เทศน์พระ

บิดธรรม

๓o ต.ค. ๒๕๕๕

 

บิดธรรม
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

เทศน์พระ วันที่ ๓๐ ตุลาคม ๒๕๕๕
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ตั้งใจฟังธรรม ธรรมะเป็นความจริง ธรรมะเป็นอริยทรัพย์ แต่กิเลสมันไปบิด บิดให้มันเป็นความพอใจของตัว ถ้ากิเลสมันไม่บิดธรรมนะ ธรรมนั้นเป็นสัจจะความจริง ถ้าเป็นสัจจะความจริง วันนี้วันมหาปวารณา วันนี้วันปวารณา วันออกพรรษา

วันเข้าพรรษา เห็นไหม บรรยากาศไม่เป็นแบบนี้ บรรยากาศเป็นอีกอย่างเพราะมันเป็นฤดูฝน เวลาฤดูฝนมันทำให้อากาศมันชื้น มันทำให้เป็นฤดูเกษตรกรรม แต่เวลาเข้าฤดูหนาว ก้าวเข้าปลายฝนต้นหนาว ปลายฝนต้นหนาว นี่บรรยากาศมันเปลี่ยนแปลงไป ถ้าบรรยากาศมันเปลี่ยนแปลงไป วันนี้วันมหาปวารณา มันจะหมดฤดูฝน หมดฤดูฝน เห็นไหม พอออกพรรษาแล้วนี่ออกวิเวกกัน ออกหาความสงบสงัดกัน แล้วในพรรษานี้ไม่ต้องการความสงบสงัดเหรอ

ในพรรษาก็ต้องทำความสงบสงัด เพราะในพรรษามันอยู่กับที่ อยู่กับที่นี่เราต้องมีความมั่นคง ต้องมีความมุมานะเพื่อความสงบของใจ ออกพรรษาแล้วเห็นเป็นวิเวกไป เพราะให้ใจมันเปลี่ยนแปลง ให้หัวใจไม่จำเจ ความจำเจ ความคุ้นชิน จิตใจมันดื้อ ถ้าจิตใจมันดื้อ การปฏิบัติของเรามันก็จะไม่ได้ผลตามความเป็นจริง

คำว่า “เป็นจริง” จริงคือสัจธรรมความเป็นจริงอยู่แล้ว ธรรมะคือเป็นธรรมะ แต่เวลากิเลสมันบิดไง มันบิดว่าสิ่งนี้เป็นความพอใจของมัน ยิ่งมันดื้อนะ ถ้ามันดื้อของมัน มันเป็นจินตนาการ มันเป็นทิฏฐิมานะที่จิตใจเกิดตามความพอใจของตัว ถ้าความพอใจของตัว จะเป็นธรรมไม่เป็นธรรมนั้นเป็นอีกเรื่องหนึ่งนะ เป็นอีกเรื่องหนึ่ง เพราะการกระทำมันต้องมีประสบการณ์ในการปฏิบัติ เห็นไหม ปฏิบัตินี่คือประสบการณ์ตรงของใจ ถ้าใจมีประสบการณ์ตรงของเขา ใจของเขามันปฏิบัติมามันจะเทียบเคียงไปสู่ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

เวลาธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นทฤษฏี เวลาเราไปไหนกัน เราต้องมีแผนที่ มีแผนที่นี่ประกันความผิดพลาด แต่เวลาเราไปแล้วเราก็หลง เราก็ผิดพลาดทั้งนั้นน่ะ มันต้องหลง เห็นไหม แผนที่น่ะ แผนที่พอไปแล้ว แผนที่มันเป็นปัจจุบันไหม? แผนที่มันเป็นอดีตมานะ ปัจจุบันเขาตัดเส้นทางใหม่ เขาย้ายสิ่งที่ชี้ทางใหม่ เห็นไหม เราหาสิ่งนั้นไม่เจอ ในพื้นที่มันยังมีสิ่งทีเป็นปัจจุบันที่เขามีการเปลี่ยนแปลงนั้นอีกมหาศาลเลย

ฉะนั้น สิ่งที่เราปฏิบัติแล้ว ธรรมวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นแผนที่เครื่องดำเนิน ถ้าแผนที่เครื่องดำเนินแล้วเราจะดำเนินความเป็นจริงของเราไหม ถ้าความจริงของเรา เราทำเพื่อเรานะ

ชีวิตนี้มีการพลัดพรากเป็นที่สุด อนาคตข้างหน้าทุกคนรู้ว่าเราต้องพลัดพรากแน่นอน ถ้าเราพลัดพรากแน่นอน ถ้าอยู่ในปัจจุบันนี้เราอยู่เป็นหมู่เป็นคณะกัน เราก็มีความอบอุ่นต่อกัน มีความพึ่งพาอาศัยต่อกัน เวลาเราพลัดพรากจากกันไปแล้ว เห็นไหม ใครพลัดพรากจากไปตามแต่กระแสที่มันจะพลัดพรากไป ตามแต่ความพอใจความชอบของตัว นี่ไง เป็นเวรเป็นกรรม เพราะอะไร เพราะชอบน่ะ เพราะชอบมันก็ถูกต้องดีงามไปทั้งนั้นน่ะ ถ้าไม่ชอบล่ะ ถ้าไม่ชอบ อะไรมันไม่ชอบ? กิเลสมันไม่ชอบหรือสัจธรรมไม่ชอบ สัจธรรมความเป็นจริงมันไม่ชอบสิ่งใด

เห็นไหม เวลาหลวงตาท่านพูดนะ ธรรมะนี่เข้าได้ถูกอณูของอากาศ ทุกอณูของสรรพสิ่ง มันละเอียดลึกซึ้งก็แทรกเข้าไปได้ทุกสถานที่ เห็นไหม ถ้าเป็นธรรมแล้วมันไม่มีความขัดแย้งไง ถ้าธรรมะไม่มีความขัดแย้ง มันเป็นสัจธรรม มันเข้าได้กับทุกสถานทุกสิ่ง มันไม่มีสิ่งใดที่ขัดแย้งเลย เวลาประพฤติปฏิบัติจนถึงที่สุดแห่งทุกข์ เห็นไหม จิตนี้ สิ่งที่เป็นธรรมธาตุนี้มันครอบ ๓ โลกธาตุ ดูสิ ๓ โลกธาตุนะ กามภพ รูปภพ อรูปภพ...กามภพตั้งแต่เทวดาลงมานี่มันใหญ่โตขนาดไหน กามภพ รูปภพ อรูปภพ เห็นไหม จิตใจนี้มันครอบไปหมดเลย มันเข้าได้ทุกอณูหมดเลย สิ่งนี้ถ้ามันเป็นธรรมจริงๆ มันจะไปขัดแย้งกับสิ่งใดล่ะ แต่สิ่งที่มันขัดแย้งนี่มันกิเลสทั้งนั้นน่ะ มันบิดธรรมไง กิเลสมันบิดธรรม บิดตามความพอใจของตัว

เราบิดธรรม เห็นไหม แผนที่เขียนขึ้นมาเอง แผนที่ของมันมีอยู่แล้วใช่ไหม แผนที่เครื่องดำเนินของเขาถูกต้องดีงามอยู่แล้ว ถ้าถูกต้องดีงาม นี่ไม่พอใจ เราทำความพอใจของเราเอง เราบิดเบือนมันเอง พอบิดเบือนมันเอง การปฏิบัติไป ในเมื่อบิดเบือนมันไปแล้ว มันจะเป็นความจริงไปได้ไหม มันก็เป็นไปตามกิเลสไง กิเลสพอใจสิ่งใดไง

ดูการประพฤติปฏิบัติสิ ธรรมะ เห็นไหม นิพพานเป็นความว่าง นิพพานเป็นวิมุตติสุข เป็นสุขอย่างยิ่ง เห็นไหม เวลาเราไม่พอใจสิ่งใด มันขัดแย้งใจ มันมีแต่ความทุกข์ ถ้าเราพอใจสิ่งใด มันก็มีความพอใจ มันก็เป็นความสุขน่ะ นี่ความสุขของใครล่ะ

เด็กนะ ให้สิ่งของตอบแทนมันเล็กน้อยมันก็ดีใจแล้ว แค่ตบมือให้เด็ก เด็กมันก็พอใจแล้ว หัวเราะยิ้มแย้มแจ่มใสตลอดทั้งวันเลย เพราะเราตบมือให้อย่างเดียวน่ะ นี่เด็กมันต้องการลูกยอ เด็กมันต้องการการส่งเสริมมัน เห็นไหม แค่นั้นแหละมันก็มีความสุข มันมีความสุขของมันมากน่ะ

แล้วเป็นผู้ใหญ่ล่ะ เรามีความรับผิดชอบนะ ถ้าใครมีครอบครัวขึ้นมาเขาต้องรับผิดชอบครอบครัวเขา เราเป็นผู้นำครอบครัว เราทุกข์คนหนึ่งมันก็ทุกข์จนเข็ญใจพอแรงอยู่แล้ว ในภรรยา ในลูก ในหลานต่างๆ ถ้าเขาทุกข์เพราะอะไร เพราะเราเป็นผู้นำที่ไม่ดี มันยิ่งเจ็บช้ำน้ำใจเข้าไปใหญ่เลย

เห็นไหม ถ้าเด็ก แค่ตบมือให้ แค่ส่งเสริมหน่อยเดียวมันก็อยู่ของมันได้แล้ว แต่เวลาเป็นผู้ใหญ่มา ความรับผิดชอบมันแตกต่างกันแล้ว แล้วถ้าเราเป็นผู้นำสังคม ความรับผิดชอบมันมหาศาลขึ้นไปเลย สิ่งที่พอมันโตขึ้นมามันเอาแต่ความรู้สึกนึกคิดของตัว มันเป็นความจริงไหมล่ะ นี่ก็เหมือนกัน ถ้ากิเลสมันบิดธรรมนะ มันบิดแล้วมันว่าสิ่งนั้นเป็นธรรมๆ มันจะเป็นความจริงได้อย่างไร มันยิ่งกว่าเด็กทารก ยิ่งกว่าเด็กน้อยอีก เด็กน้อยแค่เยินยอมันมันก็พอใจแล้ว

นี่ก็เหมือนกัน นี่เอาธรรมะมาเกื้อหนุนไง อ้างธรรม อ้างอิงไปหมดเลยว่าสิ่งนั้นเป็นธรรมๆ แล้วเอาสิ่งนั้นมาเป็นผลประโยชน์ของตัว ผลประโยชน์เพราะมันอ้างอิงไง มันก็เป็นจินตนาการ มันเป็นการเพ้อฝันของจิตดวงนั้นไป แล้วพอมันไม่เป็นความจริง ผลตอบสนองมันไม่มี เพราะอะไร

จิตเจริญแล้วเสื่อมนะ คนที่ภาวนาถ้าจิตมันสงบแล้วมันเสื่อมมา เห็นไหม เวลาสงบก็มีความสุข ความสงบระงับ แล้วมันเสื่อมล่ะ มันเสื่อมเป็นธรรมดา มันต้องเสื่อมของมันอยู่แล้ว มันเสื่อมเพราะอะไร เพราะมันขาดผู้ดูแลรักษา แล้วใครเป็นคนดูแลรักษามันล่ะ? สติปัญญา เห็นไหม ถ้ามีสติ คำบริกรรม ถ้าเรามีคำบริกรรมอยู่ มันมีสติปัญญาอบรมสมาธินั้นอยู่ เรารักษาของเราอยู่ จิตมันต้องปล่อยวาง จิตมันต้องอิ่มเต็มของมัน จิตต้องเป็นสมาธิแน่นอน เป็นสมาธิเพราะอะไร เพราะมีคนดูแลรักษา

ดูแลรักษาเพราะอะไร ดูแลรักษาเพราะไม่ให้กิเลสมันบิดเบือนเอาตามความพอใจของมัน เห็นไหม อย่างนี้เป็นความว่างๆ อย่างนี้เป็นสัมมาสมาธิ ความว่างนี่มันอยู่ด้วยตัวมันเองไม่ได้หรอก เห็นไหม จิตนี้เป็นนามธรรม ทำไมเราต้องให้จิตมันมีพุทธานุสติล่ะ ทำไมเราต้องกำหนดพุทโธด้วยล่ะ เรากำหนดพุทโธเพื่อให้มันเกาะไว้ไง ถ้ามันไม่เกาะไว้ มันทรงตัวมันเองไม่ได้ นี่สันตติ ธาตุรู้ แล้วธาตุรู้ตั้งอยู่บนอะไรล่ะ

เวลาพระสารีบุตรพูดกับนักบวชนอกศาสนาน่ะ

“ชีวิตนี้คืออะไร”

“ชีวิตนี้คือไออุ่น ไออุ่นตั้งอยู่บนกาลเวลา”

เห็นไหม ดูกาลเวลา การต่อเนื่อง ถ้าสันตติที่มันเกิดขึ้นมาต่อเนื่อง แล้วไม่มีใครดูแลรักษามัน ปล่อยมันไปตามเวรตามกรรม ปล่อยมันไหลไปตามความรู้สึกนึกคิดไง เขาบอก นี่ดูจิตๆ ไง...เห็นจิตเหรอ รู้จักจิตเหรอ จิตเป็นอย่างไร จิตเป็นความรู้สึกนึกคิดใช่ไหม จิตเป็นอย่างไร

แต่ถ้าเราเอง ดูสิ สิ่งที่ว่าจิตเดิมแท้นี้ผ่องใส คำว่า “ผ่องใส” เวลาเข้าไปเห็นฐีติจิตเป็นอวิชชา จิตเห็นจิต จิตจับจิต มันเป็นเรื่องนี่ เวลาเราสื่อความหมายกัน เราพูดกับคน เวลาเราพูดเราตั้งใจพูดประเด็นหนึ่ง เขาเข้าใจเป็นอีกประเด็นหนึ่ง เราสื่อให้เขานี่เขายังรับรู้ไม่ได้เลย เวลาเราสื่อเขาเข้าใจได้ เขาก็รับรู้ได้ รับรู้สิ่งที่เราสื่อให้เขาได้

จิต เวลามันออกมาเป็นความรู้สึกนึกคิด สัญญาอารมณ์ อารมณ์ สิ่งที่เป็นอารมณ์ จิต อาการของจิต...อาการของจิตมันออกมามันเป็นสัญชาตญาณ มันส่งออกเป็นกระบวนการของมัน แล้วเวลาจิตมันปล่อยวาง มันสงบขึ้นมาแล้ว ตัวมันจะเป็นอย่างไร นี่ไง สิ่งที่ว่าสันตติที่มันอยู่ ชีวิตนี้คือไออุ่น ไออุ่นตั้งอยู่บนกาลเวลา กาลเวลาก็อนาคต กาลเวลามันก็เคลื่อนออกไปแล้ว กาลเวลามันก็ส่งออกไปแล้วไง เพราะอะไร เพราะถ้าเราไม่รับรู้เวลา เราจะรู้ว่าเป็นเวลาได้อย่างไร ถ้าเราไม่รู้การทรงอยู่ของสันตติที่มันเป็นไปอย่างไร นี่ข้อเท็จจริง สัจธรรม ถ้ารู้ถ้าเห็นมันเป็นอีกเรื่องหนึ่ง

แต่ถ้าเราศึกษาตามธรรมวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา สงฺขาราปจฺจยา วิญฺญาณํ มันเป็นปัจจยาการ มันเป็นจิต มันเป็นอวิชชา ธรรมนี่เข้าใจหมด...นี่บิดธรรม บิดไปตามความพอใจของตัว ถ้าความเป็นจริงมันเป็นแบบนั้น แต่เราบิดเพราะเราไม่รู้ไง เราไม่รู้เราก็สร้างอารมณ์ให้มันเหมือนไง อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา นี่อารมณ์อย่างนี้ การสืบต่ออย่างนี้ มันจะเป็นปัจจยาการอย่างนี้ จิตมันเป็นแบบนั้น นี่มันบิดธรรม มันบิดไปตามกิเลสไง กิเลสมันบิดเบือนแล้ว พอบิดเบือน จิตมันก็ส่งออกไปไง ส่งออกไปแล้วก็เอากำปั้นทุบดิน เอาสัญญาดิบๆ เอาความรู้สึกดิบๆ มาเทียบเคียงกับปัจจยาการขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เอาความรู้สึกนึกคิดอย่างนี้มาเทียบเคียงว่าสิ่งนี้เป็นธรรมๆ...มันเป็นธรรมไปได้อย่างไร มันเป็นธรรมไปไม่ได้ มันเป็นจินตนาการ มันไม่เป็นความจริงขึ้นมาเลย เห็นไหม นี่กิเลสมันบิด พอบิดไปมันก็บิดของมันไป

ทำไมเราต้องมีพุทธานุสติล่ะ? เรามีพุทธานุสติเพราะเราต้องกำหนดคำบริกรรม นี่มันจะไปเป็นสัญชาตญาณ มันเป็นไปกระบวนการของมัน กระบวนการของความรู้สึกนึกคิดมันต้องออกไปแบบนี้ เรากำหนดพุทโธๆๆ ถ้าพุทโธๆ ถ้ามันคิดความรู้สึกนึกคิดขึ้นมามันก็ส่งออกไป ออกไปกว้านเอาความโลภ ความโกรธ ความหลง ความพอใจไม่พอใจ นี่ออกไปมันก็มีอารมณ์ไง มันมีอารมณ์ มันมีรสชาติไง รสชาติถ้ามันเป็นธรรม รสชาติมันก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง ถ้ารสชาติเป็นกิเลสมันก็เจ็บช้ำน้ำใจ เห็นไหม นี่เวลาออกไปมันมีรสมีชาติ มีรสมีชาติเพราอะไร

เพราะขันธ์นี่เป็นขันธมาร ความรู้สึกนึกคิดนี่สัญชาตญาณมันมีมารครอบงำมันอยู่ มันมีอวิชชาครอบงำมันอยู่ มันไม่รู้จักตัวของมันเอง เห็นไหม ความจริงมันเป็นแบบนี้ แต่กิเลสมันไปบิดเอา บิดธรรมมาให้เป็นความพอใจของตัว ว่าสิ่งนี้เป็นธรรมๆ มันสร้างอารมณ์สร้างต่างๆ ไป มันเป็นจริงไหม เพราะมันไม่เป็นจริง

แต่ถ้าเรากำหนดพุทโธๆๆๆ บังคับ เราบังคับไม่ให้มันเป็นไปโดยสัญชาตญาณ ไม่ให้บังคับโดยเสวยอารมณ์ไป ไม่บังคับว่าสิ่งที่มันเป็นธรรม มันเป็นสัจธรรมของสัญชาตญาณของมนุษย์เป็นอย่างนี้ ความคิดเป็นอย่างนี้ ศึกษาก็ศึกษาส่งออก มันไม่ทวนกระแสกลับไง

แต่ถ้ามันทวนกระแสกลับ เราใช้คำบริกรรมพุทโธๆ นี่เราไม่บิดเบือน เรามีครูมีอาจารย์ เรามีครูบาอาจารย์ที่ประพฤติปฏิบัติมาแล้ว เห็นไหม เราตั้งสติของเรา เราใช้คำบริกรรมของเราพุทโธๆ ที่คนเขาบอกว่ามันไม่มีประโยชน์ มันไม่เป็นการวิปัสสนา มันไม่เป็นอะไร นั่นให้เขาพูดไปเถิด นี่มันบิด มันบิดของมันไปเอง มันเป็นไม่เป็นนั่นมันเป็นทฤษฏี มันเป็นไม่เป็นนั่นเป็นคำบอกเล่า มันเป็นไม่เป็นน่ะมันเป็นผู้ไม่รู้บอกผู้ไม่รู้ไง

แต่ผู้รู้นี่เขารู้กันมา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ารู้แล้ว หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นท่านรู้ของท่านแล้ว ท่านรู้ของท่าน ถ้าเรารู้อย่างนี้ อย่างเช่นเหล็กแดงๆ ที่เขาเผาไฟแล้ว เราจะไปจับไปต้องมันได้ยังไง มือเราจับต้องมันไม่ได้หรอก เหล็กที่เขาแดงๆ เขาก็ต้องมีคีมไปคีบมันออกมา ถ้าคีบมาแล้วเขาก็จะตีของเขา เขาจะขึ้นรูปของเขา เขาจะตีเหล็กนั้นให้เป็นวัตถุสิ่งใดตามที่เขาปรารถนา เห็นไหม เขาต้องมีเครื่องมือของเขาไปคีบเหล็กนั้นออกมา เขาต้องมีคีมของเขาจับออกมา เอาขึ้นทั่ง จะตีอย่างไรให้ตีแล้วแต่เขาจะตีเป็นมีด เขาจะตีเป็นสิ่งใด วัตถุที่เขาต้องการ

นี่ก็เหมือนกัน ในเมื่อเหล็กแดงๆ เราจะเอามือเราไปจับได้อย่างไร เราจะบอกว่าสิ่งนั้นเราจับต้องได้ เราทำได้ เราไม่มีเครื่องมือสิ่งใดจะไปจับต้องกับเหล็กชิ้นแดงๆ นั้นขึ้นมาเลย มันเป็นไปไม่ได้หรอก นี่ผู้รู้เขาทำของเขา เขาทำของเขา เราไปเห็นเป็นวัตถุที่เขาทำสำเร็จแล้ว เห็นไหม สิ่งนั้นเขาเป็นสินค้ามาวางขาย เราก็วางขาย จะทำอย่างไรล่ะ

นี่ก็เหมือนกัน เราศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า สิ่งนี้เป็นธรรมๆ ธรรม ถ้าเป็นธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นี่เป็นปริยัติ ฉะนั้น ถ้าจะให้มันถูกต้องดีงาม ศึกษาแล้ววางไว้ การศึกษามาแล้ว เราศึกษามา เราเรียนรู้มาทั้งนั้นน่ะ เรื่องการตีเหล็กนี่ แต่เราตีได้ไหม เราเคยตีเหล็กกันไหม เรารู้จักเหล็กไหม แล้วเหล็ก มันจะตีเหล็กที่ไม่ได้เผา ตีมันก็ตีได้ แต่ตีแล้วมันจะเป็นมีดไปได้ไหม แต่ถ้าเขาไปเผาแล้ว เผาให้มันแดงๆ ขึ้นมา เผาจนอุณหภูมิมันพอมันแดง เขาเอามาตีของเขา ตีแล้วมันก็ไม่แตก พอเสร็จแล้วเขายังต้องชุบให้มันแข็งขึ้นมาอีก นี่กระบวนการมันมี

เรามีครูบาอาจารย์ ครูบาอาจารย์ของเราท่านสั่งสอนเรามา มันก็ต้องมีพุทธานุสติ กำหนดพุทโธๆ หรือใช้ปัญญาอบรมสมาธิ นี่ตบะธรรมมันแผดเผา มันแผดเผาให้จิตนี้ควรแก่การงาน จิตที่ไม่ควรแก่การงาน จิตดิบๆ อย่างนี้มันจะไปทำอะไร จิตดิบๆ มันก็ไปรับรู้ดิบๆ อย่างนี้ เพราะเรารับรู้แล้วเราไม่วางไง เราไม่วางความรู้สึกของเรา เราไม่วางสิ่งที่ว่าเป็นโลกียปัญญา เราวางไม่ได้ เราวางไม่ได้จิตมันก็สงบไม่ได้ จิตสงบไม่ได้เราก็ไม่ได้เผาเหล็กนั้น เหล็กนั้นเราไม่ได้เผา เราจะเอามาตี ตีก็ตีได้ ตีออกมาแล้วมันเป็นมีดไหมล่ะ ตีแล้วมันจะเป็นประโยชน์ขึ้นมาไหมล่ะ เพราะมันไม่เผา เนื้อของเหล็กมันแข็ง มันกระด้าง มันทำไม่ได้หรอก พอมันทำไม่ได้นะ เราก็ทำของเราไป

เพราะกิเลสมันบิดธรรม บิดให้มันเป็นความพอใจของเรา แล้วเวลาความพอใจของเรา ถ้าปฏิบัติขึ้นมา นี่ปฏิบัติง่ายรู้ง่าย ปฏิบัติอย่างที่พุทธานุสตินี้ การปฏิบัตินี้เป็นทางอ้อม ต้องเอามาเป็นทางลัดทางตรง

มันจะลัดไปไหน ลัดขึ้นมา เห็นไหม เวลาลัดขึ้นมา ชีวิตของเราแต่ละคนอายุขัยไม่เท่ากัน แล้วการประพฤติปฏิบัติขึ้นมา ครูบาอาจารย์ของเรา บางองค์ท่าปฏิบัติแล้วไม่กี่พรรษาท่านก็บรรลุธรรมของท่าน บางองค์ปฏิบัติแล้วสู้กับกิเลส สู้แล้วสู้อีก ไอ้กรณีอย่างนี้มันเป็นข้อเท็จจริง มันเป็นเวรเป็นกรรมของจิตนั้น จิตนั้นได้สร้างเวรสร้างกรรมมา ไม่มีใครทำให้ เราทำของเราเอง ในเมื่อเราสร้างของเรามา ความย้ำคิดย้ำทำจนเป็นจริตเป็นนิสัย ความเป็นจริตเป็นนิสัยก็เป็นความเชื่อในหัวใจ ความเชื่อ เห็นไหม เพราะมันเชื่อความคิดของตัวไง มันเชื่อมันมั่น ความคิดว่าเราคิดถูก คิดดี คิดงาม แล้วเวลาปฏิบัติขึ้นไป ความรู้สึกนึกคิดอย่างนี้มันก็มากับความปฏิบัติของเรา ถ้ามันมากับความปฏิบัติของเรา เห็นไหม เราเชื่อของเรา นี่กิเลสมันบิด

ในเมื่อว่าเราเชื่อ เราเชื่อว่าสิ่งนี้ถูกต้องดีงาม เราก็ทำสิ่งนั้นไป ถ้ามันเป็นมิจฉาทิฏฐิ มันเป็นความเห็นผิด ยิ่งปฏิบัติมันจะไปไหนล่ะ? มันก็ออกจากหลักเกณฑ์ไปเรื่อยๆ ออกจากสัจธรรม ห่างไปเรื่อยๆ ถ้าห่างไปแล้ว พอปฏิบัติไปแล้วมันก็เป็นฤๅษีชีไพรไปแล้ว มันเป็นเรื่องโลกแล้ว มันเป็นฌานโลกีย์ไปแล้ว มันจะไม่เข้าสู่ธรรม

แล้วเข้าสู่ธรรม ทำอย่างไรล่ะ เห็นไหม ถ้าเข้าสู่ธรรม เราจะปฏิบัติธรรม เราก็ว่านี่เป็นการเสียเวลา ไม่ใช่วิปัสสนา ไม่ใช่ปัญญา นี่มันคิดของมันไปเองไง เวลากิเลสที่มันแก่กล้า กิเลสที่มันหนามันหยาบ มันคิดของมันไป มันทำของมันไปนะ แล้วเวลาครูบาอาจารย์ท่านเทศนาว่าการ การเทศนาว่าการเป็นธรรม เห็นไหม ดูสิ เวลาฟ้าร้อง เมฆมันจำนวนมหาศาล แต่ถ้าฝนมันไม่ตก เราไม่ได้ประโยชน์อะไรเลย เห็นฟ้าร้องนะ เราเตรียมภาชนะไว้จะรองน้ำฝนเพื่อใช้ดื่มใช้กิน เพื่อใช้สอยของเรานี่ ไม่มีฝนสักเม็ด ไม่มีฝนตกมาเลย แล้วเราจะได้ประโยชน์อะไรขึ้นมาล่ะ แต่ถ้าฟ้าร้อง เมฆดำทะมึนไปเลย แล้วฝนตกลงมามันก็เกิดความชุ่มฉ่ำขึ้นมา

นี่ก็เหมือนกัน เราพุทโธๆๆ ถ้ามันไม่พุทโธ เราปฏิบัติแล้วจิตมันไม่สงบอะไรขึ้นมา ไม่สงบขึ้นมามันก็แห้งแล้ง มันก็มีแต่ความเฉาความเหงาหงอยทั้งนั้นน่ะ แต่ความเหงาหงอย เห็นไหม ดูสิ เวลาภัยแล้งมา แม้แต่ความชื้นมามีอากาศขึ้นมา เราก็มีความหวังแล้วล่ะ อยากให้ฝนตกเพื่อความชุ่มชื้นของเรา

นี่ก็เหมือนกัน เราพุทโธๆ เรากำหนดพุทโธๆ มันจะเป็นไปได้เป็นไปไม่ได้มันก็อยู่ที่อำนาจวาสนาแล้ว อำนาจวาสนาคนทำได้หรือทำไม่ได้ แล้วแต่คนจริงหรือไม่จริง ถ้าคนจริงน่ะ ปฏิบัติเข้าไป มันเป็นไปได้อย่างไรถ้าเราทำแล้วมันเป็นไปไม่ได้น่ะ แต่ในเมื่อเราปฏิบัติแล้วเราก็ไม่จริง

ฝนแล้ง เวลาฝนแล้งขึ้นมา มันแล้งไปหมดเลย แล้วเราเองเราก็ตีโพยตีพาย เราก็ไม่มีสิ่งใดที่เราจะสมความปรารถนา เราก็ยิ่งทุกข์ซ้ำทุกข์ซ้อน ทุกข์เข้าไปมากขึ้นน่ะ ถ้าทุกข์มากขึ้น เรายิ่งวิเคราะห์วิจัยหาเหตุหาผลเราก็ยิ่งทุกข์เข้าไปใหญ่เลย แต่มันถึงคราวถึงเวลา เห็นไหม ถ้ามันภัยแล้งอย่างนี้มันก็ต้องภัยแล้ง แต่ถ้าเวลาฝนมันจะตก มันต้องมีความชื้น มีเมฆ ถ้าไม่มี เห็นไหม แหล่งน้ำที่ไหน เราจะหาแหล่งน้ำอย่างใด บางคนควรหาแหล่งน้ำจากฝนจากท้องฟ้าไม่ได้ เขาก็หาแหล่งน้ำจากใต้ดิน ถ้าเขาขุดบ่อ เขาขุดบาดาล เขาขุดสิ่งนี้ เขาขุดหาแหล่งน้ำของเขา เขามีปัญญาของเขา เขามีความสามารถของเขา

นี่ก็เหมือนกัน ที่เราจะปฏิบัติน่ะ เราพุทโธๆ แล้วทำไมมันไม่อยู่ ทำไมเราปฏิบัติแล้วทำไมมันไม่มีความชุ่มชื่นในหัวใจ นี่มีแต่เสียงฟ้าร้อง มีแต่ก้อนเมฆ แต่ไม่มีฝนตกมาแม้แต่หยดเดียวบนหัวใจของเราเลย เราก็มีความทุกข์ความยากไง แต่ถ้าเรามีสติมีปัญญา น้ำมันอยู่ไหน ความจริงมันอยู่ไหน ถ้าความจริง ความมั่นคงของเรา

คนเราจะล่วงพ้นทุกข์ด้วยความเพียร ความเพียร ความวิริยะ ความอุตสาหะ ถ้าความเพียร ความวิริยะ ความอุตสาหะ ถ้าเป็นมิจฉาทิฏฐิล่ะ ยิ่งความเพียรความวิริยอุตสาหะของมิจฉาทิฏฐิ เห็นไหม ยิ่งทำก็ยิ่งห่างไกลไป ถ้ามิจฉาทิฏฐิหรือสัมมาทิฏฐิ เราก็ต้องปฏิบัติธรรม การปฏิบัติตบะธรรม เราทำ เห็นไหม ผิดถูกนี่มันเป็นภาคปฏิบัติ ในภาคปริยัติศึกษามานี่มันเป็นชื่อทั้งนั้นน่ะ อยู่ในตำรามันเป็นชื่อของธรรมๆ สมาธิก็ชื่อของสมาธิ ปัญญาก็ชื่อของปัญญา โสดาปัตติมรรค โสดาปัตติผล สกิทาคามิมรรค สกิทาคามิผล มันเป็นชื่อทั้งนั้นเลย แล้วความจริงล่ะ ถ้าความจริงมันเกิดขึ้นมานะมันเป็นความมหัศจรรย์

เวลาฝนฟ้าตกถูกต้องตามฤดูกาล เห็นไหม เวลาเขาทำไร่ไถนาขึ้นมา เขาจะได้ผลกสิกรรมต่างๆ เขาจะได้ผลของเขา จะมีข้าวเต็มยุ้งเต็มฉาง เขาจะมีผลหมากรากไม้อุดมสมบูรณ์ไปหมดเลย จิตเวลามันปฏิบัติของมันขึ้นไป เวลาฝนตกถูกต้องตามฤดูกาล พอกำหนดมันก็สงบขึ้นมา สงบขึ้นมาแล้วใช้ประโยชน์อะไร นี่สงบขึ้นมาแล้วน่ะ ฝนตกขึ้นมา น้ำท่าอุดมสมบูรณ์ เราไม่ทำกสิกรรมของเรา เราปล่อยให้โอกาสมันผ่านไป ถ้าโอกาสมันผ่านไปแล้วเราจะได้สิ่งใดกลับมาล่ะ

แต่ถ้าฝนตกมีน้ำมีท่าสมบูรณ์ เรากักน้ำของเราไว้ เราทำประโยชน์ของเราไว้ เราไม่บิดเบือน นี่ข้อเท็จจริง น้ำก็น้ำจริงๆ ดินก็ดินจริงๆ เมล็ดพันธุ์พืชก็เมล็ดพันธุ์พืชจริงๆ เรากระทำของเรา ทำให้มันถูกต้อง ถ้าไม่ถูกต้อง มันแช่ไว้ก็ตายหมด เห็นไหม เวลาน้ำมานี่ข้าวตายหมด น้ำท่วม สิ่งต่างๆ พืชผลเกษตรขึ้นมานี่แช่น้ำไว้ก็ตายอีก

การถ้าจิตมันเป็นจริงขึ้นมาแล้ว ถ้าเราไม่ทำมันก็ไม่เป็นจริง ถ้าเราจะทำขึ้นมา เราต้องทำให้มันถูกต้องเป็นมัชฌิมาปฏิปทา ถ้าไม่มัชฌิมาปฏิปทา ดูสิ เวลาแล้งต้นไม้ก็แห้งตาย เวลาน้ำท่วมต้นไม้ก็โดนน้ำแช่จนรากเน่าตาย ตายหมดเลย นี่การปฏิบัติของเรา เวลาไม่เป็นสมาธิ เวลาไม่มีหลักมีเกณฑ์ขึ้นมาเราก็ทุกข์ก็ยาก เวลามันมีสัมมาสมาธิขึ้นมาเราก็ไปนอนจมอยู่กับมัน เราก็ไม่รู้จักแยกแยะมัน ถ้าเราแยกแยะขึ้นมานี่เราจะทำอย่างไรให้มันเป็นประโยชน์กับเราขึ้นมา ถ้ามันเป็นประโยชน์ขึ้นมา นี่อยู่ที่ว่ามันจะมีพืชพันธุ์ธัญญาหารเจริญงอกงามมาไหม มันจะมีผลผลิตออกมาไหม

นี่ก็เหมือนกัน พอจิตมันสงบแล้วเราใช้ปัญญาของเราเป็นไหม ถ้าปัญญามันออกพิจารณา มันพิจารณาในอะไรล่ะ พิจารณาเริ่มต้น เห็นไหม พิจารณาสภาวะแวดล้อม สิ่งนี้ควรทำอย่างใด เราควรจะทำไร่ทำนา ถ้าที่มันควรทำไร่มันก็ทำไร่ ที่เขาควรทำนามันก็ทำนา นี่ก็เหมือนกัน จิตใจของเรา ถ้าจิตมันสงบแล้วเราจะพิจารณาอะไร เรารู้เห็นสิ่งใด ถ้ารู้เห็นสิ่งใด เรารู้สิ่งใด เราพิจารณาของเราไปแล้ว

ดูสิ เวลาเขาถากถางป่าขึ้นมา ถากถางป่าเสร็จแล้วไม่รู้จะทำอะไรนะ จิตใจเวลาพิจารณาแล้วมันปล่อย มันปล่อยไปหมด มันว่างไปหมดเลย แล้วทำอย่างไรต่อล่ะ ทำอย่างไรต่อล่ะ ทำอย่างไรต่อเราก็สงสัย เราก็มีความสงสัยในความเป็นไปของเรา แล้วเราก็จะเดินหน้าต่อไป เราก็ไม่รู้จะทำอย่างไรต่อ เห็นไหม ถ้ากิเลสมันบิด มันบิดแล้วมันงงอย่างนี้

แต่ถ้าเราออกมาศึกษา เวลาออกจากภาวนามาเราก็ศึกษาธรรมะนะ จิตสงบพิจารณากาย ถ้าจิตสงบแล้วมันต้องพิจารณากาย พิจารณาเวทนา พิจารณาจิต พิจารณาธรรม มีสติปัฏฐาน ๔ คนเราจะฆ่ากิเลสก็ต้องพิจารณาจากสติปัฏฐาน ๔ เห็นไหม ปฏิบัติธรรมในสติปัฏฐาน ๔ เขาว่าของเขากันไปนะ สติปัฏฐาน ๔ น่ะ สติปัฏฐาน ๔ ของใครล่ะ

ถ้ากิเลสมันบิดขึ้นไปมันก็สร้างขึ้นมาน่ะ สติปัฏฐาน ๔ ใครก็คิดได้ กาย เวทนา จิต ธรรม ใครศึกษามาทางปริยัติแล้วนี่ กายก็คือกาย กายนอก กายใน ก็รู้กันอยู่ เวทนาก็คือเวทนา จิต เห็นไหม จิตก็จิตผ่องใส ธรรมก็ธรรมารมณ์ ก็รู้อยู่น่ะ เวลากิเลสมันบิดนะ บิดเพราะอะไร ถ้ามันไม่มีความรู้ ไม่มีสิ่งที่เราจินตนาการได้ เราเอาอะไรไปบิดล่ะ เราจะบิดได้ต่อเมื่อเราจินตนาการได้ เราจินตนาการมาจากไหนล่ะ? เราก็จินตนาการมาจากธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จากของครูบาอาจารย์ที่ท่านประพฤติปฏิบัติมา

ก็เรารู้มา เรารู้มาน่ะกิเลสมันรู้มาแล้วมันก็เป็นหัวเชื้อ มันเป็นสารตั้งต้น แล้วมันก็จะทำยาบ้า เห็นไหม มีสารตั้งต้นแล้วมาทำยาไอซ์ มันจะทำยาบ้า เห็นไหม นี่เขาไม่ได้ทำอย่างนั้น ไอ้ทำอย่างนั้นน่ะมันออกไปเป็นสารเสพติด พอเป็นสารเสพติด เขาไปเสพติด เขาไปทำลายสังคมนะ

ในสังคมเขาห่วงเยาวชนมาก ถ้าเยาวชนไปเสพสารเสพติดอย่างนั้นแล้ว ทรัพยากรมนุษย์เป็นสิ่งที่มีคุณค่าที่สุด ชาติใดก็แล้วแต่ที่เจริญรุ่งเรือง มนุษย์จะต้องมีปัญญา เห็นไหม ทรัพยากรที่มีค่าคือประชาชนในประเทศนั้นมีสติมีปัญญา มีความขยันหมั่นเพียร มีความวิริยอุตสาหะ นี่มีค่าที่สุด ชาตินั้นจะเจริญ ในการลงทุนเขาจะไปหาประเทศอย่างนั้นเป็นที่ลงทุน เพราะสิ่งที่ลงทุนไปแล้วมันจะได้ผลตอบแทนมหาศาล เห็นไหม

นี่สารตั้งต้น ก็ศึกษามา ศึกษามาแล้ว สารตั้งต้นมันก็เอาไปทำเป็นสารเสพติดไปซะ แต่เราเป็นความจริงขึ้นมาล่ะ ความเป็นจริงขึ้นมา ศาลตั้งต้นเขาเอามาทำเป็นยา เขาเอามาทำเป็นปัจจัย เขาเอามาทำเพื่อประโยชน์กับการดำรงชีวิต ชีวิต คนเราจะอยู่ได้มันต้องมีปัจจัย ๔ ถ้าปัจจัย ๔ เจ็บไข้ได้ป่วยขึ้นมาเขาก็ต้องมียาเพื่อบรรเทาอาการเจ็บไข้ได้ป่วย เจ็บไข้ได้ป่วยขึ้นมาเพื่ออะไร? เพื่อร่างกายแข็งแรง เพื่อความมั่นคงของชีวิต แล้วความมั่นคงของชีวิตนี่เขาก็มาศึกษา ศึกษามีทางวิชาการ เขาก็ทำวิจัยของเขา วิจัยของเขาว่าสิ่งใดเป็นประโยชน์สิ่งใดเป็นโทษ สิ่งใดไม่เป็นโทษเขาก็เอาไปทำประโยชน์ของเขา

นี่ไง ถ้ากิเลสมันไม่บิดนะ มันก็ไม่ไหลไปตามโลก ถ้าไหลไปตามโลก เราเห็นๆ กัน เยาวชนเสียหายกันไปหมดเลย เพราะอะไร เพราะมีผู้ที่เห็นผลประโยชน์ของมัน เห็นผลประโยชน์ส่วนตน แล้วอาศัยทรัพยากรมนุษย์นี้เพื่อระบายสินค้าของตัวออกไป แสวงหาแต่ผลประโยชน์ส่วนตน แต่ผู้ที่เป็นรัฐบุรุษ เขาพยายามจะให้สังคมนั้นมีสติมีปัญญาเพื่อประโยชน์กับเขา เพราะเขาจะดำรงชีวิตของเขาด้วยความเป็นจริง เขาจะตั้งตัวของเขาได้ เขาจะเป็นประโยชน์กับประเทศชาติ เขาจะเป็นตัวอย่างที่ดี เห็นไหม ถ้ามันไม่บิดนะ มันเป็นข้อเท็จจริง

แต่นี่ทวนกระแสน่ะ สิ่งที่มันจะทวนกระแส มันเป็นอุปสงค์อุปทานที่มันจะเป็นความจริงขึ้นมา เราทำสิ่งใดขึ้นไป อุปสงค์ อุปทาน ถ้ามันสมดุลกัน กิจการนั้นมันก็ก้าวหน้า มันก็มั่นคง ถ้ามันไม่สมดุลกัน กิจการนั้นมันก็คลอนแคลน

ในการประพฤติปฏิบัติของเรา ย้อนกลับมาในใจของเรา เราไม่บิดเบือน ถ้าเราบิดเบือนเราก็จะล้มลุกคลุกคลานไปแบบนั้น ถ้าล้มลุกคลุกคลานไป นี่ ๑ พรรษา พรรษาหนึ่งเรามาแล้วนะ เราปฏิบัติของเรามา เวลาจะออกพรรษา ดูความรู้สึกนึกคิดสิ นี่จับอารมณ์ของเรา วันเข้าพรรษาเรามีความรู้สึกนึกคิดกันอย่างใด

ถ้าเป็นทางโลก ๑ พรรษา ในพรรษาเราก็มาบวชของเรา บวชมาเพื่อศึกษาธรรมะ ศึกษาธรรมะมาเพื่อเป็นบัณฑิต บัณฑิตเพื่อดำรงชีวิตทางโลก เห็นไหม เพราะศาสนานี้เป็นสิ่งที่บรรเทาทุกข์ให้จิตใจมีหลักมีเกณฑ์เพื่อดำรงชีวิต แต่ผู้ที่เราเห็นภัยในวัฏสงสาร เราจะปฏิบัติไปให้พ้นจากทุกข์ ถ้าพ้นจากทุกข์ขึ้นมา เราทำแล้วประสบการณ์แต่ละพรรษาๆ มา พรรษาหนึ่งเรามีประสบการณ์อย่างหนึ่ง แล้วพรรษาต่อไปเราแก้ไขของเรา เราหาวิธีการของเราเพื่อจะให้ใจมันได้ประสบการณ์ของมัน

สารตั้งต้น คือคติธรรมของครูบาอาจารย์ของเรา ถ้าสารตั้งต้นคือคติธรรมของครูบาอาจารย์ของเรา เราเอาสิ่งนั้นมาเป็นสารตั้งต้น คือเป็นประเด็น เห็นไหม ทำไมครูบาอาจารย์ของเราท่านใช้คติธรรมแบบนี้ แล้วทำไมท่านมีหลักมีเกณฑ์ของท่าน ท่านเอาคติธรรมอย่างนี้มาเป็นหลัก มาเป็นประเด็นในการฝึกหัดใช้ปัญญาของท่าน แล้วพอฝึกหัดใช้ปัญญาของท่านไป ปัญญามันจะย้อนกลับมา ทวนกระแสกลับมาสู่ใจของท่าน ใจนั้นมันสำรอก มันคายทิฏฐิมานะของมัน มันก็เปิดกว้างขึ้นมา

เขาจะตีเหล็ก ถ้ามันมีเหล็กของมัน มันมีตบะธรรมที่ไปแผดเผาของมัน ถ้าเหล็กมันร้อนๆ ขึ้นมา การตี ตีขึ้นมาเป็นประโยชน์ การใช้สอยในการดำรงชีวิต ในการประพฤติปฏิบัตินะ ถ้ามีคติธรรมของครูบาอาจารย์มาเป็นคติธรรม ไม่อย่างนั้นมันจะน้อยเนื้อต่ำใจนะ ปฏิบัติแล้วทำไมมันไม่ได้ผล ปฏิบัติแล้วทำทุกอย่างทุกข์ยากมาขนาดนี้ ทำทุกข์ยากมาแล้วมันต้องมีผลตอบแทนสิ แล้วผลตอบแทนไม่เห็นมีสักทีเลย

ผลตอบแทนอย่างนี้เพราะอะไร เพราะกิเลสมันบังเงา มันบังเงาว่าเราปฏิบัติ เราเป็นนักรบ เราปฏิบัติ เราทำคุณงามความดี คุณงามความดี ทำดีต้องได้ดี แล้วดีทำไมมันไม่ให้เห็นผลความดีเราสักทีหนึ่ง...ดีโลก ดีโลกมันต้องการให้คนตบมือ เด็กน้อย ทารกเด็กน้อย มันทำสิ่งใดเราชม โอ้โฮ! เด็กมันยิ้มแย้มแจ่มใส มันดีใจหมดเลย นั่นมันเป็นเรื่องของทารก

แต่ผู้ใหญ่เขาทำมาหากิน เขาทำของเขา ถ้าผลของมันมันสำเร็จขึ้นมา เขาจะรู้ผล สินค้าของเขาทำสำเร็จรูปขึ้นมาแล้วมีคนอยากได้ มีคนประมูลแย่งชิงกัน เห็นไหม สิ่งนี้สังคมเขาต้องการ นี่มันเกิดมาจากอะไร? เกิดจากเราวิจัย เกิดจากเรามีการกระทำ เราลองผิดลองถูกมาจนมาเป็นสินค้าที่โลกเขาสนใจ เขาอยากได้ของเขา เขาประมูลของเขา เขาต้องแย่งชิงของเขา นี่เวลาเราประพฤติปฏิบัติขึ้นมา พอจิต เราทำของเรา เวลามันทุกข์มันยากขึ้นมา มันทารกน่ะ มันเริ่มต้นฝึกหัดใจของเราให้มีหลักมีเกณฑ์ของเราหรือเปล่า

แต่จิตใจเราพอมีหลักมีเกณฑ์ เราโตขึ้นมา เรามีสติมีปัญญาของเรา พอเราทำของเรา ทางโลกเขา เวลาเขาทำวิจัยของเขา เขาพยายามทำเพื่อเป็นสินค้าของเขา เขาทำเป็นทางโลกของเขา จิตใจของเรา ถ้าเรามีสติปัญญาของเรา จิตใจของเรา ถ้าเราจับกาย จับเวทนา จับจิต จับธรรมได้ตามความเป็นจริง คือจิตมันรู้มันเห็นนะ จิตจริงๆ สมาธิจริงๆ สัมมาสมาธิ ถ้ามันจับต้องได้ มันเป็นความจริง

ดูสิ เราจับไฟก็รู้ว่าไฟ มันร้อน เราจับน้ำแข็ง น้ำแข็งเรารู้ว่าน้ำแข็งมันเย็น จิตใจถ้ามันจับต้องได้ มันรู้มันเห็นของมันน่ะ ถ้ามันเย็นมันก็เย็นจริงๆ ร้อนมันก็ร้อนจริงๆ ถ้ามันเป็นความจริงขึ้นมา มันมีผลไง มันไม่ใช่ว่าจินตนาการ ไม่ใช่บิดเบือนมัน บิดเบือนมันแล้วก็สิ่งนี้เป็นที่เรารู้เราเห็น สิ่งนั้นมันเป็นความจริงของเรา นี่ความจริงอย่างนั้นมันเป็นความจริงเทียม

ความจริงเทียม ดูสิ ดูในลิขสิทธิ์ เขาผลิตสินค้ามาอย่างหนึ่ง เราไม่ต้องทำสิ่งใดเลย เราไม่เคยวิจัยสิ่งใดเลย เราก็อปปี้ๆ ออก เราไปขาย เราขายครึ่งราคา ของเรามีแต่ได้กับได้ นี่ก็เหมือนกัน ศึกษาธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นผู้รื้อค้นขึ้นมา “อานนท์ ไม่มีกำมือในเรานะ”

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแบไว้หมดเลย ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแบไว้หมดเลย เรายังทำไม่ได้เลย ทางโลกเขา ความลับทางการค้าเขาปิดบัง เขาไม่ให้รู้นะ เพราะสิ่งนี้เป็นความลับของเขา แต่เวลาเป็นสินค้ามาแล้ว เขาก็ซื้อสินค้านั้นน่ะไปแกะ ไปลอกเลียนมาทำให้เหมือน เพื่อต้องการประโยชน์ไง เห็นไหม กิเลสมันฉลาดกว่านั้น เพราะนั่นมันเป็นเรื่องโลกๆ เรายังต้องมีการลงทุน ต้องการตลาด ต้องการสิ่งมาตอบแทน แต่ในใจของเรามันคิดได้หมดเลย มันสร้างอะไรก็ได้ มันจินตนาการอะไรก็ได้ แล้วพอจินตนาการได้นะ มันจินตนาการว่าเป็นธรรมของมันไง ทั้งๆ ที่ก็อปปี้มาทั้งนั้นเลย เห็นไหม เวลากิเลสมันบิดธรรมนะ มันบิดแล้วเราก็เชื่อ เราเชื่อของเราเอง มันบิดเบือนของเราแล้วเรายังเชื่อของเรา เราบิดเบือนให้มันเป็นความจริงขึ้นมา แล้วมันเป็นความจริงไหม

นี่พรรษาหนึ่งหมดไป มันเป็นจริงไหมล่ะ ถ้าหัวใจเราเป็นจริง หัวใจเราไม่บิดเบือนหรอก ถ้าไม่บิดเบือนนะ ปัจจัตตัง สันทิฏฐิโก มันเป็นความจริงทั้งนั้น ถ้าความจริงทั้งนั้น นี่ความจริงของเราไง ธมฺมสากจฺฉา เอตมฺมงฺคลมุตฺตมํ การสนทนาธรรมเป็นมงคลอย่างยิ่ง ถ้ามันเป็นสัจจะความจริงนะ ใครพูด ผู้ใหญ่หรือเด็กพูดมันก็เหมือนกัน เด็กรู้เด็กก็พูดได้ ถ้าเด็กมันรู้จริงๆ นะ มันไปรู้ไปเห็นตามความเป็นจริงนะ มันพูดหมดเลย แต่ถ้าคนไม่รู้ ผู้ใหญ่ไม่รู้ เด็กมันรู้มาก่อนมันยังพูดตามความเป็นจริง ผู้ใหญ่ดุเอา ผู้ใหญ่เอ็ดเอานะ “พูดไม่ได้ หนูพูดนี่ หนูรู้ได้ยังไร”

“อ้าว! ก็หนูเห็นจริงๆ นะ ก็หนูเห็นมาอย่างนั้นน่ะ”

เห็นไหม เด็กมันรู้มันก็พูดได้ ผู้ใหญ่รู้ผู้ใหญ่ก็พูดได้ สัจธรรมอันเดียวกัน ทำไมจะพูดกันไม่ได้ แต่ถ้ามันพูดกันแล้วมันก็เหมือนกันน่ะ แล้วมันเหมือนอย่างไรล่ะ

ถ้ามันไม่บิดเบือนนะ เพราะเราบิดเบือน เราถึงว่ามันเป็นความจริงของเรา นี่เราบิดเบือน แล้วไม่เปิดเผย ความเปิดเผย ถ้ามัน ธมฺมสากจฺฉา เอตมฺมงฺคลมุตฺตมํ เป็นมงคลอย่างยิ่ง สมัยหลวงปู่มั่น เวลาครูบาอาจารย์ออกไปวิเวกกลับมานะ กลับมาจะมารายงานหลวงปู่มั่น สิ่งใดถ้าเป็นเรื่องส่วนบุคคล ส่วนตน เป็นประโยชน์กับเขา หลวงปู่มั่นจะแก้เลย แล้วที่เหลือเก็บไว้ ประชุมสงฆ์ พอประชุมสงฆ์เท่านั้นท่านเทศน์เลย พอเทศน์ออกมาทุกคนจะได้ประโยชน์

บุคคลคนหนึ่ง พระองค์หนึ่งออกมาจากป่า มีความขัดข้องในใจของท่าน ท่านก็จะมารายงานหลวงปู่มั่น หลวงปู่มั่นท่านจะแก้ไขให้พระองค์นั้น แล้วยังเป็นประโยชน์เจือจานให้กับพระในวัดนั้นได้ประโยชน์อีกต่างหาก ได้เป็นประโยชน์เพราะอะไรล่ะ เพราะเขาไปทำของเขามา เขาขัดข้องมา เขาติดขัดมา นี่มันทำตามความเป็นจริง เห็นไหม เพราะกิเลสมันไม่บิดเบือนไง ถ้ามันบิดเบือนมันก็ต้องบอกเราเป็นจริงๆ มาของเรา พอเป็นจริงของเราขึ้นมา สิ่งนั้นเป็นธรรมๆ มันก็เป็นธรรมอยู่คนเดียวนั่นไง มันไม่เป็นธรรมน่ะ

สินค้าของเรา เราไม่กล้าออกมาวางตลาดเหรอ อ้าว! วางไม่ได้น่ะ เพราะลิขสิทธิ์เขามีอยู่แล้ว เจ้าของเขามีหมดเลย วางมาปั๊บ...ไอ้นี่ลอกเลียนแบบ โดนจับต่างหากล่ะ แต่ถ้ามันไม่เป็นความจริงของเรา เราวางปั๊บ โอ้โฮ! นี้เป็นสินค้ารุ่นใหม่ นี้เป็นสิ่งที่ในท้องตลาดไม่มีเลย เขาตื่นเต้น เขาอยากได้ ทุกคนมารุมล้อม ทุกคน โอ๋ย! อันนี้เป็นของประเสริฐ ถ้าเป็นความจริงขึ้นมา ความจริงก็คือความจริง นี่ไง ถ้ามันไม่บิดเบือน มันองอาจกล้าหาญ มันเข้าได้ทุกสถานที่นะ

แต่ถ้ามันบิดเบือน มันไม่เป็นความจริง มันบิดธรรมมาเลยล่ะ บิดตั้งแต่ธรรม แล้วผู้ประพฤติปฏิบัติธรรมมันจะเป็นความจริงไหม บิดธรรมคือบิดทฤษฎี บิดเบือนตั้งแต่เริ่มต้น ตั้งแต่หัวใจมันบิดเบือน แล้วออกมามันจะจริงไหม ถ้ามันไม่จริงมันก็ไม่ ธมฺมสากจฺฉา น่ะสิ มันไม่ เอตมฺมงฺคลมุตฺตมํ แล้ว มันไม่เป็นมงคล ถ้าเป็นมงคล เป็นมงคลกับเราเพื่อประโยชน์กับเรานะ ถ้าเพื่อประโยชน์กับเราก็ประโยชน์กับสังคม ประโยชน์กับศาสนา

เพราะว่าศาสนทายาท เวลาครูบาอาจารย์ของเราท่านฝึกท่านฝนเราก็เพื่อศาสนทายาท เห็นไหม การส่งต่อมาตั้งแต่สมัยองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจนปัจจุบันนี้ สงฆ์ไม่เคยขาดวรรคขาดตอนนะ ถ้าสงฆ์ขาดตอนนี่จะบวชพระไม่ได้ ในสังคมของศรีลังกา สมัยที่เป็นเมืองขึ้นก็มีเฉพาะสามเณร ทั้งเกาะมีสามเณรอยู่องค์เดียว เห็นไหม เวลาเขาต้องการฟื้นฟู เขาต้องเอาสยามวงศ์ เอาพระจากเรานี่ ๕ องค์ไปบวชกันขึ้นมา พอบวชขึ้นมาก็เป็นสงฆ์ต่อเนื่องกันมา ตั้งแต่สมัยพุทธกาลมาพระสงฆ์โดยสมมุติสงฆ์ไม่เคยขาดนะ แล้วเวลาสมัยหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นของเรา ท่านพยายามรื้อค้นของท่านขึ้นมา ถ้าท่านไม่พยายามรื้อค้นของท่านขึ้นมา ท่านจะรู้จริงในหัวใจของท่านได้ไหม ถ้าไม่รู้จริงในหัวใจของท่าน ท่านจะแก้หัวใจของคนอื่นได้อย่างใด

ในเมื่อหัวใจของคนอื่น ดูสิ ความรู้สึกนึกคิดนี่ มันคิดไปแปลกประหลาดมหัศจรรย์ขนาดไหน มันคิดยอกย้อน มันคิดบิดเบือน มันคิดแถ มันคิดออกนอกลู่นอกทางไปทั้งนั้นน่ะ แล้วถ้าคนที่ไม่รู้ทันกับความรู้สึกนึกคิดนี่ ท่านจะเอาสิ่งใดมาตามความรู้สึกนึกคิดอย่างที่เราคิดกันอยู่นี่ให้เท่าทัน

ฉะนั้น ท่านทำของท่านมา เพราะท่านทำของท่านมา ท่านถึงรู้ใจของท่าน เห็นไหม ศาสนทายาท องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเวลาเทศนาว่าการก็เพื่อประโยชน์อย่างนี้ เพื่อความมั่นคงของศาสนา เพื่อความศรัทธา ผู้ที่ศรัทธาแล้วให้ศรัทธามากขึ้น ผู้ที่ไม่ศรัทธาให้มาศรัทธาในศาสนา คำว่า “ศรัทธา” คือความเชื่อ ถ้าจิตดวงใดมีความศรัทธามีความเชื่อ เขาก็จะค้นคว้าของเขา

แต่ชาวพุทธเรา ถ้ามีศรัทธาไหม? ศรัทธา ศรัทธากิเลสไง ศรัทธาทิฏฐิมานะของตัวไง ศรัทธาว่าตัวเองเป็นชาวพุทธไง ชาวพุทธเขาต้องทำอย่างนั้นๆ เขาไม่รู้เลยว่ากิเลสในใจของเขาได้บิดเบือนธรรมะออกไปจากหลักการแล้ว แล้วเขาก็เชื่อตามความเชื่อของเขาไป เห็นไหม ความเชื่อไม่สามารถชำระกิเลสได้ แต่ความเชื่อนี้เป็นการดึงเราเข้ามาสู่ศาสนา พอดึงเข้าสู่ศาสนา ศาสนามันมีตั้งแต่เปลือก มีกระพี้ มีแก่น เห็นไหม เราจะได้สิ่งใด

โลกเขาบอกเขามาวัดมาวานี่ เขาทำบุญกุศล เขาก็เป็นชาวพุทธสมบูรณ์แบบของเขาแล้ว แต่ถ้าคนมีความลึกซึ้งมากกว่านั้น เขาก็จะประพฤติปฏิบัติของเขา เขาอยากได้ศีล สมาธิ ปัญญา สัจธรรมที่ความเป็นจริง อริยสัจ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค มรรคญาณ แล้วเวลาประพฤติปฏิบัติขึ้นไปแล้ว จากจิตใจที่เศร้าหมอง จิตใจที่ขุ่นมัว จิตใจที่มีความสะสมในหัวใจ เวลามรรคญาณมันชำระล้าง นี่ธรรมจักร จักรนี้มันได้เคลื่อนมาทำความสะอาดในใจ ใจดวงนั้นมันจะละทิ้งสังโยชน์ไปเป็นโสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี ถึงสิ้นกิเลสได้

เห็นไหม ในการประพฤติปฏิบัติ จิตใจดวงหนึ่งมันเปลี่ยนแปลงไปได้มากมายขนาดนั้น แต่ถ้ามันยังไม่เข้าถึงสัจธรรม นี่มันโดนกิเลสบิดธรรม ถ้าบิดธรรมไปแล้วเราก็ล้มลุกคลุกคลาน เราต้องมีสติมีปัญญาทบทวน อย่าเพิ่งเชื่อ อย่าเชื่อสิ่งที่เรารู้เราเห็น เราต้องทดสอบตรวจสอบเพื่อเป็นความจริงขึ้นมา ถ้าเป็นความจริงขึ้นมา เราเองนั่นล่ะจะเป็นผู้ปลอดภัย ปลอดภัยจากกิเลสไง ปลอดภัยจากพญามาร ปลอดภัยจากยักษ์จากมารที่มันมีอำนาจเหนือภวาสวะ เหนือภพ เหนือปฏิสนธิจิตของเรา ถ้าใครมีสติปัญญาอย่างนั้น เวลาแก้ไขรื้อภพรื้อชาตินั้น สิ่งนั้นเป็นผู้ประเสริฐ

ในธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่า “ในมนุษย์ทั้งหลาย ในบรรดาสัตว์สองเท้า เราตถาคตประเสริฐที่สุด” เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นศาสดา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าชำระกิเลสในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วเป็นผู้วางธรรมและวินัยนี้ให้เราก้าวเดิน

“ในบรรดาสัตว์สองเท้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประเสริฐที่สุด”

เอวัง