ถาม-ตอบปัญหาธรรมะ

กรณีถ้ำสาริกา

๑๓ พ.ย. ๒๕๕๔

 

กรณีถ้ำสาริกา
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ถาม-ตอบ ปัญหาธรรม วันที่ ๑๓ พฤศจิกายน ๒๕๕๔
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ข้อ ๗๐๑. นะ

ถาม : ๗๐๑. เรื่อง “ประวัติท่านพระอาจารย์มั่น”

หลวงพ่อ : คำถามนะ “ประวัติท่านพระอาจารย์มั่น”

ถาม : กระผมได้อ่านประวัติหลวงปู่มั่นตอนที่อยู่ถ้ำสาริกา ว่าหลวงปู่มั่นบรรลุธรรมขั้นอนาคามี โดยในหนังสือประวัติอ้างว่าเขียนประวัติโดยหลวงตามหาบัว การที่หลวงปู่บรรลุธรรมขั้นไหนนั้น เป็นคติตัวอย่างในการประพฤติปฏิบัติเพื่อความพ้นทุกข์ กระผมคิดอยู่นานว่าจะกราบเรียนถามหลวงพ่อดีหรือไม่ เพราะเกรงว่าจะกระเทือน สร้างปัญหาขึ้นมาใหม่ กระผมไม่รู้ว่าประวัติหลวงปู่มั่นนั้นมีการเขียนโดยผู้ใดบ้าง จึงกราบขอรบกวนหลวงพ่อว่า มีผู้แอบอ้างว่าประวัติหลวงปู่มั่น ที่เขียนโดยหลวงตามหาบัวว่ามีหรือไม่

ที่หลวงพ่อบอกว่า หลวงปู่มั่นบรรลุธรรมขั้นสกิทาคามีที่ถ้ำสาริกานั้น กระผมไม่มีข้อคัดค้านครับ แต่ขอความกระจ่างแจ้ง กราบรบกวนหลวงพ่อด้วย คำถามนี้ถ้าสร้างปัญหา หรือไม่สมควรรบกวนหลวงพ่อ แล้วแต่จะเห็นพิจารณา

หลวงพ่อ : ฉะนั้น เราจะพูดอย่างนี้ก่อนนะ ว่า

ถาม : ๑. ในประวัติหลวงปู่มั่นที่เขียนโดยหลวงตามหาบัว ว่าที่ถ้ำสาริกาหลวงปู่มั่นบรรลุธรรมขั้นอนาคามีจริงหรือไม่?

หลวงพ่อ : จริง ไม่คัดค้านสิ่งใดเลย เรื่องนี้เป็นเรื่องจริงอยู่แล้ว เพราะ เพราะมันอยู่ในประวัติหลวงปู่มั่น แล้วหลวงตาท่านอยู่กับหลวงปู่มั่นมา ท่านเป็นคนฟังมา แล้วหลวงตาท่านบอกว่าตอนที่เขียนประวัติหลวงปู่มั่น ท่านได้สอบทานกับครูบาอาจารย์ทุกๆ องค์แล้ว ฉะนั้น ถ้าเราค้านเราก็ค้านครูบาอาจารย์ทั้งหมด เท่ากับเราค้านวงกรรมฐานเลยสิ ไม่ค้าน

ถาม : หลวงปู่มั่นบรรลุธรรมที่ถ้ำสาริกาจริงไหม?

หลวงพ่อ : จริง! ไม่ได้ค้าน ทีนี้เพียงแต่เขาบอกว่า

ถาม : แล้วที่หลวงพ่อว่าหลวงปู่มั่นบรรลุธรรมขั้นสกิทาคามีที่ถ้ำสาริกาจริงหรือไม่?

หลวงพ่อ : จริง! ไม่ได้ค้าน จริงทั้งนั้นเลย เพราะอะไร? เพราะหลวงปู่มั่นท่านต้องผ่านสกิทาคามีก่อน ท่านถึงได้อนาคามี จริง! จริง! ไม่ได้ค้านเลย เราจะบอกว่าประวัติหลวงปู่มั่นไม่มีปัญหาเลย ประวัติหลวงปู่มั่นที่เขียนโดยหลวงตามหาบัวนะไม่มีปัญหาเลย แต่ถ้าเขียนโดยผู้อื่นมีปัญหา มีปัญหามาก

มีปัญหามากเพราะว่าเราเคยอ่านประวัติหลวงปู่มั่น หรือเขาเขียนหนังสือกันเรื่องหลวงปู่มั่น ว่าหลวงปู่มั่นสำเร็จที่ถ้ำสาริกาก็มี สำเร็จพระอรหันต์ที่ถ้ำสาริกาเลยก็มี แล้วว่าหลวงปู่มั่นอย่างนั้นๆ เยอะไปหมดเลย เพราะอะไร?

นี่ไงที่บอกหลวงตาท่านพูดว่า “ไม่รู้เขียนไม่ได้”

“ผู้ไม่รู้ไม่เห็นเขียนไม่ได้หรอก” ทีนี้ผู้ไม่รู้ไม่เห็นแต่อยากเขียนนี่สิ มันมีนะผู้อยากเขียน พออยากเขียนก็ไปที่อุบลฯ ไปที่บ้านเกิดหลวงปู่มั่น ไปสัมภาษณ์คนที่รุ่นเดียวกับหลวงปู่มั่นมา แล้วถ้าสัมภาษณ์นี่สัมภาษณ์ใคร? สัมภาษณ์คนรุ่นเดียวกันก็คือพวกคฤหัสถ์ พวกที่เกิดร่วมรุ่น

การเกิดก็เกิดเรื่องของโลกใช่ไหม? เรื่องความเป็นอยู่ เกิดเป็นลูกใคร? อยู่สมัยนั้นใครเห็น ใครไม่เห็น มันก็ได้แค่นั้นแหละ มันได้แค่ได้เห็นว่าเคยอยู่เป็นฆราวาสด้วยกัน แต่เวลาภูมิของพระอริยเจ้า เวลาภาวนาไปใครมันจะรู้ได้ล่ะ? มันไม่มีใครรู้ได้หรอก แล้วพอไปสัมภาษณ์อย่างนั้นมา แล้วก็มาเก็บข้อมูลมา แล้วก็มาเขียนกัน ไอ้นี่ที่ว่า

ถาม : ประวัติหลวงปู่มั่นที่ผู้อื่นเขียนผิดไหม?

หลวงพ่อ : ผิด เพราะคนไม่รู้เขียน คนอยู่ในวิชาชีพหนึ่ง แล้วไปเขียนถึงผู้ที่มีความชำนาญการในอีกวิชาชีพหนึ่ง มันก็เขียนไม่ถูกอยู่แล้ว นี่พูดถึงคนอยู่คนละมิติเลย ภพชาติ อริยภูมิมันแตกต่างกันเลย ฉะนั้น

ถาม : คนที่เขียนประวัติหลวงปู่มั่นที่ว่าแอบอ้างหลวงตามีไหม?

หลวงพ่อ : การที่แอบอ้างนะ นี่เดี๋ยวเราจะค่อยๆ พูดไง วันนี้จะพูดยาว แล้วจะเคลียร์ทีละปัญหา เพราะปัญหามันเยอะ คำถามเดียวนี่ปัญหามันเยอะมาก เราจะเคลียร์ปัญหาเรื่องถ้ำสาริกาก่อน ถ้ำสาริกามันเป็นที่หลวงปู่มั่นขึ้นไปจำพรรษา ขึ้นไปจำพรรษาหลายปี ฉะนั้น ที่ถ้ำสาริกา เวลาหลวงปู่มั่นขึ้นไปมันเป็นระหว่างหลวงปู่มั่นกับถ้ำสาริกา ฉะนั้น ถ้ำสาริกาจะผูกพันกับหลวงปู่มั่น แต่หลวงตามหาบัว หลวงปู่เจี๊ยะ ครูบาอาจารย์เราไม่ได้ผูกพัน ไม่ได้ผูกพัน

ทีนี้คำว่าถ้ำสาริกาๆ มันเป็นประสบการณ์ของหลวงปู่มั่น เหมือนกับอาจารย์ของเราจบจากสถาบันไหนมา สถาบันนั้น กับที่อาจารย์ที่จบสถาบันนั้นมา แต่เราเรียนสถาบันอื่น หรือเราเรียนสถาบันเดียวกัน แต่มันคนละยุค คนละคราวมันก็ไม่เกี่ยวกัน ฉะนั้น ที่ว่าถ้ำสาริกามันจะผูกพันกับหลวงปู่มั่น ไม่ผูกพันกับใครเลย เพราะผู้อื่นมาศึกษาจากหลวงปู่มั่นที่หนองผือ ที่เชียงใหม่ นี่มันไม่เกี่ยวกับถ้ำสาริกาเลย

เราจะบอกว่าถ้ำสาริกาก็คือถ้ำสาริกา ถ้ำสาริกานะ ในทุกๆ จังหวัด หลายจังหวัดมากมีถ้ำสาริกาเหมือนกัน ถ้ำสาริกา ที่จังหวัดราชบุรีก็มีถ้ำสาริกา หลายถ้ำด้วย แล้วจังหวัดอื่นก็มีถ้ำสาริกาเยอะไปหมดเลย ทีนี้ถ้ำสาริกากับหลวงปู่มั่น ฉะนั้น คำว่าถ้ำสาริกา เพราะหลวงปู่มั่นจำพรรษา เห็นไหม แล้วเราจะเริ่ม

ทีนี้ถ้ำสาริกาส่วนถ้ำสาริกา อย่างเช่นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้อยู่โคนต้นโพธิ์ พระสารีบุตรที่ถ้ำสุกรขาตาที่เขาคิชฌกูฏ นี่มันเป็นที่สถานที่ไง อย่างเช่นเราประสบความสำเร็จที่ไหน แล้วเรามีความผูกพันกับสถานที่ นั้นเป็นกรณีของผู้ผูกพัน แต่กรณีนี้ นี่เดี๋ยวจะมีกรณีหลวงตา

ถาม : (กรณีที่ว่า) สำเร็จพระอนาคามีที่ถ้ำสาริกาจริงไหม?

หลวงพ่อ : จริง

ถาม : แล้วหลวงพ่อบอกว่าหลวงปู่มั่นสำเร็จขั้นสกิทาคามีจริงไหม?

หลวงพ่อ : จริง ฉะนั้น เวลาสำเร็จ เวลาท่านบรรลุธรรมขั้นสกิทาคามีกับขั้นอนาคามี เห็นไหม ฉะนั้น คนที่ไม่รู้ไง คนที่ไม่รู้ ไม่เข้าใจใช่ไหม? ในเมื่อประวัติหลวงปู่มั่นท่านเขียนไว้ว่า

“หลวงปู่มั่นสำเร็จถึงขั้นอนาคามีที่ถ้ำสาริกา”

คำว่าอนาคา อนาคา อนาคา ทีนี้พอหลวงปู่มั่น เวลาหลวงปู่เจี๊ยะกับหลวงตาท่านขึ้นไปรายงานผลการปฏิบัติ ท่านบอกว่า

“นี่เหมือนเราที่ถ้ำสาริกาเลย”

เหมือนเราที่ถ้ำสาริกา แล้วเหมือนขั้นไหนล่ะ? ขั้นสกิทาคามี หรือขั้นอนาคามีล่ะ? ทีนี้คนมันไปเห็นในประวัติหลวงปู่มั่นว่าขั้นอนาคามี ขั้นอนาคามี มันก็บอกว่าเป็นขั้นอนาคามี มันก็เลยทำให้สับสนไง

ประเด็นมันอยู่ตรงนี้ ตรงที่เวลาหลวงปู่มั่นพูดว่าถ้ำสาริกาท่านพูดถึงตรงไหน? พอท่านพูดถึงตรงไหนปั๊บ เดี๋ยวเราจะเคลียร์ มันต้องมีเหตุมีปัจจัยไง มันต้องมีเหตุรองรับว่าอะไรเป็นอนาคามี อะไรเป็นสกิทาคามี สกิทาคามี อนาคามีมันแตกต่างกันอย่างใด? แล้วคนปฏิบัติมันแตกต่างกันอย่างใด?

นี่ประเด็นมันอยู่ตรงนี้ มันไม่ใช่ประเด็นที่ว่าหลวงปู่มั่นได้อนาคามีที่ถ้ำสาริกา แล้วหลวงพ่อสงบบอกว่าหลวงปู่มั่นได้สกิทาคามี เราจะไปลดขั้นหลวงปู่มั่นที่ถ้ำสาริกาได้อย่างไร? เราเกิดไม่ทันหลวงปู่มั่นนะ หลวงปู่มั่นท่านมรณภาพปี ๙๒ เรายังไม่เกิดเลย คนเกิดไม่ทันเลย ท่านมรณภาพแล้วเรายังไม่เกิดเลย แล้วเราจะไปลดขั้นลดตอน เราทำไม่ได้หรอก เพียงแต่ว่าที่บอกว่า เราไม่ได้บอก..

ที่ว่าหลวงปู่มั่นท่านสำเร็จขั้นอนาคามีที่ถ้ำสาริกาใช่ไหม? ใช่ แล้วสำเร็จสกิทาคามีที่ถ้ำสาริกาใช่ไหม? ใช่ ฉะนั้น ถ้ำสาริกามันเป็นส่วนถ้ำสาริกานะ เราจะพูดอย่างนี้ เราจะเริ่มต้นถ้ำสาริกา ตั้งแต่เอาประวัติหลวงปู่มั่นก่อน หลวงปู่มั่นนะ หลวงปู่มั่นเวลาท่านได้โสดาบันมาแล้วแหละ แล้วอยู่ในประวัติหลวงปู่มั่นด้วย

ในประวัติหลวงปู่มั่น บอกชัดๆ เลยว่าหลวงปู่มั่นได้โสดาบันที่ไหน? อยู่ในประวัติหลวงปู่มั่นนั่นแหละ แต่เราไม่พูด (หัวเราะ) ในประวัติหลวงปู่มั่นนั่นแหละ ว่าหลวงปู่มั่นท่านได้โสดาบันที่ไหน? อยู่ในประวัติหลวงปู่มั่นนั่นแหละ แต่ไม่พูด เพราะมันไม่รู้เรื่องกันไง คนมันไม่รู้ แต่ในประวัติหลวงปู่มั่นเขียนว่าอนาคาชัดๆ ก็อนาคาๆ ก็ยืนคาขาเดียวอยู่นั่นไง เพราะมันไม่รู้เหตุรู้ผล เพราะคนมันตาบอด

ฉะนั้น หลวงปู่มั่นท่านสำเร็จขั้นโสดาบันมาแล้ว ฉะนั้น ท่านลงมาปรึกษาเจ้าคุณอุบาลีต่างๆ แล้วท่านหาที่วิเวก พอหาที่วิเวกท่านก็ได้ข่าวว่าที่นี่เป็นที่สงบสงัด ได้ข่าวเพราะพระปฏิบัติกันเยอะ ท่านก็ไปที่ถ้ำสาริกา ทีนี้พอไปที่ถ้ำสาริกา พอท่านไปชาวบ้านเขาบอกว่า “อย่าขึ้นไปเลย ทำไมรู้ไหม? เพราะที่ถ้ำสาริกามีพระมามรณภาพก่อนหน้านั้นหลายองค์แล้ว”

นี่ไงที่ถ้ำสาริกามีพระไปมรณภาพหลายองค์แล้วนะ ถ้าถ้ำสาริกาไปทำให้คนสำเร็จเป็นพระอรหันต์ๆ ทำไมพระที่อยู่ก่อนหน้าหลวงปู่มั่นไปมรณภาพตั้งหลายองค์ล่ะ? พอหลวงปู่มั่นจะเข้าไป ชาวบ้านบอกอย่าเข้าไปเลย เดี๋ยวก็จะมรณภาพเป็นองค์ต่อไป หลวงปู่มั่นท่านเป็นคนที่อ่อนน้อมถ่อมตนนะ คนที่มีคุณธรรมในหัวใจจะอ่อนน้อมถ่อมตน บอกว่า

“เออ ไม่อยู่ก็ไม่เป็นไรหรอก ไม่อยู่ก็ได้ ขอไปดูหน่อยหนึ่ง”

แล้วขอไปดูหน่อยหนึ่งนะ ขอไปดูแล้วท่านก็ไปดู ไปดูแล้วสภาพมันดี เห็นไหม ท่านก็อยู่จำพรรษาที่นั่น พออยู่จำพรรษาที่นั่น พอท่านภาวนา พระภาวนานี่ เวลาภาวนาไปแล้วมันจะปลอดโปร่ง พอปลอดโปร่ง การฉันอาหาร การคลุกคลีมันทำให้กดถ่วง ท่านก็จะไม่มาฉันอาหารหลายวัน ชาวบ้านเขาบอก “อืม ไม่ใช่ว่าหลวงปู่มั่นท่านมรณภาพแล้วเนาะ” พอขึ้นไปดู อ้าว ก็ยังอยู่

ท่านผ่อนอาหารของท่าน แล้วท่านภาวนาของท่าน ท่านเป็นโรคเสียดท้อง ท่านเป็นโรคกระเพาะโดยก่อนบวชแล้ว ท่านมีโรคประจำตัว ทีนี้มีโรคประจำตัว ท่านเคยฉันยาแล้วมันหาย ยาหม้อนี่แหละ ฉะนั้น พอเอามาต้ม ต้มแล้ว ต้มบ่อย ฉันแล้วมันไม่ดีขึ้น พอเริ่มไม่ดีขึ้นนะ ท่านบอกว่าถ้าไม่ดีขึ้นก็ทิ้งเลย คือว่าฉันครั้งนี้ครั้งสุดท้าย แล้วไม่ฉันอีกแล้ว พอไม่ฉันอีกแล้วใช่ไหม? พอไม่ฉันท่านก็พิจารณาของท่าน

การพิจารณาคราวนั้นที่จิตมันลงไง พอจิตมันลงเต็มที่ พิจารณาถึงความเจ็บไข้ได้ป่วย ถึงเรื่องโรคภัยไข้เจ็บ เพราะท่านได้โสดาบันมาแล้ว ท่านได้โสดาบันมาแล้ว ทีนี้พอพิจารณาไป พอถึงเวลาพิจารณาจนปัญญามันแก่กล้า ปัญญามรรคญาณมันเต็มที่ มันปล่อยหมดไง พอมันปล่อยมันขาด เห็นไหม โลกนี้ราบหมดเลย พอโลกนี้ราบหมดเลยไง ท่านบอกพอจิตท่านลงปั๊บ พอจิตมันปล่อยแล้ว

นี่เราถึงบอกว่าคนมีบุญญาธิการนะ กับคนไม่มีบุญญาธิการแตกต่างกัน คนมีบุญญาธิการ พอเวลาจิตมันรวมลง กิเลสมันขาด ขั้นสกิทาคามี พอกิเลสมันขาดปั๊บ มันราบไปแล้วมันมียักษ์ใหญ่ ที่ว่าพระไปอยู่แล้วตายๆ แล้ว ยักษ์ตัวนั้นมันก็เข้ามา ถือตะบองเข้ามาว่าจะมาตีท่านไง ท่านก็เลยเทศน์เอายักษ์นั้นได้ด้วย ฉะนั้น เสร็จแล้วท่านก็ยังภาวนาต่อเนื่องๆ ไป ต่อเนื่องไป จนท่านพิจารณาของท่านจนได้อนาคามีว่าอย่างนั้นเถอะ

พอได้อนาคามีแล้ว นี่ด้วยบุญญา วาสนา ด้วยความคิดถึงหมู่คณะ เห็นไหม ท่านก็ไปโปรดหมู่คณะทางภาคอีสาน ทีนี้หมู่คณะก็ไปพึ่งพากันมาก เพราะผู้ที่ปฏิบัติรู้จริงมันไม่มี คนปฏิบัตินี่จะรู้นะ ใครปฏิบัติขนาดไหนแล้วนี่ ถ้าไปถามปัญหา แล้วอาจารย์ตอบไม่ถูกแสดงว่าคนนั้นไม่รู้จริง ฉะนั้น หลวงปู่มั่นพอใครมานี่ท่านเคลียร์ได้มาก ทีนี้พอท่านเคลียร์ไป มันเคลียร์ปัญหาพื้นฐานหรือปัญหาคนที่ปฏิบัติมานี่ได้ ทีนี้พอเคลียร์ไปๆ ท่านพูดนะ

นี้หลวงตาเล่าเอง หลวงตาบอกว่า หลวงปู่มั่นบอกว่า “กำลังเราไม่พอ กำลังเราไม่พอ” คือว่าท่านยังไม่รู้จบไง ถึงสุดท้ายแล้วท่านก็ออกอุบายว่าเอาแม่ไปส่งที่อุบลฯ พอเอาแม่ไปส่งอุบลฯ แล้วท่านก็ใช้อุบายออกมากรุงเทพฯ แล้วขึ้นไปเชียงใหม่เลย นี่ไงพอขึ้นไปเชียงใหม่ท่านไปสำเร็จที่เชียงใหม่ ประวัติหลวงปู่มั่นบอกไว้ชัดเจนทุกขั้นทุกตอนนะ ทุกขั้นทุกตอนเลยว่าท่านสำเร็จที่ไหน ขั้นไหนๆ เพราะธรรมนี่คนเป็นฟังออกไง พอฟังออกนี่รู้หมดเลย ทีนี้พอรู้แล้ว หลวงตาท่านเขียนมา

เราจะบอกว่าเวลาท่านเขียนประวัติหลวงปู่มั่นใช่ไหม? หลวงตาท่านอยู่กับหลวงปู่มั่น แล้วพอหลวงปู่มั่นท่านชราภาพ ตอนอยู่หนองผือท่านจะบอกหมู่คณะว่า เรา คือตัวหลวงปู่มั่นเองท่านทำประโยชน์กับสังคมสงฆ์ไว้มาก หมู่คณะคิดอย่างไรไหม? หลวงตาบอกคิดอยู่เต็มหัวอกเลย คือจะเขียนประวัติท่านนั่นแหละ ว่าอย่างนั้นเถอะ เขียนประวัติไว้เป็นที่ศึกษา เป็นที่พวกเราจะได้มีตัวอย่าง มีคติแบบอย่างในการปฏิบัติ

หลวงตาท่านบอกว่า “คิดอยู่เต็มหัวอกเลย แต่ตอนนี้งานส่วนตัว” คือว่าตัวเองยังไม่พ้นจากกิเลส หลวงปู่มั่นบอกว่า “ใช่ เอาเรื่องส่วนตัวให้ได้ก่อน” ถ้าเรื่องส่วนตัวได้ พอเรื่องส่วนตัวได้มันก็แก้ไขได้หมดแหละ ถ้ามันแก้ไขได้หมด เห็นไหม มันรู้หมดไงว่าตรงไหนควร ไม่ควร แล้วควร ไม่ควร มันถูกต้องหรือไม่ถูกต้อง

นี่พูดถึงเวลาว่าเขียนประวัติหลวงปู่มั่น ถ้ามันไม่เป็น มันไม่รู้มันเขียนไม่ได้ แต่คนที่รู้ ที่เป็นเขาเขียนมา นี้คนที่ไม่รู้ ไม่เป็น เห็นไหม มันก็เป็น หลวงตาบอกว่า “หนอนแทะกระดาษ” มันก็เอาตามตัวอักษรไง อักษรว่าอย่างนี้ แต่ภูมิความรู้มันไม่มีไง พอไม่มีมันก็คลาดเคลื่อนไง พอคลาดเคลื่อน นี้พูดถึงประวัติหลวงปู่มั่นนะ เราจะบอกว่า

๑. เรื่องถ้ำสาริกา

๒. เรื่องหลวงปู่มั่น

ถาม : หลวงปู่มั่นท่านได้อนาคามีที่ถ้ำสาริกาจริงไหม?

หลวงพ่อ : จริง เราไม่คัดค้านอะไรเลย แล้วทำไมเราบอกว่าหลวงปู่มั่นได้สกิทาคามีด้วยล่ะ? ก็ท่านได้สกิทาคามีด้วย ท่านได้สกิทาคามี นี่ได้สกิทาคามีที่ว่าจิตท่านรวมลงนะ แล้วก็พิจารณาต่อไป พิจารณาอสุภะ พอพิจารณาเป็นอสุภะต่างๆ แล้ว พอจิตท่านดีมากท่านกำหนดดูไง เวลากำหนดดูมาที่เจ้าคุณอุบาลี เจ้าคุณอุบาลีพิจารณาปฏิจจสมุปบาท แล้วมาหาหลวงปู่อุบาลี เห็นไหม ที่มาคุยธรรมะกัน ก็ปรึกษากันตลอด

ไอ้คนไม่รู้เรื่องก็บอกว่าพิจารณาปฏิจจสมุปบาท ถ้าท่านพิจารณาปฏิจจสมุปบาท จิตท่านละเอียดขึ้นนี่ปฏิจจสมุปบาทของใคร? ของขั้นไหนมันก็มีของมัน คนภาวนาเป็นรู้หมดแหละ ฉะนั้น มันไม่มีปัญหาหรอก ถ้าคนเป็นมันไม่มีปัญหาอะไรเลย มีปัญหาเพราะมันไม่เป็นมันถึงยุ่งไง

นี้พูดถึงว่าถ้ำสาริกาแล้ว ประวัติหลวงปู่มั่นนะ ทีนี้จะย้อนมาถึงประเด็นแล้ว ประเด็นมันอยู่ตรงนี้ ประเด็นมันอยู่ที่หลวงตานี่ ประเด็นอยู่ที่หลวงตานะ เวลาหลวงตาท่านประพฤติปฏิบัติแล้ว ท่านปฏิบัติของท่าน เห็นไหม ท่านศึกษาๆ นะ เพราะคนสร้างวาสนาบุญญาธิการมามาก เพราะหลวงปู่มั่น องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามีอนาคตังสญาณพยากรณ์ไว้

เวลาผู้ที่ประพฤติปฏิบัติเข้าไปเป็นพระโพธิสัตว์ อยากจะปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้าต้ององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพยากรณ์ว่า “ต่อไปจะได้เป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าชื่อนั้น เมื่อนั้น” นี่คือพระพุทธเจ้าพยากรณ์

ฉะนั้น เวลาพยากรณ์นะ นี่เวลาไปรื้อสัตว์ขนสัตว์พระพุทธเจ้าจะเล็งญาณ เล็งญาณแล้วจะไปรื้อสัตว์ขนสัตว์นั้น นี้คือว่าท่านอนาคตังสญาณ คือว่าจิตดวงนั้นมีพละ มีกำลัง สร้างบุญญาธิการมาพอ พอสั่งสอนขึ้นไปเขาจะรับได้ เขาจะรับรู้ได้ แล้วพอภาวนาเขาจะมีโอกาสของเขา แต่ถ้ายังไม่พอนะพระพุทธเจ้าจะเทศน์เรื่องอนุปุพพิกถา คือให้เราทำบุญ ทำทาน เพื่อเราสร้างบุญญาธิการขึ้นไป

เวลาพระพุทธเจ้าเทศน์ก็แตกต่างกัน เทศน์ฆราวาสอย่างหนึ่ง เทศน์เพื่อปฏิบัติอย่างหนึ่ง เทศน์เวลาแก้ไขผู้ที่ติดพันนี้อย่างหนึ่ง ฉะนั้น หลวงปู่มั่นท่านได้สร้างบุญญาธิการมามาก ท่านก็มีของท่าน ทีนี้ท่านมีของท่าน ท่านบอกว่า

“ต่อไปจะมีพระหนุ่มๆ แล้วจะตรัสรู้ธรรม แล้วบรรลุธรรม นี่จะสร้างประโยชน์มาก”

ท่านก็รออยู่ แล้วท่านรู้หมดแหละ ฉะนั้น เวลาหลวงตาท่านไปเห็นหลวงปู่มั่นที่เชียงใหม่ เพราะเรานี่นะเป็นคนช่างสอดรู้สอดเห็น อยากรู้อยากเห็น นิสัยมันศึกษามาก กรณีนี้ที่เราพูดอยู่นี่เราถามหลวงปู่เจี๊ยะ เพราะตอนนั้นหลวงปู่เจี๊ยะท่านเป็นผู้อุปัฏฐากหลวงปู่มั่นอยู่ที่เชียงใหม่ แล้วหลวงปู่มั่นท่านลงมาที่วัดเจดีย์หลวง หลวงตาท่านไปเรียนที่นั่น แล้วท่านมาดู เราเกิดไม่ทันหลวงปู่มั่น ทำไมเราเอาคำพูดหลวงปู่มั่นมาพูดบ่อยเลย ก็เราฟังมาจากหลวงปู่เจี๊ยะ หลวงปู่เจี๊ยะท่านบอกว่า หลวงปู่มั่นท่านพูดนะ

“มันมาแล้ว แต่มันยังไม่เข้ามาหาเรา”

เพราะหลวงตาท่านไปแอบดูหลวงปู่มั่นที่วัดเจดีย์หลวงไง แต่ตอนนั้นท่านเรียนอยู่ ท่านยังไม่ได้เข้ามาหาหลวงปู่มั่น

“มาแล้ว แต่ยังไม่เข้ามาหาเรา”

หลวงปู่มั่นท่านรอขนาดนั้น ท่านรู้ขนาดนั้นน่ะ แล้วท่านก็เข้าป่าไปอยู่ที่เชียงใหม่ จนท่านกลับไปวัดป่าโนนวิเวก ทีนี้หลวงตาท่านก็เรียนของท่านจนจบมหา จบมหาท่านก็อยากออกปฏิบัติ พรรษาแรกไปจำพรรษาที่จักราช เพราะไม่ทันหลวงปู่มั่นไง พอจำพรรษาที่จักราชปั๊บ พอจิตมันดีท่านก็บอกว่า

ก็ดูจิตนี่แหละ ก็กำหนดเฉยๆ ดูจิตไม่มีคำบริกรรม จิตดีมากๆ แต่พอไปทำกลด คราวหลังมันเสื่อมหมดไง”

หลวงตาท่านประสบการณ์ท่านเยอะ แต่ท่านไม่พูดออกมาให้มันตรงๆ ให้ใครได้ประโยชน์ เสียประโยชน์ หลวงตาท่านพูดอะไรนะให้คนมีปัญญานี่จับเอา ถ้าใครมีปัญญาจะได้ประโยชน์ ถ้าคนไม่มีปัญญาจะไม่ได้ประโยชน์ ท่านพูดอย่างนั้นปั๊บท่านบอกว่า

“เพราะดูจิตเฉยๆ นี่แหละ เพราะไม่มีคำบริกรรม มันเลยเสื่อมหมดไง”

พอเสื่อมหมดก็อยากปฏิบัตินะ พรรษาที่ ๙ ออกมาแล้ว สุดท้ายแล้วท่านก็ตามไปหาหลวงปู่มั่น ไม่ทัน ตามไปที่วัดป่าโนนวิเวก หลวงปู่มั่นก็ขึ้นไปหนองผือแล้ว ตามไปหนองผือ พอไปหนองผือก็ไปฝากตัวไง ฝากตัวประพฤติปฏิบัติ นี่จิตมันเสื่อมมา โอ๋ย ท่านฝึกมาหมดแหละ นี่ครูบาอาจารย์ท่านฝึกมานะ ฝึกมาตลอด

ทีนี้หลวงตาท่านก็ปฏิบัติขึ้น พอพิจารณาไปๆ ถึงที่สุดแล้วท่านก็บอกมานั่งตลอดรุ่ง ที่ว่านั่งตลอดรุ่งน่ะ พอนั่งตลอดรุ่งท่านพิจารณาของท่าน เห็นไหม เพราะการนั่งตลอดรุ่งนะ พอจิตมันลง ใครทำสมาธิจะรู้ พอจิตมันลงสักพักหนึ่งมันต้องถอนออกมาเป็นธรรมดา ทีนี้คนที่ตั้งสัจจะไว้ว่าจะนั่งตลอดรุ่ง พอถอนออกมามันก็เป็นอารมณ์ปกติ มันก็ต้องเกิดอารมณ์การกระทบ ความรู้สึกต่างๆ กระทบ ท่านก็พิจารณาซ้ำไปอีก

ทีนี้พอพิจารณาซ้ำ พอพิจารณาจิตมันดีแล้วมันจับได้ไง เวลามันเจ็บ มันปวด เห็นไหม ท่านบอกว่า “เวลามันเต็มที่ เหมือนกับคนเรานี่นะนั่งอยู่แล้วเอาไฟสุมเผาร่างกายเลย” มันเจ็บปวดแสบร้อนขนาดนั้น ท่านพิจารณาของท่านจนมันขาด ทีนี้มันขาด หลวงตาท่านพูดอย่างนี้ ท่านบอกว่า

“นี่เวลาจิตมันเสื่อม จิตมันเสื่อม”

แล้วท่านบอก พอท่านขึ้นไปหาหลวงปู่มั่น ไปรายงานหลวงปู่มั่น บอกว่าพิจารณาแล้วเป็นอย่างนั้นๆ พอรายงานเสร็จก็ก้มอยู่ ฟังว่าท่านจะตอบอย่างไร? ท่านบอก

“เออ! นี่มันได้หลักแล้ว ต่อไปนี้จิตมันไม่ตาย ๕ อัตภาพเว้ย มันได้หลักแล้วนะ ให้เข้มแข็งนะ ต่อไปนี้”

นี่หลวงปู่มั่นพูดนะ หลวงตาท่านพูดรับไง ท่านบอกจิตมันเสื่อมมาตลอด พอมันเกาะติด ท่านใช้คำว่าเกาะติดไง นี่มันเกาะติดนะมันจะไม่เสื่อมอีกแล้ว คำว่าไม่เสื่อมอีกแล้วนะ โดยธรรมชาติสมาธิมันจะมีเสื่อมไหม? เสื่อม ปัญญามันเสื่อมไหม? เสื่อม ถ้าเป็นปุถุชนนะเสื่อมหมด เจริญแล้วเสื่อม เสื่อมแล้วเจริญ ที่มันไม่เสื่อมก็เป็นโสดาบันไง! ที่มันไม่เสื่อมเพราะขันธ์มันขาด ขันธ์ ๕ ไม่ใช่เรา เราไม่ใช่ขันธ์ ๕ เวทนามันขาด เวทนาไม่ใช่เรา เราไม่ใช่เวทนา

พอมันอย่างนั้นปั๊บหลวงปู่มั่นท่านบอกว่า “เออ คนเรามันไม่ตาย ๕ อัตภาพเว้ย”

มันก็เกิดกำลังใช่ไหม? หนึ่งคนเรานี่ปฏิบัติแล้วได้ผลด้วย แล้วครูบาอาจารย์ท่านยุยง ท่านบอกเลย ท่านลงจากหลวงปู่มั่นมา เหมือนกับหมา พอเจ้าของมันยุ อู๋ย มันจะเห่า มันจะกัด คือกำลังใจมันมาเต็มๆ เลย มันก็ซัดเต็มที่ๆ ซัดเต็มที่นั่งตลอดรุ่งเต็มที่ นั่งตลอดรุ่งอีก นั่งตลอดรุ่งอีก พอนั่งตลอดรุ่งไปมันพิจารณาซ้ำ พอซ้ำไปมันก็ไปเห็นกาย พิจารณากายไง พอพิจารณากายเต็มที่ พอมันสรุปมันก็ขาดอีก พอขาดก็ขึ้นไปหาท่านไง พอขึ้นไปหาท่าน นี่ไงตรงนี้แหละที่บอกว่าถ้ำสาริกาๆ พอขึ้นไปนะ

“เออ มันพิจารณาอย่างนี้มันถูกต้องแล้ว มันพิจารณาอย่างนี้เหมือนเราที่ถ้ำสาริกา”

เหมือนเราที่ถ้ำสาริกา เห็นไหม

“เออ พิจารณาถูกแล้วแหละ อย่างนี้เหมือนเราที่ถ้ำสาริกา”

แล้วเหมือนขั้นไหนล่ะ? เหมือนขั้นไหน? ก็พิจารณาไป พิจารณาธาตุ พิจารณาร่างกาย พิจารณาร่างกายคือการสู่สภาพเดิม โลกนี้ราบหมด ทีนี้พอโลกนี้ราบหมดนะ ทีนี้ท่านบอกว่า “เหมือนเราที่ถ้ำสาริกา” พอเหมือนเราที่ถ้ำสาริกาปั๊บ พอพิจารณาซ้ำไป พอปฏิบัติต่อ ปฏิบัติต่อเพราะอยากได้อย่างนั้นอีก ท่านบอกว่าอยากได้อารมณ์ที่เวลามันปล่อย มันขาด พอขึ้นไปหาหลวงปู่มั่นท่านบอกว่า

“จะบ้าหรือ? มันก็มีหนเดียว”

คือว่าเวลาเราขาดคือได้หนเดียว เวลาสรุปนี่สรุปได้หนเดียว แต่เวลาพิจารณาไปตทังคปหาน คือพิจารณาแล้วปล่อยนั่นแหละมันได้อะไร? มันพิจารณาแล้วซ้ำแล้วซ้ำอีก ซ้ำแล้วซ้ำอีก เพราะมันต้องให้ความเข้มแข็ง แต่เวลามันขาดมันสรุปได้หนเดียว ทีนี้พอขาดไปแล้วจะมีเหลืออีกไหม? มันก็ไม่มี ท่านบอกว่า

“มันจะบ้าหรือ? เหมือนเราที่ถ้ำสาริกา เราก็เป็นหนเดียว”

พอคำว่าเป็นหนเดียวนะ พอจิตมันคิดว่าหนเดียวก็มีหนเดียว ก็ไม่มีอีกแล้ว ติดตรงนี้อยู่ ๕ ปี พอติดตรงนี้อยู่ ๕ ปีนะ แล้วหลวงปู่มั่นท่านก็เป็นคนเอาออกมาอีกแหละ เอาออกหมายถึงว่า

“จิตเป็นอย่างไร? จิตเป็นอย่างไร?”

“จิตดีครับ จิตดีครับ”

“ดีบ้าหรือ? ดีอย่างนี้มันแค่เศษเนื้อติดฟันเท่านั้นแหละ”

พอเศษเนื้อติดฟันท่านให้ออกมาพิจารณา พอออกท่านบอกว่าท่านติดสมาธิอยู่ ๕ ปี พอออกมามานี่ เพราะมันติดสมาธิ กำลังมันแข็งแรงอยู่เต็มที่แล้ว พอมันจับอสุภะได้มันก็ไปใหญ่เลย ทีนี้พอไปใหญ่เลยมันก็ไม่ยอมพัก ไม่ยอมพัก พิจารณาไป พิจารณาแล้วพิจารณาเล่า พอจิตมันใช้กำลังสมาธิมากมันก็อ่อนล้า พออ่อนล้าก็ไปรายงานท่านนะ นี่บอกว่า

“ให้พิจารณา ตอนนี้ก็พิจารณาแล้วนะ ไม่ได้หลับไม่ได้นอนเลย”

“นี่ไอ้บ้าสังขาร ไอ้บ้าสังขาร”

บ้าสังขารคือต้องให้พักบ้าง คือต้องกลับมาทำความสงบของใจให้มีกำลังบ้าง นี่ท่านก็สงบอยู่อย่างนี้ แล้วตอนนั้นหลวงปู่มั่นก็เริ่มป่วย พอเริ่มป่วยท่านก็ขึ้นไปหาตลอดไง ขึ้นไปหาหลวงปู่มั่น หลวงตาท่านบอกว่า

“หลวงปู่มั่นท่านธาตุขันธ์เพียบนัก แต่เราก็เพียบทางจิตใจ”

นี่แค่นี้แหละ นี่ตอนนี้การพิจารณามันจะอนาคามี ไม่อนาคามีมันอยู่ตรงนี้ ถ้ามันพิจารณาถึงที่สุดแล้ว เห็นไหม พอท่านก็เพียบ เพราะอนาคามีมันทั้งข้างนอก ข้างใน หลวงปู่มั่นมาป่วยอยู่ ท่านขึ้นไปท่านบอกว่า เวลาหลวงปู่มั่นนี่นะ หลวงตาท่านเป็นคนอุปัฏฐากเอง คนป่วยตั้ง ๘ เดือน เป็นวัณโรค แล้วคนแก่

หลวงตาท่านบอกว่าเวลาท่านอุปัฏฐากนะ ลุกนั่งยังไม่ไหวเลย ยังต้องประคองลุก ประคองนั่ง แล้วมันหนาว เสลดมันเต็มคอไง ท่านจะใช้สำลี เมื่อก่อนมันไม่มี ใช้สำลีพันนิ้วแล้วไปเอาเสลดออก แล้วขณะที่ว่าเสลดติดคอ ท่านใช้ปากท่านดูดเองเลย เพราะท่านรักของท่านมาก พอทำอยู่อย่างนั้น ท่านเพียบขนาดนั้น

นี่ตรงนี้พิจารณามา พอสุดท้าย พอมันผ่านตรงนี้ พอหลวงปู่มั่นเสียท่านไปนั่งร้องไห้อยู่ปลายเท้านะ เพราะเคารพรักมาก แล้วท่านพูดอย่างนี้ไง

“จิตดวงนี้มันดื้อนัก ใครมันจะสอนได้ มันไม่มีใครสอน แล้วคนสอนก็นิพพานไปแล้ว แล้วตัวเราจะพึ่งใคร?”

มันสะท้อนใจนะ มันสะท้อนใจเต็มที่ ไปถามใคร ใครก็ตอบปัญหาอย่างนี้ไม่ได้หรอก ปัญหาที่เราเกิดกันอยู่ เราภาวนาอยู่ เรารู้เราเห็นของเรา แล้วไปคุยกับใคร คนอื่นเขาตอบกับเราไม่ได้ เขารู้กับเราไม่ได้ แต่เวลาคุยกับหลวงปู่มั่น รู้กัน ๒ คน คุยไปท่านก็รู้ คุยไปท่านก็บอก คุยไปท่านก็จัดการให้ นี่แล้วตอนนี้ท่านนิพพานไปแล้ว แล้วทำอย่างไร? ทำอย่างไร?

ร้องไห้นะ พอสุดท้าย พอหลวงปู่มั่นเสียแล้ว หลวงปู่มั่นก็อยู่ที่วัดป่าสุทธาวาส ท่านก็เร่งของท่าน เร่งของท่าน เห็นไหม นี่อนาคานอก อนาคาหยาบ-ละเอียดมันก็จบนั่นล่ะ สุดท้ายแล้วพอหลวงตาท่านเผาหลวงปู่มั่นแล้ว ท่านบอกว่าเผาหลวงปู่มั่นแล้ว ท่านไปจับจุดและต่อมอวิชชาได้

นี่ไงถ้าพูดถึงเขาบอกว่า ถ้ำสาริกาหลวงตาได้อนาคามี ถ้าได้อนาคามี แล้วจุดและต่อมมันอะไรล่ะ? แล้วมันไปไหนล่ะ? ถ้ามันได้อนาคามี ถ้าถ้ำสาริกา ถ้ำสาริกาตั้งแต่สกิทาคามี แล้วอสุภะล่ะ? แล้วนี่อนาคามีตั้งแต่ที่ถ้ำสาริกา แล้วอสุภะมันก็ต้องขั้นอรหันต์ แล้วจุดและต่อมมันไปไหนล่ะ? อย่างนี้มันก็เลยเถิดไง

เราจะบอกว่า

๑. ประวัติหลวงปู่มั่นก็คือประวัติหลวงปู่มั่น

๒. ประวัติหลวงตาก็เป็นประวัติหลวงตา

นี้พอประวัติหลวงตามันไม่เกี่ยวกับถ้ำสาริกาเลย เพียงแต่หลวงปู่มั่นท่านเคยประสบของท่านที่ถ้ำสาริกา ขั้น ๒ ขั้น ๓ ท่านบอกเหมือนเราที่ถ้ำสาริกา แต่เหมือนขั้นไหน? ถ้าเหมือนขั้นไหน มันก็มีตรงนี้รับประกันไง แล้วพอหลวงปู่มั่นรับประกัน พอหลวงตาท่านพิจารณาของท่านจนท่านพลิกโลกธาตุจบแล้ว พอจบแล้วท่านก็รู้เรื่องนี้หมด ท่านก็เขียนตรงนี้ได้

พอเขียนตรงนี้ได้ เวลาท่านพูด ท่านพูดชัดเจนมากว่าเวลาหลวงปู่มั่นพิจารณาสกิทาคามีที่ถ้ำสาริกา ของหลวงปู่มั่น เห็นไหม

“เวลามันราบลงแล้วนี่ของท่านมียักษ์”

เวลาหลวงตาท่านบอกนะ

“เวลาของท่านเป็นเหมือนหลวงปู่มั่นที่ถ้ำสาริกาเลย แต่ของเราไม่มียักษ์”

มันชัดๆ ถ้าคนเป็นนะมันไม่มีอะไรที่ให้ผิดเลย มันผิดเพราะไม่เป็นเท่านั้นเองไง มันผิดเพราะไม่รู้ ไม่รู้แล้วเอาประวัติหลวงปู่มั่น กับประวัติหลวงตามายำใส่กันไง แล้วพ่อแม่กับลูก นี่มันเป็นกรรมพันธุ์นั่นแหละ แต่มันจะเหมือนกันไหม? มันเหมือนกันไม่ได้หรอก ฉะนั้น ประวัติหลวงตาก็คือประวัติหลวงตา ประวัติหลวงปู่มั่นก็คือประวัติหลวงปู่มั่น ฉะนั้น ว่าหลวงปู่มั่นได้อนาคามีที่ถ้ำสาริกาจริงไหม? จริง แต่เวลาท่านบอกว่าเหมือนเราที่ถ้ำสาริกา แต่เหมือนขั้นไหนล่ะ? เหมือนขั้นไหน?

นี่พอเหมือนขั้นไหนนะ เอาตรงนี้มารองรับ เอาเหตุ เอาปัจจัย เอาข้อเท็จจริงมารองรับว่าถ้าเหมือนมันต้องมีเหตุ มีผลเหมือนกันสิ ทำไมเหตุผลของหลวงปู่มั่นไปอย่างหนึ่ง ทำไมเหตุผลของหลวงตาไปอย่างหนึ่ง เห็นไหม มันถึงไม่เหมือนไง มันไม่เหมือนกัน แต่พูดถึงหลวงปู่มั่นก็พระอรหันต์ เราเชื่อของเราอย่างนั้นเลย หลวงตาก็พระอรหันต์ ก็พระอรหันต์เหมือนกัน เพียงแต่ขั้นตอนที่คนไม่เป็นเอามาเรียง เอามาสับ นี่เอามาสับกันเอง แล้วมันสับสนไง มันสับสน

ทีนี้ย้อนกลับมา ย้อนกลับมาเป็นสิ่งที่ว่ามันเป็นเครื่องยืนยันไง ประวัติหลวงปู่เจี๊ยะ หลวงปู่เจี๊ยะท่านพูด เรื่องนี้เรายืนยันเพราะว่าเราฟังมาจากปากหลวงปู่เจี๊ยะ แล้วเราถามหลวงตา หลวงตาท่านพูดกันมามันเป็นภายใน พอเป็นภายใน แล้วครูบาอาจารย์ท่านพูดนะท่านพูดแบบนักปราชญ์ ท่านไม่พูดอธิบายเยิ่นเย้อหรอก ท่านพูดให้เราจับความได้

แล้วถ้าเราไม่รู้นะ อย่างเช่นเขาถามว่าในเมื่อประวัติหลวงตาเป็นอย่างนี้ ทำไมไม่มีใครเข้าไปถามหลวงตา ลองไปถามหลวงตาอย่างนี้ท่านจะบอกว่า “เรื่องอะไรของเรา?” ท่านไล่เลยนะ ท่านถือว่าเรื่องอย่างนี้มันเป็นเรื่องทางโลกไง ถ้าท่านพูดแล้ว เราฟังแล้วเข้าใจได้ ท่านต้องการให้เราเข้าใจได้ เรารู้ได้ ถ้าเราเข้าใจได้ เรารู้ได้ คือเรามีภูมิธรรม เรามันจบ ถ้าเราไม่มีภูมิธรรม เราไปถามท่านนะท่านไล่เลย หลวงตาท่านเป็นอย่างนั้น

ฉะนั้น ย้อนกลับมาที่หลวงปู่เจี๊ยะ หลวงปู่เจี๊ยะท่านบอกว่าท่านบวช บวชทีแรกก็บวชพรรษาหนึ่งเท่านั้นแหละ แล้วว่าจะสึก จะสึกแล้วล่ะ ทีนี้พอบวชไปแล้วท่านบอกท่านไปภาวนา พอท่านไปภาวนาที่วัดทรายงาม พอภาวนาแล้วอายเขา เพราะเวลาอยู่กับอาจารย์กงมามันมีพวกไปจำศีล แล้วเป็นปู่ ย่า ตา ยายเขาไปนั่งกัน เขานั่งตัวตรงเลยนะ ท่านบอกว่า

“เราอายุ ๒๐ การงานทางโลกเราทำเก่งมาก ทำไมเราภาวนาสู้คนแก่ไม่ได้ มันน่าอาย”

ท่านก็เลยมีความมุมานะ ทีนี้พอมีความมุมานะ พอภาวนาไปจิตมันลง พิจารณาจิตมันลง แล้วหลวงปู่กงมาอยู่ที่นั่นใช่ไหม? จิตมันลง พิจารณากายนี่มันปล่อยหมดนะ มันขาดหมด พอมันขาดขั้นที่ ๑ ใช่ไหม? ตอนนั้นมันยังไม่ออกพรรษา ท่านก็ทำของท่านต่อเนื่องไปๆ มันพิจารณากายไปอีก มันพิจารณาพอเป็นธาตุมันขาดอีก พอมันขาดอีกท่านก็ แหม มันมีความดูดดื่มมาก ไม่สึกแล้ว จะอยู่ตลอดไป แต่จะอยู่ตลอดไป จะภาวนาไปมันอยู่ใกล้บ้าน ท่านก็บอกว่าต้องขึ้นไปหาหลวงปู่มั่น

นี่ไงเหตุที่หลวงปู่เจี๊ยะจะขึ้นไปหาหลวงปู่มั่น แล้วพ่อ แม่ พี่ น้อง อู้ฮู เป็นปัญหามาก เพราะว่าหลวงปู่เจี๊ยะเขาเลี้ยงมา พ่อแม่เขารู้ หลวงปู่เจี๊ยะท่านเล่าให้เราฟังเองนะ ท่านบอกว่า ถ้าท่านอยู่ที่เมืองจันท์ อยู่ในหนองบัวอยู่ติดชายทะเลเลย ไอ้พวกกุ้ง หอย ปู ปลามันขึ้นมาจากทะเลทั้งนั้นแหละ ท่านบอกว่าของที่มาจากทะเลนะ เก็บได้คืนหนึ่งหรืออะไรก็แล้วแต่ ถ้ามาทำให้ท่านฉัน ให้ท่านกิน ตอนเป็นเด็กนะ โทษนะท่านพูดเอง ท่านจะกระโดดเอาหลังทับลงไปให้สำรับนี่แตกหมดเลย

ท่านขนาดนั้นนะ อาหารการกินต้องแบบว่าสดๆ ต้องเยี่ยมมาก ฉะนั้น พ่อแม่ท่านเลี้ยงลูกมาอย่างนั้น แล้วคิดว่าลูกขึ้นไปหาหลวงปู่มั่นที่เชียงใหม่ พ่อแม่ร้องไห้นะ ร้องไห้ว่าลูกจะอยู่ได้อย่างไร? แม่นี่ร้องไห้ บอกว่า “ลูกไปไม่ได้ ลูกไปไม่ได้หรอก ลูกไปแล้วลูกจะกินอย่างไร? ลูกเป็นคนกินยาก นอนยาก ลูกไปไม่ได้ๆ” มันก็เลยกลายเป็นปัญหา

นี่หลวงปู่เจี๊ยะเล่าเอง สุดท้ายแล้วไอ้ที่เขามอง เขามองข้างนอก มองถึงชีวิตความเป็นอยู่ แต่หลวงปู่เจี๊ยะท่านมีคุณธรรมในหัวใจ แล้วคุณธรรมนี่ท่านไม่เคยพูดให้ใครฟัง ท่านบอกว่าเรื่องในใจไม่พูดให้ใครฟังเลย ไม่เคยบอกใครเลย เว้นไว้แต่หลวงปู่มั่น แล้วคราวนี้ก็เหมือนกัน จะต้องขึ้นไปหาหลวงปู่มั่นอย่างเดียว มันก็เป็นเรื่องอย่างใหญ่โต สุดท้ายแล้วท่านก็ดันไปได้ ขึ้นไปกับหลวงปู่เฟื่อง

ท่านเล่าให้ฟังเอง บอกขึ้นไปกับหลวงปู่เฟื่องครั้งแรก อู้ฮู ขึ้นไปมันหนาวมากนะ มันหนาว แล้วอาหารมันกินไม่ได้นั่นแหละ แล้วมันหนาวมาก ท่านบอก

“เฟื่องเว้ยเฟื่อง” นี่ท่านเล่าให้ฟังนะ

“เฟื่อง กลับเมืองจันท์เว้ย กลับเมืองจันท์เว้ย”

ดูว่าหลวงปู่เฟื่องท่านจะกลับไหม? สุดท้ายพอท่านขึ้นไปนะ พอท่านขึ้นไปหาหลวงปู่มั่น ท่านไปเล่าเรื่องการภาวนาให้หลวงปู่มั่นฟัง เล่าภาวนาเรื่องการพิจารณากายให้หลวงปู่มั่นฟัง หลวงปู่มั่นฟังแล้วนะ หลวงปู่เจี๊ยะบอกว่าหลวงปู่มั่นไม่คัดค้านเราเลยนะ หลวงปู่มั่นบอก

“เออ ถูกแล้ว”

แล้วหลวงปู่เจี๊ยะท่านก็ถามว่า “แล้วจะให้ผมทำอย่างไรต่อไปครับ?”

หลวงปู่มั่นบอกว่า “ให้พิจารณากายอย่างเดิมนั่นแหละ”

คำว่าพิจารณากายอย่างเดิมคือพิจารณาซ้ำไปอีก พิจารณากายขั้นต่อไป ฉะนั้น เวลาหลวงปู่เจี๊ยะท่านพูดกับหลวงปู่มั่นแล้ว เวลาหลวงปู่มั่นท่านมาเทศนาว่าการไง ท่านบอกว่าเวลาเทศน์กับพระนะ เทศน์พระนี่ท่านบอก

“เฮ้ย มีพระหนุ่มๆ องค์หนึ่งเว้ยอายุ ๓ พรรษา แล้วมาเล่าภาวนาให้เราฟัง เหมือนเราที่ถ้ำสาริกาเลย เหมือนเราที่ถ้ำสาริกาเลย”

นี่ไง เหมือนเราที่ถ้ำสาริกามันไม่ใช่หลวงตาองค์เดียวนะ หลวงปู่เจี๊ยะด้วย ฉะนั้น หลวงปู่เจี๊ยะท่านได้ขั้น ๑ ขั้น ๒ ท่านเล่าให้ฟังเอง

ฉะนั้น สิ่งที่บอกว่าในประวัติหลวงตา ที่บอกว่าเหมือนที่ถ้ำสาริกา ได้อนาคามี หลวงปู่มั่นได้อนาคามี หลวงตาได้สกิทาคามี แล้วหลวงปู่มั่นท่านได้สกิทาคามีตั้งแต่คราวนั้น แล้วท่านได้อนาคามีด้วย หลวงปู่มั่นได้ทั้งสกิทาคามีด้วย อนาคามีด้วยที่ถ้ำสาริกา แล้วหลวงปู่มั่นท่านได้โสดาบันด้วยรู้ไหม? อยู่ที่ไหน? อยู่ในประวัติหลวงปู่มั่นนั่นแหละ

พูดไปมันเป็นปัญหาไง จะบอกว่าสิ่งที่เขาเขียนมาเขาจะให้เราเคลียร์ไง เหมือนกับบอกว่าเรานี่ว่าหลวงปู่มั่นได้สกิทาคามีที่ถ้ำสาริกา ไม่ใช่ ได้อนาคามี ทีนี้คำว่าได้อนาคามีนะ มันพิจารณาอสุภะ ปฏิฆะ กามราคะถึงได้อนาคามี

สิ่งที่เป็นสกิทาคามี เห็นไหม เวลาเป็นโสดาบัน นี่สักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาส เวลาได้สกิทาคามี กามราคะ ปฏิฆะมันอ่อนลง แล้วอ่อนลงอย่างไร? สังโยชน์มันอ่อนลง อ่อนลงอย่างไร? มันมีขั้นตอนของมัน ถ้ามีขั้นตอนของมัน ผู้ที่ภาวนาเขาจะมีตรงนั้นมารองรับ รองรับตรงไหน? รองรับเวลาที่หลวงตาท่านเทศน์ รองรับที่ตรงหลวงปู่มั่นท่านเทศน์ ท่านเทศน์ท่านจะบอกว่าสภาพมันเป็นอย่างนั้น สภาพมันเป็นอย่างนั้น

คนเรานี่สภาพ อย่างเช่นรถนะ เวลารถวิ่ง ๒๕ กิโลเมตรต่อชั่วโมง รถมัน เข็มมันขึ้น ๒๕ แล้วถ้ามันวิ่ง ๕๐ ล่ะ? ๒๕ ก็เป็นโสดาบัน แล้วถ้ามันวิ่ง ๕๐ ล่ะ? ความเร็วระหว่าง ๒๕ กิโลเมตรต่อชั่วโมง กับ ๕๐ กิโลเมตรต่อชั่วโมงมันแตกต่างกันไหม? แล้วถ้ามัน ๗๕ กิโลเมตรต่อชั่วโมงล่ะ? แล้วถ้ามัน ๑๐๐ กิโลเมตรต่อชั่วโมงล่ะ? นี่รอบมันต่างกัน เครื่องมันแตกต่างกัน ทุกอย่างมันแตกต่างกันหมด

อันนี้ก็เหมือนกัน จิตของคนเวลาเป็นไปมันแตกต่างกันหมด พอมันแตกต่างกัน มันรับรู้กัน แล้วพิจารณามันแตกต่างกัน ทีนี้เพียงแต่จะบอกว่าเช่นหลวงปู่เจี๊ยะท่านพิจารณากาย ขั้น ๑ ขั้น ๒ ท่านพิจารณากายหมดเลย นี่หลวงตา หลวงปู่มั่นเวลาท่านพิจารณา หลวงตาท่านพิจารณาเวทนา พิจารณากาย พิจารณาอสุภะ พิจารณาจิต จุดและต่อม นี่มันพิจารณาแตกต่างกัน

หลวงปู่คำดี หลวงปู่ชอบ หลวงปู่ฝั้น ท่านพิจารณามันแตกต่างกัน พอมันแตกต่างกัน มันเหมือนกับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เห็นไหม พระอรหันต์ ๘๐ องค์ เอตทัคคะ ๘๐ อย่าง นี่จริตนิสัยมันแตกต่างกัน การภาวนาของพระอรหันต์ทุกองค์จะไม่เหมือนกัน วิทยานิพนธ์ไม่ซ้อนกัน ประวัติการปฏิบัติจะไม่เหมือนกัน พิจารณากายเหมือนกัน อย่างเช่นหลวงปู่คำดี ท่านพิจารณากายเหมือนกันกับหลวงปู่เจี๊ยะ พิจารณากายเหมือนกันแต่ไม่เหมือนกัน

มันไม่เหมือนกัน อยู่ที่ความหนา ความหยาบ ความละเอียดของใจไง กิเลสมันมีหยาบหรือหนา การพิจารณากายนี่พิจารณากายในแง่มุมใด? การพิจารณากายในทัศนคติอย่างใด? พิจารณากายเหมือนกัน ดูสิอย่างเช่นพระพิจารณาเส้นผม เวลาพิจารณาเส้นผมนะ เส้นผมมันขยายออก เส้นผมนี่เหมือนท่อนซุง คิดว่าเส้นผมเหมือนท่อนซุง ในเส้นผมนั้นมันดูดอาหารอย่างไร? มันอยู่ของมันอย่างไร?

นี่ทำไมจิตมันขยายได้ จิตมันพิจารณาของมันได้ มันพิจารณาได้ นี่แง่มุมของการปฏิบัติ เราจะบอกว่ามันไม่เหมือนกันหรอก ถ้าเหมือนกันมันเป็นสัญญา ถ้าเหมือนกันมันเป็นสัญญา ฉะนั้น เพียงแต่หลวงปู่มั่นท่านบอกเหมือนเรา เหมือนเราคือโดยผลไง โดยผล มันไม่ใช่เหมือนเราโดยก็อปปี้ไง ถ้าเหมือนเราโดยผลมันเหมือนกัน อันนี้เหมือนกันโดยอริยสัจมีอันเดียวเหมือนกัน ฉะนั้น มันถึงไม่เหมือนกัน

เราเคลียร์นะ วันนี้เขาถามมาอีกไง

ถาม : ๑.หลวงปู่มั่นสำเร็จที่ถ้ำสาริกา บรรลุธรรมสำเร็จเป็นขั้นอนาคามี

หลวงพ่อ : โดยที่หลวงตาเขียนนี่ถูก สิ่งใด ประวัตินี่ถูกหมด สิ่งที่ถามมาเราไม่ได้คัดค้านสิ่งใดเลย นี่อย่างเช่นเราบอกว่าขั้นสกิทาคามี ก็สกิทาคามีจริงๆ เป็นอย่างนั้นจริงๆ แต่ท่านได้อนาคามีด้วย เฉพาะของท่าน แล้วถ้ำสาริกาก็ผูกพันเฉพาะหลวงปู่มั่น เพียงแต่หลวงปู่มั่นเอามาพูดว่าเหมือนเราที่ถ้ำสาริกาเท่านั้นเอง แต่ครูบาอาจารย์ของเรา หลวงตา หลวงปู่เจี๊ยะท่านไม่เคยอยู่ที่ถ้ำสาริกา ไม่เกี่ยวกันๆ พอไม่เกี่ยวกัน ที่ถ้ำสาริกาก็เป็นถ้ำสาริกา แต่ที่เหตุที่ผล ที่เหตุที่ผลที่หลวงปู่มั่นเป็น ที่เหตุที่ผลที่ครูบาอาจารย์เป็น แค่นี้เอง

เราจะบอกว่าอย่างนี้นะ สิ่งที่เป็น นี่มันสิ่งที่เป็น แล้วตอนนี้นะ อย่างเช่นประวัติการภาวนาของหลวงตา ตอนนี้จะมีพระเขาทำกันอยู่ เพราะพระที่ใจเป็นธรรมเขาอยากให้แบบว่ามันเป็นธรรม อย่างเช่นของหลวงปู่มั่น พวกเราเชื่อถือกันอยู่แล้ว พวกเราลงใจกันอยู่แล้ว แล้วไม่เอาไปบิดเบือน ทำให้มันเสียหาย

อย่างเช่นของหลวงตาก็เหมือนกัน หลวงตานี่ถ้าเราไม่บิดเบือนนะ คนภาวนาไป หรือคนปฏิบัติไปมันเป็นสเต็ปนะ เราจะเข้าได้เป็นอย่างนั้น แต่ถ้าไปบิดเบือน แบบว่ามันทำให้การปฏิบัติของเรามันลุ่มๆ ดอนๆ ถ้าอย่างนั้นปั๊บมันจะเสียผลประโยชน์เท่านั้นเอง ฉะนั้น ถึงบอกว่า แล้วทำไมคนคิดว่า? เวลาหลวงตาท่านอยู่ทำไมไม่เคลียร์เรื่องนี้ ทำไมไม่เคลียร์? แล้วหนังสือที่ทำกันอยู่นี่ก็บอกว่าหลวงตาได้ตรวจสอบแล้ว หลวงตาได้ตรวจทานแล้วๆ ตรวจทานอย่างไรท่านก็ไม่พูดหรอก เพราะว่าของกรณีอย่างนี้มันพูดบอกกันไม่ได้

อย่างเช่นพระโสดาบัน จะบอกให้ปุถุชนเป็นพระโสดาบันมันเป็นไปได้อย่างไร? พระโสดาบันเขารู้เรื่องสักกายทิฏฐินะ แล้วปุถุชนมันไม่รู้ แล้วให้พระโสดาบันอธิบายจนให้ปุถุชนรู้มันเป็นไปได้ไหม? มันเป็นไปไม่ได้ แต่ถ้าพระโสดาบันกับพระโสดาบันเขาคุยกันนะ เขามองกันเขาก็รู้ ฉะนั้น พยายามจะไปอธิบายให้คนที่มันไม่รู้ให้มันรู้ ดูสิมันจะเขียนหนังสือต้องอธิบายให้มันรู้

มีคนอ้างตรงนี้บ่อย ผมจะเขียนหนังสือนะ หลวงพ่ออธิบายให้ผมเข้าใจสิ อธิบายให้จนตาย มันเข้าใจตอนที่มันฟังเท่านั้นแหละ พอมันพ้นไปมันก็งงแล้ว มันเป็นไปไม่ได้ ถ้ามันเป็นไปได้ ครูบาอาจารย์ที่จิตใจท่านเป็นธรรม ท่านจะรู้ว่าอะไรมันเป็นไปได้ และอะไรที่มันเป็นไปไม่ได้ สิ่งที่มันเป็นไปไม่ได้ จะพูดทำให้มันเป็นไปได้นี่มันไม่มีหรอก

ฉะนั้น สิ่งที่เป็นไปไม่ได้ ถ้าเขาปฏิบัติ นี่สิ่งที่เขารู้ไม่ได้ แต่ถ้าเขาปฏิบัติถึงที่นั่นปั๊บเขาจะอ๋อนะ พอเขาอ๋อเสร็จแล้วเขาจะเข้ามากราบขอขมาเลยนะ ว่าสิ่งที่คาดคิดไว้ ที่ทำไว้มันผิดหมด แต่ถ้าเขายังไม่อ๋อ เขายังเกิดมีทิฐิมานะ แล้วคือว่าสิ่งที่เขาทำด้วยกระแสสังคมไง กระแสสังคม เวลาเขาไปเขียนประวัติครูบาอาจารย์กัน เขาเขียนเพื่ออะไร? เขาเขียนเพื่ออ้างอิงความเห็นของเขา

อย่างเช่นเรานี่เราไม่มีความรู้ แล้วเราสำคัญตนว่าเรามีความรู้ แล้วมีความรู้อย่างนี้มันก็จะเอาไปเขียนประวัติของคนนั้นๆ มาอ้างอิงให้มันสมกับความรู้สึกของตัวไง แล้วพอประวัติมันเขียนมาเหมือนเรา เห็นไหม นี่ไงเหมือนกันเลย เหมือนกันเลย

นี่คนถ้ามันฉ้อฉล มันทำให้เสียหายมันเสียหายอย่างนี้ เสียหาย พยายามอ้างอิงประวัติครูบาอาจารย์นะ ให้มาเหมือนกับความทิฐิมานะของตัว แต่ถ้าคนมันเป็นความจริงแล้วนะสาธุ ของครูบาอาจารย์ก็วางไว้ของครูบาอาจารย์ ขององค์ไหนก็วางขององค์ไหน เราศึกษา เราศึกษามาเพื่อเป็นคติ เป็นตัวอย่าง แบบพระกัสสปะ เห็นไหม พระกัสสปะบอกกับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถามพระกัสสปะ เพราะอายุเท่ากัน ๘๐ ปีเหมือนกัน

“กัสสปะ เธอก็เป็นพระอรหันต์เหมือนกัน เธอถือธุดงควัตรทำไม?”

ถือธุดงควัตร นี่แบบว่าอายุมากแล้ว เห็นไหม พระกัสสปะก็บอกว่า

“ข้าพเจ้าถือธุดงควัตรไม่ใช่ว่าเพื่อตัวข้าพเจ้าเอง ข้าพเจ้าถือธุดงควัตรไว้เพื่ออนุชนรุ่นหลังจะได้มีคติแบบอย่าง”

นี่พระกัสสปะทำเพื่อเหตุนั้น ทำเพื่อเป็นคติ เพื่อเป็นแบบอย่างกับคนอื่น ฉะนั้น สิ่งใดที่มันถูกต้อง สิ่งใดของครูบาอาจารย์ที่เป็นธรรม เป็นคติ เป็นแบบอย่าง ถ้าแบบอย่างเราทำได้ ถ้าทำได้ถึงเราก็จบ ถ้าทำไม่ถึง ไม่ถึงก็อย่างนี้แหละ ดึงฟ้าต่ำ พยายามเขียนกัน พยายามทำให้มันแตกต่างกันไป

ฉะนั้น เราจะบอกว่า หลวงปู่มั่นที่ถ้ำสาริกานะสาธุ เป็นเรื่องของหลวงปู่มั่นที่ถ้ำสาริกา หลวงตาท่านได้ที่หนองผือ ได้ที่หนองผือนะ ๑ ๒ ๓ แล้วที่ไปได้ดอยธรรมเจดีย์นั่นขั้นสุดท้าย ไม่เกี่ยวกับถ้ำสาริกาเลย ไม่ต้องเอามาผูกพันกัน อย่าเอาวิทยานิพนธ์ของทั้ง ๒ องค์มาเกี่ยวเนื่องกัน มาสับสนกัน แล้วยิ่งของหลวงปู่เจี๊ยะด้วย ยิ่งของหลวงปู่บัว ของหลวงปู่ขาว วิทยานิพนธ์ของใครของมัน แล้วการทำนี่มันทำมาจากความเป็นจริง แล้วถ้าเป็นจริงแล้ว ถ้าสำเร็จแล้วก็คือจบ

ไม่เกี่ยวอะไรกันเลย ไม่เกี่ยวอะไรกันเลย ไม่เป็นสาระ ไม่เป็นประเด็น เป็นประเด็นอย่างเดียว ไม่รู้ แล้วอยากทำ แล้วทำไปแล้ว นี่ด้วยความไม่รู้ทำให้มันเสียหาย ทำให้มันฟั่นเฟือน ทำให้มันคลาดเคลื่อน ทำให้ผู้เข้ามาศึกษาไม่มีหลัก จับหลักไม่ได้ จับหลักไม่ได้ เพราะอ้างอิงจนสับสน แล้วคนที่เข้ามาศึกษาจะจับหลัก มันจะเอาที่ไหนมาเป็นหลัก นี่ถ้าไม่รู้มันเสียหาย มันเสียหายตรงนี้ แต่ผู้รู้เขาไม่มีอะไรเสียหาย เขาจะเป็นประโยชน์กับเขา

นี้คือกรณีถ้ำสาริกา เอวัง