สัตว์โลก
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ถาม-ตอบ ปัญหาธรรม วันที่ ๑๗ สิงหาคม ๒๕๕๖
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี
หลวงพ่อ : เรื่อง “ในที่สุด” เขาถามปัญหามาหนหนึ่งแล้ว เราตอบปัญหาเขาไป ตอบปัญหาไปแล้วคราวนี้เรื่องมันชัดเจนขึ้นมาแล้วเขาถึงบอกว่าในที่สุดเรื่องมันก็แดงไง “ในที่สุด” เขาเขียนมา เราไม่อ่าน อารัมภบทมันเยอะ นี้เอาคำถามเลย
ถาม : เข้าคำถามค่ะ
๑. เคยได้ยินมาว่า ถ้าเผยแผ่หลักธรรมของพระพุทธเจ้า ลูกหมายถึงในกรณีที่ลูกทำหนังสือของพระองค์หนึ่งที่อ้างในเชิงว่าชาตินี้เป็นชาติสุดท้าย และสอดแทรกธรรมะต่างๆ ลงไป ในเมื่อเขาเป็นของเก๊ มันจะปิดกั้นมรรคผลจริงหรือ แม้เกิดมาก็อาจมีมิจฉาทิฏฐิ พบครูบาอาจารย์เป็นของเก๊ จริงดังนี้ไหมคะ ถ้าจริง จะแก้ไขอย่างไร แต่ลูกก็พยายามอยู่กับปัจจุบัน สิ่งนั้นล่วงมาแล้ว แต่บางทีก็อดกลัวไม่ได้ค่ะ ลูกก็พยายามภาวนาและบริจาคช่วยพิมพ์หนังสือหลวงตา ช่วยวิทยุหลวงตาที่เผยแผ่สวากขาตธรรม เพราะลูกลงใจที่สุดแล้ว
๒. ในเรื่องการภาวนา ลูกติดการภาวนาที่ต้องมีเสียงเทศน์ครูบาอาจารย์ มีเสียงหลวงตาจากวิทยุเป็นต้นค่ะ คือถ้านั่งเงียบๆ แล้วบริกรรมพุทโธๆ ลองดูแล้วมันไม่สงบเท่ากับการฟังเทศน์กล่อมให้ไปพร้อมๆ กับพุทโธๆ ค่ะ อย่างนี้จะเป็นการสร้างนิสัยด้านบวกหรือด้านลบคะ ถ้าบวก ลูกจะดำเนินการต่อไป ถ้าไม่เป็นผลดี ลูกควรปฏิบัติอย่างไร แก้ไขอย่างไร เพราะคิดว่าถ้าไม่มีไฟฟ้า ไม่มีวิทยุ เราไปภาวนาในป่า เราจะเอาเสียงเทศน์ครูบาอาจารย์จากไหนมากล่อมใจให้สงบ
ตอบ : นี่กราบเท้าเนาะ ฉะนั้น สิ่งที่อารัมภบทมา อารัมภบทว่าเขามีอาชีพอยู่สำนักพิมพ์ แล้วไปพิมพ์หนังสือที่เขาไม่เห็นด้วย เขาเข้าใจว่าหนังสือที่ผิดพลาด เขาถามมาแล้วหนหนึ่ง หนหนึ่งเราก็บอกว่าในเมื่อเราอยู่ในสำนักพิมพ์นั้นเป็นหน้าที่การงาน เราก็ไม่เห็นด้วยทั้งนั้นน่ะ ผิดถูกเราไม่เห็นด้วย แต่หน้าที่การงานใช่ไหม หน้าที่การงานเราก็ทำหน้าที่การงานของเราไป แต่ความจริงในใจเรา เราคัดค้านไว้ แต่ในเมื่อจิตใจมันลงลึก ลงลึกว่าเรารู้อยู่ว่าถูกว่าผิดไง แล้วทำไป ถ้าเรารู้อยู่ว่าถูกหรือผิด เราเป็นคนทำเองใช่ไหม เราทำถูกทำผิดเป็นกรรมของเราเอง
แต่นี่มันเป็นของสำนักงาน มันเป็นสำนักพิมพ์ ถ้าเราอยู่ในสำนักพิมพ์นั้น คนเขามาจ้าง เขาเรียกว่าเป็นความผิดของสำนักพิมพ์ แต่เราเป็นบุคลากรในนั้น แล้วเราก็ตอบแล้วหนหนึ่ง ฉะนั้น หนหนึ่งแล้วก็จบกันไป แต่คราวนี้เน้นถามมา ถามมาเพราะว่าสำนักพิมพ์นั้นที่พิมพ์ของพระองค์นี้ องค์ที่มีเรื่อง เขาระบุชื่อมาด้วย แต่ด้วยมารยาทเราก็บอกพระองค์หนึ่ง
มันชัดเจนไง เพราะเขาเองเขาว่ามันไม่ใช่อยู่แล้ว เขาบอกว่าเป็นชาติสุดท้าย แล้วก็อ้างนู่นอ้างนี่ไปเรื่อย ในใจเขาก็คิดว่าเป็นของเก๊ แล้วตอนนี้เรื่องมันชัดเจนขึ้นมาแล้ว ชัดเจนขึ้นมามันยิ่งทำให้ถ้าคนมันเคยคิดอยู่อย่างนั้นมันยิ่งเสียใจมากขึ้นไง ฉะนั้น มากขึ้น ทีนี้คำถามมันเน้นย้ำตรงนี้ว่า ถ้าอย่างนี้มันจะปิดกั้นมรรคผลหรือเปล่า
มันไม่ปิดกั้นมรรคผลหรอก ถ้าการปิดกั้นมรรคผลมันปาราชิก ๔ ถ้าปาราชิก ๔ มันตาลยอดด้วน ฉะนั้น พอตาลยอดด้วน อย่างนั้นตาลยอดด้วนคือมันปิดกั้นมรรคผล ปิดกั้นมรรคผลก็ปิดกั้นมรรคผลในชาตินี้ แต่ในชาติต่อไป เราไปแก้ไขของเราแล้วมันก็เป็นปัญหาของเราไป อย่างเช่นที่ว่าปาราชิก ๔ ดูอย่างพระเทวทัต พระเทวทัตฆ่าบิดามารดา ฆ่าคนอื่น ทำให้พระพุทธเจ้าห้อพระโลหิต ทีนี้พระเทวทัตปลงใจจะลอบปลงพระชนม์องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตอนนี้ตกนรกแล้ว แล้วแผ่นดินสูบต่อหน้าเลย แล้วพอใช้เวรใช้กรรม ต่อไปพระเทวทัต องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกอนาคตพระเทวทัตจะเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้า บอกชื่อไว้เสร็จเลย
เห็นไหม คำว่า “ปิดกั้นมรรคผล” ก็ปิดกั้นมรรคผลในชาติปัจจุบันนี้ แต่พอชาติต่อไป ชาติต่อไปเราไปใช้เวรใช้กรรมหรือ เราไม่ใช้ก็ได้ เราจะไปใช้ทำไม แต่กรรมมันให้ผลนั่นล่ะคือใช้ เทวทัตตกนรกอเวจีนี่แหละคือใช้ ไปใช้เวรใช้กรรมนั่นน่ะ หมดเวรหมดกรรมมันเบาขึ้นมาแล้ว ต่อไปจะเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้านู่นน่ะ
ฉะนั้น สิ่งที่ว่าปาราชิก ๔ การกระทำมันถึงจะปิดกั้นมรรคผล แต่ของเรา เราไม่ได้ทำปาราชิก ถ้าเป็นพระนะ เวลาอาบัติหนัก ถ้าอาบัติ การภาวนามันก็ภาวนายาก เขาถึงพยายามปลงอาบัติ ทำตัวเองให้บริสุทธิ์ ให้ถือศีลให้บริสุทธิ์ เพราะเขาจะเอาผลปัจจุบันนี้ เหมือนเช่นมือสกปรกแล้วจะไปหยิบของให้สะอาดมันจะเอามาจากไหน มือสกปรกไปหยิบต้องสิ่งใด สิ่งนั้นก็สกปรกด้วย แต่ถ้าเราใส่ถุงมือ เราพยายามรักษามือเราให้มือเราสะอาด มือสะอาดจะจับต้องสิ่งใดมันก็เป็นของสะอาด
ศีล ศีลเรารักษาให้มันสะอาดขึ้นมามันก็จะทำให้จิตใจเรามั่นคงขึ้นมา ถ้าเป็นสมาธิขึ้นมา จิตตั้งมั่นขึ้นมา มันก็ภาวนาของมันได้ ถ้าภาวนาของมันได้ ถ้าภาวนามันมีอำนาจวาสนามันก็ต่อเนื่องกันไป
แต่นี้เขาบอกว่า ถ้าเราร่วมพิมพ์หนังสือ ร่วมพิมพ์หนังสือมันจะปิดกั้นมรรคผลไหม
มันวิตกวิจารณ์หนักไปหน่อยหนึ่ง ไม่ถึงกับปิดกั้นมรรคผลหรอก แต่ทีนี้มันเป็นกรรม มันเป็นกรรมเพราะอะไร เพราะเราพิมพ์หนังสือที่เป็นหนังสือให้คนเขาอ่าน แล้วข้อมูลนั้นมันผิดพลาด เราก็รู้อยู่ มันก็เป็นกรรม พอเป็นกรรมขึ้นมามันก็ฝังใจ พอฝังใจขึ้นมามันเกิดนิวรณ์ เกิดนิวรณ์คือเกิดความลังเลสงสัย จิตใจเราก็ไม่มั่นคง เออ! ถ้าผลอย่างนี้มันมี ก็เราทำ เราก็รู้ๆ อยู่ เราเสนอสิ่งที่ไม่ถูกต้องไปในสังคม เราก็รู้ของเราอยู่ มันก็เป็นเรื่องวิตกวิจารณ์เป็นเรื่องธรรมดา
แต่นี้เราก็ต้องที่ว่าเราเป็นสัตว์โลก สัตว์โลกเป็นไปตามกรรม สัตว์โลก ผลของวัฏฏะๆ สัตว์โลกเป็นไปตามกรรม เราเกิดมาแล้ว ด้วยเวรด้วยกรรมเราถึงมาพบกัน เราถึงได้มาประสบกัน มีปัญหาต่อกัน
นี่ก็เหมือนกัน เราเกิดมาแล้ว เราเกิดมา เรามีอาชีพ เราศึกษามาแล้ว เรามีอาชีพแล้ว อาชีพเราเป็นแบบนี้ ทีนี้อาชีพเราเป็นอย่างนี้ เราอยู่ในสังคมอย่างนี้ แล้วผู้ที่เขาต้องการที่ว่าเขาจะหลอกลวง เขาต้องการจะโปรโมตตัวเขาเอง เขาก็เขียนหนังสือของเขา แล้วเขามาจ้างสำนักพิมพ์พิมพ์ มันมาเจอกันน่ะ แล้วเราจะแยกอย่างไรล่ะ
สัตว์โลกไง สัตว์โลกเป็นไปตามกรรม ถ้ากรรมมันมีอย่างนี้มา เราอยู่ในอย่างนั้นปั๊บ เราก็ต้องตั้งสติของเรา นี่ยังดีนะ ถ้ายังดี พอถ้าเราพิมพ์แล้วเราเห็นผลประโยชน์เราก็ อืม! สิ่งนี้ได้ผลประโยชน์ เราจะเชื่อเขาไปเลย ตามเขาไปเลย เรายิ่งลงลึกกว่านี้อีก เราเสียหายถึงกับจิตใจของเราเลยน่ะ
สิ่งที่มีค่าที่สุดคือจิตใจของเรา เห็นไหม สิ่งที่จิตใจของเรา เราแสวงหาปัจจัยเครื่องอาศัย หาเงินหาทองใช่ไหม หาเงินหาทองเพื่อดำรงชีวิต นั่นเราหาเงินหาทองเพื่อดำรงชีวิต แต่ถ้าเราเชื่อมั่น พอเห็นเงินทองมีคุณค่ากว่า เราจะยอมตัวเลย ยอมจิตใจของเราให้ไปทำงานกับเขาเพื่อหวังผลตอบแทนกับเขา มันจะลงลึกไปกว่านั้นถ้าจิตใจเราไม่มีหลักมีเกณฑ์
แต่ถ้าจิตใจเรามีหลักมีเกณฑ์ ในเมื่อสำนักพิมพ์เขาพิมพ์ของเขา หน้าที่การงานของเรา เราพิมพ์ของเรา เราก็ดึงใจเราไว้ ดึงใจเราไว้ว่าเราไม่เห็นด้วย ข้อมูลนี้เราไม่เชื่อว่าถูกต้อง ถ้าเราไม่เชื่อว่าถูกต้อง แต่เขาพิมพ์กันมาอย่างนั้น ต้นฉบับเป็นอย่างนั้น เราพิมพ์ไปอย่างนั้นมันก็เรื่องของเขา มันเรื่องของเวรของกรรม ของเวรของกรรมเพราะว่าสำนักพิมพ์ ผู้ที่เป็นเจ้าของสำนักพิมพ์เขาเห็นแต่ผลประโยชน์ เขาเห็นแต่เงินแต่ทอง เขาว่าเป็นธุรกิจ
ดูสิ ตอนนี้หนังสือพิมพ์ หนังสือพิมพ์แยกข้าง เขาซื้อหนังสือพิมพ์เลย เขาตั้งกรรมการเข้ามากำหนดนโยบายเลย แล้วก็เวลาจะเสนอข่าวออกไป สังคมมันได้รับข่าวสารข้างเดียว พูดข้างเดียว ไม่ยอมให้มีการโต้แย้งเลย ทีนี้เราเป็นคนพิมพ์เอง เราเป็นพนักงาน เราพิมพ์ของเรา ถ้าเราพิมพ์ของเรา เราไม่เห็นด้วย แต่เราไม่มีอำนาจขนาดนั้น นี่ผลของเวรของกรรม ไม่มีอำนาจขนาดนั้นเราก็รักษาใจของเรา
ยังดี ดีที่ว่าเรารู้ว่ามันผิด แต่เป็นหน้าที่ เราก็ทำของเราไป แต่นี้ผลมันชัดเจน พอมันชัดเจนขึ้นมายิ่งทุกข์เข้าไปใหญ่เลย
“มันจะปิดกั้นมรรคผลเราไหม”
ไม่ ไม่ปิดกั้นมรรคผลของเราหรอก เพียงแต่ว่าเรามีเวรมีกรรม เราต้องมาเจอสภาพแบบนี้ เราไม่มีอำนาจวาสนาไปเจอสำนักพิมพ์ที่ดีๆ เขาพิมพ์แต่ข้อมูลที่ถูกต้อง แต่สำนักพิมพ์ที่ดีเอามาจากไหน ก็ต้องเป็นมหามกุฏ มหามกุฏเขาพิมพ์แต่หนังสือของมหามกุฏ มหามกุฏเขาเป็นนักวิชาการ มันคงจะไม่ผิดเลย แต่ถ้าสำนักพิมพ์ข้างนอก โอ๋ย! มันผิดร้อยแปด เพราะพระหลับตา ๒ ทีจะพิมพ์หนังสือกันแล้ว บวชเข้ามาก็จะพิมพ์ประวัติกันแล้ว โอ้โฮ! เกิดมาชาตินี้มีอำนาจวาสนาจะพิมพ์ประวัติกันเชียว ทำไมมันเดือดร้อนกันขนาดนั้น
สำนักพิมพ์ทั่วไปมันก็เป็นอย่างนั้นน่ะ โลกเป็นใหญ่ เขาไม่มีอำนาจวาสนามาขนาดนั้น ครูบาอาจารย์ของเราถ้าท่านเป็นธรรมๆ ท่านไม่ยุ่งกับเรื่องอย่างนั้นหรอก ท่านเห็นการเกิดและการตายเป็นปัญหาที่ใหญ่ที่สุด ถ้าเป็นปัญหาที่ใหญ่ที่สุด ท่านก็ต้องแก้ไขที่ใจของท่านก่อน ถ้าแก้ใจของท่านจบแล้ว อย่างเช่นหลวงปู่มั่นท่านพูดกับหลวงตาว่า “ผมทำประโยชน์ไว้กับโลกนี้มาก หมู่คณะคิดอะไรได้ไหม”
เพราะท่านเห็นว่าเราต้องเรื่องเกิดเรื่องตายสำคัญที่สุด เราต้องแก้ไขเรื่องการเกิดและการตายให้จบสิ้น ถ้าเราแก้ไขเรื่องการเกิดและการตายให้จบสิ้นแล้ว ไอ้วิธีการที่แก้ไขมันมีประโยชน์มาก นี่ไง “ผมทำประโยชน์เพื่อโลกไว้มาก ใครมีความรู้สึกนึกคิดอย่างไรบ้างไหม”
หลวงตาท่านบอก โอ๋ย! รู้อยู่เต็มอก เพราะสิ่งที่หลวงปู่มั่นทำมานั่นล่ะ นั่นคือวิธีการ คือวิธีการชำระล้างการเกิดและการตาย อันนั้นน่ะสำคัญมากเลย แต่ขณะที่คนทำ อันที่สำคัญมากเหมือนกับยา เราต้องได้รับยาอันนั้นก่อน เราต้องใช้ยานั้นจนได้ประสบความสำเร็จก่อน เราถึงจะกล้าพูดได้ว่าสิ่งนั้นเป็นความจริง แล้วหลวงปู่มั่นท่านทำของท่านจบสิ้นแล้ว ท่านถึงบอกว่ามันเป็นประโยชน์ ใครจะมีความคิดเห็นอย่างไรบ้าง
หลวงตาท่านบอกคิดอยู่เต็มหัวอกเลย แต่การเกิดและการตาย หลวงตาท่านบอกท่านยังไม่จบ ท่านขอให้การเกิดและการตายของหลวงตาท่านจบด้วย แล้วท่านถึงจะมาเขียนประวัติหลวงปู่มั่นไง มันถึงเป็นประโยชน์มหาศาลไง ประโยชน์อย่างนี้มันประโยชน์ที่สะอาดบริสุทธิ์ ประโยชน์ที่มีคุณค่ามากที่สุด ถ้าพิมพ์แล้วมันก็เป็นเรื่องประโยชน์ที่สุด
แต่นี่ยังหัวหกก้นขวิด ยังไม่รู้ว่าอะไรตายอะไรเกิด ไอ้ที่เกิดก็เกิดแต่กิเลสเกิด ธรรมไม่เคยเกิดเลย แล้วบอกไอ้ที่เกิดก็เป็นกิเลสเกิดเสีย ไอ้ธรรมจะเกิดก็ไม่เกิดสักที แล้วยังจะพิมพ์ประวัตินะ ประวัติอะไร ประวัติการกิเลสเกิดไง ประวัติที่กิเลสมันตัวใหญ่ๆ ประวัติที่มันอหังการ ประวัติที่มันจะครอบครองโลก อย่างนั้นเป็นธรรมที่ไหนล่ะ มันไม่มีธรรมเลย
ธรรมเขามีแต่อ่อนน้อมถ่อมตน ธรรมของเขา เขามีแต่จุดยืนของเขา เขาไม่กินแดนโลกเลย เขาไม่กินแดนเลย กิเลสมันกินแดนไปหมด ทำให้กินแดน ธรรมมันจะหดตัวเข้ามาเป็นธรรม อันนั้นเป็นประโยชน์มาก ฉะนั้น สำนักพิมพ์อย่างนี้มันถึงหายากไง
จะบอกว่าเรามีอาชีพอย่างนี้แล้วจะไม่ทำผิดเลย เอาที่ไหนล่ะ เอาที่ไหน ดูสิ ตำรวจ อาชีพตำรวจมันทำให้สังคมร่มเย็นเป็นสุข อาชีพตำรวจ อาชีพตำรวจพยายามปกป้องรักษาคนดี เขาเรียกอะไรนะ เพลงมาร์ชตำรวจ ปกป้อง ดูแล รักษา อาชีพตำรวจเป็นอาชีพที่ทำให้สังคมร่มเย็นเป็นสุขมากถ้าตำรวจที่ดี แล้วเวลาอาชีพตำรวจ เราเข้าไปอยู่ในสังคมตำรวจแล้วเป็นอย่างไรล่ะ สังคมตำรวจแล้วมันทำอย่างไรล่ะ
นี่ไง นี่ก็เหมือนกัน สำนักพิมพ์ โลกมันเป็นแบบนี้ ถ้าโลกมันเป็นแบบนี้ เราอยู่ในกระแสสังคม สัตว์โลกเป็นไปตามกรรม ฉะนั้น ถ้าวิตกวิจารณ์จะทุกข์มาก ฉะนั้น สิ่งนี้เราย้อนกลับมาที่ตัวเรา เห็นไหม เขาบอกว่า “สิ่งที่ทำไปแล้วมันจะปิดกั้นมรรคผลหรือไม่”
สิ่งที่มันทุกข์ใจ เขาก็อยู่ในปัจจุบัน รักษาใจตัวเองก็จบแล้ว ถ้าพูดไปแล้วมันเหมือนกับเราจะทำสัมมาอาชีวะอะไรกันโลกนี้ ทุกคนเกิดมาต้องมีอาชีพทั้งนั้น แล้วอาชีพที่ถูกอาชีพที่ผิดล่ะ แล้วถึงที่สุด ดูสิ พระเราก็มีอาชีพ ภิกขาจารไง เลี้ยงชีพด้วยปลีแข้ง พระก็มีอาชีพนะ อาชีพบิณฑบาต บิณฑบาตรอข้าวตกบาตรนะ ไม่ใช่บิณฑบาตจะเอาสตางค์เขา บิณฑบาตจะเอาชื่อเสียงเขา บิณฑบาตหลอกลวงเอาหัวใจของเขามา ให้เขาเชื่อให้เขาศรัทธา ไปเอาของเขามาได้อย่างไร หัวใจของเรายังรักษาไม่ได้
หัวใจของเขาต้องให้อยู่ในหัวอกของเขา แล้วให้เขามีสติให้เขามีปัญญา ให้เขารักษาใจของเขา ให้ทำใจของเขาสะอาด นั้นถึงจะเป็นพระที่ดี นั่นพูดถึงอาชีพพระ พระอาชีพ พระที่มีคุณธรรมต้องทำอย่างนั้น
ข้อ ๒. เรื่องการภาวนาไง ถ้าการภาวนานะ ถ้าพูดถึงการภาวนา ถ้าเราภาวนาแล้วถ้าเราฟังเทศน์ หลวงตาท่านบอกว่า ในวงกรรมฐาน สิ่งที่เป็นเอก สิ่งที่เป็นยอดที่สุดคือการฟังเทศน์ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเทศนาว่าการ พระสำเร็จ ๕๐๐-๖๐๐ สำเร็จเป็นพัน สำเร็จเต็มไปหมดเลย การฟังเทศน์มันเป็นเหตุการณ์เฉพาะหน้า เห็นไหม เหมือนกับทางโลกเวลาเขาสอบคัดเลือกกัน ใครสอบผ่านคนนั้นก็ได้เลยๆ สอบคัดเลือกแล้ว สอบเสร็จต้องส่งข้อสอบ ต้องให้กรรมการตรวจสอบ ไอ้นั่นเขาจะดูว่าเอ็งมีกึ๋นหรือเปล่า
แต่เวลาฟังเทศน์ กิเลสกับธรรมมันตรวจสอบกันเดี๋ยวนั้นเลย ปัจจุบันเลย แล้วองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเทศนาว่าการ สำเร็จกันไปหมดเลย
หลวงตาท่านบอกว่าไปอยู่กับหลวงปู่มั่น เวลาหลวงปู่มั่นเทศนาว่าการนะ นิพพานหยิบเอาเลย นิพพาน โอ๋ย! เพราะว่าใจของหลวงปู่มั่นท่านถึงที่สุดแห่งทุกข์ ท่านรู้จริงของท่าน ท่านพูดตามความจริงของท่าน
พระที่ภาวนาแล้วมีพื้นฐานในหัวใจอยู่แล้วใช่ไหม เวลาฟังขึ้นไปมันรู้มันเห็นน่ะ มันรู้มันเห็นตามที่ครูบาอาจารย์คอยดึงขึ้นไป แต่ความจริงในใจยังไม่มี มรรคผลนิพพานเปิดโล่งหมดเลย เหมือนเรามองขึ้นไปบนท้องฟ้า ดวงดาวเต็มไปหมดเลย จะสอยเอาดวงไหนก็ได้ แต่เวลาจะสอยจริงๆ สอยไม่ได้ นี่ก็เหมือนกัน เวลาท่านเทศนาว่าการจบแล้วบอกว่าปิดหมดเลย มรรคผลนิพพานหายเกลี้ยงไม่มีเหลือเลย นี่ไง เพราะว่าฟังเทศน์สำคัญตรงนี้ไง
ฉะนั้น เวลาเราบอกว่าเราต้องฟังเทศน์ เราฟังเทศน์ เปิดวิทยุแล้วฟังเทศน์ไปด้วย แล้วจิตใจมันดีขึ้น มันเสียหายตรงไหน นั่นของดี นั่นแหละดีมากเลย เพราะฟังธรรมๆ การฟังธรรม เห็นไหม ฉะนั้นว่า ฟังธรรมด้วยแล้วพุทโธไปด้วยมันเป็นสิ่งที่มันเป็นบวกหรือลบ
บวก เพราะเวลาการปฏิบัติ จะทำสิ่งใดก็แล้วแต่ ผลของมันต้องการให้จิตสงบ ถ้าจิตของใครสงบ นั่นล่ะคือผลของเรา เราปฏิบัติเพื่อผลกัน เราไม่ได้ปฏิบัติเอาเวลา เอาชั่วโมงใช่ไหม ผู้ปฏิบัติใหม่จะปฏิบัติทีหนึ่ง ๔ ชั่วโมง ๕ ชั่วโมง แล้วก็ตั้งนาฬิกาไว้ แล้วพอนั่งสมาธิภาวนาก็มองแต่นาฬิกา ส่งออกไปที่นาฬิกา ปฏิบัติเอาชั่วโมงไง เอาสิ่งนั้นไง มันไม่ได้ปฏิบัติเอาความสงบไง
ครูบาอาจารย์ของเราเวลาปฏิบัติเขาเอาจิตสงบ ปฏิบัติขึ้นมาก็ปฏิบัติเพื่อจิตสงบ ถ้าจิตสงบแล้ว ถ้าจิตมันใช้ปัญญา ออกฝึกหัดใช้ปัญญา ถ้าเกิดใช้ปัญญาได้อย่างนี้เป็นประโยชน์ นี้มันเป็นบวก ไม่เป็นลบหรอก ไม่ต้องไปห่วง นี่เขาไปห่วงอีก ไปห่วงว่า อ้าว! ถ้าเกิดถ้าเราฟังธรรมอย่างนี้ ต่อไปถ้าจะออกป่า ไม่มีไฟฟ้า ไม่มีวิทยุ
แล้วก่อนหน้านี้มันก็ไม่มีวิทยุ วิทยุนี่หลวงตาก็เพิ่งมาริเริ่มมาตั้งแต่โครงการช่วยชาติมาก็มีวิทยุมา แล้วก่อนหน้านั้นปฏิบัติกันอย่างไรล่ะ ก่อนหน้านั้นใครฟังเทศน์ก็ต้องไปฟังเทศน์ที่วัดป่าบ้านตาด แล้วถ้าเวลาอยากได้ อยากมีเทปก็ขอเทปมา ท่านก็ส่งเทปมาให้ฟังที่วัด ท่านก็ส่งเสริมทั้งนั้นน่ะ
สิ่งที่มันถึงเวลาในปัจจุบัน ถ้ามันมีอย่างไรเราก็ใช้แบบนั้น ถ้ามันมี ถ้ามันไม่มีก็ต้องจำเป็นแบบนั้น ถ้ามันไม่มีไฟฟ้า ไฟฟ้าดับ ไฟฟ้าดับก็คือจบ ไฟฟ้าดับก็ต้องฟังธรรมในใจเลย อย่างที่หลวงปู่มั่น เวลาพระผู้ใหญ่ถามหลวงปู่มั่นไง “เราอยู่กับตำรับตำราเรายังงงเลย หลวงปู่มั่นท่านอยู่ในป่าในเขาท่านทำอย่างไร”
“โอ๋ย! ผมฟังเทศน์ตลอดเวลาเลย”
เทศน์อะไร เทศน์ธรรมะมันเกิดไง เวลาธรรมะมันเกิดกับใจขึ้นมา ธรรมะมันแสดงออกมา ความคิดนั่นแหละ ความคิดถ้าจิตมันสงบ มันรู้มันเห็นของมัน นั่นก็คือฟังธรรม ถ้าฟังธรรมอย่างนั้นได้มันก็เป็นประโยชน์ไง
ฉะนั้นสิ่งที่ว่า ถ้าเราฟังเทศน์แล้วปฏิบัติดี ถูก ถูก แต่ถ้าเวลาไฟฟ้าไม่มีต่างๆ เราก็พุทโธของเราไป เราไม่ต้องวิตกกังวล อ้าว! มีข้าวก็กินข้าว มีอาหารอย่างอื่นเราก็กินอาหารอย่างอื่น มีอาหารอย่างใดเราก็กินอย่างนั้น ในปัจจุบันไม่ต้องวิตกกังวล ถ้าไม่มีอะไร ไม่มีอะไรก็กินเผือกกินมัน อ้าว! หามันหาเผือกกินเอาก็ได้
นี่ก็เหมือนกัน เวลาถ้ามันมีอยู่ มันเป็นประโยชน์ เราก็เต็มที่เลย ถ้าถึงเวลาไฟไม่มี ไม่มีก็คือไม่มี ไม่มีก็ต้องเอาประสาเรา ก็ต้องสู้กันตามความเป็นจริงนี้ มันเป็นแง่บวก ไม่ต้องไปวิตกกังวล ไอ้นี่ทำนู่นก็กลัวนี่ก็กลัวนั่น
สัตว์โลกเป็นไปตามกรรมนะ ถ้าสัตว์โลกเป็นไปตามกรรม เราทำกรรมดีของเรา ทำแต่คุณงามความดีของเราจะเป็นประโยชน์กับเรา เราจะบอกว่าเราเกิดมาแล้วสะอาดบริสุทธิ์ ก็บอกเลย พระอรหันต์ พระอรหันต์สะอาดบริสุทธิ์หมดเลย แล้วเวลาเป็นพระอรหันต์ขึ้นมา ทำไมองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าฉันอาหารของนายจุนทะเป็นมื้อสุดท้ายเลย องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไปฉันอาหารในบ้านของคหบดีเยอะแยะไปหมดเลย อ้าว! แล้วสะอาดบริสุทธิ์ไหม สะอาดบริสุทธิ์อย่างไร
ถ้าจะเอาสะอาดบริสุทธิ์โดยวัตถุมันไม่มี แต่เอาความสะอาดบริสุทธิ์ของหัวใจ เอาความสะอาดบริสุทธิ์ของจิต ถ้าจิตมันสะอาดบริสุทธิ์ ทีนี้มันเป็นธรรมธาตุขึ้นมาแล้ว อันนั้นมันสะอาดบริสุทธิ์ มันสะอาดบริสุทธิ์อันนั้นแล้วอย่างอื่นดีไปหมด อย่างอื่นดีไปหมด
ฉะนั้น สิ่งที่เราบอกว่าเราตั้งเป้าจะเอาความสะอาดบริสุทธิ์ แล้วอาชีพก็ต้องสะอาดบริสุทธิ์ พูดก็ต้องพูดคำสุภาพ พูดคำที่ไม่เป็นสมณสารูปไม่ได้ พูดอะไรที่เป็นเหน็บแนมไม่ได้ พูดอะไร อู๋ย! กิเลสมันหัวเราะเยาะเลย
ถ้าคนไหนเป็นครูบาอาจารย์แล้วท่านจะพูดอยู่ในร่องในรอย ไอ้กิเลสมันยิ้มเลย เพราะไม่มีใครมาว่ามัน แต่ถ้าเป็นครูบาอาจารย์นะ ถ้าท่านมีคุณธรรมในใจนะ ท่านมีขวานสองเล่มสามเล่ม กิเลสมา ฟันหัวๆๆ เลย เราก็ตกใจ เอ้ย! พระทำไมเป็นอย่างนั้น...นั่นล่ะของแท้ ไอ้พระที่ลูบหน้าปะจมูกนั่นล่ะ ไอ้นั่นมันเอาอกเอาใจกัน นี่พูดถึงความคิดไง
โลกกับธรรมมันคิดทวนกันไง เราก็เลยบอกว่าเราจะสะอาดบริสุทธิ์ เราจะทำอะไรแล้วไม่ผิดพลาดเลย ภาวนาแล้ว ภาวนาอยู่วันนี้นะ ก็ไปจินตนาการเอาข้างหน้า ถ้ามันไม่มีไฟฟ้า ถ้าไม่มีวิทยุ
มี มี ถ้าจะไม่มีไฟนะ ทางอุตสาหกรรม พวกอุตสาหกรรม พวกเทคโนโลยีที่เขาใช้เขาร้องเรียนก่อน เขาเดือดร้อนก่อน พอเขาเดือดร้อนแล้วนะ เขาต้องหาไฟมาให้เราใช้จนได้ เราอาศัยตามเขาไป เออ! เอ็งจะไม่มีไฟใช้ ไม่ต้องกลัว ใช้ได้
นี่พูดถึงว่าอย่าไปวิตกกังวลจนเกินไป ถ้าในปัจจุบันนี้สัตว์โลกเป็นไปตามกรรม ในเมื่อกรรมมันมีอย่างนี้เราก็มีสติปัญญา ยังดี ไม่ไหลไปตามเขา ไม่ไหลไปตามเขา ไม่ให้เสียหายไปตามเขา เรารักษาใจของเราไว้เพื่ออนาคตไง เพื่อในการปฏิบัติ เพื่อในการปฏิบัติของเรา
เขาบอกเขาอยากปฏิบัติ แล้วปฏิบัติต่อไปข้างหน้ามันจะกลัว วิตกกังวลไปหมด อันนั้นจบนะ จบแล้ว
ถาม : เรื่อง “ตทังคปหานใช่หรือไม่”
กราบขอความกรุณารบกวนถามปัญหาหลวงพ่ออีกครั้งนะครับ คือปัญหามีอยู่ว่ากระผมบริกรรมภาวนาพุทโธพร้อมกับลมหายใจเข้าออก ผมใช้วิธีการบริกรรมภาวนานี้ตั้งแต่ตื่นนอนจนถึงเวลาเข้านอน กระผมภาวนาติดต่อกันเป็นเวลา ๘-๙ วันติดต่อกัน
อยู่มาคืนหนึ่งกระผมรู้สึกว่าการบริกรรมภาวนามันเป็นของมันเอง กระผมอยากจะนอน แต่ภายในใจมันก็บริกรรมภาวนาของมันไปเอง ตรงนี้แปลกมาก กระผมตั้งใจดูการบริกรรมภาวนาอยู่ประมาณ ๕-๑๐ นาทีน่าจะได้ แล้วกระผมก็หลับไป
ต่อมาอีกวันหนึ่งกระผมเลิกบริกรรมภาวนา แต่เปลี่ยนมาฟังธรรมะแทน โดยวันนั้นกระผมฟังเทศน์ธรรมะของหลวงพ่อชา สุภัทโท กัณฑ์ที่มีชื่อว่าน้ำไหลนิ่ง กระผมฟังไปได้สัก ๒๐ นาที ภายในใจมันคิดขึ้นมาเองว่า สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นก็ต้องดับไปเป็นธรรมดา แล้วภายในใจมันก็คิดขึ้นมาอีกว่า สิ่งใดสิ่งหนึ่งนั้นก็คือทุกข์นั่นเอง แล้วทุกข์นั้นมีแดนเกิดอยู่ที่ไหน อยู่ที่กายกับใจใช่ไหม ถ้าอยู่ที่กายกับใจ แล้วใครเป็นเจ้าของของมันล่ะ พอถึงจุดนี้ ใจมันรู้ ใจมันก็เลยปล่อยของมันเอง แล้วความคิดอีกอย่างหนึ่งก็เกิดขึ้นมา คือความคิดที่ว่าพระสารีบุตรฟังธรรมของพระอัสสชิแล้วบรรลุธรรมเป็นพระโสดาบัน ภายในใจมันเหมือนกับว่ากระผมเข้าใจความรู้สึกของพระสารีบุตรขณะนั้น
กระผมไม่ได้จะบังอาจจะเทียบเคียงกับท่านหรอกนะครับ ความรู้สึกตอนนั้นมันมีความสุขมาก บรรยายไม่ถูก แต่ผ่านไปประมาณ ๓-๔ วัน ความรู้สึกแบบนั้นก็หายไป กระผมคิดในใจว่าคงโดนกิเลสหลอกให้อีกแล้ว แต่กระผมอยากทราบว่าแบบนี้ใช่หรือไม่ที่เรียกว่าตทังคปหาน
ตอบ : ตทังคปหานเนาะ ไม่ใช่ มันไม่ใช่ ตทังคปหานมันคือการประหารกิเลสโดยชั่วคราว ถ้าการประหารกิเลสโดยชั่วคราว ใครเป็นคนที่ประหาร มันต้องมีผู้รู้ ผู้รู้ผู้มีการกระทำ
ทางโลกนะ ปาณาติปาตา เขาห้ามฆ่าสัตว์ แต่นี่เป็นการเทศน์ บุคลาธิษฐาน เดี๋ยวจะบอกหลวงพ่อยุให้ฆ่าสัตว์ ปาณาติปาตา เขาห้ามฆ่าสัตว์ แต่นี้เป็นบุคลาธิษฐาน นี้จะยกตัวอย่าง ยกตัวอย่างเฉยๆ เราจะเชือดไก่ มันต้องมีไก่ใช่ไหม เราต้องจับไก่ใช่ไหม เราต้องถอนขนที่คอมันใช่ไหม เราต้องมีมีดใช่ไหม เราต้องเชือดไก่ใช่ไหม พอเชือดไก่มันจะมีเลือดไหลออกมาใช่ไหม ไก่มันจะดิ้นพล่านๆๆ มันจะตายใช่ไหม แล้วไก่มันก็ตายไป นี่คือการเชือดไก่ มันมีการกระทำมีอะไร
อันนี้เราบอกว่าเราเคยเห็นคนเชือดไก่มาเยอะแยะแล้ว เราก็คิดถึงอารมณ์การเชือดไก่ พอคิดถึงอารมณ์การเชือดไก่ เราก็คิดว่า เออ! ไก่มันเป็นอย่างนั้น แล้วมันก็จะตายอย่างนั้น แต่มันไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย มันไม่ใช่ตทังคปหานไง
ถ้าตทังคปหาน การเชือดไก่ เห็นไหม มันต้องมีมีด ต้องมีไก่ ต้องมีกรรมวิธี มันต้องมีเหตุมีผลของมัน นั่นมันถึงจะเป็นตทังคปหาน คำว่า “ตทังคปหาน” จิตมันสงบแล้ว พอจิตสงบแล้วจิตมันเห็นกาย เห็นเวทนา เห็นจิต เห็นธรรมตามความเป็นจริง เห็นตามความเป็นจริงมันก็ตื่นเต้นแปลกประหลาดมหัศจรรย์พอแรงอยู่แล้ว พอพอแรงอยู่แล้วมันพิจารณาไปแล้วมันปล่อย มันปล่อย แต่มันไม่ขาดไง
เชือดไก่ เอามีดเชือด กำลังจะเชือด ไก่มันดิ้นหลุดพรวดออกไปเลย มันพับๆๆ มันไปของมันนู่นน่ะ มันจะไปหาอาหารกินนะ ไปยืนหาเศษอาหารกินเฉย ไอ้เราก็ว่าเราเชือดไก่ แต่ไก่มันไม่ตาย ตทังคปหาน มีการกระทำ แต่ไม่สำเร็จ นั่นคือตทังคปหาน
แต่ถ้ามันสมุจเฉทปหาน มันเชือดไก่นะ พอเชือดไก่ เลือดจะออกมาจากคอไก่ เสร็จเต็มที่แล้วไก่นิ่งอยู่ เราจะต้มน้ำ เราจะเอาไก่นั้นชุบน้ำร้อน เราจะถอนขนไก่ เราจะมีเนื้อไก่ เราจะมีเครื่องในไก่ เราจะเอาไก่ไปทำอาหาร โอ๋ย! มันสำเร็จหมดล่ะ นั่นอีกเรื่องหนึ่ง
อันนี้พูดถึงมันไม่ใช่เพราะมันไม่มี ไม่มีอยู่ตรงไหน ไม่มีที่ว่ามันเป็นไปเอง ผมไม่รู้ ผมนอนแล้วมันเป็นไปเอง ฝันเอามาเป็นความจริงไม่ได้ แต่ฝันมันบอกเป็นลางสังหรณ์ ฝันเป็นมิติที่ ๖ ที่ว่ามันรู้สิ่งต่างๆ มาบอกถึงแนวทางได้ แต่มันไม่ใช่ความจริง ฉะนั้น มันไม่ใช่ความจริงอยู่แล้ว
ฉะนั้น เวลาการภาวนา ๘ วัน ๙ วัน การภาวนานะ โยมได้ภาวนา หลวงตาท่านสอนมาประจำ เวลาเข้าพรรษาบอกว่าให้นึกถึงว่าอยากใส่บาตรพระองค์หนึ่ง แล้วก่อนนอนกราบพระเสร็จแล้วก็ให้นึกพุทโธ ถ้าใครกำหนดลมหายใจเข้านึกพุท ลมหายใจออกนึกโธ ให้ฝึกหัดภาวนา ความมีคุณค่าคือคุณค่าของใจ
ใครก็แล้วแต่ฝึกหัดภาวนา กำหนดลมหายใจเข้านึกพุท กำหนดลมหายใจออกนึกโธ คนคนนั้นเป็นคนที่มีศักยภาพ คนคนนั้นจะเป็นคนที่มีหลักมีเกณฑ์ เป็นคนดีขึ้นมา เวลาดี ดีขึ้นมาที่ไหน ดีขึ้นมาที่ใจของเขา
เวลาใจของเรา เราเป็นคนดีๆ ใครเขาก็ชมว่าเราเป็นคนดี แต่เราเป็นคนที่เผลอ เราเป็นคนที่รักษาใจเราไม่ได้เลย แต่เวลาดี ดีด้วยมารยาท คำว่า “เป็นคนดี” นี่คือโลกธรรม ๘ คือเสียงสรรเสริญของสังคมเขา เราจะดีจริงไม่ดีจริง เรายังไม่มีความเป็นจริงในใจของเราเลย มีแต่คำสรรเสริญคำนินทาของสังคมว่าคนนั้นคนดี คนนี้คนเลว เขามีแต่คำสรรเสริญของคนอื่น ของคนอื่นไม่ใช่ของเรา
ถ้าของเรานะ มันจะดีจะชั่ว จะดีจะชั่ว เรามีหน้าที่การงาน เราหาเงินหาทองมาขนาดไหนมันก็เป็นเงินทองของเรา เงินทองนั้นมันก็เป็นสมบัติของโลก เป็นสมบัติสาธารณะ ไม่ใช่สมบัติของเรา แต่คนไหนคนมีเงินมีทองร่ำรวยศรีสุขขนาดไหน คนทุกข์คนเข็ญใจขนาดไหน แต่เขามีสติมีปัญญาของเขา เขาเคลื่อนไหวของเขา เขากำหนดลมหายใจ เขากำหนดพุทโธของเขา เขาจะมีความดีขึ้นมาที่ใจของเขา ถ้าใจของเขา เขามีความสุขของเขา ถ้าคนมีความสุขขึ้นมา เงินทองมีมากขนาดไหน เงินทองก็ไม่มีอำนาจเหนือใจดวงนั้น ใจดวงนั้นจะมีอำนาจเหนือทุกๆ อย่าง
คนจะดี คนจะชั่ว มันจะดีจะชั่วที่ใจของเขา ถ้ากำหนดลมหายใจ พุทโธ หายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ ใครจะติฉินนินทา ใครจะบอกว่าคนคนนี้ไม่ทำงาน คนคนนี้ไม่มีความขยันหมั่นเพียร คนคนนี้ไม่สู้สังคม ไอ้นั่นมันปากของเขา แต่เรารู้สิ ก้าวเดินเราก็รู้ นั่งอยู่ก็รู้ ใครจะด่าเรา เราก็รู้ว่าเขาด่า แต่เราไม่โกรธเขา ใครจะชมเราก็วางไว้นั่น เพราะเขาชมเรา เขาจะสอพลอ เขาจะเข้ามายุ่งกับเรา เราไม่ตื่นเต้นไปกับเขา คนที่รักษาใจของตัวเองได้ คนคนนั้นไม่เป็นเหยื่อของใคร คนคนนั้นมีหลักเกณฑ์ของเขา ใจจะมีคุณค่าแค่ไหน ฉะนั้น กำหนดพุทโธ
สังคมนะ เราอยู่กับสังคม เขาจะคิดดีคิดร้ายกับเรา เราไม่รู้หรอก แต่เวลาเขาพูดออกมา เขาพูด เขาพูดเยินยอเราทั้งนั้นน่ะ เราจะเชื่อใจใครได้ เราจะไว้ใจใครได้ ใจเรายังไว้ใจของเราไม่ได้เลย เราจะไปไว้ใจคนอื่น เราไว้ใจได้อย่างไร ถ้าไว้ใจคนอื่นไม่ได้ แล้วใจเราอยู่อย่างไรล่ะ
ถ้าใจเราอยู่ เราก็อยู่กับพุทโธ ถ้าใจเราอยู่กับพุทโธ มันมีคำบริกรรม มันจะทรงตัวของมันเอง ถ้าใจมันทรงตัวของมันเองขึ้นมาได้ มันไม่ต้องอาศัยใครเลย อยู่กับพุทโธ อยู่กับศาสดา อยู่กับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คนดีมันอยู่ที่ไหนก็อยู่ได้ อยู่ในนรกอเวจี อยู่ในกระทะทองแดงไหนมันก็มีความสุขของมัน ถ้าจิตใจมีกำลังของมัน อยู่ที่ไหนมันก็มีความสุขของมัน มันไม่หวั่นไหวไปกับใครทั้งสิ้น
ฉะนั้น ถ้าเรากำหนดพุทโธ คนคนนี้ก็เป็นคนดีแล้ว ถ้าเรากำหนดพุทโธๆ ลมหายใจเข้า ลมหายใจออก สิ่งนี้ให้มันสงบระงับเข้ามา ให้มีสติปัญญาเข้ามา ให้มีสติสัมปชัญญะ ให้ชีวิตนี้มีหลักมีเกณฑ์ มันเป็นคนดีแล้ว
แล้วถ้าคนดีทำความดีต่อเนื่องขึ้นไปๆ เห็นไหม ดีโดยความต่อเนื่อง คำว่า “ชาติตระกูล” มันมีชาติมีตระกูลของมัน ศากยบุตรพุทธชิโนรสเป็นชาติตระกูลของศากยบุตร เป็นชาติตระกูลขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้ามันทำขึ้นมามันเป็นประโยชน์ตรงนั้นไง เอาความจริงตรงนี้ ภาวนาจริงๆ
เอาจริงๆ สิ ไม่ใช่ว่าอยู่มาคืนหนึ่งผมนอนหลับ ผมนั่งหลับอะไรมันไป ไอ้นี่มันอะไรกันน่ะ โอ๋ย! ไม่ต้องหลับหรอก เปิดทีวีดูดีกว่า เดี๋ยวนี้นิยายนะ ละครน่ะ ละครเดี๋ยวนี้เขาเอามา ทวิภพ ภพนั้น ชาตินี้ ตอนนี้นิยายไปใหญ่เลย แวมไพร์มันกำลังมาแรง โอ๋ย! ดูทีวีเขายังถ่ายชัดกว่าเลย ไอ้นี่มันนอนฝันเอาเอง แล้วบอกอย่างนี้เป็นตทังคปหานหรือเปล่า
เราปฏิบัตินะ เอาความจริง เวลาโลกนะ โลกสมมุติมันยังหลอกลวงกันขนาดนี้ โลกสมมุติยังหลอกลวงขนาดนี้ แต่เราเวลาปฏิบัติแล้วเราอย่าให้มันหลอกลวงอย่างนั้น เราจะไม่หลอกลวงอย่างนั้น เราจะทำความจริง ชีวิตนี้ กิเลสมันบังตาไว้ แล้วเราก็วุ่นวายขนาดนี้อยู่แล้ว เอาความจริงขึ้นมา ถ้าความจริงขึ้นมาแล้วเราเอาจริงๆ
อย่างเช่นภาวนา เห็นไหม กำหนดพุทโธมาตลอด กำหนดลมหายใจมาตลอด ๗-๘ วันนี้เราทำมา เราก็ทำของเราไป แต่เวลาทำแล้วถ้าจิตมันสงบแล้วก็สงบอยู่กับความรู้สึกของเรา เราไม่ต้องไปวิตกกังวล เพราะภาวนาเป็นเรื่องภาวนาส่วนหนึ่งนะ แต่เวลาทำงานก็ทำงานส่วนหนึ่ง เพราะทำงานแล้ว ถ้างานไม่ประสบความสำเร็จ เราภาวนาแล้วเราอ่อนเพลีย ไปทำงานแล้วงานก็ไม่ได้ มันก็ละล้าละลังไง เอาพอประมาณไง เอาพอประมาณ เราภาวนาให้ดี แล้วถึงเวลาแล้วจัดเวลาให้ดี แล้วเราปฏิบัติของเราไป ถ้าเป็นทางโลกนะ
ฉะนั้น สิ่งที่ว่าเขาภาวนามา ๗-๘ วัน แล้วติดต่อกัน ติดต่อกัน ๗-๘ วันนี่เขาว่าเข้มแข็งแล้วนะ แต่ของเราเวลาภาวนากัน ๒๔ ชั่วโมง เป็นปีเป็นเดือนต่อเนื่องกันมา หลวงตาท่านบอกว่าท่านออกพรรษา ๗ พรรษา ๑๖ ท่าน ๙ ปีท่านสำเร็จเลย ดูสิ ชำระล้างกิเลสเป็นชั้นเป็นตอนเข้ามา เขาทำภาวนาต่อเนื่อง ครูบาอาจารย์ของเราท่านปฏิบัติจริงๆ จังๆ นะ จริงๆ จังๆ มันถึงได้ผลตามความเป็นจริง เพราะเวลาปฏิบัติไปแล้วมันมีเจริญ มันมีเจริญขึ้นแล้วเสื่อมลง ถ้ามันไม่มีเจริญเลยมันจะเอาอะไรมาเสื่อม
ทีนี้เวลาปฏิบัติขึ้นมาเรายังไม่มีหลักมีเกณฑ์มันก็อย่างนี้ เวลาไม่มีหลักมีเกณฑ์ มันภาวนาไปเรื่อยมันก็วิตกวิจารณ์ไปเรื่อย วิตกวิจารณ์ไปเรื่อย การภาวนามันยาก มันยากตรงนี้ ยากจนกว่าเราจะหาทางของเราเจอ ถ้าหาทางของเราเจอ เราต่อเนื่องไปมันก็จะเป็นประโยชน์กับเรา ฉะนั้น เอาตรงนี้เอาจริงๆ ไม่เอาความฝันนะ
ติดต่อกัน ๗ วัน ๘ วันก็อย่างหนึ่ง แล้วภาวนาไปแล้ว ใจบริกรรมภาวนาไปแล้วมันเป็นไปเอง ตรงนี้มันแปลกมาก กระผมเข้าใจ ผมตั้งใจดูคำบริกรรมอยู่ประมาณ ๕ ถึง ๑๐ นาทีแล้วผมก็หลับไป
พอหลับไปนี่มันจบแล้ว หลับไปมันฝันแล้ว เพราะว่าขนาดเรานั่งอยู่ ถ้าสติไม่ดีมันก็ตกภวังค์ ตกภวังค์ก็คือนั่งหลับไง มิจฉาสมาธิ ไอ้นี่หลับไปเลย พอหลับไปเลย คนฝันนะ แล้วที่ฝัน นี้เขาถามปัญหาข้างหน้ามา ก่อนหน้านั้นผมฝันนะ ในฝันผมควบคุมได้ ขนาดว่าผมพิจารณากายในฝันเลย...เก่งกว่าพระพุทธเจ้าอีก พระพุทธเจ้ายังไม่ได้ทำอย่างนี้เลย ไอ้พวกนี้มันเก่งกว่าพระพุทธเจ้า
พระพุทธเจ้าท่านไม่ฝัน ท่านเอาจริง ท่านเห็นจริงๆ เลย แต่พวกนี้มาบอกฝันไปก่อนแล้วก็ไปทำเอาในฝัน โอ๋ย! มันเดินตามพญามารน่ะ มารมันล่อมันหลอก แล้วก็ตามมารมันไป แล้วเรายังอ้างอิงว่าอยากเห็นธรรมแบบองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ฉะนั้น สิ่งที่เวลามันเกิดขึ้นมันเกิดเป็นปัญญาอบรมสมาธิ อย่างเช่นว่า “วันต่อมาผมภาวนาแล้วฟังธรรมไปเรื่องน้ำไหลนิ่ง ของหลวงปู่ชา พอฟังไปแล้วใจมันคิดขึ้นมาทันที” เห็นไหม ใจมันคิดขึ้นมาทันที
ใจคิดขึ้นมาทันที มันเห็นของมัน มันรู้ของมัน ใจมันคิดขึ้นมาทันที มันทันความคิดไง ใจคิดขึ้นมาทันที ปัญญารอบรู้ในกองสังขาร สังขารคือความคิด ความปรุง ความแต่ง สังขารคือความคิด แล้วมันเกิดปัญญารู้เท่าทันความคิด นี่ปัญญาอบรมสมาธิ ความคิดเกิดขึ้น เราตั้งสติของเราไป ตามมันไป พอสติปัญญาเราทันขึ้นมา เราทันความคิด พอทันความคิดมันก็ปล่อยความคิด พอปล่อยความคิดแล้วมันก็เป็นสมถะ มันก็เป็นปัญญาอบรมสมาธิ มันเป็นของมันอยู่แล้ว ถ้าทำไปมันทันกันไง
อย่างเช่นความคิดมันออกมาจากจิต มันออกไปตลอดเวลา ถ้าเรามีสติปัญญา เราก็มีสติตามความคิดไป พอมันทันความคิด ความคิดมันทันกัน มันจะคิดได้อย่างไร มันก็หยุดหมด พอหยุดหมดมันก็ปล่อย ปล่อยก็เป็นสมถะ ตื่นเต้น โอ๋ย! มันมีความคิดขึ้นมาอีกว่า สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีการเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นต้องดับไปเป็นธรรมดา มันมีสิ่งใดดับทุกข์ล่ะ ทุกข์มันอยู่ที่ไหน ความคิดมันต่อเนื่องกันไป อันนี้มันเป็นปัญญาอบรมสมาธิ เพราะว่าเราฟังเทศน์อยู่ พอฟังเทศน์อยู่ เวลาฟังเทศน์อยู่แล้วเราใช้ปัญญาของเราไป ความคิดเกิดขึ้นมามันก็เป็นปัญญา
แต่ถ้าเวลาจิตสงบแล้ว ถ้ามันทัน มันเป็นสมถะมันสงบ สงบ จิตเห็นอาการของจิต จิตเห็นความคิด จิตเห็นความคิดแล้วจับความคิดมาพิจารณา นี่ถ้าตทังคปหานมันจะเกิดแล้ว ความคิด ปัญญาคือมีด อาการของใจคือไก่ ถ้าพูดถึงคนจะเชือดไก่ เชือดไก่มันก็ต้องมีไก่ให้เชือด แล้วทีนี้ไก่มันอยู่ไหนล่ะ เพราะอะไร เพราะฟังเทศน์อยู่ ฟังเทศน์อยู่ ความคิดมันเกิดขึ้นมา มันมีแต่มีด มันไม่มีไก่ มันไม่มีเหตุ ไม่มีสติปัฏฐาน ๔ กาย เวทนา จิต ธรรมให้ปัญญามันได้ฟาดฟัน
แต่ถ้ามันพิจารณาไปมันสงบเข้ามา มันปล่อยวางเข้ามา ปล่อยวางเข้ามามันก็มีมีด มีดคืออะไร มีดคือปัญญา มีมีดแล้วจะไปเชือดใครล่ะ อ้าว! ก็เชือดคอตัวเองหรือ เชือดตัวเองใช่ไหม มันก็เชือดตัวเองไม่ได้ พอจิตสงบ จิตเห็นอาการของจิต จิตเห็นกาย จิตเห็นเวทนา จิตเห็นจิต จิตเห็นธรรม พอจิตเห็นแล้วมันพิจารณาของมันต่อไป ถ้าอย่างนี้มันถึงจะเป็นตทังคปหาน
อันนี้คือว่ากระบวนการมันไม่สมบูรณ์ กระบวนการของเรา กระบวนการของผู้ถามมันก็เป็นปัญญาอบรมสมาธิ เป็นปัญญาอบรมสมาธิเท่านั้น ถ้าปัญญาอบรมสมาธิ ขนาดปัญญาอบรมสมาธิ ที่บอกว่ามันแปลกประหลาดมหัศจรรย์ ที่ว่าเรามีความรู้สึกอย่างนี้ รู้ว่าสิ่งใดสิ่งหนึ่งเกิดขึ้นเป็นธรรมดา มีความเข้าใจถึงพระสารีบุตรฟังเทศน์พระอัสสชิเลยล่ะ พระสารีบุตรฟังเทศน์พระอัสสชิ ธรรมทั้งหลายมาแต่เหตุ ดับที่เหตุนั้น พระสารีบุตรเป็นพระโสดาบันเลย ผมก็มีความรู้สึกอย่างนั้นเหมือนกัน ผมมีความรู้สึกอย่างนั้นเลย ใครๆ ก็อยากมีความรู้สึกอย่างนั้น แต่พอ ๓-๔ วันผ่านไปแล้วผมว่ากิเลสหลอกผมอีกแล้ว
ยังดีนะ ยังคิดว่ากิเลสหลอกผม แต่ถ้าคนมันไม่คิดอย่างนั้นนะ ในเมื่อสิ่งที่มันเกิดขึ้นมาแล้ว พระสารีบุตรมีความรู้สึกอย่างนี้ ผมก็มีความรู้สึกอย่างนี้เลย ความรู้สึกอย่างนี้อยู่กับผมตลอดไปเลย นี่คือสัญญา สัญญาคือสิ่งที่มันผ่านมาแล้ว เราก็จะมาปรุงแต่งกินตลอดไง เราเคยมีความรู้สึกอย่างนั้น เรามีความรู้สึกอย่างนั้นมาแล้ว ความรู้สึกอย่างนั้นเกิดกับใจเราแล้ว เราต้องมีคุณธรรมอย่างนั้น นี่เวลาคนมันติด มันติดอย่างนี้
ความรู้สึกนั้นมันก็เป็นอดีตไปแล้ว เวลามันผ่านไปแล้ว มันไม่เป็นปัจจุบันแล้ว พอมันผ่านไปแล้วมันก็จบไปแล้ว แต่ตอนนั้นสิ่งที่ว่ามันไปประสบ เพราะเราไม่เคยทำ มันมหัศจรรย์ มันก็ว่ามหัศจรรย์ แต่มันจะมหัศจรรย์กว่านี้อีกถ้าพิจารณาไป ถ้าพิจารณา มหัศจรรย์ ถ้าอย่างนี้มันเกิดขึ้น สิ่งที่เกิดขึ้นมันผิดไหม
สิ่งที่เกิดขึ้นมาคืออาการ ผลของการภาวนา มันผิดตรงไหน แต่เวลาถ้าเราไปติดตรงนี้ปั๊บ เราก็ได้แค่นี้ใช่ไหม สิ่งที่จะดีขึ้นไปมันเอามาจากไหน ถ้าสิ่งที่ดีขึ้นไป เราจะเอาขึ้นมา เราก็ต้องพัฒนาตัวเราขึ้นมา ถ้าพัฒนาตัวเราขึ้นมา สิ่งที่วางไว้แล้วทำใหม่ ทำใหม่ เดี๋ยวจะเป็นอย่างนี้อีก
แล้วถ้าสิ่งที่ว่าเหมือนพระสารีบุตรเลย แล้วถ้ามันเหมือนสัก ๑๐ หน พระสารีบุตรมีองค์เดียวหรือมี ๑๐ องค์ มันจะเป็นอย่างนี้อีก ๑๐ หน ๒๐ หน ๕๐ หน มันเป็นเพราะอะไร เป็นเพราะอารมณ์ความรู้สึก เห็นไหม มันเคยเป็นมาแล้วเดี๋ยวมันก็เป็นอีกๆ ถ้าเป็นอีก โอ๋ย! แสดงว่าพระสารีบุตรในพระพุทธศาสนามี ๑๐๐ องค์ เราต้องรู้ทั้ง ๑๐๐ องค์เลย เราอยากเป็นพระสารีบุตร มันไม่ใช่
สิ่งที่เป็นพระสารีบุตรที่ท่านรู้ขึ้นมา รสของธรรม ธรรมที่มันเกิดขึ้นตามความเป็นจริงมันก็เป็นแบบนั้น แต่ของเราก็รสของธรรมเหมือนกัน แต่รสของธรรม เราให้ค่าคาดหมายไปเป็นแบบนั้น ถ้ามันเป็นแบบนั้นเราก็ยึดแบบนั้น
ฉะนั้น “สิ่งนี้เป็นตทังคปหานหรือไม่”
เราบอกไม่ใช่ มันเป็นปัญญาอบรมสมาธิ
ถ้าเป็นปัญญาอบรมสมาธิแล้วทำอย่างไรต่อไป ทำอย่างไรต่อไป
ทำอย่างที่ทำมานี่ถูก ทำอย่างที่ทำมานี่ใช้ได้ แต่มันยังไม่ใช่สิ่งใดสิ่งหนึ่งเกิดขึ้นเป็นธรรมดา มันเป็นปัญญาอบรมสมาธิ สิ่งที่มันมีอยู่แล้ว แล้วเราพิจารณาอยู่แล้ว เพราะมันคิดขึ้นมาเอง ถ้าจิตเราสงบแล้วมันเห็นกาย เห็นเวทนา เห็นจิต เห็นธรรม การเห็นนั้นก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง ถ้าการเห็นจับต้องได้นะ นั่นล่ะมันจะปากประตูการเข้าสู่วิปัสสนาญาณ
ถ้าวิปัสสนาญาณ การชำระล้างแล้ว อันนั้นถ้ามันวิปัสสนาไปแล้ว ถ้ามันมีกำลัง มันมีความสามารถ ถ้ามันปล่อยมันก็เป็นตทังคปหาน ถ้ามันปล่อยนะ ถ้ามันปล่อยตามความเป็นจริง แล้วก็หมั่นคราดหมั่นไถที่ว่าพระสารีบุตรมี ๑๐๐ องค์ ๑,๐๐๐ องค์ นี่ก็เหมือนกัน หมั่นคราดหมั่นไถ ทำแล้วทำเล่าๆ ถึงที่สุดเวลามันขาด มีอันเดียว พระสารีบุตรมีองค์เดียว เวลามันขาดมีอันเดียวเท่านั้นน่ะ เวลามันขาด เหมือนกัน มีอันเดียว ไม่มีหลายอันหรอก แต่นี้มันไม่ใช่เพราะอะไร ไม่ใช่เพราะ ๓-๔ วันไปแล้วผมก็มาเข้าใจว่าผมโดนกิเลสหลอก
ตัวเองก็ยังเข้าใจได้ ถ้าตัวเองเข้าใจได้มันก็เป็นความจริงไง ความจริงคือว่ามันไม่ตทังคปหานไง มันไม่ได้เป็นความจริงอย่างนั้น เราเองเราก็เข้าใจได้ แต่หลวงพ่อมีอยู่ก็ถามหลวงพ่อสักหน่อยหนึ่ง ถ้าหลวงพ่อไม่มีอยู่ ผมก็รู้ของผมเหมือนกัน แต่ในเมื่อมีหลวงพ่ออยู่ หลวงพ่อต้องมาออกแรงนิดหนึ่ง
ก็ถามมาแล้ว นี่พูดให้เข้าใจไง ให้เข้าใจว่าสิ่งที่ทำมาแล้วมันก็ไม่ได้ผิด ไม่ผิดหรอก ไม่ผิดเพราะคนเรา คนเรานะ ใครก็แล้วแต่จะทำไร่ไถนา เขาก็ต้องปรับพื้นที่ของเขาทั้งนั้นน่ะ เราจะไปทำไร่ไถนาในป่าในเขาหรือ ในป่ามันมีวัชพืชอยู่แล้ว มันปลูกข้าว ไปทำไร่ไถนาไม่ได้หรอก มันต้องปรับพื้นที่ ฉะนั้น ทุกๆ คนอยากจะภาวนาต้องหาใจของตัว ต้องหาใจของตัว หาหลักใจของตัวแล้วพิจารณาตรงนั้น ทุกคนก็ต้องทำแบบนี้เหมือนกัน
ถ้าทำมาแล้ว ทีนี้ใครทำได้ง่ายได้ยาก หลวงตาใช้คำว่า “จะขุดบ่อน้ำ” บ่อใครตื้น บ่อใครลึก ถ้าบ่อใครลึกก็ต้องขุดลึกหน่อย บ่อใครตื้นก็ต้องขุดตื้นหน่อย ขุดไปตื้นแล้วเขาก็เจอน้ำ เพราะเขาสร้างอำนาจวาสนาของเขามาแบบนั้น ถ้าบ่อใครลึกก็ต้องขุดไป ๑๐๐ เมตร ๑,๐๐๐ เมตรกว่าจะได้น้ำของเขา แต่น้ำก็ต้องมี
นี่ก็เหมือนกัน เราทำของเรา เราพิจารณาของเรา เราก็มีหัวใจทั้งนั้นน่ะ แต่ใครทำได้ง่ายได้ยากมันอยู่ที่วาสนาของคนคนนั้น ฉะนั้น เราทำของเราไป
ถ้าพูดถึงผิด มันไม่ผิด เพียงแต่เขาบอกว่าเป็นตทังคปหานหรือเปล่า อันนี้มันเป็นระดับ มันเป็นเรื่องของธรรมะ แล้วถ้าพูดไม่ถูกที่ถูกทางมันจะสับสน ฉะนั้น ตทังคปหานมันต้องจิตสงบ จิตเห็นอาการของจิต แล้วพิจารณาปล่อยวางเป็นครั้งเป็นคราวขึ้นมา นั่นคือตทังคปหานเพราะมันไม่สมุจเฉทฯ มันไม่จบสิ้น
จากตทังคปหานพิจารณาซ้ำแล้วซ้ำเล่าๆ ถึงที่สุดเวลามันสมุจเฉทปหาน อันนั้นล่ะอกุปปธรรม อันนั้นจบสิ้น อันนั้นเป็นมรรคเป็นผล ในศาสนามันเป็นชั้นเป็นตอนในการปฏิบัติ ฉะนั้น มันถึงต้องสร้างสมบุญญาธิการ ทำคุณงามความดีเพื่อประโยชน์ เพราะคุณงามความดีข้างในมันมีอำนาจวาสนา มันมีบารมีมาเสริม มันมีต่างๆ มาเป็นประโยชน์กับเราในการภาวนา เราภาวนาของเราให้ได้ ทำเพื่อความเป็นจริงของเรา มันจะเป็นมรรคผลนิพพานของเราเอง เอวัง