เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๒๙ พ.ย. ๒๕๕๓

 

เทศน์เช้า วันที่ ๒๙ พฤศจิกายน ๒๕๕๓
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

วันนี้วันพระเนาะ วันพระคือวันทำบุญ วันทำบุญกุศล วันโกนวันพระ นี่เวลาวันปกติเราทำมาหากิน พอวันโกนวันพระ นี่เราเตรียมตัว.. วันโกนทำอาหาร วันพระจะไปวัด ไปวัดทำบุญตักบาตรเสร็จแล้วได้ฟังธรรม

ฟังธรรม เห็นไหม ธรรมะ.. สัจธรรม ถ้าสัจธรรมมันจะเป็นประโยชน์กับเรา เป็นประโยชน์กับเรานะ แต่เราเข้าใจไม่ได้ แล้วโลกนี่ เรื่องของโลก โลกคือวิทยาศาสตร์ โลกคือสิ่งที่ความพิสูจน์ได้ เข้าใจได้ ถ้าพิสูจน์ได้เข้าใจได้ นี่เราถึงบอก.. อย่างเช่นยังติดใจคำถามเมื่อวาน เห็นไหม

“ไม่มีเจตนา.. เข้าใจว่าตนเองบรรลุพระอรหันต์ แล้วไม่มีเจตนา เที่ยวสอนเขาไปมีความผิดสิ่งใด”

มีความผิดสิ่งใด.. ถ้าเป็นโลก เห็นไหม ไม่มีเจตนาใช่ไหม เราไม่มีเจตนา.. ไม่มีเจตนาแต่สอนให้เขาผิด ไม่มีเจตนาทำผิด แต่เข้าใจว่าแล้วทำไป มันเหมือนเรานี่นะ เวลาเราเข้าโรงพยาบาล พยาบาลนั้นไม่มีเจตนานะ มันให้เลือด มันให้เลือดติดเอดส์มาด้วยนี่เราเอาไหม

เวลาเราเข้าโรงพยาบาล เขาไม่มีเจตนานะ พอเขาให้ไปแล้วเขาก็เสียใจนะ เขาเสียใจว่าคนไข้นี้ถึงเสียชีวิต คนไข้นี้เสียไปเลย แต่เวลาเขาให้เขาไม่รู้ของเขา เวลาเขาให้เลือด เวลาเขารักษานี่ เขาไม่มีเจตนาทำให้คนไข้ผิดหรอก เขาลืมกรรไกรไว้ในช่องท้อง แล้วเขาเย็บแผลไปเลย เขาไม่มีเจตนานะ ไม่มีเจตนาหรอก แล้วมันผิดไหม

ทางโลกบอกว่าไม่มีเจตนามันไม่ผิด มันไม่ผิดเพราะอะไร มันไม่ผิดเพราะเราไม่มีเจตนา มันสุดวิสัยที่เราจะทำ เราก็ว่าไม่ผิด แต่ทางธรรมนี่ผิดมหาศาลเลย เห็นไหม เวลาในมุตโตทัยถึงบอกเลยนะ ทองคำถ้ามันอยู่ในเหมืองอยู่ในดิน มันก็เปื้อนดิน ถ้าทองคำได้หลอมแล้ว ทองคำได้เอามาไว้ในร้านแล้ว ทองคำนั้นก็เป็นทองคำ ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์

ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นทองคำ ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ ! แต่มันเปื้อนไปด้วยกิเลสตัณหาความทะยานอยากของเรา ไอ้ความไม่มีเจตนา ไอ้ความเข้าใจผิดนั่นล่ะ แล้วบอกว่า “มรรคเข้าใจผิดไม่เป็นไรเนาะ.. ไม่มีเจตนาเนาะมันจะผิดอะไร”

ผิด ! เห็นไหม มันเหมือนขุยไผ่ ขุยไผ่คือทำลายตัวเอง ถ้าเราไม่มีเจตนา.. คนติดนะ เนี่ยติดเป็นภพเป็นชาติไปเลยนะ ติดตั้งแต่ชาตินี้ชาติต่อไป ชาติต่อไปก็ยังติดอีกนะ เพราะอะไร เพราะเวลาในพระไตรปิฎกนะ นี่เวลาเขาบอกว่านิพพานคือความว่าง นิพพานคือแบบว่านิพพานมันไม่มี

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพยากรณ์นะ บอก นี่เขาเคยเกิดบนพรหม.. เวลาพรหมนี่เขาเกิดบนพรหมหลายภพหลายชาติ พอพรหมหลายภพหลายชาติ เขาต่อไม่ได้ไง.. เขาต่อไม่ได้ แต่ถ้าเราเกิดตายเกิดตาย เห็นไหม เขาบอกว่าภพชาติไม่มี.. สิ่งใดไม่มี.. มันว่างไปหมด

จิตถ้ามันได้พัฒนา นี่พันธุกรรมทางจิต จิตของใครก็แล้วแต่ ทำสิ่งใดมามันจะเป็นสิ่งนั้น จิตถ้ามันติด พอมันติดของมัน เห็นไหม พอมันติดนี่มันก็เข้าใจว่าเป็นอย่างนั้น.. เข้าใจว่า

นี่ไงขุยไผ่ ! ขุยไผ่มันทำลายชีวิตเราแล้ว ภพชาตินี้หมดไปแล้ว มันจะทำลายของมันไป แล้วยังภพชาติต่อไป เพราะอะไร เพราะมันเป็นจริตนิสัย มันซ้ำเข้าไปอยู่ในจิตนั้นแล้ว นี่ไงมันมีโทษไหม ถ้าในทางธรรมนี่มีโทษมหาศาล แต่ ! แต่ถ้าเราพูดไป เห็นไหม ถ้าพูดไป.. เพราะทุกคนจะบอกว่า เรานี่ดีคนเดียว จับผิดคนอื่นไปหมด คนอื่นผิดเสียหายไปหมดเลย.

ผิดหรือถูกนี้มันอยู่ที่ค่าความจริง ข้อเท็จจริง.. ความจริงคือความจริง อุณหภูมินี่นะ ดูดความร้อนก็คือความร้อน นี่อุณหภูมิมันต่ำ มันหนาวมันก็คือหนาว มันเป็นข้อเท็จจริงของมันอย่างนั้น นี้เป็นข้อเท็จจริง ถ้ามันผิดตามข้อเท็จจริงนี้มันก็คือผิด ! แต่ถ้ามันถูกนะ อุณหภูมินี่ เห็นไหม ดูสิ ทางเอเชียแบบว่าร้อนชื้น ร้อนแห้ง ความร้อนแห้ง.. ถ้าร้อนชื้นมันไม่ตาย ร้อนแห้งมันตาย เวลาร้อนแห้งขึ้นมามันตายเลยเนี่ย ภูมิอากาศแต่ละภูมิภาคมันไม่เหมือนกัน

นี่สิ่งที่เป็นความจริง ความรู้สึกในใจมันเหมือนกัน ตายเหมือนกัน เราสุขทุกข์เหมือนกัน.. นี่ก็เหมือนกัน ถ้าประพฤติปฏิบัติขึ้นมา ถ้ามันเป็นความจริงก็คือความจริง ไม่ใช่จับผิดใครหรอก มันเป็นความจริงของมันอย่างนั้น ถ้าความจริงคือความจริง แต่ถ้ามันเป็นความปลอม ปลอมก็คือปลอม แต่บอกว่าไม่มีเจตนา ไม่มีเจตนาทำให้ใครผิดเลยมันมีความผิดอะไร.. มีความผิด นี่มีความผิด

ไม่มีเจตนา.. เวลาเราให้เลือด เวลาเราไปโรงพยาบาลเขาไม่มีเจตนาหรอก เวลาเขาให้เลือดมา นี่เลือดบวกขึ้นมา อู้ฮู.. ฟ้องร้องเลย ก็เขาไม่ได้เจตนาไปฟ้องร้องเขาทำไม เขารักษาเราด้วย แล้วเขามีเจตนาดีด้วย

นี่ก็เหมือนกัน เวลาเขาสอนผิด อ้าว.. สอนผิดก็ไม่มีเจตนาก็ไม่เป็นไร ไม่เป็นไรนี่มันไปไหน มันไปไหน ถ้ามันมีความผิดไปแล้ว มันก็ลงนรกอเวจีสิ เพราะความผิดของมัน มันจะรู้ได้อย่างไร มันรู้ไม่ได้

ฉะนั้นเวลามีครูมีอาจารย์ เห็นไหม ครูบาอาจารย์นี้สำคัญ ถ้าเป็นครูบาอาจารย์นะไม่ใช่จานกระเบื้อง ถ้าจานกระเบื้องนะ เวลาลูกศิษย์มาถามปัญหานี่อ้าปากแล้ว แล้วอ้าปากแล้วมันใช้ความฉ้อฉลนะ นี่เวลากิเลสของคน กิเลสมันขี่หลังเสือนี้ร้ายมาก มันฉ้อฉล มันชักนำไปทางที่ผิด.. ชักนำไปทางที่ผิดนะ ชักนำไปทางออกนอกลู่นอกทางไป นั้นถ้าเป็นอาจารย์ที่ไม่...

ดูสิ อย่างองคุลิมาล เห็นไหม นี่อาจารย์ก็เป็นคนดีนะ ใครมายุแหย่ขนาดไหนก็ไม่หวั่นไหว สุดท้ายยุแหย่ว่าเขาจะเป็นชู้กับภรรยา คิดวางแผนเลย พอวางแผน.. นี้คนดี เห็นไหม คนดีจะฆ่าด้วยตัวเองก็ไม่ได้ ถ้าฆ่าด้วยตัวเอง สำนักตัวเองจะไม่มีลูกศิษย์เลย ก็วางแผน นี่ฉ้อฉล วางแผนว่ามีวิชาหนึ่งวิเศษมากเลย แต่จะได้มาต้องยกครูด้วยนิ้วมนุษย์ ๑,๐๐๐ นิ้ว ต้องไปหานิ้วมนุษย์มา

นี่ไง คิดว่า ๑,๐๐๐ นิ้วนี้ไปฆ่าคนอื่น คนมีปัญญาไง นี่ทางรัฐบาลหรือทางอำนาจรัฐเขาไม่ปล่อยให้ทำหรอก เขาต้องฆ่าแน่นอน คือยืมมือคนอื่นให้ฆ่าลูกศิษย์ตัวเองไง นี่ไปยืมมือคนอื่น แต่เพราะอำนาจวาสนาของเขา เห็นไหม เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเล็งญาณไป เข้าข่ายองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่าคนๆ นี้มีโอกาส แต่เพราะความเห็นผิดของเขา ถ้าวันนี้ไม่ไปนะ..

นี่คนเรานะ คนดีทั้งคู่นะ อาจารย์ก็เป็นคนดีอยู่ เขายุแหย่มาตลอด เพราะว่าลูกศิษย์ด้วยกัน ลูกศิษย์ด้วยกัน อยู่ด้วยกัน เห็นไหม คนนี้สอนแล้วเข้าใจง่าย แบบลูกศิษย์มันอิจฉากันหมดนะ ก็ยุให้รําตําให้รั่ว ก็ยังมั่นคงอยู่นะ ยุอันสุดท้ายนะว่าเขาจะเป็นชู้กับภรรยา.. เรียบร้อย วางแผนเลย พอวางแผน นี่คนวางแผน..

องคุลิมาลก็เป็นคนดี คนดีเพราะอะไร เพราะสร้างสมบุญญาธิการมา แล้วเป็นคนดีนี่เพราะศึกษามา อาจารย์ให้ทำอะไรก็เชื่อ ให้ทำอะไรก็เชื่อ บอกว่าจะมีวิชาที่มหัศจรรย์มาก แต่ต้องแลกด้วยนิ้วมือ ๑,๐๐๐ นิ้ว.. ก็เชื่อ ! แล้วอยากได้มาก นี้พอความอยากได้ ดูคนเรานี่มันคิดโดยมุมเดียว เห็นไหม ฆ่าๆๆ พอฆ่าขึ้นมานี่ โอ้โฮ.. มันเต็มที่แล้ว นิ้วนี่ร้อยมาเลย อีกนิ้วเดียว.. อีกนิ้วเดียว เขาเรียกว่าคนหน้ามืดไง แม่มาก็ฆ่า

เพราะด้วยความอยากได้ มันหน้ามืดตามัว แล้วก็จะเอาวิชาให้ได้ ด้วยความซื่อของตัวเอง ความซื่อสะอาดของตัว.. จะเอาให้ได้ ฉะนั้นเหลืออีกนิ้วเดียวนิ้วสุดท้ายแล้ว พอนิ้วสุดท้ายนี่พระพุทธเจ้า.. นี่เวรกรรมมันแปลก

ทีนี้พระพุทธเจ้าเล็งญาณ ถ้าไม่ไปเอาองคุลิมาล องคุลิมาลจะฆ่าแม่ ปิตุฆาต มาตุฆาตแล้วจะไม่มีโอกาสเลย องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไปก่อนเลย พอเวลาไป นี่ไปถึงใช่ไหม เพราะองคุลิมาลเป็นผู้ศึกษาวิชาการ มีวิชาวิ่งเร็วกว่าม้า ม้านี้วิ่งขนาดไหนนะ องคุลิมาลนี่ทันหมด

ทีนี้พอองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามา นี่เคลื่อนไปลอยไป องคุลิมาลวิ่งตามขนาดไหนไม่ทันน่ะ วิ่งอย่างไรก็ไม่ทัน นี่ด้วยอำนาจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นี่ด้วยการสอน เทคนิค เห็นไหม องคุลิมาลบอกว่า “สมณะหยุดก่อน หยุดก่อน”

“เราหยุดแล้ว เธอไม่หยุด”

ถ้าพูดถึงทางวิทยาศาสตร์นี่โกหกแล้ว เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเคลื่อนอยู่ วิ่งเกือบตายไม่ทันน่ะ แล้วองคุลิมาลบอก “สมณะหยุดก่อน สมณะหยุดก่อน”

“เราหยุดแล้ว.. เราหยุดแล้ว เธอยังไม่หยุด”

พอหยุดแล้ว “หยุดอะไร.. วิ่งยังไม่ทันเลย” พอพูดแค่นั้นมันสะเทือนใจไง มันสะเทือนใจ “เราหยุดแล้วเธอยังไม่หยุด”

โอ้โฮ.. วางดาบเลยนะ “หยุดอย่างไร สมณะโกหก สมณะว่าหยุด หยุดอย่างไร”

“เราหยุดจากการทำบาปไง เราหยุดกับเรื่องความฉ้อฉลไง เราหยุดต่อการสิ่งที่หัวใจมันหลอกลวงไง”

นี่ได้สติ เห็นไหม เพราะคนมีพื้นฐานมาดี พอได้สติขึ้นมาแล้วขอบวช พอเวลาบิณฑบาตมานี่กรรมมันเกิด เวลาไปบิณฑบาตที่ไหน เป็นพระอรหันต์แล้ว ใครเขาจะยิงนกตกปลานี่หินก้อนนั้นจะต้องมาโดนหัวพระองคุลิมาล พระองคุลิมาลนี้เสียใจมาก พระอรหันต์เสียใจ นี่เวลาพูดนะ บอกว่า “พระอรหันต์ต้องไม่เสียใจ พระอรหันต์ต้อง อู้ฮู.. สุดยอดไปหมดเลย” พระอรหันต์ก็มีความรู้สึกน่ะ !

นี่เวลาใครจะยิงนกตกปลา หินมันจะมาโดนศีรษะพระองคุลิมาล พระองคุลิมาลไปรำพึงกับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นี่น้อยใจไง เขาจะทำอะไรกันก็มาโดนหัว นี่เลือดตกยางออก ไปบิณฑบาตนี่จะมีอย่างนั้นตลอดมา

“องคุลิมาล.. เธอเอาชีวิตเขานะ เวลาเธอทำเขานี่ตายล่วงทั้งชีวิตเลย ไอ้นี่มันเศษกรรม ไอ้เศษหินเศษที่มากระทบเรา ไอ้หัวแตก เลือดตกยางออกนี้ ชีวิตมันไม่เสียหายนะ” นี่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเข้าใจหมด รู้หมด ว่าเวรกรรมของใครทำอย่างใด

นี่พูดถึงว่า เห็นไหม นี่เขาบอกว่าไม่มีเจตนาไง มันจะมีความผิดอะไรไง แล้วนี่องคุลิมาลมีเจตนาไหม อาจารย์ขององคุลิมาลมีเจตนาไหม องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามีเจตนาไหม แต่ชักนำให้ถูกหรือชักนำให้ผิดล่ะ ถ้าชักนำให้ผิด มันก็ผิดไปมหาศาล เห็นไหม แล้วบอกว่าไม่มีเจตนานะ

ทางโลก.. ทางโลกเป็นอย่างนั้นจริงๆ ทางโลกถ้าขาดเจตนานี่ความผิดนั้นไม่มี ถ้าขาดเจตนา แต่ความขาดเจตนานี้เป็นเจตนาทางโลก เพราะสิ่งนี้โลกรู้ได้แค่นี้ไง แต่ถ้าขาดเจตนา แต่มันผิดพลาดนี่มันเป็นมิจฉา.. ความเป็นมิจฉาทิฏฐิ ความเห็นผิด ความรู้ผิด ความเข้าใจผิด แล้วความเข้าใจผิดมันจะถูกได้อย่างไร แล้วถ้ามันถูกล่ะ

ดูสิ เราศึกษาธรรมะพระพุทธเจ้านี่ รู้ไปหมดๆ แหละ แต่อวิชชาของเรานี่มันทำให้เห็นผิด.. เห็นผิดหมดแหละ ! แต่ถ้าเมื่อใดเราทดสอบ ทดสอบด้วยการกำหนดให้จิตมันสงบมา ถ้าจิตสงบเข้ามา นี่พอจิตสงบนะมันไม่มีตัวตน ไม่มีความเห็นของเราบวก

แล้วศึกษานะ พอเวลาโลกุตตรธรรม โลกุตตรปัญญา ปัญญาที่มันไม่มีอวิชชา ไม่มีอวิชชามันก็ชั่วคราวนะ พอจิตสงบ จิตมีมาตรฐาน นี่มันจะใสสะอาดชั่วคราว แต่จิตและความใสสะอาดอยู่ไม่ได้ ..ต้องขุ่นมัวตลอดเวลา ขุ่นมัวโดยตัณหาความทะยานอยาก ขุ่นมัวโดยอวิชชาของเรา พอขุ่นมัว เวลาไปพิจารณาสิ่งใดมันก็บวกความขุ่นมัว บวกอวิชชาของเราเข้าไป

แต่ถ้าเราทำความสงบของใจเข้ามา ใจมันใสสะอาดขนาดไหน ใจมันเป็นสัมมาสมาธิก็ออกใช้ปัญญา ปัญญานั้นสะอาดบริสุทธิ์ เพราะ ! เพราะสิ่งที่ใจนี้มันสะอาดบริสุทธิ์ชั่วคราว ชั่วคราวด้วยสมถะ ชั่วคราวด้วยความบริสุทธิ์ ฉะนั้นพอมันพิจารณาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นี่มันจะเข้าถึงหัวใจ มันจะสะเทือนกิเลสมาก มันจะสะเทือนกิเลสมาก

นี่โลกุตตรปัญญา มันไม่ใช่โลกียปัญญา ความคิด ความศึกษาทางวิชาการทั้งหมด โลกียปัญญา ! เกิดจากภพ เกิดจากความรู้สึก เกิดจากอวิชชา ปฏิสนธิจิต.. ปฏิสนธิจิตนี่ภพ ปฏิสนธิจิตนี่ตัวเกิด ปฏิสนธิวิญญาณ เกิดในไข่ เกิดในน้ำคร่ำ เกิดในโอปปาติกะ เห็นไหม นี่กำเนิด ๔ ! กำเนิด ๔ นี่โลกทั้งนั้น !

ความคิดเกิดจากโลก ความคิดเกิดจากโลกียปัญญา มันเป็นโลก เป็นโลกียะ มันเป็นเรื่องต่างๆ ศึกษาธรรมมาก็โกหกตัวเอง !โกหกตัวเองทั้งหมด ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่เราไม่รู้อะไรเลย ไม่รู้ ! ไม่รู้ ไม่ได้สัมผัส.. ทัพพีอยู่ในหม้อแกง ไม่รู้รส ไม่รู้รส !

แต่ถ้าวันไหนทำความสงบของใจเข้ามา แล้วใจนั้นได้สัมผัส นั่นล่ะทัพพีมีชีวิต ทัพพีนี้มันได้รสชาติของธรรมะ ทัพพีนั้น สิ่งนั้นต่างหากถึงจะเป็นความจริง เห็นไหม นี่ถึงบอกว่าไม่มีเจตนาผิดไหม.. ผิดล้านเปอร์เซ็นต์ แต่ถ้าบอกว่าผิดนี่ผิดตรงไหน ผิดเพราะเราหลงผิด เราหลงผิดแล้วเราสอนให้คนอื่นหลงผิดตาม แล้วมันบอกไม่มีเจตนา แล้วมันจะมีความผิดไหม

นี่เพราะเราหลงผิด เราอ้างว่าธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เห็นไหม ดูสิ ดูยี่ห้อสินค้าสิ โอ้โฮ.. สุดยอดไปเลยนะ แต่ในภาชนะนั้นมีแต่ของเน่าบูด ยี่ห้อก็คือยี่ห้อไง นี้ธรรมะของพระพุทธเจ้าก็เหมือนกัน พุทธพจน์ ! พุทธพจน์ ! ทั้งนั้นแหละ แต่ในหัวใจเราล่ะ เน่าด้วยความโลภ ความโกรธ ความหลง นี่ขี้ทั้งนั้น แล้วมันจะเป็นสิ่งใดกับเราล่ะ

ศึกษาขนาดไหนก็ศึกษาไป นั่นเป็นภาคปริยัติ ถ้าเป็นปฏิบัติแล้วต้องเป็นความจริง ฉะนั้นบอกว่าไม่มีเจตนาว่าผิดไหม.. ผิด ! ผิดทั้งนั้นแหละ แต่เวลาพูดนะเราพูด เวลาคนถาม เวลาพูดไปแล้วนี่ เห็นไหม เหมือนเด็ก เด็กตั้งใจทำความดี จะบอกว่าสิ่งใดก็ผิดไปหมดเลย แล้วความดีมันจะเกิดขึ้นได้อย่างไร

ถ้าเด็กตั้งใจทำความดีนะ เอ็งทำผิดแล้วนะ เอ็งต้องพยายามทำความเข้าใจให้ได้ แล้วถ้าทำความเข้าใจได้นะ เอ็งจะเห็นผิดเห็นถูก แล้วเอ็งจะวางของเอ็งเอง วางในหัวใจนะ ถ้าหัวใจมันวาง.. หัวใจมันวาง หัวใจมันหมั่นศึกษา หัวใจนั้น นี่พันธุกรรมของมันจะดีขึ้นมา มันจะตัดแต่งพันธุกรรมของมันเอง จริตนิสัยมันจะพัฒนาของมันขึ้นมา

นี่การพัฒนาการของจิต จิตนี้มันพัฒนาการของมันตลอดเวลา เหมือนต้นไม้ ต้นไม้เราปลูกนี่ต้นหญ้า เห็นไหม พอมันได้น้ำได้แสงแดดต่างๆ มันจะงอกทันที ใจของเรา ถ้ามันพัฒนาการของมันขึ้น มันจะมีหน่อของพุทธะ มันจะมีความรู้จริงของมัน มันจะมีสิ่งที่เกิดขึ้นมา เราจะรู้ได้ มันเป็นปัจจัตตัง มันเป็นสันทิฏฐิโก

เวลาเรามีกิเลสในหัวใจ เรามีความลังเลสงสัยนี่ เรารู้อยู่ทุกคนล่ะ แต่เวลามันพ้นจากความสงสัย นี่มันพ้นอย่างใด มันมีอะไรมาชำแรกแยกแยะ ให้เห็นถูกและเห็นผิดได้อย่างไร แต่ในปัจจุบันนี้ ความเห็นของเรา เราก็รู้ก็เห็นนี่แหละ เห็นถูก.. เห็นถูกธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะมันมีแบบอย่าง ธรรมและวินัยเป็นศาสดา แต่มีความสงสัยล้านเปอร์เซ็นต์ ! จะรู้แค่ไหนก็สงสัย ! ไม่มีทางตัดความสงสัยได้ ! ไม่มีทาง !

แต่ถ้าเป็นโลกุตตรธรรม มรรคญาณมันเข้าไปชำระ มันสำรอกออก.. สำรอกออก นั่นล่ะมันถอนหมดเลย มันถอนทั้งความสงสัย ถอนทั้งในหัวใจของตัว อันนั้นล่ะเป็นความจริง เห็นไหม ถึงบอกว่า นี่ปฏิบัติมันรู้ได้.. มันจะรู้ได้ มันจะเห็นได้ มันจะทำความเป็นจริงได้

ถ้าปฏิบัตินี่สันทิฏฐิโก มันรู้จำเพาะตน แล้วรู้จริงๆ เป็นธรรมะส่วนบุคคล ธรรมะในหัวใจดวงนั้น ไม่มีภาชนะสิ่งใดเลยที่สัมผัสธรรมได้ เว้นไว้แต่ความรู้สึก หัวใจของมนุษย์และหัวใจของสัตว์โลก แล้วเวลามันรู้จริงของมันขึ้นมา สิ่งที่มันรู้จริงขึ้นมา สิ่งนั้นล่ะมันเป็นความจริง ถ้าเป็นความจริง เรื่องโลกมันก็เป็นเรื่องของโลกๆ

ฉะนั้นเวลาเป็นธรรมะส่วนบุคคล เป็นความจริงของเราขึ้นมา เห็นไหม เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรินิพพาน พระอานนท์ร้องไห้แล้วร้องไห้อีก พระโสดาบันนะ ยังต้องการมีคนสอนอยู่

“อานนท์.. เราไม่ได้เอาของใครไปเลย เราเอาธรรมะของเราไปเท่านั้นเอง”

เวลาพระสารีบุตรจะปรินิพพาน พระโมคคัลลานะจะปรินิพพาน นี่มันก็นิพพานไปแต่ธรรมะของพระสารีบุตร ธรรมะของพระโมคคัลลานะ เห็นไหม “นี่ธรรมะส่วนบุคคล” แล้วของเราล่ะ ของเราอยู่ไหน จำพระพุทธเจ้ามาหมดเลย ธรรมะของพระพุทธเจ้าหมดเลยแล้วจะเอาไปได้อย่างไรล่ะ จะเอาไปได้อย่างไร ธรรมะเราไม่มีเอาไปได้อย่างไร

แต่ถ้าเรามีนะ “นี่ธรรมะส่วนบุคคล” ธรรมะนี้ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ศาสนธรรมนี้เป็นธรรมะสาธารณะ คือสัจธรรมตามความเป็นจริง แต่ของเรา ความรู้สึกจริง ความจริงนี้เห็นไหม “จากใจดวงหนึ่งสู่ใจดวงหนึ่ง” ถ้าใจดวงนั้นเป็นสัจธรรม มันจะสื่อสัจธรรมนั้นให้กับใจของดวงต่อๆ ไป

“จากใจดวงหนึ่งสู่ใจดวงหนึ่ง” แต่ใจดวงหนึ่งมืดบอด แล้วบอกว่าไม่มีเจตนาสอนให้เขามืดบอด.. ไม่มีเจตนาก็ผิด ผิดเพราะมันทำลายตัวเอง ทำลายต่างๆ ให้มันเป็นเรื่องของโลกๆ ไม่เป็นธรรม เอวัง