เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๑๕ ก.ย. ๒๕๕๕

 

เทศน์เช้า วันที่ ๑๕ กันยายน ๒๕๕๕
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

วันนี้วันพระ วันพระ ๑๕ ค่ำ เห็นไหม เวลาโยมนี่วันพระวันโกนต้องทำบุญกุศล เวลาพระนะ ๑๕ ค่ำต้องลงอุโบสถ การลงอุโบสถคือปาติโมกข์ อุโบสถสังฆกรรมเพื่อความสะอาดบริสุทธิ์ของสงฆ์ ถ้าความสะอาดบริสุทธิ์ของสงฆ์นะ นี่สงฆ์มาจากไหน? สงฆ์ก็มาจากคน มาจากมนุษย์นี่แหละ เวลามนุษย์เกิดมาทุกข์ๆ ยากๆ เวลาทุกข์ๆ ยากๆ นะมนุษย์ก็ต้องการความสุข ต้องการประสบความสำเร็จ ถ้ามนุษย์ต้องการประสบความสำเร็จนะ มนุษย์ก็พยายามขวนขวาย

การขวนขวายนั้น การขวนขวายปัจจัยเครื่องอาศัย เพราะการประสบความสำเร็จหรือไม่ประสบความสำเร็จมันวัดกันทางโลก ทางโลก เห็นไหม มีอำนาจวาสนาบรรดาศักดิ์อันนั้นก็ประสบความสำเร็จของเขา แต่ประสบความสำเร็จ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะได้เป็นกษัตริย์อยู่แล้ว เสียสละสิ่งนี้มา ไปอยู่โคนต้นโพธิ์ เวลามีความสุขความสงบขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า บอกว่า “ที่นี่สุขหนอ ที่นี่สุขหนอ” นี่ความสุขความสงบระงับอันนั้น มันเป็นความสุขความสงบที่เราปรารถนา

ในพุทธศาสนาสอนเรื่องคุณงามความดี คุณงามความดี เห็นไหม มรรค ผล นิพพาน มรรค มรรคญาณ สิ่งที่จะเกิดขึ้นมา นี่มรรคทางโลก เราเป็นฆราวาส เห็นไหม ฆราวาสธรรม สัมมาอาชีวะก็เลี้ยงชีพชอบ นี่เลี้ยงชีพชอบ ปัญญาชอบ ทุกอย่างความชอบทางโลก สิ่งที่ทางโลกทุกคนก็ชอบใจ ทุกคนปรารถนาความสุข ประสบความสำเร็จ แต่ประสบความสำเร็จทางโลก แต่ในศาสนาสอนเรื่องสัจธรรม สัจธรรมนี่การเกิดและการตาย ถ้าการเกิดและการตายนะ เราประสบความสำเร็จขนาดไหนมันก็ต้องพลัดพรากจากสิ่งนั้นไป เวลาพลัดพรากจากสิ่งนั้นละล้าละลังทั้งนั้นเลย แต่เวลาเราทำบุญกุศลกันเพื่อประสบความสำเร็จ สิ่งนี้มันเป็นเครื่องอาศัย

ความอาศัยนะ ชีวิตเรา เห็นไหม คนเราเกิดมาต้องมีอาหาร ในอาหาร ๔ ในกามภพ รูปภพ อรูปภพ นี่เกิดอย่างไร? ดำรงชีวิตอย่างไร? มีอาหารดำรงอยู่อย่างไร? มันมีของมัน ฉะนั้น เราเกิดมาเป็นมนุษย์ สิ่งนี้มันเป็นอาหารเพื่อดำรงชีวิต สิ่งที่ดำรงชีวิตจำเป็นไหม? จำเป็น จำเป็นเพื่อดำรงชีวิต ดำรงชีวิตไว้ทำไม? ดำรงชีวิตไว้ไม่ให้ทุกข์ๆ ยากๆ ใช่ไหม? ดำรงชีวิตไว้เพื่อหาทางออกไง ถ้าเรามาประพฤติปฏิบัตินะ เวลาเราประพฤติปฏิบัตินี่ประพฤติปฏิบัติอย่างใด? ทุกคนอยากจะพ้นจากทุกข์ แล้วจะถามว่าจะเริ่มต้นอย่างใด?

ทุกคนไม่ใช่เริ่มต้นอย่างใด ถ้าเริ่มต้นอย่างใดนะ ถ้าเรามีสติปัญญาของเรา เห็นไหม คนที่มีสติปัญญา ถ้าอยู่ทางโลกประสบความสำเร็จทางโลก เพราะสติปัญญาของเขา นี่ปัญญามันแก้ไขสิ่งต่างๆ ได้ทั้งนั้นแหละ ถ้ามีปัญญาของเรา นี่เราก็ประสบความสำเร็จทางโลก เราประสบทุกๆ อย่างแล้ว แล้วเราอยู่นี่เรามีสิ่งใดเป็นที่อาศัย เป็นที่ความจริงของเราบ้าง? นี่มันจะหาทางออกของมัน ถ้าหาทางออกของมันเราจะมาประพฤติปฏิบัติขึ้นมา ถ้าเวลาประพฤติปฏิบัติขึ้นมาจะเริ่มต้นอย่างใด?

ถ้าเริ่มต้นก็ตั้งสติไง ต้องมีปัญญาของเราไง ถ้าเรามีปัญญาของเรา เห็นไหม ดูสิเวลาเราปฏิบัติแล้วมัน เริ่มต้นผู้คนที่ประสบความสำเร็จทางโลกมา จะไม่มีคนใดเลยที่ไม่เคยผิดพลาดมา ไม่เคยผิดพลาดมา ไม่เคยล้มลุกคลุกคลานมา ทำสิ่งใดก็มีความผิดพลาดมาเป็นธรรมดา แต่เขามีปัญญาของเขา เขาแก้ไขของเขา เขาเอาสิ่งนั้น เอาความเป็นอุปสรรคของเขามาลับคมปัญญาของเขา ปัญญาของเขาคมขึ้น เขาแก้อุปสรรคสิ่งนั้นไปได้ เขาก็ประสบความสำเร็จของเขาไป ในการประพฤติปฏิบัติของเราขึ้นมา เริ่มต้นนี่ทำอย่างใด? เริ่มต้นทำอย่างใด?

แม้แต่เราทำสัมมาอาชีวะเราจะต้องมีสติปัญญา เราจะต้องมีความรอบคอบ มีความรอบคอบอย่างนี้มันเป็นที่พึ่งอาศัยเท่านั้นนะ นี่เวลาสมบัติพัสถานนะ ถ้ามีสิ่งนี้มา สิ่งนี้เราหามาเพื่อดำรงชีวิต แล้วว่าสิ่งนี้เป็นสมบัติของเรา สิ่งนี้เป็นสมบัติของเรา จริงหรือ? ถ้ามันเป็นสมบัติของเรา นี่มันเป็นสมบัติของเราชั่วคราว ชั่วที่เราจะใช้สอยอยู่นี้ แต่ถ้าสมบัติความจริงของเราล่ะ? สมบัติความจริงของเรา เห็นไหม ถ้าเรามีสติปัญญา เวลามันล้มลุกคลุกคลานขนาดไหนเรามีสติปัญญา เพราะเราว่าจะเริ่มต้นอย่างใด? จะเริ่มต้นอย่างใด?

ถ้าเริ่มต้นอย่างใดนะ ถ้าจิตใจมันสงบระงับเข้ามา พุทโธ พุทโธ พุทโธ พอมันเห็นคุณค่าขึ้นมามันมีการกระทำนะ งานของเรา ถ้าใครทำงานแล้วประสบความสำเร็จ ใครทำงานแล้วได้ผล คนนั้นอยากทำงานมาก ถ้าใครทำงานแล้วล้มลุกคลุกคลานนะก็นั่งคอตก ไอ้นั่งคอตกอย่างนี้มันอยู่ที่อำนาจวาสนาของคน ถ้าอำนาจวาสนาของคนนะ แล้วอำนาจวาสนามาจากไหนล่ะ? กรรมคือการกระทำ ถ้าเราทำคุณงามความดีของเราไป มันจะล้มลุกคลุกคลานขนาดไหนเราก็มีขันติ มีความอดทนของเรา เราทำของเรานะ มันเป็นเพราะอะไร? มันเป็นเพราะอะไร? ทำไมคนอื่นทำได้ ทำไมเราทำไม่ได้

แล้วพอมาประพฤติปฏิบัติก็เหมือนกัน ถ้าประพฤติปฏิบัตินะ เวลาปฏิบัติของเรา เห็นไหม นี่เวลาฝนตกกรุ่นๆ อย่างนี้ เวลากลางคืนมันร่มเย็น เวลานั่งขึ้นมาแล้ว ถ้าจิตมันสงบ จิตมันดีนะมันเห็นคุณงามความดีไปหมดเลย แต่ถ้าเป็นทางโลกล่ะ? ทางโลกถ้าฝนตกอย่างนี้มันต้องนอน อู๋ย ถ้านอนนะ นอนมีความสุขมากเพราะมันเย็น มันไม่ร้อน นอนแล้วมีความสุข นี่ไงคนเลือก ถ้าจิตใจมันมีสติปัญญาของมัน มันจะเลือกสิ่งที่ดีๆ ของมัน เลือกสิ่งที่ดีๆ ดีๆ คืออะไรล่ะ?

ดีๆ เห็นไหม เวลาเรานั่งไป เรากำหนดพุทโธ เราเดินจงกรม นั่งสมาธิ ภาวนา สิ่งนี้เป็นความดีไหม? สิ่งนี้เป็นความดี ความดีแล้วทำไมมันไม่ได้ผลล่ะ? ทำไมนั่งไปแล้วมันเกิดเวทนาล่ะ? มันเกิดความเจ็บความปวดขึ้นมาล่ะ? ความเจ็บความปวดมันเป็นความจริงของมัน ความจริงนะ ให้นอนนานๆ นอนสัก ๕ ชั่วโมง ๑๐ ชั่วโมงมันก็เมื่อยของมัน นี่มันเป็นความจริงอย่างนั้น ถ้าความจริงอย่างนั้น เรานั่งเพื่ออะไรล่ะ? เรานั่งเพื่อเอาจิตใจสงบไง ถ้าจิตใจเราสงบขึ้นมา

จิตใจ เห็นไหม ดูสิเวลามันออกไปรับรู้ขึ้นมา นี่ร่างกายสงบแล้ว เราก็ตั้งเป้าของเราว่าเราอยากทำให้จิตสงบ จิตสงบเพื่อเหตุใด? จิตสงบเพื่อจะฝึกหัดใช้ปัญญาไง ปัญญาของเรา ปัญญาที่เรารักษาของเรา ปัญญาที่เราประกอบสัมมาอาชีวะ ปัญญาที่เราใช้วิชาชีพของเรา อันนี้เป็นปัญญาของโลกไง แต่ถ้ามันเกิดปัญญาของเราขึ้นมา ปัญญาที่มันจะแยกแยะตัวมันเอง ปัญญาที่มันจะทำสิ่งที่เป็นปมในหัวใจ มันทำสิ่งที่ว่ามันไม่รู้เท่าความรู้สึกนึกคิดอันนี้ไง

เพราะความรู้สึกนึกคิดอันนี้มันไม่รู้เท่าขึ้นมา มันขุ่นข้องหมองใจ ทรัพย์สมบัติได้มา สิ่งใดได้มานะมันก็ไปติดขัดตรงนั้นหมด ถ้าจิตใจมันดีขึ้นมา เห็นไหม ดูสิ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอยู่ที่โคนต้นโพธิ์ มีอะไรล่ะ? มีอะไรเป็นสมบัติบ้าง สิ่งที่เป็นสมบัติเสียสละมาหมดแล้ว แล้วมาอยู่ที่โคนต้นโพธิ์ ไม่มีสิ่งใดเลยทำไมมันมีความสุขล่ะ? ความสุขอันนี้มันเกิดขึ้นมาจากภายใน ถ้าจิตใจนี้เป็นความสุขขึ้นมาแล้ว สิ่งที่ว่าเป็นปัจจัยเครื่องอาศัย สมบัติโลกนี่มันเป็นปัญหารองแล้ว เราจะไม่ไปติดขัดเรื่องนั้นแล้ว

แต่ถ้าจิตใจของเรา เห็นไหม จิตใจของเรา ตัวเราเองเรายังแกะของเรา เรายังแกะกล่อง เรายังปลดเปลื้องความรู้สึก ความเห็นผิดของเราในหัวใจของเราไม่ได้ ข้างในมันเห็นผิด พอมันเห็นผิดขึ้นมามันก็แย่งชิง สิ่งที่มันจะได้มา สิ่งที่มันจะเป็นทางโลกมันแย่งชิงได้ ใช้เล่ห์กลได้ ใช้เล่ห์กล ให้เล่ห์เหลี่ยมต่างๆ มันแสวงหาได้ ชื่อเสียง เกียรติศัพท์ เกียรติคุณมันใช้เล่ห์กลของมันได้ทั้งนั้นแหละ แต่ถ้าจิตใจมันสะอาดบริสุทธิ์ขึ้นมาแล้วมันทำอย่างนั้นได้ไหม?

ถ้ามันทำอย่างนั้น มโนกรรม มโนกรรมนะ กรรมมันเกิดขึ้น มโนกรรมถ้ามันย้ำคิดย้ำทำมันจะเป็นจริต มันจะเป็นนิสัย ถ้าเป็นนิสัยเราต้องการความซื่อสัตย์ เราต้องการความสะอาดบริสุทธิ์ เราต้องการศีลธรรม ศีลคือศีละ คือความมั่นคงของใจ แล้วใจของมัน มันเรรวนตั้งแต่เริ่มต้น มันมีเล่ห์กลตั้งแต่เริ่มต้นในหัวใจของมัน แล้วมันประพฤติปฏิบัติออกไปมันจะไปเอาความจริงมาจากไหนล่ะ? ถ้ามันเอาความจริงมาจากไหนไม่ได้ มันทำสิ่งใดไป แล้วผลตอบมันคืออะไร?

นี่กรรมคือการกระทำ เห็นไหม ความลับไม่มีในโลก จิตใจนี้มันรู้ของมันเอง แต่ถ้าเราทำความสงบของใจเข้ามา ถ้าใจสงบของเราเข้ามาได้ เรามีปัญญาของเรา ถ้ามันคิดนอกลู่นอกทาง ความคิดอย่างนี้มันให้แต่เป็นไฟแผดเผาหัวใจมาตลอด แล้วถ้าความคิดที่ดีๆ ล่ะ? ความคิดที่ดีๆ นี่ทางโลกผู้รับเป็นผู้ได้ แต่ถ้าเป็นทางธรรม ผู้ให้ต่างหากเป็นผู้ได้ ผู้ให้เขานะ เราให้ นี่จิตใจมันเสียสละ มันให้ของมันได้ ถ้าจิตใจมันเสียสละ เพราะจิตใจมันดีไง

จิตใจที่มันเสียสละไม่ใช่เล่ห์กลนะ ที่เขาเสียสละกันเขาเสียสละด้วยเล่ห์กลของเขา มันก็เสียสละเพื่อเล่ห์กล เสียสละเพื่อให้จิตใจมันยึดมั่นถือมั่นมากเข้าไป แต่ถ้าเสียสละเป็นความสะอาดบริสุทธิ์ของเรา เห็นไหม จิตใจมันไม่มีเล่ห์กล เสียสละบริสุทธิ์ไปแล้ว เสียสละเพื่อใคร? ก็เสียสละเพื่อจิตดวงนี้ไง ถ้ามันเสียสละของมันไป การเสียสละแบบนั้น เวลามาภาวนาพุทโธ พุทโธ หรือปัญญาอบรมสมาธิของเราขึ้นมา เพราะสิ่งนี้เรายังเสียสละได้ ถ้าเราไม่เสียสละมา พอเข้าทางจงกรมปั๊บ สิ่งนั้น

“รูป รส กลิ่น เสียง เป็นบ่วงของมาร เป็นพวงดอกไม้แห่งมาร”

รูป สิ่งที่เสียสละออกไปเป็นชิ้นเป็นวัตถุที่เสียสละออกไป เวลาเสียสละไปแล้วนะ เวลาไปเดินจงกรม นั่งสมาธิ ภาวนามันมาเสียดายอยู่ไง มันมาเสียดาย มันมาคิดถึง มันมาอุ่นกิน มันมาเผาลนหัวใจ เห็นไหม นี่เพราะจิตใจมันไม่มั่นคง ถ้าจิตใจมั่นคง มันเสียสละไปแล้ว เสียสละเพื่ออะไร? สิ่งนั้นเราเสียสละได้ แล้วกิริยา ความรู้สึกนึกคิดเป็นนามธรรม วัตถุยังเสียสละมาแล้ว แล้วเวลาเป็นนามธรรมทำไมเสียสละไม่ได้? นี่สิ่งที่เสียสละไม่ได้ เสียสละไม่ได้เพราะอะไร? เพราะเป็นนามธรรมที่ไม่รู้จะเสียสละอย่างไรไง

พอไม่รู้จะเสียสละอย่างไร นี่เวลาภาวนาบอกว่าเราจะมาภาวนากัน เราจะชำระหัวใจกัน จะเริ่มต้นที่ไหน? ก็เริ่มต้นตรงนี้ไง เริ่มต้นที่หัวใจไม่ให้มันคิดเรื่องอื่น ให้มันคิดเรื่องพุทโธไง ถ้ามันคิดพุทโธ คนที่ไม่เคยภาวนาเลยต้องบังคับไง นี่เราจะเล่นกีฬาอะไร เราลงแข่งขันกีฬาชนิดใดเขาก็มีกฎกติกาของเขาใช่ไหม? ถ้าเราอยู่ในทางโลก นี่ใช้ปัญญาของเรา เราก็ต้องมีการแข่งขัน เราก็ต้องทันคน นั่นเป็นเรื่องของโลกๆ ใช่ไหม? แต่ถ้ามันเป็นเรื่องของธรรม เห็นไหม เราต้องบังคับให้มันคิดแต่พุทธานุสติ คิดแต่พุทโธ คิดแต่ธัมโม สังโฆ มรณานุสติ เราจะคิดสิ่งใดเราบังคับคิดสิ่งนั้น

ถ้าบังคับสิ่งนั้น นี่บังคับมัน เริ่มต้นต้องมีการบังคับ เล่นกีฬาสิ่งใดเขามีกฎกติกาทั้งนั้นแหละ เวลาเราทำอาชีพทางโลกเขาก็มีกฎหมาย มีกติกาในการแข่งขันไม่ให้เอารัดเอาเปรียบกัน เวลาจะมากำหนดภาวนาของเราก็ต้องบังคับไม่ให้จิตมันคิดนอกลู่นอกทาง ให้มันอยู่ในพุทโธ ถ้าพุทโธ พุทโธนี่เราเข้าสู่ระบบ เราเข้าสู่พุทธานุสติ เราเข้าสู่การภาวนาของเรา ถ้าเข้าสู่การภาวนามันทำเพื่อใครล่ะ? ก็ทำเพื่อหัวใจดวงนี้ไง

ถ้าหัวใจดวงนี้นะมันพุทโธ พุทโธ ถ้ามันเป็นไปได้ ถ้าใครเคยกำหนดจนจิตมันสงบได้มันจะทึ่งมาก มันจะมีความตื่นเต้นมาก แล้วสิ่งนี้มันเกิดมาจากไหนล่ะ? เกิดมาจากความคิดมันไม่แตกกระจายไปตั้งแต่ต้น ถ้าความคิดมันแตกกระจายไปตั้งแต่ต้น มันจะรวมมาเป็นหนึ่งได้อย่างใด? ถ้ารวมเป็นหนึ่งนะ นี่เอกัคคตารมณ์จิตตั้งมั่น จิตมันมีหลักมีเกณฑ์ของมัน มันทำของมันอย่างใดล่ะ?

ถ้ามันทำของมัน นี่เริ่มต้นต้องบังคับก่อน แต่ถ้าคนเขามีอำนาจวาสนานะเขาพอใจทำ ถ้าคนพอใจเขาไม่ต้องบังคับของเขา เขาพอใจ เขาอยากทำ แต่ถ้าเราไม่อยากทำเราต้องบังคับ บังคับมัน บังคับด้วยอะไร? ด้วยสติ ถ้ามีสติงานก็เป็นงานขึ้นมา ถ้าไม่มีสติ พุทโธ พุทโธ พุทโธ มันพุทโธที่เปลือกๆ มันไม่ได้พุทโธจากหัวใจ นี่เล่ห์กลอีกแล้ว เห็นไหม เวลาเราประกอบอาชีพทางโลก นี่เขาใช้เล่ห์ใช้กลกัน เขาคิดอย่างหนึ่ง พูดอย่างหนึ่ง ทำอย่างหนึ่ง

นี่ก็เหมือนกัน เราจะภาวนาก็ภาวนาที่เปลือกๆ อ้าว ก็นึกพุทโธ พุทโธไป แต่จิตมันยังแฉลบออกไปเรื่อยๆ แฉลบออกไปนอกลู่นอกทาง แล้วมันจะไปไหนล่ะ? มันอยู่ข้างนอก ข้างใน เห็นไหม เวลาข้างนอกมันก็ทำของมันไป ข้างในมันก็ต่อต้าน แต่เวลาประพฤติปฏิบัตินะหลวงตาท่านพูดบ่อย

“ภาชนะที่จะบรรจุธรรมได้ไม่มีในโลกนี้ มีแต่ความรู้สึกคือหัวใจของคนที่มันจะบรรจุภาชนะนั้น”

แต่นี้ภาชนะนั้นมันมีแต่ความเศร้าหมอง แต่เราพุทโธ พุทโธอยู่ข้างนอกไง ภาชนะนั้นก็โดยคว่ำไว้ คว่ำไว้ด้วยตัณหาความทะยานอยาก ด้วยอวิชชา ด้วยความไม่รู้ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแสดงธรรม เห็นไหม ผู้ที่เขาหงายภาชนะที่คว่ำไว้ให้หงายขึ้น คว่ำไว้ คว่ำไว้ด้วยทิฏฐิมานะของตัว คว่ำไว้ด้วยตัณหาความทะยานอยากของตัว แต่พุทโธอยู่ข้างนอกนะ พุทโธอยู่ข้างนอก เพราะเราเกิดเป็นชาวพุทธไง เราเกิดเป็นชาวพุทธเราก็มีความปรารถนา เราก็มีเจตนาของเรา แต่เวลาอวิชชา อวิชชานี่ปฏิสนธิจิต

“มารเอย เธอเกิดจากความดำริของเรา เราจะไม่ดำริถึงเจ้าอีกแล้ว เจ้าจะเกิดบนหัวใจของเราไม่ได้เลย”

ดำริเราก็นึกถึงพุทโธ มารเอย เธอเกิดจากความดำริของเรา ดำริมันอยู่ข้างหลัง อันนี้พุทโธก็พุทโธอยู่ข้างนอก ไอ้เล่ห์กลมันก็พลิกแพลงอยู่ข้างในหัวใจ แล้วก็บอกพุทโธไม่ได้ผล พุทโธแล้วไม่ได้เรื่อง ภาวนาแล้วล้มลุกคลุกคลาน นี่ทำทางโลกมาทุกข์มายาก มาปฏิบัติก็ทุกข์ยากขึ้นไปอีก

ทรัพย์ที่มันละเอียดนะ ทรัพย์ที่เป็นสมบัติเราไม่ต้องแข่งขันเขาขนาดนั้น แล้วตอนนี้เรามาแข่งขันกับความรู้สึกของเราเอง เราแข่งขันกับหัวใจของเราเอง เราแข่งขันกับสิ่งที่เราพ่ายแพ้มาตลอดเวลา ถ้าเราชนะหัวใจของเรา เราควบคุมใจของเราได้ เห็นไหม นี่ใจของเราจะร่มเย็นเป็นสุข มองออกไปข้างนอกนะทุกอย่างเป็นคุณงามความดีไปหมดเลย

เขาจะทำร้ายกัน เขาจะฉ้อโกงกัน นี่มันกรรมของเขา เขาหาฟืนหาไฟเผาตัวเขาเอง เขาอยากได้สมบัติของเขา แต่เขาสร้างเวรสร้างกรรม แล้วเขาจะเผาใจของเขา ถ้าเรามีสตินะ ถ้าขาดสติ เขาฉ้อโกงกัน เขากลั่นแกล้งกัน เราก็จะไปเป็นปัญหาแล้ว เพราะเราเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของปัญหากับเขาแล้ว แต่ถ้าจิตใจของเรานะ เราจะช่วยเหลือเขา เราจะเจือจานเขา หลวงตาท่านทำบ่อยนะ ใครโดนคดโกง ใครโดนทำจนหมดเนื้อหมดตัว ท่านไปช่วยเหลือเจือจานเขาทีหลัง

หลวงตาท่านทำแบบนั้น แต่ท่านไม่ตามไปแก้ไขข้างหน้า ท่านจะช่วยเหลือคนๆ นั้น คนๆ นั้นเป็นคนซื่อ คนๆ นั้นเป็นคนไม่ทันคน คนๆ นั้นเป็นคนโดนโกงจนหมดเนื้อหมดตัว ท่านจะไปแอบช่วยเหลือเขา เราช่วยเหลือเขาโดยที่การไม่ปะทะปะทังกับใครไง ไม่สร้างปัญหาต่อเนื่องกันไปไง นี่คนที่หัวใจเป็นธรรม แต่คนที่หัวใจไม่เป็นธรรม ไม่ได้ๆ เขาเป็นคนโกง หาเรื่องหาราวกันไปไม่จบไม่สิ้น แล้วก็บอกว่านี่ถ้าอย่างนี้เป็นลัทธิยอมจำนน

ไม่ใช่ ฉลาด ฉลาดกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทางโลก ฉลาดกับความรู้สึกนึกคิดในใจของตัว ฉลาดกับความที่หัวใจมันจะไปแก้ไข ไปสร้างปัญหาขึ้นมา แล้วเวลาเราช่วยเหลือเจือจานเขา ช่วยเหลือเจือจานระหว่างคนที่ทุกข์ที่ยาก กับดวงใจที่เป็นธรรมช่วยเหลือเจือจานเขา นี่ช่วยเหลือเจือจานข้างนอกนะ แต่ถ้าช่วยเหลือหัวใจของเราล่ะ? สงสารตัวเองไหม? สงสารหัวใจของตัวไหม? ถามหัวใจของตัวว่าอยากได้อะไร? ถามหัวใจของตัวสิว่ามันทุกข์ยากแค่ไหน? แล้วมันถามหัวใจของตัวก็ไม่รู้ว่าอยากได้อะไร ก็ไม่รู้ว่ามันต้องการอะไร แต่ทุกข์

ไม่รู้ว่าคิดอะไร ไม่รู้ว่าทำอย่างใด เห็นไหม ฉะนั้น ต้องมีพุทธานุสติให้มันอิ่มเต็มของมันก่อน ถ้ามันไม่หิว มันไม่กระหาย มันจะเริ่มรู้สึกว่าเราต้องการอะไร ถ้ามันอิ่มเต็มของมัน เห็นไหม มันไม่หิวโหย คนหิวคนโหยมันได้สิ่งใดมามันเพื่อดำรงชีวิต มันไม่แยกถูกแยกผิดไง จิตมันหิวมันโหย มันคิดของมัน มันแสวงหาของมันโดยที่ไม่มีสติปัญญาของมันไง ถ้ามันอิ่มหนำสำราญ อาหารต้องคัดเลือกต้องแยกแยะแล้วว่าอะไรเป็นประโยชน์ อะไรไม่เป็นประโยชน์

นี่พุทโธ พุทโธจนจิตมันสงบ จิตมันมีสติปัญญาขึ้นมาแล้วค่อยว่าเราจะไปทางไหน เราจะดูแลสิ่งใด ทางโลกเราก็ทำหน้าที่การงานของเรา หัวใจของเรา เราจะดูแลรักษาของเรา เราจะทำใจของเราให้มีที่พึ่งที่อาศัยในใจของเรา มันจะเป็นอริยทรัพย์นะ คนมีสมบัติทางโลกด้วย แล้วคนประสบความสำเร็จที่เอาชนะหัวใจของตัวด้วย มันจะมีความสุขแค่ไหน?

นี่เราประสบความสำเร็จทางโลกด้วย แต่ยังงงๆ อยู่ว่าจะไปไหน จะทำอย่างไรอยู่ มันยังงงๆ อยู่ว่าจิตนี้จะไปไหน? แต่ถ้ามันประสบความสำเร็จทางโลกด้วย ประสบความสำเร็จในหัวใจของตัวด้วย หัวใจมันรู้เราเกิดมาจากไหน? ปัจจุบันนี้เกิดมาทำไม? แล้วเวลามันตายแล้ว จิตนี้มันออกจากร่างมันจะไปไหนต่อ แล้วถ้ามันชำระกิเลสจนสิ้นไปจากหัวใจแล้วมันรู้ มันรู้ ไม่มีทางขับเคลื่อนแล้วมันจะไปไหน? ถ้ามันจะไม่ไปไหนมันก็เป็นวิมุตติสุข วิมุตติสุข เห็นไหม วิมุตติสุขโดยที่ไม่ต้องอาศัยอามิส ไม่ต้องอาศัยสิ่งใดๆ เลย มันจะอยู่ของมันโดยตัวของมัน

นี่เวลาคนที่ชำระยังมีชีวิตอยู่เขาเรียกว่าสอุปาทิเสสนิพพาน เวลาคนตายไปแล้วอนุปาทิเสสนิพพาน สะคือร่างกาย คือเศษส่วนที่เหลือ แต่จิตใจดวงนั้นเป็นธรรมไง จิตใจดวงที่เป็นธรรมยังอยู่ในร่างกายที่เคลื่อนไหวนี้อยู่ แต่เวลาจิตใจที่ออกจากร่างนี้ไปจบ จบ ไม่มีร่อง ไม่มีรอย ไม่มีใครหาจิตดวงนั้นเจอ แต่สอุปาทิเสสนิพพาน สะคือเศษส่วน คือสิ่งที่เหลือ สิ่งนี้ยังสื่อสาร ยังคอยกล่าวเตือน ยังคอยแนะนำ ยังคอยชี้นำได้

ถ้ามีสิ่งนี้อยู่เราไม่ขวนขวาย พอขาดสิ่งนี้ไปแล้วเราจะต้องไปค้นคว้า ค้นหากันเอง เมื่อนั้นเราจะรู้ว่าเวลามีโอกาสก็ไม่กระทำ เวลาโอกาสผ่านไปแล้วก็ตีโพยตีพายว่าเราไม่มีผู้ชี้นำ เราไม่มีครูบาอาจารย์คอยสอน จะไปตีโพยตีพายต่อเมื่อมันสิ้นโอกาสนั้นไป แต่ถ้าโอกาสนี้มันอยู่ โอกาสยังมีอยู่ ครูบาอาจารย์ของเรามีอยู่ เรามีสิ่งใดเราต้องเช็ค ต้องสอบ ต้องถาม เพื่อความเจริญก้าวหน้าของหัวใจของเรา ถ้าหัวใจของเราก้าวหน้า เห็นไหม ถึงที่สุดแล้วการภาวนามันทันกันได้ นี่เวลาถึงที่สุด อกุปปธรรม ธรรมที่มันไม่เปลี่ยนแปลง กุปปธรรมคือสัพเพ ธัมมา อนัตตา อกุปปธรรม ธรรมที่คงที่ตายตัว มันอยู่ที่ไหน? มันวัดกันได้ มันถึงกันได้

ฉะนั้น ทางโลกเราทำหน้าที่การงานของเราไป ถ้าทางธรรมเราก็แยกแยะของเรา เราไม่ตื่นกระแสไปกับโลก โลกเขาหลงแสง สี เสียงกันไป เขาว่าสิ่งนั้นเป็นความสุขของเขา เราทิ้งมามาอยู่กับโคนไม้ มาอยู่กับป่าอยู่กับเขา อยู่กับธรรมชาติ อยู่กับสัจจะความจริง เขาว่าคนนี้ไม่รู้จักหาความสุขใส่ตัว นั่นเวลาโลกเขาคิด แต่เราจะเอาความจริงของเรา ถ้าเป็นความจริงของเราแล้วนะ นี่มีหลักมีเกณฑ์แล้วจะพูดแจกแจงแยกแยะให้เขาเข้าใจได้

ถ้าไม่มีหลักมีเกณฑ์ เวลาเขาพูดสิ่งใดมานะ เหตุผลทางวิทยาศาสตร์ เหตุผลทางโลก เราจะพูดทางธรรมไปนะ เขาบอกว่าเป็นนามธรรม ไม่มีเหตุมีผลรองรับ แต่เวลาเขาพูดนะมีเหตุผลรองรับ เห็นไหม เราก็เถียงสู้เขาไม่ได้ ฉะนั้น มันเป็นปัจจัตตัง เป็นสันทิฏฐิโกในหัวใจของเรา ใครรักตัวรักตนมากที่สุด คนนั้นต้องแสวงหาทรัพย์สมบัติของตัวเอง ให้เป็นประโยชน์กับตัวเอง เอวัง