เทศน์พระ

ถอนพิษ

๑๓ พ.ย. ๒๕๕๕

 

ถอนพิษ
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

เทศน์พระ วันที่ ๑๓ พฤศจิกายน ๒๕๕๕
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ตั้งใจฟังธรรม ฟังธรรม ธรรมะถ้าเข้าสู่หัวใจ หัวใจจะเบิกบานนะ เวลาฟังธรรมถ้าธรรมสะเทือนใจนี่ขนลุกขนพองเลย เวลาฟังธรรมมันสะเทือนใจ ถ้าสะเทือนใจ เห็นไหม จิตใจนี้มีโอกาสที่จะแก้ไข แต่ถ้าฟังธรรมนะ เวลาฟัง นี่น้ำรดหัวตอไง ถ้าน้ำรดหัวตอ ถ้ารดแล้วมันไม่มีสะเทือนสิ่งใดเลย เห็นไหม นั่นล่ะจิตใจเราหยาบเรากระด้าง เพราะธรรมะเป็นของละเอียดอ่อน

เวลาคำพูดคำจา โลกเขาพูดกัน เวลาเขาด่ากัน เขาถากถางกันอันนั้นน่ะเป็นโลก แต่เวลาเป็นธรรมนะ เวลาธรรมนี่พูดเป็นธรรมะ ธรรมะมันขัดแย้งกับกิเลส เวลาขัดแย้งกับกิเลสมันทิ่มเข้ามาในหัวใจของเรา กิเลสมันสะเทือนไง ถ้ากิเลสมันสะเทือน นี่ขนพองสยองเกล้า ถ้าขนพองสยองเกล้า เรามีโอกาสแก้ไข แก้ไขเพราะว่า เราเกิดมานะ เราเกิดมากับอวิชชา อวิชชาพาเกิดพาตาย แต่การเกิดการตาย คำว่าอวิชชาๆ อวิชชามันก็มีประโยชน์ของมัน ประโยชน์ของมัน เห็นไหม ดูสิกุศล อกุศล เวลาเป็นอกุศลเป็นความผิดพลาด กุศลทำไมเราต้องใช้มันล่ะ

นี่ก็เหมือนกัน เวลาอวิชชาคือความไม่รู้ ถ้าความไม่รู้นี่ทำสิ่งที่ไม่ดีมันก็เป็นบาปเป็นกรรมไป ถ้าความไม่รู้ไปทำสิ่งที่ดี ไม่รู้ไปทำสิ่งที่ดีได้หรือ? นี่มีมากที่คนเขาไปใส่บาตรกับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วยประเพณีวัฒนธรรม แล้วเขาได้บุญกุศลไปเกิดเป็นเทวดานะ เวลาไปเกิดเป็นเทวดาก็ไปเป็นพาลบนสวรรค์นั่นไง ถ้าเทวดาพาลน่ะมันสร้างแต่ความขัดแย้งไปบนสวรรค์ทั้งนั้นแหละ แต่ถ้าเทวดาเขาเป็นธรรม เห็นไหม กุศล อกุศลไง

เวลากุศล ทำให้เป็นกุศล กุศลมันต้องให้ผลเป็นคุณงามความดีทั้งนั้นแหละ ทั้งๆ ที่ไม่รู้ แต่ความไม่รู้อันนั้นมันเจตนา เจตนามันเข้าไม่ถึงหัวใจ ความเจตนาของเขา เจตนานี่เป็นอามิส สิ่งที่เป็นอามิสคือการกระทำ โลกนี้เป็นอามิส สิ่งที่ทำแล้วกุศลมันก็ส่งเสริมกันไป เห็นไหม นี่อามิส เวลาทำบาปอกุศลมันก็ให้โทษกับใจดวงนั้น ถ้าใจดวงนั้น แต่ถ้ามีสติปัญญาล่ะ ถ้ามีสติปัญญา นี่เวลาทำขึ้นมามันมีศีล สมาธิ ปัญญา

ถ้ามีศีล ศีลคือความปกติของใจ ถ้าใจปกตินี่มันมีสติปัญญาของมัน มันปกติมันก็รู้ตัวว่าปกติ ถ้าไม่ปกติมันก็ฟุ้งซ่านออกไป แต่นี่ฟุ้งซ่านออกไปก็ไม่รู้ตัว ปกติก็ไม่รู้ตัว นี่ถ้าไม่รู้ตัว สติ สมาธิ ปัญญา ถ้ามีสติ สมาธิ ปัญญา นี่มันเข้ามาที่นี่ มันแก้กันปัจจุบันที่นี่ แก้ไขปัจจุบันที่นี่มันเป็นธรรม เป็นธรรม เป็นสัจธรรม

สัจจะ อริยสัจจะ สัจจะคือความจริง นี่จริงตามสมมุติ โลกเขามีของเขาอยู่แล้ว จริงตามสมมุติ แต่อริยสัจล่ะ นี่อริยสัจ เห็นไหม สัจจะ อริยสัจจะ อริยสัจจะมันเป็นความจริงกับใจดวงนี้ มันยืนยันกับใจดวงนี้ กิเลสไม่มีทางโต้แย้ง กิเลสหาทางโต้แย้งกับความเป็นจริงไม่ได้ แต่ในปัจจุบันนี้ความเป็นจริงที่เป็นธรรมะนี่กิเลสมันโต้แย้งไหม? มันโต้แย้ง ไม่เชื่อนรก สวรรค์เชียวล่ะ มันไม่เชื่อว่าทำความดีจะได้ความดีหรือ

นี่ทำความดี เห็นไหม ทำดีได้ดีมีที่ไหน ทำความชั่วได้ดีมีถมไป...นี่ทำชั่วได้ดี ทำชั่วได้ดีมาจากไหน อันนั้นมันเป็นพาล มันเป็นพาลมันทำของมันด้วยความเป็นพาลของเขา ถ้าความเป็นพาลของเขา โลกของหมู่พาล หมู่พาลมันก็สรรเสริญเยินยอกันไป แต่ความเป็นจริง เห็นไหม ความเป็นจริงเขาก็รู้อยู่ว่าทำผิดหรือทำถูก หัวใจนี้มันรู้ทั้งนั้นแหละ ถ้าหัวใจมันรู้ขึ้นมามันมีสติปัญญานะ

เวลาคนเราเจ็บไข้ได้ป่วย โดนสารพิษอะไรต่างๆ เข้าไป นี่ถ้าโดนสารพิษต่างๆ เข้าไป ในกรรมฐานเรามันมีรางจืดๆ รางจืด เห็นไหม เวลากินอาหารเป็นพิษเข้าไปนี่กินรางจืดเข้าไปให้มันคายพิษออกมา เวลาคนเราโดนสารพิษขึ้นมาเขายังต้องแก้ไขเลย เวลาเจ็บไข้ได้ป่วยไปหาหมอ หมอเขาก็รักษาตามอาการนั้น นี่ไงเพราะต้องถอนความเป็นพิษนั้น นี่ความเป็นพิษในหัวใจเขาต้องถอดต้องถอนมัน สิ่งที่ในหัวใจนั้นเป็นอวิชชา

แต่ถ้าความเป็นพิษทางโลกล่ะ ถ้ามันมีพิษไข้ขึ้นมา เห็นไหม เวลาพิษไข้ขึ้นมาเขาก็รักษาไปตามนั้น ขนาดว่าทางวิทยาศาสตร์เขาคิดขนาดที่ว่าวัคซีนป้องกันทุกๆ โรค คอตีบ ไอกรน วัณโรค มีวัคซีนป้องกันทั้งนั้นแหละ ถ้าเขามีวัคซีนป้องกัน แล้ววัคซีนป้องกันเอามาจากไหนล่ะ? ก็เอาจากเชื้อโรคนั่นล่ะ เอาจากเชื้อโรคมาปลูกถ่าย มาสร้างสม มาทำเป็นวัคซีน เห็นไหม นี่เวลาสารพิษของงู เวลางูพิษกัด เซรุ่มเขาก็เอามาจากงูพิษนั่นแหละ เอามาเป็นเซรุ่ม เอามาเป็นวัคซีนป้องกันโรคให้คนนั้นปลอดภัย นั้นทางโลกเขาคิดของเขากันนะ

แต่เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านะ เวลาตรัสรู้ขึ้นมา สร้างสมคุณงามความดีเป็นพระโพธิสัตว์ๆ ความอยาก ความอยากเป็นกิเลสไหม นี่ความอยากเป็นกิเลส ถ้าความอยากเป็นมรรคล่ะ ถ้าสิ่งที่เป็นประโยชน์ๆ เป็นมรรค สร้างคุณงามความดีมาอยากพ้นทุกข์ๆ อยากพ้นทุกข์มาก สร้างสมบุญญาธิการมาเป็นพระโพธิสัตว์ นี่สร้างคุณงามความดีมาตลอด แล้วคุณงามความดีสร้างมานี่มันไม่ท้อไม่ถอยบ้างเลยหรือ

เวลาคนปรารถนาเป็นพระโพธิสัตว์แล้วไปถึงเป้าหมายมันมีกี่องค์ล่ะ ถึงที่สุดแล้วนะลาโพธิสัตว์ ขอให้บรรลุธรรมเอาแค่พ้นทุกข์ก็พอแล้ว ถ้าพ้นทุกข์เป็นไปได้นะ ทำให้ได้ตามความเป็นจริง แล้วอย่างเราล่ะ อย่างเราเกิดมานี่เรามีอำนาจวาสนาไหม ถ้าเราไม่มีอำนาจวาสนา เราจะมีความสนใจ ความเชื่ออย่างนี้ไหม

ถ้ามีความสนใจ มีความเชื่อ กระแสสังคมใช่ไหม โลกเขาเชื่อตามกระแสสังคม สังคมตอนนี้กำลังเห่อ เห่อในการปฏิบัติ คำว่าเห่อนะ เห่อเพราะทำเป็นพิธีกรรมตามๆ กันไป แต่ถ้าเราไม่ได้เห่อล่ะ เราเห็นโทษของมัน เราเห็นโทษนะ เวลาเราศึกษาธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เห็นไหม นี่การเกิดและการตายเป็นทุกข์อย่างยิ่ง ชาติปิ ทุกฺขา ถ้ามีชาติ มีการเกิดมันก็มีความทุกข์ตามมา ถ้ามีความทุกข์ตามมานะ ความทุกข์ตามมานั้นเป็นเรื่องอริยสัจ เรื่องเวลาแสดงสัจธรรมกับนักปฏิบัติด้วยกัน

แต่เวลาทางโลกเขาล่ะ กามคุณ ๕ เวลาเขาเกิดมา เห็นไหม เกิดมาเพื่อชาติ เพื่อตระกูล เกิดมาเพื่อส่งเสริมกัน เกิดมาเพื่อสร้างคุณงามความดีกัน นี่จริงตามสมมุติ จริงตามผลของวัฏฏะ วัฏฏะมันเวียนเกิดเวียนตาย เพราะมันมีเวรกรรม มันเวียนเกิดเวียนตายของมันไป เราก็เกิดจากวัฏฏะ เราก็เกิดจากโลกนี่แหละ เราก็เกิดมาในโลกนี้เพราะเรามีอวิชชา เรามีความไม่รู้ เราก็เกิดมา เราสร้างคุณงามความดีของเรา เราเกิดมาเป็นมนุษย์ แล้วพอพบพุทธศาสนาขึ้นมา เรามีสติมีปัญญามากกว่านั้น เรามีสติปัญญามากกว่านั้นเพราะว่าโลกเขาทุกข์เขายากกันเพื่อหาอยู่หากิน ทุกข์ยากมันก็เป็นเรื่องปกติธรรมดาของโลกเขา นี่จริงตามสมมุติ

แล้วอริยสัจล่ะ อริยสัจ จริงตามสัจธรรมล่ะ

อริยสัจ เห็นไหม จะถอนพิษ พิษไข้ในใจ ถ้าเราถอนพิษไข้ในใจของเรา นี่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าวางธรรมและวินัยนี้ไว้ วางธรรมวินัยไว้ให้นักปฏิบัตินะ ภิกษุผู้เฒ่าเวลาบวชสมัยพุทธกาลจะไปเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าขอกรรมฐาน แล้วเข้าป่าไป นี่เข้าป่าไปเพื่อประพฤติปฏิบัติขึ้นมานะ เวลาปฏิบัติถ้าเป็นความจริงก็เป็นความจริง เวลาออกจากป่ามาก็จะมาเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่าปฏิบัติมาถูกต้องหรือไม่ เวลาปฏิบัติไปแล้วมันได้ผลหรือไม่ได้ผล แก้ไขกันไปตามข้อเท็จจริงนั้น

นี่ก็เหมือนกัน เวลาเราเกิดมานี่เราเกิดมาพบพุทธศาสนา นี่ถ้าเราเกิดมานะเราได้บวช ได้เรียน เห็นไหม ได้บวช ได้เรียน ถ้าบวชเป็นประเพณีก็เป็นประเพณี เพราะว่าพ่อแม่ก็ปรารถนาดีกับลูก พ่อแม่ก็อยากให้ลูกมีวิชาการ นี่วิชาการทางโลกเขาได้ศึกษามาเป็นวิชาชีพ แต่เวลาบวชเป็นพระขึ้นมา นี่ศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเพื่อเป็นบัณฑิตๆ บัณฑิตเพื่ออะไร? บัณฑิตเพื่อรู้เท่าทันชีวิตของเรา เวลาเราศึกษามาแล้ว ออกไปแล้วจะได้ไม่มีคนมาจูงจมูกเราไป

มิตรเทียม คนเทียมมิตร มิตรแท้ มิตรเทียม นี่เราอยู่ในสังคมมันต้องมีอย่างนั้นแหละ พอเป็นทิศขึ้นมาต้องบริหารทิศของเรา เห็นไหม ทิศบน ทิศเบื้องบนเป็นทิศของครูบาอาจารย์ของเรา ทิศเบื้องหน้าเป็นพ่อแม่ของเรา ทิศเบื้องซ้าย เบื้องขวา เพื่อน หมู่คณะ สิ่งที่เราออกไปในสังคม เราจะบริหารชีวิตเราอย่างไร

นี่ไงถ้าเป็นบัณฑิตมาศึกษา ถ้าศึกษาขึ้นมา ศึกษาธรรมะมาเพื่อเป็นคนสุก จากดิบๆ ให้มันสุกขึ้นมา สุกขึ้นมาเพื่อจะรู้เท่าขึ้นมา แล้วมันสุกจริงหรือเปล่าล่ะ? มันก็ยังดิบๆ สุกๆ อย่างนั้นแหละ ดิบๆ สุกๆ เพราะว่าสติปัญญามันเอาใจของตัวเองไว้ไม่อยู่ ถ้าสติปัญญาเอาตัวเองไม่อยู่มันก็ไหลไปตามโลกอยู่วันยังค่ำนั่นล่ะ ถ้าไหลไปตามโลก เพียงแต่ว่ามันมีเครื่องปูนหมายป้ายทาง คือมาศึกษาว่าเป็นบัณฑิตๆ ขึ้นมา เห็นไหม นี่บวชตามประเพณี

แต่ถ้าเราบวชเรียนมาแล้วเราอยากจะพ้นจากทุกข์ล่ะ เราจะพ้นจากทุกข์ ถ้าพ้นจากทุกข์ นี่คนเราจะล่วงพ้นทุกข์ด้วยความเพียร ความเพียร ความวิริยะ ความอุตสาหะ มันจะถอดถอนพิษไข้ ถอดถอนอวิชชาในหัวใจ ถ้ามันจะถอดถอนอวิชชาในหัวใจ มันจะทุ่มเทขนาดไหน คนเรานะถ้ามีสัจจะ มีศรัทธาความเชื่อ มันจะทุ่มเท ความทุ่มเทในการกระทำ ทุ่มเทไปแล้วมันจะถูกไหมล่ะ ทุ่มเทผิดมันก็จะผิดของมัน มันต้องทดสอบของมันไป ทดสอบของการประพฤติปฏิบัตินี่นะ

การทดสอบ นี่ถ้าทำความสงบของใจเข้ามา เวลาถ้าใจมันสงบเข้ามาด้วยความเป็นส้มหล่น เห็นไหม ส้มหล่นเวลาปฏิบัติธรรมขึ้นมานี่มันสงบได้ โดยธรรมชาติพระอาทิตย์ขึ้น พระอาทิตย์ตก นี่พระอาทิตย์ขึ้น พระอาทิตย์ตก ถ้าบอกว่าพระอาทิตย์ขึ้นแล้วไม่เคยตก โลกมันหมุนไปเท่านั้นเอง แต่ในเมื่อเราสมมุติกันว่าพระอาทิตย์ขึ้นก็พระอาทิตย์ตก เห็นไหม เวลาพระอาทิตย์ขึ้นมันก็เช้า เวลาตกก็ล่วงเย็นไปก็เป็นกลางวัน กลางคืน

นี่ก็เหมือนกัน เวลาความรู้สึกนึกคิดเราปฏิบัติไป นี่กลางวัน กลางคืน กลางวัน กลางคืนมันตกไปธรรมชาติของมัน กลางวัน กลางคืนมันเกิดดับไง นี่เวลากิเลสมันเกิด ความฟุ้งซ่านในหัวใจมันเกิดธรรมดา มันก็ต้องดับเป็นธรรมดา มันเกิดแล้วมันจะอยู่อย่างนี้ต่อไปไม่ได้หรอก แต่เพราะกิเลสของเรา ด้วยความไม่รู้ของเรา เห็นไหม ไปกระตุ้นมันไง มันไม่พอใจมัน ไปสงสัยมัน ไปเขี่ยมัน ไปคุ้ยมัน มันก็อยู่กับเรานาน พระอาทิตย์ขึ้นแล้วมันค้างฟ้า พระอาทิตย์ขึ้นแล้วไม่ตก

ความทุกข์เกิดขึ้นมากับใจขึ้นมาแล้วมันไม่ลดสักที มันค้ำอยู่กลางหัวใจ ทำไมพระอาทิตย์ขึ้นก็ต้องพระอาทิตย์ตกสิ มันต้องเกิด ทุกอย่างเกิดขึ้น ทุกอย่างต้องดับไปสิ นี่มันต้องดับไปเป็นธรรมดาอยู่แล้ว ถ้ามันดับไปเป็นธรรมดาอยู่แล้ว นี่โดยธรรมชาติเป็นแบบนั้น แต่ธรรมชาติวันนี้ทำไมมันยาวนัก เวลาความทุกข์มันสะสมอยู่ในใจ มันกัดหนองในใจทำไมมันไม่ตกสักที

ไม่ตกสักทีเพราะกิเลสมันกระตุ้นไง เห็นไหม เราจะถอนพิษ แต่เวลาปฏิบัติไปแล้วมันถอนไหมล่ะ ทำไมมันไปส่งเสริม ไปขุดคุ้ยให้มันกระจายไปทั่วล่ะ ในการปฏิบัติ ถ้าไม่ปฏิบัติเราก็ไม่ทุกข์ขนาดนี้ ธรรมดาเราก็มีความสุขพอสมควร เวลาปฏิบัติทำไมมันทุกข์มากขึ้นไปกว่าเก่านั่นน่ะ นี่เวลาปฏิบัติไปแล้วนี่กิเลสซ้อนกิเลส ตัณหาซ้อนตัณหา

ถ้าตัณหาซ้อนตัณหานะ นี่ตัณหาซ้อนตัณหาเราจะถอนพิษไข้ กินของแสลงเข้าไปทำไมพิษมันลุกลามขนาดนี้ กิเลสมันลุกลามในหัวใจ มันเหยียบย่ำหัวใจจนทุกข์ยากขนาดนั้น พุทโธ พุทโธ พุทโธ ปัญญาอบรมสมาธิไปถ้ามันสงบลงได้ เห็นไหม มันสงบลงได้ นี่ศีล สมาธิ ปัญญา ถ้าปัญญามันไม่เท่าทัน มันสงบลงได้ เห็นไหม นี่ส้มหล่น

คำว่า “ส้มหล่น” ส้มหล่นคือมันไม่มีสติ ไม่มีปัญญา ไม่มีการรักษา ไม่มีการดูแล นี่ถ้ารักษาด้วยความผิดพลาด รักษาด้วยความไม่ใช่ความถูกต้องดีงาม แต่มันก็สงบลงได้ เพราะพระอาทิตย์ขึ้นแล้วพระอาทิตย์ก็ต้องตกไง เพราะมันเกิดแล้วมันต้องดับไง ทุกข์เกิดขึ้น ทุกข์ตั้งอยู่ แล้วทุกข์ต้องดับไปไง ทุกข์เกิดขึ้น ทุกข์ตั้งอยู่ แล้วทุกข์ดับไป

พอดับไป เห็นไหม นี่ดับไปก็ดับไปด้วยความส้มหล่น ดับไปด้วยความส้มหล่นหมายถึงว่าสติปัญญามันไม่เท่าทัน ถ้าสติปัญญาไม่เท่าทัน ธรรมดามันก็เกิดดับของมันอยู่อย่างนั้นอยู่แล้ว ถ้ามันเกิดดับอยู่แล้ว มันก็ต้องทุกข์เกิดขึ้น ทุกข์ตั้งอยู่ แล้วทุกข์ดับไป พอดับไปแล้วดับไปอย่างไรล่ะ นี่เก้อๆ เขินๆ มันทำสิ่งใดไม่ได้ เห็นไหม อย่างนี้ไม่ได้ถอนพิษ

การถอนพิษ เห็นไหม ดูสิเวลาพุทโธของเรา ถ้ามันสงบเราก็รู้ว่าสงบ เวลาละเอียดเข้ามาๆ ถ้ามันสงบเข้ามา สงบแล้วเราออกฝึกหัดใช้ปัญญา นี่ใครทำ นี่ไงถ้าจะถอนพิษ คนจะถอนพิษ ดูสิเวลาเราบ่งหนาม หนามมันปักตำไปที่ไหน ถ้าเราบ่งไม่ถูกนี่เจ็บไหม เจ็บแปลบ แปล๊บๆ อยู่อย่างนั้นแหละ มันไม่โดนหนาม มันเอาออกไม่ได้ แต่ถ้าเราบ่งหนามนะ ถ้าเราถูกหัวหนาม เห็นไหม เราบ่งหนามออกจากเท้าเราได้

นี่ก็เหมือนกัน เวลาสารพิษ เวลาสารพิษนี่อวิชชา อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา สงฺขาราปจฺจยา วิญฺญาณํ ปฏิสนธิจิตมันเกิดขึ้นมากับเรา มันมีของมันแน่นอนอยู่แล้ว พิษไข้ นี่อวิชชามันอยู่กับเราอยู่แล้ว แต่เรามีศรัทธามีความเชื่อของเรา เวลาประพฤติปฏิบัติของเรา เรามีความจริงของเรา มีอำนาจวาสนาบารมี คนมีอำนาจวาสนาบารมีที่อ่อนแอ เขาก็มีความเชื่อของเขา เขาก็บอกเป็นชาวพุทธเหมือนกัน เขาก็ทำบุญกุศลของเขา เพื่อความมั่นคงในชีวิตของเขา เขาทำของเขาเพื่อเกิดเป็นเทวดา เป็นอินทร์ เป็นพรหม เขาเวียนในวัฏฏะเพราะว่านิพพานมันสุดเอื้อม สุดความสามารถของเขา

นั่นล่ะเวลาคนอ่อนแอเขาคิดได้อย่างนั้น แต่ถ้าเขามีสติปัญญาขึ้นมา มีครูบาอาจารย์เทศนาว่าการอบรมใจของเขาให้เข้มแข็งขึ้นมา เขาบอกเขาก็มีความสามารถทำได้ เขาก็มีโอกาสที่จะทำของเขาได้ ถ้าเขาทำของเขาได้ เขาทำความจริงจังของเขา ถ้าทำจริงจังของเขา นี่ไงเวลาทาน ศีล ภาวนา แล้วเรื่องของการภาวนาคือเรื่องการถอนพิษไข้ ทางโลกเจ็บไข้ได้ป่วยเขาก็ไปหาหมอ นี่เวลาเราจะกินสารพิษเข้าไปสิ่งใด ถ้ามันตกค้างในหัวใจเราก็ต้องมียาแก้ยาถอดถอนของเรา

แต่นี้ในการประพฤติปฏิบัติขึ้นมามันต้องมีสติมีปัญญาสมบูรณ์รอบคอบ มันถึงเป็นการประพฤติปฏิบัติตามความเป็นจริง แล้วเราปฏิบัติของเรา สติปัญญาเราว่าสมบูรณ์รอบคอบของเรา สมบูรณ์รอบคอบของเราด้วยสติปัญญา ด้วยอำนาจวาสนาของคน บางคน นี่บัว ๔ เหล่าไง ถ้าบัว ๔ เหล่าของเรา ถ้าสติสมบูรณ์ของเราในปัจจุบันนี้ ถ้าสติสมบูรณ์ในปัจจุบัน คำบริกรรมมันก็ชัดเจน ปัญญาอบรมสมาธิมันก็ชัดเจน พอชัดเจนขึ้นมาแล้ว ไอ้ที่กิเลสมันมายุแหย่ มันมาทำให้ลุกลามมันจะมาลุกลามได้อย่างไร

ในเมื่อคนเรามีความรู้สึกนึกคิด ในเมื่อคนเรานี่เรามีสารพิษอยู่ในตัวของเราอยู่แล้ว เรามีความไม่รู้ ทั้งๆ ที่ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าศึกษามาปากเปียกปากแฉะ แล้วเอาสิ่งนี้มาเป็นตัวกระตุ้น ถ้าเราศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาปากเปียกปากแฉะแล้ววางไว้ ปริยัตินี่วางไว้ก่อน พอวางไว้แล้วเราปฏิบัติให้ตามความเป็นจริง

ปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ นี่ปฏิเวธ ความรู้จริง ความรู้แจ้ง ถ้าความรู้แจ้งของเรา เราต้องมีการกระทำของเรา ถ้าเราทำของเรานะ เรามีสติปัญญาของเรา เห็นไหม ถ้ามีสติปัญญาเราพุทโธชัดเจนของเรา ปัญญาอบรมสมาธิของเราชัดเจน นี่ถ้ามันสงบเข้ามาเราก็รู้ว่าสงบ ถ้ามันสงบเข้ามาแล้วมันรับรู้ได้แค่นี้ เราออกฝึกหัดใช้ปัญญาเราก็ใช้ปัญญาแยกแยะของเรา ปัญญาแยกแยะในการกระทำ ในเหตุในผล ในความตั้งใจ ในความมุมานะ ในความบากบั่น

ในการกระทำของเรานี่เรามาวิเคราะห์วิจัยว่าทำไมเป็นแบบนี้ ถ้าเป็นแบบนี้เพราะเหตุใด แล้วเราจะแก้ไขของเราอย่างไร เห็นไหม ปัญญาเราพิจารณาของเราไป พอพิจารณาไปแล้ว พอมันเข้าใจสิ่งใดเราก็วาง กลับมาพุทโธต่อ กลับมาพุทโธๆ มันก็ง่ายขึ้น พุทโธมันก็ดีขึ้น พระอาทิตย์ขึ้น พระอาทิตย์ตก นี่ความทุกข์เกิดขึ้น ความทุกข์ตั้งอยู่ ความทุกข์ดับไป แต่ถ้าเราพิจารณาของเรา เราพิจารณาของเรา เราบริหารจัดการของเรา ถ้าเราบริหารจัดการของเรา เราจะถอนพิษไข้ เราจะถอน เราจะถอน

เราจะถอนคือมรรค ถ้าเราจะถอน เราว่าเราจะถอน แต่เราไม่มีมรรคเราจะเอาอะไรไปถอน เราก็ถอนของเราด้วยจินตนาการไง เราก็ถอนกัน นี่ถอนพิษๆ ถอนพิษเพราะเราเป็นนักปฏิบัติ เราจะถอนพิษในหัวใจของเรา แล้วมันจะถอนได้อย่างไร? ถอนด้วยความรู้สึกนึกคิด หนามตำเท้าอยู่นี่เราจะถอดหนามด้วยความรู้สึกนึกคิด มันจะถอนออกมาได้ไหม แต่ถ้าเรามีเข็ม เรามีของแหลม เรามีหนาม เราจะบ่งหนามในเท้าเราออก เราจะถอนพิษ เราจะถอนหัวหนามนั้นออก

นี่ก็เหมือนกัน เราจะปฏิบัติของเรา เรามีสติมีปัญญาของเรา เราไม่ใช่พระอาทิตย์ขึ้นพระอาทิตย์ตก นั่นมันส้มหล่น นั่นมันเป็นสัจจะความจริง สัจจะความจริง สิ่งใดเกิดขึ้น สิ่งใดตั้งอยู่ สิ่งนั้นต้องดับไปเป็นธรรมดา มันเป็นธรรมดา เราจะมีธรรมะหรือไม่มีธรรมะ เราจะศึกษาหรือไม่ศึกษามันก็เป็นแบบนี้ โลกมันเป็นแบบนี้ ของมันเป็นแบบนี้ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกธรรมะมันมีอยู่แล้ว เรามารู้เท่านั้นเอง

ของมันมีอยู่แล้ว แล้วองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นคนบอกเรา เราก็ศึกษามาจากธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเราก็ว่าเรารู้ๆ ไง เรารู้โดยความรู้สึกนึกคิดของเรา แต่มันไม่เป็นความจริงของเรา เห็นไหม ถ้าไม่เป็นความจริงมันก็ถอนพิษไข้นั้นไม่ได้ ถ้าถอนพิษไข้นั้นไม่ได้มันก็คร่อมตอนั้น คร่อมสารพิษนั้น ความรู้สึกคร่อมกับชีวิตของเราไปอย่างนั้น แต่คร่อม เห็นไหม เรารู้นี่ มันเป็นข้อเท็จจริงกับเรา มันเป็นเรื่องเวรเรื่องกรรมของเรา มันเป็นเรื่องสัจธรรมของเรา เห็นไหม นี่ผลของวัฏฏะ

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าย้อนบุพเพนิวาสานุสติญาณ ในจิตขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจิตเดียว จิตขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าย้อนไปในบุพเพนิวาสานุสติญาณ ไม่มีต้นไม่มีปลายมันยาวไกลแค่ไหน แล้วจิตของเรามันแตกต่างกับจิตขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรงไหน

จิตก็คือจิต ในเมื่อจิตมันเวียนตายไปในวัฏฏะมันก็หมุนมาอย่างนี้เหมือนกัน จิตของเราก็เวียนมาอย่างนี้เหมือนกัน ฉะนั้น การเวียนมาอย่างนี้ มันสร้างสมมาอย่างนี้ มันก็มีเวรมีกรรมมาอย่างนี้ไง ถ้ามันมีเวรมีกรรมอย่างนี้ เวลาเราประพฤติปฏิบัติไป เวลามันรู้มันเห็นของมัน ถ้าเป็นความจริงของมัน ถ้ามันปล่อยวาง เห็นไหม มันปล่อยวางเราก็ใช้ปัญญาของเรา เราใช้ปัญญาของเราพิจารณาของเรา แล้วพอใช้ปัญญาของเราแล้ว พอมันพิจารณาไปแล้วมันก็ส่งออก มันก็ต้องกลับมาทำความสงบของใจ ทำความสงบของใจเราบ่อยครั้งเข้าๆ ให้มันเห็นชัดเจน ให้เราเป็นคนที่บริหารจัดการ เห็นไหม ถ้าบริหารจัดการ นี่มรรค

ถ้าปัญญามันจุดติด ดูสิธรรมจักร จักรที่มันเคลื่อนที่ไป ธรรมจักรๆ โลกนี่ธรรมจักรเขาทำเป็นบุคลาธิษฐานให้เป็นธรรมจักรไว้เป็นที่เคารพกราบไหว้บูชา แต่เวลาธรรมจักรจริงๆ มันเกิดในหัวใจ เห็นไหม ดำริชอบ งานชอบ เพียรชอบ ระลึกชอบ ความชอบธรรมถ้ามันหมุน มันเป็นความมหัศจรรย์ จักรนี้มันได้เคลื่อน เคลื่อนในใจของเรา ใจของเรา เราจะถอนพิษไข้ มันจะมีความถอดถอนของมันขึ้นมาตามความเป็นจริง

ถ้ามันถอดถอนขึ้นมาตามความเป็นจริง นี่ไงศีล สมาธิ ปัญญาไง ถ้าศีล สมาธิ ปัญญามันเกิดขึ้นมันจะมีข้อเท็จจริงของมัน เห็นไหม แต่นี่ถ้ามันไม่มีข้อเท็จจริงเราจะไปถอนพิษไข้กันที่ไหน เอาอะไรไปถอดถอน เอาอะไรไปถอนพิษไข้นั้นออกมา

ถ้าเราเป็นไข้หวัดใช่ไหม เป็นเองหายเอง ในเมื่อเป็นไข้หวัด มันก็เป็นเดี๋ยวมันก็หาย นี่โรคบางชนิดมันเป็นขึ้นมาแล้วเดี๋ยวมันเป็นมันก็หายเป็นธรรมดา นี่ก็เหมือนกัน เดี๋ยวมันก็สุข เดี๋ยวมันก็ทุกข์ มันก็เรื่องธรรมดา เรื่องธรรมดา นี่ไงผลของวัฏฏะ ถ้าเวลาผลของวัฏฏะเราก็จะเวียนไปในวัฏฏะไง

เราเกิดมาเป็นมนุษย์พบพุทธศาสนา เราก็สร้างคุณงามความดีของเรา ประพฤติปฏิบัติก็เป็นพิธีกรรม ปฏิบัติเพื่อบูชาใช่ไหม ปฏิบัติธรรม ทำคุณงามความดีบูชาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เวลากำหนดพุทธานุสติระลึกถึงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วก็ปฏิบัติบูชา นี่บูชาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่ถ้าเราปฏิบัติพุทโธๆ เราใช้ปัญญาอบรมสมาธิถ้ามันสงบเข้ามา เห็นไหม เราได้เฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

พุทธะ นี่พุทธะอยู่ที่นี่เอง พอจิตสงบ อืม! อืม! อืม! จิตสงบนะ ขณิกสมาธิ อุปจารสมาธิ อัปปนาสมาธิ เพราะมีสมาธิมีความสงบระงับ เพราะคำว่า “สมาธิ” คือกิเลสมันสงบตัวลง ถ้ากิเลสมันไม่สงบตัวลงเป็นสมาธิได้อย่างไร สมาธินี่ความอยาก เห็นไหม สมุทัยมันครอบงำใจอยู่ตลอดเวลา จะรู้สึกนึกคิดสิ่งใดก็แล้วแต่มันมีสมุทัยบวกเข้ามาตลอด มันมีกิเลสบวกเข้ามา นี่ความรู้สึกนึกคิดมันถึงเป็นโลกไง เพราะอะไร

เพราะภวาสวะใช่ไหม ภพ สถานที่ใช่ไหม นี่ภวาสวะ ปฏิสนธิจิต อวิชชามันครอบงำอยู่ แล้วความรู้สึกนึกคิดเกิดจากภพ ความคิดมันเกิดจากอะไร ความรู้สึกนึกคิดมันเกิดจากอะไร? มันก็เกิดจากจิต พอมันเกิดจากจิตขึ้นมา แล้วจิตมันมีอะไร? มันก็มีอวิชชา อวิชชาครอบงำมันอยู่ แล้วมันตรึกในธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เห็นไหม นี่อริยสัจ นี่พูดถึงมรรค ๘ เลย ดำริชอบ งานชอบ เพียรชอบ ชอบเหมือนกัน แต่ชอบโดยกิเลส เพราะกิเลสมันพาใช้ไง พอออกมามันก็มีกิเลส

แต่ถ้าเราทำความสงบของใจ เห็นไหม ใจมันสงบ พอใจสงบ ทำไมถึงสงบล่ะ? สงบเพราะว่าพุทโธ พุทธานุสติ ปัญญาอบรมสมาธิ ปัญญากับพุทธานุสติมีกำลังเหนือกว่า กำลังเหนือกว่าเกิดจากใคร? เกิดจากจิตที่มันบริกรรมอยู่นี่ไง จิตบริกรรมพุทโธ พุทโธ พุทโธ ถ้ามันมีกำลังขึ้นมากิเลสมันสู้ไม่ได้ไง กิเลสสู้ไม่ได้ จิตมันก็เป็นอิสระ จิตเป็นอิสระมันก็เป็นสมาธิ เป็นสมาธิมันก็มีสติ มันก็พร้อม มันก็ อืม! ตื่นเต้น นี่ถ้าเป็นสมาธิ แล้วพอมันออกใช้ความคิด นี่ความคิด สังขาร ความคิด ความปรุง ความแต่ง แต่มีสมาธิรองรับ มีสมาธิรองรับนะมันก็เป็นโลกุตตระ โลกุตตระเพราะอะไร โลกุตตระเพราะมันไม่มีกิเลสบวกเข้ามาไง

แต่ถ้าเราบอกมันเป็นสมาธิ เราบอก เห็นไหม เราบอกว่าเป็นสมาธิ เพราะใจมันว่างๆ ใจมันพิจารณาแล้วมันกำหนดแล้วมันว่างๆ ของเรา เราบอกเป็นสมาธิ เรานี่ เราคืออะไร? เราคืออัตตา อัตตามันเป็นกิเลสไหม อัตตาเป็นกิเลสหรือเปล่า นี่เราว่า ก็กิเลสว่าไง ถ้าเราว่า ก็กิเลสว่า แล้วกิเลสมันจะถอนกิเลสไหมล่ะ อ้าว! กิเลสมันจะถอนกิเลสไหมล่ะ มันต้องทำสิถอนกิเลส กิเลสมันไม่ถอนกิเลสหรอก

ทีนี้กิเลสมันอยู่กับเรา มันมีอยู่กับเราแล้วทำอย่างไรล่ะ

ทำอย่างไร เวลาจิตสงบเราก็พิจารณาของเรา ถ้าพิจารณาโดยศีล สมาธิ ปัญญา ถ้าปัญญาที่มันมีสมาธิรองรับ มันพิจารณาอะไรไปมันเป็นธรรมนะ พอเป็นธรรมขึ้นมา เห็นไหม เป็นธรรมมันไม่เอียงซ้ายและเอียงขวา เป็นธรรมไม่ลำเอียงว่าเป็นความคิดเรา ลำเอียงว่าเป็นเรา ลำเอียงว่าเราเก่ง ลำเอียงว่าเรารู้ นี่ธรรมมันไม่ลำเอียง แต่ถ้าไม่มีสมาธิ มันลำเอียง “รู้แล้ว ปฏิบัติมาหลายรอบแล้ว เห็นมันซาบซึ้ง เห็นมาจนพอแล้ว” เห็นไหม นี่อัตตา ถ้ามันเห็นอย่างนี้ นี่บังเงา กิเลสบังเงาแล้ว พอกิเลสบังเงาไป มันไปแล้ว

จะถอดถอนมัน ไม่ใช่ไปปกป้องมัน ถ้ามันบอกว่ารู้แล้วเห็นแล้ว นี่ไปปกป้องมัน ถ้ามันเป็นความจริง “มันมีหรือ เป็นมันไหม อ้าว! เป็นมันไหม” นี่ไง ดูสิเราจะถอดถอนมันนะ มันบังเงาทำลายเราอีกต่างหากนะ ถ้ามันทำลายเรา นี่เราจะถอดถอนพิษไข้ เราจะถอนอวิชชาออกจากหัวใจของเรา ถ้าเราจะถอดถอนอวิชชาออกจากหัวใจของเรา มันจะถอดถอนด้วยศีล สมาธิ ปัญญา

ถ้ามีศีล สมาธิ ปัญญา เห็นไหม ศีล สมาธิ ปัญญามันเกิดมาจากอะไร? ศีล สมาธิ ปัญญาในตำราก็เป็นชื่อเท่านั้นแหละ ศีล สมาธิ ถ้าเป็นข้อเท็จจริงของเรา สมาธิก็เป็นสมาธิของเรา ไม่ใช่ของใครทั้งสิ้น ของใครก็เป็นของของเขา ของครูบาอาจารย์ท่านปฏิบัติของท่านมา ท่านพ้นจากกิเลสของท่านมาแล้ว ท่านก็พ้นด้วยมหาสติ มหาปัญญาด้วย ของเรานี่สติปัญญาของเราก็เป็นความจริง เป็นความจริงแล้วมันภูมิใจนะ เป็นของเรา เห็นไหม

ในเมื่อตำรับตำรามันมีของมันอยู่แล้ว ตำรับตำรามีชื่อทั้งนั้นเลย แล้วไม่มีใครสามารถทำขึ้นมาให้มันเป็นข้อเท็จจริงขึ้นมาในใจของคนคนนั้นได้ แต่เราทำของเราขึ้นมาเราก็ภูมิใจของเราแล้ว ภูมิใจของเราแต่เรายังใช้ไม่เป็น ใช้ไม่เป็นคือว่าบริหารจัดการมันไม่ได้ ถ้าบริหารจัดการไม่ได้มันก็เอียงซ้ายเอียงขวาอยู่นี่ไง เอียงซ้ายเอียงขวาแล้วพาล่มเอาด้วย แต่ถ้าเราบริหารจัดการของเรา นี่มันเอียงซ้ายเอียงขวาเราก็บริหารจัดการของเรา พิสูจน์ตรวจสอบ คือทดสอบมันไป นี่ทดสอบเป็นประสบการณ์

ถ้ามันพิจารณาไปแล้ว มันพิจารณาเป็นความจริงขึ้นมามันก็ปล่อย มันก็ปล่อย อืม! ปล่อย นี่ปัจจัตตังทั้งนั้นแหละ ปล่อยเราก็รู้ของเรา ถ้าปล่อยแล้ว ถ้าพอมันคลายตัวออกมาเราก็อยู่กับความสงบ เพราะการภาวนามันมีเวล่ำเวลา เวลาเราภาวนาต่อไปเราก็ทำความสงบของใจเข้ามา ถ้าใจมันไม่สงบมันก็หงุดหงิด “ทำไมมันสงบ ครั้งที่แล้วมันพิจารณาแล้วมันปล่อยแล้วๆ” นี่ไงกิเลสมันสวมรอยทั้งนั้นแหละ

กิเลส ถ้าไม่มีใครเข้าไปพบหน้ามัน มันนอนสบายใจอยู่ในภวาสวะ ในภพ คือสถานที่มันอยู่น่ะ สบายใจ หลบเลี่ยงอยู่ในนั้น หาอยู่หากินตามสบายของมัน แต่ถ้าพอเราพิจารณาของเราไปเจอตัวมัน มันเห็นว่าเราไปเจอตัวมัน คราวหน้ามันจะต้องเอาเล่ห์เหลี่ยมที่ลึกซึ้งกว่านั้นมาทำให้การประพฤติปฏิบัติเราล้มลุกคลุกคลาน ล้มลุกคลุกคลานเลย ถ้ามันดี กิเลสมันให้โอกาส มันปล่อยให้เราได้ทำ เราจะพอมีช่องทางเดินไป ถ้ากิเลสมันตื่นนอนขึ้นมา กิเลสมันจะทำให้เราล้มลุกคลุกคลาน เราเสียท่ามันทั้งนั้นแหละ เพราะกิเลสมันอยู่ภายใน

เห็นไหม ปฏิสนธิจิต กิเลสมันอยู่ภายใน เวลาเราปฏิบัติธรรมขึ้นมา ศีล สมาธิ ปัญญามาจากไหน สติเราก็ต้องฝึกฝนขึ้นมา สมาธิเราพยายามสร้างของเราขึ้นมา ปัญญามันหมุนขึ้นมานี่มันมาจากภายนอก มันมาจากภายนอกเพราะมันยังไม่เป็นธรรมไง มันยังไม่เป็นสัจธรรม ไม่เป็นข้อเท็จจริง มันมาจากภายนอก แต่ที่กิเลสมันอยู่ภายใน มันอยู่ภายในมันทำลายได้ตลอดเวลา แล้วเราจะต้องหาวิธีการเข้าไปพิจารณาเพื่อจะเท่าทันมัน เพื่อเท่าทันมันก่อนนะ พอเท่าทันมันปล่อยแล้วปล่อยเล่า ปล่อยแล้วปล่อยเล่า ถ้ามันเท่าทันมัน เห็นไหม

พอเท่าทันมัน เวลาประพฤติปฏิบัติ เห็นไหม สุข-ทุกข์ ถ้าเราปฏิบัติได้มันก็เป็นความสุข มันเป็นความสุข มันเป็นความพอใจ ถ้าปฏิบัติไม่ได้มันก็เป็นความทุกข์ เวทนามันเกิด เวลาเวทนามันเกิดนี่มันทุกข์มาก มันทุกขเวทนา แต่เวลาประพฤติปฏิบัติไป เวลามันปล่อย เวทนาหายไหน มีแต่ความสุข แล้วถ้าเวลาพิจารณาไปแล้วมันไม่ปล่อยล่ะ มันยันกันไว้ล่ะ มันยันไว้เฉยๆ นะ นี่ก็เหมือนกัน เวลาเราใช้ปัญญาของเราไป ถ้ามันปล่อยก็คือมันปล่อย ถ้ามันไม่ปล่อยล่ะ? มันไม่ปล่อยมันก็ยันไว้อย่างนั้น ถ้ายันไว้อย่างนั้นเราต้องใช้กำลังของเรามาก เราวางเลยแล้วกลับมาพุทโธ พุทโธ เห็นไหม เราจะถอด เราจะถอน เราจะถอนพิษไข้เราต้องมีตัวยา เราต้องมียา มีไซริงค์ มีสิ่งต่างๆ ที่เราจะฉีด เราจะทำอะไรให้ยานี้เข้าไปสู่หัวใจของเรา การปฏิบัติมันเป็นแบบนี้

เวลาเราทำบุญ ทำทานนะ ทำบุญกุศล เราเสียสละ เสียสละสิ่งนั้นมันจบแล้ว การเสียสละนี่เป็นวัตถุ เป็นเครื่องแสดงออกของน้ำใจ นี่ทำบุญกุศลเป็นอามิสทำจากภายนอก แต่เวลาชำระล้างกิเลส นี่เราจะถอดถอนพิษไข้ขึ้นมามันจะต้องมีศีล สมาธิ ปัญญาเข้าไปสู่ฐีติจิต เข้าไปสู่ภวาสวะ เข้าไปถอดถอนจากภายใน ถ้าไปถอดถอนจากภายใน เอาอะไรเข้าไปถอดถอน เห็นไหม

งานหยาบงานละเอียดมันแตกต่างกันนะ แล้วเวลาปฏิบัติไป นี่เวลาหยาบละเอียดของคนมันก็แตกต่างกันอีก ฉะนั้น มันอยู่ที่จริต อยู่ที่นิสัย อยู่ที่การสร้างมา ถ้าเราทำคุณงามความดีของเรา เรามีพื้นมีฐานขึ้นมา เราปฏิบัติของเรามันมีเหตุมีผลขึ้นมา นี่ถ้าเราภูมิใจก็ภูมิใจในอำนาจวาสนาของเรา เราเป็นคนทำของเรามาเอง เราเป็นคนสร้างของเรามาเอง แต่ถ้าเราประพฤติปฏิบัติไปแล้วถ้ามันทุกข์มันยาก เดี๋ยวก็ได้เดี๋ยวก็ไม่ได้

เดี๋ยวได้นั่นล่ะดีมากเลย เดี๋ยวได้เป็นการยืนยันว่าสัจธรรมมันมี เวลาปฏิบัติกันนี่อ่อนแอ น้อยเนื้อต่ำใจ ก็คิดว่าสิ่งที่เราทำแล้วทำไมมันไม่ได้ผล สิ่งที่เราทำแล้วทำไมมันไม่ได้อย่างนั้น เราจะคิดแบบวิทยาศาสตร์ไง คิดแบบวิทยาศาสตร์ เห็นไหม หนึ่งบวกหนึ่งเป็นสอง แล้วเราก็เดินจงกรมอยู่แล้ว เขาก็เดินจงกรมเหมือนกัน เขาเดินจงกรมน้อยกว่าเราอีกทำไมเขาได้ นี่เขาหนึ่งบวกหนึ่งทำไมเป็นสิบ เราหนึ่งบวกหนึ่งเป็นศูนย์ เราทำไมทำไม่ได้อย่างเขา ทำไม่ได้อย่างเขา เห็นไหม มันน้อยเนื้อต่ำใจ อันนี้มันอยู่ที่อำนาจวาสนา

ถ้าวาสนาของเรานะ เราสร้างมาขนาดไหนก็แล้วแต่ เราหมั่นเพียรของเรา ความเสมอต้น เสมอปลายของเรา เรามีโอกาสนะ ถ้ามันยังมีลมหายใจเข้าและลมหายใจออก มีความรู้สึก เพราะธรรมะมันแก้ไขกันที่นี่ แก้ไขกันที่ความรู้สึกนี้ แก้ไขกันที่ใจนี้

เวลาหลวงตาท่านพูด คนเราจะแพ้ชนะกัน แพ้ชนะกันที่ใจนี่แหละ แพ้ชนะกันเพราะใจดวงหนึ่งมีธรรม ใจดวงหนึ่งมีธรรมคือมันเท่าทันความรู้สึกนึกคิดในใจดวงนั้น เห็นไหม ในเมื่อใจดวงนั้นมีธรรมนี่มันเท่าทันความรู้สึกนึกคิด เท่าทันความรู้สึกของตัวเอง มันชนะตัวเองอยู่แล้วมันจะไปทำลายใคร แล้วมันจะหวั่นไหวไปกับสิ่งใด

แต่ใจที่ไม่มีธรรม เห็นไหม หนึ่ง ไม่มีธรรมเราก็ทุกข์อยู่แล้ว ทุกข์อยู่แล้วเพราะอะไร เพราะมันมืดบอด ฉะนั้น ไม่มีธรรมมันก็มีความสงสัย ไม่มีธรรมมันก็ไม่มีสิ่งใดเป็นความกระจ่างแจ้ง นี่ตัวเองก็เป็นทุกข์อยู่ในหัวใจอยู่แล้ว แล้วเวลามีที่ว่า ระหว่างดวงหนึ่งมีธรรมกับใจดวงหนึ่งที่ไม่มีธรรม เวลาแพ้ชนะกัน ใจที่มีธรรมเขาชนะอยู่แล้ว ชนะตัวเขาเอง เขาต้องการสิ่งใดอีกล่ะ ใจที่ไม่มีธรรม เห็นไหม แพ้ตัวเองอยู่แล้ว แล้วเวลาใจดวงหนึ่งกับใจดวงหนึ่ง แพ้ไปตลอดเลย นี่สิ่งที่มันแพ้ไปตลอดเพราะอะไร เพราะมันไม่มีความจริงในหัวใจไง

ถ้ามีความจริงในหัวใจ สิ่งที่ศึกษามา ศึกษานี้เป็นธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า สาธุ! ต้องศึกษา ศึกษามาเป็นปริยัติ ศึกษามาเป็นเป้าหมาย เป็นสิ่งที่เครื่องดำเนินต่อไป แล้วเราจะดำเนินอย่างไรล่ะ ถ้าเราไม่เคยประพฤติปฏิบัติเราจะดำเนินอย่างไร แต่พอศึกษามาแล้วเราก็พยายามเอาสิ่งที่ศึกษานั่นล่ะมาพิสูจน์ตรวจสอบ มามีการกระทำ มาทำให้มันเป็นจริงขึ้นมา แล้วเป็นจริงขึ้นมาเป็นอย่างไร เป็นจริงขึ้นมาเป็นอย่างไร เป็นจริงขึ้นมาแบบปากเปียกปากแฉะนี่ใช่ไหม เป็นจริงขึ้นมาด้วยกบในกะลาใช่ไหม

นี่กบในกะลา กบในกะลาว่ามันรู้แจ้งไปหมดเลย ศึกษามาแล้วรู้ไปหมดทุกๆ อย่างเลย จริงหรือ นี่รู้อะไร รู้อะไร? รู้ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่ไม่ใช่รู้ธรรมของเรา นี่รู้แต่ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า รู้แจ้งในธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วธรรมของเราล่ะ

ธรรมของเรา ศึกษานี่สาธุนะ ศึกษานั่นเป็นปริยัติ เพราะปริยัติต้องวางไว้ มันเป็นขั้นตอนขั้นตอนหนึ่ง เพราะศึกษาปริยัติมาเพื่อปฏิบัติ ไม่ได้ศึกษามาเพื่อเป็นสมบัติของเรา เขาศึกษามาให้ปฏิบัติ พอปฏิบัติขึ้นมาอันนั้นถึงจะเป็นของเรา ถ้าเป็นของเราขึ้นมาแล้วนะ นี่ไงจะถอนพิษไข้ จะถอนกิเลส จะถอนอวิชชา จะถอนสิ่งที่ออกจากใจนี้

ถ้าถอนสิ่งที่ออกจากใจนี้มันจะมี เห็นไหม ดูสิเวลาบอกว่าธรรมจักรมันหมุน มันหมุนอย่างไร เวลาปัญญาทางโลกนี่เราศึกษา เราจำมา เราทำวิจัยมา วิจัยมันก็เป็นวิชาการที่เราทดสอบมา นี่เป็นวิชาการ แต่ถ้ามันเป็นจริงขึ้นมา ปฏิบัติถ้าเป็นจริงขึ้นมา นี่สติก็คือสติ สมาธิก็คือสมาธิ ปัญญาก็คือปัญญา แล้วงานก็คืองาน งานชอบ เพียรชอบ ระลึกชอบ เลี้ยงชีพชอบ เลี้ยงชีพคือความสมดุลของมัน เลี้ยงชีพคือว่าจักรนี้มันเป็นธรรมจักร ไม่ใช่กงจักร ถ้าเลี้ยงชีพไม่ชอบมันก็เป็นกงจักร มันเป็นกงจักรมันก็เป็นอวิชชา

อ้าว! มันเป็นมรรค มันเป็นอวิชชาได้อย่างไร

อ้าว! มันเป็นมรรคมันมีอวิชชาบวกเข้ามา นี่เวลาทำความสงบของใจเข้ามา พอใจมันสงบแล้วออกใช้ปัญญา นี่ธรรมจักรมันหมุน เวลาสมาธิมันอ่อนลงมันเป็นกิเลสทั้งนั้นแหละ เพราะว่าถ้าจิตสงบลงมันก็เป็นสมาธิ จิตมันไม่สงบ อวิชชามันก็บวกเข้ามา นี่ถ้าจิตไม่สงบ จิตมันอ่อนลง แล้วเวลามันเป็นมรรค มรรคมันก็มีกิเลสปนเข้ามา มันก็ไม่มีสะอาดบริสุทธิ์ไง นี่ไงเวลาถ้าเป็นกิเลสมันก็เป็นกงจักร แต่ถ้ามันเป็นสมาธิมันก็เป็นธรรมจักร

ธรรมจักรจะเกิดขึ้นมาต่อเมื่อเห็นกาย เห็นเวทนา เห็นจิต เห็นธรรมตามความเป็นจริง

ผู้ที่ปฏิบัติ ปฏิบัติเยอะมาก จิตสงบ พอทำความรู้สึกว่าจิตมันสงบ พอสงบแล้วคิดว่าสิ่งนั้นเป็นธรรม ถ้าคิดว่าสิ่งนั้นเป็นธรรม เพราะมันยังไม่ได้วิปัสสนา นี่เพราะมันไม่เห็นกาย ไม่เห็นเวทนา ไม่เห็นจิต ไม่เห็นธรรมตามความเป็นจริง เห็นกายก็ว่าเราเห็นกาย เห็นกายด้วยจินตนาการ เห็นกายด้วยความรู้สึกนึกคิด เวลาเวทนา เวทนาก็ว่าเวทนา ลูบๆ คลำๆ แล้วก็ปล่อยเวทนา นี่เห็นจิต จิตก็เศร้าหมอง จิตผ่องใส เห็นธรรม พอพิจารณาแล้วก็ปล่อย พิจารณาแล้วก็ปล่อยก็ว่าสิ่งนี้เป็นธรรม นี่ไงนี่แหละกงจักร กงจักรเพราะอะไร

เพราะมันเอาสิ่งนี้มา นี่เราปฏิบัติเพื่อจะถอดถอนกิเลสนะ เราไม่ใช่ถอดถอนเพื่อให้กิเลสมันทำลายโอกาสของเรานะ กิเลสมันทำลายโอกาสของเรา กิเลสมันทำไม่ให้เรามีโอกาสในการประพฤติปฏิบัติตามความเป็นจริง อันนี้ปฏิบัติเพื่ออะไร ปฏิบัติอย่างนี้ เราปฏิบัติเพื่อจะชำระกิเลส ปฏิบัติเพื่อจะให้พ้นจากทุกข์ แต่ทำไมปฏิบัติไปแล้วมันจะล้มลุกคลุกคลานขนาดนี้ แล้วปฏิบัติไปแล้วทำไมให้กิเลสมันครอบงำได้ขนาดนี้ ขนาดนี้เพราะกิเลสมันออกหน้าไง

ถ้าเรามีสติปัญญา เรามีครูบาอาจารย์ เวลา ธมฺมสากจฺฉา เอตมฺมงฺคลมุตฺตมํ เวลาหลวงปู่มั่นท่านอยู่นะ เวลาครูบาอาจารย์ประพฤติปฏิบัติขึ้นมาแล้ว ถ้าในใจของเราท่านก็รู้ของท่านอยู่แล้วแหละ เพียงแต่ว่าในเมื่อมันจะส่งต่อ จากใจดวงหนึ่งสู่ใจดวงหนึ่ง ผู้ที่ปฏิบัติจะขึ้นไปกราบเรียนท่าน พอกราบเรียนท่าน เรื่องส่วนบุคคลส่วนตนท่านจะบอก แล้วท่านจะเอาสิ่งนี้มาเทศนาว่าการให้รวมพระเทศนาว่าการไป เพราะว่ามันแจกจ่ายธรรมเพื่อส่วนรวม

ฉะนั้น ธมฺมสากจฺฉา เอตมฺมงฺคลมุตฺตมํ ในหัวใจของเราถ้าปฏิบัติแล้ว ถ้ามันมีปัญหาขึ้นมา เห็นไหม นี่สิ่งนี้เราสนทนาธรรมได้ การสนทนาธรรมคือจากใจดวงหนึ่งสู่ใจดวงหนึ่ง ถ้าคนไม่มี พูดไม่ได้ เวลาคนไม่มีมันก็พูดภาษาปริยัตินั่นน่ะ ปริยัติคืออะไร? ปริยัติคือวิชาการ วิชาการใครก็รู้ ตำราใครก็รู้ เดี๋ยวนี้เจริญมากคอมพิวเตอร์มีตลอดเลย แล้วก็ไปอ่านคอมพิวเตอร์ อ่านพระไตรปิฎก สงสัยก็ถามมา นี่ถามเรามา นี่มันเป็นความสงสัย สงสัยเรื่องจากข้างนอกไง ปฏิบัติมันยังไม่มีข้อเท็จจริงไง

ถ้ามีข้อเท็จจริง เห็นไหม เราต้องการตรงนี้มาก คำว่าเราต้องการ คือทุกคนต้องการตรงนี้ เพราะอะไร เพราะมันจะเป็นความจริงกับใจดวงนั้น ถ้าใจดวงนั้นมันมีไง ถ้าจิตสงบมันก็มีสมาธิ แล้วถ้ามีสมาธิแล้วเราออกฝึกหัด ถ้ามันฝึกหัดได้มันจะเห็นกาย เห็นเวทนา เห็นจิต เห็นธรรมตามความเป็นจริง ถ้าเห็นกาย เห็นเวทนา เห็นจิต เห็นธรรมตามความเป็นจริงนะ มันขนพองสยองเกล้า ขนพองสยองเกล้าเพราะจิตมันรู้ จิตมันเห็น ฐีติจิต นี่ภวาสวะ ภพนั่นน่ะมันขับเคลื่อน

สมถกรรมฐาน ฐานที่ตั้งแห่งการงาน ถ้าใครเข้าถึงฐาน ถึงภวาสวะ ถึงภพ ถึงข้อมูลเดิม แล้วข้อมูลเดิมนั้นเกิดวิปัสสนา วิปัสสนานี่มันจะเข้าไปชำระล้าง มันจะทำลายอวิชชา มันจะถอนพิษ มันจะถอนอวิชชาตรงนั้น ฉะนั้น ถ้าใครเห็นกาย เห็นเวทนา เห็นจิต ตามความเป็นจริง รู้ได้ ปัจจัตตังเลย แต่ถ้าเราเห็นโดยจินตนาการเห็นโดยต่างๆ มันเป็นเรื่องโลกๆ เห็นไหม โลกก็คือโลก เราจะถอนพิษ แต่ถ้ามันเป็นโลกมันจะเพิ่มพิษ

เพิ่มพิษ เห็นไหม คนเจ็บไข้ได้ป่วย ถ้ารักษาไม่หาย เชื้อโรคอยู่ในร่างกายนั้น ถ้าภูมิต้านทานมันอ่อนแอนะ เชื้อโรคนั้นมันก็แสดงตัว นี่ก็เหมือนกัน เรามีอวิชชา มีความไม่รู้อยู่ในใจ แล้วเราจะถอดจะถอนมัน แล้วถ้าเราทำของเราไม่ประสบความสำเร็จหรือทำไม่ได้ เดี๋ยวมันก็แสดงตัว

แต่ถ้าเราทำของเรา เรามีสติปัญญาของเรา ถอนไม่ได้แต่ก็จะถอน ถ้าจะถอน เห็นไหม มันมีความเพียรชอบไง ถ้าคนเราจะเจ็บไข้ได้ป่วย ในเมื่อรักษาแล้วรักษาตามอาการนั้นไป ถ้าร่างกายนี้มีภูมิคุ้มกัน ถ้าร่างกายนี้มันสมบูรณ์ขึ้นมา ร่างกายแข็งแรงขึ้นมา พิษไข้นั้น ทั้งการรักษานั้นด้วย ทั้งกับภูมิต้านทานนั้นด้วย มันจะทำให้พิษไข้นั้นหายไป นี่ในการประพฤติปฏิบัติของเรา ถ้ามันยังไม่ประสบความสำเร็จหรือปฏิบัติแล้วมันไม่รู้แจ้งเราก็ต้องมีกำลังของเรา มีศรัทธาของเรา มีกำลังในหัวใจของเรา แล้วประพฤติปฏิบัติแยกแยะมัน ดูแลมัน พิจารณามัน เราทำของเราเพื่อประโยชน์กับเรา

เห็นไหม เราจะถอนพิษ เราจะทำของเราให้ประสบความสำเร็จ จะทุกข์จะยาก เรื่องโลกเขาก็ทุกข์ยากของเขาอยู่แล้ว หน้าที่การงาน งานสิ่งใด คนออกกำลังกายเพื่อต้องการให้ร่างกายแข็งแรง เขาออกกำลังกายเขาก็ต้องลงทุนลงแรงของเขา เขาต้องมีเหงื่อ ต้องเสียพลังงาน เสียพลังงานเพื่อความเข้มแข็ง นี่ก็เหมือนกัน โลกเขาต้องทำงานกันอยู่แล้ว แล้วเราปฏิบัติธรรมของเรา เรามีพุทโธ เรามีปัญญาอบรมสมาธิของเรา นี่คำบริกรรมของเราเพื่อให้จิตใจของเรามั่นคง โลกเขาทำอย่างนั้นเพื่อประโยชน์กับเขา เขาก็เห็นของเขา เราปฏิบัติของเราเพื่อภพชาติสั้นเข้า ถ้ามันถอนพิษไม่ได้มันก็ทำให้ภพชาติสั้นเข้า มันก็สร้างอำนาจวาสนาบารมี อย่างที่เราเห็นคนอื่นประพฤติปฏิบัติแล้วประสบความสำเร็จๆ เราก็ปฏิบัติของเราเพื่อสร้างสมบารมี

พาหิยะฟังเทศน์องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าหนเดียวเป็นพระอรหันต์ก็เพราะว่าเขาปฏิบัติมาจนสละชีวิตมาก่อน อดีตชาติเขาปฏิบัติมาแล้วไม่ประสบความสำเร็จ เขาตายบนหน้าผาตัด แล้วพอสร้างบารมีมา พอมาเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ฟังเทศน์หนเดียวเขาเป็นพระอรหันต์ เห็นไหม

นี่ก็เหมือนกัน เราก็สร้างประโยชน์กับเรา เราทำของเราขึ้นมา ถ้ามันถอดถอนได้ มันเป็นความจริงได้ก็ทำ ถ้ามันถอดถอนไม่ได้เราก็ประพฤติปฏิบัติของเรา เพื่อสร้างสมบารมี เพื่อสร้างสมโอกาสของเรา เอวัง