เทศน์บนศาลา

ธรรมะมีมาตรฐานเดียว

๒๕ ก.พ. ๒๕๕๖

 

ธรรมะมีมาตรฐานเดียว
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

เทศน์บนศาลา วันที่  ๒๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๖
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ตั้งใจฟังธรรมฟังธรรมเพื่อให้จิตใจเรามีคุณธรรมในหัวใจ เพราะใจของเรามันมีแต่กิเลสไง วันนี้วันสำคัญทางพระพุทธศาสนา วันสำคัญเพราะวันนี้เป็นวันมาฆบูชา เป็นวันที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแสดงโอวาทปาฏิโมกข์ โอวาทปาฏิโมกข์นี้เป็นหลักชัยของพระพุทธศาสนา"เราจะไม่ทำความชั่วทั้งปวง เราจะทำคุณงามความดีเราจะทำจิตใจให้ผ่องแผ้ว"

ถ้าเวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแสดงธรรมแสดงธรรมเพราะสิ่งที่ว่าพระอรหันต์๑๒๕๐ องค์นี้เป็นเอหิภิกขุ เอหิภิกขุมาเริ่มต้นตั้งแต่สมัยองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นผู้บวชให้เอง แต่เวลาศาสนามันเริ่มขยายกว้างขวางขึ้นไป เวลาจะบวชขึ้นมาให้บวชโดยให้ถือไตรสรณคมน์ ถ้าไตรสรณคมน์ เป็นพระ แล้วพอศาสนาเผยแผ่มากขึ้นไป องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงได้บัญญัติให้เป็นญัตติจตุตถกรรม

ขณะที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นผู้บวชให้เอง เป็นผู้บวชให้เองนะ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นผู้คัดเลือกเอง เวลาเทศนาว่าการแล้วเป็นพระอรหันต์ทั้งหมด สิ่งที่ว่าเป็นพระอรหันต์ทั้งหมด เริ่มต้นจากการเผยแผ่ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มีแต่ผู้ที่สะอาดบริสุทธิ์ผู้ที่สะอาดบริสุทธิ์จะทำสิ่งใดมันก็จะเป็นประโยชน์ไปทั้งนั้นเพราะว่าเป็นผู้ที่สะอาดบริสุทธิ์ ไม่มีสิ่งใดแอบแฝงไว้ในใจ

แต่ในปัจจุบันนี้เวลาเราบวชเราเรียนกันมา เราบวชขึ้นมา พระมาจากมนุษย์ พระมาจากคน พอพระมาจากคน เวลาเป็นคน คนก็มีกิเลสตัณหาความทะยานอยากทั้งนั้นบวชมาเป็นพระก็เป็นสมมุติสงฆ์ เป็นพระโดยสมมุติสมมุติโดยองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้ญัตติจตุตถกรรม ญัตติจตุตถกรรมขึ้นมาสงฆ์ยกเข้าหมู่ สงฆ์ยกเข้าหมู่จริงนี่ตามสมมุติ เป็นพระจริงๆมีศีล ๒๒๗ เหมือนกัน เวลาลงอุโบสถสังฆกรรมแล้วมันถึงไม่เป็นโมฆียะ ไม่เป็นโมฆะ ถึงได้เป็นมติสงฆ์ๆ สิ่งที่ว่าเป็นสงฆ์ๆ เห็นไหม สิ่งที่เป็นสงฆ์นี้ถ้าเราตั้งใจ

วันนี้วันสำคัญทางพระพุทธศาสนาเริ่มต้นเจตนาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอยากรื้อสัตว์ขนสัตว์นะ ปรารถนามารื้อสัตว์ขนสัตว์ ถ้ารื้อสัตว์ขนสัตว์ เวลาประพฤติปฏิบัติขึ้นมาถ้าตามความเป็นจริงจะสิ้นสุดแห่งทุกข์ ถ้าสิ้นสุดแห่งทุกข์ มันต้องมีความจริงจัง มีการกระทำที่ความเป็นจริง ถ้ากระทำความเป็นจริง

เราศึกษาธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเทศนาพระยสะขนาดว่าฟังเทศน์อย่างนั้นก็เข้าใจได้ฟังเทศน์แล้วเป็นพระอรหันต์ขึ้นมาได้ เราก็ศึกษาธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาด้วยกัน เราก็เข้าใจได้ในธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่ทำไมมันถึงไม่เป็นจริงของเราล่ะ ถ้าไม่เป็นจริงของเราเพราะมาตรฐานของกิเลสมันมากไง

ถ้ามาตรฐานของธรรมนะ ดูสิสมัยพุทธกาลที่เขาเป็นสหชาติ เขาหวังหวังจะพ้นจากทุกข์ทั้งนั้น ต่างคนต่างแสวงหา ขณะที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังไม่ตรัสรู้ธรรมขึ้นมา ทุกคนก็แสวงหา ทุกคนปฏิบัติไปถึงที่สุดความสามารถของตน เขาก็ปฏิญาณตนว่าเป็นศาสดา เป็นพระอรหันต์เหมือนกัน แต่เป็นพระอรหันต์ของกิเลสเป็นพระอรหันต์ของความรู้สึกนึกคิดของเขา แบบองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไปศึกษากับเจ้าลัทธิต่างๆ ทั้งนั้นน่ะศึกษามาแล้ว ศึกษาถึงที่สุดแล้ว ศึกษาจนถึงที่สุด เขาก็ไปไม่ได้ ไปไม่ได้ หมายถึงว่า ในเมื่อใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังมีกิเลสอยู่ ในเมื่อใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะทำความสงบระงับเข้ามาขนาดไหนเวลาออกมาแล้วมันก็เป็นปกติ ถ้าเป็นปกติ ไปถามอาจารย์ของตัวว่าควรทำอย่างไรต่อไป ควรทำอย่างไร

ก็สอนมีเท่านี้สอนหมดไส้หมดพุงแล้วก็ได้เท่านี้ ถ้าได้เท่านี้ เขาปฏิญาณตนของเขาว่าเขาเป็นศาสดา เขาเป็นพระอรหันต์ เขาสั่งสอนลูกศิษย์ของเขาแต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ไปเรียนรู้จากเขาเรียนรู้จากเขามันได้มาแค่นี้ มันได้แค่นี้นี่ไง ถ้าเป็นศาสดาของกิเลส สิ่งที่มีกิเลสตัณหาความทะยานอยากในหัวใจมันไปไม่ได้หรอก นี่มาตรฐานของกิเลสไง ถ้ามาตรฐานของกิเลสมันเป็นแบบนั้น องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าศึกษาแล้วสิ่งนี้วางไว้ๆ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะมาตรัสรู้เองในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ขึ้นมาแล้วเสวยวิมุตติสุข นี่มาตรฐานธรรมมาตรฐานของธรรมที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้รับรู้อันนั้นเป็นวิมุตติสุข

ถ้าวิมุตติสุขเวลาจะออกมาเผยแผ่ธรรม เผยแผ่ธรรม จะเลือกเอาใครก่อนๆ เอาใครก่อนนี่ไง ถ้าเอาใครก่อน เอาปัญจวัคคีย์ก่อน ถ้าปัญจวัคคีย์นี่เทศน์ธัมมจักฯ ไปยังได้อัญญาโกณฑัญญะมาแค่องค์เดียว เวลาเทศน์ซ้ำไปจนปัญจวัคคีย์ได้เป็นพระโสดาบันทั้งหมดแล้ว เวลาเทศน์อนัตตลักขณสูตรถึงเป็นพระอรหันต์ขึ้นมา เป็นพระอรหันต์ขึ้นมา ไปเทศน์ยสะ เห็นไหม นี่มาตรฐาน มาตรฐานเพราะอะไรมาตรฐานเพราะจิตใจของเขา เขาแสวงหาของเขา

เวลามีเจ้าลัทธิต่างๆ ในสมัยพุทธกาลก็มหาศาลทีนี้ใครไปศึกษากับเจ้าลัทธิต่างๆ ก็ได้แค่นั้น ดูสิ ดูพระโมคคัลลานะ พระสารีบุตรไปศึกษากับสัญชัย ไปถามสัญชัยเลยว่า "มีอย่างไรต่อเนื่องไปอีก จะมีอะไรที่มากไปกว่านี้"

ก็มีเท่านี้

ถ้ามีเท่านี้ ๒คนปรึกษากันนะ ๒คนนี้สัญญากันว่า ถ้าใครได้พบทางสว่างใครได้มีครูบาอาจารย์คอยชี้แนะเราสัญญากันว่าเราจะไม่ทิ้งกันนะ จะไม่ทิ้งกันนะ

เรามาคิดถึงสิหัวอกของคนที่มันพยายามจะหาทางพ้นจากทุกข์ แล้วไปศึกษากับเจ้าลัทธิต่างๆ ไปศึกษากับใครก็แล้วแต่ เขาก็พาเราออกจากบ่วงของมารไม่ได้ ออกจากวังวนของกิเลสไม่ได้ ถ้าออกจากวังวนของกิเลสไม่ได้มันมีความอัดอั้นตันใจขนาดไหน นี่นักปราชญ์ทั้งนั้นนะ แต่เวลาไม่มีใครชี้นำมันก็ไปไม่ได้ เห็นไหม

แต่เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไปศึกษากับเขามาเหมือนกันเพราะโลกมันเป็นแบบนี้ไง มาตรฐานของโลก มันไม่ใช่มาตรฐานของธรรมถ้ามาตรฐานของโลก ดูทางวิทยาศาสตร์สิ เราศึกษาในปัจจุบัน ทุกคนว่ามีปัญญาทั้งนั้นน่ะ ถ้าใครมีปฏิภาณไหวพริบ แล้วมีโวหาร นี่มาตรฐานของโลกทั้งนั้นน่ะพลิกแพลงขนาดไหนมันก็เรื่องโลก เรื่องโลกหมายความว่ามันไม่ทะลุเข้าไปสู่ธรรม มันไม่สามารถชำระกิเลส มันไม่สามารถทำให้กิเลสในหัวใจของเราได้สะเทือนเลย เพราะมันออกมาจากกิเลสทั้งหมด มาตรฐานของกิเลสทั้งนั้นน่ะ

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเวลาตรัสรู้ธรรมขึ้นมาเสวยวิมุตติสุขนี่มาตรฐานของธรรม พอมีมาตรฐานของธรรมขึ้นมาแล้วเพราะปรารถนามารื้อสัตว์ขนสัตว์ เห็นไหม สร้างบุญญาธิการมา เวลาเป็นพระโพธิสัตว์สร้างบุญญาธิการมามหาศาลเสียสละมามากนะ ดู๑๐ ชาติสิ ๑๐ ชาติสุดท้าย ดูสิ พระเวสสันดรเสียสละมาทั้งนั้นน่ะ เสียสละมาเพื่อสิ่งใดล่ะ ถ้าไม่เสียสละมา มันไม่ได้บ่มเพาะ ไม่ได้บ่มเพาะหัวใจนี้ให้มันพร้อมไง พร้อม เห็นไหม นี่พันธุกรรมของใจๆ พันธุกรรมของมัน มันมีอย่างไร มันแง่งอนของมันนะกิเลสในใจของเรามันมีแง่มีงอน มันมีเล่ห์มีเหลี่ยม มันมีชั้นมีเชิง จะปรารถนาดีขนาดไหน มันปรารถนาดีก็ว่าดี แต่ดีของกิเลสดีของความพอใจ ดีที่ยอมจำนนกับกิเลสเป็นความดีของเรานี่มาตรฐานของกิเลส นี่ถ้ามันมีแง่มีงอน

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงสร้างสมบุญญาธิการ สร้างสมบุญญาธิการมาถ้าจะเป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เอกํ นาม กิํ มีหนึ่งเดียวเท่านั้นการเกิดขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี้แสนยากเวลาการเกิดของพระปัจเจกพุทธเจ้านี่ตรัสรู้เองเหมือนกันตรัสรู้เอง รู้จำเพาะตน เวลาสอน สอนได้เฉพาะในสมัยที่มีชีวิตเท่านั้น แต่เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี่อนาคตังสญาณ มันครอบคลุมไปหมดฉะนั้น บ่มเพาะ บ่มเพาะสร้างสมบุญญาธิการมา บ่มเพาะเรื่องจะตรัสรู้เองโดยชอบ ขณะที่ตรัสรู้เองโดยชอบขึ้นมาแล้วปรารถนารื้อสัตว์ขนสัตว์ จะรื้อสัตว์ขนสัตว์ ไปรื้อสัตว์ขนสัตว์ที่ไหนล่ะ รื้อสัตว์ขนสัตว์ ผู้ที่สหชาติคือเขาเกิดมาร่วมกันเกิดมาร่วมกับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เกิดมาแล้วพยายามแสวงหา มีจิตใจฝักใฝ่ มีจิตใจโน้มนำ นี่สาวกสาวกะ

เราเกิดมาเป็นชาวพุทธนะเวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมาแล้ววางศาสนาไว้กับภิกษุ ภิกษุณี อุบาสกอุบาสิกา ฝากศาสนาไว้กับบริษัท๔ บริษัท ๔ ฝากศาสนาไว้ให้เราเป็นที่พึ่งที่อาศัย แล้วให้เราประพฤติปฏิบัติขึ้นมาให้เป็นความจริงของเราขึ้นมา นี่ปรารถนามารื้อสัตว์ขนสัตว์

แล้วเวลาเอหิภิกขุ บวชเองๆเพราะเล็งญาณ ไปได้ปัญจวัคคีย์มา ไปได้ยสะ ไปเอาชฎิล ๓พี่น้อง เอหิภิกขุ บวชให้เอง นี่บวชให้เองสั่งสอนเอง เทศนาว่าการเอง อบรมบ่มเพาะขึ้นมาเอง พออบรมบ่มเพาะขึ้นมาเป็นพระอรหันต์ ๑๒๕๐ องค์ เอหิภิกขุภายในปีนั้น องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ปีนั้น

เพราะเริ่มต้นเอหิภิกขุ บวชเอง สั่งสอนเอง เป็นพระอรหันต์ด้วยกันทั้งหมด "เธอจงทำความดีให้ถึงพร้อม อย่าทำความชั่ว อย่าทำความชั่วสิ่งใดที่ไม่ควรทำเลย ทำจิตใจให้ผ่องแผ้ว แล้วเธอจงไปอย่าซ้อนทางกันไปอย่าซ้อนทางกันโลกนี้เร่าร้อนนัก" เวลาเผยแผ่ไปโดยผู้ที่สะอาดบริสุทธิ์มันไม่มีแง่มีงอนในใจนะ พระอรหันต์นะ

เวลาครูบาอาจารย์ ถ้าเราประพฤติปฏิบัติเวลามันมีกิเลสตัณหาความทะยานอยากในหัวใจ เวลาต่อสู้กับกิเลสของตัวนะ ยอมเสียสละแม้แต่ชีวิต เวลาว่าสิ่งที่ว่า ธรรมะอยู่ฟากตาย ธรรมะอยู่ฟากตาย เพราะเวลาปฏิบัติไปมันมีแง่มีงอนของมัน มันมีสิ่งใดมาต่อรองในใจเราทั้งนั้นน่ะ ถึงที่สุดแล้วต้องต่อสู้กัน ถ้าจะตาย อะไรตายก่อน ขอดู เห็นไหมถ้าธรรมะอยู่ฟากตาย แม้แต่ชีวิตก็เสียสละมา แม้แต่การกระทำต่างๆเสียสละมาแล้ว มันจะมีแง่มีงอนในใจอะไรอีกไหม คนเราทุกอย่างมันเสียสละได้ทั้งหมดแล้ว มันจะไปแสวงหาสิ่งใดอีกล่ะ มันไม่แสวงหาสิ่งใดอีกแล้วเพราะเราละมาแล้วทั้งนั้น

ฉะนั้น เวลาพระอรหันต์ ๑๒๕๐ องค์ เวลาเผยแผ่มาด้วยความสะอาดบริสุทธิ์ของธรรม เวลาเผยแผ่ธรรม วันนี้เป็นวันสำคัญไง วันสำคัญว่าศาสนาพุทธของเรามันมีมรรคมีผล มีสัจจะมีความจริง

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเทศนาว่าการไว้ ถ้าในเมื่อยังมีบุคคลที่ประพฤติปฏิบัติธรรมปฏิบัติชอบนะ ผู้ใดปฏิบัติความเพียรชอบ ปฏิบัติธรรมชอบ โลกนี้จะไม่ว่างจากพระอรหันต์เลยเห็นไหม ถ้าปฏิบัติธรรมตามความเป็นจริง ผู้ใดปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม คำว่า "สมควรแก่ธรรม" เห็นไหมมาตรฐานของธรรมสมควรแก่ธรรม ถ้ามันมีมาตรฐานอันนั้นมันก็จะเป็นประโยชน์กับผู้ที่ประพฤติปฏิบัติ

ทีนี้เวลาประพฤติปฏิบัติขึ้นมา มันปฏิบัติในแนวทางไหนล่ะ ถ้ามันปฏิบัติตามแต่กิเลสของตัว นี่วุฒิภาวะๆ พันธุกรรมของจิตที่มันอ่อนแอมันอ่อนด้อย หรือว่ามันมีความเข้มแข็งอยู่ ถ้ามันอ่อนด้อยถ้าที่ไหนมันสะดวกสบาย ที่ไหนมีคนเอาอกเอาใจ มันก็ชอบอย่างนั้นแหละ ถ้าชอบอย่างนั้น กิเลสมันชอบไง นั่นมาตรฐานของกิเลส

ถ้ามาตรฐานของธรรมล่ะมาตรฐานของธรรมถ้ามันตรงจริตนิสัยถ้าตรงจริตนิสัยเราสิ่งที่ตรงจริต ถ้าไปหาครูบาอาจารย์ ถ้าเราจะขอนิสัย ถ้ามันตรงนิสัย เราจะขอนิสัยครูบาอาจารย์นั้น เวลาขอนิสัยครูบาอาจารย์นั้น ศีลเราจะรู้ได้ต่อเมื่อเราอยู่ด้วยกันนะ คนที่อยู่ด้วยกัน คลุกคลีอยู่ด้วยกัน มันจะรู้เลยว่าสะอาดบริสุทธิ์จริงหรือเปล่า

ธรรมะ ธรรมะจะรู้จริงต่อเมื่อเรามีปัญหานะ คนที่ประพฤติปฏิบัติขึ้นมา ถ้ามีปัญหาสิ่งใดเราไปหาครูบาอาจารย์ของเรา ถ้าครูบาอาจารย์ท่านตอบของเราไม่ได้ครูบาอาจารย์ตอบเราไม่ได้นะมาตรฐานของกิเลสมันเป็นแบบนั้นถ้าตอบเราไม่ได้ แล้วยังเลี่ยงๆ ข้างๆ คูๆไปเรื่อย ถ้าตอบไม่ได้แล้วมันอายลูกศิษย์ไง มันอายลูกศิษย์แล้วมันก็จะหาทางออก หาทางออกเลี่ยงไปเลี่ยงมาอยู่อย่างนั้นน่ะ นี่ไงธรรมจะรู้ได้ต่อเมื่อสนทนาธรรม ธรรมจะรู้ได้ต่อเมื่อเราธมฺมสากจฺฉา เอตมฺมงฺคลมุตฺตมํ การสนทนาธรรมเป็นมงคลอย่างยิ่ง

ถ้าการสนทนาธรรมเป็นมงคลอย่างยิ่ง ผู้ที่มีคุณธรรมด้วยกันสนทนาธรรมมันก็เป็นประโยชน์ใช่ไหม แล้วเราเป็นนักปฏิบัติ เราก็อยากหาครูบาอาจารย์ที่เป็นความจริงของเรา ถ้าเราปฏิบัติขึ้นมา มันก็มีความลังเลสงสัยมันมีอุปสรรคในหัวใจ "นี่ปฏิบัติแล้วทำไมมันไปไม่ได้ปฏิบัติแล้วทำไมมันขาดๆ เกินๆ ปฏิบัติแล้วทำไมมันล้มลุกคลุกคลาน ครูบาอาจารย์ของเราชี้นำเราหน่อย ชี้นำเราหน่อย"

เห็นไหม องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านทำเป็นตัวอย่างนะ เวลาบอกว่าพระอรหันต์เวลาราตรีเดียว นี่เขาบอกพระอรหันต์ไม่เคยนอน นอนไม่ได้ ราตรีเดียวมันสว่างโพลงตลอดพระอรหันต์ไม่เคยนอนเลย

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านนอนนอนสีหไสยาสน์

นี่เราตีความกันไปทั้งนั้นมาตรฐานของกิเลสศึกษาธรรมก็เอากิเลสไปจับไปตีความว่ามันเป็นอย่างนั้นตามความเข้าใจของตัว เพราะว่าอะไร เพราะคำว่า"กิเลส" มันมีแต่ความบีบคั้นของใจเราก็ว่าเราทุกข์เรายากนัก เวลาถ้าสิ้นกิเลสไปเป็นพระอรหันต์ขึ้นมามันก็จะมีความสุขสมความปรารถนาที่เราคาดหมายไว้ การคาดหมาย ผู้ใดปฏิบัติธรรมด้วยการคาดการหมาย มันก็ได้ธรรมะด้นเดา มันด้นไป มันเดาไป มันคิดของมันไปจินตนาการของมันไป ไม่มีความจริงสักอย่าง เพราะเราจะคิดความจริงขึ้นมาไม่ได้ เพราะเราไม่เคยพบเคยเห็นอย่างนี้

จิตของเราเวียนตายเวียนเกิดนะ เวลาเวียนตายเวียนเกิดในวัฏฏะดูสิ ในเทวดา อินทร์พรหม เรายังจินตนาการกันได้เราจินตนาการได้นะเทวดา อินทร์ พรหมภาพเป็นอย่างนั้นเวลาพูดไปนี่เข้าใจกันได้ เวลานรกอเวจีนี่เข้าใจกันได้ แต่เวลาโสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี พระอรหันต์ นี่เข้าใจไม่ได้ เวลาบอกว่าเวลาเป็นนิพพานมีความสุขอย่างยิ่ง มันจะว่างไปหมดเลยเราก็จินตนาการความว่างๆ ว่างอะไรล่ะ เวลาประพฤติปฏิบัติขึ้นมาก็เอาแต่กิเลสของตัวประพฤติปฏิบัติ นี่มันคนละมาตรฐานมาตรฐานของโลกไม่ใช่มาตรฐานของธรรม

ถ้าเราปฏิบัติจะเอาความสงบระงับนะ ถ้าจิตสงบเห็นไหม เพราะความลังเลสงสัย เพราะความไม่มั่นใจของเรา เวลาครูบาอาจารย์ท่านเทศนาว่าการท่านบอกว่าถ้าเราไม่มั่นใจว่ามันมีความจริง เพราะเรามีกายกับใจใช่ไหม มันก็เปรียบเหมือนสระน้ำ สระน้ำถ้ามันมีจอกมีแหน ถ้าเราแหวกจอกแหวกแหน มันก็จะมีน้ำนั้น ถ้ามีน้ำมันเป็นความมั่นใจเป็นบุคลาธิษฐาน

ถ้าบุคลาธิษฐานกับธรรมาธิษฐานนะบุคลาธิษฐานคือวิธีการ บุคลาธิษฐานมันเป็นวัตถุที่จับต้องได้ วัตถุที่ยกขึ้นมาให้เราเห็นเทียบเคียงได้ เหมือนสระน้ำนั้น ถ้าเราแหวกจอกแหนนั้นมันก็จะเห็นน้ำนั้น นี่เป็นบุคลาธิษฐาน ถ้าเป็นบุคลาธิษฐานบุคลาธิษฐานถ้าคนมีธรรม เห็นไหมธรรมาธิษฐาน ถ้าเห็นน้ำ น้ำเป็นประโยชน์อะไรล่ะ น้ำนี่ใช้ประโยชน์สิ่งใดน้ำจะมีคุณภาพอย่างใด นี่ธรรมาธิษฐานมันเป็นจริงมันจะร่มเย็นเป็นสุข มันจะเป็นความจริง

แล้วเราประพฤติปฏิบัติขึ้นไป ถ้าเรามั่นใจของเรา เราฟังครูบาอาจารย์ท่านยืนยันกับเราว่ามันมี ในศาสนานี้มีมรรคมีผลถ้าในศาสนานี้มีมรรคมีผล แม้แต่หนองน้ำ หนองน้ำมันก็มีน้ำของมันจริงๆ เวลาเราแหวกจอกแหนไปมันก็เจอน้ำจริงๆ นี่ยืนยันว่ามรรคผลมันมี ถ้าเรายืนยันว่ามรรคผลมันมี ด้วยความอ่อนด้อย ด้วยความอ่อนด้อยของเรา ด้วยมันคนละมาตรฐานมาตรฐานของครูบาอาจารย์ท่านพยายามชี้นำเป็นหลักเป็นชัยให้เรามั่นคง แล้วให้เราประพฤติปฏิบัติให้เราประสบความสำเร็จ ประสบความจริงขึ้นมาจากใจ ถ้าใจเราประสบความจริง เป็นปัจจัตตังเป็นสันทิฏฐิโก จิตนี้มันจะรู้ของมัน มันจะเห็นของมัน มันจะยืนตัวของมันขึ้นมาได้เหมือนกับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เอหิภิกขุบวชให้เอง สั่งสอนเอง เทศนาว่าการเอง อบรมเอง จนสิ้นสุดแห่งทุกข์เหมือนกันเอง มาตรฐานนี้มาตรฐานของธรรมธรรมะมีมาตรฐานเดียว

แต่เวลามาตรฐานของกิเลสในสมัยปัจจุบันคนมีกิเลสมาบวช เห็นไหม เรามีกิเลสเราก็มาปฏิบัติ แล้วมาปฏิบัติขึ้นมา เพราะกิเลสของเรา กิเลสหยาบ กิเลสกลางกิเลสละเอียด กิเลสอย่างหยาบๆ มันคืออะไร ก็มันดื้อด้านของมัน กิเลสอย่างกลางๆ ก็โดยสามัญชนชั้นกลางเรานี่เวลากิเลสอย่างละเอียด จะพูดดีมากดีขนาดไหนมันก็มีกิเลสอยู่ในใจ มันก็บีบคั้นมาในใจทั้งนั้นน่ะ ฉะนั้น เวลาปฏิบัติโดยกิเลสมาตรฐานของกิเลสมันก็จะเอารัดเอาเปรียบ จะเอาสะดวกสบาย จะเอาธรรมะที่มันหยิบคว้าเอาได้ง่ายๆ นี่ถ้ามาตรฐานของกิเลสเป็นอย่างนั้น เวลาเราไปเจอแนวทางปฏิบัติอย่างใดที่สมกับกิเลส เราก็พอใจ

ฉะนั้น เวลาเราบวชเข้ามาแล้วเราปฏิบัติแล้ว เวลาครูบาอาจารย์ท่านเป็นหลักเป็นชัย ท่านยืนยันกับเรา ยืนยันกับเราให้เรามั่นใจแล้วให้เรามีสติปัญญาปฏิบัติของเราขึ้นมา ถ้าบอกว่าความจริงมันมี เห็นไหม เราปฏิบัติค้นหาความจริงกันนะ

เวลาเราแสวงหาเงินหาทองเราก็ต้องการเงินทองที่เป็นของจริงเงินก็เป็นเงินจริงๆเวลาเป็นทองคำก็เป็นทองคำจริงๆไม่ใช่เอาเงินเอาทองที่สมมุติกันขึ้นมาทับซ้อนกันไปอีก ให้มันใช้ประโยชน์ไม่ได้ นี่เราทำเราก็หวังความจริงของเรา แต่เพราะมาตรฐานของกิเลส ครูบาอาจารย์ท่านยืนยันกับเราขนาดนั้นว่า ถ้าเราแหวกสระน้ำ แหวกจอกแหน มันก็จะมีน้ำ ถ้าแหวกจอกแหนมีน้ำ นี่บุคลาธิษฐาน แล้วเราปฏิบัติตามความเป็นจริง มันเป็นจริงไหมล่ะ เราแหวกจอกแหน แหวกจอกแหนอย่างไร

ดูสิ การคมนาคมทางแม่น้ำลำคลอง ถ้ามันมีจอกแหนนะจอกแหนที่มันปิดทางอยู่ การจราจรนั้นเขาพยายามจะพายเรือเขาผ่านไปเพื่อเป็นการคมนาคมของเขาเขาผ่านไปได้บ้างถ้าจอกแหนมันยังไม่แน่นหนาเกินไป เขาก็ผ่านไปผ่านมาได้ด้วยความยากลำบากขึ้นเรื่อยๆ แต่ถ้าจอกแหนมันมีจำนวนมากจนเรือจนพาหนะนั้นมันผ่านไปไม่ได้ มันก็ไปไม่ได้ แล้วจะแหวกกันอย่างไรล่ะ

เวลาเราปฏิบัติ เวลาปฏิบัติยืนยันว่า ถ้าแหวกจอกแหนแล้วเจอน้ำแล้วเจอน้ำ ทำอย่างไรต่อไปล่ะ ถ้าแหวกไปแหวกมาเรือมันก็ผ่านไปผ่านมาอยู่นั่นน่ะ แล้วเรือผ่านไปผ่านมา ถ้าไม่เก็บจอกแหน ไม่ช่วยกันบำรุงรักษา ไม่ช่วยกันเก็บนะแม้แต่ทางโลกมันยังเป็นไปไม่ได้เลย ทางโลกจะเป็นไปได้อย่างไรถ้าไม่ช่วยกันพัฒนา ถ้าไม่ช่วยกันพัฒนา มันจะลุกลามไปอย่างนั้นน่ะ จนมันปิดทางน้ำนั้น การจราจรทางน้ำมันเป็นไปไม่ได้ แต่เราก็บอกว่า "มันเป็นความจริงๆ ความจริงของเรา อย่างไรมันก็เป็นไปได้"...นี่มาตรฐานของกิเลสมันเหมารวมเอา มันมีเล่ห์มีเหลี่ยม มีชั้นมีเชิงอยู่ในใจ มันไม่เป็นความจริงหรอก

แต่ถ้าเป็นความจริงนะ ถ้าครูบาอาจารย์ท่านเคยประพฤติปฏิบัติขึ้นมา มาตรฐานของธรรมมันมีมาตรฐานเดียวเท่านั้นแหละจอกแหนคือกิเลสตัณหาความทะยานอยาก น้ำนั้น น้ำนั้นก็คือหัวใจ ก็คือความรับรู้สึกของเราไง ถ้าน้ำนั้นมีความรู้สึกของเรา น้ำใสจะเห็นตัวปลา เวลาทำความสงบของใจขึ้นมา จิตสงบแล้วมันจะเห็นตัวปลาๆทุกคนทำสมาธิ จิตเป็นสมาธิ ถ้าครูบาอาจารย์ที่อ่อนด้อยก็บอกว่า "ธรรมนี้เป็นความว่าง นิพพานเป็นความว่าง สิ่งต่างๆ เป็นความว่าง"

เราก็ยังไปทำความว่าง น้ำใสจะเห็นตัวปลา พอจิตสงบเข้ามามันก็ใสใสของมัน ว่างของมัน แล้วปลามันอยู่ไหนล่ะ ปลามันอยู่ไหน

น้ำใสแล้วเห็นตัวปลา มันก็เป็นบุคลาธิษฐานเหมือนกัน ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่าน้ำใสแล้วจะเห็นตัวปลา ถ้าน้ำขุ่นข้น น้ำเป็นโคลนเป็นตมมันจะไม่เห็นปลาเห็นไหม ต้องทำความสงบของใจถ้าใจมันสงบเข้ามาก็เหมือนน้ำใส ถ้าน้ำใสแล้วก็ต้องค้นหาตัวว่าปลามันอยู่ไหนคือกิเลสมันอยู่ไหน

การประพฤติปฏิบัติมันมีขั้นมีตอนของมัน มาตรฐานของธรรมมันมีของเขา ถ้าจิตใจของใครที่เป็นธรรม เป็นธรรมเวลาพูดออกมา คนที่มีความรู้จริงออกมาอย่างใดมันก็มีธรรมออกมา แต่ถ้าจิตใจที่มันไม่มีธรรม มันไม่มีธรรมมันพูดออกไปมันก็สักแต่ว่าพูด สักแต่ว่าเป็นสัญญา สักแต่ว่าที่ครูบาอาจารย์ท่านเป็นบุคลาธิษฐานยืนยันกับเราว่ามีธรรมะจริง แต่วิธีการชำระล้างกิเลสมันยังมีขั้นตอนของมันต่อไปถ้ามันเป็นจอกเป็นแหน เราก็ต้องเก็บเราก็ต้องพยายามพัฒนาเอาจอกเอาแหนนั้น เอาจอกแหนมาทำไมดูสิ เขาเอาไปตากแห้ง เอาไปทำเป็นสินค้าก็ได้ เขาเอาไปหมักทำเป็นปุ๋ยก็ได้เขาเอาไปทำประโยชน์ สิ่งใดเป็นประโยชน์ นั่นเขาทำของเขาเพื่อพัฒนาของเขา ถ้าใจของเราล่ะ ถ้าจิตมันสงบแล้วมันเห็นกาย เห็นเวทนา เห็นจิต เห็นธรรมตามความเป็นจริงนะ ตามความเป็นจริง ถ้าเห็นไม่จริงก็มี เห็นไม่จริงก็เห็นโดยอุปาทานเห็นโดยอุปาทานเห็นโดยสัญญามั่นหมาย เห็นโดยจินตนาการ มันเห็นแตกต่างหลากหลายขนาดไหน

นี่พูดถึงถ้ามาตรฐานของธรรมเวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเทศนาว่าการ วันนี้วันมาฆบูชามาฆบูชา เริ่มต้นตั้งแต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เอหิภิกขุ บวชเข้ามา แล้วอบรมสั่งสอนขึ้นมาเป็นพระอรหันต์ ๑๒๕๐ องค์ แล้วให้เผยแผ่ธรรมออกไป จากผู้ที่มีความสะอาดบริสุทธิ์ ผู้ที่ไม่มีเล่ห์มีเหลี่ยมในใจ เวลาผู้ที่ไม่มีเล่ห์มีเหลี่ยมในใจแล้วเขาประพฤติปฏิบัติของเขาตามความเป็นจริง เขาต้องมีมรรคมีผลในใจตามความเป็นจริง มรรค ๔ ผล ๔

ถ้ามรรค ๔ผล ๔ คนที่มีมรรค ๔ผล ๔ ด้วยกัน คนที่รู้ความเป็นจริง เพียงแต่มันแตกต่างกันว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นศาสดา เป็นผู้รื้อค้นเอง ตรัสรู้เองโดยชอบ แต่ ๑๒๕๐ องค์นั้นเป็นสาวกสาวกะ ผู้ที่สร้างสมบุญญาธิการมา เวลาได้เอหิภิกขุ บวชกับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นผู้อบรมสั่งสอน อบรมสั่งสอนจนถึงที่สุดแห่งทุกข์ด้วยกัน เวลาเผยแผ่ไปมันก็เป็นประโยชน์ เห็นไหม ไม่มีแง่ไม่มีงอน

แต่ถ้าเรามีกิเลสตัณหาความทะยานอยาก อยู่กับครูบาอาจารย์ก็มีแง่มีงอน มีแง่มีงอน มีเล่ห์มีเหลี่ยม พอมีเล่ห์มีเหลี่ยม สิ่งที่มีเล่ห์เหลี่ยม เราฟังธรรม ฟังธรรมโดยเล่ห์โดยกล โดยเล่ห์เหลี่ยม มันไม่เอามาเป็นประโยชน์กับเราตามความเป็นจริง ถ้าเป็นประโยชน์กับเราตามความเป็นจริง เราปฏิบัติไป เรารู้เราเห็นสิ่งใด มันมีขั้นตอนของมันไง มันมีขั้นตอน ขั้นตอนการขุดคุ้ยหากิเลส

ในการประพฤติปฏิบัติของเรา นักปฏิบัติมามหาศาล ถ้าจิตสงบแล้วทำไมมันไม่เห็นกาย

ถ้าจิตมันสงบแล้ว ถ้าสงบโดยสัจจะนะ โดยความเป็นจริงนะ แม้แต่ทำความสงบยังทำความสงบกันไม่ได้ เอาชนะใจตัวเองไม่ได้ ทำให้น้ำนั้นใสแล้วเห็นตัวปลาไม่ได้ ไม่แหวกจอกแหนให้เห็นน้ำ ถ้าคนเราอดอาหารได้นะ อดอาหาร เรามีการอดอาหารกันเพื่อประพฤติปฏิบัติ แต่อดน้ำตายนะ สิ่งที่อดน้ำตายเพราะร่างกายมันขาดน้ำไม่ได้ แต่ขาดอาหารเรามีสิ่งไปเกื้อกูลได้เพราะยังมีน้ำเลี้ยงอยู่

ฉะนั้น ถ้าเราแหวกจอกแหนแล้วเราจะเห็นกิเลสอย่างไร ถ้าการเห็นกิเลสมันก็ต้องจับจอกแหนขึ้นมา จับจอกแหน จับนะ ถ้าจับได้ น้ำใสก็เห็นตัวปลา ถ้าจับได้ มันก็เห็นกิเลส แต่ถ้าเราไม่รู้จักจอกแหน เขาบอกว่าแหวกจอกแหนๆ แหวกจนไม่มีจะแหวก มันทำอย่างไรมันถึงไม่มีจะแหวก มันจะเป็นไปได้อย่างไร มันเป็นไปไม่ได้ มันเป็นไปไม่ได้เพราะมีแง่มีงอน มีเล่ห์มีเหลี่ยมมันไม่เป็นความจริงถ้าเป็นความจริงนะจับจอกแหนแล้วทำลายจอกแหนอย่างใด การทำลายเวลาครูบาอาจารย์ของเรา เวลา ธมฺมสากจฺฉา เอตมฺมงฺคลมุตฺตมํ เห็นไหมขณะจิตที่มันเป็น ถ้าขณะจิตที่มันเป็นนี้มันไม่เป็นความจริงไม่เป็นความจริงนะคนเจ็บไข้ได้ป่วยเวลาเรารักษา หาหมอ เรารักษามาดูแลมาตลอด แต่เวลามันหาย มันหายนะ แต่กว่าที่มันจะหาย มันดูแลมาตลอดใช่ไหม นี่ก็เหมือนกัน เวลาประพฤติปฏิบัติ ถ้าจิตเราจับกิเลสได้เห็นกาย เห็นเวทนาเห็นจิต เห็นธรรมตามความเป็นจริงพิจารณาซ้ำแล้วซ้ำเล่าๆ มันดูแลกันมามันฝึกหัดปัญญามามรรคมันจะเดินของมันไปเป็นชั้นเป็นตอนของมันขึ้นไปตั้งแต่ปุถุชนเป็นกัลยาณปุถุชน

เวลากัลยาณปุถุชน นี่กัลยาณปุถุชนนะ เจริญแล้วเสื่อมๆ ถ้าไม่มีครูบาอาจารย์คอยชี้แนะเจริญแล้วเสื่อมอยู่อย่างนั้น มันไม่ก้าวเดินเสียที นี่ยังภาวนาไม่เป็น แต่ถ้าจิตสงบแล้วเห็นกายเห็นเวทนา เห็นจิตเห็นธรรมตามความเป็นจริง ถ้าเห็นกายเห็นเวทนา เห็นจิตเห็นธรรมตามความเป็นจริง นั้นจะเริ่มต้นพัฒนาใจนี้เข้าสู่วิปัสสนา เป็นโสดาปัตติมรรค ถ้าโสดาปัตติมรรคพิจารณาซ้ำแล้วซ้ำเล่า นี่ตทังคปหาน พิจารณาแล้วมันปล่อยๆ เป็นตทังคปหาน ถ้าตทังคปหาน ถ้าไม่ถึงที่สุดมันก็ยังเสื่อมเสื่อมลงมาเป็นปุถุชน แต่ถ้าพิจารณาซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนถึงที่สุด คำว่า"ถึงที่สุด" เวลามันสมุจเฉทปหาน นี่ขณะจิต ขณะจิตที่มันเปลี่ยนจากปุถุชนเป็นกัลยาณปุถุชนเวลากัลยาณปุถุชนเป็นอริยบุคคล ถ้ามันเป็นโสดาบันขึ้นมาแล้ว เป็นอกุปปธรรม มันไม่มีการเปลี่ยนแปลง มันมีชั้นมีตอนของมันขึ้นไป ถ้ามีชั้นมีตอน นี่ไง สิ่งที่เป็นความจริงถ้ามันไม่มีแง่มีงอนมันก็ต้องเป็นความจริงของมัน แต่ถ้ามันมีแง่มีงอน มันก็ตะแบงไปอย่างนั้นน่ะ ตะแบงไป

เวลาบุคลาธิษฐานนะ สิ่งที่เป็นวัตถุนี่เป็นบุคลาธิษฐาน แล้วธรรมาธิษฐานมันมีที่ไหน มันไม่มีธรรมาธิษฐานธรรมาธิษฐานคือสภาวธรรม สิ่งที่สัจธรรมมันไม่มี พอมันไม่มี มันก็แสดงออกมาไม่ได้สิ่งที่แสดงออกมาไม่ได้ มันเป็นความจริงไม่ได้ เป็นความจริงที่ว่า พิจารณาอย่างไร พิจารณาแหวกจอกแหนๆ มันแหวกอย่างใด นี่มันมีแง่มีงอนของมันมันไม่จริงขึ้นมา แล้วก็อ้างกัน อ้างกันว่า"ถ้ามันปฏิบัติแล้วก็เหมือนกินอาหารเหมือนกินข้าว กินข้าวแล้วก็ต้องอิ่มกินอิ่มแล้วก็จบกัน"...นี่มันตะแบง

คำว่า "กินข้าวแล้วอิ่ม" เขาพูดกันเพื่อไม่ต้องการให้มีการเยิ่นเย้อ ถ้ามันอิ่ม อิ่มอย่างไรดูสิ ในปัจจุบันนี้นะเวลาเขากินอาหารเป็นพิษ นักเรียนนี่ขนาดกินนมบูด ส่งโรงพยาบาลทั้งนั้นน่ะ กินแล้วอิ่มไหมนมบูดอิ่มไหม ตายน่ะสิ ถ้ากินแล้วตายล่ะ ถ้ากินแล้วอิ่ม อิ่มอย่างไร

มันมีกินแล้วตายกับกินแล้วอิ่มถ้ากินแล้วอิ่ม มันต้องเป็นสัมมาทิฏฐิมันเป็นมรรคญาณมันเป็นความถูกต้องนั้นกินแล้วอิ่ม แต่ถ้ามันเป็นนมบูด มันเป็นอาหารที่เป็นพิษกินแล้วตาย การปฏิบัติจะไม่มีการดำเนินการต่อไปการปฏิบัติอยู่แค่นั้นน่ะ มันก็เป็นมาตรฐานของกิเลสกิเลสเป็นมาตรฐานนี่ถ้าจิตใจมันเป็นธรรม มันจะเป็นธรรม ถ้าจิตใจเป็นกิเลส อย่างใดก็เป็นกิเลส

เวลาอ้างอิงกันไป บอกว่า "ทำอย่างไรก็ได้ จะขึ้นเขาทางไหนก็ได้ จะขึ้นเขาลูกหนึ่ง จะขึ้นช่องไหนก็ได้"...ขึ้นเขาหรือวนในภูเขาวนอยู่ที่ตีนเขานั่นน่ะวนไปวนมาอยู่นั่นน่ะวนรอบภูเขานะ มันไม่ใช่ได้ขึ้นเขา การขึ้นเขา มันต้องปีนเขา ถ้าจิตใจที่อ่อนแอ จิตใจที่ไม่มีกำลัง มันไม่กล้าสมบุกสมบัน มันไม่กล้าเดินขึ้นสู่เขา มันเดินไปแล้วมันคิดของมันว่ามันขึ้นเขา

การขึ้นภูเขานะ มาตรฐานของธรรมมีมาตรฐานเดียว การขึ้นเขาภูเขา ภูเรา ที่เราปฏิบัติอยู่นี่ก็ภูเขา ภูเรา ภูเขานะ เขาทำลายได้ทั้งนั้นน่ะภูเขานะ เดี๋ยวนี้เขาระเบิดเอาไปเป็นแร่หินต่างๆ เขามาทำประโยชน์ทั้งนั้นน่ะภูเขานี่ระเบิดหมดทำลายหมด แต่ภูเรานี่ ภูเขาในใจนี่ไม่มีใครทำลายมันได้เลย ไม่มีใครทำลายได้ มันมีแต่มีแง่มีงอน

เวลาเขาบอกเขาบอกว่าภูเขาข้างนอก อ้างอิงกันว่าภูเขาขึ้นทางไหนก็ได้ถ้าภูเขาขึ้นทางไหนขึ้นเขานะ ดูสิ เวลาเขาฝึกฝน เขาจะขึ้นภูเขา ภูเขาหิมาลัยเขาจะขึ้นกัน เขาต้องไปหัดปีนเขากัน หัดปีนเขากันเพราะปีนเขาเพื่อให้ร่างกายมันแข็งแรง เพื่อให้มันทนต่อสภาพที่ออกซิเจนมันน้อยได้เวลาขึ้นไปสู่ที่สูงออกซิเจนมันไม่มีออกซิเจนมันเบาบางแล้วเราจะหายใจอย่างใด ขนาดคนที่เขาฝึกหัดนะ เขาเอาถังออกซิเจนขึ้นไปแล้วก็ไปทิ้งบนภูเขาไปตายกันบนภูเขามหาศาล ไปตายบนภูเขาก็มี ไปตกเขาตายก็มี แล้วเวลาปีนขึ้นไปแล้วก็ปีนไม่ไหวก็มี เขาต้องฝึกหัดของเขา แล้วถ้าฝึกหัดแล้วจะขึ้นทางไหน จะขึ้นไปแล้วมันเป็นอย่างใดนี่ไง ธรรมาธิษฐานไงถ้าบุคลาธิษฐาน จะขึ้นเขาทางไหนก็ได้คนฟังก็เชื่อนะ เออ! จะขึ้นเขาทางไหนก็ได้

จะขึ้นทางไหนก็ได้นี่มันเป็นแง่เป็นงอนไง เวลาเขาขึ้นกันน่ะ เขาขึ้นทางเนปาล ทางเนปาลมันขึ้นแล้วมันขึ้นไปโดยสะดวก จะขึ้นทางทิเบตก็ได้ จะขึ้นทางอินเดียก็ได้ จะขึ้นทางไหนก็ได้ แต่ขึ้นหรือเปล่าล่ะ หรือวนรอบอยู่นั่นล่ะเพราะภูเขาลูกหนึ่งมันครอบคลุมหลายประเทศนะ มันครอบคลุมหลายประเทศ จะขึ้นทางไหนก็ได้ จะขึ้นทางไหน แต่ต้องขึ้นไปแล้วเขาจะรู้ของเขานี่ธรรมาธิษฐาน

บุคลาธิษฐานคือเราเอามาอ้างอิงกัน

ธรรมาธิษฐานมันจะมีขั้นตอนตามความเป็นจริงของมัน นี่ธรรมะที่มีมาตรฐานเดียว

ธรรมะหลายมาตรฐานเป็นธรรมะของกิเลส เป็นแง่เป็นงอนของกิเลส กิเลสมันไม่มีทางไป มันก็หาทางออกของมันหาทางดิ้นรนไปตามแต่จะอ้างอิงไป นี่ปฏิบัติธรรมด้นเดาธรรมมันถึงไม่เป็นความจริง

ถ้าปฏิบัติธรรมตามความเป็นจริงนะ ปฏิบัติธรรมไม่มีสอง หนึ่งไม่มีสอง ทำความสงบของใจเข้ามา ถ้าใจมันสงบนะ ถ้าเราแหวกจอกแหน เราจะเห็นน้ำ ถ้าเราจะขึ้นเขา เราต้องฟื้นฟูร่างกายของเราฟื้นฟูร่างกายพยายามปฏิบัติของเราขึ้นมาให้มันเป็นความจริง ถ้ามันปฏิบัติขึ้นมาเป็นความจริง จะขึ้นเขาไหนก็ได้ ภูเรานี่ภูเขา ภูเรา เราจะทำลายออกมาอย่างไร กิเลสตัณหาความทะยานอยากในใจถ้ามันจะทำลายของมัน เห็นไหม

วันนี้วันสำคัญทางพระพุทธศาสนานะ วันสำคัญเพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เอหิภิกขุ บวชให้เองแล้วฝึกหัดเองจนสิ้นกิเลสทั้งหมด แล้วเวลาสิ้นกิเลสแล้วเผยแผ่ธรรมมาๆขณะที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเผยแผ่ธรรมมาครั้งแรก วินัยยังไม่มียังไม่ได้บัญญัติวินัยบัญญัติวินัยมาเพราะพระจุนทะเห็นศาสดาลัทธิอื่นเวลาเขาตายไป ลูกศิษย์ลูกหาของเขามีการกระทบกระเทือนกัน มีการทะเลาะเบาะแว้งกัน มาเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบัญญัติวินัย

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกบัญญัติไม่ได้บัญญัติไม่ได้ เพราะอะไร เพราะพระอรหันต์ทั้งนั้น มีความสงบสุข มีแต่การชักนำ รื้อสัตว์ขนสัตว์ พยายามชักนำขึ้นมาเพื่อประโยชน์กับการรู้แจ้ง เพื่อประโยชน์กับเรื่องบุญกุศล เพื่อประโยชน์กับการบรรลุธรรมในใจของบริษัท ๔ ไม่ได้หวังสิ่งใดเลย ทำเพื่อประโยชน์ทั้งนั้น ถ้าทำเพื่อประโยชน์ ไปบัญญัติวินัยอะไร

แต่เวลาพระจุนทะบอกเพื่อความมั่นคงของศาสนา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงบอกว่า "ถ้ามันมีเหตุแล้วเราถึงจะบัญญัติ" ถ้ามันมีเหตุ เห็นไหม พอภิกษุมากขึ้น ผู้ที่บวชเข้ามาในศาสนา จากที่ว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ได้บวชให้ เริ่มตั้งแต่ถึงไตรสรณคมน์ มันก็มีจำนวนมากขึ้น พอจำนวนมากขึ้น การปกครอง การดูแล ผู้ที่สอน ใครจะไปสั่งสอน เพราะถ้าพระอรหันต์สั่งสอนมันก็จบไง แต่ถ้ามันด้นเดาล่ะ มันแง่งอนของกิเลสสั่งสอน มันก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งไง แล้วยิ่งญัตติจตุตถกรรมขึ้นมามันยิ่งไปเลย ในสมัยพุทธกาล ฉัพพัคคีย์ สิ่งต่างๆ ที่บัญญัติวินัยขึ้นมาแล้วก็พยายามบิดเบือน พอบิดเบือนขึ้นมาก็มีอนุบัญญัติ อนุบัญญัติบัญญัติมาตลอด บัญญัติเพราะอะไรล่ะ บัญญัติเพราะมันมีพวกเล่ห์กลเข้ามา พวกที่แอบแฝงเข้ามาศาสนาแล้วไม่เชื่อ ไม่ลงใจไง

คำว่า "ลงใจ" ถ้าเราประพฤติปฏิบัตินะ ถ้าครูบาอาจารย์ของเราเป็นธรรม มันซึ้งบุญซึ้งคุณมากนะ ดูสิ พระอรหันต์ ๑๒๕๐ องค์ไปเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าโดยไม่ได้นัดหมาย เพราะมันซึ้งบุญซึ้งคุณ ซึ้งบุญมาก

คนเราเป็นไข้เจียนตายนะ คนที่กิเลสฝังหัวใจ คนที่มารครอบงำอยู่มันทุกข์ยากทั้งนั้นน่ะ แล้วที่ตัวเองว่า ชฎิล ๓ พี่น้องก็ปฏิญาณตนว่าเป็นศาสดา ก็คิดว่าตัวเองควบคุมได้ ควบคุมได้ก็ด้วยการรักษาสถานะเท่านั้นเอง เพราะมันไม่มีใครสั่งใครสอน เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไปทรมานเอา "เธอไม่ใช่ เธอไม่ใช่พระอรหันต์ เธอกิเลสเต็มหัวใจ"

คอตกเลย พอคอตก ฟังองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พิจารณาไปถึงที่สุดแห่งทุกข์ เห็นไหม มันซึ้งบุญซึ้งคุณ ถึงเวลาแล้วความลงใจ ถ้าเป็นธรรมนะ จะไม่มีการกระทบกระเทือนกัน ถ้าเป็นธรรมนะ อาจารย์เป็นธรรม ลูกศิษย์เป็นธรรม สิ่งต่างๆ เป็นธรรม ธรรมมีแต่ความร่มเย็นเป็นสุข ธรรมมีแต่ความชุ่มชื่น ถ้าเป็นธรรมนะ

แต่ถ้ามันเป็นกิเลส "ทำสิ่งใดครูบาอาจารย์ก็ไม่เอออวยสักที ทำสิ่งใดครูบาอาจารย์ก็คอยโต้คอยแย้ง ทำสิ่งใดครูบาอาจารย์ก็ไม่เชื่อถือศรัทธาเรา"

จะไปเชื่อถือศรัทธาอะไร เพราะเราเป็นลูกศิษย์ เราไม่ใช่เป็นอาจารย์ เพราะเป็นอาจารย์ ครูบาอาจารย์ที่เป็นอาจารย์ของเราท่านได้พิจารณาของท่าน ท่านได้ชำระล้างกิเลสของท่าน แล้วจิตที่มันสูงกว่า ท่านเห็นเล่ห์กลเราทั้งหมดล่ะ แต่คำว่า "อาจารย์" เหมือนพ่อแม่กับลูก พ่อแม่รักลูกมากนะ พ่อแม่มีลูกหลายคนนะ ลูกดีก็มี ลูกที่มันปานกลางก็มี ลูกที่มันไม่เอาไหนก็มี พ่อแม่ทุกข์ตรมใจทั้งนั้นน่ะ แต่พ่อแม่ก็พยายามเลี้ยงดู พยายามจะเกลี้ยกล่อมให้มันเป็นคนดีขึ้นมาให้ได้

นี่ก็เหมือนกัน ถ้ามันลงใจ สิ่งที่ลงใจ เวลาวันนี้วันสำคัญ พระอรหันต์ ๑๒๕๐ องค์ไม่ใช่ลงใจธรรมดานะ ลงใจด้วย อยากไปกราบไปไหว้ อยากจะเคารพบูชา ไปโดยไม่ได้นัดหมาย องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นี่มันสะอาดบริสุทธิ์นะ เทศนาว่าการด้วยความสุข วิมุตติสุข เพราะใจมันเป็นสุขอยู่แล้ว ไม่มีแง่งอนในใจ แล้วจะรื้อสัตว์ขนสัตว์ ฉะนั้น สิ่งที่มันลงใจ มันจะเป็นประโยชน์

ถ้าไม่ลงใจ เห็นไหม ครูบาอาจารย์ท่านว่าอย่างไรเราก็ตีความไปประสาเราว่า กินแล้วก็อิ่มเอง ปฏิบัติไปมันก็รู้เอง รู้ไปต่างๆ...แล้วรู้อะไรล่ะ รู้กิเลสไง แต่ถ้ามันเป็นจริงนะ เราจะตั้งใจของเรา

เราเกิดมาเป็นมนุษย์ เราปฏิบัติได้ มันก็จะเป็นสมบัติของเรา เราปฏิบัติไม่ได้ เราก็ปฏิบัติบูชาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า รักษาใจของเรา สร้างอำนาจวาสนาบารมีของเรา อย่าน้อยเนื้อต่ำใจ อย่ามีแง่มีงอนกับธรรม กับธรรม เพราะครูบาอาจารย์ของเราถ้าเป็นธรรมแล้ว นั่นล่ะอยู่ใกล้ครูบาอาจารย์ ถ้าเราปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ มันจะเป็นอำนาจวาสนานะ

เราอยู่กับครูบาอาจารย์มา ถ้าครูบาอาจารย์ท่านทำสิ่งใด เราอยากอุปัฏฐาก เราอยากช่วย อยากดูแลเพื่อหวังผลบุญ ขอให้มีบุญบ้าง เพื่อภาวนาจะได้ง่ายขึ้น แต่ถ้ามีแง่มีงอน มันน้อยเนื้อต่ำใจไปทุกอย่าง อะไรก็ไม่ถูก อะไรก็ไม่ดีไม่งามไปสักอย่างเลย

ครูบาอาจารย์ของเราท่านเป็นธรรม ท่านจะทำเราด้วยความฉ้อฉล นี่เป็นจริงไหม เพียงแต่ว่าเรา สมองหรือความรู้สึกของเรามันหมุนไม่ทัน มันหมุนไม่ได้ขนาดนั้นเชียวหรือ นี่ไง ถ้ามันมีแง่มีงอนมันเป็นของมันอย่างนั้น

ถ้าไม่มีแง่มีงอนนะ สิ่งที่ครูบาอาจารย์ท่านพูดมา ท่านพูดมาเป็นบุคลาธิษฐาน บุคลาธิษฐาน หมายความว่า เรานี่ไม่มีเชาวน์ปัญญาขนาดนั้นเลย ถึงต้องบอกว่า ถ้าแหวกจอกแหนจะเจอน้ำ ถ้าแหวกจอกแหนเจอน้ำ คนที่ไปเจอน้ำจะรู้เองว่าสมาธิเป็นแบบใด แล้วถ้ามันได้แยกได้แยะของมันนะ มันจะรู้เองว่ามันเห็นกิเลสอย่างใด แล้วถ้ามันพิจารณาของมันถึงที่สุด เวลามันสมุจเฉทปหาน จะรู้เลยว่าเราจะทำลายจอกแหนอย่างใด

ถ้าคนเรานะ ไม่ได้ชำระล้างกิเลสแต่ละชั้นแต่ละตอนขึ้นไป ไม่มีขณะจิต ถ้ามีขณะจิต การพูดออกมามันจะบอก ถ้ามีขณะจิตนะ เป็นโสดาบัน เป็นสกิทาคามี เป็นอนาคามี สิ้นสุดแห่งทุกข์เป็นพระอรหันต์ มันทำอย่างใด แล้วถ้ามันทำอย่างใดแล้ว แล้วถ้าจิตมันทำอย่างนั้นได้ จิตใจมันจะไม่มีแง่มีงอนเลย เพราะจิตใจมันสะอาดบริสุทธิ์ มันจะเอาความแง่งอนมาจากไหน

ถ้ามันยังมีแง่มีงอนอยู่นี่ แล้วเวลาพูดธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พูดธรรมะของครูบาอาจารย์เราว่า "มันเป็นอย่างนั้น การขึ้นภูเขาจะขึ้นทางใดก็ได้ จะทำสิ่งใดก็ได้ ทำสิ่งใดก็ได้ ใครจะมาติฉินนินทาฉันไม่ได้ ใครจะมาจับผิดฉันไม่ได้"

มันไม่ต้องจับผิดหรอก คนพูดมันก็ไม่แน่ใจ คนพูดมันก็หวั่นไหว ถ้ามันไม่หวั่นไหว ทำไมไม่พูดความจริงออกมาล่ะ มันก็หวั่นไหวของมันเองนั่นแหละ ถ้ามันมีอยู่ในใจนะ ถ้าใจของใครมีกิเลสตัณหาความทะยานอยาก มันยังมีของมันอยู่ มันหวั่นไหวทั้งนั้นน่ะ มันมีความสงสัย มันมีความกระเทือนใจทั้งนั้นน่ะ แล้วถ้ามีความกระเทือนใจ เราจะทำอย่างใด

ถ้าเราจะทำของเรานะ เราตั้งสติของเรา เกิดมาชาตินี้เกิดมาเป็นมนุษย์ การเกิดการตาย เราเป็นชาวพุทธด้วยกัน เราก็เห็นว่าการเกิดและการตายมันเวียนตายเวียนเกิด แต่ด้วยความประมาท ด้วยความที่คิดว่าเรามันไม่มีทางออก นี่กิเลสมันอาศัยแค่นี้ "ยังไม่ตายหรอก จะตายอีก ๑๐๐ ชาติหน้า ดำรงชีวิตของเราไปก่อน" มันเกลี้ยกล่อมแค่นี้ ตายห่าหมดเลย

แต่ถ้าเราเป็นความจริงนะ เราเห็นนะ หายใจเข้าและหายใจออกก็ตาย คนมีสตินะ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถามพระอานนท์ "เธอระลึกถึงความตายวันละกี่หน"

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอก "ช้าเกินไป ระลึกถึงความตายต้องทุกลมหายใจเข้าออก"

แม้แต่หายใจเข้าและหายใจออก คนเราในปัจจุบันนี้เวลาเส้นเลือดแตกนี่ไปเลย ถ้าคิดอย่างนั้น เราจะหาที่พึ่งของเรา ถ้าเราหาที่พึ่งของเรานะ มันมีจิตใจที่มั่นคง ถ้าจิตใจที่มั่นคง มีสติปัญญาของเรา เราจะรักษาใจของเรา ถ้ารักษาใจของเรานะ ทำความสงบของใจเข้ามา ถ้าใจไม่สงบนะ เราใช้ปัญญาอย่างนี้มันเป็นโลกียปัญญา มันเป็นมาตรฐานของกิเลส ถ้ามาตรฐานของกิเลสนะ แล้วเวลามันตรึกในธรรม มันจินตนาการได้เพริศแพร้วมาก ถ้ามันจินตนาการได้เพริศแพร้วมาก เราก็บอกเรามีปัญญามาก เรามีปัญญามาก

มีปัญญามาก กิเลสมันก็เอาไปกินแล้ว มีปัญญามาก ชำระล้างกิเลสได้อย่างไร มีปัญญามาก ช่วยเหลือหัวใจของเราที่มันเรียกร้องความช่วยเหลือจากเราอยู่นี่ มันเรียกร้องความช่วยเหลือนะ เรียกร้องความช่วยเหลือด้วยมีธรรม ด้วยมีธรรม ด้วยมีศีล สมาธิ ปัญญา ด้วยเอาสัจธรรมเข้ามาชำระล้าง ถ้าจิตใจมันเศร้ามันหมองอยู่นี่ ถ้ามันพุทโธๆๆ นี่พุทธานุสติ ถ้ามีสติ พุทธานุสติ เราอยู่กับพุทโธ นี่มันเรียกร้องให้เราช่วยเหลือ ถ้าเราเรียกร้อง เรามีสติปัญญาของเรา ถ้าเรามีความจริงใจกับเรา เราทำของเราขึ้นมาเพื่อประโยชน์กับเรา มันไม่มีสิ่งใดจะเป็นประโยชน์กับเรามากไปกว่านี้อีกแล้วล่ะ ถ้าเราทำสิ่งใดขึ้นมา เรารู้เราเห็นเอง นี่ปัจจัตตัง

จากการได้ยินได้ฟัง จากที่มีครูบาอาจารย์คอยชี้นำ เราก็สงสัย มันจะเป็นอย่างนั้นจริงหรือเปล่า เราปฏิบัติไปแล้วทำไมมันแฉลบ ปฏิบัติไปแล้วมันยื้อกัน ปฏิบัติไปแล้วมันแน่ใจไม่แน่ใจ มันมีความสงสัยไปตลอดเลย แต่ถ้าเราจริงจังของเรา เห็นไหม ด้วยความจริงจังของเรา เราทำความสงบของใจเข้ามา ถ้าใจมันสงบเข้ามา ถ้าจิตมันเริ่มสงบเข้ามา สงบเพราะเหตุใด สงบเพราะมีสติ สงบเพราะมีการกระทำ แล้วมีการกระทำ เราเป็นคนบริหารจัดการของเราเอง ดูสิ การพัฒนาของเขา เขาต้องมีคนบริหารจัดการขึ้นมาเพื่อการพัฒนา พัฒนาเสร็จแล้วก็ต้องมีคนดูแลนะ งบดูแลรักษามันต้องมีดูแลรักษาตลอดไป

ไม่ตลอดไป มันอนิจจัง สรรพสิ่งในโลกนี้เป็นอนิจจังทั้งนั้นน่ะ แม้แต่โลกเขายังมีงบบำรุงรักษาเลย แล้วหัวใจของเรา ถ้าเรามีสติปัญญา ถ้ามันสงบเข้ามา สงบเข้ามาแล้วเราจะมีใครดูแลมันไหม ถ้าไม่มีใครดูแลมัน นี่ธรรมทั้งหลายมาแต่เหตุ ถ้าเหตุมีเท่านี้ มันก็เท่านี้ พอเหตุนะ เราทำด้วยความมุมานะขึ้นมา จิตใจมันก็สงบเข้ามา พอจิตสงบเข้ามาโดยที่ไม่มีการดูแลรักษา มันก็เสื่อมสภาพของมันไปเป็นธรรมดา ถ้าเสื่อมสภาพไปแล้วก็ล้มลุกคลุกคลานอยู่อย่างนั้นด้วยความไม่จริงไม่จังของเรา

ถ้าเราจริงเราจังของเรา เราตั้งสติของเราขึ้นมา แล้วพุทธานุสติก็ได้ ปัญญาอบรมสมาธิก็ได้ ปัญญาอบรมสมาธิมันเป็นการยืนยันตอกย้ำมาตลอดนะว่า ถ้าปัญญาอย่างนี้ที่ใช้จินตนาการของเราอย่างนี้ ใช้ปัญญาอย่างนี้ นี่มันเป็นมาตรฐานของกิเลส มันเป็นโลกียปัญญา ตรึกในธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถ้าเป็นสมมุติ สิ่งที่เป็นสมมุติ สิ่งที่โลกนี้จินตนาการกัน เวลามาวิเคราะห์ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทุกคนจะซาบซึ้งไปหมดล่ะ แต่ถ้ามันเป็นจริง ทุกคนไม่เข้าใจ

เวลาครูบาอาจารย์ของเราตั้งแต่หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นท่านเทศนาว่าการมา คนฟังฟังไม่ออกนะ ฟังไม่เข้าใจเลย "เอ๊ะ! นี่พูดเรื่องอะไร พูดเรื่องอะไร"

ก็พูดเรื่องธรรมะของพระพุทธเจ้านี่แหละ

แต่ถ้าเป็นสมมุติบัญญัติ สมมุติที่เขาแต่งเป็นนิยายธรรมะ "โอ๋ย! ฟังแล้วเข้าใจ ฟังแล้วเข้าใจ" นี่ตรรกะไง ฟังเข้าใจ เข้าใจทางโลกไง แล้วเวลาปัญญามันเกิดขึ้นมาอย่างนี้มันก็จินตนาการธรรมะเข้าไป แล้วก็บอกว่า "มีปฏิภาณมีไหวพริบ นี่มันเป็นธรรมๆ"...มาตรฐานกิเลส ไม่ใช่มาตรฐานของธรรม

ดูสิ ในการกีฬานะ ถ้ามาตรฐานของใครที่สูงกว่า กับคู่แข่งมาตรฐานที่ต่ำกว่า อย่างไรก็แพ้ แพ้อยู่วันยังค่ำ แล้วธรรมของเรา มาตรฐานของธรรมเราไม่เกิดเลย มาตรฐานของสติ มาตรฐานของสมาธิ ความสงบของใจมันไม่มีมาตรฐานเลย แต่ความหวั่นไหว กิเลสมันชักจูงไป ความพอใจของเรา มาตรฐานของกิเลสมันเข้มแข็งมาก มาตรฐานของกิเลสมันมีของมันอยู่แล้ว แล้วเอามาตรฐานของกิเลส มาตรฐานของโลกมาจินตนาการธรรม นี่จินตนาการธรรม จินตนาการ เห็นไหม ด้วยปฏิภาณ ด้วยไหวพริบ ด้วยวิเคราะห์วิจัยธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นี่มาตรฐานของกิเลสมันเป็นโลกียปัญญา แล้วถ้ามีสติล่ะ เวลาปัญญาอบรมสมาธิ มีสติทัน ทันปัญญาความคิดของเรา ถ้าทันปัญญาความคิดของเรา พอมันทันมันก็หยุด มันหยุดนี่คืออะไรล่ะ เห็นไหม

มนุษย์ ปฏิสนธิจิต เวลามันเกิดมามันมีปฏิสนธิจิต มีความรู้สึกนึกคิด เราถึงมาเกิดเป็นคน พอเกิดเป็นคนขึ้นมา ด้วยการหล่อเลี้ยงบำรุงรักษา ร่างกายก็เจริญเติบโตขึ้นมา แล้วจิตใจมันเติบโตขึ้นมาด้วยไหม จิตใจมันเติบโตขึ้นมาขนาดไหน เวลาศึกษาขึ้นมามันมีปัญญาๆ ปัญญานี้มันเป็นสัญญา มันเป็นความจำได้หมายรู้ ศึกษามาขนาดไหนต้องทบทวนๆ ดูนักกฎหมายสิ ต้องเปิดกฎหมาย กฎหมายออกมาใหม่ตลอดเวลา ต้องทบทวนตลอดเวลา เพราะกฎหมายมันเขียนมาใหม่ เราไม่ทันเขา เราก็ไม่มีอาชีพ นี่มันเป็นสัญญา มันเป็นการจำได้หมายรู้ มันวิเคราะห์วิจัยเป็นวิชาชีพ

ถ้ามีสติปัญญา ถ้ามันทัน มันหยุดๆ นี่ปัญญาอบรมสมาธิ เวลามันหยุดขึ้นมา หยุดขึ้นมาแล้วมันเหลืออะไร มันเหลืออะไร มันเหลือธาตุรู้ ธาตุรู้ ธรรมชาติที่มันรู้ เพราะมีธาตุรู้ มีพลังงานตัวนี้ มันถึงได้เป็นไฟที่แผดเผาบำรุงรักษาร่างกายนี้ไม่ให้มันเน่ามันเสียหายไป ถ้าจิตออกจากร่างไป ร่างกายนี้มันก็เสียหายของมันไป มันก็เป็นท่อนฟืนเท่านั้น ฉะนั้น ถ้ามีสติปัญญา มันใช้ปัญญาอบรมสมาธิ มันทัน มันแค่ปัญญาอบรมสมาธิเท่านั้นแหละ สิ่งที่ว่าจะขึ้นเขาช่องไหนก็ได้นี่จินตนาการทั้งนั้น

เวลาว่าแหวกจอกแหนๆ มันแหวกอย่างไร มันมีอะไรเป็นความจริงขึ้นมาบ้าง มันมีแง่มีงอนในใจทั้งนั้นน่ะ มันไม่มีคุณธรรมในใจมันถึงไม่มีความจริงออกมา ถ้ามีความจริงออกมา มันมีขณะจิต ที่พูดมานี้มันไม่มีขณะจิต มันไม่มีเหตุมีผล มันไม่มีระหว่างโลกกับธรรม

ถ้ามันจะมี โลก เราเกิดมาเป็นโลกทุกคน เกิดมามีอำนาจวาสนาขนาดไหน เวลาเป็นพระโพธิสัตว์ ๔ อสงไขย ๘ อสงไขย ๑๖ อสงไขย มันเรื่องโลกทั้งนั้นเลย เรื่องโลกเพื่อพัฒนาใจ เพื่ออำนาจวาสนา เพื่อจะมาตรัสรู้เป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นี่เรื่องโลกๆ ทั้งนั้นเลย มันบำรุงรักษาพันธุกรรมนี้ให้มันเข้มแข็งขึ้นมา แต่เวลาเราเกิดมาเราเป็นสาวกสาวกะ เราก็สร้างสมบุญญาธิการของเรามา ถ้าสร้างสมบุญญาธิการ มันเป็นเรื่องโลกทั้งนั้นน่ะ

ถ้าเรื่องโลกขึ้นมา ถ้ามันจะเป็นความจริงล่ะ ความจริงขึ้นมาเพราะเราเชื่อมั่น เราไม่มีแง่มีงอนในใจของเรา เราจะไม่เอากิเลสตัณหาความทะยานอยาก มาตรฐานของกิเลสเอามาเป็นแง่เป็นงอนของใจของเรา ใจของเรานะ เราได้สร้างบุญญาธิการมา เราถึงได้เกิดมาเป็นมนุษย์ เกิดเป็นมนุษย์แล้วเกิดมาพบพระพุทธศาสนา แล้วเกิดเป็นมนุษย์พบพระพุทธศาสนา ศาสนารุ่งเรืองเพราะมีหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นท่านมารื้อค้นของท่านขึ้นมา รื้อค้นตามความเป็นจริงไง ความเป็นจริงที่ว่าเป็นธรรมๆ ที่ว่าฟังแล้วไม่เข้าใจๆ แต่ในปัจจุบันนี้มันมีการตอกย้ำ

ธรรมะ เห็นไหม เวลาฟังธรรม อานิสงส์ของมัน สิ่งที่ไม่เคยได้ยินได้ฟัง สิ่งที่ได้ยินได้ฟังแล้วลังเลสงสัย มันเริ่มชำระล้างความสงสัยของเราออกไป ทำให้จิตใจนี้ผ่องแผ้วๆ ทีนี้ผ่องแผ้ว ก็จินตนาการ เพราะมันมีแง่มีงอนอยู่แล้ว จิตมันมีกิเลสอยู่แล้ว ก็เอาสิ่งนี้มาเป็นข้ออ้าง พอเป็นข้ออ้าง "กินแล้วก็อิ่มเอง ขึ้นเขานี่ขึ้นทางไหนก็ได้ แหวกจอกแหน มันแหวกจอกแหนอย่างไรก็เรื่องของฉัน" แล้วมันมีอะไรขึ้นมาล่ะ มันไม่มีเพราะมันเป็นเรื่องโลก มันไม่เข้าสู่ธรรม

ถ้าเข้าสู่ธรรมล่ะ ถ้าเข้าสู่ธรรมมันต้องมีขณะจิต ขณะจิตที่มันพิจารณาอย่างไร ถ้าจิตสงบเข้าไปแล้วมันก็จับต้อง ดูสิ เวลาใครสงบแล้วไปเห็นกายแว็บๆ แว็บๆ เห็นกายแว็บๆ เห็นไหม เห็นแว็บๆ นี่มันเป็นอำนาจวาสนาของคน อำนาจวาสนานะ เวลาปัญญาอบรมสมาธิ เราใช้ปัญญาๆ ปัญญาที่มันพิจารณาของมันไป ปัญญาปฏิภาณไหวพริบที่มันออกใช้จินตนาการในธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี่สัญญาทั้งนั้น พอสัญญา นี่มาตรฐานของกิเลสไง ถ้ามาตรฐานของมัน มันเอาสิ่งนี้มาอ้างอิง เห็นไหม

ถ้ามาตรฐานของกีฬาที่มันคนละมาตรฐาน มันแข่งกันไม่ได้ ทีนี้มาตรฐานของกิเลสของเรามันเข้มแข็ง พอมาตรฐานของกิเลสมันฟื้นฟู แต่มาตรฐานของเรายังไม่เกิด ถ้ามาตรฐานของเราไม่เกิด แล้วเมื่อไหร่เราจะใช้ปัญญาล่ะ แล้วพอเราใช้ปัญญาไปแล้วมันเป็นปัญญาของกิเลส เป็นมาตรฐานของกิเลส เราก็ว่าสิ่งนี้เป็นธรรมๆ เพราะมันมีความเข้าใจกันได้

แต่ถ้ามันเป็นความจริงนะ ครูบาอาจารย์ที่เป็นจริงท่านจะบอกให้มีสติ คำว่า "มีสติ" คำเดียวเท่านั้นแหละ ความคิดมันจะขนาดไหน พอมีสติเท่าทันขึ้นมานะ มันหยุดหมดน่ะ เพราะสิ่งนี้มันเป็นเรื่องสัญชาตญาณ สิ่งนี้ ดูสิ เรามีหูมีตา ภาพหรือเสียงมันผ่านมา เราได้ยินไหม ได้ยิน นี่ก็เหมือนกัน ธรรมชาติของจิตมันเป็นแบบนี้ เพราะธรรมชาติของจิตมันเป็นแบบนี้ มันมีของมันอยู่แล้ว ถ้าเราพิจารณาไป มันก็รู้ของมัน แต่ถ้ามีสติล่ะ มีสติ สิ่งที่รู้ที่เห็น เห็นไหม ดูสิ ขณิกสมาธิ อุปจารสมาธิ อัปปนาสมาธิ เวลามันลงสู่อัปปนาสมาธิ พุทโธๆๆ ลงสู่อัปปนาสมาธิ มันดับหมด ตา หู จมูก ลิ้น กาย ไม่รับรู้เลย ใจเด่นชัดอยู่อย่างนั้น สักแต่ว่ารู้ เด่นชัดนะ สักแต่ว่ารู้ เห็นไหม แม้แต่สมาธิมันยังสลัดทิ้ง นี่เรื่องโลกๆ มันเด่นชัดของมัน

เวลาคนที่เข้าฌานสมาบัตินะ เวลาเข้าฌานสมาบัติ ดูสิ เข้าฌานสมาบัติ ๗ วัน ๘ วัน เวลาเขาเข้าของเขา ทำไมเขาไม่ต้องอาศัยความเป็นอยู่ของโลกเลย ความเป็นอยู่ของโลกไม่มีเลย ทำไมเขาอยู่ของเขาได้ล่ะ นี่มันเป็นเรื่องโลกๆ ทั้งนั้นน่ะ

ถ้าจิตมันมีสติปัญญาขึ้นมา สิ่งที่รู้ที่เห็นขึ้นมามันก็เป็นการยืนยัน เพราะจิตของคนนะ จิตของคนเวียนตายเวียนเกิดในวัฏฏะ ทีนี้ใครจะเชื่อหรือไม่เชื่อเรื่องเวียนตายเวียนเกิดนี่มันเรื่องของเขา เพราะการเวียนตายเวียนเกิดมันเป็นการบ่มเพาะให้จิตใจของคนมีความรู้สึกนึกคิดแตกต่างหลากหลายกัน แล้วการบ่มเพาะ การเวียนตายเวียนเกิด มันได้ใช้ชีวิตทั้งชีวิต ภพใดชาติใดก็แล้วแต่ จะเป็นสัตว์เดรัจฉาน จะเป็นมนุษย์ จะเป็นเทวดา เป็นอินทร์ เป็นพรหม ถ้าใครทำคุณงามความดี ใครสร้างบุญกุศลมา มันทำให้ใจดวงนั้นมีอำนาจวาสนา ทำให้ใจดวงนั้นมีความรู้สึกนึกคิดแง่บวกๆ จิตสาธารณะ จิตที่ดีๆ แต่ถ้าจิตใจมันเวียนตายเวียนเกิดไปในทุกข์ในยากขึ้นมา มันมีแต่สิ่งใดที่หมักหมมมาในใจ ใจมันมีแต่ความบีบคั้นในใจขึ้นมา แต่มันก็เคยทำคุณงามความดีมาเหมือนกันถึงได้มาเกิดเป็นมนุษย์ พอมาเกิดเป็นมนุษย์ จิตใจมันก็หยาบช้า จิตใจมันก็มีแต่กิเลสฝังในหัวใจ มาบวชในพระพุทธศาสนา มีความรู้สึกนึกคิดอย่างไรมันก็จินตนาการไปหมดแหละ นี่มาตรฐานของกิเลสไง นี่มันคนละมาตรฐาน

ถ้ามาตรฐานของกิเลสมันรุนแรง มันทำสิ่งใดไป ทั้งๆ ที่อยู่กับครูบาอาจารย์ ครูบาอาจารย์ท่านก็ส่งเสริม ครูบาอาจารย์ท่านก็พยายามจะขับดันขึ้นไปให้มีชื่อมีเสียง ให้มีคนเชื่อถือศรัทธา แต่ในเมื่อมันเชื่อถือศรัทธา แต่ตัวเองมันไม่จริง ถ้าความจริงในใจมันไม่มี มันแสดงออกมามันก็แสดงออกมาโดยกิเลสไง มาตรฐานของกิเลสมันก็แสดงของมันออกมา แต่ถ้ามันเป็นมาตรฐานของธรรมนะ การแสดงออกมานี่เป็นธรรม

วันนี้วันมาฆบูชา วันนี้วันที่พระอรหันต์ ๑๒๕๐ องค์ รวมทั้งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสะอาดบริสุทธิ์ขึ้นมา ตั้งแต่ออกเผยแผ่ธรรมขึ้นมา ถ้าออกเผยแผ่ธรรมขึ้นมา สิ่งที่มันเป็นธรรมๆ เป็นธรรมมันจะมีสิ่งใดขัดแย้งกัน มันไม่มี ถ้ามันไม่มี ไม่มีเพราะอะไร ไม่มีเพราะมันเป็นธรรมไง ถ้ามันเป็นธรรมนะ มันเป็นความกตัญญูกตเวที มันมีความอบอุ่น มันมีความรักความใคร่ มันมีการเสียสละ มันไม่ไปกว้านเอาทุกๆ อย่างว่าเป็นของกู ของกูคนเดียวไง ไปกว้านเอาทุกอย่างเลย ต้องมาจำนนกับตน มันไม่มีหรอก นั่นล่ะคืออัตตา นั่นล่ะคือความยึดมั่นถือมั่น แล้วก็อ้างธรรมะ เอาธรรมะมาบังหน้า เอาธรรมะมาเป็นหน้าฉาก แต่อยู่เบื้องหลังนี่กิเลสทั้งนั้น

แล้วจะชำระล้างกิเลสล่ะ ชำระล้างกิเลสนะ มันมีความกตัญญูกตเวที พระอรหันต์ ๑๒๕๐ องค์ไปเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าโดยไม่ได้นัดไม่ได้หมายเลย ด้วยหัวใจที่ผูกพัน ด้วยหัวใจที่เคารพรัก เคารพรักเพราะอะไร เพราะถ้าไม่มีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาเทศนาว่าการ ชฎิล ๓ พี่น้องบูชาไฟอย่างนั้นก็ไปเกิดเป็นพรหมเท่านั้นแหละ เพราะเขาทำตบะธรรม ถ้าคนมีตบะธรรมนะ เขาก็เวียนตายเวียนเกิดในวัฏฏะนั้น แล้วมีศาสดาองค์หนึ่งมาชักนำเราให้พ้นจากการที่เวียนตายเวียนเกิดในวัฏฏะ มันมีบุญกุศลขนาดไหน มันมีบุญมีคุณขนาดไหน ถ้ามีบุญคุณขนาดนั้น ถึงมาเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าโดยไม่ได้นัดหมาย

ถ้าจิตใจเป็นธรรมมันเป็นธรรมอย่างนั้น ถ้าจิตใจเป็นธรรม ถ้าเป็นธรรมแล้วมันก็จะเป็นฝ่ายดีกับเรา ถ้าเป็นฝ่ายดีกับเรานะ สิ่งที่ครูบาอาจารย์ท่านพูด แหวกจอกแหนๆ ไอ้จะขึ้นเขาลงเขา ไอ้นั่นเป็นบุคลาธิษฐาน ธรรมาธิษฐานในใจของเรา สิ่งที่เป็นจริงในใจของเราน่ะ ถ้าสิ่งที่เป็นจริงในใจของเรา เราจะชี้นำชักนำ เราจะเป็นแบบอย่าง เราจะเป็นคนบอกทาง เราจะเป็นคนชักนำให้คนเข้าไปสู่คุณงามความดี ไม่ใช่ชักนำให้คนไปเหลวไหล ไม่ใช่ชักนำให้ทุกคนออกไปสู่โลก

ถ้าออกไปสู่โลก โลกไม่ต้องออกไป มันเป็นโลกอยู่แล้ว เราเกิดมากับโลก ของในโลกนี้มันมีอะไรน่าสงสัย ถ้าเขามีเงินทอง เขาจะแสวงหาของเขา เขาก็จะไปเที่ยวค้นคว้าของเขา เที่ยวตามความพอใจของเขาได้ เราไม่ต้องไปชักนำเขาไป เราไม่ต้องชักนำ เราชักนำเขามาให้เขาหาโลกทัศน์ของเขา ให้เขาเข้ามาสู่ใจของเขา ถ้าเขาเข้าสู่ใจของเขา ไม่ต้องไปไหนเลย ค้นหาใจ มีสตินี่ เพราะใจมันอยู่กับเราอยู่แล้ว เราเกิดมาเป็นมนุษย์พบพระพุทธศาสนา เรามีสิ่งวิเศษที่สุดคือใจของเรา เรามีสิ่งวิเศษอยู่ในร่างกายเรานี้ ถ้าเรามีสิ่งวิเศษที่สุดในร่างกายเรานี้ ทำไมเราไม่ค้นคว้าสิ่งที่อยู่ในร่างกายเรานี้ เราจะต้องไปหาใคร เราจะต้องไปสมบุกสมบันที่ไหน เราก็ค้นหาสิ่งที่อยู่ในร่างกายของเรานี้ ถ้าจะค้นหาสิ่งที่อยู่ในร่างกายนี้ เราก็นั่งลง เราก็เดินจงกรม แล้วเราตั้งสติของเราเพื่อค้นคว้าใจของเรา

ถ้าค้นคว้าใจของเรานะ ใช้ปัญญาไป ปัญญาอบรมสมาธิ ตั้งสติของเราไว้ แล้วตามความคิดนี้ไป ตามความคิดนี้ไป คำว่า "ปัญญาอบรมสมาธิ" ปัญญาที่มันรอบรู้ในกองสังขาร ปัญญาที่มันรู้ทันความคิดของเราไง ถ้ามันคิดเรื่องธรรมะ เอ็งรู้จริงหรือ เรื่องธรรมะนี่พระพุทธเจ้าเทศนาว่าการ เทศนาว่าการกับใคร แล้วสิ่งที่เราตรึกขึ้นมา เราไปก็อปปี้มา เราไปคว้ามาทั้งดุ้น มันเป็นของเราตรงไหน ถ้ามันเป็นของเรา จิตเราสงบหรือยัง ถ้ามันไม่เป็นของเราตรงไหน มันอายไง มันอายมันก็ปล่อย มันปล่อยธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตัวมันเป็นอิสระ มันปล่อยสิ่งใดๆ เข้ามา ปล่อยเข้ามามันก็เป็นสัมมาสมาธิ

ถ้าปล่อย สัมมาสมาธิ พิจารณาซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนจิตมันตั้งมั่นขึ้นมา แล้วดูซิว่ามันเสวยอารมณ์อย่างไร จิตเห็นอาการของจิตอย่างไร จิตนี้มันเห็นกาย เห็นเวทนา เห็นจิต เห็นธรรมอย่างไร ถ้ามันเห็นของมันแล้ว เราจับต้องขึ้นมาพิจารณา พิจารณาขึ้นมามันก็หลุดมือไป หลุดมือไปเพราะคน นักกีฬาฝึกหัดใหม่ มาตรฐานของมันยังไม่มี ประสบการณ์ของมันยังไม่มี จิตฝึกหัดใหม่ จิตหัดประพฤติปฏิบัติใหม่ จะบวชมา ๑ วัน ๒ วันก็แล้วแต่ ถ้าจิตเขาปฏิบัติได้ดี ปฏิบัติได้ดี เขาจะปฏิบัติของเขาได้ บวชมา ๑๐๐ ปี ๑๐๐๐ ปีก็แล้วแต่ ถ้าจิตของเขาไม่เคยสงบเข้ามา ไม่เคยเห็นกาย ไม่เคยเห็นจิตเห็นอาการของจิต จิตของเขาก็ยังอ่อนแอเหมือนกัน ถ้าพิจารณาเข้ามา พิจารณาปัญญาอบรมสมาธิเข้ามา ให้มันปล่อยวางเข้ามา นี่ปัญญาอย่างนี้ ปัญญาเราใช้ได้ แต่ปัญญาในขั้นใดล่ะ

ปัญญา เห็นไหม ดูสิ เวลาครูบาอาจารย์ท่านบอกว่า ในสระน้ำมีน้ำอยู่ แต่จอกแหนมันบังอยู่ นี่ท่านก็ยืนยันๆ ยืนยันให้คนฝึกหัดๆ ฝึกหัดให้มันมีจริงเท่านั้นน่ะ ถ้าพอมันเป็นจริงขึ้นมา ถ้ามันจับจอกแหนได้ มันทำลายจอกแหนได้ มันจับจอกแหนขึ้นมาทำลาย ทำอย่างไร ทำโดยเอามาทำเป็นสินค้า ทำโดยเอามาเป็นปุ๋ย ทำโดยเอาไปให้สัตว์กิน ทำอย่างไรล่ะ แล้วทำขึ้นมาแล้วมันเป็นอย่างไร ถ้าจิตมันสงบเข้ามาแล้ว จิตเห็นอาการของจิตแล้วมันพิจารณาของมันอย่างไร

การพิจารณาแล้ว การพิจารณา เวลามันปล่อยวางขึ้นมา มันปล่อยวาง ถ้าจิตมันมีกำลังอยู่แล้ว เวลามันปล่อยวาง ปล่อยวางขึ้นมาแล้วมันทำต่อไปอีกไม่ได้ ถ้ามันทำต่อไปอีกไม่ได้เพราะอะไร เพราะจิตมันอ่อนแอ นี่มาตรฐานของกิเลสกับมาตรฐานของธรรมมันคนละมาตรฐาน เราก็พยายามมีสติขึ้นมา ทำใจให้สงบมากขึ้น พอใจสงบมากขึ้น มันก็ไปจับอีก เห็นไหม

เรานะ เรามีกำลังใช่ไหม เราจะจับจอกแหนอย่างไรก็ได้ เราจะเอาจอกแหนขึ้นมาบนบกก็ได้ เราจะเอาจอกแหนขึ้นมาบนเรือก็ได้ เราจะเอาจอกแหนไปไว้แหล่งอื่นก็ได้ เราจะเอาจอกแหนมาตากแห้งก็ได้ แล้วเราจะเอาจอกแหนมาเป็นประโยชน์อะไรก็ได้ พิจารณากาย พิจารณาซ้ำแล้วซ้ำเล่า ซ้ำอย่างไร

ถ้าซ้ำขึ้นมา เป็นประโยชน์ขึ้นมา เห็นไหม เวลามันสมุจเฉทปหาน พิจารณากาย เวลากายมันขาด ตรงนี้สำคัญ ขณะจิตนี้สำคัญ เพราะเขาพูดมาทั้งปีทั้งชาติไม่พูดถึงตรงนี้เลย คนที่ปฏิบัติไม่เป็นพูดตรงนี้ไม่เป็น เวลามันสมุจเฉทปหาน มันขาด ขาดอย่างไร คำว่าขาดๆๆ อยู่นี่ เวลาขาด เวลาหลวงตาขึ้นไปหาหลวงปู่มั่นนะ เวลาท่านพิจารณาเวทนาของท่าน กลัวหลวงปู่มั่นมาก กลัวหลวงปู่มั่นมาก แต่เวลาพิจารณาเวทนา เวลาเวทนามันขาดไปแล้วนะ "มันจะเอาเวทนาหน้าไหนมาหลอกเราวะ"

พอขึ้นไปหาหลวงปู่มั่น เวลาพูดให้หลวงปู่มั่นฟังด้วยความองอาจกล้าหาญ ด้วยความเคารพบูชานะ เพราะพูดออกไปด้วยความอาจหาญ อาจหาญเพราะมันรู้จริงไง นี่ขณะจิตที่มันเป็น มันต้องรู้จริง พอรู้จริง พูดความจริงออกไป ถ้าความจริงออกไป ครูบาอาจารย์ก็พยากรณ์ตามนั้น ครูบาอาจารย์ไม่สามารถจะบอกว่าให้เราดีหรือเราเลวได้ แต่ครูบาอาจารย์สามารถรู้จริงในใจของเราได้ ถ้ารู้จริงในใจของเราได้ นี่มันเป็นความจริงอย่างนี้ มันอาจหาญอย่างนี้ ถ้ามันอาจหาญอย่างนี้มันก็เป็นความจริงอย่างนี้ เพราะมันมีความจริงของมันในใจ มันก็มั่นคงของมัน

แต่ถ้ามันไม่มีความจริงในใจล่ะ พูดเหมือนกัน เพราะอะไร เพราะคำนี้หลวงตาท่านเคยพูดกับหลวงปู่มั่น แล้วท่านก็มาเล่าให้ฟัง ไอ้คนก็ไปจำมา ถ้าจำมาด้วยธรรมนะ เอามาเพื่อเป็นประโยชน์ เอาเป็นแง่มุมของเรา ถ้าเราพิจารณา เรารู้จริงหรือเปล่า แล้วเราทำได้ประโยชน์ตามความเป็นจริงนั้นไหม ถ้ามันไม่ได้ประโยชน์ตามความจริง ทำไมเราไม่ใช้ปัญญาของเรารื้อค้น ปัญญาของเราแยกแยะเข้ามาให้มันเป็นสมบัติของเรา

แต่นี่ไม่ จำมาทั้งดุ้นเลย "แหวกจอกแหนๆ"

แล้วแหวกอย่างไร แล้วพอบอกว่าแหวกจอกแหนไม่ใช่

ก็จะขึ้นเขาอย่างไรก็เรื่องของฉันน่ะ

แล้วขึ้นเขามันก็วนเขา ไม่ใช่ขึ้นเขา ลงถ้ำด้วย มันจะลงใต้เขา มันจะมุดเขา ไม่ใช่ขึ้นเขา ถ้าขึ้นเขา มันก็ต้องมีเหตุมีผลสิ ถ้ามันมุดเขาลงไป มุดลงใต้ดินไป มันมุดไปไหน มุดเข้าไปสู่กิเลสตัณหาความทะยานอยาก

แต่ถ้าเป็นความจริงนะ ความจริงมันมี นี่เวลาพิจารณา พิจารณากาย พิจารณาเวทนา พิจารณาจิต พิจารณาธรรม การพิจารณามันจับต้อง เพราะกิเลสมันอาศัยสิ่งนี้ กิเลสเป็นนามธรรมนะ กิเลสมันไม่มีตัวตน แต่กิเลสมันเป็นนามธรรมที่อยู่กับใจของเรา มันนอนเนื่องมากับจิตปฏิสนธิจิต ปฏิสนธิจิตน่ะ ฐีติจิต อวิชชามันอยู่ที่นั่น อวิชชาคือพญามาร เวลาพญามาร เห็นไหม พญามารมันอ้อยสร้อย เวลามันออกมานะ มันออกมาสู่กามราคะ กามราคะนะ โทสะ โมหะ ความโลภ ความโกรธ ความหลง นี้คือแม่ทัพใหญ่

พอแม่ทัพใหญ่ มนุษย์หรือจิตทุกๆ ดวงตั้งแต่เทวดา อินทร์ พรหมลงมา มันมีอวิชชา มีพญามาร ตั้งแต่กามราคะลงมามันก็มีความโลภ ความโกรธ ความหลง สิ่งนี้มีมาตลอด ถ้ามันออกมาจากพญามาร มันก็ออกมาสู่ความโลภ ความโกรธ ความหลง เวลาออกมามันก็เป็นอุปาทานในธาตุ เวลาออกมาแล้วมันก็เป็นสักกายทิฏฐิ นี่เวลามันออกมาเป็นชั้นเป็นตอนเข้ามา ถ้าออกมาเป็นชั้นเป็นตอนเข้ามา เวลาจิตถ้ามันสงบแล้วมันพิจารณา พิจารณากาย เวทนา จิต ธรรมนี่แหละ พิจารณากาย เวทนา จิต ธรรมเพราะอะไร เพราะว่ากิเลสมันเป็นนามธรรมอาศัยสิ่งนี้ๆ กิเลสที่อย่างละเอียดอ้อยสร้อยอยู่นั้นมันก็บัญชาการอยู่ นี่เป็นเจ้าวัฏจักร เวลาออกมาเป็นความโลภ ความโกรธ ความหลง มันเป็นกามราคะ ความผูกโกรธ ความอาฆาตมาดร้าย ความต่างๆ ฝังอยู่ในจิต ฝังอยู่ในจิตนี้นะ แต่หน้าฉากนะ "ฉันเป็นคนเมตตา ฉันเป็นคนรักพระ พระนี่ฉันเมตตามาก ฉันสงสารมาก" แต่พาออกไปสู่โลกหมดเลย ไม่พาเข้าไปหาใจของตัวเลย

เห็นไหม เวลาพูดก็อย่างหนึ่ง แต่พฤติกรรมที่ทำ ถ้าพฤติกรรมที่ทำถ้ามันเป็นธรรมจริงๆ มันทำอย่างนั้นได้ไหม เพราะมันขัดแย้งกับธรรม ถ้าพฤติกรรมเป็นธรรมนะ จะไม่พาพระออกไปสู่โลก จะพาพระเข้าสู่จิตของตัว ถ้าเข้าสู่จิตของตัว มันก็พิจารณาขึ้นมา มันจะเห็นของมัน

เวลาเข้าสู่จิตของตัว ถ้าเข้าสู่จิตของตัว ทำได้หรือไม่ได้ เพราะอะไร เพราะเราเป็นครูบาอาจารย์เขาใช่ไหม ถ้าเราเป็นครูบาอาจารย์ เราได้ผ่านวิกฤติอย่างนี้มา เราได้ผ่านขั้นตอนมา เราผ่านขณะจิตของเรามา ถ้าผ่านขณะจิตเข้ามา พิจารณาอย่างไร พิจารณากาย พิจารณาเวทนา พิจารณาจิต พิจารณาธรรม พิจารณาซ้ำแล้วซ้ำเล่า ถ้าเป็นตทังคปหาน ถ้าตทังคปหาน ถ้ามันพิจารณาแล้วมันกำลังได้เสียกัน เห็นไหม มาตรฐานของธรรมจะเกิดขึ้นมาแล้ว

มาตรฐานของกิเลสมันเฟื่องฟูมาตลอด แล้วเราปฏิบัติขึ้นมา มาตรฐานของเรามันก็เสมอขึ้นมา พอเสมอขึ้นมา มันเสมอกัน เห็นไหม สักแต่ว่าๆ ใครก็ว่าสักแต่ว่า นั่นก็สักแต่ว่า นี่ก็สักแต่ว่า สักแต่ว่ามันมาจากไหนล่ะ

สักแต่ว่านะ กุสลา ธมฺมา อกุสลา ธมฺมา อพฺยากตา ธมฺมา ทำดีทำชั่ว ดีกับชั่วมันตรงข้าม แล้วอัพยาล่ะ อัพยากฤตมันสักแต่ว่าอย่างไร ถ้าสักแต่ว่าแล้วทำอย่างไรต่อไปมันจะให้พ้นจากสักแต่ว่านั้นไปล่ะ แล้วมันสมุจเฉทปหานมันขาด ขาดอย่างไร ถ้ามันขาดขึ้นมาก็เป็นโสดาบัน ถ้าโสดาบันนะ พอเป็นโสดาบันแล้วจะจับอย่างไรต่อไป นี่กายนอก กายใน ถ้าจับกายในได้ก็พิจารณาซ้ำเข้าไป พิจารณาซ้ำเข้าไป

เวลาถ้าพิจารณากาย มันก็ออกไปเป็นธาตุ ถ้าพิจารณาจิตล่ะ พิจารณาจิตมันก็เป็นอุปาทาน ถ้าพิจารณาเป็นเวทนาล่ะ ถ้าพิจารณาเวทนาก็เวทนาอย่างละเอียด เวทนาอย่างละเอียดเพราะจิตมันยังข้องของมันอยู่ ถ้าข้องของมันอยู่ พิจารณาซ้ำ มันปล่อย เวลามันปล่อย ปล่อยแล้วปล่อยเล่า ปล่อยแล้วปล่อยเล่า พิจารณาซ้ำ เพราะมันไม่ได้ปล่อยทีเดียว ถ้าปล่อยทีเดียวก็ขิปปาภิญญา แต่ถ้าเวลามันปล่อยอย่างนี้ขึ้นมาแล้วทำอย่างไรต่อไป พอทำอย่างไรต่อ พิจารณาซ้ำเข้าไป พอมันขาด เห็นไหมเวลาขาด โลกนี้ราบหมดเลย

หลวงตาท่านพิจารณาของท่าน เวลาท่านขึ้นไปบอกว่า มันราบหมดเลย มันปล่อยหมดเลย พอปล่อยหมดเลย เพราะธาตุ กลับไปสู่ธาตุ ขึ้นไปหาหลวงปู่มั่น หลวงปู่มั่นบอก "นี่เหมือนเราเลย เหมือนเราที่ถ้ำสาริกา เราก็เป็นอย่างนี้"

เห็นไหม ถ้าธรรมกับธรรมมันเป็นอันเดียวกัน มันไม่มีขัดแย้งกันเลย ถ้าไม่มีการขัดแย้งกัน มันก็เป็นอย่างนี้ แล้วพออยากได้อีก ขึ้นไปหาหลวงปู่มั่น หลวงปู่มั่นบอกว่า "มันจะบ้าหรือ มันก็มีหนเดียวเท่านั้นน่ะ" ถ้ามันสมุจเฉทตรงนี้ ถ้ามันสมุจเฉทมันมีหนเดียว หนเดียวก็นึกว่ามีหนเดียว ก็เลยติด ๕ ปี หนเดียวไง มันมีครั้งเดียวไง ครั้งเดียวนี่กิเลสที่ละเอียดกว่ามันก็สร้างภาพ "มันมีหนเดียว นิพพานเป็นความว่าง ว่าง" นี่ ๕ ปี

คุณสมบัติของอาจารย์นะ ถ้าเราบอกเขาแล้วเขายึดมั่นเข้าใจว่าอย่างนั้น แล้วเข้าใจว่าอย่างนั้นมันก็ติดตรงนั้นไป แล้วทีนี้จะเอาออกแล้ว เพราะเขาเชื่อเราเอง เราเป็นต้นเหตุพูดให้เขาเชื่อ แล้วเราจะงัดออกมาอย่างไร เราจะงัดออกมาอย่างไร

จิตเป็นอย่างไร จิตเป็นอย่างไร

โอ๋ย! มันว่าง มันสงบดีมาก สงบดีมาก

มันจะตาย สงบอย่างนั้นมันสุขแบบเศษเนื้อติดฟัน สงบอย่างนี้มันไม่มีประโยชน์ สงบอย่างนี้มันสงบของสมุทัย มันมีสมุทัยอยู่ในนั้น สมุทัยอย่างละเอียดมันยังมีอยู่ เห็นไหม

ออกมาพิจารณาอสุภะ พอออกมาก็เจออสุภะ พิจารณาซ้ำแล้วซ้ำเล่า ซ้ำแล้วซ้ำเล่า

เวลาไม่ให้ออก ติดสมาธิก็บอกว่ามันติดสมาธินะ ตอนนี้มันออกมาแล้วแหละ มันไม่ได้หลับไม่ได้นอนเลย นี่เวลาน้ำป่า มหาสติ มหาปัญญา น้ำป่า มรรคญาณที่มันละเอียดลึกซึ้ง เหมือนน้ำป่า มันชำระล้าง มันพุ่งใส่ๆ "นี่ไม่ได้หลับไม่ได้นอนเลย แล้วทำอย่างไรล่ะ"

ก็บอกว่า "ต้องพักนะ"

อ้าว! พักได้อย่างไร พักเป็นสมาธิ สมาธิมันแก้กิเลสไม่ได้ มันต้องใช้ปัญญาสิ นี่ปัญญามันออกแล้ว

นั่นล่ะมันบ้า มันบ้า

มันบ้าอย่างไร นี่มันเป็นปัญญาๆ

นั่นปัญญาบ้า กลับมาสู่ความสงบ กลับมาสู่ความสงบ

เห็นไหม นี่ไง ถ้ามันมาตรฐาน ธรรมะมีมาตรฐานเดียว ถ้ามาตรฐานของครูบาอาจารย์ที่ผ่านมาแล้ว กับมาตรฐานของผู้ที่ปฏิบัติไป ครูบาอาจารย์ท่านเป็นคนชี้นำทั้งนั้นน่ะ เวลาซ้ำแล้วซ้ำเล่าๆ มันละเอียดเข้ามาจนเข้าไปสู่ใจ มันไปทำลายกันที่ใจ มันไปทำลายกัน ครืน! ในใจ พอมันทำลาย ครืน! ในใจ สิ่งที่ทำลายในใจ ความโลภ ความโกรธ ความหลง กามราคะปฏิฆะขาดหมด พอขาดหมด มันก็มีเศษส่วนของมัน ถ้าเศษส่วน พิจารณาซ้ำๆๆ เข้าไป ซ้ำเข้าไปถึงนะ ว่างหมดเลย จิตนี้มหัศจรรย์นัก มองไปมันไม่เห็นสิ่งใดเลย มันทะลุทะลวงไปหมดเลย โอ้โฮ! สิ่งนี้ยอดเยี่ยมนัก...ติดอีก ติดไปหมดนะ ถ้าติดไปหมด นี่มาตรฐานของธรรมมีมาตรฐานเดียว พอติดไปหมด ติดไปหมด "เอ๊! แล้วมันเป็นอย่างไร มันเป็นอย่างไร" หลวงตาท่านบอกว่า ถ้าหลวงปู่มั่นอยู่ ท่านจะไม่ติดเลย เพราะว่าท่านเข็ด ติดมา ๕ ปีก็เข็ดแล้ว พอหลวงปู่มั่นท่านพูดถึงเรื่องติดสมาธิ ๕ ปี ท่านก็ออกมาพิจารณาอสุภะ

เวลาพิจารณาอสุภะขึ้นไป เวลาบอกว่าสมบัติบ้า ท่านก็จะเถียง เถียงเพราะอะไร เถียงเพราะท่านปฏิบัติของท่าน ท่านมีมาตรฐานในธรรมของท่าน แต่พอหลวงปู่มั่นเสียงดังขึ้นมา ท่านหยุดเลย หยุดเลยเพราะว่ามันจะเหมือนครั้งที่แล้ว มันจะเหมือนครั้งที่เศษเนื้อติดฟัน นั้น ๕ ปีนะ ๕ ปีนี้ทุกข์มาก ๕ ปีที่มันหลอกลวงมา

ชฎิล ๓ พี่น้อง ถ้าพูดถึงบำรุงใจไว้ก็เกิดบนพรหม นี่ก็เหมือนกัน ถ้าบนพรหมนั้นพรหมกิเลสนะ ไม่ใช่พรหมอนาคามี แต่นี่พูดถึงเวลาท่านเสียงดังขึ้นมา มันคิดถึงเลยว่าติด ๕ ปี ถ้า ๕ ปีนั้นเราทุกข์ยากมาขนาดนั้น ๕ ปี แล้วนี่ท่านพูดนี่คงจะจริง พอคงจะจริง กลับมาทำความสงบ ต่อสู้กัน

แล้วเวลาหลวงปู่มั่นเสียไปแล้ว เห็นไหม "ถ้าหลวงปู่มั่นอยู่ เราจะไม่พิจารณาว่างๆ อย่างนี้ เราจะผ่านไปได้เลย" แต่เพราะหลวงปู่มั่นท่านนิพพานไปแล้ว ท่านถึงต้องหาของท่านเอง ถ้าหาของท่านเอง มันสว่างไสว มันผ่องใสขนาดไหน ธรรมขึ้นทันทีเลย "สิ่งที่ผ่องใส ที่มันทะลุทะลวงไปภูเขาทั้งหมด นั่นล่ะคืออวิชชา นั่นล่ะคือจุดและต่อม ตัวภวาสวะ ตัวภพ ตัวจิต" ก็ยังทำไม่ได้ ยังทำไม่ได้ จนถึงที่สุดท่านย้อนกลับมาถึงจับตัวจิตได้ จับตัวจิตได้ก็คือการขุดคุ้ยหากิเลส ขุดคุ้ยหาสิ่งที่มันละเอียดลึกซึ้ง พอจับสิ่งนี้ได้ พิจารณานะ พิจารณาโดยมรรคญาณ อรหัตตมรรค ไม่เป็นอย่างที่เคยทำมาทั้งสิ้น

สิ่งที่เคยทำมาทั้งสิ้น มรรคหยาบๆ เห็นไหม ขณะจิตโสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี ถึงที่สุด สติ มหาสติ ปัญญา มหาปัญญา ปัญญาญาณ มันลึกซึ้งซับซ้อน นี่ไง มาตรฐานของธรรมมีมาตรฐานเดียว ไม่ใช่ความแง่งอนของกิเลส จะขึ้นเขาช่องไหนก็ได้ จะมุดดิน จะวนเวียนอย่างไรก็ได้ นี่มันมาตรฐานของกิเลสทั้งนั้นน่ะ แต่ธรรมะมีมาตรฐานเดียว

วันนี้วันสำคัญทางพระพุทธศาสนานะ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแสดงธรรมกับพระอรหันต์ ๑๒๕๐ องค์ ถ้าพระอรหันต์กับพระอรหันต์ด้วยกันจะไม่มีสิ่งใดขัดแย้งกันแม้แต่นิดเดียว แต่ถ้าเป็นมาตรฐานของกิเลส มาตรฐานของความแง่งอนในใจ มันจะมีแง่งอนของมันตลอดไป ถ้ามีความแง่งอนตลอดไป แล้วเราเชื่อกิเลสของเราเอง มันก็จะจมอยู่กับกิเลสอย่างนั้น มันไม่ฟื้นฟูขึ้นมาได้ แต่ถ้ามีสติปัญญาแล้วแก้ไขตัวเอง ยังไม่สิ้นชีวิต คนเรายังมีลมหายใจอยู่ ถ้าคนมีลมหายใจอยู่ มันยังมีจิตอยู่ จิตนั้นแก้ไขได้ จิตนั้นมีการกระทำได้

เทวทัต แม้จะขอปกครองสงฆ์กับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แม้จะทำองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้ห้อเลือด แต่ถึงที่สุดแล้วเทวทัตก็ยังมีสติ เทวทัตก็ยังจะมาขอขมาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้าจิตของใครมีแง่มีงอน มีสิ่งยึดมั่นถือมั่นในใจ มีกิเลสตัณหาความทะยานอยาก ถ้ายังมีสติปัญญา ถ้าจะแก้จะไข ถ้าจะแก้จะไขยังมีโอกาสแก้ไข แต่ถ้าไม่มีสติปัญญา หรือมีแต่กิเลสพอกพูนในใจ เขาจะแก้ไขเขาไม่ได้ แล้วเขาจะจมไปกับกิเลสของเขา เอวัง