เทศน์พระ

บอดใบ้

๖ เม.ย. ๒๕๕๕

 

บอดใบ้
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

เทศน์พระ วันที่ ๖ เมษายน ๒๕๕๕
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ตั้งใจฟังธรรม ฟังธรรมเพราะเตือนสติ เพราะธรรมะมีอยู่ ธรรมะว่าธรรมะเป็นธรรมชาติ ธรรมะเป็นธรรมชาติต่อเมื่อจิตใจคนเป็นธรรม มันเห็นสิ่งใดแล้วมันสะเทือนใจเพราะใจเป็นธรรม

ถ้าใจไม่เป็นธรรมนะ เราจะเอาธรรมชาติมาเพื่อเป็นผลประโยชน์กับเรา ดูสิ สภาวะที่เป็นป่าเป็นเขา เห็นไหม สิ่งต่างๆ เป็นธรรมชาติ แต่เขาหาผลประโยชน์จากมันไง เขาหาสิ่งที่มันเป็นดินที่อุดมสมบูรณ์จะทำเกษตรกรรมได้ผลตอบแทนมาก เขาไปตักตวงเอากับธรรมชาติ แต่ว่าธรรมะเป็นธรรมชาติ แล้วเราไปตักตวงเอาเรื่องของผลประโยชน์ แต่ธรรมะเป็นธรรมชาติทำไมเราไม่ส่งเสริมสิ่งที่เป็นธรรมล่ะ

ธรรมนี้มันจะได้เป็นที่ยั่งยืน ธรรมนี้มันจะได้เป็นประโยชน์กับโลกเขา โลกเขาได้อาศัยสิ่งที่เป็นความยั่งยืน แต่เราก็หาว่าเป็นผลประโยชน์ของเรา เราก็จะเอาสิ่งที่เป็นประโยชน์กับเรา เห็นไหม ฉะนั้นเราต้องฟังธรรมเพื่อเตือนใจเราไง ถ้าเราเตือนหัวใจของเรา ให้หัวใจเราเป็นธรรม ถ้าหัวใจเราเป็นธรรม เราจะมีจุดยืน เราจะมีที่พึ่งอาศัย เราจะไม่เป็นผู้มีความทุกข์ความร้อนในหัวใจ แต่ถ้าจิตใจเราเป็นกิเลสตัณหาความทะยานอยาก มันมีแต่สิ่งเผาลนอยู่ในหัวใจของเรา

ฉะนั้น เราต้องฟังธรรมไง ฟังธรรมให้เตือนสติ เราไม่ใช่บอดใบ้ง่อยเปลี้ยเสียขาไปกับโลกเขา โลกเขามีความเข้มแข็ง มีความเจริญทางวัตถุ มีความเจริญในทางบริหารจัดการ แต่อมทุกข์ง่อยเปลี้ยเสียขาเป็นใบ้บ้า แล้วทำสิ่งใดก็ไม่ได้แล้วก็บอกว่าธรรมะนี่เป็นชาวพุทธ พุทธศาสนา ศาสนาพุทธเป็นศาสนาแห่งปัญญา แล้วศาสนาพุทธเป็นผู้มีบุญกุศล แล้วมีแต่ง่อยเปลี้ยเสียขากัน ก้าวเดินไปไหนก็ก้าวเดินไปไม่ได้เพราะมันบอดมันใบ้

มันบอดใบ้เพราะอะไร เพราะกิเลสตัณหาความทะยานอยากมันปิดหัวใจของมัน ถ้ามันปิดหัวใจของมัน เห็นไหม ดูทางโลกเขาใส่หน้ากากเข้าหากัน นี่มีความสุขไหมๆ เอาแต่สิ่งที่เป็นวัตถุมาอวดกัน แต่ความเป็นจริงในหัวใจล่ะ มีแต่ความอมทุกข์ทั้งนั้นล่ะ

ถ้ามีความอมทุกข์ใช่ไหม เรานี่เป็นสุภาพบุรุษ เรายอมรับความเป็นจริง ถ้าเรายอมรับความเป็นจริง เห็นไหม เราต้องมีชีวิตใช่ไหม เกิดมาเราก็มีชีวิตอยู่แล้ว เราเกิดมามีชีวิตอยู่แล้ว เราเติบโตมาโดยสังคมโลก สังคมโลกนะ ถ้าจิตใจเราพอเพียง เราจะอยู่กับสังคมโลกได้ด้วยความไม่ทุกข์ร้อนจนเกินไป

ในเมื่อสังคมโลกเขา เขาก็มีอยู่มีกิน ปัจจัยเครื่องอาศัยเพื่อดำรงชีวิต สิ่งนี้มันก็สมควรกับความเป็นมนุษย์แล้วล่ะ แต่มนุษย์มันมีตัณหาความทะยานอยาก อยากจะอยู่บนหัวของคน อยากแต่จะเอารัดเอาเปรียบ เอาความชิงดีชิงเด่นกันมันถึงมีแต่ความแข่งขันกัน ถ้ามีความแข่งขันกัน แข่งขันกันเพื่ออะไร

แล้วเวลาคนมีบุญกุศลขึ้นมา เขามีอำนาจวาสนาของเขา เขาทำสิ่งใดเป็นสาธารณะ ทำเพื่อประโยชน์กับสังคม เขาก็มีบุญกุศลเหมือนกัน เขาก็มีคนนับหน้าถือตาเหมือนกัน อันนั้นมันเกิดมาจากไหนล่ะ เกิดมาจากความสุจริต เกิดมาจากความชอบธรรม

ถ้าเกิดมาจากความสุจริต ความชอบธรรม เพราะคนสร้างบุญกุศลมา มันต้องให้ผลเป็นบุญ ถ้าคนสร้างบาปอกุศลมา มันให้ผลเป็นบาปแล้วคนอย่างเรา ทุกคนทุกดวงใจมันต้องทำความดีและความชั่วมา เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้ายในหัวใจของเรานี่ ลุ่มๆ ดอนๆ ชีวิตของเราลุ่มๆ ดอนๆ นะ

ถ้าชีวิตของเราลุ่มๆ ดอนๆ เราเห็นภัยในวัฏสงสาร เรามาบวชเพื่อเราจะมาทำความร่มเย็นเป็นสุขในหัวใจของเรา ถ้าร่มเย็นเป็นสุขในหัวใจของเรา เห็นไหม เวลาเราประพฤติปฏิบัติของเราขึ้นมานี่ มันก็ลุ่มๆ ดอนๆ เพราะอะไร เพราะจิตใจของคนมันไม่เสมอกัน ความเสมอกันในการประพฤติปฏิบัติ ถ้าการปฏิบัติแบบสม่ำเสมอ คือความเสมอต้นเสมอปลาย

ถ้าความเสมอต้นเสมอปลาย ความนั้นมันจะก้าวหน้า ความเป็นธรรมในหัวใจเราจะมั่นคง จะก้าวหน้า เพราะดูเห็นไหม คนเราทำอาหารเขารักษาอุณหภูมิของเขา รักษาไฟของเขาให้อาหารของเขาสุกตามสมควรของเขา แต่ถ้าเราทำอาหารของเรา เราไม่รักษาไฟของเรา เราไม่ทำสิ่งใดเลย เราปล่อยให้ลมมันพัดไป กระแสความร้อนให้ลมมันพัดไป เวลาเชื้อเพลิงก็ให้มันมอดมันดับไปแล้วมันจะเป็นความจริงขึ้นมาได้อย่างไรล่ะ

ทีนี้เวลาเราทำอาหารขึ้นมา ทุกคนทำอาหาร ทุกคนก็หวังว่าให้อาหารนั้นมันประสบความสำเร็จ อาหารในจานนั้นมาเพื่อจะได้ดื่มได้กินของเรา แต่อาหารนั้นจะสุกได้อย่างไร ถ้ามันไม่มีไฟ ไม่มีความร้อนที่ทำให้อาหารนั้นสุกขึ้นมา

ในการประพฤติปฏิบัติขึ้นมานี่เราเอาธรรมๆ ธรรมมันมาจากไหนล่ะ ธรรมในตู้พระไตรปิฎกมันก็เป็นขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ธรรมของครูบาอาจารย์ก็เกิดขึ้นมาในใจของครูบาอาจารย์ของเราแล้วในหัวใจของเราล่ะ ในหัวใจของเรามันมีแต่ความเร่าร้อน ถ้ามีแต่ความเร่าร้อน มันบอดใบ้เพราะอะไร เพราะกิเลสตัณหาความทะยานปิดตามันถ้ามันบอดใบ้ขึ้นมา

คนตาบอด คนใบ้นี่นะ นั่นมันเป็นเวรเป็นกรรมของเขา ไม่ใช่ไปซ้ำเติมใครทั้งสิ้น

แต่เวลาจิตใจมันบอดใบ้ มันเป็นอย่างนั้น เป็นบุคลาธิษฐาน เป็นการเปรียบเทียบ ไม่ใช่ไปซ้ำเติมใครทั้งสิ้น การซ้ำเติมมันไม่มีสิ่งใดจะซ้ำเติมใคร ไม่ได้เหยียบย่ำใครแล้วไม่ได้กดใคร สิ่งนั้นมันเป็นความจริง เห็นไหม

ถ้าจิตใจเรามันบอดใบ้แล้วมันจะเอาสิ่งใดเป็นธรรมขึ้นมาล่ะ ถ้าเป็นธรรมขึ้นมา นี่อาหารมันมาจากไหน อาหารเขาต้องแสวงหามา มีวัตถุดิบของเขามา เขาต้องประกอบเป็นอาหารของเขามา อาหารนั้นมันสำเร็จขึ้นมา

ในธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ในพระไตรปิฎกนั้นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าล้มลุกคลุกคลานมาขนาดไหน องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประพฤติปฏิบัติมาขนาดไหน มันสว่างไสวในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ววางธรรมและวินัยนี้ไว้ นี่คนที่มืดบอดมาแล้วมันสว่างไสวขึ้นมา ทำไมมันมืดบอด มืดบอดเพราะมันอั้นตู้ มันมีกิเลสตัณหาความทะยานอยากปิดบังหัวใจของมัน มันถึงได้บอดใบ้

แต่เวลามันสว่างโพลงขึ้นมานี่ มันสว่างโพลงขึ้นมาด้วยอะไร? ด้วยความเพียรขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อานาปานสติเวลาจิตใจมันสงบระงับเข้ามา พอจิตใจมันเป็นสัมมาสมาธิขึ้นมานี่ บุพเพนิวาสานุสติญาณ จุตูปปาตญาณ อาสวักขยญาณ มันมาจากไหน มันมาจากในหัวใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วเราจะประพฤติปฏิบัติกันมันบอดใบ้

ดูคนตาบอดสิ คนตาบอดใบ้ เขาหาผลประโยชน์ คนบอดที่เขาได้รับมรดกตกทอด มีเงินเป็นพันๆ ล้านเลย เงินมันมาจากไหน? มันมาจากผู้ที่ให้มรดก เห็นไหม นี่จิตใจมันบอดใบ้ แต่มันเป็นธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในพระไตรปิฎก เวลาธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอยู่ในพระไตรปิฎก เห็นไหม เราก็บอกนี่เราเป็นศากบุตรพุทธชิโนรส เราเป็นพระขึ้นมา เรามีคุณธรรมขึ้นมา แต่หัวใจมันบอดใบ้

ดูสิ คนบอดคนใบ้ มันแสดงออกมาได้อย่างไร คนบอดเดี๋ยวนี้มันมีเครื่องมือของเขา เขามีสุนัขจูงของเขา เขามีสิ่งต่างๆ เขาจะดำรงชีวิตของเขาได้ในสังคม แต่หัวใจของเราล่ะ ที่มันทุกข์มันยากขึ้นมานี่มันปิดบังใครได้ มันปิดบังใคร มันปิดบังหัวใจเราไม่ได้นะ ถ้ามันปิดบังไม่ได้

ดูการแสดงออก เวลาคนบอดใบ้ คนบอดมันก็อยู่สังคมตาบอด เขารู้ของเขากัน แต่ถ้ามีคนตาดีอยู่คนหนึ่งในสังคมคนตาบอดนั้น คนตาดีนั้นเขาจะเดินไปไหน เขาจะทำสิ่งใดด้วยอิสรภาพของเขาเพราะเขามีหูมีตาของเขา เขาทำอะไรด้วยความสะดวกสบายของเขา

ในสังคมของเราก็เหมือนกัน ครูบาอาจารย์ของเราที่ท่านประพฤติปฏิบัติธรรมขึ้นมา หูตาท่านสว่างขึ้นมา ท่านเห็นคนบอดใบ้ ท่านรู้หมดล่ะ คนบอดใบ้มันแสดงกิริยาอย่างไร มันทำอย่างไรในกิริยาของมัน ที่มันบอดใบ้เพราะอะไร เพราะมันไม่เห็นจริงๆ เพราะมันก็สังคมอย่างนั้น เขาอยู่กันอย่างนั้น เขาว่าสิ่งนั้นเป็นเรื่องปกติธรรมดาของเขา

แต่ถ้าคนตาดีเขาเห็นนี่มันน่าสังเวช มันสังเวชน่ะ สังเวชว่าสิ่งนั้นแสดงออกมาได้อย่างไรมันแสดงออกมาด้วยการตาบอด

คนตาบอดเดินไป เขาต้องเอามือเขาคลำไปเพื่อความปลอดภัยของเขา แล้วทำไมคนตาดีต้องคลำไปอย่างนั้น ถ้ามันตาบอดมันคลำไปเพราะมันไม่เห็นล่ะสิ นี่ก็เหมือน การแสดงออกของธรรมที่ว่ามันแสดงออกมา เวลาบอดใบ้ขึ้นมานี่ มันบอกหมดล่ะว่ามันบอดหรือไม่บอด ถ้ามันบอดมันแสดงออกมาอย่างนั้น แสดงออกมาได้อย่างไร

ดูสิ ดูทางการแพทย์ของเขา สิ่งใดที่เป็นพิษเขาไม่เอาเข้ามาในร่างกายหรอก เพราะรู้ว่ามันเป็นพิษ เอาเข้ามาในร่างกายมันเป็นของแสลง มันต้องทำให้ร่างกายนี้พิการไปแน่นอน เขาไม่เอาเข้ามาในร่างกายเราแน่นอน แต่ถ้าคนไม่รู้ถึงความเป็นพิษของมัน...

นี่ก็เหมือนกัน ในการกระทำ ในการดำรงชีวิตขึ้นมา มันบอกหมดล่ะว่าสิ่งนั้นถูกต้องหรือไม่ถูกต้อง ไม่ถูกต้องแล้วทำทำไม? เพราะมันไม่รู้ ทั้งๆ ที่มันรู้ขึ้นมานี่ รู้ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ดูทางวิชาการ เราสามารถรู้ได้ ดูสิเวลาคนบอกอย่างนี้เป็นความผิดๆ เรารู้ว่าเป็นความผิด ทำไมทำ เพราะมันทนแรงเร้าของกิเลสไม่ไหว เพราะกิเลสตัณหาความทะยานอยากในหัวใจมันเร้า เห็นไหม พอเร้าอย่างนั้นมันทำขึ้นมา คิดว่าอ้างอิงได้ หลบหลีกได้

แต่ถ้าเป็นความจริงขึ้นมา เราอ้างอิงอะไร เพราะอะไร เพราะมันเป็นผลดีและผลเสียกับเราเอง มันเป็นบุญกุศล บาปอกุศลกับจิตดวงนั้นเสียเอง ถ้าเป็นจิตดวงนั้น เห็นไหม

ดูสิ เวลาเราปฏิบัติกัน พระป่าเราเวลาออกธุดงค์กัน ศีล ถ้าศีลเราไม่ปกติ ศีลของเราไม่มั่นคงของเรา เรากล้าเผชิญกับสัตว์ สิงสาราสัตว์ไหม เวลาเข้าป่าไปนี่ สิงสาราสัตว์นี่เพราะเราเข้าป่าเราไม่มีอาวุธนะ เรามีศีลธรรมเป็นเกราะเครื่องกำบัง เราไม่มีสิ่งใดเลยไปเผชิญกับสิ่งเขี้ยวเล็บของเขา แล้วถ้ามีเวรมีกรรมต่อกันก็เอาไปเลย นี่ชีวิตก็สละให้ แต่ถ้าไม่มีเวรกรรมต่อกัน เขาไม่ทำอะไรเราหรอก

มันมั่นใจด้วยศีลธรรมของเรา ถ้ามั่นใจด้วยศีลธรรมของเรา สิ่งที่ว่าเราประพฤติปฏิบัติขึ้นมานี่ ถ้ามันไม่บอดใบ้ มันรู้ของมันว่าศีลธรรมเราสะอาดบริสุทธิ์ไหม เรากล้าเข้าป่าเข้าเขาไปเผชิญกับสิงสาราสัตว์ไหม ถ้าสิงสาราสัตว์ขึ้นมา ดูสิ เวลาสิงสาราสัตว์ของเรามาในวิทยาศาสตร์ เราก็บอกว่าสิงสาราสัตว์มันก็อยู่ในป่าของมัน สิงสาราสัตว์มันอยู่ในป่าแล้วรู้สิ่งใดกับศีลกับธรรมของภิกษุที่เข้าไปธุดงควัตรอยู่ในป่า

แต่ถ้ามันเป็นเทพล่ะ มันเป็นสิงสาราสัตว์มันเป็นเทพก็ได้ เทพที่เขาแปลงกลายมาเป็นสิงสาราสัตว์ เขาทดสอบ เขามาเร่งเร้าการประพฤติปฏิบัติของเราให้เข้ารูปเข้ากรอบให้เป็นธรรมขึ้นมา สิ่งนี้ก็มี เห็นไหม ในวัฏฏะ กามภพ รูปภพ อรูปภพ สิ่งที่เป็นกามภพ รูปภพ อรูปภพ สิ่งนี้มันมีของมันอยู่แล้ว ถ้ามีของมันอยู่แล้ว เห็นไหม

ดูสิ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระนาคิตะเวลาเดินจงกรมอยู่ เทวดามายับยั้งกลางอากาศ พระนาคิตะเดินจงกรมอยู่ในป่า เขาไปงานมหรสพกันเขามีความสุขกัน ตัวเองเดินจงกรมอยู่ในป่า มีความน้อยใจ “เขามีความสุขกัน เขามีความรื่นเริงกัน เราเป็นคนเศษคน มาเดินจงกรมอยู่ในป่าคนเดียวเป็นเศษคน”

เทวดามายับยั้งกลางอากาศนะ ในพระไตรปิฎก เห็นไหม เทวดายับยั้งกลางอากาศเลย “สิ่งที่เขาไปนั้นน่ะ พวกเขาติดอยู่ในวัฏสงสาร เขายังเวียนตายเวียนเกิดอยู่กับโลก ท่านต่างหากที่จะพ้นจากกิเลส ท่านต่างหาก”

“ไอ้ที่คนทุกข์คนจนที่ว่าเราเศษคนนี่ เราเดินจงกรมอยู่ในป่า เราเป็นคนทุกข์คนยาก ไอ้คนที่เขามีความสุขรื่นเริงกันน่ะ เขากำลังไปเที่ยวงานกัน เขามีความสุขรื่นเริง เขาขับร้องเพลงกันไป ไอ้พวกนั้นมันเวียนตายเวียนเกิด มันยังติดกับอยู่ในวัฎสงสาร ท่านต่างหาก ท่านต่างหาก” เห็นไหม นี่เทวดามายับยั้งกลางอากาศได้อย่างไร นี่กามภพ รูปภพ อรูปภพไง เทวดาอินทร์ พรหม รับรู้สิ่งนี้ไง

เวลาเราเข้าไปป่าไปนี่ สิงสาราสัตว์ตามความเป็นจริงก็มี สิงสาราสัตว์ที่เทพบันดาลก็มี ถ้าเทพบันดาลขึ้นมา เห็นไหม ถ้าเทพบันดาลบันดาลทำไม ทำไมต้องบันดาลกับพระภิกษุองค์นี้ พระภิกษุองค์นี้มีคุณสมบัติอะไร มีความดีอย่างไรถึงต้องบันดาลกับพระภิกษุองค์นี้ เพราะพระภิกษุองค์นี้เขามีบุญวาสนาหรือเปล่า เขาทำจริงทำจังหรือเปล่า จิตใจเขาใบ้เบี้ยเสียขาไหม จิตใจของเราใบ้เบี้ยเสียขาไหม เรามีสติปัญญาพอจะยับยั้งหัวใจของเราได้ไหม เรามีสติปัญญาได้ยั้งคิดไหม สิ่งที่ทำนี่ เห็นไหม ไม่ใช่เถรส่องบาตรนะ

ในประวัติหลวงปู่มั่น เขาให้พระขึ้นมาบนบ้านก็ขึ้นไปบนหลังคา พอให้ลงจากหลังคามามันก็ลงไปใต้ถุนนั้นซะ นี่ไงความใบ้เบี้ยของมัน ใบ้เบี้ยเสียขาของจิต เห็นไหม ไม่มีปัญญาแยกแยะอะไรถูก อะไรควรไม่ควรเลย เขาเรียกขึ้นบ้านก็ขึ้นบ้าน ไม่ใช่ขึ้นไปบนหลังคา พอเรียกให้ขึ้นบ้านก็ขึ้นไปนั่งบนหลังคา บอกให้ลงมามันก็เสือกลงไปใต้ถุนนั่น แล้วทำไมเขาไม่เข้ามาบ้านล่ะ เขาเชิญขึ้นมาบ้าน เขาไม่ได้ให้ขึ้นไปบนหลังคา นี่ถ้ามันใบ้เบี้ยเสียขามันคิดเลยเถิด ล้นหมด ความคิดมันล้นไป ล้นความเป็นจริง ถ้าความคิดมันใบ้เบี้ยเสียขา เห็นไหม ดึงก็ไม่ออก เวลาบอกว่าให้ทำมันก็ไม่ขยับ เวลามันขยับมันก็ล้นข้ามฝั่งไป

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเทศน์ธัมมจักฯ เทฺวเม ภิกฺขเว ทางสองส่วนที่ไม่ควรเสพ อัตตกิลมถานุโยค กามสุขัลลิกานุโยค นี่ก็เหมือนกัน มันล้นไปข้างหนึ่ง มันขาดไปอีกข้างหนึ่ง จนมันเป็นมัชฌิมาปฏิปทาไม่ได้ มัชฌิมาปฏิปทามันเกิดมาอย่างไรล่ะ มันต้องมีการฝึกฝน มันต้องมีความยั้งคิดแล้วมีสติปัญญาของเรา ถ้ามีสติปัญญาของเรา นี่จิตใจมันจะไม่ใบ้บอดนะ

นี่ใจมันมืดบอด พอมันมืดบอดมันก็บอดใบ้ พิการไปหมด มันจะก้าวเดินไปอย่างไร การแสดงออกมามันก็ไม่เป็นความจริงแล้วล่ะ แต่ถ้ามันเป็นความจริงขึ้นมา เราต้องมีสติปัญญาของเรา ต้องยับยั้งของเรา สิ่งที่เป็นทางโลก มารยาททางโลกมันเรื่องมารยาทของทางโลกเขา ถ้ามารยาททางธรรมล่ะ มันแสดงออกไง

ดูสิ ดูสัตว์ที่มันมีความฉับไวของมัน มีสติมีปัญญาของมัน มันจะก้าวเดินออกไปโดยไม่มีเสียงเลย มันจะรักษาตัวมัน รักษาชีวิตของมัน มันก้าวเดินไปด้วยความสงัด มันจะก้าวเดินไปจะไม่มีเสียงกระทบให้ใครรู้ถึงการเคลื่อนไหวของมันเพื่อจะเอามันมาเป็นอาหาร

นี่ไงเวลามันก้าวเดินไป สัตว์มันยังรู้จักรักษาชีวิตของมัน แล้วของเรานี่เราจะรักษาหัวใจของเรา การก้าว การเดิน การเหยียดการคู้ การมีสติปัญญา มันรู้ของมันได้นะ คนมองมองออก มองออกว่ามันมีสติปัญญาหรือไม่ ถ้ามันไม่มีสติปัญญามันก็เหมือนโลกๆ เขานั้นล่ะ โลกๆ เขาแสดงออกไป โลกเขายังมีสติปัญญามากกว่า เขายังมีมารยาทสังคม

มารยาทสังคม เวลาเขาเข้าไปสังคมไหน สิ่งใดควรทำไม่ควรทำนี่มันเป็นมารยาทของเขา แต่ของเราล่ะ ของเรานี่ความมารยาทมันเป็นโลกนะ มารยาสาไถย โลกมีแต่ความมายากัน แต่ขนาดว่าเราเป็นความจริงๆ ความจริงมันล้นไปไหน ถ้าความจริงมันไม่ล้นออกไป มันต้องมีสติปัญญาของมัน

ถ้ามีสติปัญญาของมันเห็นไหม นี่ฟังธรรม เตือนสติ ทำไมต้องฟังธรรม เพราะความดีที่ดีกว่านี้มันยังมีขึ้นไปอีก ความดีของเรามันต้องพิจารณาของเราขึ้นไป ถ้าความดีของเรา ความดีของเราทำอะไรกัน พระมีความดีด้วยหรือ วันๆ ไม่เห็นทำอะไรเลย โลกเขายังทำมาหากินกัน เขายังหาสมบัติพัสถานกัน พระวันๆ ทำอะไรกัน นี่วันๆ ทำอะไรกัน ทำอะไรล่ะ

เวลาพุทโธๆ พุทโธวันหนึ่งได้กี่คำ มันมีสติปัญญายับยั้งใจของตัวได้ไหม ถ้ามันมีสติปัญญายับยั้งใจของตัว ดูสิ ชีวิตชีวิตหนึ่ง อายุขัยอายุขัยหนึ่ง หายใจวันละกี่หนล่ะ ทางวิทยาศาสตร์เขาทำทางวิชาการกันเลยว่า หายใจกี่ล้านครั้งต่อชีวิตหนึ่ง นี่สามหมื่นกว่าวันต่อชีวิตหนึ่ง ทางวิทยาศาสตร์เดี๋ยวนี้เขาวิจัยได้หมดล่ะว่าคนหนึ่งเกิดมานี่ จะดำรงชีวิตกี่วัน หายใจกี่ล้านครั้ง แล้วได้อะไรขึ้นมา ตายเปล่า ตายเปล่าๆ

แต่ถ้าเรามีสติปัญญาขึ้นมานี่ พระทำอะไร วันๆ ถ้ามีสติปัญญาจะหาอริยทรัพย์ ทำอะไรกันนะ นี่กิริยาการเคลื่อนไหว

ดูไก่นะ ไก่ป่ามันมีความว่องไวของมัน มันจะรักษาชีวิตของมัน ถ้ามันเห็นภัยมันจะหลบหลีกของมัน ถ้าใครจับมันไปนะ ถ้าเป็นอาหารที่เขาให้ มันจะไม่กิน มันไม่กินอาหารที่คนให้ มันไม่กินน้ำที่คนให้ มันจะหากินของมันเองนะ ยื่นให้มันกินมันก็ไม่กิน มันอดจนมันตาย ไก่ป่านี่ ถ้ามันไก่ป่าแท้ๆ มันจะหากินของมันเองนะ ยื่นให้มันกินมันก็ไม่กิน มันอดจนมันตาย ไก่ป่า ถ้ามันไก่ป่าแท้ๆ มันไม่กินของที่เขาให้กิน มันจะหากินของมันเอง แล้วมันจะกินน้ำกินท่าในป่าที่มันหากินของมันเอง นี่ไก่ป่านะ คนที่จับมันไปเลี้ยงยังจิตใจอ่อนแอกว่ามัน ต้องเอามันมาคืนป่านะ

นี่ไก่ป่ามันระวังภัยไง มันระวังภัยเพื่อชีวิตของมัน ถ้าเขาจับได้ มันก็ไม่ใช้ชีวิตอยู่ในสังคมของเขา มันยอมตาย มันยอมตายจนคนจับมันไปต้องเอาไปคืนป่านะ ถ้าเอาไปคืนป่า มันก็คุ้ยเขี่ยหากินของมัน

นี่ไง ไก่ป่ามันยังรักษาชีวิตของมัน มันยังมีคุณภาพหัวใจมันที่เข้มแข็ง แล้วเราเป็นพระที่เห็นภัยในวัฏสงสาร เขาบอกว่า พระทำอะไร วันๆ หนึ่งพระทำอะไร ไม่เห็นทำอะไรเลย เดินไปก็เดินมา เดินไปเดินมา ในเมื่อเดินไปเดินมา ถ้าหัวใจของเราอยู่ในร่างกายของเรา มันจะเป็นสิ่งที่ประเสริฐที่สุด

ร่างกายอยู่ในวัด เดินไปเดินมานี่หัวใจมันคิดเรื่องอะไร มันคิดออกนอกโลกธาตุไปไหม มันคิดถึงสังคมข้างนอกหรือเปล่า ถ้ามันคิดถึงสังคมข้างนอกนี่มันพ้นจากตัวไปแล้ว มันไม่มาอยู่กับเราหรอก

ถ้ามันอยู่กับเรา เห็นไหม ดูสิ เวลาเทวดามาบอกนาคิตะ “นาคิตะ เธอต่างหากเป็นผู้ประเสริฐ เธอต่างหากเป็นผู้ประเสริฐ” ไอ้คนที่มันไปเที่ยวเล่นมันไปเที่ยวเล่นทั้งร่างกายและจิตใจ มันไปหมดทั้งตัวนะ แต่พระนาคิตะเดินจงกรมอยู่ในวัด แต่หัวใจมันส่งออก ส่งออกเห็นเขาเที่ยวเล่นมีความสุข

เห็นไหม เทวดามาเตือนเลย “ที่เขาเที่ยวเล่นกัน ที่ว่าเขามีความสุข เขาอยู่ในวัฏสงสาร เขาเวียนตายเวียนเกิดเหมือนสวะ สวะที่มันลอยไปตามน้ำ ไม่มีต้นไม่มีปลาย ท่านต่างหาก ท่านต่างหาก เห็นไหม ทวนกระแส จะพ้นจากกิเลส” นี่คืนนั้นพระนาคิตะเป็นพระอรหันต์นะ

ในสังคมโลก ที่ว่าเราไม่ทำสิ่งใดเลย เราเดินจงกรมอยู่นี่ พระไม่ทำสิ่งใดเลย...ถ้าเอาหัวใจของเราไว้ในอำนาจของเรา เอาหัวใจเราไว้ในอำนาจของเรา ถ้าหัวใจมันไว้ในอำนาจของเรา มันอยู่ที่ท่ามกลางหัวอก มันคิดอยู่ในร่างกายนี้ มันไม่ส่งออกจากนอกเขตวัดไป

นี่ตัวนี่อยู่วัด ใจอยู่ไหน ใจมันไปเที่ยวที่ไหน หามันไม่เจอ มันไปนะ มันไปเที่ยวข้างนอกนะ แล้วมันก็ไปเอาสารพิษเข้ามา นี่เรื่องจริงหรือไม่จริงก็ไม่รู้ แล้วมันก็ถ่ายลงหัวใจ พอมันถ่ายลงหัวใจของเรานะ เราก็คิดนะ “ไอ้นั่นเป็นไอ้นั่น ไอ้นั่นเป็นนี่” ทุกข์น่าดูเลย

ถ้ามัน...นี่พระทำอะไร ถ้าพระเดินจงกรม หรือนั่งสมาธิภาวนา แล้วรักษาใจของตัวได้ “ไก่ป่า” ไก่ป่ามันหากินของมัน ไก่ป่ามันหากินของมันเอง มันดำรงชีวิตของมันเอง จิตใจ ถ้ามีพุทโธๆ อยู่กับเราเอง ถ้าจิตใจอยู่กับพุทโธ นี้คือพุทธานุสติ ถ้าจิตใจคิดฟุ้งซ่านออกไปข้างนอก มันไม่สมฐานะของไก่ป่า ไก่ป่ามันคิดแต่พุทโธๆ นี่อาหารของใจ ถ้ามันคิดถึงเรื่องอื่น อาหารที่เป็นพิษ สังคมเขายื่นให้ โลกธรรมมันยื่นให้ แล้วใจก็ไปกิน ไปกิน แล้วก็ทุกข์ ก็ทุกข์

แต่เวลาเดินจงกรมอยู่ สมณสารูป เราเดินจงกรมอยู่ในป่า นั่งสมาธิอยู่ในป่า ถ้าจิตใจมันอยู่กับเรา พุทธานุสติ มันไม่ออกไปกินเหยื่อข้างนอก มันไม่บอดไม่ใบ้ มันมีสติ มีปัญญา มีการควบคุมของมัน ถ้ามันบอดใบ้ ใบ้เบี้ยเสียขา เห็นไหม ใครอาหารมา คิดแต่เรื่องร้อยแปดพันเก้า มีแต่เผาลนหัวใจ มันบอดมันใบ้ มันถึงต้องเผาลนหัวใจ เพราะมันบอดมันใบ้

แต่ถ้ามันหูตาสว่าง มันไม่บอดไม่ใบ้ มันเลือกเฟ้น มันแยกแยะ

ขณะปัจจุบันนี้เดินไปไหนเขาก็ยกมือไหว้ เดินไปไหนนะเขายกมือไหว้ เขาเรียกว่าพระ แต่ในหัวใจของเรา นี่โยมเขายังคิดแต่เรื่องมรรค ผล นิพพาน เรื่องพ้นจากกิเลส ไอ้นี่สมณสารูป เป็นพระ แต่หัวใจมันคิดถึงอะไร หัวใจมันคิดเรื่องอะไร นี่มันบอดใบ้ มันบอดใบ้เพราะกิเลสมันปิดบังตามัน

แต่ถ้ามันหูตาสว่าง เห็นไหม รูปร่างภายนอกของเราก็เป็นพระ หัวใจของเราก็เป็นพระ พระผู้ประเสริฐ พุทโธ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน พุทธะ ผู้สว่างไสว พุทธะ พุทโธ ผู้รู้ ผู้สว่างไสว

เขาบอกว่า “พระทำอะไร บวชมาแล้วทำอะไร บวชมาแล้วไม่เห็นทำอะไร ว่าพระป่าๆ พระป่าเขาปฏิบัติกัน ไม่เห็นทำอะไร”

เอ๋า! เขาทำกลางหัวอก เขาทำรั้งใจเอาไว้ในอำนาจของเขา สิ่งที่เรามองกันเรื่องพระทางโลก ถ้าพระ ไปวัดก็ต้องมีโบสถ์วิหาร ศาลาการเปรียญ ไอ้นั่นมันเป็นศาสนวัตถุ ศาสนวัตถุ เห็นไหม ดูสิ ในหนังนะ เวลาเขาจะสร้างหนัง เขาสร้างได้สวยกว่านั้นอีก เขาสร้างได้

แต่นี่มันไม่ใช่หนัง นี่มันเรื่องจริง เรื่องจริง เวลาเป็นพระ พระข้อวัตรปฏิบัติ นี่วัตรวัดใจ ถ้าวัดใจของเรา เราเป็นพระที่ประพฤติปฏิบัติขึ้นมา สิ่งที่เป็นวัตถุ สิ่งที่ว่าเราพออาศัย เราอาศัยมาทำไม อาศัยมาเพื่อประพฤติปฏิบัติ อาศัยมาเพื่อรักษาหัวใจของเรา ถ้ารักษาหัวใจของเรา เราเอาไว้ในอำนาจของเรา ถ้าอำนาจของเรา นี่ไง ศาสนามันเกิดที่นี่

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมา มีพระพุทธเจ้ากับพระธรรม เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเทศน์ธัมมจักฯ ขึ้นมา พระอัญญาโกณฑัญญะมีดวงตาเห็นธรรม สงฆ์องค์แรกเกิดขึ้นในโลก พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นแก้วสารพัดนึกของเรา

ในปัจจุบันนี้เราบวชมาเป็นพระสงฆ์ พระสงฆ์โดยญัตติจตุตถกรรม โดยสมมุติ โดยสมมุติขึ้นมานี่สงฆ์ยกเข้าหมู่ขึ้นมา นี่โดยสมมุติ แล้วเราก็จะมาประพฤติปฏิบัติขึ้นมาให้หูตามันสว่าง ไม่ใบ้บอดใบ้ของเรา ถ้าหัวใจมันบอดมันใบ้ขึ้นมา

เวลาเขาบอกว่า พระทำอะไร เออ แล้วพระทำอะไรล่ะ พระจะทำอะไร

แต่พอพระทำอะไร หน้าที่ของพระคืออะไร? หน้าที่ของพระ เวลาบวชขึ้นมา อุปัชฌาย์ก็ให้เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ นี่ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เวลาหน้าที่ของพระ พิจารณาผม ขน เล็บ ฟัน หนัง ไม่ใช่พิจารณาโบสถ์วิหาร ไม่ใช่พิจารณาสิ่งที่ว่าเป็นศาสนวัตถุ ศาสนวัตถุนะ มันเกิดจากความเลื่อมใสศรัทธาของบริษัท ๔ เขา ในพุทธบริษัทเขาจะทำบุญกุศลของเขา เพื่อเป็นบุญกุศลของเขา ไอ้นั่นมันเป็นหน้าที่ของพุทธบริษัท

แต่หน้าที่ของเราล่ะ หน้าที่ของเรา ถ้ามันไม่มีสดมภ์ล่ะ ไม่มีธรรมในหัวใจ จะเอาสิ่งใดเป็นหลักในพุทธศาสนา

ถ้าพุทธศาสนา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้อะไรขึ้นมา ตรัสรู้ศาสนธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระอัญญาโกณฑัญญะ “สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีการเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งทั้งหลายต้องดับไปเป็นธรรมดา”

อะไรเป็นธรรมดา อะไรมันเกิด อะไรมันดับ โบสถ์มันเกิดขึ้นมาแล้วโบสถ์มันดับใช่ไหม โบสถ์มันเกิดขึ้นมาแล้วโบสถ์มันทำลายไปใช่ไหม ข้อวัตรปฏิบัติขึ้นมา เห็นเขาทำดีแล้วจะดีตามเขาใช่ไหม เวลาเห็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทำอย่างไรจะทำตามองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าใช่ไหม นี่มันเป็นไปไม่ได้หรอก มันเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทำสิ่งใดมา นั้นเป็นพุทธิวิสัย เป็นวิสัย

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมา เวลาเทวดาถวายบาตร ๔ ใบ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ก่อนๆ เขาทำอย่างไร พุทธประเพณีเขาทำอย่างไร พระพุทธเจ้าออกบิณฑบาต ถึงว่าอธิษฐานบาตร ๔ ใบให้เหลือเพียงใบเดียว แล้วพระพุทธเจ้าออกไปบิณฑบาต ออกบิณฑบาตเป็นวัตร เห็นไหม สิ่งที่เลี้ยงชีพด้วยปลีแข้ง “เลี้ยงชีพด้วยปลีแข้ง”

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าดูพุทธประเพณี เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระเจ้าสุทโธทนะนิมนต์ไป พระเจ้าสุทโธทนะนิมนต์ไปเทศนาว่าการ แต่ไม่นิมนต์ให้ฉัน ออกบิณฑบาต ประเพณีขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าออกบิณฑบาต เลี้ยงชีวิตโดยชอบ นี่ไง ประเพณีของพุทธวิสัย

แล้วเราบอกว่า พระพุทธเจ้าทำสิ่งใด แล้วเราจะทำให้มันเหมือนได้ขึ้นมาจากไหน

ถ้ามันทำขึ้นมา สิ่งนั้นมันก็เป็นรูปแบบไง เราเป็นศากยบุตรพุทธชิโนรส เราทำนะ เราเชื่อฟังองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่ในการกระทำ จิตใจของผู้ที่เป็นสาวก สาวกะจะอ่อนน้อมถ่อมตน ในสมัยพุทธกาลนะ เขาจะไม่เทียบเคียงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จะมีความเคารพเลื่อมใส ยิ่งถ้ามันลงใจด้วยนะ เว้นไว้แต่จิตใจมันกระด้าง จิตใจมันกระด้างนะ ว่าสิ่งนั้นพระพุทธเจ้าทำ เราก็จะทำอย่างนั้น มันเป็นไปไม่ได้หรอก นี่พูดถึงทางโลกเขาคิดกัน

แต่ถ้าทางธรรมล่ะ ทางธรรม เห็นไหม เราจะดูแลหัวใจของเรา ถ้าเราดูแลหัวใจของเรานะ ถ้ามันอ่อนน้อมถ่อมตน มันมีสติ มีสมาธิขึ้นมา มันจะเข้ามาถึงมรรคญาณไง ถ้าเข้ามาถึงมรรคญาณ

นี่ว่า “พระทำอะไร พระทำอะไรน่ะ”

สิ่งที่โลกเขาทำกันนะ โลกเขาทำกัน ทำขนาดไหนสิ่งนั้นเป็นผลประโยชน์ เป็นประโยชน์สาธารณะ ประโยชน์ของโลก ถ้าเขาทำบุญ สิ่งที่เป็นบุญกุศลจะติดใจของเขา ถ้าเขาทำบาปอกุศล บาปอกุศลติดในหัวใจของเขา แต่สิ่งที่ผลกระทบทางโลกทั้งดีและชั่วมันจะตกอยู่กับโลกนี้

แต่ถ้าเราประพฤติปฏิบัติของเรา เวลาเรานั่งขึ้นมา นั่งสมาธิภาวนาขึ้นมาท่ามกลางหัวใจของเรานี่ เราจะรับรู้เอง เกิดถ้าเกิดความสงบร่มเย็นขึ้นมาในใจ ใจจะสงบร่มเย็นขึ้นมา เกิดถ้าจิตใจมันมีแต่ความฟุ้งซ่าน จิตใจมันมีความเร่าร้อน เราจะรู้ของเรา นี่ปัจจัตตัง สันทิฏฐิโก นี่งานทางธรรม

งานของเรา งานของพระ งานของพระคือขุดคุ้ย งานของพระคือถากถางในหัวใจของเรา เพื่อจะหาอริยทรัพย์ หาสัจจะความจริงขึ้นมา ถ้าเราหาสัจจะความจริงขึ้นมานะ สังคมโลกมันจะกระเทือนเลือนลั่นขนาดไหน เราจะไม่หวั่นสิ่งใดๆ เลย จิตใจนี้จะไม่หวั่นไหวไปกับสังคมโลก เพราะเรารู้เท่าหมดแล้ว

แต่ถ้าจิตใจเราไม่มีหลักมีเกณฑ์ เราจะหวั่นไหวไปกับสังคมโลก โลกเขาจะเอาสิ่งใดมาเป็นเหยื่อล่อ นี่ถ้าจิตใจมันบอดมันใบ้ของมัน มันไม่มีหลักของมันไง

ถ้าจิตใจมันพ้นจากความบอดความใบ้ขึ้นมา เห็นไหม เราจะเอาตัวเรารอดได้ เราจะมีหลักมีเกณฑ์ของเรา ถ้าเรามีหลักมีเกณฑ์ของเราแล้ว นี่เรื่องโลกๆ มันจะมาทำให้จิตใจนี้หวั่นไหวได้อย่างใด มันหวั่นไหวไปไม่ได้ แต่หวั่นไหวไปไม่ได้ แล้วยังเป็นร่มโพธิ์ร่มไทรนะ เป็นหลักเป็นเกณฑ์ ถ้าเป็นหลักเป็นเกณฑ์ เป็นหลักเป็นเกณฑ์ของใคร ถ้าเป็นหลักเป็นเกณฑ์ เห็นไหม เพราะมันเป็นจริต เป็นนิสัย เป็นความเข้ากันได้และความเข้ากันไม่ได้ ถ้าความเข้ากันได้ มันจะเป็นประโยชน์นะ

ฉะนั้น สิ่งที่เป็นธรรม เราฟังธรรมแล้วเราเทียบเคียงเข้ามาในความเป็นประโยชน์กับเรา ถ้าเป็นประโยชน์กับเรา เห็นไหม เพื่อเปิดหัวใจของเรานะ ถ้าหัวใจมันเปิดนะ ในธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เวลาพูดเทศนาว่าการกับบริษัท ๔ นะ ถ้าผู้ใดฟังธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเข้าถึงหัวใจ จะพูดกับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประจำว่า “เหมือนหงายของที่คว่ำอยู่”

ของที่คว่ำอยู่นะ ฝนตกแดดออกมันจะไม่ได้ประโยชน์สิ่งใดเลย หงายของที่คว่ำอยู่ขึ้นมา นี่ฝนตกแดดออกมันจะได้สิ่งนั้น เห็นไหม เหมือนกับหงายหัวใจที่มันคว่ำอยู่ ให้มันหงายขึ้นมา ถ้าหงายขึ้นมา มันจะได้รับสิ่งที่เป็นประโยชน์ นี่เวลาฟังธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่กระเทือนหัวใจ มันจะหงายหัวใจมันขึ้นมา

ถ้ามันหงายหัวใจขึ้นมา เราจะมีคุณค่ามาก เราเห็นทางโลกไหม ทางโลก ถ้าจิตใจของคนที่มันปิดมันกั้น มันจะทำลายประโยชน์สาธารณะทั้งหมด ถ้าเขามีสำนึก เขาหงายใจของเขาขึ้นมา เขาจะทำ พฤติกรรมเขาจะเปลี่ยนไป ทำเพื่อเป็นประโยชน์กับสังคม ประโยชน์กับสิ่งที่เป็นโลก เพราะเขาเห็นว่าสิ่งใดเป็นประโยชน์กับไม่เป็นประโยชน์

คนเราเกิดมานะ มันก็ใช้ชีวิตอย่างนี้แหละ เราจะมีเงินมากเงินน้อยขนาดไหน เขาก็ใช้ดำรงชีวิตแค่ความดำรงชีวิตเท่านั้น สิ่งที่เหลือนั้นเราคิดกันไปเอง เราคิดกันไปเอง เวลาคนที่ใจเขาเป็นธรรมนะ เขามีสมบัติมากขนาดไหน เขาทำสาธารณะประโยชน์ เขาใช้ของเขาในการดำรงชีวิตเท่านั้น ชีวิตมีเท่านี้ แต่คนถ้ามันขาดแคลนในหัวใจนะ มันพยายามจะแสวงหา พยายามจะเอาความมั่นคง แล้วไม่มีความมั่นคง

“ชีวิตนี้มีการพลัดพรากเป็นที่สุด” แต่ขณะก่อนที่จะพลัดพราก เราจะทำสิ่งใดเพื่อกับประโยชน์โลก ประโยชน์เรา ถ้าเราทำประโยชน์ของเราไม่ได้ เรายังสร้างประโยชน์ของเราไม่ได้ ประโยชน์โลกจะเกิดขึ้นได้อย่างใด

แต่ถ้าเราสร้างประโยชน์ของเราได้ก่อน ถ้าเราสร้างประโยชน์ของเราได้ เราจะสร้างประโยชน์กับโลก ถ้าเราสร้างประโยชน์ของเราได้ เราจะไม่มีอุปาทาน เราจะไม่มีตัณหาความทะยานอยากในหัวใจ ถ้าเราไม่มีขึ้นมา เราทำสิ่งใด เรารู้ว่ามันเป็นประโยชน์โลก แต่คนในโลกเขาจะเข้าใจสิ่งนี้ไม่ได้

เรื่องของโลก เห็นไหม เรื่องของโลกเขาก็มองด้วยมุมมองของโลก ถ้ามุมมองของโลก มันไม่มีใครที่จะเสียสละโดยความเป็นธรรม ทุกคนจะต้องแสวงหาผลประโยชน์ เขาจะไม่เชื่อใจใคร เขาจะไม่ไหวใจใคร เขาจะบอกคนคิดอย่างนี้ในโลกนี้ไม่มี

แต่คนที่จิตใจเขาเป็นธรรมนะ มันไม่มีได้อย่างใด ในเมื่อเราเป็นคนเสียสละคนแรก ของที่ได้มาเราก็ยังเสียสละให้เป็นประโยชน์สาธารณะโดยไม่มีสิ่งใดแอบแฝง แต่ถ้าเป็นทางโลก จะเสียสละสิ่งใด เขาหวังผลตอบแทน เขาหวังผลประโยชน์ตอบแทนกับเขา แต่ถ้าคนที่เป็นธรรมนะ เขาเสียสละโดยที่ไม่หวังผลตอบแทนกับเขา สิ่งที่ไม่หวังผลตอบแทน นั่นไง นี่เป็นประโยชน์กับโลก

“โลกนี้พร่องอยู่เป็นนิจ” ถ้าจิตใจเรายังพร่องอยู่ เราก็แสวงหาเหมือนกับโลกนี้เขาพร่องอยู่เป็นนิจ แต่ถ้าจิตใจเราอิ่มเต็มแล้ว “โลกนี้พร่องอยู่เป็นนิจ” เราจะรักษาสิ่งที่พร่องอยู่เป็นนิจให้เขาได้พึ่งพิง แต่หัวใจของเราไม่ต้อง เพราะมันเข้าใจเรื่องชีวิต เพราะชีวิตนี้มีการพลัดพรากเป็นที่สุด มันก็กินอิ่มนอนอุ่นก็เท่านี้แหละ มันจะมีมากกว่านี้ไปจากไหน

มันจะมีมากไปกว่านี้เพราะกิเลสตัณหาความทะยานอยาก เพราะมันตัณหา หามาตันตัวเอง เพราะตัวเองมันบกพร่องของมัน มันจะให้อิ่มเต็ม ตัณหาความทะยานอยากนี่ถมไม่มีวันเต็มนะ ทะเลนี่เราจะเอาสิ่งใดไปถมมัน มันถมไม่เต็มหรอก ถมไม่เต็ม แต่ทะเลมีขอบเขตของมันนะ ขอบเขตของทะเลคือฝั่ง นี่ไง ตัณหาความทะยานอยากในหัวใจของเรานี่ถมไม่มีวันเต็มหรอก

แต่ถ้าคนไม่มีกิเลสตัณหา เห็นไหม มันไม่ต้องถม มันไม่มีที่จะถม ไม่มีสิ่งที่จะไปและสิ่งที่จะมา มันไม่มี ถ้ามันไม่มี มันก็อิ่มเต็มของมัน

แต่โลกนี้ ถ้ามันเป็นเรื่องของโลก เขาไม่เชื่อ คนบอดคนใบ้ กิเลสมันปิดตา จะไม่เชื่อสิ่งใดๆ เลย คำว่า “ไม่เชื่อสิ่งใดๆ” มันเป็นเรื่องของกิเลสของแต่ละบุคคล มันเป็นจริตเป็นนิสัยของบุคคล

ฉะนั้น เราฟังของเรา ถ้าความคิดของเรานะ ถ้ามันขาดหลักเกณฑ์มันก็ล้น ทั้งขาดแคลน คิดขาด และคิดเกิน ล้นฝั่งไป นี้ว่าเป็นสติปัญญา เป็นเรื่องของกิเลส แต่ถ้าเป็นเรื่องของตัณหา มันก็ว่าสิ่งที่ว่ามันต้องแสวงหามาเพื่อตัวมัน

แต่ถ้าเป็นธรรมล่ะ สิ่งที่จะเป็นธรรมขึ้นมาได้มันก็มีการแสวงหาสิ่งนี้ เวลาฝึกหัดทำสมถกรรมฐาน วิปัสสนากรรมฐาน ก็สิ่งนี้ สิ่งที่ว่ามีความปฏิบัติแล้วนี่มันล้มลุกคลุกคลาน มันมีความผิดพลาด สิ่งนี้เป็นเรื่องธรรมดา คำว่า “ธรรมดา” เพราะมันมีกิเลสนะ

คนถ้ากิเลสหนามันก็ผิดพลาดมาก คนที่กิเลสบางมันก็ผิดพลาดอ่อนน้อยลงมา แต่ขนาดความผิดพลาดมันมีมากมีน้อย มันก็ต้องมีสติปัญญายับยั้งแล้วมาแก้ไข ถ้ามาแก้ไขนะ มันเทียบเคียงได้ เราเคยทำครั้งนี้แล้วมาพิจารณาว่ามันเป็นไปได้อย่างไร นี่พูดถึงการกระทำนะ

แต่เวลาจิตมันเป็นสมาธิขึ้นมา สมาธิอย่างนี้เป็นสมาธิจริงหรือเปล่า สมาธิ เห็นไหม ดูสิ สมาธิกับความเหม่อลอยแตกต่างกัน เวลาคนเราอยู่เฉยๆ นี่มันเหม่อลอยนะ ไม่ได้คิดอะไรเลยนะ แต่ก็ไม่มีสติ นี่เหม่อลอย แต่เวลาถ้ามันมีสมาธิของมันขึ้นมา มันมีหลัก มันมีหลักหมายความว่ามีจุดยืน แล้วมันนิ่ง มันสงบของมัน เออ! มันแตกต่างจากกับเหม่อลอย

เห็นไหม ถ้ามันแตกต่างกับเหม่อลอย ถ้ามันขณิกสมาธิ อุปจารสมาธิ อัปปนาสมาธิ มันแตกต่างกันอย่างใด อัปปนาสมาธิมันสักแต่ว่าเลยน่ะ แล้วเวลามันเกิดปัญญาขึ้นมา คนถ้าเกิดปัญญา มันจะเข้าใจได้หมด ถ้าคนที่เกิดปัญญาแล้ว ปัญญาอย่างนั้นเป็นโลกุตตรปัญญา ปัญญาเกิดจากสัมมาสมาธิ มันจะมาเทียบเคียงกับโลกียปัญญาทันที เทียบเคียงกับโลกียปัญญาเพราะอะไร

เพราะโลกียปัญญามันเกิดกับเราอยู่แล้ว ไอ้ปัญญาที่ล้นฝั่ง ไอ้ปัญญาที่ขาดที่เกิน มันเกิดดับกับเราอยู่ตลอดเวลา แต่เราไม่มีสิ่งใดเปรียบเทียบ แต่พอเราทำความสงบของใจขึ้นมา ใจสงบแล้ว เวลามันเกิดภาวนามยปัญญาขึ้นมา ภาวนามยปัญญาหมายถึงว่าปัญญาที่จิตมันสงบระงับ แล้วมันใช้ปัญญา ปัญญาภาวนามยปัญญา ปัญญาเกิดจากจิตดวงนั้น จิตดวงนั้นมันได้กลั่นกรอง มันได้คัดกรองของมันขึ้นมา

ถ้าคัดกรองขึ้นมา มันจะเทียบเคียงที่ว่า การคัดกรองอันนี้เป็นสมบัติของเรา กับที่เป็นโลกียปัญญา ความจำธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตรึกในธรรม เอาธรรมมาตีแผ่กับความเกิดขึ้นจริง

เห็นไหม นี่ไง ที่ว่าประกอบอาหาร ที่ว่าเราต้องรักษาอุณหภูมิ รักษาไฟ เพื่อจะปรุงอาหารให้สำเร็จ แต่เราไปมองกันที่ว่า อาหารนี้จะสำเร็จได้ด้วยวัตถุดิบ ด้วยเนื้อ ด้วยเครื่องปรุง แต่เราไม่ได้มองที่ไฟ ไฟคืออะไร? ไฟคือสัมมาสมาธิ ไฟคือทำให้อาหารนี้สำเร็จได้ แต่เราไปมองว่าสิ่งที่มันเป็นวัตถุดิบที่จะเอามาทำอาหาร วัตถุดิบที่ทำอาหาร เราก็ไปเก็บเอาวัตถุดิบมาทำอาหาร ก็มาตั้งไว้บนเตา แต่มันไม่มีไฟ ไม่มีสัมมาสมาธิที่อุณหภูมิจะมาทำให้อาหารนั้นสำเร็จขึ้นมาได้

เวลาปัญญามันเกิดขึ้นมา ภาวนามยปัญญาเกิดขึ้นมา มันจะเอามาเทียบมาเคียงกันนะ ถ้าคนเกิดภาวนาจนจิตสงบ แล้วเกิดใช้โลกุตตรธรรม โลกุตตรปัญญา เกิดจากภาวนามยปัญญา มันจะรู้ได้

ธรรมกับโลก ถ้าจิตมันไม่บอดใบ้เสียอย่างเดียวน่ะ มันไม่ต้องมีใครบอก ปัจจัตตัง สันทิฏฐิโก ถ้ามีคนบอกอยู่ เรายังไม่รู้จริง แต่ถ้าวันไหนมันเกิดจริงขึ้นมา เรารู้จริงขึ้นมานี่ต้องใครบอก ก็มันเห็น มันรู้ มันเห็น มันจับ มันต้อง ใครจะบอก นี่ปัจจัตตัง สันทิฏฐิโก

ครูบาอาจารย์ของเราถึงมีความมั่นคงนะ ความมั่นคงในธรรม ความมั่นคงในการประพฤติปฏิบัติ ถ้าจิตใจไม่บอดใบ้ แต่ถ้าจิตใจมันบอดใบ้โดยกิเลสตัณหาความทะยานอยาก เราก็ต้องอาศัยข้อวัตรปฏิบัตินี้เป็นเครื่องดำเนินไป ข้อวัตรปฏิบัตินี่เราเกาะไว้ อย่าทิ้ง

เวลาหลวงตาท่านตรัสรู้ธรรมที่วัดดอยธรรมเจดีย์ เวลาทำลายโลกธาตุ ทำลายโลกธาตุนะ พลิกฟ้าคว่ำดินจบนี่ ท่านจะสอนใครได้ ท่านจะสอนใคร แต่เวลาท่านพิจารณาของท่าน “แล้วเรารู้ได้อย่างใด? อ๋อ! เรารู้ได้ เราเดินมาจากข้อวัตรปฏิบัติ หลวงปู่มั่นท่านยำ ท่านยำ ท่านขยำ ท่านพยายามปั้นขึ้นมาด้วยข้อวัตรปฏิบัติ”

เห็นไหม ข้อวัตรปฏิบัติกับหลวงปู่มั่น ตั้งแต่จัดอาหารให้ ตั้งแต่จัดที่นอน ตั้งแต่อะไร เวลาจะผิดจะถูก หลวงปู่มั่นจะยำๆๆ ยำเพื่อให้หูตามันสว่างขึ้นมา เวลาที่ท่านได้มา ได้มาเพราะอะไร ได้มาเพราะข้อวัตรปฏิบัติ

ฉะนั้น เวลาท่านทอดธุระ ท่านบอก “อืม! เรามาได้อย่างใด? เรามาด้วยข้อวัตรปฏิบัติ”

ฉะนั้น เวลาท่านสั่งสอน ท่านถึงเข้มงวดเรื่องข้อวัตรปฏิบัติ ถ้าจิตใจเรายังใบ้เบี้ยเสียขา เราต้องอาศัยข้อวัตรปฏิบัตินี้เกาะไป แล้วเวลาทำข้อวัตรขึ้นมา เห็นไหม ถึงเวลาเราต้องทำข้อวัตรนี่ มันก็น่าเบื่อ ทั้งเหนื่อย ทั้งล้า ทุกอย่าง น่าเบื่อหมดเลย จิตใจมันจะไม่ทำ เราก็ต้องบังคับให้มันทำ เพื่อความเสมอต้นเสมอปลาย

เห็นไหม ดูนักกีฬาสิ เวลาเขาได้ความสด เขาลงไปแข่งขัน เขาจะได้ความสดของเขาพักหนึ่ง เวลาเขาเริ่ม ถ้าเขาฟิตมาไม่ดีนะ บั้นปลายของการแข่งขัน เขาจะโดนบี้ โดนบี้จนแพ้ไปตลอด นี่ก็เหมือนกัน ในการปฏิบัติเรานี่นะ เราอาศัยข้อวัตรปฏิบัติ แล้วอาศัยความสม่ำเสมอ นี่เราได้ความสด แล้วอย่าท้อแท้ ถ้าท้อแท้นะ เราได้ความสดไม่กี่วัน สุดท้ายแล้วเราก็ท้อแท้ แล้วเราก็ “เมื่อไหร่มันจะเป็นไป เมื่อไหร่...” นี่เราไม่มีความสม่ำเสมอ

การปฏิบัติสม่ำเสมอจะทำให้เราเห็นจริง การปฏิบัติสม่ำเสมอ เห็นไหม จิตใจเราต้องอาศัยข้อวัตรปฏิบัติไป ถ้าจิตใจยังพึ่งไม่ได้เกาะข้อวัตรไว้ มันท้อแท้ มันเหนื่อยหน่าย มันทุกอย่าง เพราะกิเลสมันไม่อยากทำอะไรเลย มันใบ้เบี้ยเสียขา มันบอดมันใบ้ของมัน แต่เพราะมีคุณธรรมของครูบาอาจารย์ของเรา ร่มโพธิ์ร่มไทร อาศัยสิ่งนี้เป็นการหล่อเลี้ยงหัวใจ แล้วยืนหลักให้ได้ ประพฤติปฏิบัติให้ได้ เพื่อให้ใจของเรามันพ้นจากความบอดใบ้ เอวัง