ฝึกหัดใหม่
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ถาม-ตอบ ปัญหาธรรม วันที่ ๒๖ พฤษภาคม ๒๕๕๖
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี
ข้อ ๑๓๒๑. เนาะ
ถาม : ข้อ ๑๓๒๑. เรื่อง สมาธิจิตของผมอยู่ในระดับไหน เป็นฌานหรือจิตรวมธรรมดาเท่านั้น
กราบเรียนท่านอาจารย์ ก่อนหน้านี้กระผมทำสมาธิสวดมนต์ภาวนา ระหว่างที่ภาวนาไปเรื่อยๆ มีอาการนิ่งสงบภาวนาไม่ออก รู้สึกว่าเบาเหมือนไม่มีตัวตน แต่จริงๆ ก็มีกำลังนั่งสมาธิอยู่ เป็นอย่างนี้เกือบทุกคืน ผมจะนั่งสมาธิทุกคืน คืนละประมาณ ๓๐ นาทีถึง ๑ ชั่วโมง พอออกจากสมาธิก็จะมีอาการร่างกายมีความรู้สึกน้อยลง ตื่นนอนตอนเช้าหรือไปทำงานมีอาการความรู้สึกน้อยลง ชาตามร่างกาย บางครั้งถูกของแข็งกระแทกแรงๆ ก็ไม่เจ็บ
จะเป็นเช่นนี้อยู่ประมาณเกือบเดือน ตั้งแต่เดือนสิงหาคม เดือนกันยายน ๒๕๕๕ มีความรู้สึกเหมือนฉลาดขึ้น อ่านใจคนออก ตาเห็นได้กว้างขึ้น ไกลขึ้น ชัดขึ้นกว่าเมื่อก่อนเยอะ ทั้งนี้เมื่อก่อนมองไปไกลๆ แล้วจะเบลอๆ จะมีนิมิตความฝันเกี่ยวกับหวยค่อนข้างแม่นหลังจากนั้นไม่นานอาการเหล่านี้ก็หายไป ถึงทุกวันนี้อาการเหล่านี้ก็ยังไม่กลับมา (ผมไม่เคยได้นั่งสมาธิ แค่สวดมนต์กราบพระธรรมดาแล้วก็นอน) ถ้าผมกลับมาทำสมาธิ มีอาการอย่างเดิมจะกลับมาหรือไม่ รบกวนหลวงพ่อให้ตอบด้วย
ตอบ : ไอ้ตอบด้วยเราจะตอบว่า สมาธิจิตของผมระดับนี้เป็นฌานหรือเป็นจิตรวมครับ สมาธิมันก็เป็นสมาธิ สมาธิเป็นสมาธิ แล้วสมาธิถ้าสติเราไม่ชัดเจนมันก็เบลอๆ อย่างนี้ ทั้งๆ ที่เป็นสมาธิเราก็ไม่มั่นใจว่าเป็นสมาธิหรือไม่เป็นสมาธิ เวลาไม่เป็นสมาธิ เวลาเราภาวนาของเราใช่ไหม? เรามีเป้าหมายเพราะเราเป็นชาวพุทธใช่ไหม นี่ทาน ศีล ภาวนา เราก็อยากภาวนา อยากมีหลักจิตหลักใจ ถ้ามีหลักจิตหลักใจเพื่อให้เป็นคนสมบูรณ์ในความเป็นคน มีสติสัมปชัญญะไม่เป็นเหยื่อของสังคม
ดูเป็นเหยื่อของสังคมสิ เห็นไหม ดูทางธุรกิจเขาโฆษณาประชาสัมพันธ์สินค้าต่างๆ ไปซื้อๆๆ กันมากองไว้ในบ้านแล้วไม่ได้ใช้ นี่เป็นเหยื่อ เราเป็นเหยื่อเขาไปหมดเลย อะไรก็แสวงหามาๆ แล้วไม่ได้ใช้ประโยชน์ แต่ถ้าเราเป็นคนโดยสมบูรณ์นะ เราจะซื้ออะไร เวลาในนวโกวาท เวลาภิกษุมาบวชแล้ว นี่ไม่ตื่นไง ไม่ตื่นไปกับกระแสโลก ที่ไหนเขามีมหรสพ มีฟ้อนรำเราไม่ไปที่นั่น ถ้าคนไม่มีหลักมีเกณฑ์นะ ที่ไหนมีแสง มีสี มีเสียงไปที่นั่น ที่ไหนมีอะไรก็ไปที่นั่น ตื่นไปกับกระแสโลกไง แต่ถ้าเราปฏิบัติธรรม เราทำสมาธิ เราปฏิบัติธรรมให้เรามีจุดยืนของเรา
มนุษย์เรามันก็มีปัจจัย ๔ เครื่องอาศัย เครื่องอาศัยในบ้านเราใช้อีกปีก็ไม่หมด ใช้จนชาตินี้ก็ไม่หมด ไปตื่นเต้นอะไรกับข้างนอก เห็นไหม นี่เราจะมาภาวนากันเพื่อเหตุนี้ไง เราภาวนากันเพื่อให้เราเป็นคนขึ้นมา เรามีสติสัมปชัญญะขึ้นมา หาอยู่หากินมา หาอยู่หากินมา หาอยู่หากินก็พอมีพอกิน ถ้าพออยู่พอกินเราก็รักษาไว้ ใช้ประหยัดมัธยัสถ์ของเราไว้ ชีวิตเราก็ไม่คับแค้น ไม่ต้องเดือดร้อนเกินไป
นี่ถ้าเราหาอยู่หากินมาเราก็จะสะสม เราจะอยู่เพื่อความมั่นคง เก็บไว้จนเน่าไม่ได้กินหรอก อุตส่าห์แสวงหามาแล้วไม่ได้ใช้ประโยชน์ อู๋ย เหนื่อยเปล่า แต่เวลาแสวงหามาแล้วเราใช้ประโยชน์ของเราเป็นปัจจัยเครื่องอาศัยของเราใช่ไหม? นี่เราไม่เหนื่อยเปล่า ถ้ามีชีวิตอย่างนี้ มีสติปัญญาอย่างนี้มันไม่ตื่นเต้นไปกับเขา เราปฏิบัติเพื่ออย่างนี้ไง ทีนี้พอนั่งสมาธิ เห็นไหม พอนั่งสมาธิแล้วมันเป็นสมาธิขึ้นมาบอกว่า
ถาม : เวลาเช้าขึ้นมามันรู้สึกน้อยลง เวลาของแข็งกระแทกมันก็ไม่เจ็บ
ตอบ : มันเจ็บทั้งนั้นแหละ ทำไมมันไม่เจ็บ นี่มันมีความรู้สึกทั้งนั้นแหละ พอจิตเราดีขึ้น เวลานั่งสมาธิแล้วสมาธิมันดี นี่เวลารู้สึกว่าร่างกายมันดีขึ้น สติมันดีขึ้นมันก็ดีขึ้นทุกๆ อย่าง ดูสิเวลาคนเผลอนะ เวลาเขาเดินไปไหนนะหนามเกี่ยวเขาจนเลือดออกซิบๆ เขายังไม่รู้ว่าหนามเกี่ยว พอบอกนี่โดนอะไรมา โอ๋ย เจ็บ ความเจ็บมันก็ตามมาทีหลังไง เพราะมันไม่รู้สึก มันไม่รับรู้ไง ถ้ามีสติปัญญานะมันเป็นอย่างนั้น ถ้ามีสติปัญญาขึ้นมาเราเป็นคนดีขึ้นมา อันนี้เป็นเรื่องพื้นๆ เป็นเรื่องปกติไง
แล้วเรื่องปกติ เห็นไหม เวลาบอกว่าเดี๋ยวนี้พอปฏิบัตินะ อู้ฮู รู้ขึ้น ตาดีขึ้น มองทะลุปรุโปร่งขึ้น ฉลาดขึ้น โอ้โฮ ยอดคนเลยนะ จะเป็นยอดมนุษย์เลย เมื่อก่อนนะเราเป็นมนุษย์ธรรมดา แหม พอนั่งสมาธิไปเป็นยอดมนุษย์เลยทีนี้นะ ฉลาดปราดเปรื่อง รู้ไปหมด อันนี้เวลาเราไม่มีทุกข์มันเป็นอย่างนี้ มันคิดอะไรก็คิดออกนะ มันคิดอะไรก็คิดออก มันไม่มีอะไรตกตะกอนในใจ มันเป็นคนดี แต่เวลากิเลสมันรบกวนนะ โอ้โฮ มันมีแต่เรื่องหนักอกหนักใจ มันมีแต่เรื่องอะไรคิดไม่ออก ทำงานก็นึกไม่ออก ทำอะไรก็ทำไม่ได้
นี่มันก็เป็นอย่างนั้น มันเป็นเรื่องปกติ มันเป็นเรื่องปกติ เป็นเรื่องธรรมดา พอเรื่องธรรมดา นี่ว่าพอผมนั่งสมาธิ เวลา ๓๐ นาที ชั่วโมงหนึ่งเดี๋ยวนี้มันดีขึ้น แล้วเดี๋ยวนี้ผมไม่ได้นั่งเลย หายไปหมดเลยนะ ไอ้เรื่องดีๆ หายไปหมดเลย แล้วทำอย่างไรต่อล่ะ? ความนั่งสมาธิ สุขอื่นใดเท่ากับจิตสงบไม่มี เรารักษาจิตใจของเราให้สงบร่มเย็น เห็นไหม เมื่อวานก็มีคนมาถาม ในการปฏิบัติชีวิตประจำวันทำอย่างไรล่ะ
ในการปฏิบัติทุกคนเพราะมันอยู่ที่เป้าไง อยู่ที่เวลาครูบาอาจารย์ท่านสอนนะ บอกว่าการภาวนานี้มันแสนยากนะ โอ๋ย ต้องนั่งกำหนดลมหายใจเข้า ลมหายใจออกต้องพุทโธนะ มันเป็นเรื่องปฏิบัติยากนะ สู้ทำแบบเราไม่ได้ ทำแบบเรานี่สะดวกสบายมาก ใช้ชีวิตประจำวัน ปฏิบัติในชีวิตประจำวัน อ้าว ทีนี้ชีวิตประจำวันก็เลยเอาเรื่องชีวิตประจำวันนี้เป็นใหญ่ ธรรมะเป็นเรื่องรอง เมื่อวานก็มาถามว่าการปฏิบัติในชีวิตประจำวัน เราบอกเอ็งหายใจหรือเปล่าล่ะ? ถ้าเอ็งหายใจ มันหายใจมันมีอยู่แล้ว
หลวงปู่ฝั้นท่านบอกหายใจทิ้งเปล่าๆ นั่นล่ะ ถ้าหายใจมันก็ประจำวันอยู่แล้ว มันประจำชีวิตเลยแหละไม่ใช่ประจำวัน ประจำตั้งแต่เกิดเลย เกิดในท้องแม่ สายสะดือก็พ่อแม่หายใจให้ ได้เอาออกซิเจนตั้งแต่ในท้อง นี่อยู่ในท้องมันก็หายใจแล้ว ชีวิตประจำวันในท้อง ๙ เดือนนั่นก็ชีวิตประจำวันอยู่ แล้วมันมีชีวิตประจำวันจริงหรือเปล่า? นี่มันเป็นเป้าไง คือว่าโวหารพอคนบัญญัติศัพท์ขึ้นมาแล้ว ทีนี้ชาวพุทธก็ล้มไปเลยนะ ปฏิบัติธรรมในชีวิตประจำวัน ปฏิบัติธรรมเพื่อชีวิตประจำวัน
อ้าว ชีวิตประจำวันก็ชีวิตมนุษย์ แล้วชีวิตของอริยทรัพย์ล่ะ? จิตที่มันได้ธรรมขึ้นมาล่ะมันจะดีขึ้นมามากน้อยขนาดไหน ถ้ามากน้อยขนาดไหนเราก็ปฏิบัติของเรา ชีวิตประจำวันเราก็อยู่ของเราใช่ไหม แล้วถ้าปฏิบัติเพื่อความดีเราก็เป็นคนดีของเราขึ้นมา ถ้าความดีปฏิบัติเพื่อเหตุนั้น ปฏิบัติไปแล้วมันจะมีเป้าหมายของมันไง สมาธิก็คือสมาธิ นี้เป็นสมาธิ
ถาม : จิตของผมเป็นสมาธิหรือเป็นฌาน
ตอบ : ถ้าเป็นฌาน เอาชานอ้อยหรือชานหมากล่ะ? ฌานก็คือฌาน เรื่องฌาน เรื่องแฌน หลวงตาท่านพูดว่าฌานๆ แฌนๆ อย่ามาพูดกับเรานะ เพราะเรื่องฌาน เรื่องสมาบัติพอพูดไปแล้วทุกคนต้องการฤทธิ์ต้องการเดช โดยกิเลสตัณหาความทะยานอยากทุกคนอยากจะเป็นผู้วิเศษ ทุกคนอยากจะรู้อะไรเป็นสิ่งที่เป็นความลึกลับมหัศจรรย์ สิ่งที่โลกรู้ไม่ได้เราอยากจะรู้ได้ ก็ต้องอาศัยฌานโลกีย์ พอฌานโลกีย์เป็นฌานๆ เป็นฌานมันก็ไม่เข้าสู่มรรค ไม่เข้าสู่อริยสัจ
ฉะนั้น ในกรรมฐานเราเรื่องฌานๆ ไม่เอามาเกี่ยวข้องเลย มันไม่เกี่ยวข้องเลย แต่นี้ในสังคมโลก เห็นไหม พวกเกจิอาจารย์เขาต้องทำสมาบัติของเขาเพื่อมาทำของขลังของเขา โลกเขาต้องการอย่างนั้น ของขลัง ของฤทธิ์ ของเดช แล้วคนก็ชอบกันอย่างนั้น มันไปเข้ากับกิเลส เพราะกิเลสมันชอบอยู่แล้วใช่ไหม? พอคนมาพูดเรื่องอย่างนี้ปั๊บมันก็ไปตรงกับกิเลสของคน คนมันก็ตื่นเต้นกันไป แต่เวลาทำสัมมาสมาธิ โอ้โฮ ไม่เอา สมาธินะลงทุนลงแรงไปแล้วไม่ได้อะไรเลย ไม่เป็นผู้วิเศษ ไม่มีใครมานับหน้าถือตาเลย ไม่รู้เรื่องอะไรเลยมันจะทำไปทำไม?
อ้าว ก็ทำเพื่อความสุขสงบระงับ ทำเพื่อจิตมั่นคงของเราไง นี่ธรรมะสอนที่นี่ไง สอนเข้ามาสู่ตัวเราไง ไม่ได้สอนเพื่อสังคมไง ไอ้นี่จะทำเพื่อสังคม จิตนี้เป็นสมาธิหรือเป็นฌาน สมาธิก็สมาธิ ฌานมันเป็นการส่งออก ถ้าการส่งออกแล้ว ที่เขาทำไป สิ่งที่กระผมทำมามันเป็นสมาธิหรือเป็นฌาน ถ้าเป็นความสุขสงบมันก็เป็นสมาธิ พอเป็นสมาธิขึ้นมา สิ่งที่ว่ามันรู้สึกว่าจิตใจมันปลอดโปร่ง ร่างกายมันชา มันชานี่มันไม่ใช่หรอก สติมันสมบูรณ์ทั้งนั้นแหละ
ทีนี้เวลาจิตลงแล้ว เวลาหลวงตาท่านบอกท่านอยู่ที่บ้านผือ เวลาหลวงปู่มั่นท่านเทศน์ท่านบอกเลยนะ ท่านฟังเทศน์หลวงปู่มั่นจิตมันดับ คำว่าจิตมันดับ จิตมันดับได้อย่างไร? จิตมันไม่ใช่ไฟฟ้านะจะมาเปิดมาดับ แต่จิตมันดับคือว่ามันทรงตัวของมันอยู่ภายใน ธรรมดาของเรานี่เราจะรับรู้ตามอายตนะใช่ไหม? นี่พวกความรู้สึกนึกคิดเราจะมาถึงตัวมันเองมันไม่ส่งออกมา มันดับอยู่ในตัวมันเอง มันปิดสวิตซ์ข้างนอก มันปิดสวิตซ์สิ่งที่รับรู้ เขาบอกมันไม่รับรู้เลย ๓ วันนะ ท่านอยู่ที่หนองผือท่านเดินไปนะมันเหมือนกับลอยไป มันเบาสบายอยู่ ๓ วัน
ท่านบอกว่าจิตมันดับถึง ๓ วัน ไม่รับรู้เรื่องอะไรเลย ทรงตัวของมันเลย เห็นไหม นี่ท่านมีสติ มีสัมปชัญญะ ท่านรู้ของท่านหมด แล้วท่านทรงตัวของท่าน แต่นี้ของเรามันชาๆ เวลาโดนอะไรกระแทกไม่รู้นี่ จิตของเราก็เป็น ถ้าจิตของเรามันเป็นนะ แต่เราไม่มีสติสมบูรณ์ไง เหมือนเด็กๆ เลย เห็นไหม เด็กมาเมื่อกี้ เด็กๆ พอมันเข้ามาผู้ใหญ่ชมอะไรมันดีใจไปหมดเลย เด็กมันไร้เดียงสามันน่ารักนะ แต่ถ้าเป็นผู้ใหญ่ทำอย่างนั้นสมควรไหม? เราเป็นผู้ใหญ่นะ เราควรจะมีมรรยาท เราควรจะมีทุกอย่าง เรารู้ดีรู้ชั่ว เรารู้ควรไม่ควร เรารู้ไปหมดเลย
สตินะถ้ามันปฏิบัติมา เรื่องชาๆ มันกึ่งๆ เห็นไหม มันสักแต่ว่า แต่ถ้ามันชัดเจนของมัน มันชัดเจนของมัน มันจะเจริญอีกชั้นหนึ่ง มันจะชัดเจนของมัน แล้วถูกของแข็งกระแทกโดนอะไรกระแทก มันกระแทกแรงก็ไม่เจ็บ เจ็บไม่เจ็บจิตไม่รับรู้มันก็เรื่องธรรมดา เพราะเวลาพูดไปสังคมนะถ้าสังคมมันกว้างขวางขึ้นไป ถ้าเวลาพูดไปมันเป็นมิจฉาก็ได้ เขาบอกว่า อู๋ย ทำสมาธิ พุทโธ พุทโธนั่งสมาธิไปแล้วมันเย็นชา ของแข็งกระแทกมันก็ไม่รู้ตัวนะ อันนี้มันเลยกลายเป็นสติอ่อนไปเลย กลายเป็นไม่รับรู้อะไรไปเลย แล้วปฏิบัติมาเพื่อความชัดเจน ทำไมปฏิบัติมาแล้วทำไมมันมึนชาอย่างนี้ล่ะ? ถ้ามันปฏิบัติมึนชามันถูกต้องไหม?
นี่เวลาที่คนเขาโต้แย้งเขาจะคิดอย่างนั้นได้ แต่ถ้าเป็นภาษานักปฏิบัติด้วยกันนะ นี่มันเริ่มต้นจากเด็กใช่ไหม? มันภาวนาไปมันก็ไม่รู้ประสีประสา พอมันเริ่มจากรู้ประสีประสามันก็ยังลองผิดลองถูกอยู่ก็อยู่ตรงนี้ไง อยู่ที่ว่ามันยังลองผิดลองถูกอยู่ มันใช่ไม่ใช่นี่ลองผิดลองถูกอยู่ นี้การลองผิดลองถูกอยู่ คนปฏิบัติมันก็มีความผิดพลาดเป็นธรรมดา แต่ถ้าบอกว่าอย่างนี้มันถูกต้อง ชาๆ อย่างนี้ถูกแล้ว อ๋อ ปฏิบัติมาให้ชาๆ เนาะ คนเราก็ไปวางยาสลบกันหมดเลยเนาะ วางยาสลบให้มันชาๆ แล้วเป็นการปฏิบัติหรือ? มันก็ไม่ใช่
อ้าว คนปฏิบัติมันต้องชัดเจนสิ มันชัดเจนของมัน ถ้าชัดเจนของมัน มันก็เป็นของมัน แต่ถ้ามันเป็นอย่างนี้ ถามว่าเป็นสมาธิหรือเป็นฌาน แล้วที่มันชาๆ อย่างนี้ถูกต้องหรือไม่? แต่ถ้ามันปฏิบัติมา มันกำลังแสวงหา กำลังปฏิบัติมันก็มีผิด มีแบบว่าเริ่มต้น ท่ามกลางและที่สุด มันยังไม่ถึงที่สุดมันก็เป็นอย่างนี้ ถ้าเป็นอย่างนี้เราทำของเราไปอีก ฉะนั้น บอกว่ามันฉลาดขึ้น มันมองได้ไกลขึ้น เวลามองต่างๆ หู ตาของคนมันเป็นอย่างนี้แหละ ดูสิเวลาคนสายตาสั้น สายตายาว สายตายาวเขาจะมองได้ไกลกว่าคนสายตาสั้น ถ้าสายตาสั้นเขาต้องตัดแว่นใส่ของเขา
นี่ก็เหมือนกัน เราสายตาสั้น เรามองไม่เห็น มันชัดเจนขึ้นมาเราก็ปฏิบัติของเรา เราไม่ใช่มองเห็นภาพจากข้างนอกชัดเจนหรือไม่ชัดเจน ไอ้นี่มันตาเนื้อ แต่ตาใจล่ะ? ถ้าตาใจนะถ้าจิตมันสงบแล้วมันเห็นกาย เห็นเวทนา เห็นจิตเห็นธรรม จักขุญาณมันเกิด ถ้าจักขุญาณมันเกิด ปัญญามันเกิด อู้ฮู มันเกิดวิปัสสนาญาณ วิปัสสนาญาณมันอยู่ที่นั่น นี่พระป่าเขาปฏิบัติมาเขามีหลักมีเกณฑ์ของเขา ถ้ามีหลักมีเกณฑ์ของเขามันจะเป็นชั้นเป็นตอนของเขา ถ้ามันเกิดจักขุญาณ จักขุญาณเกิดได้อย่างไร?
จักขุญาณเกิดขึ้น จิตมันสงบแล้วนี่ธรรมจักษุ ถ้าธรรมจักษุมันเกิดขึ้นมา มันพิจารณา มันจับต้องของมัน พิจารณาของมัน อันนี้ถึงเป็นวิปัสสนา วิปัสสนามันเป็นพุทธศาสนา มันเป็นมรรคญาณ มรรคญาณมันก็ปฏิบัติเป็นชั้นเป็นตอนขึ้นไป มันก็ถูกต้องดีงามของมันขึ้นไป ทีนี้ดีงามขึ้นไป เพราะดีงามอย่างนี้ เพราะหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นท่านปฏิบัติมาดีงามอย่างนี้ ท่านถึงได้ฝึกลูกศิษย์ลูกหาขึ้นมาเป็นครูบาอาจารย์เรามหาศาลเลย ก็เพราะว่าครูบาอาจารย์ที่ถูกต้อง หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นท่านทำของท่านถูกต้องมา เวลาท่านสั่งสอนมา สั่งสอนลูกศิษย์ขึ้นมาลูกศิษย์ก็ทำตามครูบาอาจารย์ที่ถูกต้องดีงามขึ้นมา มันก็เป็นหลัก เป็นกองทัพธรรม
กองทัพธรรมหมายถึงกองทัพที่เป็นธรรม ไม่ใช่อธรรม กองทัพอธรรม กองทัพที่มีแต่อกุศล มีแต่สิ่งหมักหมมในใจ นี่กองทัพอธรรม ถ้ากองทัพธรรมมันสะอาดบริสุทธิ์ขึ้นมา เวลาปฏิบัติขึ้นมามันก็เหมือนสร้างศาสนทายาทขึ้นมา ศาสนทายาทขึ้นมา พอศาสนทายาทขึ้นมาก็เผยแผ่ธรรมขึ้นมา กองทัพธรรมตั้งแต่หลวงปู่มั่นท่านเคลื่อนกองทัพธรรมมา นี่ปราบพวกความเห็นผิด ปราบพวกถือผีมาตลอดจนเป็นความจริงขึ้นมา ถ้าเป็นความจริงขึ้นมา สัจธรรมมันเกิดขึ้นมาอย่างนั้น ถ้ามันปฏิบัติขึ้นมามันมีความจริงของมันอย่างนี้ขึ้นมา
เราทำของเรา ถ้ามันยังเป็นอย่างนี้อยู่มันเป็นเรื่องเห็นมองไกล มองใกล้ มองจากตาเนื้อมันเป็นวิทยาศาสตร์ ถ้ามองไม่ได้เดี๋ยวก็ไปใส่เลนส์ ตัดแว่นหนาๆ จะมองได้ไกลกว่านี้อีก นี่โลกเขามี ถ้าไม่ได้เดี๋ยวมีกล้องส่องทางไกลเลย กล้องส่องทางไกล ถ้าไม่ได้นะ ไม่ได้จีพีเอสเลย มันรู้ทางข้างหน้าเลย นี่ทางโลกเขามี เห็นไหม แต่เห็นกาย เห็นเวทนา เห็นจิต เห็นธรรมสำคัญมาก เห็นกาย เห็นเวทนา เห็นจิต เห็นธรรม การเห็นอย่างนี้มันทำให้จิตนี้เป็นอิสระพ้นจากการครอบงำของมาร
นี้การปฏิบัตินะ เขาถามว่า
ถาม : ถ้าผมกลับไปทำสมาธิอีก อาการอย่างนี้จะกลับมาอีกหรือไม่?
ตอบ : สิ่งที่เราเคยกินอาหารไปแล้วครั้งหนึ่ง อาหารครั้งนี้มันจะมีรสชาติดีมาก เรากินซ้ำ ๒ ซ้ำ ๓ มันจะอย่างนั้นไหม? ในการประพฤติปฏิบัติ คนเคยเป็นสมาธิขึ้นมา เริ่มครั้งแรกๆ จะตื่นเต้นมาก เกิดปีติ วิตก วิจาร ปีติ สุข เอกัคคตารมณ์ เกิดปีติมันก็ตื่นเต้นของมัน ประสามันไป ถ้ามันเกิดสุขมันเกิดผ่านปีติเข้าไป เมื่อก่อนมีปีติมาก ผมมีความรู้สึกอย่างนี้มาก เดี๋ยวนี้ไม่เห็นมีเลย นี่พอมาปฏิบัติมากเข้าๆ มันละเอียดเข้าไป จิตละเอียดเข้าไป สิ่งที่รสชาติหยาบๆ มันทิ้งเข้ามา ถ้าทิ้งเข้าไปมันจะละเอียดขึ้นไป
นี่ก็เหมือนกัน ปฏิบัติจะกลับเป็นอย่างนี้อีกไหม? สิ่งที่เราเคยได้พบเห็นมามันเคยได้เห็นมาแล้ว ถ้าเราปฏิบัติไปครั้งที่ ๒ ครั้งที่ ๓ มันจะมีรสชาติอย่างนี้ไหม? ถ้ามันปฏิบัติมันดีกว่านี้ก็ได้ มันละเอียดมากขึ้นไปกว่านี้ ถ้าจิตสงบเข้ามาแล้วมันเกิดจักขุญาณขึ้นมา มันเกิดดวงตาเห็นธรรมขึ้นมา ดวงตาเห็นธรรมมันพิจารณาของมันไปมันดีกว่านี้เยอะแยะเลย มันไม่เป็นอย่างนี้หรอก เพียงแต่คำถามถามมา ถามมาว่า
ถาม : ผมเป็นอย่างนี้มันเป็นสมาธิหรือมันเป็นฌาน
ตอบ : มันเป็นสมาธิหรือเป็นฌาน นี้เราพูดอย่างนี้เพราะ เพราะว่าในวงการปฏิบัติไง ถ้าเราปฏิบัติแล้วรุ่มๆ ร่ามๆ คนที่เขาไม่ปฏิบัติเขาบอกว่าคนปฏิบัติมันต้องมีสติ มีปัญญา ทำไมคนปฏิบัติธรรมแล้วมันรุ่มๆ ร่ามๆ มันไม่รู้เหนือรู้ใต้ สติมันไปไหน? เห็นไหม วงปฏิบัติมันต้องชัดเจนสิ เวลาปฏิบัติมันต้องชัดเจนขึ้นมา เรามีครู มีอาจารย์ของเราขึ้นมา ครูบาอาจารย์ท่านจะชี้ของท่าน ท่านจะคอยบอกเราว่าถูกหรือผิด ถ้าถูกเราก็ปฏิบัติของเราให้ดีขึ้น ถ้ามันผิดพลาดเราก็วางของเราไว้ เราทำเพื่อคุณงามความดีของเรานะ
นี่พูดถึงว่าปฏิบัติ ถ้าในวงปฏิบัติมันเข้มแข็ง มีครูบาอาจารย์ที่ชี้นำมันก็ปฏิบัติแล้วถูกต้องดีงาม มันทำให้เราไม่เสียเวลาไง หลวงตาท่านพูดบ่อย ถ้าไม่มีครู ไม่มีอาจารย์นะ หนึ่งทำให้หลงทางได้เลยล่ะ สองถ้าเราไปเจอสิ่งใดขึ้นมานี่ละล้าละลัง พิจารณาอยู่นั่นล่ะมันเสียเวลาไง พอไปเจออะไรเข้ามันก็จะพิจารณาให้มันตัดสินกันได้ว่าอันนี้ถูก อันนี้ผิด คิดอยู่นั่นแหละ พิจารณาอยู่นั่นแหละ ลุ่มๆ ดอนๆ อยู่นั่นแหละมันไปไม่รอดเสียเวลา แต่ถ้ามันร้ายกาจมันก็หลงไปเลย แต่ถ้ามีครูบาอาจารย์ท่านคอยบอกคอยชี้แนะเข้ามา นี่มันไม่หลงทางหนึ่ง สองไม่เสียเวลาด้วย
นี่ถ้ามีปัญหาเกิดขึ้นมา ครูบาอาจารย์ท่านตอบปัญหาทีเดียวขาดเลย ขาดคือความสงสัยมันขาด ความลังเลสงสัยมันปล่อยวางหมด แต่ถ้าเราทำเอง ปีหนึ่งคิดอยู่อย่างนั้นแหละ ๑๐ ปีก็ยังวนอยู่ปัญหาเดิมไม่จบ นี่มันเสียเวลามากเลย แต่ถ้ามันมีครูบาอาจารย์ตามความเป็นจริงนะมันจบ เห็นไหม นี่กองทัพธรรมของหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น ท่านทำของท่านมาดีงามแล้ว ถ้าเราปฏิบัติขึ้นมา ปฏิบัติตามความเป็นจริงของเราขึ้นมามันจะเป็นความจริง นี่การปฏิบัติว่าเป็นสมาธิหรือฌาน จบ