อยากรู้
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
เทศน์พระ วันที่ ๔ มิถุนายน ๒๕๕๕
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี
วันนี้วันสำคัญทางพระพุทธศาสนา วันนี้เป็นวันวิสาขบูชา เวลาเรามีศรัทธา เรามีความเชื่อนะ เวลาผู้ที่ประพฤติปฏิบัติ ครูบาอาจารย์ของเรา แม้แต่วันพระก็ยังถือเนสัชชิก ยิ่งวันสำคัญทางศาสนาถือเนสัชชิก คือภาวนาทั้งวันทั้งคืน การภาวนาของเราภาวนาเพื่อบูชาคุณองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
หลวงปู่ขาวท่านมีทางจงกรม ๓ เส้น หัวค่ำท่านเดินจงกรมบูชาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เวลาสี่ห้าทุ่มขึ้นไปบูชาพระธรรม เวลาใกล้รุ่งบูชาพระสงฆ์ กลางวันก็เหมือนกัน กลางคืนก็เหมือนกัน ทั้งๆ ที่หลวงปู่ขาวท่านเป็นพระอรหันต์นะ ท่านทำความเพียรของท่าน ท่านทำของท่านเพื่อบูชาพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์
เพราะเราประพฤติปฏิบัติขึ้นมา กว่าเราจะเห็นธรรม ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นตถาคต เวลาพระอัญญาโกณฑัญญะมีดวงตาเห็นธรรม องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปลื้มอกปลื้มใจมาก อัญญาโกณฑัญญะรู้แล้วหนอ
แต่หลวงปู่ขาวเวลาท่านประพฤติปฏิบัติขึ้นมาดวงใจท่านเป็นธรรม ถ้าท่านเป็นธรรม ทำไมท่านยังปฏิบัติบูชาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะมันซึ้งบุญซึ้งคุณ บุญคุณขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ตรัสรู้ธรรมขึ้นมา ใครจะมีปัญญา มีดวงตาเห็นธรรม เพราะสิ่งนี้เป็นสิ่งที่ลึกลับซับซ้อน
แม้แต่ของ ดูสิ เวลาเราโพกผ้าขาวม้าอยู่บนหัวหรือเอาของไว้บนศีรษะ เราตามหาค้นหาในบ้านเรา หาทั้งบ้านเลยไม่เจอ ทั้งๆ ที่ของมันอยู่บนศีรษะ นี่ก็เหมือนกัน สิ่งที่เป็นหัวใจของเรา สิ่งที่ปฏิสนธิจิตที่มาเกิดเป็นมนุษย์ เวลาเกิดเป็นมนุษย์ขึ้นมา เราว่ามนุษย์นี้เกิดมาจากไหน คนเราเกิดมาตายแล้วก็สูญ ไม่มีสิ่งใดที่จะเป็นสิ่งที่เหลือตกค้างไปกับใจของเรา เพราะมันเกิดมันตาย แล้วมันเกิดตายข้ามภพข้ามชาติ เวลามันตายไปเกิดภพใหม่ชาติใหม่ มันก็เป็นคนใหม่ขึ้นมา มันก็มีครอบครัวใหม่ มีตระกูลใหม่ มันก็ยึดตระกูลมันครอบครัวมันอยู่อย่างนั้น มันไม่รู้จักตัวของมันเอง เห็นไหม
เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ตรัสรู้ธรรมขึ้นมา ใครมันจะเป็นคนไปรื้อค้นขึ้นมา รื้อค้นสิ่งนี้ขึ้นมาเป็นศาสดาของเรา ฉะนั้น เวลาครูบาอาจารย์ของเราท่านมีดวงตาเห็นธรรม ท่านตรัสรู้ธรรมขึ้นมา ท่านถึงบูชาคุณไง บุญคุณอันนี้มันประเสริฐมาก บุญคุณอันนี้เราเกิดมาเป็นชาวพุทธ พบพุทธศาสนานี้มันแสนมีคุณค่า แต่แสนมีคุณค่าต่อเมื่อคนที่มีดวงตาเห็นธรรม คนที่ซาบซึ้งในบุญคุณขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
แต่พวกเรากิเลสมันเต็มหัวใจ เวลากิเลสเต็มหัวใจมันไม่เห็นสิ่งใดมีคุณค่าเท่ากับกิเลสเลย มันไม่มีคุณค่าสิ่งใดเท่ากับตัวเราไง ทุกคนอยากรู้อยากเห็น ทุกคนเป็นคนดี ทุกคนสร้างสมบารมีมา ทุกคนว่าตัวเองประเสริฐ ไม่เห็นมีสิ่งใดเลยว่าสิ่งใดจะมีคุณค่ามากกว่าตัวเรา มากเท่ากับตัวเอง แล้วตัวเองมันคืออะไรล่ะ? ตัวเองมันคือทิฏฐิมานะ ตัวเองมันคืออวิชชา ตัวเองมันคือกิเลสตัณหาความทะยานอยาก แล้วสิ่งนี้เอาไปศึกษาธรรมๆ
ถ้าเราศึกษาธรรมเพราะว่าความอยากรู้อยากเห็น มันอยากรู้อยากเห็น มันตะครุบเงาไปตลอด ความอยากรู้อยากเห็นมันไม่ทำความสงบของใจเข้ามา มันอยากรู้อยากเห็น อยากศึกษา อยากมีความเข้าใจ เพราะความอยากอันนั้นมันส่งออก เห็นไหม ความอยากรู้อยากเห็นมันเอาแต่ตัณหาความทะยานอยาก เอาแต่ความเห็นของตัว เอาความเห็นของตัวมาทับถม ทับถมตัวเองไง เอาความรู้ความเห็นของตัวศึกษาธรรมมา แล้วก็มาเหยียบย่ำตัวเอง ทับถมตัวเอง ทั้งๆ ที่ตัวเองเป็นอวิชชานะ
เวลาศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ธรรมะนี้เป็นอนัตตา สพฺเพ ธมฺมา อนตฺตา สรรพสิ่งในโลกทั้งหลายเป็นอนัตตา อนัตตาแล้วไม่ต้องมีอะไรเป็นหลักประกันใช่ไหม เพราะมันเป็นอนัตตา มันไม่มีมาตั้งแต่ต้น เพราะต้นมันไม่มี กลางมันก็ไม่มี ทำถึงที่สุดมันก็ไม่มี
แต่ถ้าครูบาอาจารย์ของเรา ท่านมีอำนาจวาสนาบารมี จะทุกข์จนเข็ญใจ ปฏิบัติจะลำบากลำบน จะทุกข์ขนาดไหน มันก็มีขันติธรรม มีขันติธรรม มีความอดทน มีการเก็บหอมรอมริบ มีการแสวงหา การแสวงหาก็เป็นกิเลส ถ้าปฏิบัติแล้วมีความอยากก็เป็นกิเลส สรรพสิ่งก็เป็นกิเลส มันมีกิเลสโดยการเกิดแล้ว มันมีกิเลสก็ต่อเมื่อจิตมันปฏิสนธิ จิตมันเกิดมันมีกิเลสทั้งนั้นล่ะ
แต่เพราะเราเกิดมาพบพระพุทธศาสนา เกิดมาอยู่ใต้ร่มโพธิ์ร่มเงาของพุทธศาสนา ใต้ร่มโพธิ์ร่มเงาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นผู้ที่ชำระกิเลส ฆ่ากิเลส แล้วสั่งสอนไว้เอง สั่งสอนไว้ต้องทำความสงบของใจเข้ามา ถ้าใจมันสงบเข้ามาแล้วกิเลสมันตามไม่ทัน
ถ้ากิเลสมันตามไม่ทัน การที่มันจะรื้อค้น การที่มันจะพิจารณาของมัน มันก็มีโอกาสของมัน แต่ด้วยความอยากรู้อยากเห็น ด้วยกิเลสออกหน้าแล้วอยากรู้ๆ อยากรู้จนมันไม่รู้ไง อยากรู้จนมันเลื่อนลอย อยากรู้จนมันเผาบ้านตัวเอง เหมือนกับเขาบอกว่าจุดแบงก์ไปหาเศษเงินใต้ถุนบ้าน นี่ก็เหมือนกัน เผาทำลายตัวเอง เผาทำลายทิฏฐิ เผาทำลายโอกาสของตัว เผาทำลายสิ่งที่มีศรัทธาความเชื่อ
เห็นไหม เบื้องต้นก็มีศรัทธา มีความเชื่อ มีความมุ่งมั่น เวลาปฏิบัติก็ล้มลุกคลุกคลาน ถ้าไม่ต้องทำสิ่งใดเลย อย่างที่สุกเอาเผากินนั่นน่ะ อยากรู้อยากเห็นนั่นน่ะ แล้วก็เอามาทับถมตัวเอง เหยียบย่ำตัวเอง เหยียบย่ำจนอะไรล่ะ เหยียบย่ำจนไม่มีไง ปฏิบัติแล้วก็ว่าง ปฏิบัติแล้วก็มีความสุข ปฏิบัติแล้วก็มีความพอใจ แล้วมันได้อะไรมา ได้กิเลสมันหลอก มันหลอกให้ตะครุบเงาไปเรื่อย หลอกให้ส่งออกไปเรื่อย หลอกไม่ยอมให้กลับมาเห็นตัวมันเอง หลอกไม่ให้สติปัญญาย้อนกลับมาเพื่อจะดูใจของมัน มันส่งออกไปด้วยความต้องการ ความปรารถนา ความอยากรู้ อยากใหญ่ อยากเป็นอยากไปทั้งหมดไง อยากรู้ไง เลยไม่รู้อะไรเลย ไม่รู้อะไร? รู้ รู้เรื่องโลกๆ
ดูสิ ดูทางการศึกษา ดูทางวิชาการ เห็นไหม เขาศึกษากันก็วิชาการ เขามีความรู้ไปหมดล่ะ เขาเข้าใจไปหมดเลย เข้าใจทุกอย่างนะ แต่ไม่รู้จักตัวเองเลย สิ่งใดที่ศึกษามาเป็นวิชาการ เป็นวิชาชีพ เป็นเพื่อมาหาเลี้ยงปากเลี้ยงท้อง หาเลี้ยงปากเลี้ยงท้องเพื่อดำรงชีวิตไว้เท่านั้น แล้วชีวิตนี้เกิดมาด้วยอริยทรัพย์ ด้วยบุญกุศล ด้วยการเกิดมาเป็นมนุษย์ ด้วยการเกิดมาพบพุทธศาสนา แต่มันไม่หาทรัพย์ให้ตัวมันเอง มันหาทรัพย์เพื่อดำรงร่างกาย มันหาทรัพย์เพื่อประโยชน์กับสังคมโลก แต่มันไม่เคยหาทรัพย์เพื่อตัวมันเอง เพราะมันไม่รู้จักตัวมันเอง
ถ้ามันรู้จักตัวมันเองนะ สิ่งที่เราหามา เราเติบโตมากับสังคม ก็ใช่นะ เราเกิดมากับโลก เราปฏิเสธโลกไม่ได้หรอก โรคหิวเป็นโรคประจำตัวนะ โรคประจำตัวของคนที่ว่าไม่มีใครสามารถแก้ให้ได้เลย โรคหิว คนเกิดมามีปากมีท้องมันก็หิวก็หิวกระหายเป็นธรรมดา ในเมื่อมันหิวกระหายขึ้นมา มันก็ต้องแสวงหาเพื่อดำรงชีวิต มันเรื่องธรรมดา
ดูพระเราสิ พระเราบวชแล้ว ดูสิ บริขาร ๘ บาตรก็คืออาหาร ธรรมกรกก็คือกระบอกกรองน้ำ อาหารปัจจัย ๔ เห็นไหม บาตรก็คืออาหาร จีวรมันก็เป็นเครื่องนุ่งห่ม สิ่งที่ว่ายาก็คือน้ำดองมูตรเน่า ที่อยู่อาศัยก็โคนไม้ นี่ปัจจัย ๔ มันมี องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี่ฉลาดมาก ในเมื่อคนเกิดมา ปัจจัยเครื่องอาศัย การดำรงชีวิตมันต้องมีอยู่ใช่ไหม แต่มีอยู่แบบสมณะไง มีอยู่แบบผู้เห็นภัยในวัฏสงสาร ไม่ใช่มีอยู่แบบโลกๆ
ดูสิ ผู้ที่มีศักยภาพ เขาจะกินอาหารของเขา เขาต้องประณีตๆ ประณีตขึ้นมามันก็ต้องดูแลรักษากัน ดูสิ คนป่าคนเขา เขามีใบตองชิ้นเดียว เขาก็ใส่อาหารกินได้แล้ว มีใบตอง มีมือ เขากินอาหารได้แล้ว ไม่ต้องมีภาชนะอะไรก็ได้
แต่นี้ในเมื่อมันเป็นสังคมใช่ไหม อยู่กับสังคม อยู่กับโลก พระเราอยู่กับโลกใช่ไหม โลก ดูสังคมเขามีประณีต มีกลาง มีหยาบ เป็นธรรมดา คนที่เขาประณีตขึ้นมา เราก็มีบาตร สิ่งที่มีบาตรนี่มันเป็นกลาง เป็นกลางว่าสังคมไหนก็ยอมรับได้ สิ่งที่การใช้สอยการดูแลรักษา นี่สังคมของเรา
นี่ไง ถ้ามันซื่อสัตย์ซื่อตรงกับธรรมวินัย ซื่อสัตย์ซื่อตรงแล้วมันปฏิบัติขึ้นมา มันขัดเกลากิเลส กิเลสมันแซงไม่ได้ แต่ถ้าอยากรู้อยากเห็นกิเลสมันจูงจมูกไง เพราะอยากรู้กิเลสมันจึงจูงหัวใจนี้ไป ไปว่าทั้งรู้ทั้งเห็นธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะเข้าใจ เพราะมีการศึกษา เพราะมีปัญญาไง กิเลสมันจูงไปก่อน จูงจน...
หลวงตาท่านพูดประจำ เหยียบหัวธรรมวินัยไป เหยียบหัวองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไปแล้วแสดงธรรม แต่แสดงธรรมไปด้วยการเหยียบย่ำไง แต่ถ้ามันซื่อตรง ซื่อสัตย์ มันทำด้วยความเป็นจริงของมัน หัวใจ เห็นไหม เคารพธรรมๆ เคารพธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ธรรมวินัยเป็นศาสดาของเรา
เราเกิดมาไม่ทันองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า สหชาติ เวลาพระนันทะ พระอานนท์ สร้างบุญบารมีมา ดูสิ เวลาสร้างสมมาเป็นพระโพธิสัตว์ ๔ อสงไขย ๘ อสงไขย ๑๖ อสงไขย แต่เวลาสร้างมานางพิมพาก็สร้างมาด้วยกัน สามเณรราหุล กัณหา ชาลีก็สร้างมาด้วยกัน การสร้างมาด้วยกันมันเกิดเป็นสหชาติ พอเกิดเป็นสหชาติขึ้นมามันถึงสั่งสอนกัน พูดจากัน โดยความเข้าใจ
แต่คนที่เกิดมา ดูสิ ชูชกเป็นคู่เวรคู่กรรม เวลาเกิดมาเป็นเทวทัต เทวทัตก็ยังมาสร้างความขัดแย้ง ความขัดแย้งมันต้องมีโดยธรรมชาติของสังคม มันมีของมันเป็นอย่างนั้น แต่ผู้ที่เลือกจะเชื่อ เลือกจะปฏิบัติกับใคร ถ้าเลือกจะเชื่อ เลือกจะเชื่อที่ไหน
ความอยากของเรา ความอยากรู้อยากเห็น มันอยากรู้ด้วยอวิชชา อยากรู้ด้วยการสุกเอาเผากิน อยากรู้ด้วยความมักง่าย เราต้องทำความสงบระงับไว้ เราทุกคนโดยจิตใต้สำนึกทุกคนก็อยากพ้นกิเลสทั้งนั้นล่ะ ทุกคนก็อยากทำคุณงามความดีทั้งนั้นล่ะ แต่ความดีของใคร ถ้าความดีของเรา ดูสิ สังคมเขาสงบร่มเย็น เราไปถึงเราต้องการแซงหน้า เราต้องการเป็นใหญ่ เราต้องการ...ทำให้สังคมนั้นปั่นป่วนไปหมดเลย มันมีประโยชน์อะไร
นี่ก็เหมือนกัน ความอยากรู้อยากเห็นทำให้การประพฤติปฏิบัติในหัวใจของเรามันไม่เป็นสัมมาสมาธิ มันไม่สงบระงับ มันไม่เป็นความจริงขึ้นมานี่ มันจะเกิดมรรคญาณได้ไหม มันก็เกิดกิเลสไง เกิดมิจฉาทิฏฐิ เกิดความยึดมั่นถือมั่นของใจ แล้วเราก็เทียบเคียงใช่ไหม มันเป็นธรรมๆ เป็นธรรมโดยเราบังคับเอา จะบังคับให้เป็นความเห็นของตัว ถ้าเป็นความเห็นของตัว เพราะความอยากรู้อยากเห็นมันถึงเป็นไปไม่ได้ ความเป็นไปไม่ได้ เวลามันปฏิบัติไปมันก็รู้ มันเห็นโดยสัญชาตญาณ โดยธรรมชาติ
ดูสัตว์ มันอยู่กันมาโดยสัญชาตญาณ ถึงเวลาฤดูผสมพันธุ์กัน มันอยู่ต่างถิ่นกัน มันถึงคราวมันเหมือนกับสัญชาตญาณมันพาไปถึงที่ดำรงเผ่าพันธุ์ของมัน นี่มันดำรงชีวิตของมันด้วยสัญชาตญาณของมัน โดยสัญชาตญาณของมัน มันทำของมันโดยสัญชาตญาณ แต่ของเรา ถ้าเราประพฤติปฏิบัติไปโดยสัญญาอารมณ์มันก็สัญชาตญาณ มันไม่เป็นความจริง ความจริงถ้ามันเป็นแบบนั้น
ดูสิ ในสมัยพุทธกาลนะ มันมีลัทธิหนึ่งบอกว่า ให้เสพสุขไปห้าร้อยชาติจะเป็นพระอรหันต์ อยู่กับความสุข อยู่กับกามคุณ อยู่กับมัน เสพสุขเสพกามไปเต็มที่ของมันแล้วจะถึงที่สุดกิเลสได้ นี่ความคิดของเขา
มันเป็นไปได้ไหม มันเป็นไปไม่ได้ สิ่งที่มันเป็นไปไม่ได้โดยสัญชาตญาณ ถ้าทำโดยสัญชาตญาณมันไม่มีเหตุไม่มีผล เป็นไปไม่ได้ แต่เรามีสติปัญญา ผู้ที่มีอำนาจวาสนาบารมี ไม้ดิบ ไม้สดๆ ที่โค่นล้มแล้วนี่จุดไฟเผาติดได้ยากมาก แต่ถ้าไม้มันแห้งเห็นไหม สะเก็ดไฟ แม้แต่สะเก็ดไฟปลิวไปมันยังลุกได้ นี่ก็เหมือนกัน ไม้ดิบๆ คนเราไม่มีศีลไม่มีธรรม เหมือนไม้ดิบๆ
ฉะนั้น เรามาถือศีลกัน เราเห็นภัยในวัฏสงสาร เราบวชเป็นพระ ตั้งแต่อุปัชฌาย์ยกเข้าหมู่มานี่ กรณียกิจ ๔ อกรณียกิจ ๔ สิ่งที่ทำได้กับสิ่งที่ทำไม่ได้ อุปัชฌาย์จะบอกไว้เลย เพราะอะไร เพราะถ้ามันขาดจากพระไปแล้วนี่ มันจะหมดโอกาส นี่ไง มันเป็นไปโดยธรรมและวินัย เราบวชมาแล้ว ถ้าเรามีสติปัญญาของเรา เราถือศีลของเรา เราจะทำให้เป็นไม้แห้ง ถ้าไม้แห้ง การดำรงพรหมจรรย์ ถ้าไม้มันแห้งมันก็จุดไฟติดได้ง่ายใช่ไหม ฉะนั้นถ้าไม้มันแห้ง เราถือพรหมจรรย์ เพราะพรหมจรรย์เพื่อความประพฤติปฏิบัติของเราให้มันมีโอกาสของมัน
ฉะนั้น เวลาปฏิบัติในความอยากรู้อยากเห็น มันด้วยความเป็นไม้ดิบๆ มันต้องการว่าต้องทำให้ได้ ต้องเป็นไปตามที่มันปรารถนา แล้วมันเป็นความจริงไหมล่ะ
แต่ถ้ามันเป็นไม้แห้งนะ ดูสิ เรามีศีล พอเรามีศีลแล้วนะ ศีล อธิศีล นี่ศีลในศีล เวลาศีลโดยปกติ ศีล ๒๒๗ ทุกคนต้องรักษา ศีล ๒๑,๐๐๐ ข้อนี้ต้องรักษา การรักษาของเรา เห็นไหม แต่การรักษาโน่นก็ผิด นี่ก็ผิด เราก็รักษาใจของเรา ถ้ารักษาใจของเราด้วยเจตนาของเรา เพื่อความสะอาดบริสุทธิ์
แต่การผิดพลาดด้วยความพลั้งเผลอ ไม่ได้เจตนา มนุษย์มันเป็นไปได้ เราก็ปลงอาบัติ เราก็ดูแลรักษาของเรา รักษาของเราเพื่อจะประพฤติปฏิบัติของเรา แล้วถ้าเราปฏิบัติไปแล้ว เวลาตั้งสติแล้วสมาธิก็ลงไม่ได้ ปัญญามันก้าวเดินไม่ได้เพราะเหตุใด ก้าวเดินไม่ได้มันก็ต้องย้อนกลับมาดูว่า เรามีความเพียรมากน้อยขนาดไหน
เวลาเราจะพ้นจากกิเลส ภิกษุทั้งหลาย ใครจะพ้นจากกิเลส มันต้องล่วงพ้นด้วยความเพียร ความเพียร ความวิริยะ ความอุตสาหะ ถ้าเป็นความเพียรชอบ งานชอบ ระลึกชอบ ความชอบธรรม แต่เราปฏิบัติแล้วนี่เราก็เป็นความชอบธรรม นี่ด้วยความอยาก ถ้าเป็นความอยากมันก็จะดันทุรังไป แต่ถ้าด้วยสติปัญญา มันจะมาพิจารณา มาไตร่ตรองสิ่งที่เราทำแล้วนี่ ครบกระบวนการของมัน แล้วทำไมมันยังผ่านไปไม่ได้ มันยังรวมลงไม่ได้ ไม่ได้เราก็ต้องกลับมาทบทวน ถ้ากลับมาทบทวน เราต้องกลับมาทบทวนตั้งแต่เรื่องศีล เรื่องความเป็นไป
หลวงปู่มั่น ครูบาอาจารย์ของเรานะ ท่านจะมาทบทวนตั้งแต่ว่าในวันหนึ่งท่านมีความรู้สึกนึกคิดอย่างไร ดูแลรักษาใจไม่ให้มันมีความรู้สึกนึกคิดออกไปทางโลกเลยนะ เหมือนกับทางการประมง เขาดักอวน ดักปลา เขาต้องกั้นของเขา ถ้ามันมีที่ไหนมันขาดมันวิ่น มันออกช่องนั้นล่ะ
นี่ก็เหมือนกัน ในทางการประพฤติปฏิบัติของเรา ศีลของเรา ความปกติของเรา มันไม่มั่นคงมันก็แฉลบออก พอแฉลบออกจิตมันส่งออก ส่งออกมันออกช่องนั้นได้ เราก็มาทบทวน เราก็มาดูแล ทบทวนแล้วนี่ ทบทวนถ้ามันยังเป็นไปไม่ได้ เราก็เริ่มตัดทอนมัน ตัดทอน เห็นไหม อยากเป็น อยากได้ อยากมี นี่ไม่ทำ ไม่อยาก ไม่เป็น แต่เราอยากในเหตุ อยากในการทำความเพียรของเรา เราตั้งใจของเรา เราทำของเรา รักษาของเราไว้ ถ้ามันอยากรู้อยากเห็นดันไปก่อน กิเลสมันจูงจมูกไป
แต่ถ้าเราทำ ผู้ใดปฏิบัติธรรม สมควรแก่ธรรม ถ้ามันสมควรแก่ธรรม มันสมเหตุสมผล มันไปไหน มันหลุดมือไปไม่ได้ ถ้ามันไม่สมเหตุสมผล เห็นไหม เราคาดเราหมาย ผู้ใดปฏิบัติธรรมด้วยความคาดความหมาย มันก็ได้ธรรมะคาด ธรรมะด้นเดา ถ้าธรรมะด้นเดา คำว่า ด้นเดา ด้นเดาเป็นความจริงไหม
แต่ถ้าเราปฏิบัติของเรา เราไม่ด้นเดา ให้มันเป็นจริงของเรา พอมันเป็นจริงขึ้นมานะ เรารับเรารู้นะ เรารู้ของเราได้ ของที่เรานับเอง แสวงหาเอง เก็บไว้เอง เรารู้ของเราเอง นี่ปัจจัตตัง สันทิฏฐิโก ฉะนั้น เราอย่าให้ความอยากมันออกหน้า ความอยากรู้อยากเห็นโดยธรรมชาติมันอยากรู้อยากเห็น อยากรู้อยากเห็น อยากเป็นไป อยากให้สมความปรารถนา ด้วยความปรารถนา ทั้งๆ ที่โดยจิตใต้สำนึกทุกคนก็อยากโดยสัญชาตญาณ โดยสัญชาตญาณทุกคนอยากเป็นคนดี ทุกคนอยากเป็นคนดี ทุกคนอยากทำคุณงามความดี ทุกคนอยากประสบแต่ความร่มเย็น แต่ทำไมมันไม่เป็นไปตามนั้นล่ะ มันไม่เป็นตามนั้น
๑.ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม มันไม่สมควรแก่ธรรมหนึ่ง...นี่เป็นปัญหาหนึ่ง
๒.พันธุกรรมของจิต จิตแต่ละดวงมันได้สร้างเวรสร้างกรรมของมันมา...ปัญหาอันที่สอง
สัมโพชฌงค์ พละ วิจัยธรรม มีกำลัง จิตมีกำลัง จิตมีสถานะที่มันยังพอรับสถานะอยู่อย่างนั้น ถ้าสถานะอย่างนั้น ถ้าคนมันมีพละมีกำลังขึ้นมานี่ โดยเชาวน์ปัญญา โดยสติ โดยปัญญา มันแยกแยะ มันไม่เชื่ออะไรโดยง่ายๆ นะ สิ่งใดที่เขาบอกด้วยเหตุด้วยผล ฟังเหตุฟังผล แต่ไม่เชื่อหรอก มันต้องพิจารณา มันต้องแยกมันต้องแยะของมัน นี่ถ้าจิตมีพละ มีกำลัง มีสถานะ
แต่ถ้าจิตมันอ่อนแอ เขาไม่ต้องบอกมันเชื่อก่อนแล้ว มันจะเชื่อเขา มันจะรอให้เขาจูงอยู่แล้ว ถ้ารอให้เขาจูงอยู่แล้วนะ ในกาลามสูตร ไม่ให้เชื่อว่าแม้แต่เป็นครูบาอาจารย์ของเราพูด ไม่ให้เชื่อว่าสิ่งที่เราทำแล้วคำนวณแล้วมันจะลงกันได้ ไม่ให้เชื่อว่ามันอะลุ่มอล่วยแล้วเป็นไปได้ ไม่ให้เชื่อทั้งนั้นเลย นี่ศรัทธา ศรัทธาต้องมีปัญญา ถ้ามีปัญญาขึ้นมา สิ่งที่มีปัญญาเราก็แยกแยะของเรา
การประพฤติปฏิบัติก็เหมือนกัน ถ้ามันเป็นจริงมันผลักไสอย่างไร มันก็เป็นแบบนั้น แต่ถ้ามันไม่เป็นจริงนะ มันไม่เป็นจริง มันอยู่ไม่ได้ ถ้ามันอยู่ไม่ได้ เราก็อยากให้มันอยู่ อยากให้มันเป็นใช่ไหม อยากให้อยู่ อยากให้เป็น อยากเพราะอะไรล่ะ นี่ไง อยากรู้อยากเห็น มันทำให้เราล้มลุกคลุกคลานหมดเลย
แต่ในธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านะ ค่าของมัน เหตุผลของมันก็คือการทรงคุณค่าของมัน ไม่มีใครไปเติมเหตุเติมผล หรือไม่มีใครไปตัดทอนความเป็นจริงอันนั้นได้ ความเป็นจริงมันคือความเป็นจริง เราทำด้วยความเป็นจริง ใครก็มาทำลายความเป็นจริงอันนี้ไม่ได้ ถ้าเรามีสติปัญญาของเรานะ แต่นี่มันไม่เป็นอย่างนั้น มันมีตัณหา วิภาวตัณหา มันทั้งผลักไส มันทั้งหน่วงเหนี่ยวให้เราผิดพลาดอยู่ตลอดเวลา ความผลักไสความหน่วงเหนี่ยวนี่พันธุกรรมของจิตไง
นี่โลภะ เป็นโลภจริต มันหลงมันใหล มันวิตกกังวล มันรักษาตัวมันไม่ได้เลย แล้วทำไมเราไม่วางไว้ล่ะ เราวางไว้คือว่าศึกษาสิ่งใดมาก็วางไว้ แล้วทำให้มันเป็นจริงขึ้นมา ตั้งสติของเรา เราไม่ให้ความอยากมันออกหน้า ถ้าไม่ให้ความอยากออกหน้า เราไม่ต้องการมัน ถ้าเรากำหนดพุทโธของเราไป หรือใช้ปัญญาอบรมสมาธิของเราไป
นี่ผู้ใดปฏิบัตินะ เวลาจิตมันปฏิบัติ เวลาตั้งใจมันไม่ได้สิ่งใดเลย เวลามันจะปล่อยวาง มันจะรวมลงมันจะมีสิ่งใด ประสบการณ์อันนั้นมันเป็นธรรม เป็นธรรมหมายถึงว่า พันธุกรรมของจิต พันธุกรรมมันได้สร้างมา เหมือนกับความชอบ เรามีความชอบ สิ่งใดมันผ่านมา ความที่มันตรงกับความชอบเรา อย่างน้อยเราก็พอใจล่ะ อย่างน้อยเราก็พอใจ ถ้าเราไม่มีสติปัญญานะ เราไปเลยกับความชอบอันนั้น
นี่ก็เหมือนกัน เวลาจิตถ้าเราประพฤติปฏิบัติอยู่ด้วยเหตุด้วยผล ด้วยข้อเท็จจริงของจิตมันยังไม่ลง ด้วยเหตุด้วยผล ด้วยมรรค มันไม่สมเหตุสมผล แต่เพราะพันธุกรรม เพราะเราเคยทำคุณงามความดีมา มันเป็นได้ มันเป็นได้เพราะจิตมันรวมลง รวมลงโดยไม่มีเหตุไม่มีผลนะ
เวลาภาวนาพุทโธๆ ไป โดยจิตมันสงบลงแล้วนี่มันมีธรรมเกิดมา คือมันมีข้อธรรมผุดขึ้นมากลางหัวใจ มันมีข้อธรรมผุดขึ้นมา พอจิตมันสงบลงมันเห็นเป็นโครงกระดูก เห็นต่างๆ เราก็แปลกใจว่า เวลาตั้งใจทำ เวลาตั้งสติ ทำไมมันไม่มี เวลาเราปล่อยวาง เวลาเราทอดธุระ ทำไมมันมา แล้วพอมันมา แล้วมันจริงหรือไม่จริง มันจริงหรือไม่จริง สิ่งที่มันเห็นมันจริงหรือไม่จริง มันจริงเพราะอะไร เพราะไม่มีใครไปตบแต่งมัน มันจริงเพราะมันไม่มีใครสร้างภาพมัน มันจริงเพราะว่าพันธุกรรมคือได้สร้างบุญกุศลมา อันนี้คือธรรม
ที่ว่าเวลาหลวงปู่มั่นท่านลงมาจากเชียงใหม่ ที่มาแล้วมีพระผู้ใหญ่ถามว่า หลวงปู่มั่น ท่านมั่น เวลาท่านอยู่ในป่าในเขาท่านไปปรึกษาใคร เราเองเราอยู่กับตู้พระไตรปิฎก อยู่กับทางวิชาการทั้งหมดเลย เรายังต้องค้นคว้าตลอดเวลา เวลาท่านอยู่ในป่าในเขาท่านไปปรึกษาใคร เวลาท่านติดข้องขึ้นมา ท่านไปหาใคร
หลวงปู่มั่นท่านบอกว่า ผมฟังธรรมอยู่ทั้งวันทั้งคืนเลย
ฟังธรรม เห็นไหม ธรรมเกิดๆ เวลาธรรมเกิด ถ้าเราประพฤติปฏิบัติขึ้นมา พอปล่อยวาง ปล่อยวางโดยที่ไม่ตั้งใจสิ่งใด แล้วมันผุดขึ้น มันเป็นขึ้น ดูรสชาติสิ รสชาติเวลามันสัมผัส มันตื่นเต้น พอมันตื่นเต้น นี่ไง หลวงปู่มั่นท่านฟังธรรมๆ พอธรรมมันผุดนะ เพราะคนที่มีอำนาจวาสนา สิ่งนี้มันจะเกิดขึ้น แต่ถ้าคนไม่มีอำนาจวาสนาจะไม่มีเลย
แล้วพอไม่มีก็ อือ! มันจะเป็นจริงหรือ ไอ้คนที่เป็น เอ๊ะ! เขาสร้างเรื่องกันหรือเปล่านั่น เอ๊ะ! เราภาวนาทั้งวันทั้งคืน เราภาวนามาหลายปี เราไม่เคยมีอาการอย่างนี้เลย
ไม่มี คนที่มันไม่มี พันธุกรรมทางจิตๆ เห็นไหม ดูสิ ลายพิมพ์นิ้วมือก็ไม่เหมือนกัน นี่บุญกุศลของจิตมันไม่เหมือนกัน คนสร้างมามันแตกต่างกัน แล้วเขาสร้างของเขามานะ แต่อยากรู้ อยากเห็นมันฉุดกระชากลากไปหมดเลย แต่เวลามันปล่อยวาง มันไม่ต้องการสิ่งใดเลย...มันเกิด มันเกิดเพราะบุญกุศล แต่มันไม่เกิดเป็นอริยสัจ
ถ้าเกิดเป็นอริยสัจ เราทำพุทโธๆ หรือปัญญาอบรมสมาธิ พอจิตมันสงบเข้ามา เราบริหารจัดการใช่ไหม เรารำพึงไปดูกาย เรารำพึงไปดูเวทนา ดูจิต ดูธรรม เวลาเราพิจารณาจิตมันสงบมาแล้ว เราพิจารณาในธรรม ในธรรมารมณ์ สัจธรรมด้วยมีสติปัญญา เราพิจารณาไปแล้วมันจะแยกมันจะแยะใช่ไหม นี่ชีวิตมันทุกข์อย่างนี้ คนเกิดขึ้นมามันก็อยู่ชั่วชีวิตหนึ่งก็ต้องตายหมด เวลาตายไปแล้วจะไปไหนนี่ พิจารณาของเราไปอย่างนี้ นี่พิจารณาธรรม ถ้าจิตสงบแล้วไปพิจารณาแล้วนะ มันสลดสังเวช
แต่ถ้าจิตมันไม่สงบนะ พิจารณาแล้วนะ ดูสิ นักประพันธ์เขาเขียนเรื่อง เขาได้เหรียญทองนะ เขาได้เงินได้ทองมาใส่กระเป๋าเขานะ คนอ่านทั่วโลกน้ำตาไหลพรากๆ เลยนะ นั่นมันได้อะไรขึ้นมา นั่นมันเป็นนิยายประโลมโลก
แต่เวลาเราใช้ปัญญาของเรานี่ มันเป็นสัจธรรมเพื่อสั่งสอนหัวใจ เราไม่ได้เขียนเรื่อง ไม่ได้สร้างนิยายธรรมะให้คนเขามาเชื่อฟัง เราสั่งสอนใจของเรา เราสั่งสอนหัวใจของเรา เราใช้ปัญญาของเราอบรมใจของเรา ถ้าปัญญาที่มันอบรมใจของเรา มันสลดมันสังเวชนะ
ถ้ามันสลดมันสังเวช ความสลดสังเวชนี้มันเป็นอริยทรัพย์ มันข้ามภพข้ามชาติ มันไม่ใช่เขียนนิยายธรรมะแล้วหาเงินมาใส่กระเป๋า มันหาสัจธรรมใส่หัวใจ
นี่ไง ถ้ามันใช้ปัญญาพิจารณา ถ้าจิตสงบแล้วมันใช้ปัญญาพิจารณา มันมีรสมีชาติของมัน คำว่า อริยสัจ มันเกิดอย่างนี้ อริยสัจเกิดขึ้นมาถ้าจิตมันสงบแล้ว มันไม่อยากรู้อยากเห็นไปตามกิเลสตัณหาความทะยานอยาก มันใช้สติปัญญารักษาหัวใจ บริหารจัดการ มัคโค ทางอันเอก ทางที่จะเอาหัวใจของเราให้เดินทางนี้ เส้นทางนี้ เส้นทางที่มรรค ๘ เส้นทางที่มัคโคที่มันจะดำเนินมา ทวนกระแสกลับเข้าไปสู่หัวใจ มันชำระล้างกิเลสในหัวใจของเรา ถ้ามันชำระล้างกิเลสมันแยกมันแยะ มันพิจารณาของมัน มันรู้มันเห็นของมัน อย่างนี้ไม่ใช่ธรรมเกิด
เวลาธรรมเกิดนะ มันเป็นที่อำนาจวาสนาของคน คนที่มีแล้วที่มันเกิดแล้ว แล้วก็วางไว้ มันเกิดเท่านั้นแหละ เพราะเรามันขี้ทุกข์ขี้ยาก คนที่เขาจะเกิด ดูสิ ผู้ที่มีอภิญญา มันเป็นเรื่องธรรมดานะ อย่างตาทิพย์ เขามองเขาเห็นหมด
ไอ้เรานะ ทำความสงบของใจขนาดไหน พอจิตสงบแล้วนี่ค่อยรำพึง คนทำทำได้ถ้าจิตสงบแล้วรำพึงจัดการให้เป็นอย่างนั้นได้ แต่ต้องใช้พลังงานมาก แต่คนที่เขาเห็นโดยสัจจะ เห็นโดยอำนาจวาสนาของเขา เหมือนตาเนื้อนี่แหละ เรามองโดยตาเนื้อเราเห็นใช่ไหม ตาที่เขาเป็นอภิญญาของเขา เป็นจักษุธรรมของเขา เขาเห็นโดยธรรมชาติเลย อันนี้ก็เป็นอำนาจวาสนาของคนเห็นไหม มันไม่เหมือนกัน ทีนี้พอมันไม่เหมือนกัน เพราะจิตของเราถ้ามันรู้มันเห็น เวลาธรรมมันเกิดนะ เราก็รักษาของเราไว้ เราก็ดูแลของเราไว้ ถ้าธรรมมันเกิด ถ้ามันผ่านไปแล้วก็คือผ่านไปแล้ว ถ้าผ่านไปแล้ว ธรรมเกิดอย่างหนึ่ง
แต่ถ้ามันเป็นอริยสัจ จิตมันจะสงบเข้ามา พอจิตสงบเข้ามาเราใช้สติรำพึง รำพึงคือกำหนด กำหนดให้เห็นกาย กำหนด เวทนามันมีอยู่แล้ว ถ้าจิตมันคลายตัวออกจากสมาธิ มันจะรับรู้ของมัน ถ้ามันจับได้มันพิจารณาได้ นี่ กาย เวทนา จิต จิตผ่องใส จิตเศร้าหมอง ถ้าเกิดธรรมารมณ์จับ จับแล้วพิจารณา อย่างนี้เป็นอริยสัจ เพราะอะไร เพราะมันเป็นมรรค เห็นไหม ดำริชอบ งานชอบ งานในความชอบธรรม งานในการทำความสงบ งานในการทำสมถะ จิตสงบขึ้นมาแล้วมันถึงวางกิเลสได้
กิเลส...เวลาใช้ปัญญาขึ้นมา กิเลสมันจะไม่แซงหน้าแซงหลัง เห็นไหม อยากรู้อยากเห็น กิเลสมันแซงหน้าแซงหลัง แล้วก็ลากหัวใจนี้ไปตามตัณหาความทะยานอยาก แต่พอจิตมันสงบแล้วนี่ กิเลสตัณหาความทะยานอยากมันตามจิตดวงนี้ไม่ทัน เพราะจิตดวงนี้มันวางหมด มันวางสิ่งที่ว่าอยากเป็น อยากรู้อยากเห็น...วาง พอวางขึ้นมามันก็เป็นสัมมาสมาธิ
พอเป็นสัมมาสมาธิ มันมีสติปัญญา มันพาจิตนี้ออกรู้ออกเห็น แล้วมันก็แยกแยะของมัน แยกแยะพิจารณาของมัน นี่ไงมรรคมันเกิดแล้ว ถ้ามรรคเกิดแล้ว ธรรมจักรเกิด จักรของธรรม โดยปกติของเรา เวลามันเกิดความรู้สึกนึกคิด มันเป็นกงจักร เพราะมันเป็นมาร มารมันใช้ความรู้สึกนึกคิดของเรานี่แหละมาทำลายเรา นี่อยากรู้อยากเห็น อยากเป็นอยากไป พออยากเสร็จแล้วนะ มันก็ท้อใจ มันก็ทุกข์ใจ มันก็ยอกใจ เห็นไหม กงจักร มันกลับมาทำลายมัน
ถ้าจิตเป็นธรรมจักร ธรรมจักรเพราะจิตมันสงบ งานชอบ เพียรชอบ ระลึกชอบ สติชอบ ปัญญาชอบ มัคโค ทางอันเอก พอทางอันเอก เราบริหารจัดการเข้าไป พิจารณาเข้าไป มันแยกมันแยะของมัน มันแยกแยะอะไร? แยกแยะสิ่งที่มันเป็นสัญชาตญาณแยกออก มันเป็นกองภูเขาเลากาทับหัวใจ รูปเป็นกองหนึ่ง สัญญาเป็นกองหนึ่ง สังขารเป็นกองหนึ่ง วิญญาณเป็นกองหนึ่ง กองไง ขันธ์ ๕ เป็นกอง เป็นขันธ์ เป็นกอง ๕ กอง มันทับถมหัวใจ เห็นไหม ทับถมจิต จิตมันดิ้นของมันอยู่ พอจิตมันดิ้นของมันอยู่ พอพิจารณาไปนี่ พอมันแยกออกๆ พิจารณาเป็นกาย กายใครไปยึด ก็จิตมันไปยึด เวทนาใครไปรับรู้ เวทนาก็จิตไปรับรู้ ขันธ์ ๕ มันทับจิตอยู่ มันแยกมันแยะของมันเพราะมันมีกำลังของมัน เห็นไหม นี่ธรรมจักร
สิ่งที่เป็นกงจักร มันกลับมาทำลายจิต ทำลายให้เป็นความเศร้าหมอง ทำลายให้จิตมันเป็นความทุกข์ ทำลายให้จิตมันวิตกกังวล ทำลายให้จิตมันละล้าละลัง ปฏิบัติมาจนป่านนี้ ทำทุกอย่างที่เขาทำกัน เขาทำกัน เขายังทำน้อยกว่าเราเลย เราทำมากกว่าเขา ทำไมมันไม่เป็นไป ทำไมมันทุกข์มันยากขนาดนี้ นี่ไง กงจักร
พอกงจักรมันหมุนมานะ มันก็บั่นทอนขา ตัดขา ตัดมือ ตัดทุกอย่าง น้อยเนื้อต่ำใจ ล้มลุกคลุกคลานนะ ถ้าย้ำคิดย้ำทำอยู่กับมันก็จะเศร้าหมองอยู่อย่างนั้น ก็จะทุกข์ยากอยู่อย่างนั้น พลิก พลิกเลย ทำความสงบของใจ สลัดทิ้งให้หมด สลัดทิ้งแล้วทำความสงบของใจเข้ามา ถ้าใจมันพลิกมา ถ้าใจมันสงบเข้ามาได้แล้วมันออกพิจารณากาย เวทนา จิต ธรรม ได้ตามความเป็นจริง เห็นไหม ธรรมจักร ทางอันเอก ธรรมจักร พอมันแยกมันแยะ เปิดช่อง เปิดความโล่งโถงไป จิตมันรู้มันเห็น พอจิตมันรู้มันเห็น...สัจธรรม
ความที่มันเป็นสัจธรรม สัจจะ อริยสัจจะ มันเป็นความจริง พอเป็นความจริง มันแยกมันแยะขึ้นมา มันต้องแยกแยะของมัน เห็นไหม ขันธ์ ๕ ไม่ใช่เรา เราไม่ใช่ขันธ์ ๕ ขันธ์ ๕ ไม่ใช่ทุกข์ ทุกข์ไม่ใช่ขันธ์ ๕ มันแยกมันแยะ พิจารณากาย กายนี้เป็นไตรลักษณ์ กายนี้รวมลง สลายลง ไม่มีสิ่งใดเหลือไว้ในคลองของจิตเลย ในคลองของจิตที่มันรู้มันเห็น มันแยกหมด มันปล่อยหมด มันว่างหมด มันไม่มีสิ่งใดมาหลอกมาลวง ไม่มีสิ่งใดเป็นที่ความตกผลึกของใจที่จะไปค้างอยู่ตรงไหนเลย นี่พิจารณาซ้ำ ถ้าทำเป็นธรรมจักร เห็นไหม
ถ้าอยากรู้อยากเห็น กิเลสมันชักจูงไปก่อน แล้วมันก็เอาสัญญาอารมณ์ เอาสิ่งที่เราศึกษามาในธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาเป็นแบบอย่าง ปฏิบัติทุกอย่าง ทำทุกอย่าง เหมือนทุกอย่าง รู้ทุกอย่าง แต่ไม่รู้อะไรเลย ไม่รู้เพราะมันถอดถอนสังโยชน์ไม่ได้ ไม่รู้เพราะทำแล้วมันก็ลังเล ทำเสร็จแล้วก็ยังห่วงหน้าพะวงหลัง ไปข้างหน้าก็ไปไม่ได้ ถอยก็ถอยไม่ได้ คาอยู่อย่างนั้น ทำสิ่งใดไม่ได้ นี่ไงเพราะความอยากรู้อยากเห็นใช่ไหม ทำไมไม่ทิ้งล่ะ ทำไมไม่สลัดทิ้งซะ ทำไปโดยสัจธรรมไง ทำไปโดยอริยสัจ ทำไปโดยข้อเท็จจริงไง
เป็นก็เป็น ไม่เป็นก็ทำใหม่ ไม่เป็นก็ไม่เป็นไร ไม่เป็นก็ได้ฝึกแล้ว ไม่เป็นก็ได้ทำแล้ว ไม่เป็นก็ได้ฝึกได้ฝนอยู่นี่ไง ก็เพราะไม่เป็นจะฝึกให้มันเป็นนี่ไง ถ้ามันยังไม่เป็น...วางไว้ ตรวจสอบ พิสูจน์ ทดสอบ ตรวจสอบ ทดสอบ พอทดสอบตรวจสอบแล้วมันจะไปไหนล่ะ ในเมื่อเราไม่ก้าวล่วงไปข้างหน้า ไม่ถอยหลัง ไม่พะว้าพะวง
นี่มันต้องมีกำลังใจไง ถ้ามีกำลังใจนะ งานของโลกเขาทำกันขนาดไหน แม้แต่เวลาสิ้นอายุขัยไป เขาก็ได้มอบงานไว้ให้กับทายาทของเขาทำต่อเนื่องกันตลอดไป ไม่มีวันจบหรอก แต่งานในการกระทำของเรานะ มรรคสามัคคี พอมันรวมลงสมุจเฉทปหาน จบ! จบ! งานที่มันจบได้ งานที่มันทำแล้วมันเป็นอกุปปธรรม เป็นอฐานะ ไม่มีการเปลี่ยนแปลง สิ่งที่ไม่เปลี่ยนแปลง สิ่งนี้เกิดขึ้นมาเพราะอะไรล่ะ สิ่งนี้เกิดขึ้นมาเพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมาแล้ววางธรรมและวินัยไว้
เวลาเทศน์ธัมมจักฯ เวลาพระอัญญาโกณฑัญญะมีดวงตาเห็นธรรม อัญญาโกณฑัญญะรู้แล้วหนอ สงฆ์องค์แรกเกิดบนโลกแล้ว แล้วครูบาอาจารย์ท่านประพฤติปฏิบัติมา เห็นไหม เวลาสงฆ์องค์แรกเกิดขึ้นบนโลก
แต่เวลาศาสนาเจริญรุ่งเรืองขึ้นมา เอตทัคคะ มีผู้ชำนาญการ ๘๐ วิธีการ นี่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นผู้ตั้งให้ทั้งนั้นเลย แล้วองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นผู้ตั้งต้องมีสติปัญญาที่เหนือกว่า วางธรรมและวินัยนี้ไว้
วันนี้วันสำคัญทางพุทธศาสนานะ ถ้าวันสำคัญทางพุทธศาสนานี่ เราต้องมีวุฒิภาวะ ถ้าเรามีวุฒิภาวะ เราจะเห็นความสำคัญของมัน ถ้าเราไม่มีวุฒิภาวะ วันคืนล่วงไปๆ เดี๋ยวก็มืด เดี๋ยวก็สว่าง วันคืนล่วงไปๆ นี่ ๓๐ วันเป็น ๑ เดือน ๑๒ เดือนเป็น ๑ ปี มันก็หมุนเวียนของมันไป วันคืนล่วงไปๆ
แต่ถ้าเรามีสติปัญญาของเราขึ้นมา เห็นไหม เราเห็นโทษเห็นภัยขึ้นมา เพราะเรามีวุฒิภาวะ วันไหนวันธรรมดา เราก็ปฏิบัติของเรา วันที่เป็นวันสำคัญ เราต้องเร่งความเพียรมากขึ้น เราต้องตั้งสัจจะมากขึ้น เราจะเอาคุณงามความดีมากขึ้น มันเหมือนกับเรามีกำลังใจไง ในวันปกติ เราก็ประพฤติปฏิบัติของเราเอง แต่วันสำคัญ ครูบาอาจารย์ของเราท่านก็ทำเป็นตัวอย่างมา ถือเนสัชชิก ไม่หลับไม่นอน สู้กับมัน สู้กับมัน
มันคือใคร? มันคือกิเลสตัณหาความทะยานอยากไง มันคือสิ่งลวงที่อยู่ในใจเรา สิ่งลวงที่ทำให้เราเกิดๆ ตายๆ ให้มันทุกข์มันยากอยู่นี่ เราเกิดมาทุกคนก็มีความสุขมาพอแต่บุญกุศลของคน ถ้ามันมีความสุขขนาดไหน มันก็มีความทุกข์บวกมาด้วยตลอด
แต่ถ้าประพฤติปฏิบัติของเราขึ้นมานะ ให้มันเป็นวิมุตติสุข สุขแท้ๆ ไม่ใช่สุขเวทนา ทุกขเวทนา มันเป็นสุขเวทนา ทุกขเวทนา ถ้ามันเป็นวิมุตติ เห็นไหม วิมุตติสุข สุขแท้ๆ ค้นหาได้ในหัวใจของเรา ไปหาที่อื่นไม่มีนะ หาที่หัวใจของเรานี่ หัวใจที่มันทุกข์มันยากนี่ เรามีสติปัญญาแยกแยะของเรา เพื่อประโยชน์กับเรานะ
วันสำคัญทางพุทธศาสนานะ ให้มีสติ ให้มีความระลึกรู้ เอาสิ่งนี้มาเป็นปุ๋ย มาเป็นกำลังใจให้กับหัวใจของเรา อย่าให้วันคืนล่วงไปๆ โดยไม่เป็นประโยชน์กับใคร ไม่เป็นประโยชน์กับเรา ใครไม่ได้ประโยชน์สิ่งใดๆ เลยเหรอ เราต้องเป็นประโยชน์กับเรา เอาสิ่งนี้มาเป็นปุ๋ย เอาสิ่งนี้มาเป็นการให้กำลังใจ ให้เรารื่นเริง ให้เราประพฤติปฏิบัติ ให้สมกับประโยชน์ของเรา ให้มันเป็นจริง ไม่ใช่อยากรู้อยากเห็นจนให้กิเลสมันขี่หัวเอา เอวัง