เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๒๑ ม.ค. ๒๕๕๕

 

เทศน์เช้า วันที่ ๒๑ มกราคม ๒๕๕๕
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ความเชื่อฝังมาตั้งแต่โบราณนะ คนเรามีวัฒนธรรม ถ้ามีวัฒนธรรมดีกว่าคนไม่มีวัฒนธรรม มีวัฒนธรรม ความเชื่อ เห็นไหม ความเชื่อ ความร่มเย็นเป็นสุข เพราะความเชื่อ ใจมันไม่มีสิ่งใดอาศัยความเชื่อนั้นเกาะสิ่งนั้นไว้อยู่ ทีนี้ความเชื่อแล้วเราอยากให้เป็นความจริง ถ้าเป็นความจริงขึ้นมา เวลาเราประพฤติปฏิบัติขึ้นมา ถ้าเราเชื่อเราเชื่อเหมือนกัน ศรัทธาก็คือความเชื่อ ถ้าความเชื่อเราเกาะ ถ้าเราเกาะแล้วทำได้จริง ถ้าทำได้จริงเราจะมีหลักมีเกณฑ์ในหัวใจ ถ้าไม่ทำได้จริงนะมันก็เร่ร่อน

คำว่าเร่ร่อนนะ เราจับสิ่งใดไม่มีสิ่งใดเป็นที่น่าเชื่อถือเลย เราเองเราก็สงสัย ถ้าเราเองสงสัยสิ่งนั้นจะเป็นความจริงขึ้นมาได้อย่างใด? แต่ถ้าเราพิสูจน์ของเราขึ้นมานะ สิ่งนั้นเป็นความจริงขึ้นมา เป็นความจริงขึ้นมานี่เราได้สัมผัสมันเป็นปัจจัตตัง เป็นสันทิฏฐิโก มันมีเหตุมีผล มันยืนยันได้ ใครจะเชื่อใครจะไม่เชื่อนั่นเรื่องของเขา แต่เรื่องของเราเราต้องมีหลักของเรา ถ้าหลักของเรามันมีพฤติกรรม พฤติกรรมคือถ้าเขามีความจริงของเขา การแสดงออกนั้นแสดงออกจากความจริง

ถ้าเขาไม่มีความจริงของเขา การแสดงออกของเขา ดูสิความสงสัย เห็นไหม คนเราทำผิดขึ้นมาถ้าเจอเจ้าหน้าที่จะกลัวมาก เพราะเจ้าหน้าที่เวลาเขาสอบสวนขึ้นมาเราจะเผลอหลุดไปเมื่อไหร่เราก็ไม่รู้ เพราะเราไม่มีหลักของใจ ถ้าเรามีหลักของใจนะ ให้เขาสอบสวนมา สอบสวนขนาดไหนนะ หลักของใจอันนั้น เพราะเป็นความจริงอันนั้น จะสอบสวนขนาดไหนอันนั้นก็เป็นความจริงขึ้นมา

นี้พูดถึงถ้าวัฒนธรรมประเพณีมันเป็นสิ่งที่ดีงามทางโลก นี่เราอยู่กับโลกนะ โลกต้องมีวัฒนธรรม โลกต้องมีความเสียสละกัน นี่ความเป็นโลก ถ้าธรรม เห็นไหม โลกเขามีคุณธรรมกัน โลกจะร่มเย็นเป็นสุข ถ้าความร่มเย็นเป็นสุขอย่างนั้นเราก็อยู่กับเขานะ ดูสิในปัจจุบันนี้ทางตะวันออกเศรษฐกิจมันดีขึ้นมา ข่าวเขาลงนะ การเคลื่อนย้ายของคน ๓,๐๐๐ กว่าล้านคน เฉพาะตรุษจีนนี่ ๓,๐๐๐ กว่าล้านคนเคลื่อนไหว มันต้องใช้การขนส่งขนาดไหน? มันเป็นอุตสาหกรรมได้ อุตสาหกรรมบริการ อุตสาหกรรมต่างๆ อุตสาหกรรมท่องเที่ยว สิ่งนั้นเป็นอุตสาหกรรม เพราะในเมื่อตรงนี้มันเจริญขึ้นมาเขาจะบริการขึ้นมา เห็นไหม เป็นการบริการสาธารณูปโภคขึ้นมาเพื่อความสะดวกของคน ทีนี้พอสะดวกขึ้นไป คนเรามันมีความสะดวก เวลามันเหลือเฟือขึ้นมา นี่สิ่งนี้ทำทุกอย่างก็ทำหมดแล้ว แล้วมันเหลือสิ่งใดล่ะ? ฉะนั้น เวลามาปฏิบัติธรรมก็จะปฏิบัติธรรมแบบอุตสาหกรรมไง นี่อุตสาหกรรม เห็นไหม นี่สายพานการผลิต การทำอย่างนี้ต้องเป็นอย่างนั้น ทำอย่างนั้นต้องเป็นอย่างนั้น นั้นเป็นความคิดของโลก

ถ้าเป็นความคิดของธรรมนะ จริตนิสัยของคนไม่เหมือนกัน เวรกรรมของคนไม่เหมือนกัน ลายนิ้วมือของคนไม่เหมือนกันหรอก ลายพิมพ์ของจิตก็ต้องไม่เหมือนกัน ความไม่เหมือนกันของมัน กรรมของแต่ละคนมันไม่เหมือนกัน พอไม่เหมือนกันเหมือนคนไข้ คนเจ็บไข้ได้ป่วยโรคไม่เหมือนกันจะรักษาเหมือนกันได้อย่างใด ทีนี้โรคไม่เหมือนกัน แม้แต่โรคเหมือนกัน การรักษาเขายังต้องดูตามอาการเลยว่าควรให้ยาแรงหรือควรให้ยาเบาขนาดไหน? นี้ควรรักษาโรคที่เป็นโรคเดียวกันนะ

แต่เวลาประพฤติปฏิบัติขึ้นมานี่เป็นอุตสาหกรรม ต้องทำอย่างนั้นๆ ต้องเป็นอย่างนั้น มันเป็นไปไม่ได้หรอก แต่ แต่โดยพื้นฐานของเรา เห็นไหม ครูบาอาจารย์ท่านพูดว่า หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น ท่านประพฤติปฏิบัติมาก่อน ท่านบอกว่า “ต้องทำความสงบของใจเข้ามาก่อน” ถ้าทำความสงบของใจเข้ามา เห็นไหม สมถกรรมฐาน ถ้าใครทำความสงบของใจเข้ามา ถ้าใจสงบใจระงับขึ้นมา มันมีสถานที่การทำงาน สถานที่ทำงาน นี่เราเลื่อนลอย เราเลื่อนลอยเพราะอะไร? เพราะเราตะครุบเงาไง สิ่งนั้นพอตะครุบเงาไป เงา เงานี่เขาบอกเงาเป็นอย่างไร? เงาดูสิ ดูเวลาพระอาทิตย์ขึ้น เวลาพระอาทิตย์ขึ้นมาเงาจะเปลี่ยนแปลงไปตลอดเวลา

ความรู้ความเห็นของใจก็เหมือนกัน สัมผัสอย่างนั้น สัมผัสอย่างนั้น สัมผัสอะไร? สัมผัสอะไร? แต่ถ้ามันสัมผัสถึงตัวมันเอง มันปล่อยเงาเข้ามาในตัวมันเอง นี่ไงถ้าปล่อยเงาเข้ามานี่สมถกรรมฐาน ถ้าไม่มีความสงบร่มเย็นเข้ามาก่อนเราจะทำสิ่งใด? แต่ถ้าสงบร่มเย็น สงบร่มเย็นอย่างไร? แม้แต่สมาธิ เดี๋ยวนี้พระกรรมฐานเราทำสมาธิยังทำไม่เป็นเลย สิ่งที่เป็นความจริงในใจ แค่ความเป็นสมถะนี้ยังไม่มี ถ้าเป็นสมถะยังไม่มี เอาสิ่งใดมาเป็นความจริง ถ้าสิ่งที่มีความจริงเข้ามา เห็นไหม

ฉะนั้น เวลาเราปฏิบัติขึ้นมา นี่บอกว่าถ้าปฏิบัติเป็นอุตสาหกรรมนะสิ่งนั้นไม่ถูกต้อง อุตสาหกรรม เห็นไหม ดูสิ ทำเหมือน ทำเลียนแบบ มันเป็นไปไม่ได้ มันเป็นไปไม่ได้เพราะจิตใจของคนมันไม่เหมือนกัน พอจิตใจของคนไม่เหมือนกัน ทำไมบอกว่าเวลาใครปฏิบัติต้องพุทโธ พุทโธ พุทโธล่ะ? คำว่าพุทโธนี่เป็นพุทธานุสติ พุทธานุสตินี่เวลาครูบาอาจารย์ท่านสอน ท่านจะสอนบอกว่าให้บริกรรมพุทโธก่อน พุทโธ ธัมโม สังโฆ มันเป็นกรรมฐาน ๔๐ ห้อง กรรมฐาน ๔๐ ห้อง วิธีการ ๔๐ วิธีการ แต่ในเมื่อเราเป็นชาวพุทธ พุทโธคือพุทธะ พุทธะคือนามขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเราระลึกถึง เวลาระลึกถึงพ่อแม่ของเรา เวลาเราระลึกถึงปู่ ย่า ตา ยายของเรา นี่มันก็ดูดดื่มมากกว่า แต่ถ้าเราไประลึกถึงคนอื่นล่ะ? มรณานุสติ เทวตานุสติ มันก็ทำได้ทั้งนั้นแหละ แต่ แต่ถ้าเราพุทโธนี่เราระลึกถึงพ่อเรา เราระลึกถึงศาสดาของเรา เราระลึกถึงพุทโธ พุทโธให้จิตมันเกาะ

ฉะนั้น เวลาบอกว่าปฏิบัติเป็นอุตสาหกรรม แล้วพุทโธมันเป็นอุตสาหกรรมไหม? พุทโธมันเป็นอุตสาหกรรม เวลาเขาจะทำสวนทำไร่ เขาจะทำนาเขาต้องปรับพื้นที่ก่อนไหม เขาจะทำสวนจะทำกสิกรรมสิ่งใดก็แล้วแต่ เขาต้องมีพื้นที่ทำงานของเขา ถ้าไม่มีพื้นที่ทำงานของเขา เขาจะทำงานกันที่ไหน? แม้แต่ทำงานก็ต้องมีออฟฟิศทำงานของเขาเลย

นี่ก็เหมือนกัน เราจะทำงานของเรา เห็นไหม เราจะทำความสงบร่มเย็นของเรา เราทำใจของเรา พุทธศาสนาสอนศาสนาแห่งปัญญา ปัญญาอยู่ที่ไหน? ปัญญามันภาวนามยปัญญา ปัญญาคือเข้ามาชำระสะสางในหัวใจของเรา นี่ความจริงมันอยู่ที่นี่ ศรัทธาความเชื่อเป็นอริยทรัพย์ เป็นหัวรถจักรชักให้คนเข้ามาศึกษา เพราะเรามีความเชื่อในพุทธศาสนา แล้วพุทธศาสนาคืออะไร? ทำบุญนี้ใช่ไหม? ไปถึงวัดก็ถวายทานนี่เป็นทำบุญใช่ไหม?

ทาน ศีล ภาวนา เพราะมีทาน เพราะมีทาน เห็นไหม ดูสิวัฒนธรรมของเขา เพราะเขามีวัฒนธรรมของเขา เขาคิดถึงปู่ ย่า ตา ยายของเขา เขามีความกตัญญูของเขาเป็นคนดีไหม? เป็นคนดี แต่คนดีแล้วทำอย่างไรต่อไปล่ะ? นี่ก็เหมือนกัน เราต้องมีทาน ทานเพื่อการเสียสละ เสียสละเพื่ออะไร? เสียสละเพื่อบาลานซ์สังคม เห็นไหม สังคมมันมีสูงมีต่ำใช่ไหม? มีการเสียสละ มีการให้อภัยต่อกัน เพื่อเปิดหัวใจเราให้เปิดกว้างขึ้นมา ทาน ศีล ภาวนา

นี่ศีลคือความปกติของใจ ถ้าใจมันปกติขึ้นมา เห็นไหม มันมีความปกติขึ้นมา นี่เรื่องของทานเราก็จะไม่เบียดเบียนใครแล้ว เรื่องของทานใช่ไหม? เราพร้อมเสมอ เราทำอย่างไรก็ได้ เพราะจิตเราปกติ แต่ถ้าจิตเราเราตื่นเต้นดีใจนี่เบียดเบียน ต้องเป็นอย่างนั้น ต้องเป็นอย่างนั้น คาดหวัง นี่เราคาดหวัง แต่ถ้าเราทำด้วยความไม่คาดหวัง เราเสียสละของเรา เสียสละเพื่ออะไร? เพื่อความสบายใจของเรา นี่เพื่อความสบายใจของเรา เห็นไหม เราได้ทำคุณงามความดีของเรา แม้แต่เราประพฤติปฏิบัติขึ้นมามันจะต้องควบคุมใจของเรา แต่เวลาตะครุบเงาๆ นี่ความรู้สึกนึกคิด ทานเกิดจากความรู้สึกนึกคิดคืออาการของใจ ใจมันคิด มันแสวงหา มันอยากทำขึ้นมา นี่เงาทั้งนั้นแหละ แต่เงา เงาให้มันเป็นกุศล มันเป็นกุศลขึ้นมา พอจิตเป็นปกติขึ้นมา ถ้าปกติขึ้นมานี่เราวางสิ่งนั้นได้ วางสิ่งที่เป็นวัตถุขึ้นมามันก็เข้ามาสู่ใจของมัน

นี่ศรัทธาความเชื่อ เพราะมีศรัทธาความเชื่อเราถึงเข้ามาศึกษา การเสียสละนี่ทำทานของเราเพื่อเข้ามาฟังธรรม พอฟังธรรมขึ้นมา พอฟังธรรมธรรมมันคืออะไร? ชีวิตนี้มาจากไหน? เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ขึ้นมา นี่เวลาเกิดขึ้นมา เห็นไหม เกิดขึ้นมาเป็นเจ้าชายสิทธัตถะ เกิดขึ้นมาเป็นเจ้าชายสิทธัตถะนะ ทำบุญกุศลมาเป็นพระโพธิสัตว์ เสียสละมามหาศาล เสียสละมาหมด องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกพระองค์ต้องเสียสละลูกเสียสละเมีย เสียสละทุกอย่างเพื่อโพธิญาณ

นี่พูดถึงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านะ แต่สาวกสาวกะไม่ถึงขนาดนั้น นี่เวลาเสียสละมาขนาดไหน เสียสละแล้วทำอย่างไรต่อ นี่ชาติสุดท้ายมาเกิดเป็นเจ้าชายสิทธัตถะ เกิดที่สวนลุมพินี “เราจะเกิดชาตินี้เป็นชาติสุดท้าย” ทั้งๆ ที่ยังไม่ได้เป็นพระพุทธเจ้า เป็นทารกเพิ่งเกิด เราจะเกิดชาตินี้เป็นชาติสุดท้ายนี่เพราะด้วยบารมีธรรม ธรรมอันนี้มันสะสมมาเต็ม นี่ไงสะสมมาเต็มแล้วเราจะเอาพืชพันธุ์ธัญญาหารของเราไปหว่านบนป่ารกชัฏนี่มันจะเกิดไหม?

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเกิดขึ้นมา เห็นไหม พระเจ้าสุทโธทนะก็อยากจะให้เป็นจักรพรรดิก็ดูแลอย่างดี แต่เพราะบารมีเต็มไปเที่ยวสวน นี่ยมทูต เห็นไหม เห็นคนเกิด เอ๊ะ มีอย่างนี้ด้วยหรือ? เห็นคนแก่ คนเจ็บ คนตาย นี่มันมีความรู้สึกนึกคิด เพราะมันสะกิดไง มันไปสะกิดบารมีที่สร้างสมมาไง นี่ถ้ามันมีการเกิด การแก่ การเจ็บ การตาย เราก็ต้องมีการเกิด การแก่ การเจ็บ การตายด้วยหรือ? แล้วมันมีฝั่งตรงข้ามไหม?

นี่พอมีมันสลดใจ เห็นไหม พยายามหาทางออก ถ้าหาทางออกขึ้นมานี่มาประพฤติปฏิบัติ เวลาประพฤติปฏิบัติอีก ๖ ปี ๖ ปีนี่ไปศึกษาเล่าเรียนกับทุกๆ ลัทธิ สุดท้ายมาอานาปานสติ อานาปานสติที่หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น ท่านสอนพวกเราพุทโธ พุทโธนี่ไง พุทโธ พุทโธ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไปศึกษากับเขามาทั่ว ปัญญาใครมีขนาดไหนก็ไปศึกษากับเขามาแล้ว มันไปไม่รอดทั้งนั้นแหละ ไปไม่รอดๆ เพราะเงาทั้งนั้น มันตะครุบเงาๆ เงาสูง เงาใหญ่ เงาเล็ก เงามืด นี่มันอาการของใจหมดเลย มันเป็นเงาหมดเลย พอเงาหมดเลยเพราะปัญญาของกิเลสไง เพราะมีกิเลสใช่ไหม? เพราะความคิดเกิดจากใจใช่ไหม? พอมีกิเลสใช่ไหม? อยากพ้นทุกข์ๆ ทั้งๆ ที่บารมีเต็มนะ

แต่พอไปศึกษากับเขามาทั่วแล้วนี่ทิ้งหมดเลย กลับมาระลึกถึงตอนเป็นราชกุมาร พระเจ้าสุทโธทนะไปแรกนาขวัญ ทิ้งไว้ที่โคนต้นหว้า นี่นึกอะไรล่ะ? กำหนดลมหายใจ โอ้โฮ กำหนดลมหายใจแล้วมันมีความสุข อันนั้นมันดูดดื่ม เห็นไหม ดูดดื่มอันนั้นน่ะ เราไปศึกษาไปทั่วแล้ว เรากลับมากำหนดลมหายใจ กำหนดลมหายใจ อานาปานสติจนจิตสงบร่มเย็นเข้ามา เห็นไหมปฐมยาม นี่บุพเพนิวาสานุสติญาณ พอจิตสงบเข้ามานี่กรรมฐานถึงฐานที่ตั้ง แต่มันยังไม่ได้ตรัสรู้ เข้ามาถึงฐาน พอถึงฐานขึ้นมานี่บารมีธรรม บารมีที่สร้างสมมามันแสดงออก พลังงานมันแสดงออกว่าบุพเพนิวาสานุสติญาณ คือว่าข้อมูลในหัวใจมันเปิดออกมาไง

เคยเป็นพระเวสสันดร นี่ไปเรื่อย ไปเรื่อย เพราะมีบารมีมาก ไม่จบ ดึงกลับ พอดึงกลับมา เข้ามาทำความสงบของใจ เห็นไหม จุตูปปาตญาณไปอีก จนมาอาสวักขยญาณ อาสวักขยญาณคือกิเลสสวะทำลายอย่างไร? ทำลายอย่างไร? สิ่งนี้ทำลายอย่างไร? นี่สิ่งที่ว่าเป็นสมถกรรมฐาน สมถกรรมฐาน เห็นไหม พุทโธ พุทโธ อานาปานสตินั่นคืออะไร? อานาปานสติ พุทธานุสติมันคืออะไร? ทำไมพระพุทธเจ้ากำหนดลมหายใจก่อน

นี่พูดถึงสิ่งที่ว่าถ้ามันไม่ใช่อุตสาหกรรม มันไม่ใช่อุตสาหกรรมเพราะในเมื่อแต่ละดวงใจถ้าจิตสงบเข้าไปแล้ว จิตของเรากว่าจะสงบนะ ถ้าสงบเข้ามาในหัวใจบางคนว่าง บางคนมีความร่มเย็นเป็นสุข บางคนมีความร่มเย็น บางคนเห็นนิมิต บางคนจิตมันคึกคะนอง บางคน บางคนทั้งนั้นแหละ ถ้าจิตเป็นอย่างไรมันเป็นอย่างนั้นแหละ บารมีของใครสร้างมาอย่างไรมันก็ออกอย่างนั้นแหละ มันเป็นอื่นไปไม่ได้

เพียงแต่สิ่งที่มันเป็นคือมันเป็นมันแสดงออก แต่ แต่มันก็สงบนะ ถ้ามันสงบก็คือมันสงบ ถ้ามันสงบเข้ามาแล้วมันแสดงออกตามจริตนิสัย ตามสิ่งที่มันได้สร้างของมันมา แล้วถ้ามันสงบ ก่อนที่มันจะสงบ เห็นไหม ถ้าเราไม่มีครูบาอาจารย์ พอเราเข้าไปเจออาการวูบวาบไปเจออาการต่างๆ นี่ไงสั่นไหวไปกับเขาแล้ว ไปหมดเลย ไปหมดเลย ต้องมีความสงบของใจ ถ้าใจมันสงบเข้ามาแล้วออกใช้ปัญญา นี่ไงที่ว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกอาสวักขยญาณไง

อาสวักขยญาณคือว่าจิตมันสงบแล้ว ถ้ามันส่งออกมันก็บุพเพนิวาสานุสติญาณ นี่เป็นอดีต ถ้ามันส่งไปอนาคตมันก็เป็นจุตูปปาตญาณ แล้วถ้ามันกลับมาเป็นปกติล่ะ? แล้วกลับเข้ามาสู่ใจของมันล่ะ? มันทำของมันขึ้นมา เห็นไหม ถ้าทำขึ้นมาอย่างนี้ เวลาย้อนกลับมามันต้องมีครูบาอาจารย์คอยบอกไง คำว่าคอยบอกหมายความว่าเราไปเจออะไรเราก็ตื่นเต้นนะ เรามีเงินบาทหนึ่งเราก็ตื่นเต้นกับเงินบาทหนึ่ง ยิ่งมีล้านหนึ่งยิ่งตื่นเต้นใหญ่เลย ยิ่งมีร้อยล้านยิ่งตื่นเต้นไปใหญ่เลย ตื่นเต้นขนาดไหนมันก็ส่งออกหมดเลย เพราะส่งออกไปที่เงิน มันไม่ได้อยู่กลับมาที่ตัว

แต่ถ้าเป็นครูบาอาจารย์นะ เงินนี่นะวางไว้นั่น เงินใครเป็นเจ้าของมัน? ก็บุคคลคนนั้นเป็นเจ้าของเงินใช่ไหม? แล้วเงินนี่ทำให้คนนั้นดีหรือชั่วล่ะ? เงินไปทำดีก็ได้ ไปทำชั่วก็ได้ เงินก็วางไว้ รักษาตัวเองเอาตัวเองให้ดีก่อน ถ้าใจมันดีขึ้นมาแล้วเงินก็จะเป็นเงินดี มันจะรู้สิ่งใดก็วางไว้ ไม่ต้องไปตื่นเต้นกับมัน เงินก็คือเงิน เงินของใครก็คือของคนนั้น เงินของใครอยู่ในธนาคารใครก็เป็นเงินของคนๆ นั้น คนอื่นไม่มีสิทธิ์ไปเบิกเงินนั้น

นี่ก็เหมือนกัน ใจของใครมีบารมีมากน้อยแค่ไหนก็เป็นใจของคนนั้น ถ้าใจคนนั้นมันเข้าไปถึงที่สุดแล้วใจคนนั้นมันจะรู้ของมัน มันจะเห็นของมัน มันจะเป็นประโยชน์ของมัน นี่ประโยชน์นะ ถ้าเราไปตื่นเต้นกับประโยชน์ก่อนเราจะไม่ได้ประโยชน์ที่แท้จริง ประโยชน์แท้จริงเข้ามาสมถกรรมฐาน สมถกรรมฐาน นี่ไงความสงบของใจ ถ้าถึงสมถกรรมฐานแล้วมันแก้ไขที่นั่น พอจบแล้วนะเงินเป็นเรื่องโลกแล้ว เงินก็เป็นเรื่องอำนาจวาสนาบารมี ใจมันปล่อยวางหมดแล้ว

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเวลามารื้อสัตว์ขนสัตว์ มาช่วยโลกถึงไม่มีสิ่งใดในใจดวงนั้น แต่ในเมื่อโลกเป็นแบบนี้ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมาไปเทศน์ปัญจวัคคีย์นะ ไปได้พระยสะ เวลาท่านออกเผยแผ่ธรรม นี่มันพูดบ่อยเพราะมันสะเทือนไง

“ภิกษุทั้งหลาย เธอกับเราทั้งหมด ๖๑ องค์ พ้นจากบ่วงที่เป็นโลกและบ่วงที่เป็นทิพย์”

บ่วงที่เป็นโลกคือโลกธรรม ๘ การสรรเสริญเยินยอกัน นี่บ่วงที่เป็นโลก

บ่วงที่เป็นทิพย์ ได้สถานะของเทวดา อินทร์ พรหม นี่บ่วงที่เป็นทิพย์

“จิตใจของเธอพ้นจากบ่วงที่เป็นโลกและบ่วงที่เป็นทิพย์ เธอจงไปอย่าซ้อนทางกัน โลกนี้เร่าร้อนนัก โลกนี้ต้องการคุณธรรม ต้องการสัจธรรมอันนี้เพื่อบรรเทาความเร่าร้อนในใจ” นี่เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเผยแผ่ธรรมนะ

ฉะนั้น จิตใจที่เป็นแบบนั้น เห็นไหม มันไม่มีอดีตอนาคต ไม่มีสิ่งใด สิ่งที่เป็นแก้ว แหวน เงิน ทองนั้นสมบัติของโลก แต่อริยทรัพย์สมบัติของใจ สมบัติอันนี้สำคัญมาก สำคัญมากเพราะถ้าจิตใจมันเป็นธรรมแล้ว สิ่งที่เป็นสมบัติทางโลกมันจะเป็นประโยชน์กับโลก ประโยชน์กับทุกๆ คน ประโยชน์กับสังคม แต่ถ้าจิตใจมันไม่เป็นธรรม สิ่งที่ว่าเป็นสมบัติของโลกมันไม่พอหรอก มันเป็นสมบัติของเรา แล้วจะเอามากกว่านี้ด้วย แล้วเราก็เดือดร้อน เราก็ต้องแสวงหา แต่ถ้าเราเป็นธรรมเราไม่เดือดร้อน เรามีความสุข แล้วเรายังได้เพิ่มความเป็นมงคลความเป็นสุขกับโลกนี้อีก นี่สิ่งที่เป็นความจริง

โลกนี้เป็นประเพณีวัฒนธรรม เป็นความดีอันหนึ่ง ถ้ามันมีประเพณีวัฒนธรรมจะทำให้สังคมร่มเย็นเป็นสุขพอสมควร เขาช่วยเหลือเจือจาน เขาดูแลกัน เขารักษากัน แต่ถ้าเราไปตื่นเต้นกับเขา แล้วสิ่งที่ดียิ่งขึ้นไปยิ่งกว่านี้ล่ะเราจะหาที่ไหน? หาที่ไหนก็หาไม่เจอ ถ้าหาที่กลางหัวอก นี่ทำความสงบของใจแล้วพิจารณาของมัน สิ่งที่มีก็มีแล้ว สิ่งที่ยังไม่มีเราก็จะหา ถ้าหาขึ้นมาเป็นความจริงของเราขึ้นมาแล้ว สิ่งที่มีแล้วก็มีแล้ว สิ่งที่เป็นนามธรรมที่ไม่รู้ก็รู้แล้ว จบสิ้น เห็นไหม แล้วชีวิตนี้จะมีคุณค่ามาก เอวัง