ถาม-ตอบปัญหาธรรมะ

ไม่เหมือนกัน

๑๘ พ.ย. ๒๕๕๓

 

ไม่เหมือนกัน
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ถาม-ตอบ ปัญหาธรรม วันที่ ๑๘ พฤศจิกายน ๒๕๕๓
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

โยม ๑ : คือที่วัดผมกำลังจะเปิดปฏิบัติเช่นเดียวกับที่วัดนี้ ทีนี้ถ้าหากว่า.. อันนี้ถ้าคิดว่ารักษาศาสนานะครับ อาจารย์ครับ เฮ้อ.. ก็คิดอยู่ว่า จะมีเป็นไปได้ไหม ที่คิดนี่... คือช่วงไหน เดือนหนึ่งขอสักวันหนึ่งครับ

หลวงพ่อ : ไม่ได้หรอก สำหรับเราเนาะ เพราะสำหรับเรานี่ เขาจะนิมนต์ไปเทศน์พวกที่เป็นหมู่คณะเขาจะเอาเราไปเทศน์หลายที่มาก แต่เราไปให้เป็นเฉพาะบางที่ เป็นบางที่หมายถึงว่า เราเห็นคุณค่าของครูบาอาจารย์เราไง เราไปเทศน์งานหลวงปู่เจี๊ยะ เราไปเทศน์งานของครูบาอาจารย์เพราะเราอยู่กับท่านมา ท่านปั้นเรามา แต่ถ้าข้างนอกนี่เราถือว่าเรายังเด็กอยู่

นี่ความรู้สึกนะ ! ความรู้สึกว่าเราเด็กอยู่ แต่จริงๆ เราว่าไม่ใช่เด็กแล้ว แต่นี้ความรู้สึกที่เรียกว่าอ่อนน้อมถ่อมตนนี่เราว่าเรายังเด็กอยู่ จนเวลาพูดกับพวกลูกศิษย์นี่บอกว่า “หลวงพ่อเลิกคำพูดคำนี้ได้แล้ว ไอ้เด็กๆ นี่”

นี้ในความรู้สึกของเรานี่เรายังเด็กอยู่ ยังเด็กอยู่หมายถึงว่าเรายังมีครูบาอาจารย์เป็นผู้ใหญ่อยู่ ถ้ามีครูบาอาจารย์เป็นผู้ใหญ่อยู่ อย่างไรก็แล้วแต่ ถ้าเราเป็นลูกนะ พ่อแม่ทำอะไรอยู่นี่เราไม่อยากจะแซงหรอก ในความรู้สึกเราเนาะ ความรู้สึกของคนทั่วไป

อย่างพ่อแม่เรานี่ พ่อแม่เราทำงานอยู่ เราจะออกไปทำงานหรือว่าออกไปให้มันเด่นขึ้นมานี่เราทำได้ไหมในความรู้สึกเรา นี่ไง อันนี้มันถึงว่าทำให้เรายังเด็กอยู่ นี้เราก็ยังเด็กอยู่

แต่นี้อย่างที่พูดนี่คนจะเอาไป โอ้โฮ.. โทรศัพท์มานี่เยอะมาก แล้วเขาก็พูดว่าเพื่อประโยชน์.. เพื่อประโยชน์.. เราก็เข้าใจอยู่ บางทีเห็นใจมากนะเพื่อประโยชน์นี่ เพราะว่าเวลาเราไปวัดหลวงปู่เจี๊ยะ เวลาเทศน์นี่โอ้โฮ.. แบบว่าเขาตกใจ เขาตกใจเลย เพราะเวลามันไปแล้วนี่ มันไม่ได้ดูเหนือดูใต้ ไม่ได้ดูอะไรทั้งสิ้น มันจะไปตรงเลย

โยม ๑ : คือตรงนี้ก็เข้าใจนิดหนึ่ง ว่าเมื่อไปที่หนึ่งแล้วก็ต้องไปอีกที่หนึ่ง

หลวงพ่อ : อันนี้เรายังขอไว้ก่อน ที่เรื่องว่าอนาคต เพื่อประโยชน์นั้นอีกเรื่องหนึ่ง เพราะว่าเราเคยไปธรรมศาสตร์ เราไปพูดนะก็พูดประสาเรานี่แหละ แล้วเด็กมันถาม “หลวงพ่อ.. หลวงพ่อนี่พูดเร็วมาก แล้วพูดด้วยเสียงดังเป็นชั่วโมงๆ นี่ไม่เหนื่อยเหรอ” เด็กมันสงสาร ถามว่าไม่เหนื่อยเหรอ

เพราะว่ามันมีเช้า กลางวัน เย็น วันหนึ่ง ๓ รอบ แล้วให้รอบละ ๒ ชั่วโมง ทีนี้พอมันมาฟังอยู่ตลอด เด็กมันก็มาถามว่าไม่เหนื่อยเหรอ เราบอกกูเหนื่อยฉิบหายเลย แต่ ! แต่มันเป็นวัยทำงาน เหมือนกับเราวัยทำงาน นี่พอเกษียณแล้วก็จบ

ไอ้นี่ก็วัยทำงาน นี่วัยทำงานอยู่ ตอนนี้มันวัยทำงาน เพราะมันแบบว่าเหมือนกับรถเรานี่ ทุกอย่างมันเหมือนกับเครื่องกำลังได้ที่เลย พอเสร็จแล้วเครื่องนี่มันต้องเสื่อมสภาพเป็นธรรมดา สุดท้ายแล้วรถมันต้องซ่อมแน่นอน ถึงเวลามันต้องเข้าอู่แน่นอน

แต่ขณะนี้เครื่องมันกำลังธรรมดา ร่างกายมนุษย์ก็เหมือนกัน แล้วตอนนี้เรายังทำได้ เพราะเวลาถ้ามาทำก็คือทำเลย แล้วพอทำเสร็จแล้วนี่ สิ่งนี้มันจะฝากไว้ เราพูดเลยว่ามันจะฝากไว้ เพราะเวลาเราจะพูดส่วนใหญ่เราจะอัดเทปไว้หมด อย่างเช่นหลวงตาท่านว่า “อีกหน่อยก็ฟังเทปเอาแล้วกัน” ฟังเทปเอาเพราะว่าร่างกายมันเสื่อมแล้ว มันจะอย่างนั้นไม่ได้อีกแล้ว

อย่างเช่นหลวงตา ตอนนี้ท่านเทศน์แบบว่าเทศน์เพื่อปฏิสันถารเฉยๆ ไม่เหมือนเก่าแล้ว เพราะว่ารถของท่านชราคร่ำคร่าเต็มที่ อันนี้เวลาเด็กมันถาม มันสงสารว่าไม่เหนื่อยเหรอ เราบอกเหนื่อยฉิบหายเลย แต่มันมีโอกาสทำต้องทำ เพราะเดี๋ยวรถมันชราแล้วมันก็จบ พอรถชราแล้วก็ไม่มีแล้วนะ ท่านก็อัดเทปไว้.. อัดเทปไว้ เพราะต่อไปเราต้องเป็นอย่างนั้นแล้ว

โยม ๑ : พอเข้ามานี่ โอ้โฮ..เห็นป่า ต้นไม้ รักษาป่าจริงๆ

หลวงพ่อ : มันอยู่ที่ใจรัก.. คำว่าใจรักนี่หลวงตาท่านพูดอยู่นะ “ตระกูลป่า” หลวงตาท่านบอกเลย “ถ้าตัดพระจากป่าไปนี่ศาสนาไม่มีแล้ว... ถ้าตัดพระจากป่าไป” นี่พูดถึงนะ พูดถึงมุมมองของท่าน แล้วเวลาเราฟังนี่ ถ้าคนฟังนะเรียกว่าทัศนคติหรือมุมมองที่เหมือนกัน เวลาพูดอะไรแล้วมันสะเทือนใจ

เวลาพระไปอยู่ป่านี่.. โทษนะ พระหรือสังคมพระอะไรก็แล้วแต่ มันไม่มีดีหมดและชั่วหมดหรอก พระดีหมดไม่มี ฉะนั้นพระไปอยู่ป่านี่ ไปอยู่ป่าจริงๆ ก็มี ไปอยู่ป่าเพื่อประโยชน์กับชื่อเสียงตัวเองก็มี ไปอยู่ป่าเพื่อหาประโยชน์กับป่าก็มี เพราะไปทำลายป่าเองก็มี

ฉะนั้นสิ่งที่พระเราบอกว่า.. พระนี้จะดีหมดนี่เราไม่เชื่อหรอก แล้วเวลาเข้าไปอยู่ป่าแล้วนี่ ถ้าพูดถึงท่านบอกว่า ถ้าตัดพระกับป่าออกจากกันนี่ศาสนาจะไม่มี.. ไม่มีเพราะอะไร ไม่มีเพราะถ้าเราไปปฏิบัตินี่ เห็นไหม เวลาเข้าไปอยู่ป่าอยู่อะไรนี่เราได้ประโยชน์จากเขา แม้แต่ทางโลกยังได้ประโยชน์ขนาดนี้ แล้วพระไปอยู่ป่า.. นี่พระไปอยู่ป่านะถ้าพูดถึงมุมกลับ มุมกลับว่าถ้าพระไปอยู่ป่า เขาว่า “ป่ามันสร้างพระ.. สร้างพระนี่”

ถ้าป่ามันสร้างพระได้นะ สัตว์เดรัจฉานในป่า สัตว์ป่านี่มันเป็นพระอรหันต์หมดแล้ว.. พระไปอยู่ป่านี่พระไปเอาประโยชน์จากป่าต่างหาก ไม่ใช่ว่าพระไปอยู่ป่าจะเอาของจากป่า เพราะไปอยู่ป่ามันเกิดวิเวกนะกลางคืนขึ้นมานี่ ถ้าเกิดสัตว์มาหรือเกิดอะไรขึ้นมานี่ โอ้โฮ.. มันน่ากลัว พอน่ากลัวขึ้นมานี่เราจะไปคิดนอกเรื่องไม่ได้แล้ว ไอ้สภาพป่านั้นมันจะบีบคั้นเรา แล้วมันเป็นธรรมะไง มันเป็นความจริงขึ้นมา ถ้าเป็นความจริงขึ้นมามันถึงจะเป็นประโยชน์

ฉะนั้นเราเลยปลูกป่า.. แล้วมีฝ่ายปริยัติ ฝ่ายผู้ปกครองนี่เขาบอกว่าศักยภาพของเรามันสามารถสร้างโบสถ์ได้ เขาอยากให้สร้างโบสถ์ แล้วเราบอกไม่ได้หรอก

โยม ๑ : คือจริงๆ แล้วตามที่พระเดชพระคุณว่า ว่าจริงๆ แล้วนี่ ไม่ว่าแม้กระทั่งอดีตกาล สมัยพระพุทธเจ้าก็เช่นเดียวกัน อะไรมันไม่ ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์หรอกครับ

หลวงพ่อ : ใช่ ฉะนั้นตรงนี้มันต้องเลือก มันต้องเลือกเหมือนอย่างนี้เราต้องฟัง.. ในหมู่คณะเราก็เยอะ เราพูดอย่างนี้ไปเพราะอะไร เพราะว่าพรรคพวกเราก็เยอะ แล้วไปอยู่ป่ากัน ในป่านี่มันก็ไม่เป็นอย่างนี้

เพราะเราไปปลูกไว้ที่อุทัยฯ ปลูกไว้ที่สวนผึ้งที่ว่านี่ มันเป็นสวนยาง ไปซื้อสวนยางเขา สวนยางนี่เขาเป็นคนใต้มาปลูกนะ ปลูกไว้ต้นอย่างนี้แล้วไม่เคยกรีดเลย.. ไม่เคยกรีด เสร็จแล้วพอเราไปซื้อปั๊บเราก็ปลูกพืชแซม ปลูกพืชแซมเพราะว่าเดี๋ยวมันจะหมดอายุ ขนาดทาง อบต. ทางอะไรนี่เขาขอ เขาขอว่าเขาจะเอาพวกประชาชนมาฝึกการกรีดยาง.. เราบอกว่าไม่ได้ เพราะเราต้องการความสงบของพระ

ใช่ ! ประโยชน์เห็นอยู่ แบบว่าฝึกวิชาชีพไง เขาอยากจะฝึกประชาชน แต่เขาไม่มีของจริงให้ฝึก ไอ้เราก็ปลูกทิ้งไว้เฉยๆ ไม่มีประโยชน์อะไรเลย ทำไมไม่ให้เขาฝึก เขาก็มาขอนะ ขอเอาคนเข้ามาหัดกรีดยาง เราบอกว่าเราเห็นประโยชน์ของการฝึกแต่เราเห็นโทษของพระเรา ถ้าเขามาอย่างนั้นปั๊บ แล้วพระเรามาบริการอยู่อย่างนี้นะ พระเราเสียหมดเลย

มันมีได้กับมีเสีย ฉะนั้นเราไม่ได้หวงเพราะเราไม่เอา เราไม่ได้เอาต้นไม้นี้เลย เพราะเราปลูกต้นไม้เนื้อแข็งขึ้นมาแซม

ฉะนั้นเราถึงบอกว่าป่านี่ถ้าไม่รักจริงนี่นะ.. เหมือนกับกรมป่าไม้ ของบประมาณมา ขออะไรมาปลูกมา พอปลูกมาแล้ว พอมันโตขึ้นมานะ ป่าไม้นี่ปลูกเอง แล้วก็เผาทิ้งเอง เพื่อจะของบประมาณใหม่ เขาหากินกันอย่างนั้น

ฉะนั้นถ้าไม่จริงนะ ถ้ามันทำจากไม่ใช่หัวใจนะดูออก แต่ถ้าทำจากหัวใจนี่ โอ้โฮ.. มันรักยิ่งกว่าลูก.. รักยิ่งกว่าลูกนะ โอ้โฮ.. ใครแตะไม่ได้เลยนะ ใส่ปุ๋ย ให้น้ำ พรวนดิน โอ้โฮ.. ลูกยังไม่รักเท่าเลย มันได้ประโยชน์จากเขา แต่ถ้ามันทำจากหัวใจมันเป็นอย่างนั้น

เวลาหลวงตาท่านพูดนะ ถ้ามันตัดออกไปจากกันแล้วมันไม่ได้.. นี่ไม่ได้เพราะอะไร ไม่ได้เพราะอย่างที่ว่านี่ฝ่ายปกครองเขาจะให้สร้างโบสถ์ เพราะเรามีศักยภาพสร้างได้ เราขอเขาตรงนี้ บอกว่าวัตถุก่อสร้างนี่มันเป็นสิ่งที่กระด้าง ดูสิเขาซื้อคอนโดกัน เห็นไหม เขาต้องตกแต่งด้วยไม้เพื่อลบความกระด้างของมัน แต่ถ้าไปอยู่ป่านี่มันอยู่กับธรรมชาติ ถ้าเราจะฝึกภาวนามันอาศัยตรงนั้นไง

ถ้าอาศัยป่านี่มันจะเข้ากับความรู้สึกของเรา เพราะเราจะเข้าสู่ธรรมะ ถ้าความรู้สึกนี่ ธรรมะมันอยู่ที่นี่ พระไตรปิฎกไม่เกี่ยว.. ไม่เกี่ยวเลย พระไตรปิฎกเป็นวิธีการพุ่งเข้ามาที่ใจ

“สิ่งที่สัมผัสธรรมะได้คือหัวใจของสัตว์โลก”

กระดาษสัมผัสธรรมะไม่ได้ อักษรสัมผัสธรรมะไม่ได้ ทุกอย่างสัมผัสธรรมะไม่ได้.. แต่หัวใจนี่ สติเกิดจากใจ สุขทุกข์ก็เกิดจากใจ “สติ สมาธิ ปัญญา” เกิดมาจากใจทั้งหมดเลย

ทีนี้พอใจสัมผัสธรรมะ นี่ใจสัมผัสได้ ! ถ้าใจสัมผัสได้ ใจจะรับรู้เลยว่าสุขทุกข์มันอยู่ที่ใจ ถ้าใจสัมผัสได้นะ.. แล้วก่อนจะฝึกหัดใจเราอยู่ที่ไหนล่ะ พอเข้าป่าไปนี่โอ้โฮ.. คนเข้าป่าไปนะ พอกลางคืนมืดครึ้มนะกลัวผีแล้ว เอาเสือป่าเข้าไปตัวหนึ่งนะมันนอนไม่หลับแล้ว มันจะไปคิดนอกเรื่องไหม

โยม ๑ : ครับ ปรุงแต่งแล้วครับ

หลวงพ่อ : นั่นแหละ มันไม่คืนออกข้างนอกไง ฉะนั้นถึงได้บอกว่าพระต้องอยู่กับป่า แต่อยู่ก็เพื่อฝึกนะ ไม่ใช่อยู่ด้วยทิฐิมานะ อยู่ด้วยเอาศักยภาพของมัน เราอยู่เพื่อเอาป่านี่ฝึกเรา ไม่ใช่เพื่อไปอยู่ป่าแล้วจะได้เป็นคุณงามความดี ถ้าอยู่ป่าเป็นคุณงามความดีนะ สัตว์ป่า โอ้โฮ.. มันเกิดในป่า แล้วมันตายในป่า พระอรหันต์เยอะเยอะเลยไม่ต้องไปหาที่อื่น เป็นโขลงๆ เลย

แต่เราเข้าไปเพื่อฝึกเรา เราเข้าไปเพื่อทรมานเรา เราเข้าไปเพื่อประโยชน์กับเรา แล้วนี่ก็เลย.. เพราะมันได้ประโยชน์มาจากตรงนี้ ปลูกไว้ก็ไม่ได้ใช้ ปลูกไว้ให้ลูกหลานเขา ปลูกไปเพื่ออนาคต แต่ตอนนี้โลกเข้าใจแล้วแหละ ยามนี้ทุกคนนี่ โลกรู้แล้วว่าอะไรคืออะไร แต่ก่อนโลกยังไม่เข้าใจเอาแต่ประโยชน์ ตอนนี้โลกรู้แล้ว กำลังเดือดร้อนกันอยู่

โยม ๒ : การกระทำเหรอครับ

หลวงพ่อ : อือ.. แล้วเรามาทำให้ดีๆ โลกนี่รู้แล้ว แต่กว่าจะรู้ เห็นไหม แต่รู้คนก็ยังหาประโยชน์อยู่ คนยังเอาเปรียบอยู่ มันก็ต้องค้นแล้ว ว่าเขาทำอย่างไรให้เขาอยู่ของเขาได้

โยมมาจากตรังมีธุระอะไร ว่าไปเลย..

โยม ๓ : ก็มากราบท่านค่ะ

หลวงพ่อ : เฉยๆ เนาะ.. รู้จักเราได้อย่างไร

โยม ๒ : คือผมก็จริงๆ อยู่กรุงเทพฯ ครับหลวงพ่อ แล้วเผอิญโยมที่รู้จักกันนี่ เขารู้จักกับหลวงพ่อ เขาก็แนะนำให้ แล้วก็เผอิญไปร่วมงานบุญที่ตรัง พอไปทำงานบุญกันที่ตรัง ก็เลยว่าเขาก็เดินสายบุญ จริงๆ แล้วผมก็อยากจะให้เข้ามาสัมผัสตรงนี้บ้าง แล้วก็เลยบอกว่าไหนๆ ก็มากรุงเทพฯ แล้ว วัดหลวงพ่อสงบก็อยากให้เขาลองเข้ามา

โยม ๓ : หลวงพ่อจะชี้แนะอะไรก็ยินดีค่ะ

หลวงพ่อ : หลวงตาจะบอกว่าไม่มีอะไร มีแต่พุทโธนี่ล่ะ คำว่าพุทโธ.. พุทโธนี่มันไม่ใช่แบ่งฝักแบ่งฝ่ายอะไรทั้งสิ้น พุทโธคือพุทธานุสติ พุทโธคือชื่อพ่อของเรา พุทโธคือชื่อพุทธะ คือชื่อพระพุทธเจ้า

ถ้าเราระลึกพุทโธ เห็นไหม หลวงตาท่านพูดอย่างนี้ ท่านบอกว่า ท่านพิจารณาว่าท่านถ่อมตนนะ หลวงตาก็ถ่อมตนว่า “การปฏิบัตินี่สิ่งใดก็ได้แล้วแต่เราชอบ” ท่านพูดคำนี้ไง ว่าเราชอบพุทโธ แต่ความจริงเราว่าท่านออกมาจากใจ ท่านบอกพุทโธสะเทือนสามโลกธาตุ เห็นไหม ทางโลกเขาบอกว่าเด็กดอกไม้สะเทือนดวงดาว เขาก็มีคำพูดของเขา แต่พุทโธสะเทือนสามโลกธาตุนี่คนคิดไม่ถึงนะ

ถ้าพุทโธสะเทือนสามโลกธาตุที่ไหน ถ้าพุทโธสะเทือนหัวใจเรา หัวใจนี่มันเกิดสามโลกธาตุ.. กามภพ รูป อรูปภพนี่ ใจนี้เกิดหมด ใจมันหมุนไปในสามโลกธาตุ แค่เรานึกพุทโธที่กลางหัวใจนี่มันสะเทือนสามโลกธาตุ

นี้พูดถึงสะเทือน.. ถ้าคนเป็น เวลาพูดอะไรออกมานี่มันกินใจตรงนี้ ทีนี้พอมันกินใจขึ้นมา พุทโธสะเทือนสามโลกธาตุคือพุทโธสะเทือนหัวใจเรา ฉะนั้นเราถึงบอกว่าถ้าพุทโธสะเทือนหัวใจเรา เวลาเราไปเฝ้าพระพุทธเจ้า เห็นไหม เราจะไปสังเวชนียสถานทั้ง ๔ ไปเฝ้าพระพุทธเจ้าบอกว่าได้บุญ

เราก็ว่าได้นะ เราก็ไม่คัดค้านนะ เขาบอกไปสังเวชนียสถาน ที่พระพุทธเจ้าบอกเวลาคิดถึงเราไปที่ไหน ที่พระอานนท์ถามไง ให้ไปหาสังเวชนียสถานทั้ง ๔ ที่เกิด ที่แก่ ที่เจ็บ ที่ตาย.. ที่เกิด ที่ตรัสรู้เนาะ สังเวชนียสถานทั้ง ๔ พอคนไปแล้วเขาปลื้มนะ ใครไปก็ว่าอู้ฮู.. ปลื้ม อู้ฮู.. ไปนะ เหมือนไปเฝ้าพระพุทธเจ้าเลย

นี่พูดถึงนะ อย่างนี้มันก็เป็นประโยชน์.. ประโยชน์สำหรับระดับของทาน แต่ถ้าเป็นความจริงขึ้นมาได้นะ ไอ้ขอทานมันขอบาทๆ ที่นั่น มันเป็นพระอรหันต์หมดแล้ว มันเกิดที่นั่น.. มันอยู่ที่นั่น.. ชาวพุทธไปเอาบุญนะ มันขอบาท.. ขอบาท.. ขอบาท.. มันไม่เอาหรอกมันจะเอาบาท มันขอบาทหนึ่ง

นี่ยังพูดถึงเวลาไปอย่างนั้น นี่เราจะเฝ้าพระพุทธเจ้ากัน เห็นไหม แต่ของเราจะเฝ้าพระพุทธเจ้า จะอุปัฏฐากพระพุทธเจ้า นี่อุปัฏฐากใจเรา

ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน.. พุทโธ.. พุทธะนี้เห็นไหม ใช่.. ชื่อขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พุทโธนี่คือชื่อขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วเราเอามาเป็นคำบริกรรม เหมือนเราคิดถึงพ่อแม่เรา เราคิดถึงศาสดาของเรา

พุทโธ พุทโธ พุทโธนี่ ถ้าเรายิ่งเชื่อมั่น อย่างเวลาฟังเราพูดอย่างนี้แล้วมันเกิดศรัทธา พอเกิดศรัทธาเราจะระลึกด้วยหัวใจ เราจะระลึกด้วยสติปัญญาพร้อม แต่ถ้าเขาบอกพุทโธ กูก็พุทโธ พุทโธ พุทโธ.. พุทโธสักแต่ว่า สักแต่กระทำมันไม่ออกมาจากหัวใจ เห็นไหม มันไม่ออกมาจากหัวใจ มันก็เข้าถึงหลักการอันนั้นไม่ได้

แต่ถ้าเรามีศรัทธา เราเชื่อมั่นขนาดไหน เรามีความจริงจังขนาดไหนนะ มันออกมาจากตรงนั้น ! ถ้ามันออกมาจากตรงนั้น ออกมาจากพลังงาน.. ความคิดไม่ใช่จิต ความคิดเกิดจากจิต ถ้าไม่มีพลังงานความคิดเกิดไม่ได้

ความคิดเกิดจากพลังงาน.. ถ้าอย่างนั้นคนตายไม่มีจิต จิตออกจากร่างแล้วคนตายไม่มีจิต คนตายคิดไม่ได้ สมองก็ครบ นี่เวลาพวกเจ้าชายนิทรา ทุกอย่างครบหมดทำไมไม่คิดล่ะ.. แต่ความคิดไม่ใช่จิต ถ้าความคิดไม่ใช่จิต ความคิดมันเกิดจากจิต นี้ถ้าความคิดเกิดจากจิต พวกเราศึกษากัน เราศึกษาพระไตรปิฎก ศึกษาพระพุทธเจ้านี่ศึกษาด้วยความคิด

ศึกษาด้วยความคิด ก็เหมือนกับเรา เห็นไหม ร่างกายของเรานี่เรารับรู้ได้ เย็น ร้อน อ่อน แข็ง ลมพัดเข้ามาเรารับรู้ได้ แต่ถ้าเรามีเสื้อผ้าคือเราป้องกันมัน.. ความคิดมันคืออาภรณ์ของใจ คือเสื้อผ้านั้น เสื้อผ้ามันสัมผัส เห็นไหม มันสัมผัสกัน มันไม่ได้สัมผัสจากผิวหนังเรา

ฉะนั้นถ้าเราพุทโธ พุทโธด้วยศรัทธาความเชื่อของเรา มันจะเกิดจากผิวหนังเลย สัมผัสได้ทางผิวหนังเลย เห็นไหม นี่เฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

“ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นตถาคต.. ผู้ใดเห็นพุทโธ ผู้นั้นเห็นเรา”

ถ้าเราพุทโธจริงๆ เห็นไหม มันสะเทือนที่นี่เลย แต่ ! คนปฏิบัติเยอะแยะเลยบอก “ผมพุทโธมา ๔ ปี.. ผมพุทโธมา ๕ ปี.. ผมไม่เห็นได้อะไรเลย” นี่มันต่างกันตรงนี้ เห็นไหม ฉะนั้นถึงบอกว่าเวลาคนที่ไปสังเวชนียสถานทั้ง ๔ เขาก็สดชื่น เขาก็มีความสุขของเขา มีความสุขของเขานี่มันระดับของใคร ระดับของทาน ระดับของศีล ระดับของภาวนา

“ศีล สมาธิ ปัญญา”

สมาธิมันเกิดอย่างไร ปัญญามันเกิดอย่างไร ปัญญาที่พูดกันนี่มันเป็นโลกียปัญญา ปัญญาโลก ปัญญาโลก เห็นไหม ไอน์สไตน์เขาคิดขึ้นมาทางวิทยาศาสตร์เพื่ออะไร เพื่อเป็นหลักเกณฑ์ในทางวิทยาศาสตร์ที่เกิดความเจริญมา เกิดความเจริญขึ้นมา ต่อยอดขึ้นมาเพื่อเป็นสิ่งวิทยาศาสตร์ที่เป็นอย่างนั้น นี่เป็นปัญญาทางโลก

ตอนนี้เราศึกษาธรรมะกัน ศึกษาทางวิทยาศาสตร์ ศึกษาเป็นวิชาชีพไง ไม่ได้ศึกษาเป็นความรู้ของใจไง อาชีพหนึ่งอาชีพพระ มันถึงเป็นโลกียะ คำว่าโลกียะนี่เราศึกษาจากความคิดไง เราศึกษาจากความคิดไม่ได้ศึกษาจากจิต แต่ถ้าเราพุทโธได้.. พุทโธได้นี่มันพุทโธมาสู่จิต เราพุทโธมาสู่จิตนี่จิตมันจะสงบเข้ามา พอจิตสงบเข้ามา ถ้ามันเกิดปัญญาขึ้นมา เราจะเห็นความต่างเลยว่า โลกียปัญญา ปัญญาวิชาชีพนี่ ใครจะฝึก จะรู้จักศาสนาหรือไม่รู้จักศาสนาก็แล้วแต่ นี่นักวิทยาศาสตร์ทั้งหมดเขามีปัญญาของเขาขึ้นมา เขาเกิดปัญญาขึ้นมาจนเป็นผู้ที่มีคุณประโยชน์ เห็นไหม

เราเคยบอกลูกศิษย์นะบอกว่า “เราต้องเคารพพระพุทธเจ้า แบบว่าเราต้องรู้คุณของท่าน เพราะท่านทำให้เกิดวัฒนธรรมประเพณี เราอยู่ในวัฒนธรรมประเพณีนี้เรามีความสุขมาก” เด็กมันบอกนะ “อย่างนั้นต้องเคารพเอดิสันด้วย มันสร้างไฟฟ้าให้เรา”

อื้อฮือ.. เรามีความสุขจากไฟฟ้า กูบอกไฟฟ้านี่เขาทำขึ้นมาเพื่อประโยชน์ เพื่อเงินของเขา มันเพื่อโลกของเขา เพื่อธุรกิจของเขา แต่เขามีคุณไหม.. มี แต่ก็คุณเพื่อแสงสว่าง แต่คุณของพระพุทธเจ้ามันไปถึงสามโลกธาตุ

นี่เราพูดคิดแบบวิทยาศาสตร์ใช่ไหม เราบอกว่าถ้าเป็นโลกียปัญญา พวกเอดิสัน พวกนักวิทยาศาสตร์นี่เขาสร้างเพื่อประโยชน์กับเรามีจริง เขาทำประโยชน์กับเราอยู่ แต่ประโยชน์อย่างนี้มันเป็นประโยชน์โลกไง ดูสิอย่างเสื้อผ้าอาภรณ์ ปัจจัย ๔ นี่ทุกคนสร้างมาเพื่อประโยชน์กับเรา เขามีประโยชน์ไหม.. มี แต่ประโยชน์เพื่อโลก ประโยชน์ชั่วคราว

แต่ถ้ามันเกิดโลกุตตรปัญญานะ เวลาจิตสงบ ถ้าจิตสงบเข้าไปแล้วมันเห็นปัญญานะ มันจะเข้าใจเลยว่า ปัญญาวิทยาศาสตร์กับปัญญาธรรมนั้นมันต่างกันอย่างไร.. แต่เวลาเราพูดธรรมะเราก็พูดในทางวิทยาศาสตร์นี่แหละ พูดเพื่อความเข้าใจ แต่เวลานักปฏิบัติหรือว่าผู้ที่เข้าถึงการปฏิบัตินะ เวลามาหาเรานะ บอกวิทยาศาสตร์นี่กูดูถูกฉิบหายเลย.. กูดูถูกฉิบหาย

ดูถูกฉิบหายเพราะอะไร ดูถูกฉิบหายเพราะวิทยาศาสตร์นี่มันเป็นทฤษฎี มันเป็นสูตรสำเร็จ มันเป็นข้อมูลนั้น.. แต่ธรรมะนี่ หรือความรู้สึกของเรา ทุกข์สุขของเรา มันไม่ใช่ข้อมูลอย่างนั้น มันเป็นอารมณ์ความรู้สึก อารมณ์ความรู้สึกนี้มันต้องมีสิ่งใดเพื่อจะทันมันให้ได้ล่ะ ถ้าวิทยาศาสตร์นะอย่างเช่นการศึกษาทางการแพทย์ ทางการแพทย์นี่เป็นวิทยาศาสตร์หมดนะ เป็นวิทยาศาสตร์หมด เป็นโรคนี่เขาก็รักษาให้หายได้ ถ้าธรรมะเป็นวิทยาศาสตร์ ธรรมะก็ต้องแก้ให้กูเป็นพระอรหันต์ได้

อ้าว.. แก้เลย.. แก้สิ ! นี่ที่ดูถูกวิทยาศาสตร์ก็ดูถูกตรงนี้ไง ดูถูกเพราะเราไปถือว่ามันเป็นวิทยาศาสตร์ ต้องอย่างนี้.. อย่างนี้.. อย่างนี้ไง เราบอกว่าเพราะอย่างนี้ไงกูถึงดูถูกวิทยาศาสตร์ เพราะวิทยาศาสตร์นี่มันเป็นเรื่องของบนโต๊ะ เป็นเรื่องของปัจจุบัน เป็นเรื่องของวิทยาศาสตร์ แต่ธรรมะนี่นะมันมีบนโต๊ะ ใต้โต๊ะ ที่ตั้งของโต๊ะ

ความคิดตั้งอยู่บนอะไร.. ชีวิตนี้มาจากไหน.. จิตนี้เกิดมาอย่างใด.. ทุกคนสงสัยหมด วิทยาศาสตร์พิสูจน์มา วิทยาศาสตร์พิสูจน์ไม่ได้.. ธรรมะพิสูจน์ได้ ธรรมะพิสูจน์แล้ว พระพุทธเจ้าพิสูจน์แล้ว พระพุทธเจ้าตรัสรู้แล้ว พระพุทธเจ้าพูดเป็นวิทยาศาสตร์ เพราะเราไปศึกษาวิทยาศาสตร์อย่างนี้ไง มันถึงโง่ !

มันโง่เพราะมันไปศึกษา มันไม่ศึกษาตัวมันไง ธรรมะทุกข้อชี้เข้ามาที่ใจหมด แต่เราไปศึกษาธรรมะ เราก็ว่า อันใดถูกใจกูก็ว่าใช่.. อันใดไม่ถูกใจกูก็ว่าไม่ใช่.. อันนั้นพุทธพจน์ๆ ถ้าไม่ถูกใจกูไม่ใช่พุทธพจน์นะ อันนี้แต่งมา อันนี้ต่อเติมมาทีหลัง อนุชนมันแต่งมา

มันจะแต่งมาหรือไม่แต่งมาก็แล้วแต่นะ สิ่งใดถ้าสะเทือนใจเป็นประโยชน์กับเรา อันนั้นสำคัญ ถ้ามันสะเทือนใจ พอมันสะเทือนใจมันเปลี่ยนโปรแกรมนะ เพราะเราแก้คนมาเยอะมาก.. เราแก้คนมาเยอะมากนะ บางทีลูกๆ พาพ่อแม่มาอะไรมา ถ้าเราแก้เขาได้นะ โอ้โฮ..กลับไป อู้ฮู.. หลวงพ่อนี่สุดยอดเลย กลับไปแม่นี่เปลี่ยนใหม่หมดเลย เราบอก เฮ้อ.. กูเปลี่ยนโปรแกรมเขาได้ ถ้ากูเปลี่ยนโปรแกรมเขาไม่ได้ เขาก็ไม่ดีอย่างนี้หรอก

ถ้าเราเปลี่ยนโปรแกรมได้ เห็นไหม นี่คำว่าเปลี่ยนโปรแกรม คือความคิดพื้นฐานนี่แหละ เพียงแต่เกิดทิฐิ เกิดเรียกร้องสิทธิระหว่างแม่กับลูก ระหว่างสังคมกับเรา เราเรียกร้องสิทธิของเรา พอเรียกร้องสิทธิของเราก็เกิดทิฐิแล้ว แต่ถ้าเราเคลียร์ให้เห็นว่าสิ่งนี้.. สิ่งนี้มันเป็นสัจจะ สิ่งนี้มันเป็นวาระ มันเป็นวัย ทุกคนก็จะเกิดจากเด็ก เกิดมาจากวัยเจริญพันธุ์ แล้วก็เกิดมาเป็นพ่อเป็นแม่ เกิดมาเป็นปู่ย่าตายาย ทุกคนมีสิทธิเหมือนกันหมด แล้วทุกสิทธิเรียกร้องเหมือนกันหมดไหม แล้วถึงตอนนั้นล่ะ

นี่เพราะมันเป็นตามวัย เพราะตามวัยมันจะอยู่ในอนาคต มันปิดปัจจุบันปิดเราไว้หมดเลย พอเรียกร้องสิทธิขึ้นมา.. แต่ถ้าเราวางตรงนี้ นี่เป็นโดยวัย เห็นไหม โดยวัย ถ้าเราเป็นของลูกๆ พ่อแม่ก็รัก แต่ลูกยังไม่แก่ไม่เฒ่า มันก็ไม่รู้หรอกว่าคนแก่คนเฒ่าเขาเหงา เขาต้องการสิ่งใด มันเป็นโดยวัยไง มันปิดเราไว้เองแล้วเขาเรียกร้อง แต่พอเวลาเราอธิบายเข้าใจหมด.. จบเลย

นี้พื้นๆ นะ แล้วถ้าเกิดเข้ามาข้างในล่ะ เวลาเกิดเข้ามาข้างใน ถ้าเราจะเอาชนะตัวเราล่ะ... ไม่มีทางเลย ! สิ่งที่เขาทำกันอยู่ในโลกนี้ไม่มีทางเลย.. โลกียปัญญานี่ โยมเป็นหนี้เขา โยมบอกให้เราใช้หนี้แทนได้ไหม.. จิตมันเกิด ปฏิสนธิจิต จิตมันเกิด

จิตมันเกิดจากอะไร เกิดจากอวิชชา จิตคือภพ คือภวาสวะภพ เป็นวิญญาณ วิญญาณปฏิสนธิ งงนะ.. ถ้าคนไม่ได้ศึกษามันจะงง วิญญาณปฏิสนธิ กับวิญญาณรับรู้ วิญญาณอาการ วิญญาณความคิดนี่แตกต่างกันนะ เพราะวิญญาณความคิดมันเกิดจาก รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ.. วิญญาณัญจายตนะ วิญญาณกระทบ วิญญาณกระทบนี่มันต้องมีพลังงาน ถ้ามันไม่มีพลังงาน วิญญาณกระทบนี้เป็นสักแต่ว่าไม่มีประโยชน์อะไรเลย

นี้พอเวลาเราเกิด เวลาเราเกิดนี่ปฏิสนธิจิตมันเกิด เกิดในไข่ เกิดในน้ำคร่ำ เกิดในโอปปาติกะ กำเนิด ๔ กำเนิด ๔ จากกรรม พอกำเนิดจากกรรม พอมันเกิดขึ้นมาแล้ว เห็นไหม พอมันเกิด.. ตรงนี้นี่อวิชชาตัวมันเกิด ตรงนี้ตัวภพต้องชำระกันที่นี่ ! แล้วพอชำระที่นี่ นี่คือตัวจิต คือตัวที่พระพุทธเจ้าปรารถนา คือตัวที่พระพุทธเจ้าบอกว่าให้ทำสมาธิเข้ามาที่นี่

แต่คนมันไม่ทำมันบอกล้าสมัย เป็นของครึ พระพุทธเจ้าสอนมาตั้ง ๒,๐๐๐ กว่าปีแล้ว ปัจจุบันนี้วิทยาศาสตร์มันเจริญแล้ว เราใช้ปัญญากันไปเลย ดันจนเป็นปัญญาในขันธ์ ๕ ดันเป็นปัญญาในขันธ์ ๕ เพราะอะไร เพราะสามัญสำนึก ! สามัญสำนึกทุกอย่างมันก็คือขันธ์ แล้วเจ้าหนี้มันอยู่ที่จิต อวิชชามันอยู่ที่ภพ แต่มึงคิดกันตรงนี้ “ว่างๆ แหม.. เพริดแพร้วเลย.. นิพพานมีอยู่แล้ว อู๋ย.. แจ่มชัด” ไอ้โง่ !

แต่คนมันเชื่อ คนมันเชื่อเพราะอะไร คนมันเชื่อเพราะสิ่งนี้เป็นตรรกะที่พิสูจน์กันได้ ทุกคนบอกไปปฏิบัติแล้วมันดี มันว่าง มันสุข มึงไม่ต้องปฏิบัติมันก็สุขถ้ามึงมีสติ ความคิดคนนี่เปลี่ยนได้ตลอด ฉะนั้นเวลาเราทุกข์เรายาก เราตรึกในธรรมะนี่จบแล้ว.. มันก็ว่างไง นิพพานมีอยู่แล้ว.. นี่วิทยาศาสตร์ไง นี่โลกียปัญญา เพราะปัญญามันเกิดจากสัญชาตญาณ

แต่ถ้าเป็นครูบาอาจารย์เรา พุทโธ พุทโธ เห็นไหม พุทโธ พุทโธจนกว่ามันจะสงบ มันบอกว่า “มันเรื่องมาก.. มันเป็นความทุกข์.. มันเป็นเรื่องไร้สาระ มันไม่มีปัญญา” มึงจะเอาปัญญาอะไรล่ะ.. มึงจะเอาปัญญาอะไร

ปัญญาที่เกิดมา มันจะว่างมันจะดีขนาดไหนนะ มันเกิดจากอวิชชาทั้งหมด จะเป็นนักวิทยาศาสตร์ จะเป็นนักปราชญ์ จะเป็นอย่างใดก็แล้วแต่ มันเกิดจากอวิชชาทั้งนั้น ! ฉ้อโกงธรรมะพระพุทธเจ้ามา ศึกษาธรรมะพระพุทธเจ้ามา พระพุทธเจ้ายังมีเมตตาไม่เรียกเอาลิขสิทธิ์คืน กูรู้ ! กูรู้ ! กูรู้ ! ธรรมนี่ว่าง นิพพานๆ นี่มันตรึกกันเอาเอง เห็นไหม แต่ถ้าเป็นธรรมะจริง เป็นนิพพานจริงนะ อ้าปากก็ผิดหมด.. อ้าปากผิดหมด ! เพราะอ้าปากเป็นสมมุติ ไม่สมมุติจะพูดออกมาอย่างไร ไอ้โม้ๆ นั่นน่ะโกหกทั้งนั้น !

ถ้ามันไม่เป็นนะมันก็เป็นแบบนี้ แต่ถ้ามันเป็นนะ... นี่เขาบอกว่าสมถะมันไม่มีประโยชน์อะไร นี่คิดผิดหมดเลย เขาคิดผิดเพราะอะไร เพราะมันไม่มีใครพิสูจน์ไง เขายังไม่ได้พิสูจน์ พอเขาไม่พิสูจน์ปั๊บเขาใช้ตรรกะใช่ไหม พระพุทธเจ้าบอก ศีล สมาธิ ปัญญา.. เขาก็ฉวยคำว่าปัญญาเลย แล้วเข้าใจว่าสิ่งที่เราใช้ความคิดกันนี้คือปัญญา.. ใช่ มันเป็นปัญญา พระพุทธเจ้าแบ่งเป็นปัญญาไว้ ๓ ระดับ

“สุตมยปัญญา.. จินตมยปัญญา.. ภาวนามยปัญญา”

สิ่งที่เขาทำกันไม่มีภาวนามยปัญญาเลย เป็นสุตมยปัญญา สุตมยปัญญาคือการศึกษา การฟังก็คือการศึกษาอันหนึ่ง.. การฟังนี่คือการศึกษาอันหนึ่ง แล้วเขาเอาการศึกษานี้ไปตรึกมันจึงเกิดจินตมยปัญญา มันไม่เกิดภาวนามยปัญญาเพราะอะไร เพราะเจ้าหนี้คือตัวจิต.. พลังงาน เกิดความคิดนี่มันออกมาเป็นอดีต อนาคต มันไม่เป็นปัจจุบันหรอก

ฉะนั้นเขาไม่เข้าสู่จิตของเขา นี่ความคิดที่มันเกิดขึ้นมา มันเกิดโดยอดีต อนาคต มันไม่เป็นปัจจุบันเด็ดขาด เขาบอกว่าเป็นปัจจุบัน.. ปัจจุบันก็มึงนึกเอาไอ้ห่า มึงนึกว่าเป็นปัจจุบัน แล้วมึงคาดว่าเป็นปัจจุบัน.. ไม่มีปัจจุบันหรอก ไม่มี !

ถ้ามันมีปัจจุบันนะ พอมันเป็นสัมมา มันเกิดสมถะ เกิดลงไปสู่จิต ถ้าลงไปสู่จิต พลังงานตัวนี้มันสู่จิต นี่ไง ภาวนามยปัญญาคือธรรมจักร เวลาพระพุทธเจ้าเทศน์ธรรมจักร

“ทเวเม ภิกขเว.. ทางสองส่วนที่ไม่ควรเสพ”

ทางสองส่วนเลย เห็นไหม “ทเวเม ภิกขเว.. ทางสองส่วนที่ไม่ควรเสพ” มัชฌิมาปฏิปทา.. ปฏิปทาอย่างไร ถ้ามันลงถึงนี่นะ เวลามันเกิดขึ้นมามันเกิดจากมัชฌิมาปฏิปทา ที่มันเกิดกับมัน เกิดกับตัวมันเองนี่จักรมันเคลื่อน.. นี่ธรรมจักร !

แต่ไอ้ที่มีอยู่นี่มันกงจักร มันว่ามันมีแต่กงจักร ทีนี้จักรอันนี้มันเคลื่อนไป มันก็ว่าเป็นเรื่องธรรมะของพระพุทธเจ้า..ใช่ไหม ใช่ ! พูดเหมือนกัน คำเดียวกัน เหมือนกันหมด แล้วพูดชัดกว่าด้วยนะ อยู่ที่บรรทัดนั้น หน้านั้น ย่อหน้านั้น ชัดเจนหมดเลย กระดาษเว้ย.. กระดาษ หลวงตาบอกว่า “ไอ้หนอนแทะกระดาษ”

แต่ถ้าเป็นความจริงขึ้นมานี่เพราะอะไร เพราะเราเห็นอยู่เวลามาปฏิบัติ เวลาปฏิบัติขึ้นมานี่นะ คนปฏิบัตินี่มันปฏิบัติได้ยาก พอปฏิบัติได้ยาก พอปริยัตินี่ เขาก็อยากจะมีแนวทางอื่น แนวอื่น พอเขาไปศึกษาอภิธรรมนี่เขาบอก โอ๋ย.. มันดีๆ มันดีหรือระบบความคิด ระบบความคิดเรานี่เราฟุ้งซ่านมาก เราจัดระบบกระบวนการความคิดเราไม่ได้ แต่พอเราจัดกระบวนความคิดออกมานี่ มันก็ดี.. ก็แค่นั้นแหละ

จิตของคนนี้มันมหัศจรรย์มาก จะทำอย่างไรมันก็เป็นไปตามนั้น แต่ ! แต่ไม่เป็นความจริงเลย แต่ถ้าเป็นความจริงนะ มันมีพลังงานอะไรที่มันย่อยสลายตัวมันเอง พลังงานที่มันย่อยสลายตัวมันเอง คือธรรมะพระพุทธเจ้านี่แหละ.. ถ้ามันเกิดสู่จิต นี่ภาวนามยปัญญามันเกิด ถ้าจักรมันเกิดขึ้นมา มันทำลายของมัน

ฉะนั้นสัมมาสมาธิมันเป็นทางสองแพร่ง นี่คือตัวพลังงาน เวลาออกไปนี่ออกไปโลกหรือธรรม ถ้ามันไม่มีสมาธิ ถ้ามันออกธรรมนี่นะเรารู้ได้เลย ถ้าคนเคยภาวนาออกเป็นภาวนามยปัญญา มันจะรู้ได้เลยว่าอะไรเป็นโลกียะ อะไรเป็นโลกุตตระ มันจะเกิดจากใจเลย

ทีนี้ตัวสมถะนี่เป็นตัวเข้ามาสู่ทางสองแพร่ง ถ้าใครไม่เคยเห็นสมถะ แล้วใครไม่เคยเห็นจิตของตัวเอง แล้วบังคับจิตของตัวเองให้ออกสู่ภาวนามยปัญญา จะไม่รู้จักภาวนามยปัญญา แล้วคนที่ภาวนามยปัญญาเกิดขึ้นมาก็ยังไม่รู้จักมัน แต่ถ้าเมื่อใดมันสมดุลของมัน มันเป็นมัชฌิมาปฏิปทาของมัน แล้วมันมรรคสามัคคีรวมตัวแล้วสมุจเฉทปหาน คนนั้นจะเห็นภาวนามยปัญญาโดยแท้จริง

ภาวนามยปัญญาเกิดขึ้นมา มันเกิดขึ้นมาพร้อมกับการทำลายกิเลส แต่ไม่มีใครเคยเห็น มันถึงโม้ ! โอ๋ย.. แล้วมันยังโอ้โฮ.. ยังเข้าไปอีกไกลมากนะ ตั้งแต่โสดาบัน สกิทาคา อนาคา มันยังโอ้โฮ.. แล้วมันจะละเอียด.. ละเอียด.. ละเอียด ทุกคนพอเวลาปัญญามันเกิดก็ว่าอู้ฮู.. มันจะละเอียดมาก.. ละเอียดมาก เออ.. เดี๋ยวมันจะละเอียดกว่านี้อีก !

เราใช้คำว่ามันคนละมิติ มิติหนึ่งคือมิติความคิดสามัญสำนึกของพวกเรา.. ธรรมะนี้เป็นอีกมิติหนึ่งเลยที่คาดไม่ได้ คาดไม่ถึง แล้วคนทำไม่เคยถึงไม่เคยได้ เพราะถ้ามันถึงมันได้แล้วนี่เราจะรู้เลยว่าขาวกับดำ ถ้าเรารู้ว่าขาวต่างกับดำ ดำต่างกับขาว เราจะพูดให้ขาวกับดำเป็นเหมือนกันนี่ เราพูดไม่ได้หรอกถ้าคนเห็นจริง แต่ถ้าคนไม่เคยเห็นมันพูดได้ “เหมือนกัน ! เหมือนกัน ! เหมือนกัน” มันยืนอยู่คำเดียวว่า “เหมือนกัน”

แต่ถ้าคนเห็นจริงนะ ขาวกับดำ.. คนที่รู้จริงว่าขาวกับดำ ไม่กล้าพูดว่าขาวกับดำนี้เหมือนกัน ไม่กล้าพูด ! เพราะมันขัดกับความรู้สึกอันนั้น มันขัดกับความเห็นอันนั้น ขัดกับความเห็นในใจที่มันเห็น มันพูดออกมาไม่ได้หรอกว่าขาวกับดำนี้เหมือนกัน แต่ถ้าไอ้พวกโง่ๆ มันจะบอกว่า “เหมือนกัน.. เหมือนกัน.. เหมือนกัน”

นี่เวลาพูดมันก็บอกว่าพระพุทธเจ้าเหมือนกันเวลาพูดก็เหมือนกัน.. แต่มันไปคนละทางเลย มันไปคนละเรื่องเลยล่ะ แต่พอจุดจบแล้วนะ ถูกต้อง.. พระไตรปิฎกนี้ถูกต้อง พระพุทธเจ้าสอนไว้นี้ถูกต้อง

เหมือนกับเรานี่ เราทำมาหากิน เราประสบความสำเร็จในชีวิตมานี่ถูกต้อง เรามาดูเอ็งทำนี่แล้วกูจะรวยบ้าง กูว่ากูรวยเหมือนมึงนี่ เหมือนเปี๊ยะเลยได้ไหม.. ไม่มีสิทธิเลย เห็นไหม แต่ถ้าเราทำ แล้วเราประสบความสำเร็จนั่นอีกเรื่องหนึ่งนะ จบเลย

ฉะนั้น เรื่องทางโลกก็เป็นทางโลก คือความเห็นของคน มันเป็นที่อำนาจวาสนาบารมีของเขา ของใครของมัน เราไม่ติเตียนใครทั้งสิ้น เราใช้คำว่าปฏิภาณ เราใช้คำว่าดีเอ็นเอทางจิต ถ้าจิตมันได้สร้างของมันมามันจะฉุกคิดนะ เราฟังสิ่งใดนี่มันจะเป็นประโยชน์กับเรา จริงหรือไม่จริง

โธ่.. เราพูดบ่อยว่าเวลาพระพุทธเจ้าไปเรียนกับอาฬารดาบส อุทกดาบส เห็นไหม “เธอมีความรู้เท่าเรา.. เธอมีความเห็นเหมือนเรา.. เธอเป็นอาจารย์ได้” อาจารย์ยกก้นลูกศิษย์ขนาดนี้ ลูกศิษย์ยังไม่เอาเลย พระพุทธเจ้าไม่เอานะ บอก “เรายังมีทุกข์อยู่ ไม่ใช่.. ไม่ใช่” ไอ้อย่างพวกเรานี่ ถ้าอาจารย์คนไหนบอกว่าเอ็งเป็นพระอรหันต์นะ “เออ.. ใช่ ! กูเป็นพระอรหันต์.. ใช่แน่นอนเลย” คือมันสักเป็นตั้งแต่เขายังไม่ยกนั่นล่ะ

เทียบให้ดูว่านี่ขนาดพระพุทธเจ้ายังปฏิเสธ อะไรไม่ใช่ปฏิเสธ เกิดจากว่าพระโพธิสัตว์ เห็นไหม โพธิญาณมันเต็มมา ไม่เชื่อใครง่ายๆ หรอก ไอ้อย่างพวกเราไปฟังพระพูดอะไรนี่ มันเชื่อได้หรือยัง ฉะนั้นเวลาคนที่อ่อนแอ นี่พละ ๕ จิตใจเขาอ่อนแอ เขาเชื่อไป เราไปพูดขนาดไหนนี่เราผิดนะ ว่าอิจฉาเขา.. อยากดัง.. อยากใหญ่.. เขาว่ากันไปหมดเลยเพราะเขาไม่เชื่อ เพราะเขาเชื่อไปแล้ว ถ้าเขาเชื่อไปแล้ว นี่มันอยู่ที่ดีเอ็นเอ เห็นไหม พันธุกรรมของเขา เขาสร้างมาอย่างนี้ เขารู้อย่างนี้ แล้วเราจะไปเปิดตาให้เขารู้เหมือนอย่างเรานี่มันเป็นไปไม่ได้หรอก

ฉะนั้นโลกก็เป็นอย่างนี้ เราก็พยายามของเรา เราก็ทำดีของเราที่สุด แต่เราจะไปเปลี่ยนแปลงให้อย่างอื่นเป็นอย่างที่เราคิด เป็นไปไม่ได้หรอก มันเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ แล้วอย่างว่านะ พระพุทธเจ้าก็บอกแล้ว นี่สัญชัยกับพระสารีบุตร โลกนี้คนโง่มากหรือคนฉลาดมากกว่าล่ะ.. มันก็คนโง่มากกว่าคนฉลาดอยู่แล้ว

ฉะนั้นโทษนะ พระหรือว่าผู้นำนี่ถ้าจิตใจเป็นธรรม เรากล้าพูดอย่างนี้นะ เรากล้าพูดว่า ผู้ที่สอนๆ อยู่นี่ เขารู้อยู่ว่าเขาเป็นหรือไม่เป็น เขาถูกหรือผิด.. รู้อยู่ เพราะคนปฏิบัติมามันจะรู้ นั่งสมาธิไม่เป็นสมาธินี่ มันก็ไม่รู้หรอกว่าสมาธิเป็นอย่างไร ถ้าปฏิบัติปัญญายังไม่เกิด ก็ไม่รู้ว่าปัญญาเป็นอย่างไร แล้วพูดออกไปก็พูดแบบความจำ เป็นธรรมะพระพุทธเจ้า

เขาบอกว่าเขาเทศน์ดี.. ดี ธรรมะพระพุทธเจ้ามันสุดยอดอยู่แล้ว ! จำมาพูดนี่มันสุดยอด แต่ถามว่าทำอย่างไรล่ะ ทำอย่างไร แล้วแก้ไขอย่างไร.. มันสำคัญตรงนี้นะ สำคัญว่าเวลาเราปฏิบัติไปแล้วนี่ มีปัญหาขึ้นมาจะแก้อย่างไร มีพระมานี่ เขามาให้เราแก้ บางทีเขาบอกไปเจอครูบาอาจารย์มา เขาบอกว่าพอจิตสงบแล้วพิจารณากายสิ.. พิจารณากายสิ แล้วเราก็ถามกลับว่าแล้วพิจารณาอย่างไรล่ะ

เรานี่นะ เราจะกินอาหาร เรามีเงินอยู่นี่เราต้องไปซื้ออาหารเพื่อมากิน ฉะนั้นเวลาเราพิจารณากายอยู่ มึงเอาอะไรไปพิจารณาล่ะ เอ็งมีเงินไปซื้ออาหารหรือเปล่า แล้วถ้ามีเงินมานี่ เอ็งเดินไปร้านอาหารไม่เป็นเอ็งจะไปซื้อที่ไหนล่ะ พิจารณากายนี่ จิตมันสงบมันเห็นกายหรือเปล่า

จิตสงบคือเงิน.. สมถะนี่คือตัวทุน.. ทำทุกอย่างต้องมีทุน ถ้าไม่มีทุนทำสิ่งใดๆ ไม่ได้เลย ถ้าไม่มีทุนมันก็เป็นความจำหมด กู้มา เห็นไหม กู้มา ธรรมะพระพุทธเจ้ายืมมา คือคิดมา สัญญาจำมา แต่ถ้าจิตสงบคือมีทุน พอมีทุนแล้วนี่เอ็งจะเอาทุนไปทำอะไร

ถ้าจิตสงบ.. นี่เอ็งพิจารณากายเอ็งพิจารณาอย่างไร คนพิจารณากายนี่นะมันต้องจิตสงบ จิตสงบแล้วพิจารณากายโดยเจโตวิมุตินี่มันจะเห็นกาย.. เห็นกายโดยภาพเลย เห็นกายโดยภาพ เห็นไหม มันก็เป็นอุคคหนิมิต แล้วมันจะทำลายให้เป็นวิภาคะ ให้เป็นไตรลักษณ์นี่มันทำอย่างไร

พิจารณากาย.. พิจารณากาย.. มันเป็นคำพูดสูตรสำเร็จไง จิตสงบก็พิจารณากาย แล้วพระเวลาเขาปฏิบัติกัน อาจารย์เขาสอน เขาก็วิ่งมาหาเรานี่ บอกว่ามันทำแล้วไม่ได้ผล พอไม่ได้ผลมันก็วิ่งมา แล้วเราบอก แล้วอาจารย์เอ็งว่าไงล่ะ บอกจิตสงบแล้วให้พิจารณากาย เราก็ถามแล้วพิจารณาอย่างไรล่ะ สะอึกเลยนะ เงียบเลย แล้วมึงพิจารณาอย่างไรล่ะ.. อาจารย์มึงสอนพิจารณาอย่างไร แล้วมึงพิจารณาอย่างไร

มันก็วัดได้เลยว่าเอ็งมีทุนจริงหรือเปล่า เอ็งได้ทำธุรกิจจริงหรือเปล่า เอ็งมีทุนคือจิตเอ็งสงบ ถ้าจิตสงบแล้วเอ็งเห็นกายหรือเปล่า จิตสงบคือทุน แล้วเอ็งได้ออกซื้ออาหารหรือเปล่า เอ็งได้ออกทำธุรกิจหรือเปล่า

คำว่าพิจารณากายนี่มันเป็นสูตรสำเร็จ เป็นคำพูด แต่การกระทำนี่ทำอย่างไร การกระทำที่ว่านี่ทำอย่างไร.. นี่เจโตวิมุตินะ ถ้าเป็นปัญญาวิมุติล่ะ ถ้าปัญญาวิมุตินี่จิตสงบแล้ว ปัญญาวิมุตินี่พุทโธ พุทโธ ทำสมาธิอบรมปัญญา แล้วถ้าปัญญาอบรมสมาธิล่ะ

ถ้าสมาธิอบรมปัญญานี่อย่างพระโมคคัลลานะ พุทโธ พุทโธนี่มีฤทธิ์มีเดช แต่ถ้าปัญญาวิมุติล่ะ.. ปัญญาวิมุติพอจิตมันสงบ ใช้ปัญญา ใช้ความคิด ใช้ปัญญาไล่เข้าไป ไล่ความคิดเข้าไป พอไล่เข้าไปแล้วความคิดมันก็ต้องหยุดได้.. ความคิดเกิดจากจิต ความคิดนี่เกิดจากจิต ความคิดนี่เกิดจากพลังงาน ฉะนั้นความคิดเกิดจากพลังงาน มันเกิดจากพลังงานใช่ไหม มันต้องเข้าสู่พลังงานนี่มันต้องหยุดได้

นี้ถ้าหยุดได้นี่ ทำไมมันหยุดได้ล่ะ.. นี่คิดเรื่องอะไรล่ะ ทุกข์นี่คิดเรื่องอะไร ทุกอย่างคิดได้หมดเลยแล้วมีสติตามความคิดนี้ไป ถ้าพูดถึงโดยธรรมชาตินะ ถ้าจิตส่งออก มันจะคิดโดยคิดว่า เราคิดเรื่องนู้นเรื่องนี้มันก็จะไป ไปแบบเรื่องโลกๆ เห็นไหม มันจะมีเหตุมีผลของมัน

แต่ถ้าเรามีปัญญาขึ้นมานี่เราจะใช้ปัญญาของเรา เราจะมีสติพร้อมความคิดเลย “เอ็งคิดทำไม.. เอ็งคิดเรื่องนี้เอ็งคิดมากี่ร้อยหนแล้ว.. เอ็งคิดแล้วมีอารมณ์เรื่องอะไรบ้าง.. เอ็งคิดมาแล้วเอ็งร้องไห้ เอ็งดีใจ เสียใจนี่เอ็งคิดทำไม” นี่สติมันเริ่มทันความคิด พอเริ่มทันความคิด ความคิดมันก็เริ่มสงบตัวลง.. สงบตัวลง.. สงบตัวลง เห็นไหม เพราะมันมีสติ พอสงบตัวลงปั๊บ พอความคิดมันดับหมดนี่เด่นเลย.. นี้คือปัญญาอบรมสมาธิ

พอได้สมาธิแล้วนี่ พอมันเป็นสมาธิ.. จิต ! จิตคือสมถะ จิตคือสมาธิ เห็นความคิด เห็นอาการของจิต ถ้าจิตเห็นอาการของจิต เห็นไหม อาการของจิตนี่คิดเรื่องอะไร คิดเรื่องกาย นี่คิดเรื่องกาย

เราจะบอกว่า ถ้าเป็นปัญญาวิมุตินี่พิจารณากายโดยไม่เห็นภาพ.. ไม่เห็นภาพ แต่ ! แต่เห็นความคิดนะ เห็นความคิด มันจับต้องความคิดไป ขันธ์ ๕ มันคิดของมัน พิจารณาของมัน พอพิจารณาของมันแล้วมันก็ปล่อย นี่ปล่อยก็คือไตรลักษณ์

พอปล่อยแล้ว ถ้าปล่อยชำนาญเข้า ชำนาญเข้า พอชำนาญเข้า พอปล่อยบ่อยครั้งเข้า ถ้าปล่อยนี่ตทังคปหานคือปล่อยชั่วคราว ปล่อย.. ปล่อย.. ปล่อยนี้มีทุนนะ ถ้าไม่มีทุนไม่ปล่อยหรอก ถ้าไม่มีทุนนะ โอ้โฮ.. คิด โอ๋ย.. มันเว้ย ไป.. ไปแล้ว

อันนี้เป็นเรื่องโลกๆ นี่โลกียปัญญา ถ้าจะเป็นโลกุตตรปัญญา โลกุตตรปัญญาคือภาวนามยปัญญา มันต้องมีตัวจิต มันต้องมีตัวทุน ถ้าตัวทุน ถ้ากลับมาที่นี่ปั๊บ มันมีตัวทุนปั๊บ.. เขาบอกว่าจิตเวลาจิตสงบนี่ สมถะคือหินทับหญ้า ขอให้มันทับเถอะว่ะ ถ้าทับแล้วคือมันไม่คิดไง

แต่นี้คนที่ไม่เห็นด้วยเขาจะพูดดูถูก พูดเหยียดหยาม พูดเยาะเย้ย เราเป็นผู้ปฏิบัติแล้วเรายังทำไม่ได้ พอเขาเหยียดหยาม เยาะเย้ยนี่เราก็สะเทือน เพราะเราก็ลังเล ไอ้ความลังเล ความไม่มั่นใจของเรานี้ พอเขาเหยียดหยาม เขาเยาะเย้ย เราก็เห็นตามเขาไปด้วย เพราะ ! เพราะเขาเป็นผู้มีศีล เขาเป็นผู้มีปัญญา เราก็เชื่อเขาไป

แต่ผู้ที่ปฏิบัติจริงๆ นะ เวลาเขาเหยียดหยาม เขาเยาะเย้ยนะมันจะตีกลับเลย ที่มึงพูดนี่มึงเห็นจริงหรือเปล่า.. ที่มึงพูดนี่มึงรู้จริงหรือเปล่า มึงไม่รู้.. กูสิรู้ ! ถ้ากูรู้ เห็นไหม มันตีกลับได้หมดแหละ

พอมันตีกลับขึ้นมา ถ้าตรงนี้มันตัวสมถะ เขาจะดูถูกอย่างไรนี่มันเรื่องของเขา แต่ ! แต่คนที่รู้จริงเห็นจริง ในทุกๆ ประเทศ ทุกๆ สัญชาติ ถ้าไม่มีเงินไม่มีทุน เขาปกครองประเทศเขาไม่ได้หรอก ประเทศที่เขาจะมั่นคง เขาจะเจริญขึ้นมานี่เศรษฐกิจเขาต้องดี ทุกอย่างเขาต้องดีหมด

ฉะนั้นจิตของเราที่จะออกวิปัสสนา จะออกทำนี่มันต้องมีทุนของมัน ถ้าสมถะนี่ พอสมถะแล้วพอมันออกรู้ ถ้าสมถะบางคนทำสมาธิแล้ววิปัสสนาไม่เป็นนะ มันแค่นี้เองนะ ถ้าแค่นี้ก็คือฤๅษีชีไพร นี่เขาถึงว่าเป็นมิจฉาสมาธิ.. ถ้าสัมมาสมาธินะ สมาธิกับฌานต่างกัน เขาบอกว่ามันจะเป็นฌาน.. มันจะส่งออก.. ให้มันมาพูดกับกูนี่ ถ้าใครจะคุยให้มาคุยกับกูนี่

เพราะถ้ามันส่งออกคือมิจฉาไง ถ้ามันส่งออกก็คือมันผิดใช่ไหม เพราะพระพุทธเจ้าไม่ได้ปรารถนาตรงนี้ แต่เพราะเอ็งพละ ๕ นี่พันธุกรรมของเอ็งมันอ่อนแอ คนที่จะเป็นอย่างนี้ได้ นี่ในอภิธรรมเขาบอกเลย เห็นไหม พระอรหันต์ต้องแสนกัป พระโพธิสัตว์ต้อง ๔ อสงไขย ๘ อสงไขย ถ้ามันได้สร้างมานี่มันไม่อ่อนแอ.. มันไม่อ่อนแอ มันมีกำลังของมัน

พอมีกำลังของมัน เห็นไหม มันรู้ใจของมัน มันใช้เงินเป็น เหมือนเรานี่มีเงิน เราใช้เงินเป็นเราจ่ายเงินเป็นนะ อู้ฮู.. สบายมากเลย คนมีเงินแล้วใช้ไม่เป็นนะ เป็นหนี้เขาวันยังค่ำแหละ ถ้าจิตมึงเป็นสัมมาสมาธิ จิตมึงเป็นหลักนี่ ถ้ามึงใช้เงินเป็น มึงควบคุมเงินเป็น.. นี่คือสัมมา ! สัมมา

เพราะพระพุทธเจ้าไม่ต้องการไง พระพุทธเจ้าได้สมาบัติกับอาฬารดาบสมาแล้ว แต่เวลาพระพุทธเจ้าจะตรัสรู้ พระพุทธเจ้ากำหนดอานาปานสติ อานาปานสติคือจิตมันเป็นสัมมาสมาธิ สัมมาสมาธิคือจิตสงบเข้ามา

ฌานสมาบัติ ! ปฐมฌาน ทุติยฌาน ตติยฌาน นี่มันขึ้นมาเป็นชั้นเป็นตอน

ปฐมฌาน.. นี่จิตมันสงบเป็นปฐมฌาน ทุติยฌาน ตติยฌาน จตุตถฌาน นี่จิตมันเอกัคคตารมณ์ จิตมันตั้งมั่น.. แล้วมันตั้งมั่นอย่างไร ขึ้นอากาสานัญจายตนะ เนวสัญญานาสัญญายตนะขึ้นอย่างไร

นี่พอขึ้นอย่างนี้ เห็นไหม จิตมันมีพลังงาน มันไม่เป็นสัมมาสมาธิ.. สัมมาสมาธิมันสงบเข้ามา สงบเข้ามาแล้วมันไม่มีสมุทัย คำว่าสมุทัย.. สมุทัยคือมันสงสัยในตัวมันเอง คือตัณหาความทะยานอยาก ว่าเป็นสมาธิแล้วจะเป็นอย่างนั้น.. อยากเป็นอย่างนี้

นี่ไง นี่มันก็มีมิจฉารวมมา มันก็ไม่เป็นสัมมา แต่ถ้าเราพุทโธ พุทโธ เพราะเราไม่ต้องการอะไรแล้ว เพราะพระพุทธเจ้าทดสอบมาหมดแล้ว พระพุทธเจ้าสอนหมดแล้ว กูรู้หมดแล้ว.. นี่โง่หมดเลย แล้วกูอยากฉลาดทำไง

พอมันสงบเข้ามา เห็นไหม พอมันสงบเข้ามา ถ้ามันเป็นอย่างนั้นปั๊บ พอมันสงบเข้ามา ถ้าไม่ออกวิปัสสนาก็ไม่มีประโยชน์อะไรเลย ! มันก็เป็นแค่นี้แหละ แล้วพอคนเข้ามาแล้ว ก็เข้าใจว่าว่างๆ นั่นคือนิพพาน มันก็บ้าบอคอแตกของมันไป.. เสื่อมหมด

โดยธรรมชาติของมัน สรรพสิ่งในโลกนี้เป็นอนิจจัง สิ่งในโลกนี้ไม่มีสิ่งใดคงที่ ไม่มีเลย ! ไม่มีอะไรเป็นของคงที่มั่นคง ในโลกนี้ ในสามโลกธาตุนี้ไม่มีเลย ! แม้แต่สมาธิก็ไม่คงที่ ต้องเสื่อมเป็นธรรมดา มันต้องเปลี่ยนแปลงเป็นธรรมดา

แต่ขณะที่พอเรามีสติปัญญาขึ้นมา พอมันสงบแล้วนี่ พอมันไม่คงที่แต่ตอนนี้มันสดชื่น ตอนนี้มันมีพละ มันมีกำลัง เราต้องใช้ปัญญา เราต้องออกแสวงหา เราต้องออกไปวิปัสสนา.. นี่คือวิธีการออกวิปัสสนา เห็นไหม

จิต ! เริ่มต้นมันคิด นี่กูไม่รู้จักกูคิด กูทุกข์ของกูทั้งปีทั้งชาติอยู่นั่นล่ะ กูก็ทำจนมันสงบเข้ามา สงบเข้ามาจนมันเป็นตัวมันเอง.. ตัวมันเองเพราะอะไร เพราะความคิดเกิดจากมัน ถ้าดับก็ดับมาสู่ตัวมัน เพราะตัวมันดับหมด ดับหมดเพราะมีสติควบคุมมันก็ดับได้ เพราะมีการฝึก เมื่อก่อนดับไม่เป็นหรอกเพราะมันส่งออก ไฟฉายมันไม่เคยดับหรอก ความคิดดับไม่ได้หรอก ไม่มีดับหรอก แต่เพราะมีปัญญา มีสัมมาสมาธิมันถึงดับเป็นไง ไฟฉายนี่กูปิดได้เปิดได้ มึงโง่ตายห่า เขาก็ทำไว้ให้เปิดมึงไม่เปิดเอง ก็กูฝึกมาจนกูเปิดเป็น เห็นไหม

เปิดเป็นแล้วมึงจะฉายไปที่ไหนล่ะ.. ถ้าฉายมาเห็นขันธ์ ๕ เห็นขันธ์ เห็นไหม เห็นขันธ์นี่สักกายทิฏฐิความเห็นผิด ถ้าปัญญามันเกิด เพราะพระพุทธเจ้าบอกไว้แล้วแต่ว่าเรายังโง่อยู่ ฝึกฝนมันจนถ้ามันมีกำลังแล้ว เวลาพิจารณามันจะปล่อย เป็นตทังคะไปเรื่อยๆ ปล่อยไปเรื่อยๆ พอปล่อยแล้ว ถ้าปล่อยแล้วขยันทำงานก็เสื่อมอีก ก็ต้องกลับมาวางก่อน พุทโธก่อน ใช้ปัญญาอบรมสมาธิก่อน ให้มันมีกำลังขึ้นมาก่อน มันจะเดินไปพร้อมกันระหว่างสมถะกับวิปัสสนา

“ในสมถะมีวิปัสสนา.. ในวิปัสสนามีสมถะ”

ถ้าเป็นมันก็จะออกมาใช้เป็น ถ้าไม่เป็น ออกใช้ไม่เป็น.. ด้วยพละ ด้วยอำนาจวาสนา ด้วยกำลังที่อ่อนแอ คิดว่าความสงบร่มเย็นอย่างนี้มันมีคุณค่ามาก มีความดีมากเราก็ติด มันก็พอใจ

แต่เพราะเราเคยเกิดเคยตาย เรามีครูบาอาจารย์ท่านคอยบอก คอยชี้ คอยแนะ ถ้ามันเป็นอย่างนี้แล้ว นี่ถ้ามันเป็นความสุข.. ความสุขของเอ็งมันคงที่ไหมล่ะ แต่เวลาเอ็งเสื่อมไปหมดแล้วเอ็งจะร้องไห้ทีหลัง ถ้าเสื่อมแล้วเอ็งก็เสียใจ แต่ถ้าเอ็งออกทำงานนะ มันจะทำให้เอ็งชำนาญขึ้น เอ็งจะบริหารจัดการเป็น

การบริหารจัดการคือการเดินมรรคเป็น ภาวนาเป็น ทุกอย่างเป็น นี่มันจะบริหารของมันไป ถ้าบริหารของมันไปนี่ วิปัสสนาบ่อยๆ ครั้งเข้ามันก็ปล่อย พอปล่อยเข้ามา ถ้ามันใช้งานบ่อยๆ ครั้งเข้ามันก็ฟั่นเฟือน มันก็ต้องกลับมาทำความสงบอีก จนมันถึงที่สุดมันขาดนะ มันปล่อยขาดหมดเลย

รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ.. ขันธ์ ๕ ไม่ใช่เรา เราไม่ใช่ขันธ์ ๕.. ขันธ์ ๕ ไม่ใช่จิต จิตไม่ใช่ขันธ์ ๕

ไม่ใช่ขันธ์ ๕ เพราะอะไร.. ขันธ์ ๕ เป็นทุกข์เพราะอะไร ต้องตอบมา.. มึงอย่าเป็นโสดาตราสิงห์กูไม่ฟังมึงหรอก ถ้าโสดาตราสิงห์มึงไม่มีแก๊ส แต่ถ้าเป็นโสดาบัน มึงเป็นโสดาบันอย่างไร

มันตรวจสอบกันได้.. อย่าฉ้อฉล อย่าคิดเอาเอง อริยสัจมันมีอยู่จริง ! ครูบาอาจารย์เรามีอยู่จริง ! การเรียนการปฏิบัติมันทันกันได้ คนรู้จริงกับคนรู้จริงมันต้องวัดกันได้ ไม่มีสิ่งใดวัดไม่ได้ ! ไม่มีสิ่งใดตรวจสอบไม่ได้.. ไม่มี ! เพียงแต่ต้องให้ความจริงกับความจริงตรวจสอบกัน อย่าเอาคนบ้ามาตรวจสอบความจริง คนบ้าตรวจสอบความจริงไม่ได้ คนบ้ามันไม่มีสติ คนบ้ามันมีแต่พูด

นี่พูดถึงหลักการ พูดถึงทั่วไป เห็นไหม ทั่วไปมันเป็นอย่างนี้แหละโลก นี่พูดถึงธรรมะ คนเรามันเกิดจากที่ไหน มันกตัญญูกับที่นั่นนะ ถ้ามันเกิดจากที่ไหน มันกตัญญูกับที่นั่น อันนี้เราก็เกิดจากครูบาอาจารย์เรา ถ้าเราไม่มีครูบาอาจารย์นะ.. เราเคยคิดเปรียบเทียบ ถ้าเราไม่มีครูบาอาจารย์เรามาไม่ได้ เรากล้าพูดเลยเรามาไม่ได้

อย่างที่หลวงปู่ดูลย์บอก เห็นจริงไหม.. จริง เรารู้เราเห็นเองหมด แล้วเราจะบอกว่าผิดนี่ไม่มีใครเชื่อหรอก เราก็ต้องไม่เชื่อเด็ดขาด แต่เพราะเรามีครูบาอาจารย์ ท่านมีเทคนิค ท่านเคยผ่านมา ท่านเปรียบเทียบให้เราดู ท่านทดสอบเรา.. ท่านทดสอบเรา ท่านให้เราทดสอบ ทดสอบไปทดสอบมา เออว่ะ.. กูผิดจริงๆ แต่ถ้าไม่มีคนมาชี้นำอย่างนี้นะ ก็ว่ามันเห็นแล้ว มันจะทดสอบอะไร

โอ้โฮ.. ครูบาอาจารย์นี้สุดยอดมาก สุดยอดจริงๆ เพราะเราเคยเปรียบเทียบอยู่ ถ้าไม่มีครูบาอาจารย์ เราจะรู้อย่างนี้ได้ไหม.. ไม่มีทาง ! ไม่มีทาง ! ทั้งๆ ที่เราทำมาเองนะ ถ้าไม่มีครูบาอาจารย์นี่ไม่มีทาง.. ไม่มีทางหรอก ขนาดมีครูบาอาจารย์อย่างนี้ ยังโอ้โฮ.. เถียงไฟแล่บเลย.. เถียงไฟแล่บเลย ไม่ยอมเหมือนกัน

แต่ที่หลวงตาท่านพูด “มันไม่ยอมด้วยทิฐิมานะ มันไม่ยอมเพราะมันรู้มันเห็น” ได้เงินมาคนละกระเป๋า แล้วเขาบอกของเราปลอมๆ นี่มันจะยอมได้อย่างไร.. ก็หาเงินมาด้วยกัน พอมาแบ่งกันแล้วบอกของเราปลอม.. ของเราปลอม ของเอ็งถูกนี่ไม่ใช่หรอก ต้องเถียงหัวชนฝา

สุดท้ายก็ปลอมจริงๆ มันถึงโอ้โฮ.. เกิดมาจากครูบาอาจารย์ มันเป็นวาสนาจริงๆ ถ้าไม่เป็นวาสนาเราก็ไปทำของเราเอง พอทำเองแล้วมันก็เชื่อตัวเอง แล้วมันก็ติดอยู่นั่นแหละ แล้วพอไปเปิดพระไตรปิฎก “เหมือนกันเปี๊ยะเลย ! เหมือนกันเปี๊ยะเลย !” มันเข้าข้างตัวเอง มันไม่ยอมฟัง

โยม ๒ : มันตีความเหรอครับ

หลวงพ่อ : เฮ๊อะ.. เข้าข้างอยู่แล้วไง

โยม ๒ : อ๋อ.. ระดับการตีความก็ไม่ถึง

หลวงพ่อ : ว่าเหมือนกันเปี๊ยะเลย ! เราถึงบอก โอ้โฮ.. ถ้าคนเห็นจริงไม่กล้าพูด เราพูดนะเวลาหลวงปู่มั่น หลวงปู่มั่นท่านเคารพ(พระไตรปิฎก)มากนะ ท่านไม่ยอมนั่งเสมอเลยล่ะ แต่เวลาท่านสอนหลวงตา เห็นไหม โอ้โฮ.. หลวงตาเป็นมหานะ เรียนถึงมหามา ธรรมะของพระพุทธเจ้านี่เทิดทูนบนศีรษะ แต่ ! เห็นไหมคนเป็น.. แต่ถ้ามาปฏิบัติพร้อมไปนี่มันสร้างภาพ เราสร้างภาพอยู่ตลอด

ท่านใช้คำภาษาอีสานว่ามันจะเตะมันจะถีบกันเอง คือมันจะคาดมันจะหมาย มันจะเตะมันจะถีบ คือมันจะไม่ได้ประโยชน์ทั้งสองฝ่ายเลย ท่านบอกให้วางไว้ก่อน แล้วปฏิบัติไป แล้วพอถึงจุดนั้นมันจะวิ่งมาประสานกัน คืออันเดียวกันนั่นแหละ

อันเดียวกันนั่นแหละ แต่เพราะเราไปตีความของเรา เราไปเข้าข้างเราก่อน พอเข้าข้างแล้วมันก็ยึด พอยึดขึ้นมานี่มันเป็นเตะถีบแล้ว มันมีข้อมูลในใจเราแล้ว ทำให้เราเสียประโยชน์เองนะแต่เราไม่รู้ตัว เราไม่รู้ตัวหรอกว่าเราฆ่าตัวตาย แต่มันว่ากูเก่ง แต่นั่นมึงฆ่าตัวตายแล้วนะนั่นน่ะแต่ไม่รู้ตัว

แต่หลวงปู่มั่นท่านพยายามเตือน พยายามบอก.. พยายามเตือน พยายามบอกเราก็จะเอาเหตุเอาผล นี่ครูบาอาจารย์เราถึงบอกว่า เพราะกว่าจะพูดอย่างนี้ได้มันต้องรู้เห็นก่อน ไม่รู้เห็นก่อนพูดไม่ได้ เพราะคำพูดคำเดียวกัน.. ก็คำพูดคำเดียวกันผิดได้อย่างไรวะ

โยม ๒ : ผิดตรงอธิบายครับหลวงพ่อ อธิบายปุ๊บรู้เลยว่าที่พูดมาไม่ใช่

หลวงพ่อ : ฉะนั้นเวลาครูบาอาจารย์ท่านอย่างนี้ เพราะหลวงปู่มั่นท่านวางมาใช่ไหม พอวางมาอย่างนี้ปั๊บ แล้วเวลาเข้าไปทำข้อวัตรนี่เขาจะคุยกันวงในไง แล้วอย่างที่ว่านี่ อย่างเช่นการศึกษา เห็นไหม อนุบาล ประถม มัธยม อุดมศึกษา

โสดาบัน สกิทาคา อนาคา ไม่เหมือนกันนะ ! ปัญญาคนละชั้นหมด ในพระไตรปิฎกบอกไว้ ขั้นของโสดาบันนี่ ๒๕ เปอร์เซ็นต์ ปัญญา สมาธิ ๒๕ เปอร์เซ็นต์.. สกิทาคา ๕๐ เปอร์เซ็นต์.. อนาคา ๗๕ เปอร์เซ็นต์.. พระอรหันต์ต้องสมาธิครบ ๑๐๐ ในพระไตรปิฎกพูดไว้อย่างนี้ แต่เวลาเราปฏิบัติล่ะเป็นอย่างไร อ้าว.. เป็นอย่างไร

ฉะนั้นเวลาปฏิบัติอย่างที่พูดนี่ พอเวลาพูดมันรู้เลย คนพูดอย่างนี้อยู่ระดับนี้.. คนพูดอย่างนี้อยู่ระดับนี้.. คนพูดอย่างนี้อยู่ระดับนี้.. คำพูดนี่มันฟ้องหมด ! เพราะมันเปิดหมดเลย พอรู้เต็ม ก็ปล่อยเต็มที่อยู่แล้ว

โยม ๒ : คือเป็นหลักสูตรตัวนั้น อันนั้นเป็นหลักสูตร

หลวงพ่อ : แต่ความจริงมันออกมานะ มันออกมา ปฏิบัติ.. นี่อย่างนี้เรายังเกิดมาทันนะ เราเกิดมาทัน แล้วมันยังมีช่วงจังหวะ ครูบาอาจารย์ทำให้สังคมมันมั่นคงขึ้นมา เราถึงทำของเราได้

สมควรแก่เวลาไหม.. เนาะ

โยม : ครับผม....