เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๑๖ ม.ค. ๒๕๕๕

 

เทศน์เช้า วันที่ ๑๖ มกราคม ๒๕๕๕
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

เมื่อวานมีโยมเขามา เขาบอกว่าเขาจะมาขอเลี้ยงพระ อยากจะมาเลี้ยงน้ำ เห็นคนมาเยอะ เราก็ถามเขา ถามเขาว่า

“โยมมาเลี้ยงน้ำ โยมว่าทำให้พระ ทำให้วัดนี่สะดวกสบายขึ้น หรือทำให้วัดวุ่นวายขึ้น?”

เขาบอกว่า “วุ่นวาย”

“วุ่นวายแล้วโยมจะมาเลี้ยงน้ำอีกหรือ?”

โยมมาตอนเช้าสิ เอาน้ำมานี่เอาน้ำมาเยอะแยะเลย น้ำนี่พระก็ต้องใช้ทั้งนั้นแหละ แต่ทางโลกใช่ไหม? ทางวัดต้องเอาใจโยม เพราะโยมมานี่ถ้าได้เลี้ยงพระ โยมได้ทำกับมือมันสนุกครึกครื้น แต่ถ้าเอามาให้พระจัดการมันไม่สนุกครึกครื้น เขาบอกเขาก็เห็นใจนะ เขาบอกว่าเขาเคยบวชมาเยอะ แล้วไปตามวัดตามวาเขาทำกันอย่างนั้น

เราบอกใช่ ตอนนี้นะทำกันอย่างนั้น ดูสิรัฐบาลไทย เห็นไหม วันสำคัญทางพุทธศาสนาบอกให้ไปวัดๆ เพราะหวังว่าการไปวัดนั้นวัดจะขัดเกลา ขัดเกลาให้คนเป็นคนดี ถ้าขัดเกลาให้เป็นคนดีนะ การปกครองก็ง่ายขึ้น ทำทุกอย่างมันก็สะดวกสบายขึ้น วัดถือว่าเป็นการขัดเกลา แต่การขัดเกลาของวัดมันก็มีหลาย

นี่ความดีที่ดีกว่านี้ยังมีอยู่ เขาไปวัดไปวา ไปวัดไปวาเหมือนกับเราไปจิตสาธารณะ มีการเสียสละ มีการดูแลกัน มีการเอื้ออาทรต่อกัน มีความปรารถนาดีต่อกัน นี่คือการไปวัด ทีนี้พอไปวัดแล้ว เราจะประพฤติปฏิบัติขึ้นมา การประพฤติปฏิบัติมันต้องการความสงบสงัด โลกเขาพูดบ่อยมากว่าพระนี่ไม่จริง ถ้าพระจริงก็ต้องปฏิบัติต่อเมื่อที่คนพลุกพล่านก็ได้สิ ทำไมเวลาปฏิบัติต้องหลีกเร้นไปล่ะ?

นั้นเป็นความคิดของโลกเขาไง ของกิเลส ของความเห็นแก่ตัว แต่เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านะ เวลาเสียสละออกมา หนีออกจากราชวังมา นี่พระเจ้าสุทโธทนะจะสถาปนาเป็นกษัตริย์อยู่แล้ว ท่านหนีออกมา เห็นไหม

ถ้าไม่เสียสละออกมา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะไม่ได้เป็นศาสดา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะได้เป็นจักรพรรดิ จะมีการปกครอง จะมีการทำให้สังคมร่มเย็นเป็นสุข แต่ก็ร่มเย็นเป็นสุขในสถานะของจักรพรรดิ แต่เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสียสละมา แล้วออกมาประพฤติปฏิบัติจนเป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เห็นไหม สตฺถา เทวมนุสฺสานํ เป็นผู้สั่งสอนเทวดา มนุษย์ อินทร์ พรหม ได้ทั้งหมดเลย

คำว่าสั่งสอน สั่งสอนที่ไหนล่ะ? โลกเห็นสมบัติพัสถานเป็นที่พึ่งอาศัย ธรรม ธรรมเห็นความสุขร่มเย็นในหัวใจเป็นที่พึ่งอาศัย ถ้าในหัวใจเรามีความร่มเย็นเป็นสุข มันจะทุกข์ร้อนขนาดไหน? ความทุกข์ร้อนของโลกมันก็ชั่วคราวเท่านั้นแหละ แต่ความทุกข์ร้อนของใจมันเผาลนไปตลอด ถ้ามันจะเผาลนตลอด เราต้องมีความสงบระงับเพื่อระงับหัวใจของเราให้ได้ก่อน ถ้าระงับหัวใจนะ ระงับหัวใจนี่เป็นสมถกรรมฐาน ฐานที่ตั้งแห่งการงาน ถ้าเราไม่มีฐานที่ตั้งแห่งการงาน เราจะทำงานกันที่ไหน?

เวลาคนเขาทำงาน เห็นไหม เขาต้องมีออฟฟิศใช่ไหม? แม้แต่นักกีฬายังต้องมีสนามซ้อมเลย ถ้าไม่มีสนามซ้อม เขาก็หาที่ว่างของเขาซ้อมกีฬาของเขา เพื่อเทคนิคของเขา เพื่อความฟิตของเขา จิตใจของคน นี่พระปฏิบัติที่ไหนก็ได้ ภาวนาที่ไหนก็ได้ ถ้าภาวนาที่นั่นมันก็เป็นสังคมอย่างนั้นไง มันก็เป็นเรื่องโลกียปัญญาไง เรื่องจิตสาธารณะ เรื่องความเอื้ออาทรต่อกัน เรื่องความเอ็นดูต่อกัน เรื่องการพึ่งพาอาศัยกันก็พึ่งพาอาศัยกันโลกๆ

พึ่งพาอาศัยทางโลก เห็นไหม ดูสิงานทางโลก ในเมื่อเราทำงานสิ่งใดยังไม่เสร็จ ทุกคนก็มาทำต่อให้มันจบสิ้นได้ไง แต่หัวใจใครจะทำของเราให้จบสิ้นได้ล่ะ? หัวใจของเรา เราต้องทำหัวใจของเราเอง ถ้าทำหัวใจของเราเอง สิ่งที่มันพัฒนาขึ้น ใช่ การไปวัดไปวาถูกต้องไหม? ถูก การมีจิตสาธารณะดีไหม? ดี การเอื้ออาทรต่อกันดีไหม? ดี เวลาเราเจ็บไข้ได้ป่วย เขาเอื้ออาทรต่อเราแล้วเราจะหายไหม? เวลาเราทุกข์ร้อนในหัวใจ พ่อแม่ก็ได้แต่ปลอบประโลมเท่านั้นแหละ เวลามาก็ได้แต่ให้กำลังใจกันนะ นี่มันเป็นอย่างนี้เอง มันเป็นอนิจจังเดี๋ยวก็ปล่อยวางได้ ทุกคนที่เจ็บไข้ได้ป่วยบอกว่าก็เอ็งไม่ได้เป็นแบบกูนี่ เอ็งเป็นแบบกูแล้วเอ็งจะรู้

นี่เวลาเราเอื้ออาทรต่อกันถูกต้องไหม? ถูก แต่เวลาเราปฏิบัติขึ้นไปแล้วนะ นี่เวลาจิตเราสงบสงัดเข้ามา แล้วเราเห็นของเรานะ สิ่งนี้มันไม่ใช่เรา สิ่งนี้ไม่ใช่เรามันเกิดขึ้นกับเรา มันอยู่กับเราชั่วคราวนะ ทุกสิ่งทุกอย่างมันอยู่กับเราชั่วคราว คำว่าอยู่กับเราชั่วคราวเพราะเราเกิดมาในสถานะของมนุษย์ เห็นไหม นี่โลกนี้เป็นสมมุติ สมมุติตามความเป็นจริง สมมุติว่าหนึ่งชีวิต สมมุติว่าอายุขัยหนึ่ง สมมุติว่าเทวดานี่ภพหนึ่ง พรหมภพหนึ่ง หมดอายุขัยของเขาก็เวียนตายเวียนเกิดไป

นี่ไงวัฏสงสาร โลกนี้อยู่ในวัฏสงสาร มันจะวนเวียนไปแบบนี้ วนเวียนไป แต่สถานะที่เราไปเป็นสถานะนั้นแล้วเราว่านี้มันมาจากไหน? มาจากไหน? มาจากการกระทำดีทำชั่วของเรา ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว ทำดีของเรา เห็นไหม คนทำดี คนมีจิตใจเอื้ออาทร จิตใจเป็นสาธารณะ มันมีความคิด ความรู้สึกนึกคิดของมันไปอย่างหนึ่ง ถ้าคนที่เขาเห็นแก่ตัว เขาจะบอกว่าคนพวกนี้ไม่มีปัญญา พวกนี้ทำไมไม่รู้จักแสวงหาผลประโยชน์ เขาคิดของเขาไป นี้มันเกิดจากอะไร? เกิดจากการฝึกฝนไง

เราจะบอกว่าเชาว์ปัญญา ปฏิภาณไหวพริบ คนอยากมี อยากเป็น ความอยากมี อยากเป็นมันต้องฝึกฝน เรานั่งทำความสงบของใจเราขึ้นมา เพื่อให้เกิดภาวนามยปัญญา ปัญญาที่จะชำระกิเลสมันไม่ใช่ปัญญาอย่างเรา ปัญญาอย่างเราคิดกันอยู่นี้ เห็นไหม กิเลสพาใช้ กิเลสมันคืออะไร? กิเลสคือความไม่รู้ อวิชชาคือความไม่รู้ ละเอียดมากนะ

นี่ดูสิจิตเดิมแท้นี้ผ่องใส จิตเดิมแท้ผ่องใส ความผ่องใสคืออวิชชา พลังงานนั้นน่ะคือตัวกิเลส ตัวพลังงานนั้นน่ะ เพราะมีพลังงานนั้นถึงมีความคิด พอเรามีความคิดขึ้นมานี่กิเลสพาใช้ เพราะเราเสวยอารมณ์ใช่ไหม? เวลาไม่คิด ความคิดมันอยู่ที่ไหน? มันมีแต่ความรู้สึกเฉยๆ ไม่มีความคิด พอมีความคิดขึ้นมา นี่มีความคิดขึ้นมา เราคิดดี คิดชั่ว ความคิดนั้นมันมีแรงขับ แรงขับคืออะไร แรงขับคืออวิชชา นี่กิเลสพาใช้ แต่เวลาทำความสงบของใจเข้าไป ฐีติจิต

ฐีติจิตคือว่า นี่ถ้าคนมีอำนาจวาสนานะมันจะสว่าง มันจะมีแสงสว่าง มันจะมีความว่าง มันจะมีความรู้สึก เห็นไหม นี่กรรมฐาน ฐีติจิตคือจิตเดิมแท้ จิตเดิมแท้คือกลับเข้าไปสู่ตัวจิต คือสัมมาสมาธิ ถ้าสัมมาสมาธินะ ถ้าเกิดปัญญา เพราะเป็นสัมมาสมาธิ ถ้าไม่เป็นสัมมาสมาธิมันไม่รู้จักตัวมันเอง ที่เขาบอกว่างๆ ว่างๆ โดยที่ขาดสตินะ เพราะมันเป็นความว่าง

ถ้าความว่างเป็นความจริง อวกาศมันก็ว่าง ในตุ่มในไหมันก็ว่าง แต่ว่างอย่างนั้นไม่มีชีวิต ไม่มีใครเป็นเจ้าของ แต่ว่างแบบเรานี้มันไม่ว่างอยู่ เพราะมันเป็นความรู้สึกนึกคิด ความรู้สึกนึกคิดมันบีบคั้นเรา เราก็พุทโธ พุทโธ เราใช้ปัญญาอบรมสมาธิจนมันว่าง มันว่างเพราะอะไร? มันว่างเพราะมันไม่เสวย มันว่างเพราะมันไม่ส่งออก

การเสวยอันนี้เพราะอวิชชามันเสวยความคิด ความคิดออกมามันถึงเป็นกิเลสพาใช้ กิเลสมันทำให้เราคิด กิเลสมันเห็นแก่ตัว แต่พอพุทโธ พุทโธจนมันสงบ พอมันสงบระงับไปมันเป็นตัวของมันเอง ถ้าตัวของมันเอง ถ้ามีสตินะ ถ้ามีสติ โอ้โฮ ว่างนี่มีความสุขมาก พูดไม่ถูกเลย นี่มันเป็นอย่างนั้นๆ พูดไม่ออกเลย เพราะฝึกหัดใช้ปัญญา

การฝึกหัดใช้ปัญญา เห็นไหม ปัญญาที่มันใช้ นี่โลกุตตรปัญญา ปัญญาที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้อยู่โคนต้นโพธิ์ ปัญญาอย่างนี้ปัญญาในพุทธศาสนา คือภาวนามยปัญญา พวกเรานี่เอาสีข้างเข้าถู บอกว่าศาสนาพุทธเป็นศาสนาแห่งปัญญา ก็ใช้ความคิดกันนี่ว่าเป็นปัญญา แต่ความคิดนี้มันตกอยู่ในตัณหาความทะยานอยาก อยากได้ อยากดี อยากให้เขายอมรับ อยากไปหมดเลย แต่ถ้าอยากลด อยากละ อยากปฏิบัติ อันนี้เป็นมรรค

อยากหันหน้าเข้าป่า อยากหันหน้าเข้าสู่ความสงบระงับ ไม่ต้องให้ใครมายุ่งกับเรา ไม่ต้องมาปลอบประโลม ไม่ต้องมาสงสารพระ พระอยากประพฤติปฏิบัติ พระมั่นคง พระจะเอาจริงของพระ ถ้าพระได้ความจริงอันนี้มา เห็นไหม นี่เวลาเราปฏิบัติกัน เราอยากได้ความสงบระงับ เราอยากมีปัญญานะปฏิบัติกันนี่ เราอยากได้ แต่เราไม่ดูวิธีการไง วิธีการสู่เป้าหมาย

วิธีการ เห็นไหม ดูพระ นี่พระวันนี้มาฉันไม่ครบอีกแล้ว พระจะอดอาหาร พระผ่อนอาหาร พระอดนอน พระทำเพื่ออะไร? เขาปรารถนาความดีที่ดีกว่านี้ไง ฉันอิ่ม นอนอุ่น เรามีปัจจัยเครื่องอาศัย มีความสะดวกสบาย เราก็มีความพอใจของเรา แต่มีความพอใจแล้วกิเลสมันก็ยังเผาลนอยู่ในหัวใจ แล้วว่าจะแก้อย่างไร? จะแก้อย่างไร? พระถึงหาทางออกไง ถ้าฉันมากนั่งสัปหงกโงกง่วง ถ้าเราอยู่สุขอยู่สบายของเรานี่ขาดสติ เวลาอารมณ์ความรู้สึกบีบคั้นในหัวใจก็ไม่ทัน

นี่เราก็ต้องตั้งสติ เราต้องผ่อนอาหารให้ธาตุขันธ์ คือมันแข็งแรงให้มันอ่อนตัวลง พออ่อนตัวลง กิเลสมันก็อ่อนด้วย ถ้าธาตุขันธ์แข็งแรงนะ ความรู้สึกนึกคิดปึ๋งปั๋งนะ กิเลสมันก็ปึ๋งปั๋งไปด้วย แต่เราตัดทอนมันให้มันอ่อนลงๆ อ่อนลงกิเลสมันก็เพลีย มันก็อ่อนแอของมัน นี่สติมันก็ดีขึ้น ความดีขึ้น เวลามันสงบระงับเข้ามาแล้วหัดฝึกใช้ปัญญา ถ้าปัญญามันเกิดขึ้นมานะ ถ้าสติปัญญาไม่ใช่ปัญญาที่กิเลสพาใช้ไง ปัญญาอย่างเรานี่กิเลสพาใช้ เพราะไม่มีสติปัญญา ควบคุมไม่ได้ ไม่มีสติไง ไม่มีสติ ไม่สามารถควบคุมความคิดได้ เราไม่สามารถควบคุมความคิดได้

แต่พอมันเป็นสมถกรรมฐาน พอมันฝึกหัดใช้ เห็นไหม นี่ไงอริยสัจ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค มรรคญาณ มรรคนี้ โยมขับรถมาใช่ไหม? โยมควบคุมพวงมาลัยมาใช่ไหม? โยมบังคับรถให้มาถึงที่วัดนี้ใช่ไหม? กิเลส เห็นไหม เวลากิเลสมันพาใช้มันควบคุมไม่ได้ เวลาธรรมพาใช้นะ เวลาความคิดมันเกิดขึ้น นี่ธรรมพาใช้ เราควบคุม นี่ให้พิจารณาสิ่งที่ว่าสิ่งนี้ไม่พอใจ สิ่งนี้เผาลนหัวใจ สิ่งนี้มันเกิดขึ้นมาได้อย่างไร? มันเกิดมาจากไหน? มันมาเพราะอะไร?

มันมาเพราะมีการเกิด เพราะมีฐีติจิตไง ในเทวดา อินทร์ พรหม เขาก็มีเหมือนกัน เขาก็มีความรู้สึกนึกคิดเหมือนกัน แต่ถ้าเขาไม่มีสมถกรรมฐาน เขาไม่กลับมาดู เขาไม่รู้จักใจของเขา เขาไม่มีสติปัญญาของเขา ปัญญาที่เขาใช้ว่าเป็นปัญญาๆ ปัญญาอย่างนั้นคือกิเลสพาใช้ทั้งหมด แต่ถ้าจิตมันสงบเข้ามาถึงสมถกรรมฐาน ฐานที่ตั้งแห่งการงานนี้ มันรู้ตัวของมันใช่ไหม? ไม่ใช่อวิชชา อวิชชาคือมันไม่รู้ มันจะเป็นวิชาไง

อวิชชาคือความไม่รู้ อวิชชาปัจจยา สังขารา สังขารปัจจยา วิญญาณัง มันเกิดภพเกิดชาติ คือเกิดความรู้สึกนึกคิด เกิดความทุกข์นั่นล่ะคือภพชาติ ภพชาติคือสถานะของความรู้สึกนั่นแหละ นั่นแหละคือภพชาติ แต่เวลามันมีวิชาขึ้นมานะ วิชามันรู้ขึ้นมามันดับ นี่มันดับเข้ามาๆ มันรู้เข้ามามันดับหมดๆ ดับถึงดับภพ ดับชาติ ถึงทำลายภพทำลายชาติ ถึงบอกว่านี่ภวาสวะ เห็นไหม กิเลส ๓ อวิชชาสวะ กิเลสสวะ ภวาสวะ

ฉะนั้น ถ้าบอกว่าถ้าพระอรหันต์ต้องไม่มีภวาสวะ ไม่มีภวาสวะก็ไม่มีสถานที่ ไม่มีสถานที่ก็ไม่มีใครเสวย ไม่มีใครเสวยมันก็ไม่มีจิต ถ้ามีจิต มีจิตก็มีเสวย พระอรหันต์ไม่มีจิต ไม่มีภพหรอก ถ้ามีภพอยู่ไม่ใช่พระอรหันต์ พระอรหันต์จะไม่มีภพ กิเลส ๓ ไม่มี ถ้าไม่มีจิตก็ต้องไม่มี ถ้าจิตมี จิตมันมีอยู่บนอะไร? ตั้งอยู่ที่ไหน? แล้วมันเป็นใคร? ฉะนั้น สิ่งที่ว่าเรามา เห็นไหม ความดีที่ดีกว่าเกิดขึ้น ถ้าเราจะประพฤติปฏิบัติขึ้นมา นี่เราทำของเรา แก้ไขของเรานะ

นี่อริยทรัพย์ ทรัพย์จากภายใน ฉะนั้น มันอยู่ในหัวใจ มันเป็นสันทิฏฐิโกอยู่ภายใน แต่ภายในอันนี้ ความลับไม่มีในโลก ความลับจากข้างนอกเรื่องหนึ่งนะ ความลับจากเรา เรามีความลับลมคมในในหัวใจของเรา เรามีความลับนะ ความลับไม่มีในโลก เราคิด เรานึก เรารู้สึก นี่ความลับทั้งนั้นแหละ ความลับของเรา แต่ถ้ามันได้ชำระล้างแล้วมันไม่มี ไม่มีความลับในเรา ไม่มีสิ่งต่างๆ เราชำระล้างได้ทั้งหมด สิ่งนี้มันเป็นประโยชน์กับจิตดวงนี้ ประโยชน์ในการประพฤติปฏิบัติ ถ้าเราปฏิบัติ เห็นไหม เราทำของเราขึ้นมา มันเป็นประโยชน์กับเราขึ้นมา

นี่ฟังธรรมฟังอย่างนี้ เวลาไปวัดไปวาดีไหม? ดี ทุกอย่างดีไหม? แต่ความดีอย่างนั้นมันดีพื้นฐานของมนุษย์ มนุษย์นี่พื้นฐาน เห็นไหม มนุษย์ถ้าไม่มีศีลมีธรรม นี่สัตว์มันก็มีชีวิตเหมือนกันนะ สัตว์มันก็มีครอบครัวของมันเหมือนกัน มนุษย์ต่างกว่าสัตว์เพราะมีศีลมีธรรม มีศีลมีธรรมนะ มีความเจริญทางหัวใจ ฉะนั้น ถ้าเราจะเจริญขึ้น ดีขึ้น ปฏิบัติขึ้น

นี่เวลาเทวดา อินทร์ พรหม มาฟังเทศน์องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เทวดา อินทร์ พรหม มาฟังเทศน์หลวงปู่มั่น ทำไมเทวดา อินทร์ พรหม มาฟังคำเทศน์ของมนุษย์ล่ะ? ไหนว่าเทวดา อินทร์ พรหม สูงส่งนักไง ทำไมต้องมาฟังมนุษย์ล่ะ? ทำไมให้มนุษย์สอนล่ะ? ฉะนั้น ถ้าหัวใจเราประพฤติปฏิบัติถึงที่สุดแห่งทุกข์ นี่เราเข้าใจถึงวัฏฏะ

ผลของวัฏฏะ เทวดา อินทร์ พรหม เขาเกิดตามบุญตามกรรมของเขา เขายังไม่รู้ว่าการเกิดและการตายนั้นทำอย่างใด? แต่ถ้าผู้ที่ไม่มีความลับในหัวใจแล้วนะ นี่เพราะไม่มีความลับอันนั้น จิตมันก็ไม่เกิดอีก ถ้ายังมีความลับลมคมในในหัวใจ มันจะขับไสให้ไปเกิดอีก เห็นไหม ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประเสริฐตรงนี้ ประเสริฐที่ชำระล้างได้สะอาด

แล้วเวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแสดงธัมมจักฯ พระอัญญาโกณฑัญญะเป็นสงฆ์องค์แรกของโลก เป็นพยานต่อกัน ไม่ใช่ว่าผู้ประพฤติปฏิบัติใครจะรู้กับเราไม่ได้ ผู้ที่รู้เสมอกัน รู้เท่ากันเขารู้กันได้ พิสูจน์ได้ ตรวจสอบได้ หลอกลวงไม่ได้ เอวัง