คิดธรรม
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
เทศน์พระ วันที่ ๑๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๖
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี
ตั้งใจนะ อากาศร้อนมาก อากาศร้อนๆ ทำให้จิตใจร่มๆ อากาศร้อนมาก เห็นไหม วันคืนล่วงไปๆ บัดนี้ทำอะไรอยู่ นี่เราบวชมา บวชมาในพุทธศาสนา บวชมาเป็นพระ พระนี้เป็นผู้สุก ผู้เห็นภัยในวัฏสงสาร ถ้าเห็นภัยในวัฏสงสาร โลกเขาก็ร้อน เราก็ร้อน แต่คนละหน้าที่ โลกเขาร้อนนะ ร้อนแล้วเขายังต้องพยายามปากกัดตีนถีบเพื่อหาดำรงชีวิต
ของเรานะ เราก็ร้อน แต่เราร้อน นี่เวลาเราภิกขาจารเลี้ยงชีพด้วยปลีแข้ง อย่างไรก็แล้วแต่ถ้าเรายังมีกำลังอยู่ เราออกบิณฑบาตอยู่ เราจะเลี้ยงชีวิตเราได้ แต่ทางโลกเวลาเขาร้อนนะ เวลาเขาตกงาน เขาไม่มีงานทำ เขาทำอย่างไรล่ะ? เขาก็ไปหาสวัสดิการ นี่สวัสดิการความเป็นอยู่ชีวิตของเขา เห็นไหม โลกนี้มีความเมตตาต่อกัน ให้ช่วยเหลือเผื่อแผ่ต่อกัน สิ่งที่ช่วยเหลือเผื่อแผ่ต่อกันเพื่อความเห็นอกเห็นใจกัน ใจเขา ใจเรา เห็นไหม แต่เวลาเราประพฤติปฏิบัติ ใจของเราๆ
เวลาใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมไปแล้วเป็นพระอรหันต์ นี่เป็นธรรมธาตุ วิมุตติสุข มีความสุขอยู่โดยสัจจะ ไม่มีสิ่งใดเข้าไปเจือปนสิ่งนั้นเลย แต่ใจของเราล่ะ เห็นไหม ใจเขา ใจเรา ใจของครูบาอาจารย์ของเราท่านมีหลักมีเกณฑ์ของท่าน ท่านรักษาใจของท่านได้ เห็นไหม อยู่เพื่อรอเวลา อยู่เพื่อรอเวลา สอุปาทิเสสนิพพาน คือสิ้นกิเลสไปแล้ว ถ้าสิ้นกิเลสไปแล้วก็รีบๆ ตายซะสิ จะได้ไปอยู่วิมุตติได้สบายไง...นี่สอุปาทิเสสนิพพาน คือส่วนที่มีเหลือเศษอยู่ ยังมีธาตุ ๔ และขันธ์ ๕ เป็นภาระหน้าที่ดูแลอยู่ แต่เวลาอนุปาทิเสสนิพพาน จบ
ถ้าจบอย่างนั้น แล้วทำไมไม่รีบๆ ตายไปล่ะ
นี่คำว่าตายหรืออยู่ นั้นมันเป็นเรื่องสมมุติบัญญัติ สมมุติว่ามีหรือไม่มี แต่เวลาท่านสิ้นกิเลสไปแล้ว เห็นไหม มันจบไปตั้งแต่วันที่กิเลสตาย จะอยู่หรือจะตายมีค่าเท่ากัน เท่ากันเพราะมันเสมอภาคกัน นี่พระอรหันต์ที่มีชีวิตอยู่ก็เป็นพระอรหันต์ พระอรหันต์ที่ตายไปแล้วก็เป็นพระอรหันต์ ในเมื่อตายกับอยู่มันเหมือนกัน มันมีค่าเท่ากัน มันจะไปทำสิ่งใดให้มีคุณค่ามากกว่ากันล่ะ มันก็ไม่เสมอภาคน่ะสิ
ถ้ามันเสมอภาค เห็นไหม ใจร่มๆ ของท่านกับใจที่เร่าร้อนของเรา ถ้าใจที่เร่าร้อนของเรา เราจะต้องหาหลักหาเกณฑ์ของเรา เราบวชมาเพื่อสัจธรรมอันนี้ เรามาประพฤติปฏิบัติก็เพื่อสัจธรรมอันนี้ แล้วสัจธรรมอันนี้มันจะหามาได้อย่างใดล่ะ ถ้ามันจะหามานะ ถ้าหามา มันก็สมมุติไง ถ้าหามาอยู่ มันก็จะเป็นความจริงได้อย่างไร ถ้าไม่เป็นความจริง เราไม่แสวงหา เราจะได้สิ่งใดมา
สิ่งใด ทรัพย์สมบัติทางโลกเขายังต้องมีการกระทำของเขามา เขาถึงจะเป็นทรัพย์สมบัติของเขา ถ้ามันจะมีปัญญาขึ้นมาก็ต้องมีการศึกษาขึ้นมา เขาถึงมีปัญญาของเขา แล้วเวลาเราประพฤติปฏิบัติขึ้นมา เราศึกษาธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วยความเป็นโลกๆ ปริยัติ นี่ศึกษาด้วยธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราก็ศึกษามา เราก็มีความรู้ของเรา นี่ความรู้ของเรา เห็นไหม
สอุปาทิเสสนิพพาน เศษส่วนที่มันเหลือทิ้งแล้ว สิ่งที่เหลือทิ้งแล้วเป็นภาระหน้าที่ มันไม่มีกิเลสหรอก มันไม่มีกิเลสเพราะอะไร เพราะชำระล้างกิเลสในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสิ้นไปแล้ว มันหมดกิเลส แต่ของเรา ใจของเราเร่าร้อน ใจของเรามีอวิชชา ใจของเรามีความไม่เข้าใจ เราศึกษาธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาเพราะใจเรามีกิเลส พอใจเรามีกิเลส เราศึกษาสิ่งใดมา เราก็ยึดว่าเรารู้เราเห็นของเรา นี่มันเป็นกิเลส ถ้ามันเป็นกิเลสนะ ศึกษาธรรมพระพุทธเจ้ามาก็ศึกษามาด้วยกิเลสไง
ถ้าเป็นกิเลส เห็นไหม ศึกษามาแล้ว นี่ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เวลาเราประพฤติปฏิบัติขึ้นมา ความรู้สึกนึกคิด ความรู้สึกนึกคิด นี่เวลาส่งออก ธรรมชาติของจิต ธรรมชาติของธาตุรู้ ธรรมชาติของธาตุรู้คือพลังงาน พลังงาน ดูสิ เวลาคนเขาเหม่อลอย เขาเหม่อลอย เขาพูดสิ่งใดเขารับรู้ไม่ได้เลย เพราะเขาเหม่อลอย แต่เวลาของเรานะ เวลาเราศึกษาธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามา นี่คำว่า เหม่อลอย ไหม คำว่า เหม่อลอย เขาไม่รับรู้ขึ้นมา เราสื่อสารสิ่งใด เขาเข้าใจด้วยไม่ได้
แต่เวลาจิตของเรา เวลามันเสวยอารมณ์ๆ สิ่งที่เสวยอารมณ์ มันเสวยอารมณ์มา มันถึงเป็นขันธ์ ๕ ขันธ์ ๕ สิ่งที่เสวยอารมณ์มา อวิชชามันส่งต่อมา พอส่งต่อมา ศึกษาธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ศึกษาด้วยกิเลสไง ศึกษาโดยยึดมั่นถือมั่นเป็นความเห็นของเราไง ถ้าความเห็นของเรา ศึกษาธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็เป็นธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เวลาศึกษาแล้วเป็นสัญญา สัญญา พอเรารู้สึกนึกคิดของเราขึ้นมา นี่มันเป็นคิดธรรม
เราคิดธรรม เราคิดของเราเอง เราจินตนาการของเราเอง เราคิดของเรานะ แต่เราศึกษาธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามา เห็นไหม สิ่งที่เราลอกเลียนแบบเขา เราลอกเลียนลิขสิทธิ์ของใครก็แล้วแต่ เพราะเขาต้องมีเจ้าของลิขสิทธิ์ของเขา เราถึงลอกเลียนแบบเขาได้ ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นี่ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ธรรมที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมา แล้วท่านวางธรรมวินัยไว้เป็นขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วเราศึกษาธรรมมา เราไปลอกเลียนแบบมา ลอกเลียนแบบมาแล้วเราคิดของเราขึ้นมาว่าให้เหมือนๆ มันไม่เหมือน เหมือนจะรู้แต่ไม่รู้
เหมือนจะรู้นะ ศึกษาธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเข้าใจหมดเลย เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแสดงธรรม ศึกษาในพระไตรปิฎกเข้าใจหมดเลย เข้าใจทะลุปรุโปร่งหมดเลย เหมือนจะรู้ แต่ไม่รู้ เพราะความไม่รู้ ถึงทำให้เกิดความลังเลสงสัย ถ้าความลังเลสงสัย มันสีลัพพตปรามาส มีการลูบๆ คลำๆ อยู่ มันจะเป็นธรรมขึ้นมาไหม นี่คิดธรรมมันเป็นอย่างนั้น คิดด้วยความลูบคลำ คิดธรรมด้วยความวิตกกังวล คิดธรรมด้วยความลังเลสงสัย คิดธรรมๆ ไง แต่เวลาถ้ามีสติปัญญาขึ้นมา ปัญญาอบรมสมาธิ
ถ้ามีสติปัญญา สติปัญญา เห็นไหม ทำไมต้องมีสติปัญญาเพื่อเป็นปัญญาอบรมสมาธิอีกล่ะ นี่เพราะเวลาเราคิดธรรม พอเราคิดธรรม ไม่มีสติปัญญา เราศึกษาธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ลิขสิทธิ์ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ศึกษามานี่ลอกเลียนแบบมา นี่เวลาเราคิดธรรม เราตรึก เราคิดของเราขึ้นมา เราจินตนาการของเราขึ้นมา เราวิตกวิจารณ์ของเราขึ้นมา นี่คิดธรรมๆ คิดธรรมมันก็เป็นโลกไง เป็นโลกเพราะอะไร เพราะธรรมชาติที่รู้มันเสวยอารมณ์ ธรรมชาติที่รู้มันเสวยขันธ์ ถ้าธรรมชาติที่รู้เสวยขันธ์ ถ้ามันไม่เสวยขันธ์ มันจะมีสัญญาไหม ถ้ามันไม่เสวยขันธ์ มันจะมีความคิด ความปรุง ความแต่งไหม
ความคิด ความปรุง ความแต่ง ความเทียบเคียง นั่นล่ะเราคิดทั้งนั้นแหละ นี่คิดธรรม ถ้ามันคิดธรรมขึ้นมามันก็เป็นโลกไง โลกเพราะอะไร โลกเพราะอวิชชาตัวคิด เพราะภวาสวะเป็นตัวคิด เพราะเป็นโลกียปัญญา มันเป็นโลกียปัญญา ถ้ามันเป็นโลกียปัญญา ที่มันคิดธรรมออกไปมันก็ส่งออกไป แต่ถ้ามีสติปัญญาขึ้นมา ถ้ามันตามทันขึ้นมา
ทำไมถึงต้องเป็นปัญญาอบรมสมาธิล่ะ ศึกษาธรรมมา ปริยัติขึ้นมานี่เราศึกษามา เราประพฤติปฏิบัติมา เราก็มีปัญญาอยู่แล้ว ทำไมต้องเป็นปัญญาอบรมสมาธิอีกล่ะ
เพราะพอมันมีปัญญาอยู่แล้ว มันก็คิดธรรม มันก็เป็นความรู้สึกนึกคิด เป็นความรู้สึกนึกคิดก็เป็นความรู้สึกนึกคิดของกิเลสไง เป็นความรู้สึกนึกคิดของความพอใจของตัวไง นี่คิดธรรมๆ คิดธรรมจบแล้วมันเหลืออะไร? คิดธรรมจบแล้วมันเหลือการลูบๆ คลำๆ เหลือความลังเลสงสัยไง แต่ถ้ามันเป็นปัญญาอบรมสมาธิ นี่เรามีปัญญา ปัญญาอบรมสมาธิเพราะอะไร เพราะมีความรู้สึกนึกคิด คิดธรรมๆ มีสติตามมันไป มีสติตามความคิดนี้ไป มีสติตามขันธ์ ๕ ไป
ขันธ์ ๕ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ นี่ขันธ์ ๕ ธาตุขันธ์มันมีของมันตามความเป็นจริง นี่ความรู้สึกนึกคิดมันมีของมันตามความเป็นจริง นี่ความรู้สึกนึกคิดมันมีของมันตามความเป็นจริง แต่เราจับต้องไม่ได้ ความคิดเป็นเรา เราเป็นความคิด มันก็เป็นสัญญาอารมณ์ มันก็ฉุดกระชากลากไป มันก็เป็นความรู้สึกนึกคิดของเรา ถ้ามีสติปัญญา นี่มีสติปัญญามันจับ ถ้ามันจับ จับความรู้สึกนึกคิด นี่มันเป็นปัญญาอบรมสมาธิ เพราะความรู้สึกนึกคิด รูป รส กลิ่น เสียงเป็นบ่วงของมาร เป็นพวงดอกไม้แห่งมาร
ความรู้สึกนึกคิดมันรู้สึกนึกคิดในอะไร? มันก็นึกคิดในรูป รส กลิ่น เสียงนี่ รูป รส กลิ่น เสียงเป็นบ่วงของมาร เป็นพวงดอกไม้แห่งมาร บ่วงของมารมันก็รัดคอตาย พวงดอกไม้แห่งมารมันก็ชักลากไป นี่คิดธรรมๆ คิดธรรมมันเป็นอย่างนี้ คิดธรรม มีความสลดสังเวช มีความซาบซึ้ง นี่คิดธรรม คิดธรรมมันก็โลกๆ ทั้งนั้นแหละ แต่ถ้ามีสติปัญญานะ เพราะคิดธรรม มีสติปัญญา คิดธรรม ธรรมนี่ธรรมของใคร ธรรมนี่คิดแล้วคิดเล่า เหมือนอาหารเลย เราบิณฑบาตมาได้ข้าวทุกวัน พื้นฐานก็คือข้าว เขาจะใส่อาหารมาบ้างก็เรื่องของเขา แต่บิณฑบาตมาได้ข้าวทุกวันแหละ ถ้าบิณฑบาตมันต้องได้ข้าวมา เว้นไว้แต่วันไหนไม่บิณฑบาต ไม่บิณฑบาตมันก็ไม่ต้องทำสิ่งใดเลย
นี่ก็เหมือนกัน ถ้าลองคิดธรรม ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คิดอยู่แล้ว มันมีของมันอยู่แล้ว ถ้ามีอยู่แล้ว นี่ขันธ์ ๕ แล้วขันธ์ ๕ สิ่งที่ได้มา ได้ข้าวมาทำอะไร? ได้ข้าวมาดำรงชีวิต เราคิดธรรมมา คิดธรรมมาได้อะไรมา? ได้ความเดือดร้อนไง ได้ความสงสัยไง ได้การลูบๆ คลำๆ มาไง นี่คิดธรรม ถ้ามีสติขึ้นมา เห็นไหม สิ่งนี้ขันธ์ ๕ จับมันได้ พิจารณามันได้ พิจารณามันได้ สิ่งนี้มันให้โทษตลอดเวลา มันให้ความเร่าร้อนมานะ มันให้อะไรเรามาบ้าง นี่มันคิดไปแล้วมันตกผลึกเหลือสิ่งใดเป็นกากไว้ในหัวใจบ้างล่ะ
สิ่งที่มันตกผลึกอยู่นี่ กากของหัวใจที่มันทิ้งไว้นี่ มันได้อะไรบ้าง? ก็ได้งงๆ ไง ได้ความลังเลสงสัยไง แต่ถ้ามีสติปัญญา เห็นไหม เวลาพิจารณาของเรา อารมณ์ความรู้สึกนึกคิดอย่างนี้ สิ่งที่เป็นอารมณ์ความรู้สึกนึกคิดมันให้สิ่งใด? มันให้ความเร่าร้อนเรามา ถ้าเรามีสติปัญญา นี่ปัญญาอบรมสมาธิ
บอกว่า ทำไมต้องมีสติปัญญา ก็เราศึกษาก็มีปัญญาแล้ว ศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตรรกะตรึกเอานี่ก็มีปัญญาแล้ว...นี่โลกียปัญญา ปัญญาของกิเลส โดยสัญชาตญาณของมันมี โดยสามัญสำนึกทุกคนมีอย่างนี้ ถ้ามีอย่างนี้ นี่มันเป็นโลกส่งออกไง แต่ถ้ามีสติปัญญา มันจะทวนกระแสไง ถ้ามีสติปัญญา มันจับได้ จับความรู้สึกนึกคิดได้ คิดออกไปทำไม ถ้าคิดออกไปมันก็เป็นการลูบๆ คลำๆ เป็นความลังเลสงสัยออกไป แต่ถ้ามีสติปัญญา มันจับได้ มันจะทวนกระแสกลับมา กลับมา นี่อะไร นี่ความรู้สึกนึกคิด สิ่งที่คิดอยู่ทุกวันนี้ สิ่งที่ทำอยู่นี่มันคืออะไร
มันเป็นสัญชาตญาณ มันเป็นสมบัติของธาตุ ๔ และขันธ์ ๕ มันเป็นสมบัติของมนุษย์ มันมีของมันอยู่อย่างนี้ มันมีของมันอยู่อย่างนี้ แล้วเราก็ต้องมาอยู่อย่างนี้จนกว่าหมดอายุขัยไปนะ ตั้งแต่เกิดมาก็มีอย่างนี้ เพียงแต่ว่าชนชั้นใด ภาษาใด เขาก็สั่งสอนให้ลูกหลานเขาพูดภาษานั้น นี่ก็เหมือนกัน ความรู้สึกนึกคิดของเรา มันรู้ภาษาสิ่งใดมันก็คิดตามภาษาที่ตัวเองรู้ มันก็มีรสมีชาติ
นี่ไง ตั้งแต่เกิดมาจนตาย เกิดมาจนตาย สัญชาตญาณของมนุษย์ สมบัติของมนุษย์ ความรู้สึกนึกคิดเป็นสมบัติของมนุษย์ แล้วก็ความรู้สึกนึกคิดอย่างนี้เราก็ไปตรึกในธรรม สมบัติของมนุษย์ไง นี่คิดธรรมๆ แล้วพอคิดธรรมขึ้นมานี่เป็นคนดีไหม คนเขาดีนะ เวลาเขาตรึกในธรรม เขามีวัฒนธรรมของเขา เขามีความร่มเย็นของเขา ผู้เฒ่าผู้แก่เป็นหลักชัยของสังคมของหมู่บ้านใด หมู่บ้านใดมีความกระทบกระเทือนกัน ก็ให้ผู้เฒ่าผู้แก่เป็นคนตัดสินความถูกความผิด เพราะว่าเขามีประสบการณ์ชีวิต
นี่ก็เหมือนกัน สิ่งที่ความรู้สึกนึกคิดตั้งแต่ชีวิตของเราเลย เราก็คิดของเราอยู่อย่างนี้ ตั้งแต่เกิดมาจนตาย เราเป็นคนดีไหม? ก็เป็นคนดี ดีอย่างไรล่ะ ดีของโลกไง ดีในวัฏฏะไง ถ้าดีในวัฏฏะแล้ว ถ้าเรามีสติปัญญา เห็นไหม นี่คิดธรรมๆ เป็นอย่างนี้ แต่ถ้าเรามีสติปัญญา มันจะวางธรรม วางอารมณ์ วางสัญญาอารมณ์ ถ้ามันวางสัญญาอารมณ์ นี่มันปล่อยขันธ์เข้ามา พอปล่อยขันธ์เข้ามาเป็นพลังงาน เป็นขณิกสมาธิ อุปจารสมาธิ อัปปนาสมาธิ ถ้ามันเป็นอย่างนั้น มันจะเป็นข้อเท็จจริงของมัน ถ้ามันเป็นข้อเท็จจริงของมัน มันมีความได้เสียของมัน มันมีความเป็นจริงของมัน มันมีความเป็นจริงของมัน มันก็รู้เท่า รู้ทัน นี่มันจะเป็นสัจจะแล้วนะ มันไม่ใช่คิดธรรม
คิดธรรมคือคิดเอง คิดเอง คิดแล้วจินตนาการของเราไป แต่ถ้ามันเป็นสัจจะความจริง ใครคิดไม่ได้ ใครคิดให้เป็นไม่ได้ แต่ใช้ปัญญาอบรมสมาธิ มันเป็นเกลือจิ้มเกลือ มันเป็นการเอาความรู้สึกนึกคิดไล่ความรู้สึกนึกคิด เอาสัญชาตญาณของมนุษย์ สิ่งที่มีอยู่ไล่เข้าไปให้มันวางให้ได้ ถ้ามันวางของมัน นี่เกลือจิ้มเกลือ หนามยอกเอาหนามบ่ง พอหนามบ่งไปก็เอาขันธ์บ่งขันธ์ เอาความรู้สึกนึกคิดย้อนกลับมันไป
ถ้าเอาความรู้สึกนึกคิดย้อนกลับ ย้อนความรู้สึกนึกคิดเข้าไป ถ้าความรู้สึกนึกคิดมันคืออะไรล่ะ? มันมีความจริงของมัน แต่มันเป็นความละเอียดลึกซึ้ง ละเอียดลึกซึ้งจนปุถุชนรู้ไม่ได้ ปุถุชน ถ้ามันวาง ก็เป็นกัลยาณปุถุชน ปุถุชนคือคนหนา คนหนาคือสัญชาตญาณมันมีของมันอยู่อย่างนี้ แล้วแต่อำนาจวาสนาบารมีของคน คนที่สร้างอำนาจวาสนาบารมีมาละเอียดอ่อน เขาก็มีมารยาทสังคมที่ดี คนที่หยาบกระด้าง แสดงออกไปก็โทสะ โมหะ เขาคิดแล้วแสดงออกไป นี่ก็อยู่ที่อำนาจวาสนา
แต่เวลามีสติปัญญาขึ้นมา จะหยาบละเอียดอย่างไรก็แล้วแต่ ถ้ามันปล่อยวางขึ้นมาก็เป็นขณิกสมาธิ อุปจารสมาธิ อัปปนาสมาธิ ถ้าเป็นสมาธิก็ได้พักผ่อนไง ได้พักผ่อน ได้วางสัญญาอารมณ์ขึ้นมาให้มันมีความร่มเย็นเป็นสุขของเราขึ้นมา ถ้ามีความร่มเย็นเป็นสุขขึ้นมา เวลาใช้ปัญญาขึ้นไป ถ้าจิตสงบแล้วเวลาฝึกหัดใช้ มันเห็นต่างกัน
เวลาความรู้สึกนึกคิดของเรา เราไม่เห็นตัวตนของเรา เราไม่เห็นสิ่งใดเลย รู้แต่ว่าเป็นความคิดเรา รู้แต่ว่า คิดธรรมนี่มันรู้แต่ว่า เป็นกองๆ เลย เรื่องนั้นเป็นเรื่องนั้น รูป รส กลิ่น เสียงเป็นอย่างนั้น ขันธ์เป็นอย่างนั้น สัจธรรมเป็นอย่างนั้น นี่ศึกษาธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ารับรู้ไปหมด เข้าใจไปหมดเลย...มันเป็นตุ๊กตา
มันเป็นตุ๊กตา เราสมมุติสิ่งใดขึ้นมาก็ได้ ถ้าตุ๊กตา ตุ๊กตาเป็นอย่างไรก็ได้ เราตั้งตุ๊กตาขึ้นมาแล้วก็ว่าเป็นอย่างนั้นๆ แล้วเป็นจริงไหม? มันไม่เป็นจริงเลย แต่ถ้าจิตเราสงบแล้วมันจับต้องของมันได้ มันไม่ใช่ตุ๊กตานะ เวลามันจับได้ มันตื่นเต้นมาก เวลาเราเห็นกายเราตามความเป็นจริง โอ๋ย! มันขนพองสยองเกล้า นี่มันขนพองสยองเกล้าเพราะอะไรล่ะ เพราะมันไม่มีใครเคยเห็นใช่ไหม
เวลาเราศึกษาธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เห็นไหม นี่ลิขสิทธิ์ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราก็ศึกษามา เราก็ว่าเราเข้าใจได้ นี่เวลาศึกษาธรรม ดูสิ ใครศึกษาทางวิชาการใดก็แล้วแต่ เราศึกษามาแล้วเราก็รู้ทั้งนั้นแหละ เราศึกษาทางวิชาการของใครล่ะ ก็นักวิชาการเขาวางของเขาไว้ แล้วนี่ดูสิ ผู้ที่ออกไปทำธุรกิจประสบความสำเร็จแล้วเขาก็มาเป็นอาจารย์พิเศษมาสอน มาบอกเทคนิค มาบอกวิธีการว่าโลกมันเจริญ วิชาการมันต่อยอดขึ้นไปตลอดเวลา
นี่ก็เหมือนกัน ที่เราศึกษาธรรม ศึกษาธรรมของใคร? ก็ศึกษาธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นี่มันศึกษาธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ใช่ธรรมของเรา นี้พอธรรมของเรา เราศึกษาแล้วมันก็รู้แบบโลก รู้แบบโลก คืออารมณ์ก็เป็นเรา สรรพสิ่งก็เป็นเรา ทุกสิ่งเป็นเราหมดเลย เวลาจิตมันสงบระงับเข้ามา มันวางของมัน เวลามันจับกาย จับเวทนา จับจิต จับธรรมได้ตามความเป็นจริงของมัน เวลามันพิจารณาของมัน มันเป็นสมบัติ
สมบัติ เห็นไหม ดูสิ เรามีการศึกษามา เราจบมา เราประกอบธุรกิจสิ่งใดขึ้นมา นี่ประกอบธุรกิจ เราจบมาทางวิชาการเดียวกัน แต่เราไปทำวิชาชีพแตกต่างกัน เห็นไหม ถ้าใครประสบความสำเร็จมา ทำอาชีพมา แล้วมีความมั่นคงขึ้นมา นี่เรามาเจอกัน เราคุยกัน มันก็ผลประโยชน์ คือสิ่งตอบแทนเหมือนกัน
นี่ก็เหมือนกัน พิจารณากาย พิจารณาเวทนา พิจารณาจิต พิจารณาธรรม แล้วอยู่ที่วุฒิภาวะของใจ ใจของเรามีความหนักแน่นแค่ไหน จับสิ่งใด พิจารณาสิ่งใด เพราะสิ่งนี้มันเป็นปัจจุบันธรรม ถ้าปัจจุบันธรรมขึ้นมา เห็นไหม อย่างนี้ไม่ใช่คิดธรรม คิดธรรมคือคิดเป็นสัญญาอารมณ์ คิดของเรา คิดแบบโลกๆ แต่ถ้าสัจธรรมมันเกิด สัจธรรมมันเกิด มันจะมีเหตุมีผล มันมีมรรค นี่งานชอบ เพียรชอบ ระลึกชอบ สติชอบ ปัญญาชอบ ความชอบธรรมของมันเกิดขึ้น ถ้าความชอบธรรมเกิดขึ้น ใครเป็นคนทำ? จิตนี้เป็นคนทำ
พอจิตนี้เป็นคนทำ เห็นไหม ดูสิ เวลาเกิดภาวนามยปัญญา ที่ว่าสิ่งที่ว่าปัญญาเกิดจากจิต ปัญญาเกิดจากจิต เขาบอกปัญญาเกิดจากสมอง ปัญญาเกิดจากสมองนี่สัญชาตญาณทั้งนั้นแหละ สัญชาตญาณก็มโนกรรม ถ้ามีมโนกรรม มีพลังงาน มโนกรรมขึ้นมา มโนกรรมนี่ความปรารถนาของใจ ความปรารถนาของใจ สิ่งที่เป็นความปรารถนาของใจมันก็เป็นความคิดที่ยังไม่ได้บังคับให้ร่างกายทำสิ่งใด
ถ้ามันต้องการการกระทำสิ่งใดนะ มันบังคับ นี่ต้องการอะไร อยากทำอะไรด้วยความเร็วของจิต นี่มือไม้ต่างๆ มันไปกับมัน สมองมันก็ควบคุมร่างกายนี้ แล้วเวลาคิดสิ่งใด มันหลั่งสาร เห็นไหม ดูสิ เวลามีความโกรธขึ้นมามันหลั่งสารอะไรออกมาจากร่างกาย นี่มันเป็นเรื่องกระบวนการ กระบวนการของทางเคมีในร่างกาย แต่ถ้าความรู้สึกนึกคิด ปัญญาเราคุมมัน มันลึกซึ้งกว่า ถ้าลึกซึ้งกว่า มันไป นี่ลึกซึ้งกว่าเพราะมันเป็นความรู้สึกนึกคิด มันเป็นปัญญาของจิต ถ้าเป็นปัญญาของจิต ถ้าปัญญาของจิตมันถึงเกิดเป็นมรรค ถ้าเป็นมรรคมันเกิดขึ้นมา มันเกิดขึ้นมาอย่างไร
มันเกิดขึ้นมา มันเกิดขึ้นมาจากความเป็นจริงนะ ถ้าความเป็นจริง นี่ถ้าความจริงเกิดขึ้น มันไม่ใช่คิดเอา ถ้าคิดธรรมคือการคิดเอา คิดเอา พิจารณาเอา จินตนาการไป แต่ถ้าจินตนาการไป เริ่มต้นถ้ามีสติปัญญา มันเป็นปัญญาอบรมสมาธิ ถ้าปัญญาอบรมสมาธินี่คือพื้นฐานของการฝึกหัด พื้นฐานของจิต ก็เริ่มต้นจากต้นทุนจากจิตของเรา ต้นทุนจากความรู้สึกนึกคิดเรานี่
ความรู้สึกนึกคิดของเรา ถ้าเราไม่มีศาสนา ไม่มีธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ในลัทธิต่างๆ เขาก็มีวิชาชีพของเขา แม้แต่เราสนใจในธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ชาวพุทธเราก็ต้องมีการศึกษา ก็ต้องมีปัญญาเพื่อประกอบสัมมาอาชีวะ เพื่อต้องมีอาชีพ มีต่างๆ เพื่อความเจริญของสังคม เพื่อความเจริญ เพราะสังคมเขาเจริญด้วยปัญญา แต่ปัญญามันเป็นสุตมยปัญญา ปัญญาคือจินตมยปัญญา ปัญญาทางวิทยาศาสตร์ ปัญญาของโลก แต่ถ้าเป็นปัญญาของธรรม ต้องวางสิ่งนั้นให้หมด ถ้าไม่วางสิ่งนั้นนะ ถ้าโลกียปัญญา มันไม่เกิดโลกุตตรปัญญา ถ้าโลกุตตรปัญญาคือภาวนามยปัญญา ถ้าภาวนามยปัญญา มันต้องวางให้ได้
แต่ทีนี้ถ้าเราศึกษาวิชาการทางโลกมา เราวางไม่ได้ เราเอาวิชาการทางโลกมาตรึก ถ้ามีสติปัญญา ถ้ามี! มันเป็นปัญญาอบรมสมาธิ ถ้าไม่มี! เป็นการคิดธรรม ถ้าคิดธรรมมันก็เป็นโลกียะ มันเป็นความดื้อด้านของจิต ถ้าจิตมันดื้อด้าน มันทะนงตน มันว่าสิ่งนั้นเป็นธรรม สิ่งนั้นเป็นธรรมมันก็ติดอยู่นั่นไง มันติดโดยกิเลส กิเลสมันพาจิตนี้ติด ติดธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อ้างอิงธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วตัวเองก็อนุโลมเอาว่าเป็นธรรมๆ นี่มันติด มันติดเพราะความไม่เข้าใจ เพราะความไม่รู้ของมัน มันติด มันก็เลยว่าคิดธรรมๆ ไง คิดธรรมเพราะมันติดธรรม
แต่ถ้าเรามีสติปัญญา เห็นไหม เราก็ติดมาพอแรงแล้ว เราก็ทำของเรามาตั้งแต่เริ่มต้นปฏิบัติมา ล้มลุกคลุกคลานมา ติดแง่นั้น ติดแง่นี้ ติดมาตลอด แต่ในปัจจุบัน ถ้ามันติดของมันใช่ไหม ถ้ามันติด ติดก็คือติด แต่แก้ไขนี่ทำอย่างไร
ถ้ามีสติปัญญา เห็นไหม เราทำความสงบของใจเข้ามา ถ้าใจมันสงบเข้ามาได้ มันก็เป็นอิสระ ถ้าใจสงบเข้ามาไม่ได้ มันมีความรู้สึกนึกคิดอย่างนั้น มันก็ติดอยู่อย่างนั้น แล้วถ้าเราปฏิบัติขึ้นไป ในเมื่อมันคุ้นชินอย่างนั้นแล้วมันก็จะลงร่องนั้น ถ้าไม่เคยติดเลย เราปฏิบัติไป มันก็จะตามข้อเท็จจริงนั้นว่าจิตสงบได้หรือสงบไม่ได้ ถ้าสงบแล้วจะออกฝึกหัดใช้ปัญญาอย่างไร ถ้าจิตคนสงบแล้วมันเสื่อมขึ้นมา เสื่อมแล้วสงบมันได้แค่นั้น มันก็อยู่ของมันแค่นั้น ถ้าใครจะพัฒนาขึ้นไป เพราะจิตมันสงบแล้วมันเสื่อม ถ้ามันเสื่อมแล้วพัฒนาขึ้นไป พอพัฒนาแล้วมันเสื่อมอีก เสื่อมอีก มันก็ต้องหาหนทาง หาทางแก้ไขเพื่อให้จิตนี้สงบระงับเข้าไป
ถ้าจิตสงบระงับเข้าไปได้ ฝึกหัดพยายามน้อมไปสู่กาย สู่เวทนา สู่จิต สู่ธรรม ถ้ามันเห็นตามความเป็นจริง เห็นไหม มันไม่ใช่คิดธรรม มันเกิดขึ้น มันเป็นปัจจุบัน มันเป็นสัจจะ มันเห็นซึ่งๆ หน้า ซึ่งๆ หน้า นี่ จกฺขํ อุทปาทิ นี่มันเกิดจักขุญาณ เกิดตาของใจ ถ้าใจมันเกิดมีตาขึ้นมา มันพิจารณาของมัน มันรู้มันเห็นของมัน จักขุญาณเกิดขึ้น แต่นี่มันตาเนื้อ ตาเนื้อ ตาความรู้สึกนึกคิดของเรา
ถ้าเกิดจักขุญาณ เกิดจักขุญาณมันจะเกิดจากที่ไหน ถ้าจิตยังไม่สงบขึ้นมา จิตมันต้องสงบขึ้นมา มันถึงจะรู้จะเห็นของมันตามความเป็นจริง ถ้ารู้เห็นตามความเป็นจริง พอจักขุญาณเกิดขึ้น มันเกิดมรรค เกิดเหตุเกิดผลขึ้นมา มันพิจารณาของมันขึ้นไป มันเป็นความมหัศจรรย์ของจิตนะ จิตจะมีคุณค่าขึ้นมาทันทีเลย
ดูสิ มนุษย์เหมือนกัน เวลามนุษย์มาบวชเป็นพระ พระผู้มีศีล ผู้ที่เห็นภัยในวัฏสงสาร สังคมโลกเขายังให้อภัย สังคมโลกเขายังเคารพบูชา แล้วจิตของเราเป็นปุถุชน เวลาพิจารณาไปแล้ว จิตสงบแล้วเป็นกัลยาณปุถุชน เวลาจิตเราเป็นกัลยาณปุถุชน จิตมันออกไปจับกาย เวทนา จิต ธรรมได้ตามความเป็นจริง มันเป็นโสดาปัตติมรรค เห็นไหม มันจะเป็นมรรค ๔ ผล ๔ มรรค ๔ ผล ๔ บุคคล ๘ จำพวก นี่บุคคล ๘ จำพวก คือจิตใจดวงนี้มันเป็นบุคคลที่ ๑
บุคคลที่ ๑ โสดาปัตติมรรค
บุคคลที่ ๒ โสดาปัตติผล
สกิทาคามิมรรค เป็นบุคคลที่ ๓
สกิทาคามิผล เป็นบุคคลที่ ๔
อนาคามิมรรค เป็นบุคคลที่ ๕
อนาคามิผล เป็นบุคคลที่ ๖
อรหัตตมรรค เป็นบุคคลที่ ๗
อรหัตตผล เป็นบุคคลที่ ๘
มรรค ๔ ผล ๔ นิพพาน ๑ บุคคล ๘ จำพวก
ผู้ใดเห็นสมณะ เห็นไหม สมณะที่ ๑ สมณะที่ ๒ สมณะที่ ๓ สมณะที่ ๔ นี่เห็นสมณะเป็นมงคลอย่างยิ่ง แล้วผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นตถาคต แล้วจิตใจเราปฏิบัติขึ้นมา จิตใจของเรามันรู้มันเห็นของมันขึ้นมา มันเห็นสมณะ เห็นไหม ผู้ใดเห็นธรรมผู้นั้นเห็นตถาคต แล้วจิตมันเป็นสมณะขึ้นมา เวลาภาวนาขึ้นมามันจะมหัศจรรย์ไง มันมหัศจรรย์จากใจเราก่อน เวลามันจะวิเศษ มันวิเศษจากใจของเราเอง ถ้าใจของเราเองประพฤติปฏิบัติขึ้นมาตามความเป็นจริงขึ้นมา มันรู้มันเห็นของมัน มันจะมีธรรมของมันขึ้นมา
ถ้าจิตใจของเรายังล้มลุกคลุกคลานอยู่ เห็นไหม มนุษย์ก็คือมนุษย์ มนุษย์มาบวชเป็นพระ พอมนุษย์มาบวชเป็นพระ พระเป็นสมมุติสงฆ์ นี่เวลาบวชเป็นพระ เวลาประพฤติปฏิบัติขึ้นมาก็เป็นพระนี่แหละ ครูบาอาจารย์ของเราก็เป็นพระเหมือนเรานี่ ศีล ๒๒๗ เหมือนกัน แต่ครูบาอาจารย์ของเราท่านมีคุณธรรม ท่านมีหัวใจที่เป็นสมณะ หัวใจที่เป็นสมณะ เห็นไหม มโนกรรมของท่านมันเป็นสิ่งที่ดีงาม สิ่งที่ดีงามมันจะเกิดขึ้นมาได้อย่างไร สิ่งที่ดีงามจะเกิดขึ้นมาจากที่ไหนถ้าเกิดว่าเราไม่ได้ฝึกฝนของเรา
ฉะนั้น เวลาบอกว่าสัจธรรมๆ เวลาฝึกหัดค้นคว้า พิจารณาไป อย่างนี้มันก็เป็นสมมุติน่ะสิ อย่างนี้เกิดขึ้นจากการแสวงหา...ถ้าไม่แสวงหา สติปัญญามันมาจากไหน สติปัญญาโลกๆ ขนาดสติปัญญาโลกๆ ทางวิชาการของเขา เขายังต้องทบทวน เขาทบทวนของเขา เขาฝึกหัดของเขา ดูสิ ใครจะฉลาดต้องเป็นนักอ่าน ถ้ายิ่งอ่านมากเท่าไร ปัญญายิ่งจินตนาการได้มากขึ้น มันจะมีปัญญามากขึ้น แม้แต่ปัญญาทางโลกเขายังต้องฝึกฝน เขาต้องค้นคว้าของเขา แล้วเวลาเราฝึกหัดของเรา เราปฏิบัติของเรา ถ้าเราไม่ปฏิบัติของเรา มันจะเอาความจริงมาจากไหน
แล้วพอความจริงมันเกิดขึ้นมา เห็นไหม ดูสิ สุตมยปัญญา จินตมยปัญญามันก็เกิดขึ้นมาโดยสัญชาตญาณ โดยความเป็นไปของโลกๆ ใครๆ ก็มีอยู่ เวลาเกิดภาวนามยปัญญาขึ้นมา เห็นไหม จักขุญาณเกิดขึ้น ถ้าจักขุญาณเกิดขึ้น มันพิจารณาของมัน มันเป็นไปของมัน มันเป็นโสดาปัตติมรรค ถ้าเป็นโสดาปัตติมรรค ถ้าเป็นโสดาปัตติผล
เริ่มต้นถ้าหนทางแรกที่มันเข้าไปได้ หนทางที่มันจะผ่านพ้นไป มัคโค ทางอันเอก มันไปถึงที่สุดได้ ถ้าไม่เข้าสู่โสดาปัตติมรรค มันจะไปสู่โสดาปัตติผลได้อย่างไร ถ้าไม่เข้าสู่โสดาปัตติมรรค ไม่เข้าสู่โสดาปัตติผล มันก็คิดธรรมไง คิดธรรมคือคิดธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คิดธรรมก็ความรู้สึกนึกคิดของเรา ถ้าวางตรงนี้ไม่ได้ ถ้าวางตรงนี้ไม่ได้ ความก้าวเดินไปมันไม่มี ถ้าวางตรงนี้ได้ ต้องวาง
เวลาใช้ประโยชน์ขึ้นมา เห็นไหม เริ่มต้น ต้นทุนของเราคือความรู้สึกนึกคิด ต้นทุนของเราคือตรงนี้แหละ ถ้าตรงนี้มันเริ่มต้น ต้นทุนของเราคือจับต้องแล้วพยายามพิจารณาเข้าไป ถ้ามันเข้าไปได้นะ ถ้ามันไม่ทิ้ง พอจับต้องขึ้นไปด้วยวุฒิภาวะอ่อนแอ พอเห็นสิ่งใด รู้สิ่งใด ก็ว่าสิ่งนั้นเป็นธรรมๆ นี่คิดธรรมๆ คิดธรรมแล้วก็จินตนาการเพริศแพร้วไปเลย ถ้าสิ่งนั้นเป็นธรรม สิ่งนั้นเป็นธรรม มันไม่เป็นให้เราหรอก มันเป็นเรื่องกิเลสหลอก เห็นไหม หลอกให้เรา...
เราเป็นมนุษย์มาบวชเป็นพระ เป็นสมมุติสงฆ์ สมมุติสงฆ์ ใจของเรามันก็เป็นโลก ฉะนั้น เราพิจารณาของเรา เห็นไหม โลกียปัญญา มันเป็นโลก มันก็เป็นความรู้สึกนึกคิดอย่างนี้ แต่เวลาเราปฏิบัติขึ้นมา เราพิจารณาจากโลก จากโลกียะเป็นโลกุตตระ โลกุตตระก็จะพ้นจากโลกไง อยู่จากโลก ดูสิ เวลาเขาไปอวกาศกัน เขาจะปล่อยยานอวกาศจากที่ไหนล่ะ? ก็จากโลกนี้ขึ้นไป เขาก็ยิงฐานจากโลกนี่แหละ
นี่ก็เหมือนกัน ความรู้สึกนึกคิดขึ้นมา มันมีโดยสามัญสำนึก มันมีโดยธรรมชาติของมันอยู่แล้ว นี่ธรรมะเป็นธรรมชาติ ธรรมะเป็นธรรมชาติ คิดธรรมก็เป็นธรรมชาติอันหนึ่ง มันก็เป็นธรรมชาติ เกิดจากภวาสวะ เกิดจากภพ เกิดจากจิตของเรา นี่มันก็เป็นธรรมชาติอันหนึ่ง ไม่มีธรรมก็คิดของมันอยู่แล้ว ไม่มาบวช ไม่มาเป็นพระ มันก็คิดของมันอยู่อย่างนั้นแหละ นี่โดยสัญชาตญาณ
แต่เวลามาบวชไปแล้วมันมีสติมีปัญญาไง มันมีสติมันมีปัญญา มันมีหมู่มีคณะ มีครูบาอาจารย์ชักนำกันไป พอชักนำไป อยู่ในกลุ่มชนไง อยู่ในกลุ่มชน อยู่ในสัปปายะที่ดี สัปปายะที่ดี เวลาปฏิบัติ เห็นไหม มีสังคมไหนล่ะ เวลาเขาสนทนาธรรม เขาสนทนาในเรื่องการปฏิบัติล่ะ ในเรื่องการเสียสละ ในเรื่องการปล่อยวาง ในเรื่องการไม่แสวงหา เขามีแต่ว่าสิ่งต่างๆ เขาจะกว้านมาเป็นสมบัติของเขา ถ้ากว้านมาเป็นสมบัติของเขา
สมบัติข้างนอกเป็นวัตถุที่จิตใจจะไปยึดมั่น แต่เวลาคิดมานี่ ย้ำคิดย้ำทำ สมบัติชิ้นเดียว แต่ความรู้สึกนึกคิด คิดแล้วคิดเล่า คิดมากกว่า มันตอกย้ำๆ ในหัวใจ มันมีแต่ความสะเทือนใจทั้งนั้นแหละ นี่ถ้าหมู่คณะเป็นอย่างนั้น มันก็แสวงหาแต่เรื่องโลกๆ เรื่องโลกๆ เห็นไหม แสวงหาวัตถุ แต่จิตใจเร่าร้อน
แต่ถ้าเราเสียสละๆ เสียสละเพื่อหัวใจของเรา เห็นไหม การเสียสละ เสียสละเพื่อให้จิตใจของเรามั่นคงขึ้นมา ถ้ามั่นคงขึ้นมา สิ่งนั้นเป็นเครื่องอาศัยๆ มันรู้มันเห็นไง มีเราไม่มีเรามันก็เป็นอยู่อย่างนั้น ของมันต้องมีอย่างนั้น ของของโลก มันของประจำโลก แต่ถ้าจิตใจมันไม่มีหลักนะ มันก็ไปเอาของประจำโลกมาทับหัวมัน
ถ้ามันมีหลักนะ สิ่งใดของโลก โลกเขาใช้ประโยชน์ร่วมกัน โลกเขาใช้ประโยชน์ เราก็ใช้ประโยชน์ ความรู้สึกนึกคิดอย่างนี้ ถ้ามันมีหมู่มีคณะ มีคนชักนำขึ้นมา มันก็จะเห็นโทษไง เห็นโทษว่าความคิดของเรา ถ้าความคิดของเราคิดอยู่คนเดียวมันก็เป็นความดีไปหมดเลย แต่เวลาเทียบเคียงกับหมู่คณะ ธมฺมสากจฺฉา เอตมฺมงฺคลมุตฺตมํ มันก็เป็นโทษ เขาก็เป็นโทษ แต่เราว่าเป็นโทษจริงหรือไม่จริง เพราะมันเป็นสมบัติของเราไง
แต่ถ้าเราเห็นโทษขึ้นมา เห็นไหม อืม! เห็นโทษมันก็ปล่อย หยาบมันก็ไปสู่กลาง ปล่อยกลางเข้าไปสู่ละเอียด นี่มันจะสู่ความละเอียดลึกซึ้งเข้าไป ละเอียดลึกซึ้งเข้าไป พอละเอียดลึกซึ้งเข้าไป เราก็เห็นตามความเป็นจริง โอ้โฮ! เมื่อก่อนทำไมว่าอันนั้นใช่ อันนี้ใช่ พอมันละเอียดเข้าไป ทำไมมันไม่ใช่สักอย่างหนึ่งเลย...มันไม่ใช่สักอย่างหนึ่งเลยเพราะมันเป็นฌานโลกีย์ มันเป็นเรื่องโลก
เรื่องโลก เห็นไหม ดูสิ ฤๅษีชีไพรก็เหาะเหินเดินฟ้าได้ ฤๅษีชีไพรเขารู้วาระจิตทั้งนั้นแหละ การรู้วาระจิต การเหาะเหินเดินฟ้า การต่างๆ มันเป็นของเล่น ของเล่นเพราะอะไร เพราะไม่มีพุทธศาสนา เขาก็ทำกันเป็น เขาก็ทำกันได้ ฤๅษีชีไพรเขาทำมาตั้งแต่ ๒,๕๐๐ กว่าปีอยู่แล้ว ของมันมีอยู่ประจำโลก ถ้าของประจำโลก มันจะเป็นประโยชน์อะไร ของประจำโลกก็เป็นของประจำโลก แต่เราจะออกจากโลกใช่ไหม เราจะออกจากโลก เราก็ต้องมีหลักมีเกณฑ์ ต้องเอาใจของเราสงบเข้ามา
ถ้าใจมันสงบเข้ามา นี่สงบเข้ามา ถ้าสงบแล้วได้อะไรต่อไปล่ะ นี่สมถะมันแก้กิเลสไม่ได้ สมาธิแก้กิเลสไม่ได้ แต่ไม่มีสมาธิ ภาวนามยปัญญาไม่มีหรอก ถ้าไม่มีสมาธินะ ภาวนามยปัญญา เพราะภาวนามยปัญญามันเป็นปัญญาจักขุญาณ มันเป็นปัญญาธรรมจักร มันเป็นปัญญาสัจจะ นี่ในปัญญาสัจจะ สัจจะคืออะไร? สัจจะคืออริยสัจไง ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค มรรคญาณมันเป็นสัจจะ มันมีของมันอยู่ ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาตรัสรู้ธรรม ธรรมมีอยู่โดยดั้งเดิม ธรรมมีอยู่โดยดั้งเดิม ของมีอยู่โดยดั้งเดิม แต่ไม่มีจิตใจดวงไหนเข้ารู้ได้ ไม่มี มีแต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากับพระปัจเจกพุทธเจ้าเท่านั้น สาวกสาวกะต้องได้ยินได้ฟัง ได้ยินได้ฟังนี่
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าวางธรรมและวินัยนี้ไว้ด้วยบารมีขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่เราไปศึกษาด้วยกิเลสไง เราไปศึกษาด้วยความรู้ของเราไง เราไปตีความไงว่าปัญญาคือการรู้สึกนึกคิดไง เราไปตีความกันเองว่าปัญญาที่เราคิด ใช้ปัญญาอย่างนี้เป็นปัญญาๆ ไง เพราะเราไปติดอยู่ปัญญาโลกียปัญญาอย่างนี้มันถึงไม่เป็นโลกุตตระ
โลกุตตระคือปัญญาที่พ้นจากโลก จรวดที่ยิงออกไปจากโลก มันขับดัน แรงดึงดูดมันจะทะยานออกสู่แรงดึงดูดของโลก มันทะยานออกไปอย่างไร มีกำลังแค่ไหน ปัญญาที่มันจะทิ้งโลก ปัญญาที่มันจะทิ้งสังโยชน์ที่มันผูกมัดในใจ มันจะมีสติปัญญามากน้อยแค่ไหน มันต้องทำของมันโดยสัจธรรมของมัน มันมีความเห็นของมัน ถ้ามันเห็นอย่างนั้นมันถึงไม่ใช่คิดธรรม มันถึงเป็นสัจธรรม
ในปัจจุบันนี้เราคิดของเราเอง เราคิดของเราเอง เราเออของเราเอง มันก็เลยกลายเป็นการคิดธรรมไง คิดธรรมเป็นเรื่องโลก โลกๆ นี่คิดธรรม จินตนาการธรรม สัจธรรม เห็นไหม แต่ถ้าเป็นความจริงนะ มันก็เกิดจากความรู้สึกนึกคิดขึ้นมาก่อน ความเกิดมาจากความรู้สึกนึกคิด เพราะความรู้สึกนึกคิดนี้คือเรา ในเมื่อมีจิต มีเรา มันถึงมีการเกิด คนมีการเกิดมันก็มีอวิชชา มันมีอวิชชา มีความไม่รู้ในใจของเรา ศึกษาธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจากความรู้สึกนึกคิดโดยสัญชาตญาณ มันก็รู้สึกนึกคิดไปโดยกิเลสตัณหาความทะยานอยาก จากกิเลสตัณหาความทะยานอยาก เห็นโทษของมัน ตรึกในธรรม ตรึกในธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มันไม่มีรสไม่มีชาติ ถ้ายังภาวนาไม่เป็น
มันไม่มีรสชาติ แต่เวลาคิดโดยสัญญาอารมณ์มันมีรสมีชาติ มีความพอใจ มีโลภ โกรธ หลง มีความโลภ มีความโกรธ มีความหลงบวกร่วมกันไป มันก็มีรสมีชาติ แต่เวลามาพุทโธ พุทโธมันจืดชืด มันไม่มีรสไม่มีชาติ เพราะจิตมันยังไม่สงบ พอจิตมันสงบ รสสิ่งใดจะซาบซึ้งเท่ารสของธรรม รสของธรรมคือปัญญาธรรมที่จิตมันสงบ สุขอื่นใดเท่ากับจิตสงบไม่มี นี่รสอันนั้นมันประเสริฐกว่าเยอะ ถ้ามันประเสริฐกว่าเยอะ เวลามันสงบระงับเข้ามา มันถึงจะมีสมถกรรมฐาน ถ้ามันสงบเข้ามาถึงมีสมถกรรมฐาน
นี่ไง สมาธิแก้กิเลสไม่ได้ สมาธิแก้กิเลสไม่ได้ แต่สมาธินี่ นั่นคือตัวมัน คือตัวสมถกรรมฐาน ฐานที่ตั้งแห่งการงาน ฐานที่ตั้งแห่งปฏิสนธิจิต ปฏิสนธิจิตที่มันพาเกิดพาตาย มันมาจากตรงนั้น แต่เราไม่เห็นตรงนั้น เพราะเราทำความสงบของใจเข้าไปไม่ได้ แต่เวลาฤๅษีชีไพรเขาทำความสงบของเขา เขาก็ไม่เข้าสู่ธรรม เพราะมันเป็นมิจฉาทิฏฐิ มิจฉาทิฏฐิเพราะอะไร เพราะพลังงานของจิต จิตมันมีพลังงานของมันขึ้นมาได้ แต่มันไม่ทวนกระแสกลับ มันหดสั้นเป็นสมาธิเข้ามา แต่มันไม่เข้าไปสู่ฐีติจิตเพื่อออกไปเห็นกาย เห็นเวทนา เห็นจิต เห็นธรรม มันเข้าไปสู่พลังงานนั้น แล้วพลังงานนั้นมีกำลังขึ้นมา นี่เหาะเหินเดินฟ้า รู้วาระจิตต่างๆ มันเป็นมิจฉาทิฏฐิ
สัมมาสมาธิ มิจฉาสมาธิ ฉะนั้น เวลาทำสมาธิ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงให้มีศีลก่อน ศีล สมาธิ ปัญญา เพราะมีศีล เราไม่เบียดเบียนใคร เราไม่ทำร้ายใคร เราไม่ต่างๆ พอจิตมันสงบเข้ามา มันก็สงบในตัวของมัน ถ้าในตัวของมัน เห็นไหม ถ้ามีสติปัญญา นี่ว่าสมาธิแก้กิเลสไม่ได้ สมถะทำให้ไม่มีปัญญา เราใช้ปัญญาของเราไป นั่นมันคิดธรรมทั้งนั้นแหละ
แต่ทำความสงบของใจเข้ามาให้เป็นฐาน ให้มีกำลังขึ้นมา เวลาเราน้อมไปสู่กาย เวทนา จิต ธรรม ถ้ามันจับต้องของมันได้ เวลามันเกิดปัญญา เห็นไหม นี่มรรคเกิดตรงนี้ เพราะอะไร เพราะมันเป็นงานชอบ งานชอบธรรม เห็นไหม งานไม่ใช่เศร้าเหงาหงอย เวลามันชอบธรรมขึ้นมา มันพิจารณาขึ้นมา มันถอดมันถอน มันถอดมันถอน มันละสังโยชน์ มันมีความสุข มันสะเทือนใจมาก ขนพองสยองเกล้า แล้วมีความสุข
ความสุขของสมาธิ ความสุขของสมถะก็เป็นความสุขอันหนึ่ง ความสุขที่เวลามันถอดมันถอน มันเวิ้งว้าง ตัวนี่เบา เดินเหมือนไม่ได้เดิน เหมือนลอยไป มันมีความสุขมหาศาลเลย แล้วความสุขอย่างนี้ติดสุขนะ ถ้าไม่มีหลักมีเกณฑ์ก็ว่าอันนี้เป็นธรรมๆ ทั้งนั้นแหละ
นี่จากคิดธรรมก็มาติดธรรม จากติดธรรมขึ้นมา พิจารณาไป มันเป็นอกุปปธรรม สพฺเพ ธมฺมา อนตฺตา ติดธรรม นี่ธรรมะเป็น สพฺเพ ธมฺมา อนตฺตา สภาวธรรมมันเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา สภาวธรรมมันเป็นอนัตตา สภาวธรรมมันเคลื่อนไหวตลอดเวลา เห็นไหม เวลาเป็นอกุปปธรรมมันเป็นอนัตตาที่ไหนล่ะ มันข้ามพ้นไปหมด ถ้ามันข้ามพ้นไปหมด มันเป็นอย่างไรล่ะ นี่ถ้ามันเป็นจริงมันเป็นแบบนี้ไง ถ้าเป็นจริงเป็นแบบนี้ การปฏิบัติของเรามันถึงตามความเป็นจริง
เราเป็นนักบวช เราเห็นภัยในวัฏสงสาร เราตั้งใจทำคุณงามความดีของเรา เราตั้งใจจริงของเรา เราต้องมีสติปัญญา สติของเราเท่านั้นจะยับยั้งความรู้สึกนึกคิดของเราได้ให้เป็นเอกเทศ เอกัคคตารมณ์ จิตตั้งมั่น จิตตั้งมั่นแล้วจะทำงานสิ่งใดมันเป็นชิ้นเป็นอัน จิตไม่ตั้งมั่น ไม่มีหลักมีฐาน ล้มลงนอนแล้วก็กลิ้งไป กระเสือกกระสนไปจะไปหาคนอื่น มันต้องกระเสือกกระสนไปอย่างนั้นไหม แต่ถ้าจิตสงบนะ มันไม่ต้องล้มแล้วกลิ้งไป ตัวมันเองเป็นตัวมันเอง ถ้าตัวมันเอง ย้อนกลับมาที่ตัวมันเอง แล้วออกหา
ออกหานะ ถ้าจิตสงบแล้ว เห็นไหม น้ำใสแล้วจะเห็นตัวปลา จิตสงบแล้วไม่ออกแสวงหามันก็ไม่เห็นหรอก แต่ถ้ามันรู้มันเห็นขึ้นมา นั่นวิปัสสนาญาณเกิดตรงนั้น วิปัสสนาเกิดตรงนั้น ภาวนามยปัญญาจะเกิดขึ้น แล้วถ้ามันเกิดขึ้นมา มันจะเป็นสัจธรรม มันจะเป็นอริยสัจ เป็นสมบัติของผู้ที่ปฏิบัตินั้น เอวัง