดกันเรื่องข้อเท็จจริงว่า ตอนที่เห็นขุ่นๆ นะ เห็นขุ่นๆ มองเห็นอย่างไรว่ามันผิดพลาดอย่างไรถึงเห็นขุ่นๆ
โยม : จริงๆ แล้วตอนฟังนี่ ผมเองก็ยังแยกคำสอนของท่านไม่ออก
หลวงพ่อ : เอ่อ เดี๋ยวถามเราได้หมดเลย ไอ้นี้เราจะฟังตรงนั้นก่อนว่าเห็นอย่างไรเห็นขุ่นๆ ถ้าเห็นขุ่นๆ แสดงว่าเห็นว่ามันผิดตรงไหนไง เราอยากฟัง จริงๆ แล้วที่เราพูดอย่างนี้ เราอยากเห็นคนที่ชี้จุดผิดที่เราพูดออกไปน่าดูเลย ถ้าพูดออกไปแล้วผิดถูกอย่างไรนี่ นี่นักวิทยาศาสตร์ สุภาพบุรุษ
เราอยากเห็นตรงนี่ไง อยากเห็นว่าใครบอกว่าพระสงบพูดผิด แล้วผิดอย่างไร เราอยากฟัง อยากฟัง รอฟังอยู่นี่ อันนี้พอมาวันนี้บอกว่าเห็นขุ่นๆ นี่ เราให้อภัยหมดแล้ว เราอโหสิกรรมหมดเลย เราไม่มีอะไรติดค้างใจเลย แต่เราอยากฟังว่า เราอยากฟังว่าสมองหรือปัญญาของคนนี่ ใครมีมากน้อยแค่ไหน
โยม : คือจริงๆ ที่ผมว่าท่านอาจารย์ ท่าน คือเทศน์ด้วยคำพูดที่ฟังแล้วค่อนข้างรุนแรง
หลวงพ่อ : เข้าใจ เราน่ะหรือ
โยม : คือความรู้สึกผมตอนนั้นนะ ผมก็ฟัง ผมฟังไปแค่ครึ่งเดียว ถ้าเกิดผมกด..
หลวงพ่อ : เดี๋ยวก่อนนะ ฟังได้แค่ครึ่งเดียว ฟังตลอดไม่ได้เลยหรือไง
โยม : ที่ทนนี่คือผมทนใจตัวเองไม่ได้ ผมก็เลยหยุด แต่ผมความรู้สึกผม ผมกลับคิดว่า เอ้ สิ่งที่หลวงพ่อสงบท่านเทศน์กับสิ่งที่หลวงพ่อ........พูด มันก็ไม่เห็นจะต่างกันเลยนะ
หลวงพ่อ : ว่าไป ตรงนี้สำคัญมาก ทุกคนเห็นอย่างนี้หมด แล้วเดี๋ยวเราจะอธิบายให้ฟัง
โยม : ผมสรุป คือว่า ตอนนี้คือผมจำไม่ได้แล้ว เพราะว่าผมฟังมานานหลายเดือนแล้ว แต่ว่า ความรู้สึกตอนนั้นคือรู้สึกว่า เอ๊ะ คือความคิดผมนะ ผมคิดในใจว่าสงสัยต้องมีคนไปพูดอะไรกับพระอาจารย์สงบผิดๆ แน่ๆ เลย เพราะผมฟังแล้วผมหาจุดแตกต่างไม่เจอ แล้วเสร็จแล้วผมก็ไปฟังครูบาอาจารย์ ฟังหลวงพ่อชา ฟังหลวงพ่อพุธ ผมอ่านหนังสือหลวงปู่ดูลย์ ผมก็ยังไม่เจอ ยังหาไม่เจออยู่ดี
หลวงพ่อ : เออ ว่าไป
โยม : ก็เลย.. คือถ้าถามว่าเรื่องนี้คือผมยังหาไม่เจอ
หลวงพ่อ : ตรงนี้หาไม่เจอเลยล่ะ
โยม : หาไม่เจอ ผมหาไม่เจอจริงๆ อาจจะเป็นเพราะปัญญาของผมไม่ถึง
หลวงพ่อ : ใช่ ปัญญาไม่ถึง ปัญญาไม่ถึง
โยม : มันก็เลยถามว่า ถ้าจะเอาแค่คำตอบมา แล้วที่พิมพ์เข้าไป ผมหาไม่เจอจริงๆ
หลวงพ่อ : เดี๋ยวนะ หน้านี้กรอนิดหนึ่ง แล้วเดี๋ยวเอาหลักฐานด้วย
โยม : องค์สุดท้ายนี่ใช่หลวงปู่เจี๊ยะหรือเปล่า นี่เมื่อกี้ตอนมาพูดเรื่องหลวงปู่เจี๊ยะตลอดเวลาเลย
หลวงพ่อ : หลวงปู่เจี๊ยะเพราะหลวงปู่เจี๊ยะอยู่กับหลวงปู่มั่น
โยม : พระอาจารย์สงบได้เคยอยู่กับหลวงปู่เจี๊ยะ
หลวงพ่อ : นี่เราอยู่กับองค์นี้... แตกต่างกันมาก แตกต่างกันชัดเจน
โยม : เดี๋ยวผมขออนุญาตนั่งขัดสมาธิ
หลวงพ่อ : ตามสบายหมดเลย แตกต่างกันมาก เราเห็นตั้งแต่ทีแรกแล้ว เราเห็นตั้งแต่ทีแรกเลย แตกต่างมาก แล้วแตกต่าง ไม่แตกต่างธรรมดาด้วย แตกต่างที่เราตกใจด้วยว่ามันแย่มาก เราเปรียบเทียบนะ เวลาเราพูดให้โยมเขาฟังนี่ แล้วเวลาลูกศิษย์เรามาเล่าให้ฟังในเว็บไซต์นี่ ทุกคนจะพูดอย่างนี้บอกว่า พระสงบกับเขานี่พูดเหมือนกันเลย เหมือนกันเลย
แล้วก่อนหน้านั้นนานแล้ว ก่อนหน้านั้นนานแล้ว เขาพยายามส่งคนมาที่นี่ ส่งคนมาที่นี่ เพราะว่าคนที่จะพามานี่ พามาไม่ถูกหรอก ลูกศิษย์เรานี่ล่ะพาเข้ามา แล้วก็จะพูดอย่างนี้ทุกคนจะพูดอย่างนี้หมด ว่าเหมือนกัน เหมือนกัน ว่าพระสงบกับเขานี่พูดเหมือนกัน
เราจะบอกว่าไม่เหมือน ไม่เหมือน แตกต่างกันราวฟ้ากับดินเลย ไม่เหมือน ไม่เหมือนหรอก นั้นที่เราพูดออกไปนี่ ที่เราพูดออกไปนี่ นี่หลักฐานเยอะแยะหมดเลย ที่เราจะชี้ให้เห็นว่าผิดหมดเลย ผิดหมด
โยม : ผมมีทุกเล่มเลยครับ
หลวงพ่อ : นี่ไอ้นี่ ถ้าผิดนี่นะ นี่คือผลเลย ไอ้มีทุกเล่มนี่นะ จริงๆ แล้วหนังสือนี่เมื่อก่อนมาถึงเราเยอะมาก เราเผาทิ้งหมด หนังสือนี่นะมีแต่คนส่งมา เราเผาทิ้งหมดเลย เพราะเราหยิบไม่ได้ เราหยิบไม่ได้ เราหยิบขึ้นมานี่ นี่ๆ เราดูทุกบทที่เราขีดนี่คือผิดหมดนะ ที่เราขีดไว้นี่คือผิดหมด ผิดหมดเลย นี่ผิดทั้งนั้นเลย
เราจะอ่านให้ฟังว่าผิดตรงไหน แล้วเราจะอธิบายให้ฟังหมดเลย เพราะแตกต่างกันทั้งหมด แตกต่างหมด แล้วแตกต่างไม่ได้แตกต่างธรรมดาด้วย อย่างเช่นนี่ จิตพระอรหันต์ เขาเขียนนะจิตพระอรหันต์ พระอรหันต์เวลานอนไม่รู้หรอก เวลานอนนี่จิตลงภวังค์ไปเลย พระอรหันต์มีภวังค์ไหม มีภวังค์อยู่เป็นพระอรหันต์ได้ไหม
โยม : เคยได้ยินว่าพระอรหันต์มีสติตลอดเวลา
หลวงพ่อ : แล้วนี่ใครเขียนล่ะ
โยม : ก็เป็นหนังสือหลวงพ่อ........
หลวงพ่อ : อ้าว แล้วใครไปจัดการมันล่ะ
โยม : ก็น่าจะเป็นท่านนะครับ
หลวงพ่อ : เยอะแยะ ผิดทั้งนั้นเลย แล้วจะให้ผิดตรงไหนบ้างล่ะ เปิดสิผิดทั้งนั้นเลย ที่เราขีดนี่คือผิดหมด
โยม : โอ้โฮ
หลวงพ่อ : อันนี้ตลกมาก ตลก
โยม : คือผมเองก็ยังไม่มีโอกาสได้อ่านหนังสือเล่มนี้นะครับหลวงพ่อ แต่ผมเอง ก็ผมเรียนหลวงพ่อตามตรงว่า ผมก็ยังไม่ได้ฟังที่หลวงพ่อพูดถึงหลวงพ่อ........ แต่ว่าผมเองนี่
หลวงพ่อ : เยอะแยะไปหมด นี่คือผลเห็นไหม คือว่ามันเป็นไปไม่ได้สักอย่างหนึ่ง มันเป็นไปไม่ได้ เราจะค่อยๆ อธิบาย คำแตกต่างครั้งแรก คำแรกเลยที่แตกต่างคือสติไม่ต้องฝึก แค่นี้นะ เหวกับฟ้าเลย หลวงตาจะบอกว่าสติต้องฝึก สติทุกคนต้องตั้งสติ ต้องหัดฝึกสติ แล้วบอกสติไม่ต้องฝึก เผลอสติจะมาเอง เผลอปั๊บสติจะมาเอง เผลอกับสติตรงข้ามไหม
โยม : ตรงข้ามครับ
หลวงพ่อ : แล้วเอาเผลอมาฝึกสติได้อย่างไร เพราะอะไรรู้ไหม เพราะว่าถ้าเราเป็นนายแพทย์ พวกประชาชนคนทั่วไปนี่ เขาไม่ดูแลร่างกายของเขาเลย เขาจะปล่อยให้ใช้ชีวิตของเขาโดยหยำเปกินเหล้าเมายาทั้งหมดเลย เดี๋ยวนี้ ส.ส.ส. เขาพยายามรณรงค์ไม่ให้สูบบุหรี่เลยเห็นไหม แต่นี้เด็กมันจะสูบบุหรี่ มันจะเล่นอะไรของมันตามสบายได้ทั้งหมดเลย
นายแพทย์คนนั้นบอกว่า เด็กคนนี้จะเป็นคนดีขึ้นมาได้ไหม สุขภาพจะดีขึ้นมาได้ไหม สติไม่ต้องฝึกปล่อยมันเลย ตามให้มันเกิดขึ้นตามสบายเลย สุขภาพจิตมันจะดีขึ้นมาได้ไหม นี่มันดีขึ้นมาไม่ได้ พอไม่ได้ขึ้นมาปั๊บ อ้าว เราอยู่อย่างนี้ดูจิตเฉยๆ แล้ว อู้ฮู ว่าง สว่างหมดเลย สบายหมดเลย เราแจกออกไปเยอะมาก เพราะตอนนั้นมันยังไม่มีเหตุการณ์ มันยังไม่รุนแรง มันยังไม่มีสิ่งใด
เราอธิบาย เราพยายามอธิบายให้นักวิทยาศาสตร์ ให้ปัญญาชนได้เข้าใจ ได้เข้าใจว่าพัฒนาการของจิต คือธรรมชาติของจิตมันเป็นอย่างนั้น ธรรมชาติของจิตมันเป็นอย่างนั้นเอ็งจะฝึกไม่ฝึกธรรมชาติมันเป็นอย่างนั้นอยู่แล้ว ถ้าคนภาวนาเป็นเขาจะรู้หมด แต่พวกไม่เป็นนี่มันงง อยู่ดีๆ เราทุกข์เรายากเราขัดเคือง พอเรามาดูแล้วมันสบายๆ ก็ถูกต้องไง ปฏิบัติมากี่ชาติ กี่พันชาติเหลวไหลไปหมดเลย
พอมาดูจิต โอ๊ย มันดีไปหมดเลย โอ๊ย นี่ก็ถูกต้องๆ โดนหลอกทั้งนั้นน่ะ พัฒนาของจิตเป็นอย่างนั้น อย่างเช่นเราก็แล้ว ใครก็แล้วแต่นะ เราจะมีความทุกข์มากเลย อย่างเช่น คนรักเรา คนที่เราชอบมาก เสียใจตายไปนี่ เราจะเสียใจมากเลย จนจะดำรงชีวิตอยู่ไม่ได้เลย แต่ถ้าจับเขาไว้อยู่เฉยๆ ให้เขาได้มีเวลาไตร่ตรองของเขา ความทุกข์นั้นจะค่อยๆ หายไปจริงไหม ธรรมชาติเป็นอย่างนั้นจริงไหม
โยม : จริงครับ
หลวงพ่อ : ธรรมดา อันนี้พอเหมือนกัน เราก็ขุ่นมัว เราก็มีของเราไป พอเริ่มมาดูจิตมายังนี้ ก็โอ๊ยดีโว๊ย ว่างๆ ว่างๆ นะ แล้วนั่นมันอะไร แล้วมันก็ตลกเห็นไหม มีสติตัวจริง มีสติตัวปลอม กูฟังแล้วนี่ โอ้โฮย มันไปไกลเลยนี่หว่านี่ ตอนนั้นไม่มีปัญหานะ เดี๋ยวไปดูในเว็บไซต์เรานี่จะมีถาม-ตอบ เขาเข้าไปได้หมดล่ะ
ไอ้เรื่องการพัฒนาการของจิต จิตมันเป็นอย่างนี้เอง เราพยายามจะพูดให้คนที่มีหลักการได้เข้าใจไง ว่าคำพูดของเขานี่มันไม่มีค่าอะไรเล้ย จะทำไม่ทำจิตก็เป็นอย่างนี้อยู่แล้ว เอ็งจะดูไม่ดูจิตมันก็เป็นอย่างนี้ มันไม่มีค่าอะไรเลย ที่เอ็งทำกันมันไม่มีค่าอะไรเลย เอ็งจะทำไม่ทำก็เป็นอย่างนี้ แต่ก็ไปสร้างนิยายกัน ตั้งทฤษฏีขึ้นมาจะเป็นอย่างนั้น จะเป็นอย่างนั้น แล้วก็ให้ค่ากันไป ไม่มีทางเลย
นี่ที่ว่าๆ ผิดนี่ไง ที่บอกมันแตกต่างกันราวกับฟ้ากับดินไง ถ้าเหมือนกันมันเหมือนกันตรงไหน ไม่เหมือนเลย นี่เพียงแต่พอไม่เหมือนปั๊บนี่เขาก็จำ ที่ว่าเขาจำเขาศึกษาใช่ไหม ก็จำพระไตรปิฎกมา พูดคำไหนก็อ้างอิง พออ้างอิงแล้วก็อธิบายความ คนก็ทึ่ง แต่เวลาเรามาอ่านแล้วนะ เราตลกหมด เราตลกมากๆ
แล้วถึงที่สุดแล้วที่เราพูดเรื่องจิตส่งออกที่แรงมากนี่ ก็เพราะว่านี่เขาเอามาให้ดูนี่ แล้วรับไม่ได้ รับไม่ได้ว่า หลวงปู่ดูลย์สอนคลาดเคลื่อนนี่ ธรรมดานี่ พวกเรานี่พุทธศาสนานี่ เราจะสอนกันให้มีความกตัญญูกตเวที
แล้วนี่เขาก็อารัมภบทมาตลอดว่าเป็นลูกศิษย์หลวงปู่ดูลย์มา อะไรมาโดยตลอด แล้วเวลามาพูดถึงทำไมบอกว่ามาพู
ดอย่างนี้ มันก็ทำให้รับไม่ได้ พอรับไม่ได้เราก็ใส่ออกไปเต็มๆ เลย พอใส่ไปเต็มๆ นี่ ว่าหลวงปู่ดูลย์นี่สอนคลาดเคลื่อน เพราะว่าจิตมันส่งออกไม่ได้
มันส่งออกได้แต่สัญญาอารมณ์ เพราะจิตมันส่งออกไม่ได้ นี่ไงกฎควอนตั้มไง การโน้มถ่วงไง ความคิดนี่ สัญญาอารมณ์นี่ มันจะมีขึ้นมาได้อย่างไร ถ้าไม่มีตัวพื้นฐานคือตัวฐีติจิต ตัวปฏิสนธิจิต ตัวภพ อย่างความคิดเรานี่ ความคิดเรานี่มันเกิดบนอะไร ถ้าเราไม่มีภพ ไม่มีจิต ไม่มีความรู้สึก ความคิดมันเกิดมาไม่ได้
แล้วที่ว่าสิ่งที่ส่งออกไป เขาบอกว่าจิตนี้ส่งออกไม่ได้ เพราะจิตมันเป็นขันธ์ ขันธ์ก็ผิด จิตมันเป็นขันธ์ สิ่งที่ส่งออกไปคือสัญญาอารมณ์ พูดอย่างไรก็หาไม่เจอ เราขีดๆไว้หมดล่ะ เพราะอย่างนั้น แล้วตัวเองก็ผิดหมดนะ พอผิดไม่ผิดหมดไม่ธรรมดา ผิดหมดกลับไปบอกว่าหลวงปู่ดูลย์สอนผิดอีก หลวงปู่ดูลย์พูดผิด
โยม : ในหนังสือนี่เขียนว่าหลวงปู่ดูลย์พูดผิดเลยหรือ
หลวงพ่อ : ใช่! ชัดๆ เลย หลวงปู่ดูลย์นี่สอนคลาดเคลื่อน ความจริงแล้วเขาอธิบายด้วย แล้วคลาดเคลื่อนไม่คลาดเคลื่อนธรรมดา พอคลาดเคลื่อนแล้วก็บอกว่า บอกว่า ความเป็นจริงมันต้องเป็นอย่างที่เขาบอกไงว่าจิตมันส่งออกไม่ได้ ก็เขาอธิบายด้วยว่าจิตนี้ส่งออกไม่ได้หรอก จิตส่งออกไม่ได้
ส่งออกได้ แต่สัญญาอารมณ์เห็นไหม สัญญาอารมณ์คือความคิดไง เราอธิบายไว้ในจิตส่งออกนั่นแหละ บอกว่าสัญญาอารมณ์นี่ สัญญาอารมณ์คือความคิดนี่ มันเกิดที่ไหน สัญญาอารมณ์นี่มันต้องมี ถ้าไม่มีไฟฟ้านี่ ไม่มีไฟฟ้า สิ่งที่เกิดจากพลังงานจากไฟฟ้านี่จะไม่มีเลยจริงไหม
ไม่มีจิตนี่ สัญญาอารมณ์ความคิดมันมาจากไหน สัญญาอารมณ์ความคิดมันก็ต้องมาจากจิต แล้วพอมาจากจิต พอมาจากจิต เพราะมันส่งออกจากจิต แล้วที่คิดๆ ออกไป นั่นมันก็คือส่งออกไปแล้ว พอบอกส่งออกจิตส่งออกไม่ได้ สิ่งที่ส่งออกไปคือสัญญาอารมณ์ต่างหาก
คำพูดอย่างนี้ มันก็เหมือนหมอนี่ หมอนี่เวลาจะผ่าตัดในห้องนี่ บอกว่าเครื่องมือนี้ไม่ต้องอบ มีแต่ก็ใช้ได้ เอ็งว่าได้ไหม ต้องฆ่าเชื้อไหม เอ็งมารักษานี่นะ เวลาผ่าตัดไปแล้วนะ เอ็งติดเชื้อกลับไปนะ เอ็งทุกข์กว่าเก่าอีก นี่ก็เหมือนกัน จิตมันจะส่งออกนี่ มันที่มันส่งออกไปนี่ มันเป็นผลหมดแล้ว
เขาบอกหลวงปู่ดูลย์คลาดเคลื่อน แล้วไม่ได้คลาดเคลื่อนธรรมดานะ หลวงปู่ดูลย์คลาดเคลื่อน เขาต่างหากสอนถูก เท่านั้นล่ะ เราไม่ได้คิดอะไรเลย เขาโหลดมาแผ่นเดียวให้เราอ่าน อ่านเราก็ตอบเลย เพราะตอนเช้าๆ นี่ลูกศิษย์จะมาหาเยอะ แล้วก็จะเอานี่มาให้ มาให้ จิตส่งออกนี่ พลั๊วเดียวก็ปัจจุบัน เดี๋ยวนั้นเลย
พอเดี๋ยวนั้นก็ออกไป สุดท้ายพอออกไปปั๊บ เขาก็ต่อๆ กันไปนั่นน่ะ เขาก็ไปออกกัน เพราะจิตส่งออกอันเดียวน่ะ มันถึงสะเทือน ถ้าเรื่องนี้ไม่จริงนะ เขาไม่ถอด ไม่ถอดนี่ออกจากเว็บไซต์หรอก
โยม : อ๋อ เขาถอดไปแล้วหรือ
หลวงพ่อ : ถอด ถอดแล้ว เพราะอะไร เพราะอันนี้มันจะยืนยัน เพราะเป็นหนังสือที่เขาเขียนเอง ถิรสัญญาอยู่นี่เอง เพราะนี่มันเป็นไปไม่ได้หรอกถิรสัญญา จิตส่งออกเดี๋ยวจะชี้ให้ดู ถ้าจะหาเจอนะ ว่าหลวงปู่ดูลย์สอนคลาดเคลื่อน ความเป็นจริงจะเป็นอย่างนี้ อันนี้มันรับไม่ได้ มันรับไม่ได้เหมือนกับเราเองทั้งๆ ที่ว่าเราเองจะไม่ยุ่งเกี่ยวใดๆ เลยล่ะ
แต่คนเราคนหนึ่งนี่ แม้แต่อาจารย์ของตัวที่เอามาเชิดชูตลอดเวลานี่ แล้วถึงเวลานี่มาเขียนหนังสืออย่างนี้น่ะ แล้วชี้ชัดเจนไปเลยว่าหลวงปู่ดูลย์นี่สอนคลาดเคลื่อน ความเป็นจริงมันจะต้องเป็นอย่างนี้ มันเกินกว่าเหตุ มันเกินกว่าเหตุที่เราจะรับได้ ถ้ารับไม่ได้เราก็ใส่ไปเลย ทั้งๆ ที่ว่าเราเห็นความบกพร่องมาตั้งแต่ต้น แต่ไม่พูดให้ฟังเลย เฉย.. เพราะอะไรรู้ไหม เพราะเหมือนกับพูดออกไป มันไม่มีประโยชน์
มันไม่มีประโยชน์หรอก เพราะสังคมกำลังฮือฮา กำลังหลงผิดกันไปหมด แล้วเราเอาไปพูดอย่างนั้นมันจะมีประโยชน์อะไร ไม่เหมือนกันเลย เยอะมาก ไม่มีอะไรเหมือนกันเลย เพราะอะไรรู้ไหม เพราะว่าคำพูดนี่คำเดียวกัน แต่เขาใช้ผิด ใช้เหตุผิดหมด อย่างเช่นว่าปัญญามันจะเกิดนี่ เกิดจากถิรสัญญานี่ จิตเกิดจากถิรสัญญา จิตดวงหนึ่ง จำจิตดวงที่เกิดขึ้นมันย่อยสลายไป จิตดวงใหม่จะมาจำดวงเก่า จนเป็นความชำนาญจนจำได้อย่างนี้ จนเป็นปัญญา
ในภาคปฏิบัติเรานะ สัญญานี่เป็นเรื่องอันตรายที่สุด สัญญาอารมณ์นี่ เพราะมันสร้างภาพ สัญญานี่คือเชื้อโรคเชื้อร้ายแรงเลย แล้วแต่เขาบอกว่าสัญญานี่คือตัวทำให้เกิดปัญญา ความผิดพลาดเยอะมาก ปัญญาจะเกิดโดยอัตโนมัติ แล้วเราพูดเน้นย้ำประจำ จิตส่งออก
เดี๋ยวถ้าเสร็จแล้วเราจะหาดูอีกทีหนึ่ง เขาเขียนอย่างนี้จริงๆ อันนี้ก็มี ที่ว่าแรงมาก ที่เราแรงที่สุด เราแรงที่สุด พิจารณาจนจิตลงสามัญลักษณะ แล้วจิตนี้จะลงสู่อัปปนาสมาธิ แล้วปัญญาจะเกิดโดยอัตโนมัติ มันเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้เลย
โยม : ขอโอกาส
หลวงพ่อ : เออ ว่าไป
โยม : เดี๋ยวผมขอดูหน้านั้นหน่อยได้ไหมครับ
หลวงพ่อ : หน้าไหน
โยม : หน้าที่เมื่อกี้ท่านอาจารย์เปิดให้ดูน่ะครับ ที่ว่าไม่ตรงเลยกับความเป็นจริงครับ
หลวงพ่อ : เอ็งจะดูหน้าไหนล่ะ ดูได้ทุกหน้าเลย ทุกหน้าเลย ไม่ต้องว่า มีทุกหน้าเลย ที่ขีดไว้ทุกคำ ถ้าสงสัยถามเลย เพราะจิตมันลงอัปปนาสมาธินี่สามัญลักษณะ แล้วจิตมันลงอัปปนาสมาธินี่ อัปปนาสมาธินี่มันแบบว่าพอมัน.. มันเป็นสักแต่ว่า มันตัดความรับรู้ทั้งหมด ตัดความรับรู้ทั้งหมด แล้วมันจะเกิดปัญญาได้อย่างไร
มันจะเกิดปัญญาได้อย่างไร พอมันเกิดปัญญาไม่ได้แล้วนี่ พอเกิดปัญญาไม่ได้แล้ว เขาบอกปัญญาจะเกิดโดยอัตโนมัติ แล้วพอเราแย้งออกไปนี่ ในเว็บไซต์เขาตอบมา ปัญญาเกิดแบบนั้นไม่ได้ แล้วทำไมหลวงตาบอกปัญญาอัตโนมัติ เราก็อธิบายไว้ในเว็บไซต์เหมือนกันว่า อัตโนมัติคือไม่มี
อัตโนมัติคือไม่มี นี้คำว่าหลวงตาท่านบอกว่าปัญญาเป็นอัตโนมัติ ท่านเทศน์อยู่เขาก็ไปแกะมาไง เขาก็เอาเทศน์หลวงตานี่มาลง หลวงตาบอกว่า กิเลสนี่มันเกิดโดยอัตโนมัติ กิเลสเรานี่ ความคิดความฟุ้งซ่านเรานี่ หรือสิ่งต่างๆ ที่ความชอบใจของเรานี้ มันจะเกิดโดยที่ไม่มีเหตุผลเลย เกิดโดยอัตโนมัติ
เราก็ใช้ฝึกฝนของเราตลอดไป ฝึกฝนตลอดจนปัญญาเราเป็นอัตโนมัติจนทันกัน กิเลสเป็นอัตโนมัติอยู่แล้ว ปัญญาก็เกิดโดยอัตโนมัติ มันก็ไล่ทันไป แล้วใช้ปัญญาเรื่อยเข้าไปจนอัตโนมัติคือความชำนาญ ท่านใช้คำว่าความชำนาญ แต่ต่อไปแล้วนี่ขบวนการของมันยังมีต่อไปอีก แต่นี้เขาบอกขบวนการอัตโนมัติหมดแล้ว อัตโนมัติแล้ว
โยม : ไม่ต้องทำอะไร
หลวงพ่อ : ทุกอย่างมันจะรวมใส่ตีนกูน่ะ หล่นลงมาเลยน่ะ มันเป็นไปไม่ได้หรอก คำสอนของเขาทุกคำเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ทั้งนั้นเลย มันฟ้องถึงว่าไม่เคยพบเคยเห็นไง มันฟ้องว่าจิตนี้ไม่เคยเป็นไปในธรรมะเลย
ถ้าจิตนี้เป็นไปในธรรมะเลยนี่ มันจะรู้ของมัน มันจะมีเหตุมีผลของมัน ถ้ามีเหตุมีผลของมัน มันจะบอกตามข้อเท็จจริงได้หมด เรานี่เปิดเผย ดูได้หมด ทำตามสบายเลย แต่มันมีอยู่เราจะหาที่ว่าหลวงปู่ดูลย์คลาดเคลื่อนน่ะ อยู่ในนี้ล่ะ เพียงแต่ว่ามันยังหาไม่ทัน
โยม : เดี๋ยวผมเปิดให้
หลวงพ่อ : เอ๊อ ชัดเจนเลย
โยม : คือผมเองนี่ก็เป็นคนเป็นปุถุชนนะครับ มีปัญญาน้อย
หลวงพ่อ : ว่าไป
โยม : คือตัวผมเองนี่เริ่มต้นก็เริ่มมาจาการฟัง อย่างของผมนี่ เริ่มมาจากการฟังของหลวงพ่อ......นี่นะครับ ซึ่งถ้าอย่างนั้นนี่ ผมฟังเองแล้วก็อ่านประวัติครูบาอาจารย์บ้าง อย่างของหลวงปู่ชา ของหลวงปู่เจี๊ยะ ของหลวงปู่ขาว แต่ว่าฟังมาอ่านคำเทศน์คำสอนของท่าน ด้วยการที่เรามีปัญญาน้อยนี่ ก็ไม่รู้สึกเห็นความแตกต่างกัน แต่ในความเป็นจริงแล้วนี่มันแตกต่างกันมากเลย ใช่ไหมครับ
หลวงพ่อ : แตกต่างกันมาก อันนี้เราไม่มีเวลาไง เราดูแต่ว่าเขาบอกว่านี้คือผลของปฏิบัติ แล้วหลวงพ่อตีหมดเลย ไม่มีหรอก มันเป็นไปไม่ได้สักอย่างหนึ่ง มันเป็นไปไม่ได้ตั้งแต่ไหนแต่ไร มันไม่มีอะไรเป็นไปได้เลย
โยม : แสดงว่าเริ่มต้นก็
หลวงพ่อ : เขาไม่มีอยู่แล้ว ถ้ามีอยู่จะมาพูดอย่างนี้ได้อย่างไร ตรงไหน
โยม : คืออย่างนี้ครับ พระอาจารย์ คือตอนแรกที่ผมอ่านนะครับ
หลวงพ่อ : เอ่อ ข้อความที่ ๔๖ อันนี้น่าจะคลาดเคลื่อนจากสภาวธรรมที่หลวงปู่สอน เพราะแท้จริงแล้วจิตเป็นตัวสมุทัย
โยม : คือตรงนี้ด้วยครับ คือหน้าแรกนิดหนึ่ง จุดที่ทำให้เชื่อนะครับ
หลวงพ่อ : ใช่ เดี๋ยวนะ ตรงไหน
โยม : ตรงที่มันเป็น
หลวงพ่อ : จิตส่งออกนี่ เพราะอะไรรู้ไหม เพราะว่านี่เขาบอกว่า แท้จริงแล้วจิตจะเป็นตัวสมุทัย จิตจะเป็นตัวสมุทัยไปไม่ได้นี่ ถ้าจิตนี้เป็นตัวสมุทัยไม่ได้ คนเกิดไม่ได้
โยม : อื่อ ใช่ครับ ถ้าฟังดูนี่อย่างไรจิตก็ต้องเป็นเหตุให้เกิดทุกข์
หลวงพ่อ : นี่มันตลกไปหมด พอมันตลกนี่ มันพูดจนแบบว่ามัน ไม่น่าเชื่อว่าคนเขาจะมีปัญญารับราชการถึงได้ระดับนี้นะ
แท้จริงแล้วจิตจะเป็นตัวสมุทัยไปไม่ได้ เพราะเขามีมุมมองอย่างนี้ ทีแรกเราก็จับอุดมคติ พอมุมมองอย่างนี้ปั๊บ เขาก็มาบอกว่า เขาไปพูดกันว่าเด็กไม่มีสังโยชน์ เด็กนี่นะเด็กไร้เดียงสานี่ไม่มีสังโยชน์ เพราะเด็กมันไม่สงสัยในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ถ้าเด็กไม่มีสังโยชน์มันเกิดมาได้อย่างไร
อยู่ในนี้เดี๋ยวเปิด เดี๋ยวเปิด ไล่เลยจะเจออยู่ในนี้ เพราะเขามีความคิดอย่างนี้ใช่ไหม เพราะเด็กไม่มีสังโยชน์ใช่ไหม เพราะเด็กมันใสสะอาดบริสุทธิ์ มันไร้เดียงสาใช่ไหม นี่ไง เราจับอุดมคติ เขาเรียกโลกทัศน์ จับความเห็นเขาได้นะ จะรู้หมดเลย
เพราะเขาคิดอย่างนั้นใช่ไหม ว่าเด็กไม่มีสังโยชน์ มันถึงมาออกตรงนี้ไง เพราะแท้จริงจิตจะเป็นตัวสมุทัยไปไม่ได้ ถ้าจิตเป็นตัวสมุทัยไม่ได้ ปฏิสนธิจิตเกิดในไข่ ใครมาลงในไข่นั้น นี่พอตัวจิตไปเกิดในไข่ ตัวจิตตัวเกิด เกิดนั้นคือตัวสมุทัย
โยม : อ้า.. ใช่ครับ
หลวงพ่อ : แล้วจิตมันเป็นตัวสมุทัยไปไม่ได้ แล้วมันมาเกิดได้อย่างไร นี่ๆความเห็นเขานะ เราเห็นอย่างนี้เราขีดไว้หมด เป็นไปไม่ได้เลย เพราะจิตเป็นตัวบังคับทำให้เกิดไม่ได้ แต่ถ้าเกิดมาแล้วเป็นตัวสมุทัย ตัวจิตเป็นสมุทัย แต่สมุทัยนี่มันเป็นอนุสัย เป็นอนุสัยนี่ก็เหมือนเป็นเนื้อเดียวกัน อนุสัยมันนอนเนื่องมาด้วยกันไง
อย่างน้ำนี่ไหลไปในน้ำน่ะ มันก็มีขุ่นมีตะกอนของมันไปด้วยใช่ไหม ในน้ำนั้นน่ะ แต่ตะกอนมันก็สามารถแยกจากน้ำนั้นได้ สมุทัยนี่ พวกตัณหาทะยานอยากสามารถแยกจากจิตได้ สามารถแยกได้ แต่โคตรยากเลย ถ้าไม่ยากพระพุทธเจ้าถึงได้บอกว่ามันละเอียดอ่อนขนาดไหน
อันนี้คนมันไม่เคยทำ มันก็เลยบอกว่า นี่มันถึงบอกว่าจิตเป็นสมุทัยเป็นไปไม่ได้ เพราะมีแนวคิดอย่างนี้ นิพพานถึงมีอยู่แล้วไง นิพพานเป็นของที่มีอยู่แล้วเราเทศน์ไว้น่าตลก อะไรนะ เล่นซ่อนหานิพพานไง เอาไปซ่อนไว้ เออ เอานิพพานไปซ่อนไว้ไง แล้วกูเดินไปสะดุดนิพพาน คะมำเลยล่ะ
ทำใจให้สงบๆ แล้วไปเปิดเว็บไซต์เราดูนะ เราพูดไว้เป็นเสต็ปเลย ถ้านิพพานนี่มันมีอยู่แล้ว จิตมันเป็นนิพพานอยู่แล้ว กายก็ต้องมีนิพพานด้วย เพราะสติปัฏฐาน ๔ มันมีกาย เวทนา จิต ธรรม
โยม : แล้วมีอยู่เรื่องหนึ่งที่ผมสงสัยนะครับ
หลวงพ่อ : ว่าไป
โยม : คือกาย เวทนา จิต ธรรมนี่ เราก็ถูกต้องที่ว่า เราจะเริ่มตรงไหนก็ได้หรือเปล่าครับ
หลวงพ่อ : ได้ ใช่ๆ ว่ามา ใช่ เริ่มตรงไหนก็ได้ ว่าไป
โยม : คืออย่างนี้ผมเรียนพระอาจารย์ตามตรง คือผมไปบวชที่วัดบุญญาวาสนะครับ ที่ชลบุรี ก็เคยมีครูบาอาจารย์ท่านก็แนะนำว่า กาย เวทนา จิต ธรรมนี่ จิตนี่มันเป็นเงาของจิต ถ้าดูโดยวิธีของหลวงพ่อ........มันดูไม่ถึง ท่านบอกว่าให้ดูที่กายก่อน แต่ถ้าผมเอง ผมฟังแล้วนี่ก็ยัง ก็ยังมีความสับสนอยู่
หลวงพ่อ : สับสน กูจะบอกว่าไม่เป็นทั้งนั้นน่ะ ถ้าไม่เป็นพูดผิดหมด แล้วสับสน บอกจุด ๑ ๒ ๓ ๔ บอกจุดเริ่มต้นไม่เป็น หลวงปู่มั่นครูบาอาจารย์เรานี่บอกจุดเริ่มต้นนับหนึ่ง เสต็ป มันจะเริ่มต้นอย่างนี้ พื้นฐานจะเป็นอย่างนี้ แล้วก้าวเดินเป็นอย่างนี้ถูกต้องหมด แต่พวกเราทำกันไม่เป็น กาย เวทนา จิต ธรรม นี่ มันเป็นสติปัฏฐาน ๔ ถ้าไม่มีตัวจิตของเราไปเห็น กาย เวทนา จิต ธรรม จะไม่มีกาย เวทนา จิต ธรรม เลย
มึงเห็นหมอผ่าตัดกายทุกวันไหม มันเห็นกายไหมล่ะ มันเห็นแต่ตามันนี่ มันไม่เห็นกายหรอก มันเห็นตังค์ มันผ่าตัดเอาตังค์ เพราะอะไร เพราะจิตมันเป็นโรค เพราะจิตยังไม่ได้ทำสมาธิ จิตไม่ลงสู่ความสงบ จิตไม่สู่ความสงบนี้เป็นจิตสามัญสำนึก ความคิดความนึกของเราขึ้นมานี่ มันเกิดขึ้นโดยสัญชาตญาณ
เพราะปฏิสนธิจิตมันเกิดเป็นมนุษย์ มันมีธาตุ ๔ และขันธ์ ๕ จิตนี้ไปเกิดเป็นเทวดา มันเป็นกายทิพย์ มันไม่มีร่างกายนี้ มันก็เป็นขันธ์ ๕ จิตนี้ไปเกิดบนพรหมเป็นขันธ์ ๑ ตัวจิตนี้เป็นขันธ์ ๑ สถานะของพรหม เทวดา มนุษย์ สัตว์เดรัจฉาน นรก อเวจีนี่ มันเป็นสถานะของกรรม เพราะเราเกิดมาในฐานะของกรรมนี่ มันเป็นคุณสมบัติที่เราได้มา
ทีนี้เราเอาคุณสมบัติของเรา สิ่งที่ได้มาที่เรียกว่าโลกๆๆ นี่ไปพิจารณาธรรมนี่ มันพิจารณาได้อย่างไร ที่นี้ก่อนที่จะพิจารณาธรรมนี้ ธรรมะของพระพุทธเจ้านี่มันเป็นธรรมะเหนือโลก ธรรมะเหนือโลกมันต้องทำจิตนี้เห็นไหม จากปุถุชนเป็นกัลยาณปุถุชน นี่เอ็งไม่มีทางเข้าใจเรื่องอย่างนี้ได้หรอก ไม่เข้าใจเรื่องนี้ได้เพราะเอ็งไม่เห็น เหมือนกับเรา อย่างที่พูดเมื่อกี้นี้ เรื่องน้ำ เรื่องสิ่งแวดล้อมต่างๆ นี่
อย่างเช่น เราจะผ่าตัด ถ้าเอ็งผ่าตัดนี่ เอ็งไม่ทำให้ห้องนี้ปลอดเชื้อเอ็งจะผ่าตัดได้อย่างไร แต่ถ้าเราไม่มีทางวิชาการ เมื่อก่อนโบราณเขาก็ทำกันอย่างนั้นนะ เขาก็ทำกันมาเพราะเขาก็ไม่รู้ของเขา แต่พอวิทยาศาสตร์พิสูจน์ได้แล้วว่า มันมีเชื้อโรคมีอะไรต่างๆ เขาก็ต้องแก้ไขของเขาใช่ไหม
พระพุทธเจ้ารู้ตั้งแต่ ๒,๐๐๐ กว่าปีมาแล้ว ว่าจิตนี่ ถ้ามันคิดไปโดยเรานี่ กิเลสกับหัวใจมันอยู่ด้วยกัน แล้วเอ็งไปตรึกธรรมะด้วยกิเลสของเอ็งนี่ เอ็งจะเป็นธรรมะได้ไหม อ่านพระไตรปิฎกมาพุทธพจน์ๆ พุทธพจน์กูไม่เถียง กูเถียงมึง กูจะเถียงคนพูดพุทธพจน์ มึงรู้อะไรพุทธพจน์ มึงจำขี้ปากพระพุทธเจ้ามาพูด ฟังขี้ปากพระพุทธมาพูด พูดอย่างนี้ ความหมายอย่างนี้ มึงพูดผิดๆ กันอยู่นั่นน่ะ
แต่ถ้าจิตเราสงบเข้ามา จิตสงบเข้ามาก่อน ถ้าจิตมันเห็นกาย เห็นเวทนา เห็นจิต เห็นธรรม ถึงจะเป็นสติปัฏฐาน ๔ เห็นไหม สเต็ปมันอยู่ตรงนี้ ถ้าจิตเราไม่สงบ เราจะไม่เห็นกายโดยความเป็นจริง เห็นกายโดยสามัญสำนึก เห็นกายโดยสัญญาอารมณ์ เห็นกายโดยความคิดของมนุษย์ ไม่ใช่เห็นกายแบบที่พระพุทธเจ้าต้องการให้เห็น
พระพุทธเจ้าต้องการให้เห็นจิตนี้เห็นกาย จิตนี้เห็นเวทนา จิตนี้เห็นจิต จิตเห็นจิตได้อย่างไร นี่จิตเห็นจิต หลวงปู่ดูลย์นี่ไง จิตเห็นจิต จิตเห็นจิตเป็นอย่างไร จิตเห็นจิตเป็นอย่างไร ให้มันพูดมา ตอบไม่ได้หรอก! ไม่รู้เรื่อง! ไม่เป็น! หลวงปู่ดูลย์บอกว่าดูจิตจนจิตเห็นจิตเห็นไหม ดูจิตจนจิตเห็นอาการของจิต ทำไมหลวงปู่ดูลย์ถึงพูดว่าจิตเห็นจิตล่ะ
โยม : จิตเห็นจิต
หลวงพ่อ : เออ ในจิตส่งออกของหลวงปู่ดูลย์ไปอ่านสิ แล้วทำไมหลวงปู่ดูลย์พูดว่าจิตเห็นจิตล่ะ
โยม : จิตเห็นจิตโดยแจ่มแจ้ง
หลวงพ่อ : เป็นมรรค เป็นมรรคนะ ผลที่เกิดจากเกิดที่จิตเห็นจิตแล้วถึงจะเป็นนิโรธ กาย เวทนา จิต ธรรม สติปัฏฐาน ๔ ไง ก็ดูแม่งไปเลย เห็นจิต เห็นจิต กูก็เขียนเลย กาย เวทนา จิต ธรรม กูนั่งมองได้ทั้งวันเลย กูเห็นแต่ตัวหนังสือ
โยม : แล้วผมขอโอกาสถามว่า เราจะเริ่มต้นควรจะนับ ๑ นี่นับตรงไหน
หลวงพ่อ : กลับมาที่ความสงบ ถ้าไม่มีความสงบภาวนาไม่ได้ ไม่มี! เป็นไปไม่ได้! ถ้าไม่กลับมาความสงบก็เอาขี้ เอาขี้เอาเยี่ยว ไปผสมขี้ผสมเยี่ยวนั่นล่ะ เอาสามัญสำนึก เอาธรรมของเรา เอาความคิดของเรานี่ เอาความคิดของเรานี้ล่ะ เอ็งว่าความคิดเอ็งสะอาดไหม
โยม : ไม่สะอาดครับ
หลวงพ่อ : แล้วเอ็งพิจารณาธรรมแล้วได้อะไรขึ้นมา
โยม : มันก็ได้ความไม่สะอาดไง
หลวงพ่อ : ปัดโธ่เอ๊ย แล้วก็หลอกชาวบ้านเขาไป หลอกเขาไปทั้งโลก ไปเล้ย ! พิจารณาไปเล้ย ! พิจารณาไปเล้ย !
โยม : อาจารย์ครับ แล้วอย่างเรื่องการพูดถึงวาระจิตนี้มันก็เป็นการคิดไปเอง
หลวงพ่อ : โกหกหมด! มึงไปดูแถลงการณ์......สิ เขาเพิ่งให้กูดูนี่ มีผู้หญิงไปแล้วไปบอกว่าเขาภาวนาดีเลย เขากำลังทุกข์เต็มที่เลย ทายผิดก็เยอะ กูทายเองผิดนี่ แต่เอ็งไม่กล้าลุกขึ้นมาโต้แย้ง เอ็งก็เก็บไว้อยู่ในใจเอ็ง
โยม : แล้วจิตปุถุชนก็อาจจะคิดไปเอง เราอาจจะไม่รู้ อาจจะเป็นอย่างนี้จริงๆ
หลวงพ่อ : ใช่ๆ
โยม : คิดไปเรื่อยเปื่อย
หลวงพ่อ : กูจะพูดอย่างนี้นะ จิตนี่มันเหมือนพลังงาน นี้พลังงานนี่มันต้องคลายตัว นี้ความร้อนมันต้องคลายตัวตลอดเวลาใช่ไหม มึงมา ๑๐๐ คนนะ มึงก็ส่งออก ๑๐๐ คน มึงคิดทุกคน ไอ้นั่นคิดแล้ว ไอ้นี่คิดแล้ว ไอ้นี่ที่คิดไม่คิดนี่ มันไม่เหมือนหลวงปู่มั่น
หลวงปู่มั่นนะตอนอยู่ถ้ำสาริกา ส่งจิตออกมานี่เห็นพระหลวงตาท่านบวชอยู่ข้างล่างไง บวชอยู่วัดบ้าน ท่านมีครอบครัวมาก่อน ท่านก็ห่วงครอบครัวเห็นไหม ท่านก็คิดว่าครอบครัวจะเป็นอย่างไรตั้งแต่หัวค่ำ หลวงปู่มั่นก็ส่งจิตมาดู โอ้โฮ ไอ้นี้คิดถึงเรื่องครอบครัวตลอดเลย
ท่านก็ภาวนาของท่าน เที่ยงคืนส่งจิตมาดู เอ๊ะ ยังคิดอยู่เรื่องครอบครัวอย่างเก่า ก็กลับมา พอตี ๔ ตี ๕ ไปดู เจอลงไปบิณฑบาตก็ยังคิดเรื่องครอบครัวอย่างเก่า ท่านก็ออกจากภาวนา เช้าบิณฑบาตลงมา หลวงตา.. เมื่อคืนน่ะแต่งงานกับภรรยาคนเก่า แต่งงานกับคู่เก่าทุกคื้น ทุกคืนนะ มันเป็นอย่างไร
ตกใจเห็นไหม รู้วาระจิตต้องรู้อย่างนี้ รู้ว่ามึงคิดเรื่องอะไร คิดแล้วในความคิด คิดเรื่องอะไร ทำอะไร ไม่ก็.. อู๊ย ส่งออกแล้ว กูส่งออกแล้ว กูก็ชี้ได้หมด หมากูก็ส่งออก หมากูแม่มึงเห่าทั้งวันเลย นี่มึงเห่าแล้ว มึงเห่าแล้ว มันเป็นเรื่องธรรมดาของจิต คำพูดของเขาเรามองดูเป็นเรื่องเบสิกหมด แต่โลกแม่งตื่นเต้นกันนะ
โยม : ใช่ครับ ตื่นเต้น
หลวงพ่อ : ตื่นเต้นๆ แล้วถ้าพูดได้จริงทำได้จริงนะก็เฮงซวย เพราะมันไม่ใช่มรรค หลวงปู่เจี๊ยะนี่ท่านอยู่กับหลวงปู่มั่น หลวงปู่เจี๊ยะท่านพูดให้เราเอง ท่านเป็นคนนวดหลวงปู่มั่นอยู่ทุกคืน แล้วหลวงปู่เจี๊ยะท่านก็ศึกษาของท่าน ท่านก็ไปถามหลวงปู่มั่น ว่าอภิญญา ๖ นี่ รู้วาระจิต ตาทิพย์ หูทิพย์ต่างๆ นี่ มันแก้กิเลสได้ไหมครับ
หลวงปู่มั่นรักหลวงปู่เจี๊ยะมาก เพราะหลวงปู่เจี๊ยะนี่ไปอุปัฏฐากหลวงปู่มั่นตอนอยู่ที่เชียงใหม่ หลวงปู่มั่นป่วย หลวงปู่เจี๊ยะนี่ดูแลมาตลอด หลวงปู่มั่นนี่รักหลวงปู่เจี๊ยะ เพราะหลวงปู่เจี๊ยะมีคุณกับหลวงปู่มั่น นี่หลวงปู่มั่นเมตตาหลวงปู่เจี๊ยะมาก พอบอกว่า ท่านเล่าให้ฟังเองนะ พอบอกว่าอภิญญา ๖ นี่ รู้วาระจิตนี่ รู้วาระจิต หูทิพย์ ตาทิพย์นี่แก้กิเลสได้ไหม ท่านก็เขกหัว ป๊อก เพราะท่านเมตตามากไง ละไม่ได้
หลวงปู่เจี๊ยะท่านฉลาดมาก เพราะหลวงปู่มั่นนี่ท่านละเอียดอ่อนมาก ทีนี้ถ้าจะถามต่อไปเลยนี่ เดี๋ยวจะโดนลูกที่ ๒ ท่านก็นวดไปก่อน นี่หลวงปู่เจี๊ยะเล่าให้ฟังเองนะ นวดไปเรื่อยๆ นวดไปเรื่อยๆ แล้วถ้าอย่างนั้นนะ ถ้าอภิญญา ๖ นี่มันแก้กิเลสไม่ได้นี่ แล้วพ่อแม่ครูบาอาจารย์ทำไมชำนาญเรื่องอภิญญา ๖ เอาไปทำไม ท่านชำนาญมากนะ
หลวงปู่มั่นก็บอกว่าอีกป๊อก ป๊อก เอ้า อภิญญา ๖ แก้กิเลสไม่ได้หรอก แต่อภิญญา ๖ นี่เอาไว้เป็นวิธีการ เป็นอุบายวิธีการ เป็นเครื่องมือสั่งสอนคน ถ้าคนเรานะมันไม่มีเครื่องมืออย่างนี้ไปสั่งสอนคน คนนะมันก็ถูลู่ถูกัง แต่เวลาสอนคน เราไม่ได้สอนด้วยอภิญญา ๖ หรอก เราสอนด้วยอริยสัจ แต่อภิญญา ๖ นี้เป็นเครื่องมือ เป็นการดักทาง เป็นการบอกกล่าว เป็นการชักนำให้เข้าสู่อริยสัจ นี่หลวงปู่มั่นพูดอย่างนี้กับหลวงปู่เจี๊ยะ
หลวงปู่เจี๊ยะเล่าให้ฟังประจำ ถึงจะทำได้จริงก็ไม่ได้เป็นประโยชน์อะไรเลย เพราะมันไม่ใช่เครื่องมือฆ่ากิเลส เอ็งนี้ไม่สบายกัน เอ็งไปซื้อยานี่ ยานี้ใส่ขวดมานี่ เอ็งว่ายากับขวดนี้ นี่ถ้าไม่มีขวดมันจะเอายามาได้อย่างไร แต่เอ็งกินขวดหรือเปล่าล่ะ เอ็งกินยาเอ็งไม่ได้กินขวด ขวดไม่มีประโยชน์อะไรหรอก แต่ขวดนี้เขาใส่ยามาให้มึงกินใช่ไหม แต่เอ็งบอกขวดนี้ดี ขวดนี้สุดยอดเลย แต่ยาแม่งไม่มี
โยม : ก็ไม่มีความหมายอะไร
หลวงพ่อ : พวกเอ็งก็ทำกันไปเถอะ ทำเยอะๆ เอ็งกินขวด กูกินยา เอ็งกินขวดเข้าไป ขวดเคี้ยวเลย อร่อย
โยม : มันยิ่งแย่เข้าไปใหญ่
หลวงพ่อ : มันหลงทาง มันออกนอกลู่นอกทางไปเลย แล้วมันจะปั่นป่วนอยู่อย่างนี้ แล้วไม่จบด้วย กูรู้ว่าจะไม่จบหรอก
โยม : พระอาจารย์ได้อ่าน......พระอาจารย์มีความเห็นว่าอย่างไรครับ
หลวงพ่อ : แถลงการณ์......นี่นะ เรารู้เลยว่าเพราะเว็บไซต์เราออกไปเยอะ เขาเก็บประมวณจากเว็บไซต์เราด้วยนั่นล่ะ จริงๆ น่ะเราก็อยากจะให้เขารู้กันอย่างนั้นน่ะ ผิดหมด เพราะในเว็บไซต์.....เขาก็บอกในเรื่องดูจิตด้วย ผู้หญิงที่ว่าดูจิตคนนั้น เขาบอกว่ามันไม่มี
แถลงการณ์...... นั่นล่ะคือหัวใจล่ะ สอนให้คนอ่อนแอ สอนให้คนช่วยตัวเองไม่ได้ แล้วทุกคนต้องประสบ โธ่.. มันมีลูกศิษย์หลายๆ คนนะที่เขาดีดตัวเองมา เขาบอกว่าเขาเป็นหมอหมด เขาบอกว่าทีแรกเขาก็ไปทางนั้นล่ะ แล้วพอไปแล้วคนนั้นก็ได้ขั้น ๑ ขั้น ๒ ขั้น ๓ ขั้น ๔ แล้วก็ออกไปเรื่อยๆ เขาพูดอย่างนั้นจริงๆนะ
แล้วพอได้ไปนี่แล้วเขาก็แปลกใจ เขาแปลกใจว่าทำไมมันง่ายจนเกินไป แล้วก็มีพวกหมอเพื่อนเขานั่นแหละ เอาซีดีของเราให้เขาฟัง ใหม่ๆ ก็เป็นอย่างนี้ ใครๆ ฟังซีดีเราใหม่ๆนะ อื้อฮือ มันทุกข์มันยาก มันปวดเจ็บแสบมันรับไม่ได้ทั้งนั้นล่ะ แต่เขาฝืนไปฟังไปฟังมานะ เขาชักโน้มเอียงมาแล้วว่า เอ่อ อันนี้มีหลักมีเกณฑ์
อันที่เขาไปกันมาน่ะไม่มีหลักมีเกณฑ์ พอไม่มีหลักมีเกณฑ์ปั๊บนี่ เขาก็สังเกตหมู่คณะของเขา นี่เขาเล่าให้ฟังนะ สังเกตในพวกหมอด้วยกัน ถึงเวลาวันเสาร์อาทิตย์เขาต้องไปที่วัดเขานี่ เขาจะสังเกตว่าไอ้พวกนี้จะงุ่นง่านแล้ว เพราะว่าอะไร เพราะเขาทุกข์ว่าเขาจะไม่มีคำพูดอะไรจะไปพูดกับอาจารย์เขา เฮอะ มันก็น่าแปลกนะ เขาบอกว่า เอ๊ คนปฏิบัติมันต้องร่มเย็น ต้องมีความอบอุ่น
แต่นี้เวลาจะไปหาอาจารย์นี่ เขาจะเดือดร้อนแล้ว เพราะไม่มีมุก ไม่มีคำพูดอะไรที่จะไปพูดกับอาจารย์ จะหาอะไรไปพูดกับอาจารย์ดี จะย้อนกลับมาแถลงการณ์....นี่ไง เขาบอกว่าการฝึกสอนอย่างนี้ ฝึกให้พึ่งตัวเองไม่ได้ แล้วมีอะไรก็มีการโต้ตอบกันอย่างนี้ พอจะโต้ตอบก็ต้องมีปัญหาไปโต้ตอบเขา คือจะอาศัยคำพูดของเขาเคยหล่อเลี้ยงไว้เท่านั้นเอง ทำให้การปฏิบัติอ่อนแอ พึ่งตัวเองไม่ได้
แต่นี่ครูบาอาจารย์เรานะ เอ้ามึงพุทโธสิไปเลย พุทโธมา แล้วมีอะไรมาบอก ทำไม่ได้ใช่ไหม คำว่าพุทโธนี่นะ เราพูดไว้บ่อยจะอ้างเว็บไซต์ตลอดเพราะเราพูดไปเยอะมาก ในนั้นจะบอกว่าทำไมต้องพุทโธ พุทโธเพื่ออะไร ไปดูสิเราบอกไว้หมดเลย เหตุใดต้องพุทโธล่ะ
ถ้าไม่มีพุทโธนี่ พุทโธนี่คือพุทธานุสสติ คำว่าพุทโธนี่นะ มันก็เป็นอักษรเป็นคำสอนพระพุทธเจ้า มันไม่มีอะไรหรอก แต่เพราะจิตของเรานี่มันเป็นพลังงานเฉยๆ สิ่งที่เคลื่อนที่ได้เร็วที่สุดคือความคิดของเรา คือจิตนี่เคลื่อนที่เร็วกว่าแสง นี่พอเร็วกว่าแสงนี่มันไปหมดแล้ว มันไม่ทันหรอก นี่เราเอาสิ่งที่เคลื่อนเร็วที่สุดนี่ หาสิ่งที่แบบว่าเหมือนกับอะไร สะท้อนกลับ บูมเมอแรงสะท้อนกลับเห็นไหม
เพราะพุทโธๆๆๆ นี่มันจะสะท้อนสิ่งนี้กลับมา พุทโธๆๆๆๆนี่ เพราะเรามีสติ เรามีสติ แล้วอย่างกรณีทำอย่างนั้นเราบอกว่าตัดรากถอนโคน อย่างที่เขากำหนดนามรูปกำหนดอะไรๆ นี่ มันตัดรากถอนโคนเพราะมันส่งออกหมด นี่พอส่งออกหมดนี่ นี่เราพุทโธๆ ส่งออกไหม พุทโธนี่มันก็คำพูดเหมือนกัน ความคิดเหมือนกัน เห็นไหมว่าเหมือนกันนี่ แตกต่างกันราวฟ้ากับดินเลย
ฟ้ากับดินเพราะอะไร เพราะเรามีสติใช่ไหม เรานึกพุทโธๆๆๆ นี่พุทโธที่ไหน เพราะคำว่าพุทโธเอ็งต้องนึกขึ้นมา เอ็งไม่นึกแล้วมันจะมีพุทโธไหม แล้วใครเป็นคนนึก ก็จิตมันเป็นคนนึก นี่พอจิตเป็นคนนึกพุทโธมันเกิดจากไหน เกิดมาจากรากฐาน พุทโธๆๆๆๆ ออกไปนี่ แล้วถ้ามันสงบ มันก็สงบกลับมาที่ตัวมันจริงไหม เพราะเรานึกขึ้นมาเอง วิตก วิจาร ไม่มีวิตก วิจาร แล้วฐานความคิดมาจากไหน ความคิดมาจากไหน พอมันสงบ มันสงบกลับไปที่ไหน มันก็กลับไปสงบที่จิต
พอสงบลงที่จิตมันก็โอ้โฮ สงบเย็น โอ้ สงบอย่างนี้เนาะ ไม่ใช่ว่างๆๆๆๆ กูฟังว่างๆๆ มานี่เยอะมาก พอใครว่างๆมานะ กูบอกว่าสมมติว่าพุทโธได้ไหม คือถ้าจะบอกให้พุทโธเขาจะบอกว่า ไม่ได้เพราะเขากลัวไง กลัวว่าถ้าเรานึกพุทโธมันจะหยาบ ถ้าปล่อยหายไปเลยมันจะละเอียด เขาคิดผิดไง
เราบอกสมมติว่านึกพุทโธได้ไหม ได้ค่ะ นั่นคือไม่ว่าง เพราะมันยังนึกได้ ธรรมชาติของมนุษย์มันมีความคิดคือสัญญาอารมณ์กับจิต จิตคือพลังงาน ธรรมชาติมันมีอยู่อย่างนี้ หลวงตาบอกว่าจิตเป็นสอง สองเพราะจิตเรานี่มีสัญญาอารมณ์กับความรู้สึกเราเป็นคู่กันมาตลอด คนเรามีของคู่ มีดีมีชั่ว มีสุขมีทุกข์ มีพลังงานกับความคิด
นี่พุทโธๆๆๆๆๆๆๆ จนจิตละเอียดเข้ามาจนเป็นหนึ่งเดียว นี่สมาธิคือจิตหนึ่ง ในปัจจุบันนี่จิตสอง ความคิดกับความรู้สึก แล้วเขาไปดูที่ความคิดให้ดับไง ดูความคิดให้ดับ พอความคิดดับไปนี่เห็นไหม มันก็ยังเป็นสองอยู่อย่างเดิม สองตรงไหน สองที่ว่างๆๆๆ ว่างๆ ใครพูด ว่างๆ คือสัญญา สัญญาว่าว่าง ตัวพลังงานมันรู้ว่าสัญญาว่าว่าง
แต่ถ้าเป็นสมาธิ สมาธิเป็นอย่างไร สมาธิหนึ่งเดียว สมาธินี่พูดได้ มันว่างอย่างนั้นเราสมมติกันได้ แต่! แต่จะพูดความรู้สึกอันนั้นออกมาไม่ได้เลย มันไม่มีอักษรอะไรที่อธิบายความรู้สึกอันนี้ได้เลย แล้วพอความรู้สึกนี้มันก็มีพลังงานจริงไหม เพราะมันมีพลังงานมา พลังงานอันนี้จะออกไปใช้ปัญญาได้ นี่ถึงเป็นโลกุตตรปัญญา ไอ้ปัญญาที่คิดๆ กันอย่างนี้ มันเป็นโลกียปัญญา มันเป็นปัญญาของกิเลส หลวงตาพูดทุกวัน
กิเลสเอาปัญญานี้มาหลอกแดก แล้วก็เอาปัญญานี้วิปัสสนา พิจารณากาย ปล่อยวางๆๆ ปล่อยทำไมวาง กลับมาถึงไอ้ไฟฟ้าเห็นไหม ไอ้สายไฟ เริ่มต้นจากไฟถนนเห็นไหม ดูเกิดดับ เกิดดับ กูบอกถ้าดูเกิดดับก็ดูไฟถนน มันก็เกิดดับมันเอง ทั้งๆ ที่เกิดดับเองน่ะต้องมีแผงวงจรนะ ไม่มีแผงวงจรไฟฟ้ามึงจะเกิดไหม มันจะดับไหม ไฟถนนเห็นไหม พอแสงเริ่มมัวๆ มันก็ติดเอง พอแสงมันสว่างขึ้นมันก็ดับเอง มันไม่มีชีวิตนะโว๊ย
กูพยายามจะบอก กูพยายามเตือนมาตลอดบอกว่ามันไม่มีชีวิต มันไม่มีความรู้สึก มันเป็นแร่ธาตุ จิตของเรานี่ ธาตุรู้นี่เป็นสิ่งที่มหัศจรรย์ สสารที่มีชีวิต ธาตุรู้นี่มหัศจรรย์มาก แล้วถ้าพิจารณาเข้าไปเห็นเข้าไปนี่ มึงจะเห็นความมหัศจรรย์อีกมหาศาลเลย ไม่พูดอย่างนั้น ไม่พูดอย่างนั้น แตกต่างกันราวฟ้ากับเหว คำพูดเหมือนกันนี่แหละ แต่ความรู้สึกของกูกับเขานี่แตกต่างกันราวฟ้ากับเหว
เขาพยายามจะดึงเราไป พยายามจะคอนโทรลว่าเหมือนกัน เหมือนกัน ใหม่ๆออกมานี่ สอนเหมือนกัน แต่ท่านเห็นผิด แล้วจะบอกเลยว่าท่านโดนโกหก ท่านโดนคนเกลี้ยกล่อม ใครมันจะกล่อมกูได้วะ ท่านได้ข้อมูลผิดๆ ไม่ใช่ข้อมูลผิดหรอก เราเตือนสังคม กูสงสารพวกโยม กูสงสารเขา ที่พูดนี่เพราะความสงสารนะ พูดจนเจ็บคอหมด พูดเพราะความสงสารนะ
โธ่ ในพระโง่ เราบอกเห็นไหม เพราะเขาเอาหนังสือมาให้ดูนี่ ลูกศิษย์เขาเอามาให้ดู เขาบอกเขาไปที่อะไร เขาเทศน์ที่ว่าชาวพุทธอย่าทะเลาะกัน นี่เรารู้เลย เรารู้ถึงเจตนานะ คำพูดของเขา เขาพูดอะไรออกมาน่ะ เรารู้ถึงเจตนาเลยล่ะ ถ้าชาวพุทธอย่าทะเลาะกันนี่ แล้วเมื่อก่อนนี่เขาทะเลาะกับธรรมกายทำไม แล้วพอเขาทะเลาะกันน่ะ แล้วพอเขาขึ้นมาศักยภาพขึ้นมา แล้วบอกว่าอย่าทะเลาะกัน
เราบอกเราไม่ทะเลาะกับใคร แต่คำสอนมึงเหมือนนมผสมเมลานีน มึงจะให้เด็กมึงกินไหม มึงไปเปิดฟังสิ ในพระโง่นั้นน่ะ แล้วก็บอกว่าชาวพุทธอย่าโง่ อย่าทะเลาะกัน บอกไม่ใช่ชาวพุทธอย่าทะเลาะกัน กูมันโง่ กูนะพระโง่ พระโง่ๆ นี่ออกมาเตือนสติสังคม ไม่ทะเลาะกับมึงหรอก
เพราะเขาจะพูดให้สังคมนี้อย่าตรวจสอบไง ถ้าอย่าตรวจสอบ อย่าทะเลาะกันคืออย่าตรวจสอบ อย่าฉงนสนเท่ห์ อย่าเอาสิ่งนี้ขึ้นมาวินิจฉัย ถ้าวินิจฉัยแล้วมันตาย เวลาพูดอย่างนี้ไปเขาก็พูดมาเรื่อยๆ เขาพยายามจะปกป้องตัวเองด้วยคำพูดของเขา เขาบอกว่านี่ พอเวลาเราบอกว่านี่ คำพูดของเขานี่มันรัดคอเขาเอง อย่างเช่นลัดสั้น จะดึงให้เร็วมาอยู่กัน ๗ วันจะเป็นโสดาบันอย่างนี้ พอนี้ลัดสั้นขึ้นมาแล้วมันต้องมีผลใช่ไหม ก็ให้บรรลุเป็นโสดาบัน
แล้วพอข่าวมาถึงเราเยอะแยะไปหมด เขาก็บอกว่าไม่เคยให้ใคร พระโสดาบันเป็นพระอริยบุคคลในปัจจุบันจะมีไหม มันจะมีโดยตำรา มันจะให้ใครชี้ไม่ได้นะ ต้องพระพุทธเจ้าชี้คนเดียวนี่ แน่ะ! เพราะอะไรรู้ไหม เพราะชี้ก็ผิดหมด เพราะกูไปอุปโลกน์ไว้เอง คำพูดเขาพูด เขาทำอะไรไว้ขนาดที่ทำนี่ มันเหิมเกริม เหลิง
แต่พอมีคนมาตรวจสอบน่ะ มันรู้ว่ามันไม่จริงทั้งนั้น ก็ต้องพูดเพื่อปกป้องไว้ กูใส่เลย แม้แต่ในตำราก็ผิด เพราะในตำรานะเวลาสังโยชน์ขาดมันขาดเลย แล้วพิจารณากาย พิจารณาอย่างไร แล้วสังโยชน์ๆ ขาดอย่างไร สังโยชน์ขาดแล้วนะ ขาดแล้วก็กลับมาอีก เห็นกัน แพ้บ เป็นโสดาบัน พอเห็นนิพพานแพ้บเป็นโสดาบันนะ
ไอ้........น่ะ เขาไปเที่ยวนิพพานกับเขาไปนอนนิพพานกันอยู่นู้นน่ะ มันไม่มีเหตุผลไง ถ้ามีเหตุผลนี่เห็นไหม เอ็งพิจารณากาย เวทนา จิต ธรรมอย่างไร แล้วปัญญานี่ วงรอบของปัญญาน่ะมันแยกแยะอย่างใด มันปล่อยวางกายกับจิตอย่างใด กายไม่ใช่จิต จิตไม่ใช่กาย ทุกข์ไม่ใช่จิต จิตไม่ใช่ทุกข์ มันทำอย่างใด เห็นไหมนี่บอกว่าแม้แต่ตำราเองพูดก็ผิด
แล้วบอกถ้าพระพุทธเจ้าชี้นะ พระพุทธเจ้าไม่ชี้หรอก สัจธรรมมันชี้ สันทิฏฐิโก ปัจจัตตังน่ะมันบอกมันฟ้อง คำพูดอย่างนี้เขาบอกว่า จะพูดในทำนองว่า ถ้าจะมีการชี้ถูกชี้ผิดก็ต้องพระพุทธเจ้าองค์เดียวไง คนอื่นพูดไม่ได้ กูบอกไม่มีใครไปชี้ พระสงบก็ไม่ได้ชี้ใครหรอก พระสงบไม่มีศักยภาพ ออกไปสังคมไม่ได้หรอก แต่ความจริงความชั่วในใจมึงมันจะชี้ !!! รู้ๆ อยู่แก่ใจ !!!
โยม : ใช่ครับ
หลวงพ่อ : ใครจะไปชี้ ไม่มีใครไปชี้หรอก ความจริงความชั่วในใจน่ะมันชี้ นี่ไงคำพูดน่ะ โธ่ พอเขาพูดแล้วลูกศิษย์มาให้อ่าน รู้เลยว่านี้คิดอะไร คิดอะไร ทำอะไร แล้วจะไปไหน แค่อ่านนี่กูก็รู้แล้วคิดอะไรน่ะ นี่มันต่างกันราวฟ้ากับดินไง ยังไม่มีอะไรเหมือนเลย ใครบอกให้เหมือน ไม่มีอะไรเหมือนเลย แล้วที่เอามาทำนี้นะ เมื่อก่อนนี้หนังสือมามาก เราเผาทิ้งหมด ไม่เอา ไม่ยุ่ง ไม่เคยยุ่งกับใครเลย
โยม : แต่ตอนนี้มันก็แพร่กระจายไปเยอะมากเลยนะครับท่านอาจารย์
หลวงพ่อ : แพร่กระจายหมายความว่าอะไร
โยม : หมายถึงว่า หนังสือเอง ซีดีเอง คำสอนอะไรต่างๆ
หลวงพ่อ : อันนี้มันถึงว่า อันนี้มันเป็นเอกสาร มันเป็นหลักฐานทางเอกสาร ทำผิดหรือทำถูกที่ว่าจริงหรือไม่จริงนี่ ถ้าจะพูดเมื่อไหร่นี่ ไอ้สิ่งที่เราขีดไว้นี่ มันเอาพระไตรปิฎกมาจำกันได้หมดเลย เราจะชี้ให้เห็นเลยว่าผิดอย่างไร แบบนี้ แบบนี้ ในพระไตรปิฎก แต่ถ้าคนไม่เป็นมันทำไม่ได้
โยม : ใช่ครับ ยิ่งส่วนใหญ่เป็นคนไม่เป็น
หลวงพ่อ : ใช่ ไม่เป็น เรานี่นะจะเอาอย่างนี้น่ะนะ แล้วเทียบกับในพระไตรปิฎกให้ดูเลยว่าผิดอย่างไร ถ้าจะให้เราทำนะ เราทำให้ได้หมดเลย ไอ้นี่เพียงแต่ว่าเรานี่ มันแบบประสาเรานี่เราภาวนามานี่ พระไตรปิฎกนี่คือทฤษฎี คือกฎหมาย ทนายที่เก่งมากนี่ ตัวบทนี่เขาจะแม่นมาก
ฉะนั้นของเรานี่ในนั้นน่ะเราจะจับได้ ฉะนั้นเอามาเทียบอย่างนี้นะ นี่เอามาชี้ได้หมดเลย นี้มันเสียเวลา เราถึงว่าเอาในซีดีอันนี้แหละ พ้ะๆๆๆ เลย เราอธิบายชัดๆ เลยแล้วนี่ไอ้ของอย่างนี้ นี่ นิโรธของเขานะ สิ่งที่นิโรธนี่ มันจะเป็นพลัง มันจะไปรวมพลังของกุศล
แล้วเข้าไปตะลุมบอนกับสังโยชน์ในใจของเรา มันจะแหวกสิ่งที่ห่อหุ้มจิตของเราให้ขาดกระเจิงออกไป ขาดคว้ากออกไปเลย ขาดอย่างเนียนมาก ขาดไม่เหมือนฉีกกระดาษดังแคว้กนะ มันออกเนียนมาก ทันทีที่ขาดออกไป จิตแท้ซึ่งหลุดพ้นออกมาจากอาสวะปรากฏขึ้นมา แต่ปรากฎแบบไร้ร่องรอย
โธ่ ไอ้........นี่นิยาย มึงจะเขียนอะไรนี่ เอ้ย มึงจะเล่นอะไรวะ ไอ้กาโม่นี่ มึงจะกาโม่หรือมดแดงวะ มันทุเรศ อ้าว อ้าวเขาเทศน์ของเขา นี่มันอ่านอย่างนี้ แล้วนี่คือผลของการปฏิบัตินะ ผลของการปฏิบัติ
โยม : ในความเป็นจริง ที่พระอาจารย์ประสบนี่แตกต่าง
หลวงพ่อ : โฮ่ เพราะเรามีอย่างนี้ เราถึงไอ้นี่ ไม่เป็นอย่างนี้หรอก แล้วนี่เป็นผลของปฏิบัติ แล้วนี่มันเป็นหลักฐานทางเอกสาร แล้วมันแจกไปทั่วโลกทั่วแผ่นดิน แล้วไปคิดดูว่า.. นี่ดีนะเขาไม่อ้างว่าเป็นลูกศิษย์ครูบาอาจารย์เรา ถ้าอ้างว่าเป็นลูกศิษย์ครูบาอาจารย์น่ะ กูตายห่าเลย กูไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน อู๊ เวรกรรม
แล้วออกมาอย่างนี้จะทำอย่างไร เยอะมาก แล้วพระเราก็เหมือนกันก็มาถาม นี่ มันบอกว่าถ้าอย่างนี้คนอื่นก็รู้ได้ยาก คนไม่มีหลักเกณฑ์เลยนี่ อันนี้ยิ่งตลกนะ พระอนาคามี พระอนาคามีไม่มีกามและไม่มีปฏิฆะนี่พระอนาคามีนะ จะละนะ กามทางใจเรียกว่ากามธรรม อย่างเราต้องไม่ยุ่งกับใครเลย นั่งคิดอยู่นี่สมมติว่าเป็นพระบวชมา แต่จะหนีไปเรื่อยๆ สาวไปถึงกามธรรม พระอนาคามีคือละกามธรรม มึงเคยยินไหม
โยม : ผมไม่เคยเลย
หลวงพ่อ : เอ็งเคยได้ยินไหมว่าละกามธรรมนี้เป็นพระอนาคามีนี่ นี่ไง ถ้าพูดนี่ลูกศิษย์เราอยู่กับเรานี้เราจะชี้ให้ดู ลูกศิษย์เรานี่จะมีจุดยืนนะ แล้วไม่ยุ่งกับพวกนั้นเลย เพราะว่าเวลาเราเคลียร์ให้ฟังนี่ เราไม่พูดด้วยอารมณ์นะ แต่ใช่โยมพูดทีแรกน่ะ ฟังจิตส่งออกนี่รับไม่ได้เลย เพราะเสียงรุนแรง นิสัยเราเขาเรียกว่ามันธรรม มันสะใจ ถ้าไม่พูดออกมาด้วยหัวใจน่ะ มันเหมือนกับ โทษนะ ถ้าทางโลกเขาเรียกตอแหล คือแบบพยายามจะมารยาททางสังคมนี่ ถ้าธรรมต้องพุ่ง
อย่างที่หลวงปู่มั่นนี่ หลวงตาบอกอยู่กับหลวงปู่มั่น เวลาเทศน์นะ ถึงนิพพานทุกๆ กัณฑ์ล่ะ แต่ไม่มัน ต้องไขก๊อก คือว่าก่อนจะเทศน์ต้องไปถามปัญหาผิดๆ ถูกๆ ท่านบอกถ้าหลวงปู่มั่นบอก ไม่ใช่! ท่านบอกไม่ใช่นะ โอ้โฮ มันพรั่งพรู ถ้าไม่ใช่อะไรคือใช่ ถ้าไม่ใช่อะไรคือใช่ มันก็ตรงข้ามกับไม่ใช่ โอ๋ มันพรั่งพรูออกมาแล้วมันออกมา ท่านบอกมันกังวาน มันปั๊ง ปั๊ง ปั๊งเลย
ฉะนั้นเวลาเรานี่ ถ้าอันไหนสะเทือนใจนะจะแรงมาก แล้วออก งั้นเสียงถึงดัง เรื่องเสียงเรื่องอะไรนี่ ไอ้อย่างนี้มันเป็นสันดาน มันเป็นนิสัยใจคอของเรา เราถึงบอกนี่ นี่เว็บไซต์นี่ ถ้าใครทนฟังได้ก็ฟัง ใครทนฟังไม่ได้ก็กรรมของสัตว์ ไม่ถือสา ไม่ถือสา แต่ถ้าใครทนฟังนะ มึงเอาเหตุเอาผลอันนั้นมึงจะรู้ แต่เสียงนี่เสียงเป็นอย่างนั้น แล้วมันประเด็นพูดสะใจ มันออกมาจากความรู้สึก
โยม : ก็เหมือนครูบาอาจารย์นะฮะ
หลวงพ่อ : มันต้องออกมาจากความรู้สึก ฉะนั้นกรณีอย่างนี้มันจะไม่มีอะไรเลย ของเขาไม่มีอะไรเลย แล้วมันธรรมดา ดูๆ แล้วนี่เรายังคิดในใจเลยว่า นี่มันเอาซีดี เอาพวกนี้เอาของเราไปฟังแล้ว มันพูดออกมานี่มันหลายๆ อย่าง ที่มันแบบว่าก๊อปปี้ อ่านแล้วรู้ อ่านรู้เลย นี่ๆ ก๊อปปี้ นี้ก๊อปปี้มันผิดไง
อย่างเช่นเราบอกว่ากิน เราก็ได้กินข้าว เรามีกิริยาการกินท้องอิ่มหนำสำราญ โยมก็บอกเขากิน ถูกไหม ถูก คำว่ากินก็ ก.ไก่ สระอิ น.หนู กิน คือกิริยาที่เรารู้ๆ กันอยู่ ถ้าคำว่ากินน่ะทุกคนเข้าใจได้ใช่ไหมว่ากิน แต่เรานี่กิน กูกินเสร็จแล้วบอกกูกิน แต่เอ็งบอกว่าจะกินแต่ไม่มีจะกินต่างกันตรงนี้ไง เราถึงบอกว่ามันไม่มีข้อเท็จจริงรองรับไง พอคำว่ากินนี่ พอบอกว่ากินใช่ไหม เรากินข้าวกินอาหารเราก็กินใช่ไหม โยมบอกว่ากิน กินเหล็ก กินปูน กินหิน กินทราย ต่างกันไหม
โยม : ต่างกัน
หลวงพ่อ : เพราะเขาอธิบายมันต่างไง เขาใช้คำว่ากินนี้แหละ แต่เขากินหิน กินปูน กินทราย กินเหล็ก ไอ้เรากินข้าว มันก็ออกไปคนละทางเลย แล้วบอกว่าก็พูดเหมือนกันก็กินเหมือนกัน แต่ทำไมหลวงพ่อไม่ยอมรับล่ะ เอ๊ ก็พูดเหมือนกันแหละ กูบอกไม่เหมือนหรอก ไม่เหมือน ไม่เหมือน ไม่เหมือน แล้วไม่เหมือนน่ะ
เราถึงบอกใหม่ๆนะ เรื่องที่จะเกิดขึ้นน่ะ เพราะว่าลูกศิษย์น่ะ เขาแบบว่าญาติพี่น้องเขาไปทางนู้นเหมือนกัน เขาเป็นลูกศิษย์เรา เขาพยายามมาถามเราว่าหลวงพ่อผิดจริงหรือ ผิดจริง หลวงพ่อมีอะไรมายืนยัน ๑๐๐% เพราะเขาก็พยายาม ที่เขาออกไปนี่นะ เขาไม่ได้ตั้งใจอะไรหรอก คือญาติพี่น้องเขาไปทางนู้น เขาพยายามจะ.. เขารักญาติพี่น้องเขา แล้วเราก็บอกเขาบอกว่า เอ๊ย เอ็งออกไปทำไม่ได้หรอก เพราะเอ็งจำขี้ปากกูไปพูด เวลาเขาถามกลับมึงตอบไม่ได้ มันหน้าที่กูจะพูดเอง
แต่เราก็รอนี่ ฝั่งนู้นเราจะสร้างตึกอยู่ไง เราจะทำอย่างนี้ เราจะพูดเหมือนกัน แต่ถึงเวลาแล้วเราค่อยพูด อย่างเช่นนี่ เราพูดมาอย่างนี้นี่ เราพูดด้วยหลักฐาน ด้วยเอกสารทั้งนั้นน่ะ เราไม่ได้พูดด้วยหลักลอยนะ แต่ใหม่ๆ เราก็บอกว่า อู้ พระสงบนี่นะ จับเข้าประเด็น จับที่ไม่เป็นประโยชน์มาพูด นี่ ฮือ ไอ้......เอ๊ย กูจับแต่ผลมึงบอก คือเนื้อๆ ทั้งนั้นน่ะ
โยม : อาจารย์ครับ อาจารย์อยู่กับหลวงปู่เจี๊ยะนานไหมครับ
หลวงพ่อ : ๑ ปี
โยม : ๑ ปี
หลวงพ่อ : พรรษาที่ ๗ พ.ศ. ๒๗ ตอนสร้างวัด
โยม : ตอนที่สร้างวัด
หลวงพ่อ : ใหม่ๆ เลย ใช่ ตอนที่มาจากบ้านตาด เพราะหลวงปู่เจี๊ยะท่านไม่มีพระ เราก็ลงมาจากบ้านตาด มาเป็นกำลังให้ท่าน
โยม : อ๋อ ตอนนั้นอยู่กันกี่รูปเองหรือครับ
หลวงพ่อ : ๕-๖ รูป ตอนที่สร้างวัดมีเรากับท่านเท่านั้น มีเณร ๔ เณรก็ทำงาน เรานี่เป็นผู้อุปัฏฐาก เป็นผู้ดูแลท่านหมด ดังนั้นเราถึงใกล้ชิด เพราะตอนนั้นมันเป็นการสร้างวัดใหม่ๆ พอการสร้างวัดใหม่ๆ จะมีพระเข้ามาเยอะมาก พระเขามาถามปัญหาเราก็ออก เพราะอะไรรู้ไหม
เพราะในสังคมของพระปฏิบัตินี่ เขาจะรู้ว่าใครเป็นใคร กิตติศัพท์ของหลวงปู่เจี๊ยะน่ะ ท่านเหมือนหลวงปู่ตื้อ แต่ก่อนที่จะมาสร้างวัดป่าภูริทัตฯนี่ ท่านจะไม่เลี้ยงใครเลย ขนาดท่านเล่าให้ฟังนะ ท่านเล่าให้ฟังเอง ที่อยู่ที่วัดอโศฯนี่ เพราะท่านมาจากเมืองจันทร์ มาพักที่อโศฯนี่ พวกโยมมาทำบุญน่ะ หลวงปู่ๆ เทศน์ให้ฟังหน่อยสิ ทั้งๆ ที่มาทำบุญนะ ท่านก็ฉันข้าวไป กูเป็นหนี้มึงหรือ
ท่านไม่พูด ท่านคิดเหมือนกับคนที่รู้นี่ โทษนะ ธรรมะนี่นะเหมือนมนุษย์พูดกับสัตว์ สัตว์จะไม่รู้ภาษาเราหรอก ถ้าคนภาวนาเป็นคิดอย่างนั้นเลย เรามีความรู้สึกอย่างนั้นจริงๆ เลยนะ เหมือนเราพูดกับเด็กไร้เดียงสานี่ มันไม่รู้เรื่องหรอก ที่นี้ถ้าคนเขาคิดอย่างนี้ เช่น หลวงปู่ขาวนี่ ท่านบอกเลยนะ ท่านเคยพูดที่หลวงปู่ขาวว่า คนมาหาเรา ๒๐๐,๐๐๐ คน นี่ เราเทศน์สอนคนไป ๒๐๐,๐๐๐ คน นี่ คนจะปฏิบัติได้สัก ๒ คนไหม
นี่คือข้อเท็จจริงนะ นี่ครูบาอาจารย์ท่านภาวนาของท่านเป็นแล้วนี่ ท่านปฏิบัติมานี่ท่านทุ่มเทขนาดไหน แล้วกว่าจะแต่ละขั้นแต่ละตอนขึ้นมา แล้วไปพูดกับทั่วๆไปนี่ เขาจะรู้กับเราได้อย่างไร แล้วบอกเราปฏิบัติอย่างนี้น่ะ อู้หู อู้หู เอาขนาดนี้เชียวหรือ อู้หู มันจะเป็นจะตาย ท่านถึงไม่พูดกับใครไง
นี้พอมาอยู่มาสร้างวัดป่าภูริทัตฯนี่ พระนี้เขารู้กิตติศัพท์หลวงปู่เจี๊ยะกันหมด เราก็รู้ แต่เราพอใจจะมาไง เพราะเราอยากให้ภาคกลางมีวัดปฏิบัติ เพราะเราก็คนภาคกลางเหมือนกัน ตอนนั้นปี ๒๗ เราออกมาจากบ้านตาด เราก็มาเป็นฐานให้ท่านนั่นแหละ มีพระเข้ามาเยอะมาก พระเข้ามาถามปัญหาแล้วก็ออก เราก็นั่งฟังอยู่ เพราะถามปัญหานี่หลวงปู่เจี๊ยะตอบเรา เราได้ฟังหมด องค์ไหนตอบมาเป็น ไม่เป็นเรารู้หมด
ไอ้นี่เพียงแต่ว่าเขาจะมาอยู่ด้วยเขากลัวหลวงปู่เจี๊ยะ เขาเรียกว่าคั่ว เคี่ยวเข็ญไง ไม่กล้าหรอก ที่เขาไม่กล้าเข้าไปเพราะเขากลัวหลวงปู่เจี๊ยะเอาจริงเอาจัง พวกนี้ไม่กล้า หลวงปู่เจี๊ยะเปลือกนอกเป็นอย่างนั้น โธ่ เอ็งภาวนาเป็นไม่เป็นท่านรู้หมดละ แล้วคนมันก็กลัวหมดสิ ไอ้ที่เขาไม่กล้าๆ ไม่กล้าเข้าไปหาอาจารย์ก็ตรงนี้แหละ กลัวโดนแหกอกไง ที่ไม่กล้ากลัวโดนแหกออกมา แล้วตายเลยสิ ขายขี้หน้า
โยม : อาจารย์ครับ แล้วอย่างนี้ ผมจะเริ่มต้นคือทำความสงบอย่างเดียว ให้นึกถึงความสงบ
หลวงพ่อ : ทำความสงบนี่ มันมีอยู่ ๔๐ วิธีการเห็นไหม ที่ทำความสงบนี่มันก็มีปัญญาอบรมสมาธิ สมาธิอบรมปัญญา พุทโธๆ นี่สมาธิอบรมปัญญาคือความสงบของใจ แต่ถ้าเป็นแบบหลวงปู่ดูลย์สอนนี่นะ ท่านสอนให้ใช้ปัญญา เพราะท่านบอกให้ดูจิตนี่ ท่านเขียนตัวดูตัวใหญ่ๆ ดูรู้นี่รู้ใหญ่ๆ ดูรู้แบบผู้บริหารจัดการ การดูจิตของหลวงปู่ดูลย์นี่ ดูแบบผู้อำนวยการโรงพยาบาลนี่ เขาจะรับผิดชอบองค์กรทั้งหมด
แต่การดูจิตของที่เขาสอนกันนี่ มันดูจิตแบบไอ้พวกรักษาความปลอดภัยหน้าประตูโรงพยาบาลน่ะ มันแตกต่างกันตรงนี้ ถ้าพูดถึงดูจิตอย่างผู้บริหารจัดการเขาต้องตั้งงบประมาณ เขาต้องหาบุคลากร เขาต้องมีนโยบายจริงไหม นี่การปัญญาอบรมสมาธินี่ ใช้ปัญญานี่ มันจะตามความคิดเราไป นี่ไงที่เวลาเราพูดนะแตกต่าง แตกต่างกันตรงนี้ ที่ว่าไม่เหมือนไม่เหมือนตรงนี้ เราไม่ได้บอกดูจิตเลย เราบอกปัญญาอบรมสมาธิ ปัญญาอบรมสมาธิ
หลวงตาก็บอกปัญญาอบรมสมาธิ ปัญญาอบรมสมาธินี่ใช้ปัญญาเห็นไหม ความคิดนี่เราก็ใช้สติตามความคิดไปนี่ ปัญญามันทันกันมันหยุดได้นะ อย่าเช่นเวลาเราคิดอะไรนะ พอเราทันความคิดเรา มึงบ้าหรือ มึงคิดอย่างนี้ได้อย่างไรน่ะ มันอายตัวเองนะ ถ้าจะให้จิตสงบ แล้วพอจิตมันหยุดปั๊บมันจะเห็นเลยว่า หยุดนี่หยุดกันที่ไหน หยุดเข้าไปที่จิต เพราะจิตมันหยุดมันต้องรู้ว่าหยุดแล้วเหลืออะไร เพราะหยุดมันแล้ว เอ๊าะ เอ๊าะ ก็หยุดบ่อยๆ หยุดบ่อยๆ นะ
หยุด ที่ว่าหลวงปู่ดูลย์บอกว่าหยุด พอหยุดปั๊บมีสติเลย แล้วรู้ด้วยมีเหตุมีผลด้วย ไม่ใช่ดูกันอย่างนั้น ดูจิตหรือรู้จิตนี่ ไปดูนี่หลวงปู่ดูลย์เขียนใหม่ๆ นะ ให้รู้ ตัวร.เรือใหญ่ๆ อย่างนี้เลย นี่ดูจิตนี่ ตัว ร.เรือเบ้อเร่อเลย ดูก็ ด.เด็กใหญ่ๆ ถ้ารู้จิตก็ใหญ่ๆ แล้วดูจิต เห็นจิตนี่ตัวจิตตัวนิดหนึ่ง แต่ตัวรู้ ตัวดูนี่ท่านจะเขียนตัวอย่างนี้เลย ไปดูสิในหนังสือเก่าหลวงปู่ดูลย์น่ะ มันความหมายนะน่ะ ให้ดูให้รู้อย่างไร นี่เพียงแต่กระชับใช่ไหม คำว่ากระชับนี่ดูกับรู้มันเป็นคำเดียวกันใช่ไหม
แต่ของเราก็ปัญญาอบรมสมาธิ สมาธิอบรมปัญญามันชัดเจน แต่ท่านจะเขียนให้กระชับเพราะมันเป็นโศลกใช่ไหม ท่านเขียนว่าดูหรือรู้คำเดียว แต่ดูรู้แบบผู้อำนวยการโรงพยาบาล ผู้อำนายการองค์กรนั้น ไม่ใช่ดูรู้แบบพนักงานรักษาความปลอดภัยหน้าประตูนั้น ถ้าเราดูเรารู้แบบผู้อำนวยการโรงพยาบาล หรือผู้อำนวยการองค์กรนั้นนะ เอ็งคิดดูว่าเอ็งต้องบริหารจัดการทั้งหมดเลย เอ็งต้องดูแลความคิดให้มันเข้ามานี่ อย่างนั้นถึงจะถูก
ที่เราสอนเราสอนอย่างนั้น เราสอนใช้ปัญญาอบรมสมาธิ เพราะขั้นนั้นเป็นขั้นของสมาธิ ขั้นของสมถะ ไม่ใช่ขั้นของวิปัสสนา ขั้นของวิปัสสนาต้องจิตสงบก่อน มันจะแตกต่าง พอจิตสงบนะ พอเห็นกายนะ โอ้โฮ มันผงะเลย ถ้าจะเห็นกาย เพราะมันเห็นจากจิตใต้สำนึก มันได้เห็นอย่างนี้หรอก คนเห็นกายนี่พูดได้ถูกหมด หรือเห็นจิต เห็นเวทนา เห็นธรรมนี่ ไม่เห็นอย่างนี้
โยม : ผู้ที่เห็นจริงๆ นี่เห็นอย่างเดียวกัน เห็นเหมือนกัน
หลวงพ่อ : เห็นไม่เหมือนกัน แต่คุณภาพมันเหมือนกัน เห็นไม่เหมือนกัน แต่ผลที่การเห็นน่ะ เห็นเหมือนกันไม่ได้ เห็นเหมือนกันคือก๊อปปี้
โยม : อื่อ แต่ผลนี่เหมือนกัน ใช่ไหม อาจารย์
หลวงพ่อ : ผลอันนั้นน่ะวัดได้ วัดผลได้ แต่กูวัดแล้วนี่มันไม่มี ไม่มีเลย เอาตรงนี้วัดผล ลูกศิษย์เรานี่ โธ่ เวลาพิจารณาเห็นกายมาแล้ว โอ้โฮ ผงะ น้ำตาไหลร้องไห้ ใครมานะร้องไห้ร้องห่มร้องไห้มาหมด
มีเยอะทางโน้นมานี่ หลายคนมากบอกดูจิตมา ๓-๔ ปี พอมาภาวนาที่นี่ พอจิตมันลง เห็น! โอ้โฮ น้ำตาพรากเลย แล้วกลับไปมองทางโน้น โอ้โฮ ทำไปเมื่อก่อนอย่างนี้เลยนะ ตอนยังไม่มาน่ะ พอมาทำปั๊บ โอ้โฮ มันพลิกเลย โอ้โฮ เห็นไหมนั่นดูสิความลึกซึ้ง แล้วนี่แค่เริ่มต้นนะ แค่เริ่มต้น
โยม : แล้วอาจารย์สอนลูกศิษย์ก็คือให้ภาวนาพุทโธๆๆๆ
หลวงพ่อ : พุทโธก็เครียด ปัญญาอบรมสมาธิมันก็เหลวไหล เราผสมกัน ให้พุทโธๆๆๆ แต่ถ้าเวลามันคิดตามความคิดมันคิดไปเลย ถ้ามันคิดมันหยุด มันหยุดแล้วทำอย่างไรต่อ พุทโธต่อไปเลย คือเอาของจริงทั้งหมด เอาเนื้อๆ เอาเนื้อๆ เอาข้อเท็จจริง
ทำอะไรก็ได้ขอให้พวกมึงทำได้จริง ทำอะไรก็ได้เอาเนื้อๆ เอาความจริง ความโกหกไม่เอา นั่นเราให้พุทโธ นี่พุทโธนี่เขาเรียกว่า เขาบอกว่ากำปั้นทุบดินพุทโธนี่ คือมันแบบว่าใครมาพุทโธๆๆๆ นี่ มันก็กำปั้นทุบดิน เรายืนอยู่บนดินน่ะ นี่ปัญญาอบรมสมาธินี่มันเป็นความคิด มันเหมือนเราทำงานบนที่สูง
เราถึงบอกครูบาอาจารย์ส่วนใหญ่ท่านไม่ค่อยได้สอน เพราะมันสอนแล้วนี่ประสาว่ามันวัดผลของมันอย่างไร เอาอะไรวัดผล ถ้าไม่เป็นนะ แต่ของกูนี่วัดได้ โผล่มาปุ๊บกูฟังรู้เลยว่าเป็นไม่เป็น เพราะธรรมดานี่เราน่ะชำนาญทางนั้นมากเลย กูนี่ชำนาญทางจิตมากเลย
ถ้าไม่ชำนาญพูดอย่างนี้ไม่ได้ งั้นพอมาเห็นอาการอย่างนั้นแล้วมันไม่ใช่ มันไม่ใช่ แล้วไม่ต้องเราบอกใช่หรือไม่ใช่ เขารู้ในตัวเขาเอง รู้ตรงไหนรู้ไหม รู้ตรงคำพูดนี่ มันหล่อกแหล่ก มันไม่มีหลักการ พูดไม่ตายตัวไง วันนี้พูดอย่าง คนนี้พูดอย่าง คำพูดพลิกไปพลิกมานี่
แต่ถ้าความจริงมันไม่พลิก ๑ ๒ ๓ ๔ ปั๊บๆๆๆ ต้องอย่างนี้ ต้องอย่างนี้ ต้องอย่างนี้ หลวงปู่มั่น ต้อง อย่างเดียวเลย ต้องอย่างเดียว ต้องอย่างเดียว เป็นอื่นไปไม่ได้ ไอ้นี่คิดก็ โอ้โฮ มึงไปเปิดของมันสิ เอ็งหาหลักการตรงไหน แล้วจิตอยู่ตรงไหน เอ็งบอกกูมาสิ หลักการและจุดยืนอยู่ตรงไหน
อริยสัจมีหนึ่งเดียว พระศรีอริยไตรยจะมาตรัสรู้ธรรมอันนี้ อนาคตวงศ์ อีก ๑๐ องค์ พระพุทธเจ้าอนาคตอีก ๑๐ องค์นะ ต่อจากพระศรีอริยเมตไตรยไป อันเดียว ไม่มีสอง มึงพูดมาสิอันไหน ทำไมไม่พูดออกมา พุทธพจน์ พุทธพจน์ เอาบาลีเอาพุทธพจน์มาบังหน้า แล้วสังคมก็เชื่อถือ ปัญญาเกิดจากถิรสัญญา สติเกิดจากเผลอ โอ๊ย เจ็บปวด.. เจ็บปวด..
โยม : ท่านหลวงปู่เจี๊ยะถ้ายังอยู่นี่ท่านจะทำอย่างไร
หลวงพ่อ : ท่านก็เฉย ไม่ใช่เรื่องของท่าน เขาพูดอยู่ ทุกคนบอกว่าทำไมหลวงตาไม่ตัดสิน ไม่ใช่เรื่องของหลวงตา ไม่ใช่เรื่องของท่าน
โยม : แล้วหลวงตาท่านจะทราบไหมครับ
หลวงพ่อ : โคตรทราบเลย แต่มันเป็นเรื่องของสังคมไง ถ้ามีใครคนใดคนหนึ่งไปถามหลวงตาบอกว่านี่ นี่มันเป็นอย่างนี้ ท่านจะบอกเลยว่าไม่ใช่เรื่องของเรา เพราะคำพูดของท่านมันชี้ถูกชี้ผิดได้ชัดเจน แล้วสังคมนี่มันผิดกันอย่างนี้อยู่แล้ว
เราออกมาพูดใหม่ๆ เห็นไหม เขามาพูด เขาก็ไปอ้างว่าเขาไปถามลูกศิษย์หลวงตาว่าพระสงบนี่โดนไล่ออกมาแล้ว อย่างนู้นอย่างนี้ เราพูดบ่อยๆ บอกว่าเราพูดออกไปนี้เอ็งอัดเทปสิ หรือว่าแกะก็ได้ แล้วไปฟ้องสิว่าพระสงบพูดอย่างนี้ ไปฟ้องเลย กูจะรอว่าเรียกกูขึ้นไปไง
ถ้าเรียกขึ้นไปเราจะบอกเลย คือเขาบอกฝึกสติไม่ต้องฝึกนะ มันจะเกิดเอง พอบอกหลวงตาต้องบอกอย่างนี้ บอกหลักการน่ะ พอบอกหลักการปั๊บท่านจะชี้ถูกชี้ผิดเลย สติฝึกมันสติปลอม ตั้งใจฝึกนี่ปลอมหมดเลย ถ้ามันลอยมาจากฟ้าน่ะสติจริง สติมันมีจริงมีปลอมหรือ สติคือสมมติ สติตัวไหนตัวจริง ตัวไหนตัวปลอม ไม่ใช่ไอ้โม่ง ไอ้ห่า
ถ้าคนมีหลักพูดน่ะตายเลย เราถึงบอกไปฟ้อง ฟ้องเลย ออกใหม่ๆ เขาฟ้อง โอ่ เขาออกมาใหญ่เลย พระสงบเลวชาติ ชาติชั่ว ก็ว่ากันไป กูไม่เกี่ยวหรอก กูช่วยสังคม กูเตือนสังคม มึงด่ากูอีก ๑๐๐ วันก็ไม่เจ็บเพราะกูไม่ได้ยิน ด่าไปเลยตามสบาย ตามสบาย เชิญตามสบายเลย
ไม่หรอก เรื่องถ้าหลวงปู่เจี๊ยะอยู่ ใครอยู่ก็ไม่ออกมาหรอก ถ้าเป็นคุณธรรมนะ คุณธรรมไม่ออกมาหรอก เรารู้ แต่นี้เห็นไหม เขาพยายามจะดึงออกไปเหมือนกัน ไม่หรอก เพราะเรารู้ว่าออกไปแล้วมันไม่จบ เพราะมันตะแบงไง มันตะแบงไปอย่างนี้ ไม่จบหรอก
แต่ถ้าเป็นสุภาพบุรุษคุยมันจบ ถ้าบัณฑิตๆ คุยนี่ คำเดียวนี่ เหตุผลฟังเหตุผลแล้วเชื่อ ฟังเหตุผลแล้วผิดถูกว่ากันตามเหตุผล เราเป็นสุภาพบุรุษด้วยกัน สุภาพบุรุษเขาพูดด้วยเหตุด้วยผล ไม่ใช่พาลชน
อเสวนา จ พาลานํ ปณฺฑิตานญฺจ เสวนา คนพาลเขาไม่ให้คบ เขาให้คบบัณฑิต แล้วถ้าบัณฑิตเขาต้องคุยกันด้วยเหตุด้วยผล เราก็พูดบ่อยๆ เห็นไหม นัดมา ที่ไหน เมื่อไร่ บอกได้ทุกเวลา ทุกนาที กูพูดขนาดนี้ แต่ด้วยเหตุผล แล้วถ้าจะพูด พูดกัน ๒ คนไม่ได้ ต้องเอาสื่อมวลชนมานั่งล้อมรอบเลย เพราะออกไปแล้วมันจะตะแบง
โยม : ต้องขอบคุณพระอาจารย์มากเลยนะครับ
หลวงพ่อ : นี่มันเห็นมาแต่แรกแล้ว มันไม่ใช่ทั้งนั้นล่ะ เพราะเราก็ฟังหลวงปู่ดูลย์มาเยอะ เวลาเราพูดออกไปใหม่ๆ เห็นไหม เขาจะบอกว่าพระสงบนี่ เรียกพระสงบนะ เขาบอกว่าพระสงบนี้รู้ได้อย่างไรว่าเขาสอนผิด แล้วพระสงบรู้ได้อย่างไรว่าหลวงปู่ดูลย์สอนถูก เหตุผลน่ะมันคล้องจองกัน ธรรมทั้งหลายมาแต่เหตุ
แล้วเวลาหลวงปู่ดูลย์ท่านไม่ได้บอกว่าห้ามคิดห้ามทำทั้งนั้นน่ะ ท่านถึงบอกให้คิดให้ทำ แต่จังหวะควรคิดควรทำเมื่อไร่ ควรสงบเมื่อไร ควรใช้ปัญญาเมื่อไรเห็นไหม ท่านพูดของท่านเป็นขั้นเป็นตอน ไปดูสิเรื่องหลวงปู่ฝากไว้ก็ชัดเจน ดูจิตจนจิตเห็นอาการของจิต ดูจิตไปเลย ดูจิตนี่ จิตนี่ จิตของเรานี่มันเหมือนส้ม ส้มนี่มันมีเปลือก
ความคิดเราเหมือนเปลือกส้ม มันเห็นไหมดูจิต ดูจิต จนจิตนี่มันเข้ามาถึงเนื้อส้ม เนื้อส้มเห็นไหม เนื้อส้มเสวยอารมณ์ เนื้อส้มกับเปลือกส้มเพราะมันมีชีวิตใช่ไหม มันสัมผัสกัน มันรู้ได้ รับรู้ได้ ความคิดของเรากับพลังงานของเรา ความรู้สึกของเรากับความคิดของเรานี่ เวลามันจับต้องกับนี่มันรับรู้ได้ รับรู้ได้เพราะอะไร รับรู้ได้เพราะจิตมันสงบเข้ามา
หลวงปู่ดูลย์บอกดูจิตจนจิตเห็นอาการของจิต แล้วพิจารณามัน ไปดูหลวงปู่ดูลย์ฝากไว้สิ หลวงปู่ดูลย์ฝากไว้ไปอ่านสิ ดูจิตจนจิตเห็นอาการของจิต แล้ววิปัสสนา ใช้ปัญญา มันตื้นๆ มันเรื่องพื้นๆ นะ มันฟังรู้เรื่องหมด ห้ามคิด คิดไม่ได้ คิดผิด ก็ขอนไม้ไง คนทั้งคนทำให้เป็นวัตถุ
เราถึงได้พูดออกไปเรื่อง ถ้าอย่างนั้นเกิดดับ เกิดดับมันก็ดูเสาไฟฟ้า เสาไฟฟ้ามันไม่มีชีวิต เราจะบอกว่าสิ่งที่มีชีวิตกับสิ่งไม่มีชีวิตเราต้องเทียบกัน เราเตือนมาตลอดนะ บางทีเราก็โยนไปคำหนึ่ง โยนไปสังคม อู๊ย กลับมา อ้าว ถ้ายังงั้นก็เหมือนป่อเต็กตึ้ง ปอเต็กตึ้งดูกายเหมือนกัน ใช่ ป่อเต็กตึ้งเขาไปดูกายก็เหมือนหมอที่ไปผ่าตัดนี่แหละ เพราะป่อเต็กตึ้งมันไปเก็บศพมันได้คะแนนของมัน มันได้ผลประโยชน์ของมัน มันเป็นธุรกิจ
มันไม่ใช่ว่า ไม่ใช่พระไม่ใช่ภิกษุเข้าไปเที่ยวป่าช้า เที่ยวป่าช้าถ้าทำจิตสงบแล้วนี้ เขาให้ดูซากศพ พอไปดูซากศพแล้วหลับตาเห็นภาพนั้นไหม ถ้าเห็นภาพนั้นแล้วกลับมาที่ที่อยู่น่ะ ขยายภาพนั้น เห็นภาพนั้นก็จิตเห็นภาพนั้น จิตนั้นเห็นกาย การเห็นกายน่ะเห็นจากจิต เห็นจากจิตภิกษุเราไปอยู่ป่าช้าให้ดูศพ ให้ดูซากศพแล้วหลับตาเห็นภาพนั้นไหม นี่จิตมันเห็น แต่ถ้าหลับตาแล้วเห็นภาพนั้นทำอย่างไรให้จิตสงบให้ได้ก่อนเพราะจิต นี่เพราะสิ่งที่เห็นกายนี้ก็เห็นจากจิตไม่ได้เห็นจากตา
ไอ้เห็นจากตานั่นมันหมอ มันวิชาชีพ มันเป็นโลกียปัญญา ไอ้ป่อเต็กตึ้งน่ะมันไปเก็บศพนะ มันเถียงโดยเด็กๆ เห็นไหม เด็กมันก็เถียงว่า ถ้าเราบอกว่าไฟฟ้าเกิดดับ ถ้าเกิดดับเราจะเตือนว่ามันเป็นสสาร เป็นวัตถุ มันไม่ใช่สิ่งมีชีวิต แล้วเขาก็โต้มาว่าอย่างนั้นป่อเต็กตึ้งเก็บศพ มันดูซากศพ ดูศพมันก็ไม่มีประโยชน์อะไร อ้าว ไอ้นั่นเขาไม่ได้ดูศพ เขาทำธุรกิจ เขาไปเก็บศพ เขาไปส่งโรงพยาบาล เขาได้ค่าหัว ไอ้บ้าเอ๊ย
โยม : คนรู้กับไม่รู้ถ้าเถียงกันมันก็ไม่จบ
หลวงพ่อ : ไม่จบหรอ ก็อย่างนี้ไง เขาไปเถียงเขาก็ไม่จบ เราถึงบอกว่าออกไปก็ไม่จบหรอก ไม่จบ นี่หลวงตาครูบาอาจารย์ท่านจะรู้แล้วไม่ใช่ธรรมดา เรื่องอย่างนี้มันเกิดมาตั้งแต่สมัยพุทธกาล สมัยพระพุทธเจ้าก็มี มหาโจรเห็นไหม อ้าว มึงเป็นอนาคา ไอ้นั่นบอกพระอรหันต์ แล้วก็ไปบอกไอ้โยมนะ นี่ไอ้อนาคา นี่อรหันต์ นี่เขามหาโจร เพราะโจรต้องไปปล้น มหาโจรเขามาให้ถึงที่
โยม : อื่อ ใช่ครับ
หลวงพ่อ : พระพุทธเจ้าบอกไว้หมดแล้ว แล้วมันเป็นมหาโจรน่ะ มันวางแผนขนาดนี้ มึงไปบอกเขาไม่ให้เขามาไหม มันก็ตะแบงไปเรื่อยๆ นี่ มันอยู่ที่ตรงนี้ มันอยู่ที่เขามีความรู้สึกความนึกคิดอย่างไร เราเองพูดเลยนะถ้าเป็นเรานะ กูเก็บของหนีเข้าป่า จบ เพราะโต้อย่างไรมันก็ตาย เพราะหลักฐานมันเยอะมาก
โยม : แต่ไม่ใช่เขาเข้าใจผิดเองหรือเปล่าครับ พระอาจารย์
หลวงพ่อ : ถ้าเข้าใจผิด ความเห็นผิด หลักฐานขนาดนี้มันพูดกันได้ แต่นี้คิดว่าพูดนี้เป็นสัจธรรมทั้งหมด เพราะพูดพระไตรปิฎกทั้งหมด พูดธรรมะทั้งหมด แต่ที่อย่างที่บอกพวกเอ็ง เขากินข้าว มันเสือกกินอิฐ กินหิน กินทราย กินปูน แล้วมันจะไปลงกันได้อย่างไรล่ะ พระไตรปิฎกมันตีความหมายไปคนละทางนะ ถ้าวันนี้พูดดีนี่ออกเว็บไซต์ ไอ้พูดอย่างนี้ออกเว็บไซต์หมด เดี๋ยวให้พระเขาเช็คดูก่อน
นี่บางอย่างเราพยายามเช็ค เพราะไม่อยากออกไปยุ่งกับข้างนอกมาก เราไม่อยากไปยุ่งจริงๆนะ เราไม่เคยออกจากวัดนี้ไปที่ไหนเลย เว้นไว้แต่ จะบอกว่าไม่ออกไปเลยเดี๋ยวจะหาว่าโกหก นี่เพิ่งกลับมาจากหัวหิน เว้นไว้แต่เอาเสบียงไปส่ง เรามีวัดหลายวัด เราเอาไปส่ง ไปแค่จากวัดสู่วัด ไปดูแลพระเรา แต่เราไม่เคยไปไหนเลย แล้วไม่ออกไปยุ่งกับใครทั้งสิ้น ไม่เคยไปไหนเลย ไม่เคยไปไหนเลย แล้วกูต้องการไปยุ่งอะไรข้างนอกละ
โยม : ครับพระอาจารย์
หลวงพ่อ : โอเค เนาะ
โยม : ครับ