ถาม-ตอบปัญหาธรรมะ

ตู่หรือขู่

๒๘ พ.ค. ๒๕๕๔

 

ตู่หรือขู่
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ถาม-ตอบ ปัญหาธรรม วันที่ ๒๘ พฤษภาคม ๒๕๕๔
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

มันเป็นข้อ ๔๓๖. เนาะ ข้อ ๔๓๖. นี่ “แค่อยากทราบ” ถ้าอาจารย์เห็นว่าไร้สาระ ก็ให้ข้ามไปเลย.. เป็นเรื่องของกัปไง ว่ากัปหนึ่งกี่ปี อายุขัย เกี่ยวกับเรื่องอายุขัย เกี่ยวกับเรื่องกัป

ฉะนั้น สิ่งนี้มันมีกัปที่เป็นทิพย์และกัปที่เป็นโลกไง กัปที่เป็นทิพย์ มันเป็นแบบว่าแท่งภูเขาสูงเป็นกี่โยชน์ แล้วเทวดาเอาผ้ามาเช็ด มันจะค่อยๆ เสื่อมไป จนภูเขานั้นหมด.. กับกัปที่เป็นโลก กัปที่เป็นโลกคือ ๑๒๐ ปี

ฉะนั้นเรื่องอายุขัยนี่ อย่างเรานะ แม้แต่อายุขัยเราประมาณเกือบ ๑๐๐ ปี เราอายุสั้น อายุยืนก็อีกเรื่องหนึ่ง เห็นไหม มันยังมีกรรมเข้ามาตัดรอนนะ มันก็เหมือนกับทางวิทยาศาสตร์ มันเป็นโดยทฤษฎี มันเป็นโดยข้อเท็จจริง แต่มันมีตัวแปรไง ตัวแปรนู้น ตัวแปรนี้ มันก็ทำให้คลาดเคลื่อนได้

อันนี้ก็เหมือนกัน ถ้าเรื่องของกรรม เรื่องของต่างๆ ฉะนั้นเราถึงว่าอันนี้ตอบแค่นี้ไง เขาบอกว่า “ถ้าหลวงพ่อเห็นว่าไร้สาระ ก็ข้ามไปเลยครับ” ข้ามแล้ว

ถาม : ๔๓๗. เรื่อง “ทำไมพระอาจารย์สงบจึงกล่าวตู่ครูบาอาจารย์ผู้อื่นอยู่ร่ำไป”

(เขาถามนะ) ผมได้อ่านเทศน์ของท่าน และได้ทราบเรื่องที่ท่านกล่าวตู่พระรูปหนึ่งเอาไว้อย่างรุนแรง อยากให้ท่านกลับไปทบทวนว่า ท่านพูดไปเพราะจิตท่านเป็นเช่นไร ท่านน่าจะรู้ตัวเองอยู่ และน่าจะรู้ผลของกฎแห่งกรรมที่ตนจะได้แน่ๆ

การที่ท่านบอกว่าหลวงตาให้กำลังใจพระรูปนั้น ไม่ทราบว่าท่านเคยอ่านที่หลวงตาท่านเทศน์หรือไม่ ท่านพูดออกมาชัดเจนอยู่แล้ว ใครฟังก็รู้ อย่าพูดบิดเบือนเลย ถ้าคิดว่าท่านให้กำลังใจ ท่านกำลังกล่าวตู่หลวงตาอยู่นะ

(แล้วเขาก็เขียนที่หลวงตาพูดให้ฟัง เราฟังมาตลอดแหละ)

ที่ออกมาที่นี่ก็ออกจะชัดเจนอยู่แน่แล้ว แล้วมีเสียงท่านยืนยัน ผมทนไม่ได้ที่ท่านมากล่าวว่าอาจารย์ของผู้อื่น เพราะท่านคงทราบในจิตของท่านว่า การให้ร้ายผู้อื่น จิตของท่านเองเป็นเช่นไร

ป.ล. ท่านไม่ได้ให้ร้ายอาจารย์ผู้เดียวนะ ท่านกล่าวตู่หลวงตาด้วย (เขาพูดถึงเราไง)

หลวงพ่อ : ไม่หรอก ไม่ได้กล่าวตู่เลย เพราะสิ่งที่เราพูดออกไป มันก็เป็นคำพูดหลวงตาทุกคำ ไปกล่าวตู่ตรงไหนล่ะ เราไม่ได้กล่าวตู่ เราไม่ได้เอาคำพูดหลวงตามาบิดเบือนเลย แต่ขณะปัจจุบันนี้มันเป็นความเห็น ๒ ความเห็น คือความเห็นหนึ่ง ชอบฟังที่หลวงตาพูดชม แต่เวลาหลวงตาพูดถึงคนอื่นนี่ไม่ยอมรับฟัง

ฉะนั้นเวลาเราพูดนี่ เราพูดถึงภาพรวมไงว่าหลวงตาท่านชม เราก็ได้ยิน หลวงตาพูดอะไรเราได้ยินหมดแหละ เรารู้หมดแหละ แล้วหลวงตาเวลาท่านพูดชมเรื่องสุนัขของท่าน เรื่องความเห็นของท่าน เราก็เอามาพูดเปรียบเทียบว่าคำชมก็คือคำชมไง ให้พวกประชาชน ให้พวกเราได้ฟังข้อมูลแตกต่างหลากหลาย ว่าสิ่งนั้นมันมีค่าหรือไม่มีค่า เราก็พูดเท่านั้นแหละ แล้วเราพูดไปแล้ว เราก็ได้รับคำชมเยอะนะ (หัวเราะ) คนชมเรามาก็เยอะนะ ว่าหลวงพ่อพูด อืม.. เป็นประโยชน์มาก เป็นประโยชน์มาก

ฉะนั้น ที่เขาว่า “ท่านพูดไปเพราะจิตท่านเป็นเช่นไร ท่านน่าจะรู้ตัวเองอยู่”

แหม.. รู้ตัวเองชัดเจน รู้มาก แล้วเป็นการแทนคุณหลวงตา เราเคยไปอยู่วัดป่าบ้านตาด เราเคยไปอยู่ ไปกิน ไปนอน แล้วหลวงตาก็ได้ปลุกปั้นมา สั่งสอนเรามา ฉะนั้น สิ่งใดจะเป็นประโยชน์เพื่อจะแทนคุณหลวงตาได้บ้าง เราเต็มใจทำ

สิ่งที่เราทำนี่เรารู้ ว่าเราทำไปแล้วจะมีคนพอใจและไม่พอใจ ถ้าเป็นคนอื่นนะ เขาก็พูดแต่สิ่งที่หอมหวาน เพื่อให้คนอื่นพอใจเท่านั้น มันก็เป็นการอยู่ในสังคมด้วยความสงบสุข แต่เราพูดนี่เราพูดด้วยการแทนคุณหลวงตา เราเคยอยู่กับท่าน ท่านเคยเลี้ยงเรามา ท่านเคยให้อาหารเรา ท่านเคยให้ช็อกโกแลต ให้น้ำส้ม ให้น้ำหวานเรากินมา เราถึงแทนคุณไง ฉะนั้น สิ่งที่เราพูดนี่เราพูดแทนคุณท่าน เพราะท่านทำสิ่งใดเพื่อเป็นประโยชน์ เราเข้าใจ

ฉะนั้น หัวใจเรา เราพูดเพื่อแทนคุณหลวงตา ใครจะคิดอย่างไร ใครจะมองอย่างไร นั่นมันเป็นแง่มุมของเขา แต่ในแง่มุมของเรา เพราะหลวงตาท่านพูดสิ่งใดออกไปนี่ เห็นไหม ท่านพูดเยอะแยะไปหมดแหละ เวลาท่านชมสิ่งใด ถ้ามันเป็นจากใจที่สะอาดบริสุทธิ์ ท่านจะพูดด้วยความยิ้มแย้มแจ่มใส เวลาท่านมาโพธารามนะ ท่านจะต้องจอดรถ แล้วให้พวกช่างกล้องเขาตั้งกล้อง แล้วท่านกับเราจะไปคุยกันส่วนตัว ทุกครั้งที่มาโพธาราม

ในเว็บไซต์เรา เห็นไหม ที่เทศน์ที่มาโพธาราม มันมีอยู่ประมาณซัก ๔๐-๕๐ ครั้ง ท่านมาที่โพธาราม ๔๐-๕๐ ครั้ง ท่านพูดกับเราเป็นเรื่องส่วนตัวระหว่างเรากับท่าน ก่อนที่ท่านจะขึ้นมาบนศาลานี่บ่อยมาก ฉะนั้น สิ่งต่างๆ นี่เวลาหลวงตาท่านมาที่โพธารามท่านจะบอกว่า

“ใครเอาเงินมาจ้างเท่าไหร่ ท่านก็ไม่ไปหรอก แต่ถ้าใจถึงใจ ธรรมถึงธรรม ไม่ต้องให้คนมาบอก ไม่ต้องให้คนมาเรียก ท่านไปของท่านเอง”

ฉะนั้น เวลาท่านมาที่โพธาราม เห็นไหม เราจะบอกว่าด้วยความสะอาดบริสุทธิ์ ท่านพูดด้วยความสบายใจ ท่านพูดด้วยความสุข ความเพลิดเพลิน ฉะนั้นการชม ท่านชมสุนัข ชมอะไรต่างๆ ท่านชมของท่านด้วยความสะอาดบริสุทธิ์ไง แต่เวลาท่านชมอะไรต่างๆ ท่านเคยพูดบ่อย บอกว่า “เราชมใครไม่ได้ เสียทุกคนเลย เราชมใครมานี่เสียหมดเลย เราชมใครนี่เสียทุกทีเลย” คำนี้ก็มี

นี่ไง เราถึงบอกว่า เวลาเขาบอกว่า “จิตใจท่านเป็นอย่างไร ท่านต้องรู้ตัวของท่านเอง”

คนพูดไง นี่ไงก็พูดแล้วนี่ จิตใจของเรา เรารู้ใจของเราอยู่ว่าเราพูดเพื่อสิ่งใด รู้ด้วย! รู้ด้วยว่าพูดออกไปแล้วคนจะไม่พอใจ รู้ด้วย! แต่ความพอใจและไม่พอใจ ถ้าเป็นสุภาพบุรุษ เราฟังได้ทุกๆ อย่างเลย คำเยินยอก็ฟังได้ คำที่เขาติฉินนินทาก็ฟังได้ ยิ่งเป็นพระอรหันต์ด้วยยิ่งยิ้มเลย

หลวงตาเวลาใครด่าท่านนะ ท่านบอกว่า “เขาว่าเรา ไม่ได้ว่าพวกลูกศิษย์นะ ลูกศิษย์อย่าเดือดร้อน ลูกศิษย์อย่าเดือดร้อน” ท่านยิ้มแย้มแจ่มใส ตอนท่านออกมาทำงานนี่ อู้ฮู.. คนโจมตีท่านมหาศาลเลย ท่านจะบอกเลยนะ “ใครอย่ายุ่ง ใครอย่ายุ่ง เขาว่าเรา เขาว่าเรา” เห็นไหม

ทำไมหลวงตา ครูบาอาจารย์เรา ท่านฟังสิ่งที่เขาติฉินนินทา เขากล่าวร้าย ทำไมท่านฟังได้ล่ะ ไอ้นี่มันจะเอาแต่การสรรเสริญเยินยอ แล้วเวลาพูดถึงอีกแง่มุมหนึ่ง ทำไมรับไม่ได้ล่ะ

ฉะนั้น จะบอกว่า “ท่านน่าจะรู้ว่าผลของกรรมจะตกแก่ท่านแน่ๆ”

ผลของกรรมจะตกแก่ผู้พูดแน่ๆ เลย แน่ๆ เลย! แล้วถ้าเกิดตกกรรมดีล่ะ? ถ้าทำคุณงามความดีเพื่อสังคมล่ะ? กรรมมันก็คือกรรมแน่นอน ดีหรือชั่วเท่านั้น กรรมดีให้ผลเป็นสิ่งที่ดี กรรมชั่วให้ผลเป็นสิ่งที่ชั่ว

ฉะนั้น กรรมตกกับเราแน่ๆ ในโลกนี้ไม่มีอะไรเป็นของฟรี ในพุทธศาสนาไม่มีอะไรเป็นของฟรี พระอรหันต์ไม่เกิดขึ้นเอง พระอรหันต์เกิดขึ้นจากการประพฤติปฏิบัติ พระอรหันต์เกิดขึ้นจากมรรคญาณ ไม่มีสิ่งใดถ่ายทอดให้ใคร ไม่มีใครเป็นตัวแทนใคร

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็เป็นพระอรหันต์ พระสารีบุตร พระโมคคัลลานะก็เป็นพระอรหันต์ หลวงปู่มั่นก็เป็นพระอรหันต์ หลวงตาก็เป็นพระอรหันต์ ความเป็นพระอรหันต์ หลวงปู่มั่นท่านศึกษาของท่านมา หลวงตาท่านพยายามค้นคว้าของท่านมา โดยหลวงปู่มั่นท่านเป็นพี่เลี้ยง พระอรหันต์จะเกิดขึ้นจากการกระทำ พระอรหันต์จะเกิดขึ้นจากกรรมดี กรรมที่การกระทำนั้น

ฉะนั้น “กรรมจะเกิดกับท่านแน่ๆ”

แน่นอน แน่ๆ อยู่แล้ว ผลกรรมจะเกิดกับเราแน่นอน! แน่นอน! แต่กรรมดีหรือกรรมชั่วล่ะ กรรมดีหรือกรรมชั่ว? ดีหรือชั่ว นั่นอีกเรื่องหนึ่ง เห็นไหม ฉะนั้นไม่ต้องห่วงหรอก พูดด้วยความจริงใจ เราพูดด้วยความจริงใจ เราแทนคุณหลวงตา

“ระยะทางพิสูจน์ม้า กาลเวลาพิสูจน์คน”

เราพูดเอาไว้ก่อน เอาเวลาพิสูจน์กัน เราอยากยกหลวงตาเราออกมา ให้หลวงตาเราเป็นที่เคารพบูชาของสังคมต่อไป เราพยายามจะทำให้หลวงตาเราเป็นหลักเป็นเกณฑ์ ฉะนั้นมันจะมีไปเรื่อยๆ ข้างหน้าจะมีอีกเยอะ

ถาม : การที่ท่านบอกว่า หลวงตาให้กำลังใจพระรูปนั้น ท่านเคยอ่านที่หลวงตาท่านเทศน์หรือไม่ ท่านพูดชัดเจนขนาดนั้น ท่านอย่าพูดบิดเบือนเลย

หลวงพ่อ : เราเคยบิดเบือนตรงไหน เราไม่ได้บิดเบือนอะไรเลยนะ หลวงตาจะชมใครเราก็สาธุ เพราะเราสาธุที่หลวงตาพูด เราเคารพหลวงตามากนะ หลวงตาท่านเป็นราชาแห่งสงฆ์ เวลาท่านพูดนะว่ากรรมฐานนี่ท่านก็เป็นหลัก ฉะนั้นสิ่งใดก็แล้วแต่ ทุกคนก็จะไปฟ้อง ไปร้อง เดี๋ยวจะพูดตรงที่ฟ้องร้องเรื่องเราด้วย.. นี่ไปฟ้องไปร้องกับท่านเยอะแยะไปหมดเลย

ฉะนั้นท่านเป็นราชาแห่งสงฆ์ ดูสิราชาแห่งแผ่นดิน เห็นไหม เขาว่าแผ่นดินนี่ เป็นราชาเปรียบเหมือนแผ่นดิน เขาจะทำคุณงามความดีก็บนแผ่นดินนี้ เขาจะขับเขาจะถ่ายก็บนแผ่นดินนี้ เขาจะทำอะไร มูตรคูถมันก็กองอยู่บนแผ่นดินนี้ ทุกอย่างมันก็กองอยู่บนแผ่นดินนี้ แผ่นดินนี้ต้องหนักแน่น ต้องหนักแน่นและมั่นคงถึงเป็นราชาแห่งแผ่นดิน แล้วพูดถึงราชาแห่งสงฆ์ นี่ทุกอย่างต้องอยู่ที่ท่าน ท่านทำเพื่อประโยชน์ทั้งนั้นแหละ

ฉะนั้น สิ่งที่ว่าไปพูดบิดเบือน นี่เราไปบิดเบือนตรงไหน เรายังไม่ได้บิดเบือนหลวงตาอะไรเลย หลวงตาพูดสิ่งใดไปก็คือหลวงตาพูด แต่หลวงตาพูดที่ตรงข้าม เห็นไหม “เราชมใครคนนั้นเสียทุกทีเลย” นี่ตรงข้ามมันมี หลวงตาท่านก็พูด คำว่า “เราพูดทีไร คนชมใคร คนนั้นเสียทุกทีเลย” นี่บิดเบือนหรือเปล่า (หัวเราะ)

ไม่เห็นบิดเบือนนะ เราก็ไม่ได้บิดเบือน แล้วท่านชมสิ่งใด.. เพราะสิ่งที่เราพูดนี่เราพูดเพื่อประโยชน์นะ คุณงามความดี เราจะไปทอนคุณงามความดีไม่ได้หรอก เราจะไปทอนนะ วัตถุที่เขาทำกันอยู่นะ เราจะบอกว่าผิดรูปร่าง มันเป็นไปไม่ได้หรอก วัตถุสิ่งใดมันมีรูปมีร่างของมัน ทุกคนก็มีหูมีตาดูทั้งนั้นแหละ เราไปบอกว่าผิดรูปผิดร่าง เราก็เสียคนน่ะสิ เราไปวัตถุนั้นผิดรูปผิดร่าง เราเป็นคนไหม เราก็เป็นคนที่ตาบอดสีไง เป็นคนที่ตาไม่ถึงไง

เราจะไปบิดเบือนอะไร เราไม่เคยบิดเบือนอะไรเลย เพียงแต่เราพูดให้ข้อมูลแตกต่าง ให้ข้อมูลหลากหลาย เพื่อให้เรามีสติยับยั้งกัน ให้พวกเรามีสติปัญญาได้พิสูจน์กันว่า “จริงหรือไม่จริง? เป็นไปหรือไม่เป็นไป?” ถ้าเป็นไปเราก็สาธุ ไม่มีใครไปทอนใครได้ ไม่มีใครไปทำอะไรใครได้หรอก

เงินในกระเป๋าของบุคคลนะ ทุกคนจะไปทอน จะไปนับให้มันน้อยกว่าจำนวนไม่ได้หรอก เงินของใครอยู่ในกระเป๋าของใคร มันก็เงินของจำนวนนั้นแหละ มันจะมีสิ่งใดอยู่ เงินจำนวนนั้นก็อยู่ครบจำนวนนั้นแหละ มันจะด้อยค่าไปไหนล่ะ เว้นไว้แต่เงินเฟ้อ ถ้าเงินเฟ้อมันจะด้อยค่า แต่เงินก็คือเงิน ไม่มีบิดเบือนหรอก บิดเบือนไม่ต้องห่วง เราไม่ได้บิดเบือน เพียงแต่ว่าเราพูดอีกมุมหนึ่ง เราพูดให้มันครบไง

ดูสิเวลาเขาทำการค้า เขาต้องทำวิจัยตลาด เขาต้องหาข้อมูลของเขา ไอ้นี่ก็เหมือนกัน ศาสนาละเอียดลึกซึ้งกว่านั้น เราพูดข้อมูลแตกต่าง เพื่อประโยชน์กับสังคม เราไม่ได้บิดเบือน ไม่เคยบิดเบือนเลย พูดตรงที่หลวงตาพูดหมดเลย

ไอ้ที่เขาแกะมาให้อ่านนี่ว่าหลวงตาพูดชัดๆ ของเราก็พูดชัดๆ เพียงแต่ว่าไม่รับฟังไง ไปฟังอย่างอื่น แล้วพอเวลาเอาขึ้นมาเปรียบเทียบแล้วมันผิดตรงไหนล่ะ เสียงหลวงตาก็คือเสียงหลวงตาด้วยกัน หลวงตาชมก็หลวงตาชม หลวงตาพูดถึงสุนัข ก็หลวงตาพูดถึงสุนัขเหมือนกัน ไม่เห็นแตกต่างกันตรงไหนเลย แต่เขาบอกว่ามันแตกต่างมาก

ถาม : “ถ้าคิดว่าท่านให้กำลังใจ ท่านกำลังกล่าวตู่หลวงตาอยู่นะ”

หลวงพ่อ : เขาว่าเรากล่าวตู่หลวงตานะ ด้วยความเคารพรัก ถ้าไม่มีหลวงตา ไม่มีหลวงปู่เจี๊ยะ จะไม่ได้เห็นเราออกไปข้างนอกหรอก สิ่งที่เขาบอกว่า “เราไปไหนก็ไม่กล้าๆ” นี่เพราะว่าถ้ากล่าวตู่นะ เราไม่เคยกล่าวตู่เลย หลวงตาพูดอย่างไร เราจะเชื่ออย่างนั้น เชื่ออย่างนั้นนะ คำว่าเชื่ออย่างนั้น แล้วเวลาหลวงตาชมทำไมไม่เชื่อล่ะ?

คำว่าไม่เชื่อนี่มันมีเหตุมีผลของเรา เหตุผล เห็นไหม สิ่งๆ นั้นมันต้องมีคุณค่าในตัวของมันเอง ถ้ามีคุณค่าในตัวของมันเอง ดูสิ ดาวฤกษ์กับดาวเคราะห์ แล้วก็ดาวเทียม แล้วก็อุกกาบาต มันแตกต่างกันไหมล่ะ มันก็มีเหตุผลเยอะนะ ดาวฤกษ์มันก็มีกำลังในตัวของมันเอง ดาวเคราะห์ก็อาศัยดาวฤกษ์ ดาวเทียมมนุษย์สร้างขึ้น อุกกาบาตรมันเป็นสิ่งเศษเหลือจากอวกาศ

ฉะนั้น สิ่งที่ว่าหลวงตาพูดสิ่งใด เราเชื่อที่หลวงตาพูด แต่หลวงตาพูดสิ่งใด แล้วเอาเหตุผลที่ตามนั้นเราไม่เชื่อ เราไม่เชื่อตรงนั้น ฉะนั้นว่ากล่าวตู่ เราไม่เคยกล่าวตู่ กาลามสูตร พระพุทธเจ้าพูดอยู่นะ ไม่ให้เชื่อ แม้แต่ว่าเคารพบูชาขนาดไหนก็ไม่ให้เชื่อ ฉะนั้นสิ่งที่เชื่อนี่คือเชื่อด้วยประสบการณ์ เชื่อด้วยความเห็น เชื่อด้วยข้อเท็จจริง

นี่พยายามพูดให้เป็นเรื่องธรรมะ แต่ถ้าจะลงรายละเอียดนะ ถ้าเราลงรายละเอียดไปนะ โอ้โฮ.. เยอะมากนะ เราพยายามจะไม่ลงรายละเอียดนะตอนนี้ เราพยายามจะไม่ลงรายละเอียด

ฉะนั้น เขาบอกว่า “เท่ากับเรากล่าวตู่หลวงตาด้วย”

นี่พูดผิดนะ หลวงตาพูด เราก็พูดคำที่หลวงตาพูด ไม่มีการกล่าวตู่ใดๆ ทั้งสิ้น

อันนี้เขาก็บอก “ที่พูดมานี่ชัดเจน”

นี่ก็ออกจะชัดเจนแน่อยู่แล้ว มีเสียงท่านยืนยัน มีเสียงท่านยืนยัน

ถาม : ผมทนไม่ได้ที่ท่านมากล่าวว่าอาจารย์ของผู้อื่น

หลวงพ่อ : นี่เวลาพูดถึงว่าเสียงมันชัดเจน ก็เสียงมันชัดเจน แล้วเสียงที่หลวงตาพูด ที่ท่านพูดถึงไอ้อ้วน ไอ้กระสอบนี่มันไม่ชัดเจนหรือ มันก็ชัดเจน ชัดเจนเหมือนกัน

ทีนี้เราจะพูดถึงที่ว่า คำพูดหรือน้ำหนัก ที่ว่ามันกล่าวถึงเหตุผล ถ้าเหตุผลในคำพูด นั่นก็อีกเรื่องหนึ่ง แต่เขาบอกว่า นี่พูดชัดเจน เวลาพูดถึงท่านชมสุนัขก็ชัดเจน เพียงแต่ว่าจิตใจของคนมันจะเอามาเป็นคติหรือเปล่า เป็นคติธรรมหรือเปล่า

เราอยู่กับหลวงตา ท่านพูดอย่างนี้นะ บอกว่า “ไม่ใช่นะโม ตัสสะฯ ถึงจะเป็นการเทศน์นะ แม้แต่สบตาก็เทศน์กัณฑ์หนึ่งแล้วนะ” เวลาอยู่กับท่าน ท่านมองตานี่ ถ้าใครสบตาหลวงตานะ อู้ฮู.. คนนั้นช็อกตายเลย ตอนอยู่กับหลวงตานะ ท่านสบตาใครนะ คนนั้นช็อกตายเลย อู้ฮู.. ตานี่ แล้วท่านพูดนะ บอกว่า

“ไม่ใช่นะโม ตัสสะฯ นะถึงว่าจะเป็นการเทศน์ แม้แต่สบตานี่ก็เทศน์กัณฑ์หนึ่งนะ”

เพราะเวลาสบตานั่นล่ะ มันรู้แล้วว่าคนๆ นั้นผิดอะไร เวลาสบตานี่ อันนี้ท่านเทศน์บ่อย บนศาลาท่านพูดอย่างนี้บ่อย ฉะนั้นพอพวกเราสบตาท่านปั๊บนะ ท่านมองปั๊บนี่รีบก้มเลยนะ “ผิดอะไร ผิดอะไร”

อู๋ย.. หลวงตาสบตานะ เอ็งมีความผิดแล้ว เอ็งนี่มีความผิดแล้ว แล้วเอ็งไม่รู้ว่าเอ็งผิดอะไร เอ็งต้องหาให้เจอ ถ้าเอ็งหาเจอแล้วเอ็งจะแก้ได้ แล้วถ้าเอ็งเจอนะ เอ็งจะไม่โดนเทศน์อีกต่อหนึ่ง ถ้าเอ็งหาไม่เจอนะ สบตาเสร็จแล้วเอ็งยังดื้อนะ เดี๋ยวฟ้าผ่า เดี๋ยวศาลาถล่มเลยละกัน พอสบตาปั๊บนี่ผิดแล้ว

ฉะนั้น เห็นไหม ขณะที่อยู่กับท่าน ท่านบอกว่า “แม้แต่สบตาก็เทศน์กัณฑ์หนึ่งแล้วนะ” แล้วนี่คำพูดท่านพูดออกมา เรื่องชมสุนัข เรื่องต่างๆ นี่มันพูดออกมาแล้ว ไม่ใช่สบตา.. เวลาสบตานะ เราดูทีวีอยู่ เวลาท่านเจ็บป่วย เวลาสุนัขมาที่คลองชลประทาน ท่านนั่งมองนะ แล้วท่านก็ยิ้ม นั่งมองของท่าน

นี่เราเห็นตรงนี้เราถึงบอกว่า โอ้โฮ.. ท่านมีความสุข เพราะว่ามันเป็นความสะอาดบริสุทธิ์ มันไม่มีอะไรแอบแฝง ฉะนั้นพอเวลาท่านมาอยู่กับคน ท่านถึงต้องระวังตัว ไอ้ตรงนี้เราไม่ได้กล่าวตู่ แล้วเราเคารพตรงนี้ ฉะนั้นเรามองของท่าน

ถาม : “ผมทนไม่ได้ ที่ท่านมากล่าวว่าครูบาอาจารย์ของผู้อื่น”

หลวงพ่อ : เราขอโทษ ถ้ามันกระเทือนใครนะ เราก็ว่าเราขอโทษเลยแหละ แต่เราไม่ได้กล่าวตู่ เรานี่ มันมีมาถามอย่างนี้ทุกทีเลย เราก็บอกแล้วใช่ไหม บอกว่าถ้าจะให้หยุด ข้างหน้าต่อไปเขาบอกว่าให้หยุดเถิด ถ้าจะให้หยุดก็อย่าเขียนมาสิ เขียนมานี่แล้วบอกว่าไม่ให้พูดๆ แล้วก็เขียนมาอย่างนี้ แล้วบอกไม่ให้พูด

แล้วบอกนี่ไปกล่าวตู่ครูบาอาจารย์ผู้อื่น เราไม่ได้กล่าวตู่ครูบาอาจารย์ใคร แต่เขาเขียนถามมาว่ามันมีเหตุผลอย่างใด มันมีลับลมคมในอะไร เขาให้เราพูด แล้วด้วยความเห็นเราว่ามันจะเป็นประโยชน์บ้าง เราถึงพูด ถ้าจะให้เราพูดด้วยความรู้สึก ความเห็นของเรา อย่างที่เราพูดอยู่นี่ เราพูดอยู่บ่อยนะว่ายังไม่ลงรายละเอียด ยังไม่ลงรายละเอียด รายละเอียดเราอีกเยอะมากนะ เป็นเหตุเป็นผลด้วย แล้วมีหลักฐาน มีเป็นเอกสารหมด ถ้าจะพูดกัน! ถ้าจะพูดกัน!

เราไม่พูดนะ ไม่พูดเพราะอะไร เพราะว่าไม่ตู่อาจารย์นี่แหละ เพราะเราห่วงว่าหลวงตาท่านบอกว่า “ครอบครัวกรรมฐาน ครอบครัวกรรมฐาน” เราพยายามจะพูดไม่ให้กระเทือนครอบครัวกรรมฐานนะ ที่พยายามอยู่นี้ คือพยายามไม่ให้กระเทือนครอบครัวกรรมฐาน นี่ที่เราพูดนี้ เราพูดเป็นข้อมูลแตกต่างเท่านั้น เราไม่ลงรายละเอียด เราไม่ให้มันกระเทือนครอบครัวกรรมฐาน

ถาม : เพราะท่านคงทราบในจิตของท่านว่า การให้ร้ายผู้อื่น จิตของท่านเองเป็นเช่นไร

หลวงพ่อ : การให้ร้ายนี่ มันต้องไม่มีเหตุไม่มีผล การให้ร้าย มันต้องให้ร้ายกล่าวโทษให้ร้าย แบบว่าเขาไม่ได้ทำผิด เขาไม่ได้ทำอะไรเลย แล้วให้ร้ายเขา นี่คือการให้ร้าย การอิจฉาตาร้อน การทำลายคนอื่น มันเป็นเรื่องของกิเลสตัณหาความทะยานอยาก พวกเราก็มากำจัดกันทั้งนั้นแหละ

แต่นี้ อย่างที่เราว่านี่เราแทนคุณท่าน แทนคุณท่านนะ เราพยายามแทนบุญคุณของท่าน การแทนบุญคุณของท่านต้องเสียสละพอสมควร แล้วเสียสละแล้วมันก็ต้องกระเทือน ต้องรักษาพวกเราไว้ รักษาคนที่แบบว่า เห็นไหม จะดี จะชั่วนี่ เขาก็ดี ก็ชั่วในตัวเขาเอง แต่เขาไม่ทำให้สังคมสะเทือน แต่นี้มันออกมาทำให้สังคมสะเทือน

นี่สังคมสะเทือนนะ จะดี จะชั่วเฉพาะเรื่องของบุคคล สาธุของใครของของมัน แต่เวลาอย่างนี้ เวลาออกมา เห็นไหม ฉะนั้นบอกว่าเราไปให้ร้าย.. ถ้าเราไปให้ร้ายนะ เราเอาหน้าม้าเขียนชงมาให้เราจัดการ นี่เยอะแยะไปหมดเลย ทำได้ทั้งนั้นแหละ เราไม่ทำ ไม่เคยทำเลย ฉะนั้นเวลามีคำถามเข้ามา เราก็ดูแล้วดูอีกนะว่านี้เป็นการล่อลวงหรือเปล่า เป็นการพยายามจะดึงเราให้ไปโจมตีคนอื่นหรือเปล่า เราดูแล้วดูอีกนะ เราพยายามว่าไม่ให้ใครใช้ประโยชน์จากปากของเรา

ฉะนั้นเวลาคนเขาไม่ชอบใจกัน เขาก็จะมาใช้ประโยชน์จากปากนี้ ให้ไปทำลายคนนู้นคนนี้ เราระวังตรงนี้อยู่มาก เราจะไม่ให้ปากเรานี่ไปเป็นประโยชน์กับคนอื่น.. แต่ปากนี้แทนคุณหลวงตา ปากนี้ทำเพื่อครูบาอาจารย์ของเรา

ถาม : ป.ล. ท่านไม่ได้ให้ร้ายเฉพาะอาจารย์คนอื่น แต่ท่านกล่าวตู่หลวงตาด้วย

หลวงพ่อ : ไม่ได้กล่าวตู่ ในการกล่าวตู่ เห็นไหม อย่างเช่นตู่ธรรม ตู่วินัย มันแบบว่าวินัยมันเป็นอย่างนี้ แล้วเราบิดเบือน แล้วเราตู่ให้เป็นตามความเป็นจริงของเรา แต่คำพูดของเรา นี่คำพูดของเรามีคำไหนบ้างที่เราพูดขึ้นมาเองโดยที่มันไม่มีเสียงหลวงตา คำพูดคำไหนบ้างที่เราพูดขึ้นมาเอง มันก็เป็นคำพูดจากหลวงตาทั้งนั้นแหละ เพียงแต่ว่าทุกคนพยายามไม่ฟังมัน แต่จะฟังแต่สิ่งที่พอใจ

อันนี้พูดถึงข้อ ๔๓๗. อันนี้สิ ข้อ ๔๓๘.

ถาม : ๔๓๘. เรื่อง “สืบเนื่องจากกระทู้ที่ส่งไปเมื่อวาน”

ผมได้ส่งกระทู้ไปแล้วครับ รู้สึกเงียบหายไป ไม่ทราบคณะกรรมการเห็นเป็นอย่างใด จุดประสงค์ที่ส่ง ก็เพื่อต้องการให้พระอาจารย์สงบเลิกพูดกล่าวตู่ครูบาอาจารย์ผู้อื่นเท่านั้นครับ เพราะเรื่องที่ท่านพูด เรื่อง “หมาของหลวงตา” นี่ทำให้เกิดความบาดหมางเป็นอันมาก แม้พระที่ท่านกล่าวถึงจะไม่เคยแก้ต่างหรือตอบโต้ท่านเลย เพราะมีคำเทศน์รับรองท่านชัดเจนมากๆ อยู่แล้ว ถ้าได้อ่านในหนังสือท่านอาจารย์สงบกล่าวว่า และการที่ได้ท่านกล่าวตู่เช่นนี้ คงจะหลีกไม่พ้น ที่จะให้ปุถุชนที่เป็นลูกศิษย์ของคนที่กล่าวถึง ไม่ชอบไม่ได้

ผมคิดว่าน่าจะเกิดผลเสียกับท่าน ทางตรงและทางอ้อม จุดประสงค์ที่เขียนมามีเจตนาจะไม่ให้มีการแตกร้าวมากขึ้น และอยากให้เลิกแล้วต่อกันดีกว่า

๑. ท่านคงทราบว่า การดูหมิ่นและลดคุณพระอรหันต์ มีโทษเพียงใด ห้ามมรรคผล เพราะท่านพูดเช่นนี้ก็คือว่าหลวงตากล่าวเทศน์เท็จ เห็นไหม สองเด้ง ผมแนะนำให้ลูกศิษย์ท่านลองแกะเทปที่หลวงตารับรองไว้ จะได้รู้ว่าพูดแบบนี้มันจะให้กำลังใจได้เช่นไร

๒. คนที่เขาทราบข้อมูลจริงนี้มีแต่จะเกลียดท่านอาจารย์มากขึ้น ท่านไปไหน จะไม่กลัวศัตรูหรือครับ ไปไหนมาไหนต้องระวังตัว แม้แต่ถามชื่อก็ไม่กล้าบอก เหมือนที่บางที่ที่ไปแล้ว มีคนถามก็ไม่กล้าตอบ (หัวเราะ)

๓. จิตใจท่านเองเวลาพูดสงบไหมครับ พระโสดาบันละสักกายทิฏฐิได้นะครับ การที่กล่าวตู่ผู้อื่นแบบนี้ ไม่มีหลักฐานชัดเจนมากๆ โดยท่านเองบิดเบือนกับลูกศิษย์

ป.ล. ผมไม่ทราบว่า ท่านเทศน์แบบนี้ต้องการอะไร อย่างน้อยพระที่ท่านว่า ไม่เคยกล่าวถึงท่านในแง่เสียๆ หายๆ เลย แม้ท่านจะโจมตีท่านตั้งแต่สมัยหลวงตายังอยู่ก็ตาม และเรื่องที่หลวงตาญาณเสื่อม ไม่ได้ออกจากปากพระท่านนั้นนะครับ มาจากพระอีกรูปหนึ่ง แล้วไปฟ้องหลวงตานะครับ (หัวเราะ)

หลวงพ่อ : “สืบเนื่องจากเมื่อวานนี้ ผมส่งกระทู้ไปแล้ว ทำไมเงียบหายไป”

เขียนมาเถอะ เว้นไว้แต่คนเขียนมา แล้วคิดได้มายกเลิกคำถามนี่เราก็ไม่ตอบ บางคนเขียนมานะ แล้วก็เขียนตามมาว่าขอยกเลิก ก็แล้วกันไป นี่ถ้าขอยกเลิกเราก็ไม่ตอบ แต่นี้ไม่ได้ยกเลิก จะตอบ ฉะนั้นสิ่งที่ว่าเขียนมาแล้วทำไมท่านตอบล่ะ เขียนมาเถอะ มันจะเรียงตามหมายเลข

ธรรมะนี่มีคนเขียนมาหลายคน แล้วบ่นบอกว่า “หลวงพ่อผมรอนานไม่ไหว เขียนไปแล้วนานมาก” บางทีเกือบเดือนนะ บางทีเดือนกว่า เพราะทุกสัปดาห์เขาจะเอามาให้ ทุกวันศุกร์เขาจะเอามาให้ แล้วคำถามนี้มันจะมาทับซ้อนกัน ตอนนี้จะต่อคิวอย่างไรไปอีกเยอะเลย อีกประมาณซัก ๒๐-๓๐ คำถาม ต่อจากนี้ไป

ฉะนั้น เวลาที่เขาเขียนมา คำถามเก่ามันมีอยู่ แล้วเราตอบมาเรื่อยๆ ไม่ต้องห่วงหรอก ตอบแน่นอน เพียงแต่ว่าช้าหรือเร็ว มันจะไม่เหมือนกับเว็บไซต์ที่เขาถามตอบอยู่ทั่วไป ของเรานี่เราไม่ให้เป็นอย่างนั้น คือให้ถามเข้ามา แล้วถ้าอย่างไรเราจะตอบไป คือไม่ให้มันทะเลาะเบาะแว้งกันไง คือว่าพูดคนละที แต่รับประกันได้ว่าไม่มีตุกติก ไม่มีตุกติก เพราะธรรมคือธรรม ธรรมไม่มีตุกติกหรอก

ฉะนั้นว่า “คณะกรรมการเห็นเป็นอย่างไร ให้ท่านอ่านหรือยัง” นี่มาแล้ว!

ถาม : จุดประสงค์ที่ส่งมา เพื่อต้องการให้ท่านอาจารย์สงบเลิกพูดกล่าวตู่ครูบาอาจารย์ผู้อื่นเท่านั้น เพราะเรื่องทีท่านพูด เรื่อง “หมาของหลวงตา” ที่ทำให้เกิดความบาดหมางเป็นอันมาก

หลวงพ่อ : พูดเรื่อง “หมาของหลวงตา” นี่เขาถามมา ถามมาตั้งก่อนหน้านั้นหลายปัญญา แล้วสุดท้ายเราก็ตอบไป แล้วเขาก็ย้ำมาอีก ย้ำมาอีก พอย้ำมาเขาบอกว่าอยากให้ข้อมูลชัดเจนๆ เราก็ยังไม่ได้พูดถึงข้อมูลส่วนตัวเรื่องพระองค์นั้นเลยนะ เราพูดแต่เรื่องสิ่งที่ว่า หลวงตาพูดอย่างหนึ่ง แล้วเขาก็ใช้ข้อมูลอันหนึ่ง เราก็บอกว่าหลวงตาพูดก็อีกอันหนึ่ง เพื่อเอาข้อมูลกับข้อมูลนี้มาบาลานซ์กันเท่านั้นเอง เรายังไม่ได้พูดอะไรเกินเลยไปกว่านั้นเลย

ฉะนั้น ที่ว่าพูดเรื่อง “หมาของหลวงตา” มันบาดหมางกันไปมากนัก มีคนมาปรึกษาเราเยอะนะ เขาเป็นห่วงศาสนา นี่เขามาปรึกษาเรา แล้วพอเขาเจอเราพูดเรื่อง “หมาของหลวงตา” ไปนี่เขาชมมา เขาบอก “อืม.. มันเป็นการช่วยกันจรรโลงศาสนา” มีคนชมมาก็เยอะนะ

คำว่าบาดหมางนี่มันเพียงแต่ว่า เวลามันโดนกระแสสังคมไง โลกธรรม ๘ ไง สรรเสริญนินทานี่เป่าฟู่ ฟู่เข้าไป พยายามจะสร้างกระแส ฟู่ ฟู่ มันก็ทำให้คนมีความลังเล แต่ถ้าเอาเหตุเอาผลแล้วมันอยู่ที่คน คนถ้ามีหลักมีเกณฑ์เขาฟังเหตุผลเนาะ เหตุผลอย่างนี้ควรเชื่อได้ไหม เหตุผลอย่างนี้ควรเชื่อได้ไหม

อย่างที่พูดนี่ ถ้าเราพูดเหตุผลที่บิดเบือน เราเองนี่แหลก เขากลับมาหาเรา “หลวงพ่อนี่ผิด หลวงพ่อนี่ผิด” เราชอบนะใครกลับมาหาเราว่าหลวงพ่อผิด มันผิดเรื่องอะไร ถ้าใครกลับมาหาบอกว่าหลวงพ่อผิด ต้องคุยกันด้วยเหตุผลแล้ว ผิดอะไร? ผิดอย่างไร? แต่พอเราพูดด้วยเหตุผล เออ.. ผมเข้าใจผิด โอ้โฮ.. ผมคิดไม่ถึง เยอะ! เพราะว่าวุฒิภาวะของคนมันแตกต่าง เยอะมากเลยวุฒิภาวะของคน ทีนี้เพียงแต่ว่าเราพูดเป็นหลักไว้

ฉะนั้นพูดเรื่อง “หมาของหลวงตา” นี่เราพูดด้วยข้อมูลที่ให้คนได้ชั่งน้ำหนักเท่านั้นเอง อย่าให้ไปข้างใดข้างหนึ่ง นี่พูดถึงความเห็นของเรานะ

ถาม : แม้พระที่ท่านกล่าวถึงจะไม่เคยกล่าวแก้ตอบโต้ท่านเลย เพราะมีคำเทศน์รับรองที่ชัดเจนมากอยู่แล้ว

หลวงพ่อ : อันนี้พูดถึงที่เขาไม่ตอบโต้ ตอบโต้หรือไม่ตอบโต้นี่นะมันสำคัญตั้งแต่ตอนที่ออกมาโครงการช่วยชาติ แล้วออกมาเรื่องพรบ.สงฆ์ นั่นล่ะ อันนั้นมันชัดเจนมาก มันชัดเจนของมันอยู่แล้ว ทีนี้การกล่าวตอบโต้หรือไม่กล่าวตอบโต้ คนอยู่ในเหตุการณ์จะรู้ว่าอะไรเป็นจริง และอะไรไม่เป็นจริง ถ้าสิ่งที่เป็นจริงมันก็เป็นจริง ถ้าสิ่งที่มันเป็นไม่จริง มันก็เป็นไม่จริง

ฉะนั้นที่ว่าตอบโต้หรือไม่ตอบโต้มันอยู่ที่ตรงนี้ไง คือว่ามันจนด้วยเหตุผล จนด้วยหลักฐาน จนด้วยทุกๆ อย่าง มันเป็นไปไม่ได้หรอก มันเป็นไปไม่ได้ ฉะนั้นที่พูดออกมา ก็แก้เกี้ยวกันไปเท่านั้นแหละ เหตุผลแก้เกี้ยว กับเหตุผลของจริงนี่มันแก้ไม่ได้นะ เหตุผลจริงๆ นี่แก้ไม่ขึ้นนะ แก้ไม่ตก เห็นไหม หลวงตาท่านบอก

“เหตุและผลนี้เป็นธรรม”

แก้ไม่ตกหรอก อริยสัจนี่แก้ไม่ตกหรอก มันต้องเป็นอย่างนั้น ถึงเวลาแล้วถ้ามันผิดต้องเป็นอย่างนั้น แต่ถ้าอริยสัจแก้เกี้ยว เหตุผลแก้เกี้ยว นี่มันแก้ตก มันพูดแก้เกี้ยว ฟ้องแก้เกี้ยว เวลาโดนฟ้องศาลก็ฟ้องแก้เกี้ยวไปอย่างนั้นแหละ แล้วก็จะไปออมชอมกัน

ถาม : ถ้าได้อ่านหนังสือท่านอาจารย์สงบกล่าวว่า และการที่ท่านกล่าวตู่เช่นนี้ คงจะหลีกไม่พ้น ที่จะให้ปุถุชนที่เป็นลูกศิษย์ของคนที่ท่านกล่าวถึง ไม่ชอบไม่ได้

หลวงพ่อ : อันนี้มันก็อยู่ที่วุฒิภาวะ อยู่ที่วุฒิภาวะของคน อยู่ที่อำนาจวาสนาของคน เห็นไหม สายบุญสายกรรมของคน องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังโดนทั้งนั้นเลย

ถ้าคิดจะทำคุณงามความดี องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี่เวลาเผยแผ่ธรรมไป เห็นไหม เทวทัตจ้างคนมายิง นางมาคันทิยาจ้างคนมาด่า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าโดนมามหาศาล ว่าแหม.. บวชเป็นพระมาแล้วนะ ไปไหนก็มีแต่คนกราบเคารพนบนอบ ไม่มีคนติฉินเลย ฮู้.. ไม่รู้จะหาที่ไหน หาไม่มีในโลกนี้แน่ๆ เลย

ฉะนั้นชอบหรือไม่ชอบ สาธุ แล้วแต่วุฒิภาวะ แล้วแต่บาปบุญของคน หลวงตาท่านพูดอย่างนี้ ท่านบอกว่า “เวลาคนที่มีปัญญาพูดนะ แม้แต่คำเดียวเราก็ต้องฟัง” คนโง่นี่นะมันทั่วโลก ติฉินนินทาขนาดไหนนะ ไม่มีประโยชน์หรอก นี่คนโง่ คนฉลาด.. คนฉลาดเขาพูดด้วยเหตุด้วยผล แต่คนโง่นี่มันฟังกระแสไง ไม่ต้องมีหรอก เห็นไหม ดูสิตอนนี้พายุกำลังเกิด เฮอริเคน อู้ฮู.. มันปั่นทั่วไปหมดเลย

ฉะนั้นอยู่ที่วุฒิภาวะ ใครชอบหรือไม่ชอบ มันไม่มีใครจะไปบงการชีวิต บงการความรู้สึกนึกคิดของคนได้หรอก มันเป็นเรื่องกรรมของสัตว์ นี่มันกรรมของสัตว์ มันก็เท่านั้นแหละ

ถาม : ผมคิดว่า จะเกิดผลเสียแก่ทั้งทางตรงและทางอ้อม จุดประสงค์ที่เขียนมา ก็มีเจตนาจะไม่ให้แตกร้าวมาขึ้น อยากให้เลิกแล้วต่อกัน

หลวงพ่อ : เราไม่ได้ไปยุ่งกับใครเลย อย่างที่ว่านี่ ถ้าไม่มีหลวงตา ไม่มีหลวงปู่เจี๊ยะนะ เราไม่เคยไปวัดใครเลย สิ่งที่ออกไปนี่มันด้วยใจถึงใจ เพราะหลวงตา เวลาเราไปเราก็ไปบ้านตาดกับไปวัดปทุมฯ เท่านั้นแหละ ตอนนี้วัดปทุมฯ ก็คิด บอกเขาไปแล้วบอกว่าคงจะต้องเพลาๆ ลงแล้วล่ะ เพราะเราชักจะไม่ไป ว่าอย่างนั้นเลย

ฉะนั้น เวลาเราไปวัดไหน หลวงตาท่านไปโครงการช่วยชาติ ท่านไปไหน เราก็ไปช่วย ไปดูไปแล มันด้วยความที่เราผูกพันกับหลวงตาเท่านั้นแหละ ฉะนั้นที่ว่ามันเป็นทางตรงและทางอ้อมมันมีแต่ผลเสีย มันไม่ใช่หรอก มันเรื่องของเขา ถ้าทางตรง ความแตกร้าวในนั้น เราไม่ได้พูดถึงใครเลย

ให้เลิกแล้วต่อกันนี่ ประสาเรา เราไม่ฟัง รับไม่ได้ เพราะเราไม่ได้พูดกับใคร เราไม่ได้ไปโต้แย้งใคร เราไม่ได้ไปยุ่งกับใคร เราจะไปเลิกกับใคร โทษนะ เป็นพระไม่มีภรรยา บอกให้หย่ากับภรรยา เออ.. บ้าหรือ ก็กูไม่มี กูจะไปหย่ากับใครล่ะ

นี่ก็เหมือนกัน เราไม่มีคู่โต้แย้ง เราไม่มีความกระทบกับใคร เราไม่รับรู้ เราไม่รู้ว่าเรามีปัญหาอะไรกับใครนะ เราพูดถึงเพราะมันมีคนเขาถามมา เออ.. กูไม่ได้แต่งงาน กูจะไปหย่ากับใคร เออ.. กูไม่หย่าหรอก ก็กูไม่มีตั้งแต่ต้น เราไม่มีภรรยามาตั้งแต่ต้น เราจะไปหย่ากับใครล่ะ เออ.. แปลกอยู่ เลิกแล้วต่อกัน จะไปเลิกแล้วกับใคร ก็กูไม่มีมาตั้งแต่ไหนแต่ไร จะไปเลิกกับใครวะ ไม่มี! ไม่เกี่ยว!

ถาม : ข้อ ๑. ท่านคงทราบว่า การดูหมิ่นและลดคุณพระอรหันต์ มีโทษเพียงใด ห้ามมรรคผล เพราะท่านพูดเช่นนี้ก็คือว่าหลวงตากล่าวเทศน์เท็จ

หลวงพ่อ : เราบอกแล้วว่าหลวงตาไม่เกี่ยว หลวงตาเรายกไว้ ฉะนั้นว่าการดูหมิ่น ลดคุณพระอรหันต์นี่ ใครไปดูหมิ่นได้ พระอรหันต์ก็คือเป็นพระอรหันต์ ใครดูหมิ่นพระอรหันต์ไม่ได้หรอก ถ้าใครดูหมิ่นพระอรหันต์ก็เป็นเรื่องของคนนั้นเอง เราไม่ได้ไปลดคุณพระอรหันต์ที่ไหน ถ้าเป็นพระอรหันต์ก็คือพระอรหันต์ แต่นี่เราไม่เชื่อของเราเอง ด้วยเหตุผลที่ว่าลงรายละเอียดนี่เราไม่เชื่อหรอก ยังมีอีกเยอะ

แต่ที่ว่าหลวงตาเทศน์เท็จ ก็เราไม่ได้พูดที่ไหนล่ะ เราเคยค้านหลวงตาซักคำไหม เราไม่ได้ค้านอะไรหลวงตาซักคำเลย หลวงตาท่านพูดอย่างนั้น มันก็มีเหตุมีผลของหลวงตา มันก็เป็นเหตุผลของท่าน แล้วสิ่งที่ท่านพูดเราเชื่อไหมล่ะ กาลามสูตร ท่านไม่ให้เชื่ออยู่แล้ว เราเชื่อหลวงตาเรา แต่เรามีกาลามสูตรด้วย

ฉะนั้นคำว่า ๒ เด้ง ๓ เด้งอะไรที่เขาว่านี่.. ก่อนหน้านั้น เห็นไหม เขาบอกว่าใครไม่เชื่อจะตกนรก เราบอกว่าไม่จริงหรอก มันตกนรกหรือไม่ตกนรก มันอยู่ที่คุณงามความดีไง เราจะตกนรกหรือ เราทำแต่ความดีมันจะตกไปไหนนรกนี่ ถ้าเราทำความดีตลอด มันจะตกนรกไปที่ไหนล่ะ แต่เราบอกว่าเราจะไม่ตกนรกเลย เราทำแต่ความชั่วๆ มันจะไปสวรรค์ไหน มันก็ตกนรกแน่นอน

มันอยู่ที่การกระทำ มันอยู่ที่ผู้นั้นทำ แล้วยิ่งอย่างนี้ว่าถ้าหลวงตากล่าวเท็จ เราพูดอย่างนั้นหรือ เราไม่ได้พูดว่าหลวงตากล่าวเทศน์ แต่เราไปเอาคำที่หลวงตากล่าวถึงคนอื่นมาเปรียบเทียบ

หลวงตาพูดถึงสิ่งอื่น คำอื่น มาเปรียบเทียบกัน เราไม่ได้บอกว่าหลวงตากล่าวเท็จ เราไม่ได้พูดถึงตรงนี้เลยด้วย เราไม่ได้พูดตรงหลวงตาที่ชมนี่เลย แต่ไอ้ที่หลวงตาชมนี่เขาพยายามกระจายไป พยายามจะทำไปให้คนเชื่อถือศรัทธา แต่เราก็ไปเอาสิ่งที่หลวงตาพูดอีกฟากหนึ่งมาเทียบเคียงกัน เพื่อให้เป็นข้อมูลแตกต่าง ให้สังคมได้พิจารณา มันแค่นั้นเอง เราไม่ได้บอกว่าเป็น๒ เด้ง ๓ เด้ง โอ้โฮ.. อย่างที่บอกว่านี่แทนคุณหลวงตานะ “ระยะทางพิสูจน์ม้า กาลเวลาพิสูจน์คน” เรายังพูดอยู่ใช่ไหม

ถาม : หลวงตากล่าวเทศน์เท็จ เห็นไหมครับ ๒ เด้ง ผมแนะนำให้ลูกศิษย์ท่านลองแกะเทปที่หลวงตารับรองไว้ จะได้รู้ว่าพูดแบบนี้มันจะให้กำลังใจได้เช่นไร

หลวงพ่อ : ให้กำลังใจเช่นไรนี่ แหม.. มันคันปาก มันคันปากมากเลยนะ พวกนี้ถามอยากให้พูด แหม.. มันอยากจะหลุดนะ แต่ขอเก็บไว้ก่อนได้ไหม มันคันปากมาก คันยิบๆ ยิบๆ เลย ว่าให้กำลังใจเช่นใด แหม.. อยากตอบมากเลย แต่ที่บอกว่านี่อยากเลิกแล้วต่อกัน ไม่อยากให้ครอบครัวกรรมฐานแตกแยก นี่มันถึงยังไม่อยากจะพูด ยังไม่อยากจะพูดนะ

ถ้าอย่างนี้ไปนี่ ออกไปเขาจะหาว่า “พูดออกมา! พูดออกมา! อย่างนี้ไม่จริงนี่ แหม.. พูดกั๊กไว้อย่างนี้ แสดงว่าพูดไม่จริง ถ้าพูดจริงต้องอย่ากั๊กสิ”

ถ้ามันพูดออกไปเดี๋ยวก็ช็อกตายกันหมดหรอก

ถาม : ข้อ ๒. คนที่เขาทราบข้อมูลจริงนี้มีแต่จะเกลียดท่านอาจารย์มากขึ้น ท่านไปไหน จะไม่กลัวศัตรูหรือครับ ไปไหนมาไหนต้องระวังตัว แม้แต่ถามชื่อก็ไม่กล้าบอก เหมือนบางที่ไปแล้ว มีคนถามก็ไม่กล้าตอบ

หลวงพ่อ : นี่คนที่เขาทราบข้อมูล แกะให้มาอ่านเนาะ เรารู้หมดแล้วแหละ เราดูหมดแล้ว ไม่ต้องแกะหรอก เราเห็นเอง นี่ในซีดีก็มี ในเทปเยอะแยะไปหมด เพียงแต่ว่าใครจะเลือกเชื่อข้อมูลข้างใดไง เขาก็เลือกเชื่อข้อมูลข้างเดียว เราก็มีข้อมูลอีกข้างหนึ่ง เรามีข้อมูล ๒ ข้าง เราก็เชื่อข้อมูลทั้ง ๒ ข้าง แล้วเราก็เปรียบเทียบกันของเราเอง

เราไม่เชื่อข้อมูลข้างเดียว ข้อมูลอีกฝ่ายตรงข้าม มันก็มีเยอะแยะไป เราเป็นคนเปิดกว้าง เราไม่เชื่อข้อมูลข้างเดียวหรอก

ถาม : นี่ท่านไม่กลัวหรือ ไปไหนมาไหนบางที่ไม่กล้าบอกชื่อ

หลวงพ่อ : อย่าให้เราพูดนะ อยากจะออกทีวีกัน หลวงตาไปไหนก็เดินหน้าเดินหลัง อยากจะให้เขาถ่ายรูป เราไม่มีนิสัยอย่างนั้นนะ นิสัยของเรานี่ เราไปอย่างที่หลวงตาบอก “ใจถึงใจ” เราไปนี่ หลวงตารู้แล้วพอแล้ว เราไปนี่หลวงตาไม่ให้เห็นด้วย ไม่ให้ขึ้นไปหาหลวงตาด้วย ใครถามว่าชื่ออะไร เราไม่บอกเพราะอะไร เราไม่บอกเพราะเราไม่ต้องการให้ใครมารับรู้ ไปไหนนะ คนจริงนะ มันหลบมันต้องหลบจริง

“ฉันก็ไม่ได้อยากได้ไอ้นั่น ฉันก็ไม่ได้อยากได้ไอ้นี่” ส่งคนไปขอ ส่งคนไปเปิดทางมา แหม.. เวลาจะไปไหนก็โฆษณาไปแล้ว ท่านอาจารย์องค์นี้จะมาแล้วนะ อู้ฮู.. ต้องเปิดที่เปิดทางไว้ให้นะ ไอ้นั่นมันคนบ้า กูไม่ได้บ้า! กูเป็นคนมีสติ

เราไปด้วยหัวใจ เราไปด้วยลำแข้งของเรา ไม่ต้องมาพูด ไม่ต้องมาห่วง ทำไมต้องออกไป ทำไมต้องไปบอกชื่อเขา เขาไม่บอกก็รีบจะบอกเขาเลยน่ะ ไอ้นี่เราไม่บอกคือไม่บอกไง เพราะเราไม่บอก ใครมาถามนี่ไม่พูด ไม่พูดหรอก เว้นไว้แต่คนรู้จักกันเท่านั้นแหละ ไม่ใช่ไปโฆษณาหากิน ไม่ใช่!

ถาม : ข้อ ๓. จิตท่านเองเวลาพูดสงบไหมครับ

หลวงพ่อ : แหม.. สุขสบาย ชื่นใจมากเลย เพราะว่าเราเห็นสังคม.. หลวงตาท่านบอกว่า สมัยหลวงปู่มั่นท่านเสียไป สังคมของเรานี่แตกกระสานซ่านเซ็นไปถึง ๓-๕ ปี กว่าสังคมของเราจะกลับมารวบรวมกันขึ้นมาเป็นหลักเป็นเกณฑ์ นี่สังคมของหลวงตาท่านสร้างสมขึ้นมา ท่านล่วงไปนี่ เราก็คิดว่ามันจะมีการกระทบกระทั่งกันอยู่แล้ว

ฉะนั้นพอสิ่งที่มีการกระทบกระทั่ง เราก็สงบปากสงบคำพอสมควรนะ เราไม่พูดอะไรเลย ตอนไปบ้านตาด เห็นไหม เขามีขนาดไหน คนจะดึงไปไหน คนจะอย่างไร เราก็พยายามหลบของเรา เราพยายามจะไม่แสดงตัว ขอ! ขอให้งานศพของหลวงตาได้จบสิ้น ให้สำเร็จลุล่วงไปด้วยคุณงามความดี

ฉะนั้น สิ่งที่พอเกิดขึ้นมา เห็นไหม เราพยายามสงบปากสงบคำตลอด จิตใจท่านเป็นอย่างไร จิตใจก็เก็บไว้ในหัวใจนี่ไง จิตใจก็ระลึกถึงครูบาอาจารย์ของเรา ท่านผ่านไปแล้วไง นี่แมงดามันจะได้เกาะไม่ได้ไง ถ้าหลวงตาอยู่นะ พระแมงดามันเกาะหลังอยู่ เวลาท่านล่วงไปแล้ว พระแมงดามันเกาะหลังท่านไม่ได้แล้ว

เราพอใจตรงนี้หนึ่ง แล้วอีกอันหนึ่งก็ที่ว่าหัวใจเป็นอย่างไร.. นี่ไม่อยากจะพูดไง แต่นี้เพราะมันมีคำถามเข้ามา มันพยายามจะเข้ามา ทีนี้พอเข้ามา เหตุผลของในหัวใจ รายละเอียดยังไม่ออกเลยนะเนี่ย

ฉะนั้นสิ่งที่พูดนี่จิตใจท่านเป็นอย่างไร แหม ได้พูดซะหน่อยหนึ่ง มีคำถามมาก็ได้พูดซะหน่อยหนึ่ง นี่หน่อยเดียวนะ ได้พูดซะหน่อยหนึ่ง

ถาม : พระโสดาบันละสักกายทิฏฐิได้นะครับ การที่กล่าวตู่ผู้อื่นแบบนี้ ไม่มีหลักฐานชัดเจนมากๆ ท่านเองบิดเบือนกับลูกศิษย์

หลวงพ่อ : เขาบอกว่านี่สีลัพพตปรามาสไง เขาบอกว่าถ้าคนพูดแบบนี้นะมันเป็นโสดาบันไม่ได้ เขาว่านะ

แล้วเวลาหลวงตาท่านออกมาโครงการช่วยชาติ พูดกลับไป ไม่ใช่หลวงตาพูดกลับนะ หลวงตาท่านสั่งให้ทำงาน ไอ้พวกนั้นกลับไปกลับมา มันเป็นโสดาบันได้ไหม ไอ้พวกที่พูดกลับไปกลับมา เดี๋ยวก็จูนกัน เดี๋ยวก็ผลัก เดี๋ยวก็ขัดแย้ง เดี๋ยวก็โต้แย้ง เดี๋ยวก็ทำลาย อย่างนี้เป็นพระโสดาบันได้ไหม

พระโสดาบันจะพูดหน้าอย่างหนึ่ง หลังอย่างหนึ่งได้ไหม เวลากับหลวงตาก็พูดอย่างหนึ่ง ลับหลังก็พูดอีกอย่างหนึ่ง อย่างนี้เป็นพระโสดาบันได้ไหม อย่างนี้ละสักกายทิฏฐิได้หรือเปล่า (หัวเราะ) เวลามามองเราไง มองว่าคำพูดของเรามันไม่มีเหตุไม่มีผล พระโสดาบันละสักกายทิฏฐินะ ในการกล่าวตู่ผู้อื่นโดยไม่มีหลักฐานชัดเจนอย่างนี้ นี่แล้วก็พูดบิดเบือนต่อคนอื่น อย่างนี้มันมีความผิดนะ

ไอ้สิ่งที่เขาพูดมานี่นะเราสังเวชมากเลย คือเขามองออกไง คำพูดที่เขาพูดทุกคำนี่นะ ถ้าเขาย้อนกลับไปบุคคลคนนั้นแล้วพิจารณานะ เขาจะเห็นทันทีเลยว่าสิ่งนี้ผิดหรือถูก เวลาคำพูดทุกคำที่ถามมา ลองย้อนกลับไปนะ แล้วพิจารณา อย่าให้ศรัทธาบังหน้า อย่าให้อะไรบังหน้า แล้วจะรู้จะเห็น จะเห็นของเราเอง

นี่ไง ว่าการกล่าวตู่เขามันเป็นโสดาบันไม่ได้ โสดาบันเขาไม่ได้เป็นที่ใบกระดาษ เขาเป็นที่มรรคสามัคคี เขาสมุจเฉทปหานในใจนู่น แล้วเขาละสักกายทิฏฐิอย่างไรนี่มันขาดอย่างนี้ โอ้โฮ.. มันเป็นไป แล้วเขาทำลายภพ ทำลายชาติ โอ้โฮ.. เขาทำลายของเขา เขารู้ เขาเห็น เขาพูดได้ เขาไม่อ้ำๆ อึ้งๆ อึ้งๆ อ้ำๆ ไอ้อึ้งๆ อ้ำๆ นี่ไม่รู้ว่าหลวงตาชมใครว่ะ อ้ำๆ อึ้งๆ หลบๆ หลีกๆ ไม่กล้าพูดอะไรเลยนี่ เออ.. มันก็แปลกเนาะ

ถาม : ป.ล. ผมไม่ทราบว่า ท่านเทศน์แบบนี้ต้องการอะไร เพราะอย่างน้อยพระองค์นั้นก็ไม่เคยกล่าวถึงท่านเลย

หลวงพ่อ : เราไม่ได้เทศน์ เราไม่ได้บอกอะไรทั้งสิ้น เราบอกแล้วว่ามีคนถามมา มีคนถามมาๆ แบบที่ถามมานี่แหละ แล้วถ้าถามมาอีก มันก็จะไปอีกนะ ถามมา..

นี่ไม่ได้หวังอะไรเลย ไม่ได้หวังอะไรเลย ไม่เคยหวังอะไรทั้งสิ้น ถ้าว่าหวังนะ ใครอยู่กับเราจะรู้อยู่ ใครมาที่นี่ ผิดไล่ออกๆ เรามีแต่ไล่คนออก หวังอะไร หวังทำไมให้คนออก ใครมานี่ให้ออกทั้งนั้น ถ้าผิดข้อปฏิบัตินี่ให้ออกทันที ใครมาผิดให้ออก หวังอะไร หวังอะไร หวังไม่มีไง หวังไม่มี หวังไม่เอา หวังไม่ให้คนมา หวังไม่ต้องการสิ่งใดๆ ทั้งสิ้น

ถาม : แม้ว่าท่านจะโจมตีท่านตั้งแต่สมัยหลวงตายังอยู่ก็ตาม และเรื่องที่หลวงตาญาณเสื่อม ไม่ได้ออกจากปากของพระองค์นี้นะ มาจากพระอีกรูปหนึ่ง ไปกราบฟ้องหลวงตา

หลวงพ่อ : ความจริงเราพยายามไม่พูดแล้วนะ ไม่ได้ออกจากปากใครทั้งสิ้น แล้วเวลาไม่ได้พูดแล้วนี่ก็ยกโทษให้กับผู้หญิง โยนให้ผู้หญิงไป ว่าผู้หญิงนี่ไปพูดผิด พูดเพี้ยน แล้วไล่ผู้หญิงออกไป แล้วก็ไปเรียกผู้หญิงกลับมาอีก จริงไหม! จริงหรือเปล่า!

เราเห็นหลายๆ อย่างแล้วมันสะเทือนใจ สะเทือนใจมาก พระเรานี่นะ เวลาบวชพระแล้ว เห็นไหม มนุสโสสิ.. เป็นมนุษย์หรือเปล่า เป็นคนสมบูรณ์หรือเปล่า เป็นคนมีโรคมีภัยหรือเปล่าเวลาบวชพระ บวชมาแล้ว เวลาอยู่ในพระนี่ ถ้าซื่อสัตย์สุจริตกับตัวเอง ศีลสมบูรณ์ ภาวนาไปมันถึงจะไปได้ พลิกแพลง เล่ห์เหลี่ยม ร้อยสันพันคม บ้าบอคอแตก

ฉะนั้นที่เขาบอกว่า ไม่ใช่ญาณเสื่อม ไม่ใช่นั่น ไม่ใช่นี่.. นี่เขายังพูดเลยนะ ถ้าคนที่ทราบข้อมูลจริง เขาจะเกลียดท่านมากขึ้นไปอีก แล้วข้อมูลนี้จริงหรือเปล่าล่ะ ข้อมูลนี้จริงหรือเปล่า? ว่าสิ่งที่ไม่ได้พูดๆ นี่จริงหรือเปล่า

พูดถึงคำว่าลงรายละเอียด.. เรามีนะ เรามีหลักฐาน เขาเรียกว่าหลักฐานแวดล้อม คือว่าสิ่งที่มันเกิดไง กรรมเกิดจากเจตนาใช่ไหม กรรมส่อเจตนา กรรมการกระทำนี่มันจะส่อเจตนา สิ่งที่เกิดขึ้น สังคมขณะนั้น เวลานั้นมันมีเหตุการณ์อย่างนั้นเกิดขึ้น นี่เป็นอย่างนั้นหมดเลย

นี่ก็เหมือนกัน เรามีหลักฐานสภาพแวดล้อมตามความเป็นจริงนี่ทุกเรื่อง เป็นอย่างนั้นเลย มีเหตุมีผล ทุกเรื่องเลย เป็นเหตุเป็นผลหมด เพราะอะไร เพราะเราไม่ต้องการให้ธรรมะนี่.. ธรรมคือธรรม ต้องสะอาดบริสุทธิ์ แล้วเป็นความจริง แล้วถ้าความไม่จริงมันก็เป็นแบบนี้ แล้วก็บอกว่าเรากล่าวตู่ไป

นี่พูดจริงๆ นะ ยังไม่ได้ลงรายละเอียดเลย เพราะเราพยายามไม่ลงรายละเอียด เพราะถ้าลงรายละเอียดไป มันสะเทือนกันมากกว่านี้ไง แต่นี่เพราะว่าเขาถามมาเราถึงตอบ นี้ยังไม่ได้ลงรายละเอียดเลยนะ แต่ถ้าต้องการรายละเอียด ต้องการอย่างนั้น มันจะสะเทือนกันไปหมดเลย แล้วครอบครัวกรรมฐานจะได้รู้ว่า..

หลวงตาบอกว่าหลวงปู่มั่นล่วงไปนี่ ๓ ปีถึง ๕ ปีเราถึงกลับมาตั้งตัวกันได้ อันนี้มันยังไม่ทันไร ยังไม่ทันไรหรอก แล้วพยายามจะรวบยอดต่างๆ อะไรนี่ มันเป็นเรื่องที่แบบว่ากรรมมันให้ผล สิ่งที่มันเกิดขึ้นนี่กรรมมันให้ผลทั้งนั้นแหละ นี่มันมาเอง อยู่ดีๆ ก็มาเอง แล้วอยู่ดีๆ นะเขาชงลูกมาให้เราชู๊ต มันอะไรกันเนี่ย อยู่ดีๆ นะชงลูกมาเลย แล้วชงมานี่เราไม่ออกนะ เราไม่พูดเลยนะ นี่พูดเฉพาะสภาวะแวดล้อม พูดถึงนี่ไม่ออก พอออกไปแล้วหลักฐานมันลงไป มันจะแบบว่าไม่ใช่เรื่องอะไรของเราไง

มันอย่างที่ว่าไม่ใช่เรื่องอะไรของเรา แล้วไม่ใช่คู่ขัดแย้ง ไม่ใช่ใดๆ ทั้งสิ้น แล้วไม่ใช่ว่าเลิกแล้ว เราเลิกมาตั้งแต่ต้น ไม่มีอะไรเลย เราไม่ยุ่งกับใครเลย แต่นี้มันชู๊ตเข้ามาเอง ชงมาทั้งนั้นเลย พอชงมาแล้ว เราพูดนี่พูดเพื่อประโยชน์กับสังคม แล้วคนที่เขารู้ข้อเท็จจริง อย่างที่เขาว่านี่ถ้าคนรู้ข้อเท็จจริงเขาจะเกลียด

คนรู้ข้อเท็จจริงเขามาคุยกับเรามี เขาเป็นห่วงมาก เขาห่วงสภาพ เขาบอกว่าสิ่งที่จะทำนี่มันจะเป็นมอตโต้เลย มอตโต้คือมันเป็นกรอบเลย แล้วทำอย่างนี้ไป แล้วต่อไปจะเป็นอย่างไร คนที่เขารู้เขาพูดขนาดนั้นนะ บอกว่าที่เขาทำกันอยู่นี่มันเป็นมอตโต้เลย แล้วมันจะเป็นอะไรต่อไปข้างหน้า เขาห่วงขนาดนั้นนะ

แต่ธรรมดานี่ คนเราก็ต่างคนต่างหนึ่งเดียวใช่ไหม มันก็มีกำลังเท่านี้ใช่ไหม ประสาเรานี่ ใครๆ ก็จะมายืมปากเรานี่แหละ จะให้เราออกทำงาน ออกทำงาน นี่เราก็พยายามจะไม่ยุ่งๆ นี่พยายามไม่ยุ่งที่สุดแล้วนะ แต่คนรู้จริงเขามี แต่คนที่รู้ตามกระแส คนโง่มาก คนฉลาดมาก ก็เป็นตามกรรมก็แล้วกันเนาะ เอวัง