นอนปลัก
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
เทศน์พระ วันที่ ๑๙ กันยายน ๒๕๕
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี
อย่างนี้ทำได้ ทำได้คือทำหัวใจเรา หัวใจเราทำได้ ทำได้เพราะหัวใจมันอยู่กับเราใช่ไหม เราตั้งใจมาแล้ว เราตั้งใจมา เห็นไหม เราตั้งใจมาเพราะมันมีประสบการณ์
เราเกิดมาเป็นมนุษย์ ในโลกนี่มันมีแต่ความทุกข์เป็นสัจจะ ทุกข์เป็นความจริง เราถึงหนีทุกข์กันมา หนีทุกข์กันมานะ เป็นผู้เห็นภัยในวัฏสงสาร มาบวชเป็นพระ บวชเป็นพระนี่เราจะพยายามประพฤติปฏิบัติกัน พยายามประพฤติปฏิบัติกันให้หัวใจเรามีคุณภาพ ถ้าหัวใจเรามีคุณภาพ ทำสิ่งใดนี่มันทำสิ่งใดมันทำได้ แต่ถ้าหัวใจไม่มีคุณภาพ ทำสิ่งใดมันขาดตกบกพร่องตลอด มันขาดตกบกพร่องที่หัวใจของเรา ไม่ได้ขาดตกพร่องเพราะสิ่งอื่นเลย
เห็นไหม ดูสิ ทางโลกเขานี่เขาเห็นพระปฏิบัติ เขาอยากจะส่งเสริม เขาอยากจะได้บุญกุศลจากนักปฏิบัติ นี่ปัจจัยสี่ ปัจจัยเครื่องอาศัยเขาพร้อมที่จะสนับสนุนเลย
แต่หัวใจของเรานี่ หัวใจของเราขาดตกบกพร่อง หัวใจของเราขาดตกบกพร่องมันไม่ได้ดั่งใจเราสักอย่างหนึ่งเลย เราอยากจะได้ดั่งใจเรา อยากจะให้มีคนมาดูแลหัวใจของเรา เพื่อหัวใจของเราจะได้ประพฤติปฏิบัติได้ง่ายขึ้น ได้ประพฤติปฏิบัติให้ได้สมความปรารถนา แต่สมความปรารถนามันสมความปรารถนาของกิเลสไง กิเลสมันคิด มันจินตนาการของมันไป แต่ความจริงมันไม่ใช่อย่างนั้น
ความจริง เห็นไหม ถ้ามันจะสงบ มันก็สงบในใจของเรา ถ้ามันจะเกิดปัญญาขึ้นมา มันก็เกิดปัญญาขึ้นมาในใจของเรา เห็นไหม ถ้าเราจะเกียจคร้าน เกียจคร้านโดยที่เราคิดเองจินตนาการเอง ให้เกิดมรรคเกิดผลตามความจินตนาการของเรา มันเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ สิ่งที่จะเป็นไปได้มันต้องเกิดอริยสัจ เกิดสัจจะความจริง เกิดมรรคญาณในหัวใจของเรา มันจะเข้ามาชำระล้างกิเลสของเราตามความเป็นจริงของเรา
ถ้าตามความจริงของเรา เห็นไหม เราถึงต้องขยันหมั่นเพียร ความขยันหมั่นเพียรๆ โดยสัมมาทิฏฐิ ความถูกต้องดีงาม ความขยันหมั่นเพียรนี่คนซื่อ คนซื่อโดยที่ไม่มีความเฉลียวในหัวใจ นี่ขยันหมั่นเพียรไปขยันหมั่นเพียรสักแต่ว่า สักแต่ว่านี่มันซอยเท้าอยู่กับที่ จิตใจมันไม่พัฒนาไป
ดูเวลาควายนะ เวลาควายมันกินของมัน กินหญ้าของมันแล้ว เห็นไหม มันจะไปนอนแช่ปลักแช่โคลนของมัน มันจะมีความสุขของมันมาก นี่มันนอนแช่ปลักแช่โคลนนะ ถ้ามันได้นอนแช่ปลัก เห็นไหม มันนอนปลักของมัน มันจะนอนเคี้ยวเอื้องของมัน มันจะมีความสุขของมันน่ะ นั่นมีความสุขอย่างนั้น นี่ความสุขของใคร? ความสุขของควาย
แต่หัวใจของเรา หัวใจของเราถ้ามันจะมักง่าย เห็นแก่ความสะดวกสบายแก่ตัวเอง นี่มันนอนปลัก ถ้าใจมันนอนปลักแล้วมันไม่ขยับเขยื้อน เห็นไหม เวลาครูบาอาจารย์ของเราท่านเป็นห่วงพวกเรามาก เป็นห่วงเพราะอะไรนะ เพราะว่าครูบาอาจารย์ของเราท่านมีอำนาจวาสนา ท่านถึงประพฤติปฏิบัติของท่าน ท่านเอาตัวของท่านรอดไปได้ ท่านเอาตัวของท่านรอดไปได้
ดูหลวงตานะ หลวงตานี่วันที่ท่านบรรลุธรรมที่วัดดอยธรรมเจดีย์ ท่านกราบแล้วกราบเล่า ท่านกราบอะไรน่ะ ท่านกราบองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านตรัสรู้ธรรมขึ้นมาเองโดยชอบ แล้ววางธรรมวินัยนี้ไว้
หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น ท่านประพฤติปฏิบัติของท่าน ท่านปฏิบัติจนถึงที่สุดแห่งทุกข์ของท่าน ท่านพ้นของท่านไป ท่านได้ฝึกได้ฝนหลวงตามาตั้งแต่หลวงตาเป็นผู้อุปัฏฐากหลวงปู่มั่นมา ท่านได้ฝึกได้ฝน ท่านได้ดูแล ท่านได้ถนอมเลี้ยงดูมาตลอด เห็นไหม หลวงตาท่านก็พยายามของท่าน นี่พยายามด้วยความอุกฤษฏ์ขนาดไหน นั่งตลอดรุ่ง ด้วยความเพียรของท่านมากน้อยขนาดไหน แต่มันยังต่อสู้กับกิเลสไง กิเลสมันก็ต่อต้านกิเลสมันก็ทำลายความเพียรของผู้ที่ประพฤติปฏิบัติตามหน้าที่ของกิเลสมันไป ท่านก็ได้ต่อสู้ของท่านมา ได้ความอุกฤษฏ์ขนาดไหน ท่านแสวงหาของท่านมา จนวันที่ท่านบรรลุธรรมที่วัดดอยธรรมเจดีย์ นี่ท่านลุกขึ้นมากราบแล้วกราบเล่า กราบแล้วกราบเล่า ท่านกราบอะไรน่ะ ท่านกราบถึงบุญคุณ ท่านกราบซาบซึ้งในธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมาแล้ววางธรรมวินัยนี้ไว้ แล้วถ้าไม่มีใครตรัสรู้ธรรมขึ้นมาตามความเป็นจริงแล้วบอกวิธีการ ธรรมและวินัย บอกวิธีการ ที่ให้เรามุ่งมั่น ที่ให้เราประพฤติปฏิบัติ ที่จะให้เรามุ่งสู่ความจริงนี่ ถ้าไม่มีครูบาอาจารย์บอกไว้นี่เราจะไปไหน นี่ขนาดบอกไว้ท่านยังต่อสู้ขนาดนั้น ท่านยังต้องพยายามต่อสู้กับกิเลสในใจของท่าน
ยังมีหลวงปู่เสาร์หลวงปู่มั่นเป็นครูเป็นอาจารย์คอยชี้นำ ท่านกราบแล้วกราบเล่ากราบด้วยอะไรน่ะ กราบด้วยความซาบซึ้ง กราบด้วยหัวใจ หัวใจที่เห็นธรรมไง เห็นไหม ผู้ที่กราบด้วยความซาบซึ้งในใจ นี่สิ่งที่ทำขึ้นมามันเป็นความจริงอย่างนั้น
แล้วของเราล่ะ นี่ของเรา เห็นไหม ของเรามันขี้เกียจ มันมักง่าย มันจะนอนปลัก มันนอนปลัก เห็นไหม ควายมันนอนปลัก มันนอนปลักด้วยความสุขความสบายของมัน นี่นิพพานของควายไง นี่ว่างๆ มีความร่มเย็นเป็นสุข มันปล่อยวางหมดน่ะ ปล่อยวางแบบควาย แบบควายเพราะมันไม่มีเหตุมีผล มันไม่มีการกระทำ
แต่ถ้าปล่อยวางแบบความเป็นจริงที่หลวงตาที่ท่านทำของท่านมา เพราะอะไร เพราะเวลาท่านติดสมาธิ หลวงปู่มั่นท่านก็ลากออกมา เวลาถ้าออกจากสมาธิไปแล้ว ใช้ปัญญามากขึ้นไป ไปหาท่าน บอกนี่เวลาติดสมาธิมันก็ติดสมาธิ วันนี้มันออกใช้ปัญญาแล้วนะ นี่ใช้ปัญญาจนไม่ได้หลับได้นอน นั่นน่ะไอ้บ้าสังขาร ไอ้บ้าสังขาร นี่เวลาติดสมาธิมันก็ติดสมาธิของมัน ติดสมาธิว่าสิ่งนี้เป็นนิพพาน สิ่งนี้เป็นนิพพาน เวลาออกไปใช้ปัญญาก็เตลิดเปิดเปิงไปเลย ใช้ปัญญาแล้วปัญญามันจะชำระล้างกิเลส ใช้ปัญญาแล้วปัญญามันจะฆ่ากิเลส มันก็เตลิดเปิดเปิงไป จนไม่ได้หลับได้นอน
นี่ไม่ได้นอนแล้วนะ นี่ออกมาใช้ปัญญาๆ บอกว่าติดสมาธิให้ออกมาใช้ปัญญา ตอนนี้ก็ใช้ปัญญาแล้วล่ะ พอใช้ปัญญาแล้วก็ไม่ได้พักไม่ได้ผ่อนเลย จะทำอย่างไรล่ะ
ไอ้บ้าสังขาร ไอ้สังขาร นี่ทั้งๆ ที่ปฏิบัตินะ มีครูมีอาจารย์คอยดูแลขนาดนั้น กิเลสมันยังตลบหลัง กิเลสมันยังบังเงา กิเลสมันยังขุดหลุมพราง กิเลสมันยังตลบหลัง ทำให้ล้มลุกคลุกคลานไปตลอด
แต่ของเราๆ ปฏิบัติกัน เห็นไหม เราจะมักง่าย เราจะเอาแต่มรรคแต่ผล แล้วเราก็ไปนอนปลักในหัวใจของเรา นอนปลักในความโลภ ความโกรธ ความหลงไง ในความหลง ในโลภ ในโกรธ ขี้โลภ ขี้โกรธ ขี้หลง ไปนอนคลุกขี้อยู่ไง คลุกขี้ คลุกกิเลสตัณหาทะยานอยากในหัวใจไง นอนปลักจมปลักอยู่อย่างนั้น แล้วนอนปลักอย่างนั้นกิเลสมันชอบไง
มารเอย เธอเกิดจากความดำริของเรา เราจะไม่ดำริถึงเจ้าอีกแล้ว เจ้าเกิดในดวงใจของเราไม่ได้เลย นี่เป็นคำเยาะเย้ยมารขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
แต่ของเราล่ะ มารเอย เธอจงขี่หัวเรา มารเอย เรามานอนอยู่ด้วยกัน มารเอย กำลังนอนคลุกขี้กันอยู่น่ะ มีแต่ความสุขอ่ะ นี่นอนปลัก มันไปนอนปลักอยู่กับปลักควาย มันไม่เอาจริงเอาจัง
ถ้ามันเอาจริงเอาจัง เห็นไหม ควายกว่ามันจะนอนปลักของมัน เวลามันหิวกระหายขึ้นมามันก็ต้องหาหญ้านะ มันไปกินหญ้า มันไปเล็มหญ้ามาจนพอแรงมันแล้ว จนเต็มกระเพาะมันแล้ว มันมานอนเคี้ยวเอื้องของมันน่ะ นี่ควายมันจะมานอนปลักมันต้องอิ่มท้อง มันไม่อิ่มท้องมันจะมานอนปลักไหม เวลามันหิวมันกระหาย มันอยากกินของมันนี่ ไอ้ควายตู้มันขวิด เห็นไหม นี่ที่ไหนมีอาหาร ดูสิ เขาปลูกสวนครัวไว้ เขาทำรั้วรอบขอบชิดไว้ มันทลายหมดล่ะ มันจะเข้าไปกิน มันต้องกินก่อน มันกินแล้วมันถึงจะมานอนปลัก ควายมันยังฉลาดกว่าเราอีก นี่มันยังรู้จักกินแล้วก็มานอนปลัก
ไอ้นี่มันไม่มีอะไรเลย ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ศึกษาแล้ว นี่ ธรรมและวินัยเราก็เข้าใจเราก็รู้หมดแล้ว นั่นธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านะ แล้วของเรามีอะไร มันจะนอนปลักน่ะ นี่มันนอนปลักกับกิเลสไง ถ้าเราจะเอาจริงเอาจังนะ เราต้องมีสติมีปัญญา ถ้ามีสติปัญญาขึ้นมาแล้ว เราจะต้องมีความเพียรของเรา ความเพียร ความวิริยะ ความอุตสาหะนะ
เดินจงกรม คนเดินจงกรมโดยสติโดยปัญญานะ เห็นไหม นั่นน่ะเขาทำความเพียรชอบ เดินจงกรมโดยสักแต่ว่า เดินจงกรมด้วยความอ่อนอกอ่อนใจ เดินจงกรมสักแต่ว่าเดิน เดินกันไปนะ เวลาผู้ที่ปฏิบัติใหม่ เห็นไหม ถ้าจิตมันไม่เป็นสมาธิ เราก็มีความเพียรของเรา เราก็มีความวิริยะอุตสาหะของเรา ถ้ามันไม่มัชฌิมาปฏิปทา มันไม่เป็นความสัมมาทิฏฐิ เพราะกิเลสมันหยาบ เราก็สู้กับมัน อยู่ในทางจงกรมนี่ อยู่ในทางจงกรมนะ มันจะไปไหนเราไม่ไป ความคิดมันเตลิดเปิดเปิงไปไหนเชิญตามสบาย แต่เท้าของเราจะเดินทางจงกรมของเรา
เรานั่งสมาธิภาวนาของเรานี่ ความคิดมันจะเตลิดเปิดเปิงไปไหน ก้นของเราจะแตะพื้นอยู่ที่นี่ เราจะไม่ลุกจากที่นี่ เราฝืนมันไง แล้วการฝืนอย่างนี้ การฝืน การฝึกหัดเริ่มต้น เห็นไหม นี่มันเหมือนกำปั้นทุบดินเลย สู้กันแบบสดๆ อย่างนี้ แล้วสู้สดๆ สุดท้ายแล้วนะ ถ้าจิตใจมันด้วยสติด้วยปัญญามันจะดึงเราไปไม่ได้ มันพยายามขนาดไหน ถ้าเรามีสติต่อสู้กับมันมันต้องอ่อนลง
พอมันอ่อนลง เห็นไหม ถ้ามันอ่อนลง นี่ไง ที่บอกเวลาทำสักแต่ว่า ทำสักแต่ว่า คนทำสักแต่ว่า คนที่ไม่มีสติปัญญาทำสักแต่ว่า มันเป็นเรื่องความเพียร ความเพียรแบบดิบๆ ความเพียรแบบดิบๆ เราก็ต้องสู้กับมัน จนคนที่สู้กับมัน นี่เราไม่เคยทำอะไรเลย เห็นไหม ดูสิ เวลาทางโลกเขาเขาทำสิ่งใดเขาจ้างวานได้ เขาเอาเงินไปซื้อขายแลกเปลี่ยนขึ้นมาได้ แต่ของเรานี่ศีล สมาธิ ปัญญา มันจะไปซื้อขายแลกเปลี่ยนมาจากใครไม่มีทั้งนั้น
ฉะนั้น หัวใจของใครเริ่มต้นประพฤติปฏิบัติ มันก็ต้องประพฤติปฏิบัติขึ้นมาจากกำปั้นทุบดินนี่ จากกิเลสดิบๆ นี่ จากสิ่งที่มันดื้อด้านนี่ ถ้ามันดื้อด้าน เห็นไหม ถ้าเราตั้งสติ เราบังคับมัน ความคิดมันจะไปไหน เตลิดเปิดเปิงไปไหน ปล่อยมันไป เรามีสติ เรามีสัจจะ เราจะอยู่ในทางจงกรมของเรา เราจะอยู่นั่งสมาธิของเรา เราจะต่อสู้กับมันด้วยคำบริกรรม เราจะต่อสู้กับมันด้วยปัญญาอบรมสมาธิ ต่อสู้กับมันอย่างนี้ เห็นไหม กิเลสมันดิบๆ ขนาดไหนถ้าเรามีสติมีปัญญา สิ่งนี้มันต้องสู้มันได้
ถ้าสู้อย่างนี้ได้ เห็นไหม เราจะบอกว่าอย่างนี้เป็นสักแต่ว่าไหม การทำอย่างนี้เป็นสักแต่ว่า มันก็เป็นความถูกต้องของวุฒิภาวะของใจที่เป็นแบบนี้ แต่ถ้าคนที่เขาปฏิบัติขึ้นมานี่จนมีร่องมีรอยแล้ว จนปฏิบัติของเราขึ้นมาได้แล้ว ถ้าเราทำสักแต่ว่า เห็นไหม การทำสักแต่ว่าอย่างนั้นมันจะเอามรรคเอาผลมาจากไหน ถ้ามันจะเอาความจริงขึ้นมา เราก็มีสติปัญญาโดยสัจจะความจริง สติก็สติจริงๆ ปัญญาก็ปัญญาจริงๆ ต่อสู้กับมันจริงๆ ถ้าผลมันละเอียดเข้ามา ถ้ามันสงบเข้ามาได้ มันก็เป็นความจริงของเราขึ้นมา
นี่มรรคหยาบฆ่ามรรคละเอียด มรรคหยาบหมายความว่า ความคิดดิบๆ มันก็เป็นเรื่องหยาบๆ มันก็ต้องทำความเพียรแบบหยาบๆ อย่างนี้ขึ้นไป แต่ถ้ามันละเอียดขึ้นไปแล้ว นี่มันเคยได้ลิ้มรส รสของธรรมที่มันละเอียดขึ้นมา แล้วเวลาจิตมันถดถอยมาที่หยาบๆ อย่างนี้ เราก็ต้องตั้งสติ ตั้งสติต่อสู้ขึ้นไป มันต้องพัฒนาของมันขึ้นไป
นี่ไง การพัฒนาของจิตมันเป็นชั้นเป็นตอนขึ้นไป มันจะไม่นอนปลักอยู่อย่างนั้น มันไม่นอนปลักอยู่กับกิเลสให้กิเลสมันครอบงำอยู่อย่างนั้นไง ถ้ากิเลสมันครอบงำนอนปลักอยู่อย่างนั้น เราก็ล้มลุกคลุกคลานกันอยู่อย่างนี้
ก่อนเข้าพรรษาเราก็ตั้งสัจจะแล้ว เราอธิษฐานธุดงควัตรแล้ว แล้วนี่เข้ามา ๔ ปักษ์แล้ว อีก ๒ ปักษ์ออกพรรษาแล้ว นี่ ๑ พรรษา ๒ พรรษา ๓ พรรษา มันเร็วมาก มันเร็วมาก เห็นไหม แล้วมีเงินมีทองมากน้อยขนาดไหน เราจะซื้อวันเวลาให้กลับคืนมาไม่ได้เลย ขณะที่เวลาในปัจจุบันนี้เราต้องเห็นคุณค่าของมัน คุณค่าของเวลามันมีคุณค่ามาก มีคุณค่ามากเราจะต้องพัฒนาใจของเรา
เวลาสิ่งที่เขาทำอาหารนี่ ถ้ามีอุณภูมิของเขา มีไฟของเขา อาหารมันจะสุกขึ้นมาได้ นี่ก็เหมือนกัน ตบะธรรมๆ เราตบะธรรมเรามีสติเรามีปัญญา ตบะธรรมแผดเผากิเลสในหัวใจของเรา ถ้ามันได้แผดได้เผาในหัวใจของเรา เห็นไหม ตีเหล็กเขาตีตอนเหล็กมันร้อนๆ เขาจะต้องเผาจนเหล็กมันแดงขึ้นมา เขาจะเอาออกมาตีจะขึ้นรูปอย่างไรก็ได้
หัวใจของเราน่ะ หัวใจของเราที่เราจะดูแลรักษามันนี่ เราตั้งใจของเราแล้ว เวลาเรามาเราตั้งใจของเรามาเต็มที่เลย แล้วสิ่งที่จะตีมันก็มีสติ มีสติยับยั้ง ยับยั้งความคิด เห็นไหม ยับยั้งสิ่งต่างๆ ที่มันฉุดกระชากลากหัวใจเราไป ถ้ามีปัญญา ปัญญามันพลิกแพลง พลิกแพลง เห็นไหม มันต้องมีอุบาย คำว่าอุบาย เห็นไหม เราทำสิ่งใดก็แล้วแต่ กิเลสมันบังเงา กิเลสมันบังเงา เห็นไหม
ดูสิ เราจะทำให้ครบสูตร เช้าขึ้นมาเราก็ได้ทำข้อวัตรแล้ว เราได้ทำงานของเราแล้ว ได้ออกบิณฑบาตแล้ว เราได้ปฏิสังขาโย ได้ทำภัตรกิจแล้ว เราก็ได้ภาวนาแล้ว ทำเป็นเหมือนวงจรของมัน วงจรของมันกิเลสมันก็ตามของมันไป มันตามของมันไปเห็นไหม
แต่ถ้ามันเป็นการเริ่มต้น เห็นไหม เป็นการเริ่มต้น เหมือนกำปั้นทุบดิน ในเมื่อจิตมันหยาบๆ ต้องทำแบบนี้ ถ้าทำแบบนี้จิตใจมันอยู่ในข้อวัตร จิตใจมันอยู่ได้ มันไม่เร่าร้อน มันไม่เร่ร่อนจนเกินไป เขาเรียกว่าเครื่องอยู่ จิตใจนี่มันต้องมีเครื่องอยู่ คนเราต้องมีบ้านมีเรือนเป็นที่อาศัย จิตใจของคนเป็นนามธรรม เป็นนามธรรมมันเกาะเกี่ยวไปหมด แล้วถ้าเราไปรังเกียจ เห็นไหม รังเกียจข้อวัตรปฏิบัติ รังเกียจว่าสิ่งนี้มันเป็นข้อวัตรปฏิบัติมันเป็นของหยาบ เราจะภาวนา แล้วไปนั่งภาวนาเขาก็ภาวนาไม่ได้ พอภาวนาไม่ได้มันก็วิตกกังวล วิตกกังวล ทำไมมันเป็นแบบนี้ มันก็วิตกกังวล นี่เราไม่มีข้อวัตร เราทำสิ่งใดผิดพลาดมานี่มันก็เป็นนิวรณธรรม แต่ถ้าเราได้ทำข้อวัตรของเรา เราได้ทำสมบัติของสาธารณะ สมบัติของพระ ทำเสร็จแล้วเราก็มานั่งสมาธิภาวนาของเรา เห็นไหม ถ้าภาวนาของเรา ถ้ามันทำของมันได้ มันก็พัฒนาของมันขึ้นมา
พัฒนาหมายความว่า จิตใจถ้าไม่มีเครื่องอยู่มันก็เร่ร่อน ถ้าจิตใจมันมีเครื่องอยู่ เห็นไหม เราอยู่ในสมณสารูปด้วยความภูมิใจ ทั้งที่จิตใจมันไม่มีคุณธรรม ถ้าจิตใจมีคุณธรรม เห็นไหม นี่พระเรา พระป่าเขาเคารพกันที่คุณธรรม แต่ถ้าเวลาเคารพธรรมวินัย เขาเคารพกันด้วยอาวุโส ภันเต เราบวชมานี่เรามีอาวุโส เราบวชมานี่เราอาวุโสกว่า แล้วบวชมาก่อน เห็นไหม ราตรีเรายาวกว่า นี่เราต้องเคารพกัน เคารพด้วยธรรมวินัย แต่ถ้าพอธรรมวินัยแล้วเราปฏิบัตินี่ปฏิบัติของเราขึ้นมา ถ้ามันมีเครื่องอยู่มันอาศัยของมันขึ้นมาน่ะ มันไม่เร่าร้อน แต่ถ้ามันไม่มีเครื่องอยู่มันร้อนนะ เวลามันร้อนขึ้นมา นี่จะนอนปลักแล้ว โน้นก็ไม่ได้ นั่นก็ไม่ดี ไม่มีสิ่งใดพอใจไปสักอย่างหนึ่งเลย ควายมันนอนปลักเพราะมันกินหญ้ามาแล้วมันถึงมานอนปลักของมัน
แต่หัวใจของเรา เวลามันเร่าร้อนมันนอนปลัก กิเลสมันเหยียบหัวมัน มันยิ่งเร่าร้อนมากเข้าไปใหญ่ เห็นไหม เพราะไม่มีข้อวัตร ไม่มีเครื่องอยู่ ถ้าจิตใจมีเครื่องอยู่ เห็นไหม มีเครื่องอยู่น่ะ เราไม่ใช่นอนปลัก นี่วัดหัวใจ ข้อวัตรปฏิบัติคือวัดใจเรา ถ้าจาของเรามันวัตรปฏิบัติขึ้นมา เห็นไหม นี่มันมีที่อาศัย คนมีที่อยู่ที่อาศัยกับคนที่เร่ร่อนแตกต่างกัน คนที่มีเครื่องอาศัยแล้ว เห็นไหม ใจอยู่กับเราแล้ว ถ้าใจอยู่กับเราบริกรรมพุทโธๆ เหมือนคนที่เดินหรือคนที่วิ่งอยู่ มันจะไม่เห็นสิ่งใดเลย คนที่หยุด คนที่นิ่งอยู่ เขาจะมองเห็นภาพนั้นชัดเจน
จิตใจของเรานี่ ถ้ามันยังคิดอยู่ มันเพลิดเพลินไปกับอารมณ์ความรู้สึก มันเสวยอารมณ์ มันก็คิดสิ่งใดไปมันก็พอใจสิ่งนั้น นั่นน่ะที่มันเร่ร่อนออกไป นี่มันไม่มีเครื่องอยู่ ถ้ามันมีเครื่องอยู่ เห็นไหม เราอยู่กับข้อวัตรปฏิบัติของเรา ตอนนี้เราเป็นอะไร เราเป็นสมณะ เราเป็นพระนะ เตือนตัวเองว่าเราเป็นพระ นี่ถามสิว่าเราเป็นอะไร เราเป็นพระ พระต้องอยู่อย่างใด พระมีศีลมีข้อวัตรปฏิบัติอย่างใด ถ้าเราเป็นพระ มีข้อวัตรปฏิบัติ เราเป็นพระโดยสมบูรณ์ พอสมบูรณ์ขึ้นมาแล้ว เห็นไหม นี่ธรรมและวินัยเขาเคารพกันที่นี่
ถ้ามีคุณธรรมล่ะ มีคุณธรรมหมายความว่า ถ้าจิตมันสงบเข้ามา ใครทำความสงบของใจก็ได้ เราจะตื่นเต้น เราอยากฟังธรรมๆ ธมฺมสากจฺฉา เอตมฺมงฺคลมุตฺตมํ ถ้าจิตของเขาสงบ มันสงบแล้วมันรู้เห็นสิ่งใด จิตของคนนะ นี่วุฒิภาวะของคนมันแตกต่างหลากหลายกันด้วยพันธุกรรมของจิตนั้น ถ้าจิตมีอำนาจวาสนา ถ้าจิตสงบแล้วมันรู้มันเห็นสิ่งต่างๆ เห็นสิ่งต่างๆ นั้นมันก็เป็นวิทยานิพนธ์ที่เราจะได้รู้ได้เห็น เราดูวิทยานิพนธ์ ของผู้ที่มีการศึกษามา ถ้าวิทยานิพนธ์ที่มีคุณภาพ เขาเอามาใช้งาน เขาเอามาวิเคราะห์วิจัย ว่าควรจะเอามาพัฒนาเป็นการบริหารจัดการได้ บริหารจัดการให้มันเป็นประโยชน์กับสังคมได้
นี่ก็เหมือนกัน จิตของคน จิตของผู้ที่ประพฤติปฏิบัติ ถ้ามันสงบเข้ามาได้นี่ มันสงบเข้ามานี่มันรู้มันเห็นอะไร มันได้ประโยชน์สิ่งใด ถ้าจิตสงบเข้ามาแล้วเป็นสัมมาสมาธิ สงบเข้ามาแล้วมันร่มเย็นเป็นสุข ร่มเย็นเป็นสุขนี้มันเป็นสิ่งที่ว่ามรรคผลมันมีอยู่จริง ถ้าจิตมันสงบแล้วนี่มันยกขึ้นวิปัสสนา นี่จิตของคน จิตของคน จิตของผู้ที่ปฏิบัตินี่ แล้วเราจะคุยกัน สิ่งนี้เราเคารพกันด้วยคุณธรรมอย่างนี้
เห็นไหม มันไม่ได้นอนปลัก มันจะชำระล้างกิเลส มันจะเริ่มมีวุฒิภาวะของมันขึ้นมา ถ้ามีวุฒิภาวะของมันขึ้นมา นี่มันพัฒนาไปได้ เราศึกษานะ ศึกษาธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มรรคผลนิพพาน มรรคผลนิพพาน มรรค ๘ งานชอบ สติชอบ ปัญญาชอบ ความระลึกชอบ ความชอบธรรม เราก็ได้แต่ชื่อมันมา พอมันเป็นจริงขึ้นมาในใจ มันเป็นอย่างนี้ มันเป็นอย่างนี้ นี่เราศึกษามานี่เป็นทางวิชาการ วิชาการมันก็ฝังอยู่ในใจของเรานี่แหละ เราก็ทบทวนของเราอยู่ตลอดเวลา แต่มันไม่เป็นความจริง
ดูสิ ภาชนะที่ไม่มีอาหารเลย ในจานไม่มีข้าว ในจานไม่มีอะไรที่จะเป็นประโยชน์เลย เราก็ว่ามันมีจานๆ อยู่ อาหารนี่มันต้องกินของคาวก่อน กินของคาวเสร็จแล้วก็ค่อยกินของหวาน กินของหวานเสร็จแล้วเขาก็ล้างมือเก็บถ้วยเก็บจาน เราก็อิ่มไปมื้อหนึ่ง นี่วิชาการเราเรียนมาหมด แต่ไม่เคยกินสักคำ ไม่เคยได้กลิ่นของอาหารเลย ไม่เคยเห็นของคาว ไม่เคยเห็นของหวาน มีแต่ภาชนะ
นี่ไง ศึกษามาทฤษฎีๆ เวลาเราปฏิบัติขึ้นมา เห็นไหม เราได้กินสักคำหนึ่งนี่จิตมันได้สัมผัส นี่สันทิฏฐิโก มันมหัศจรรย์มาก มหัศจรรย์มาก เห็นไหม ถ้าจิตมันสงบเข้ามา เราสงบเข้ามา มันจะไม่นอนปลักแล้ว มันจะเป็นความจริงแล้ว ความจริงคืออะไร? ทุกข์ เหตุให้เกิดทุกข์ ทุกข์ดับ วิธีการดับทุกข์ อริยสัจเกิด อริยสัจเกิดเกิดมาจากไหน นี่เวลาอริยสัจเกิด เห็นไหม สติปัฏฐาน ๔ สติปัฏฐาน ๔ ก็ว่ากาย เวทนา จิต ธรรม ไอ้กาย เวทนา จิต ธรรม นั่นน่ะมันจะนอนปลัก นอนปลักเพราะอะไร นอนปลักเพราะมันอ้างไง มันอ้างสิ่งนั้นมาไง ทำไมจะอ้างไม่ได้
ดูสิ เวลาเขาทุจริตกัน เขาฉ้อโกงกันน่ะ เขาโกงกัน เขาฉ้อโกงกัน เขาทำแนบเนียนจนเจ้าของทรัพย์ไม่รู้เลยว่าของเขาหายไปหมดแล้ว ของของเขาโดนถ่ายไปหมดแล้ว เขายังไม่รู้เลยว่าทรัพย์สมบัติถ่ายไปอยู่กับผู้อื่นแล้ว นี่ทางโลกเขาทำกัน เห็นไหม แล้วนี่กิเลสในหัวใจของเรามันปลิ้นปล้อน มันปลิ้นปล้อน มันหลอกหลอน เวลามันปลิ้นปล้อนมันมีเล่ห์กลในหัวใจ เราไม่ทันมันเลย เห็นไหม เพราะเหตุนี้ไง ความสำคัญต้องมีครูมีอาจารย์ไง
เวลาครูอาจารย์ ดูสิ ดูพระอรหันต์ เห็นไหม ดูครูบาอาจารย์ที่เป็นพระอรหันต์น่ะ เราก็เป็นมนุษย์คนหนึ่ง เราไปดูโรงพยาบาลบ้าสิ โรงพยาบาลศรีธัญญาน่ะ เวลามันหลุด เขาต้องควบคุมกันเต็มที่เลย นี่คนบ้ามันก็มีแบบบ้ามากบ้าน้อย มันก็หลากหลายกันไป ระหว่างคนบ้ากับพระอรหันต์น่ะ เราดูออกไหม เวลาคนบ้ามันปล่อยหมดเลย มันไม่ติดสิ่งใดเลย อันนั้นเป็นอย่างไร
เวลาพระอรหันต์ล่ะ พระอรหันต์ท่านปล่อยวางในหัวใจของท่าน ท่านทำลายภวาสวะทำลายภพชาติในใจของท่านสิ้นไปแล้วนี่ ในใจของท่านน่ะ นี่เราดูออกไหม? เราก็ไม่รู้ ดูไม่ออกว่าเป็นคนไหน ระหว่างพระอรหันต์กับคนบ้า
นี่ก็เหมือนกัน ในกิเลสกับธรรม กิเลสกับธรรม ถ้ามันเป็นกิเลส เห็นไหม ดูสิ มันปล่อยวางแบบคนบ้านั่นน่ะ แล้วเวลาปล่อยแบบคนบ้า คนบ้า เห็นไหม ดูสิ เวลาคนบ้า บ้าเพราะอะไร คนบ้าเขาบ้าเพราะอะไร นี่คนบ้าเพราะโดนฉ้อโกงหมดเนื้อหมดตัวจนเป็นคนบ้า คนบ้าเพราะเขาเสพยาเสพติดเขาทำลายตัวเองจนเขาเป็นบ้า คนบ้าเพราะว่าเขาโดนสังคมบีบคั้นจนเขาไม่มีทางออกเขาก็เป็นคนบ้า
จิตก็เหมือนกัน เวลาพิจารณาธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี่มันทำแบบคนบ้า คนบ้าเพราะมันนอนปลักไง เพราะกิเลสอวิชชามันครอบงำในหัวใจของมันไง เวลาทำอย่างนั้นมันก็ปล่อยวาง ปล่อยวาง ปล่อยวาง ปล่อยวางแบบคนบ้าไง
แต่ถ้ามีหลวงปู่เสาร์หลวงปู่มั่น มีครูบาอาจารย์ของเรา เห็นไหม นั่นปล่อยวาง แบบมรรคแบบผล ถ้าปล่อยวางแบบมรรคแบบผล มันไม่ปล่อยวางแบบการนอนปลักแบบควาย การนอนปลักแบบควายนอนปลักแล้วมันสบายๆ นั่นน่ะ เราจะเอาแบบนั้นใช่ไหม นี่เอารูปแบบอย่างนั้นมันทำโดยสัญชาตญาณ ทำโดยธรรมชาติอย่างนั้นใช่ไหม มันไม่มีที่มาที่ไปเลยเหรอ ถ้ามันมีที่มาที่ไปนี่เราจะไม่นอนปลัก
ถ้าไม่นอนปลัก เห็นไหม นี่เราเดินจงกรมนั่งสมาธิภาวนา เราตั้งใจทำของเรา มันจะล้มลุกคลุกคลาน มันจะทุกข์มันจะยาก มันเป็นแบบนั้น มันเป็นแบบนั้นเพราะกิเลสอวิชชาอยู่ในใจของสัตว์โลก เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าย้อนอดีตชาติไป ไม่มีต้นไม่มีปลาย จิตนี้เวียนตายเวียนเกิด นี่ผลของวัฏฏะยาวไกลนัก ถ้ายาวไกลนักอวิชชามันครอบงำมานี่กี่ภพกี่ชาติ ไม่มีต้นไม่มีปลาย แต่ด้วยอำนาจวาสนา เราได้เกิดมาเป็นมนุษย์ เห็นภัยในวัฏสงสาร ได้บวชมาเป็นภิกษุผู้เห็นภัยในวัฏสงสาร
แล้วกึ่งพุทธกาล หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น ท่านมาพื้นฟูธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วยข้อวัตรปฏิบัติของท่าน เราเกิดมาเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา ได้เห็นร่องเห็นรอยของครูบาอาจารย์ของเราที่ท่านได้ประพฤติปฏิบัติมา จนละเว้นจนปล่อยวางมาเป็นชั้นเป็นตอนมา เรามีอำนาจวาสนาแค่ไหน ถ้าเรามีอำนาจวาสนาขึ้นมา เห็นไหม แล้วเวลามาปฏิบัติทำไมมันทุกข์ยากขนาดนี้ล่ะ มันทุกข์ยากขนาดนี้ก็เพราะว่ากิเลสตัณหาความทะยานอยากของเรา แต่เพราะเรามีสติเรามีปัญญา เราถึงจะฝ่าฝืนกับมัน พยายามจะต่อสู้กับมัน การต่อสู้กับกิเลสสิ่งที่เป็นนามธรรมในหัวใจของเรา สิ่งที่เขามีตัวมีตน เวลาเขาฉ้อเขาโกงกันน่ะ เขารู้ว่าคนไหนฉ้อคนไหนโกงของเขา เขายังตามหาบุคคลคนนั้นได้แสนยาก เพราะคนๆ นั้นเขาจะมีเล่ห์มีเหลี่ยมหลบหลีกกับเรื่องของกฎหมาย
กิเลสตัณหาความทะยานอยากเป็นนามธรรมที่อยู่ในหัวใจของสัตว์โลก แล้วมันครอบคุมหัวใจของเรามาที่เวียนตายเวียนเกิดในวัฏฏะมา ที่ไม่มีต้นไม่มีปลาย แล้วเราเกิดมาเกิดมาเป็นนุษย์ เกิดมาพบพุทธศาสนา แล้วมีอำนาจวาสนาได้บวชมา ได้พยายามมาต่อสู้กับมัน เวลาต่อสู้กับกิเลสน่ะ เดินจงกรมนั่งสมาธิภาวนา สิ่งที่มันทุกข์มันยากก็เพราะกิเลสที่เราจะฆ่ามัน กิเลสที่เราจะแสวงหาตัวมันแล้วจับมันขึ้นมาวิปัสสนา จับมันๆ การจะชำระล้างกิเลสต้องเห็นหน้ากิเลส ต้องรู้จักกิเลส มันถึงจะได้ชำระล้างกิเลส
เวลาควายมันนอนปลัก มันนอนปลักของมัน นิพพานคือความว่าง นิพพานคือความร่มเย็น ความสุขใจคือนิพพาน เห็นไหม นิพพานแบบควายที่มันนอนปลักอย่างนั้น ถ้านอนปลักอย่างนั้นก็แบบว่าสติปัฏฐาน ๔ ก็กาย เวทนา จิต ธรรมไง ใครก็รู้ใครก็เห็นไง นี่กายในกาย กายานุปัสสนา เวทนานุปัสสนา จิตตานุปัสสนา ธัมมานุปัสสนา มันก็รู้ของมันไง นี่ไง นี่มันนอนปลักของมันไง ทั้งๆ ที่ควายมันนอนปลักนะ มันนอนปลักในโคลนนั้น
แต่นี่เรานอนปลักธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ธรรมและวินัยที่เป็นศาสดาของเรา เป็นศาสดาของเรา ถ้าเราประพฤติปฏิบัติขึ้นมานี่เราจะรู้จริงเห็นจริงตามความเป็นจริง อันนี้ไปนอนปลักไปอ้างไปอิงไง ไปอ้างไปอิงว่าสิ่งนั้นเป็นธรรม สิ่งนั้นเป็นธรรม นี่มันไปนอนปลัก เห็นไหม กิเลสมันครอบงำไง
ฉะนั้น เวลาเราเดินจงกรมนั่งสมาธิภาวนา มันจะทุกข์มันจะยาก มันเป็นเรื่องปกติ มันเป็นเรื่องธรรมดาของกิเลส ก็เราจะมาสู้กับมันนี่ ถ้าเราจะสู้กับมัน มันก็ต้องมีพื้นฐาน มันก็ต้องมีพื้นฐานขึ้นมา เราทำความสงบของใจเข้ามา แล้วเราจะได้เห็นตามความเป็นจริง ถ้าจิตของเราสงบมาเป็นสัมมาสมาธิ
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอานาปานสติ กำหนดลมหายใจ เห็นไหม ไปศึกษากันมา ๖ ปีน่ะ อาฬารดาบส อุทกดาบส ได้สมาบัติ ๘ สมาบัติ ๘ ทำไมไม่เอาสมาบัติแล้วต่อเนื่องขึ้นไปเลยล่ะ ถ้าสมาบัติ เห็นไหม ดูสิ มันส่งออก มันมีพละกำลังของมัน มันจะรู้มันจะเห็นของมันที่ว่าทำฌานสมาบัติ นี่ถ้าเอาสัมมาสมาธิ มันเป็นความสงบร่มเย็นเข้า มันพร้อมที่มันจะออกไปที่พัฒนาขึ้นไปเป็นปัญญา ถ้ามีสัมมาสมาธิ เพราะกิเลสมันสงบตัวลง
ขณะที่เราทำความสงบของใจ ที่มันทุกข์มันยากนี่เพราะกิเลสมันดื้อกิเลสมันด้าน กิเลสมันต่อต้าน กิเลสมันทำลาย กิเลสมันพลิกแพลง เพราะกิเลสมันรักษาสิทธิของมัน มันรักษาสิทธิและอำนาจที่มันปกครองหัวใจของเรา มันรักษาสิทธิที่อยู่ที่อาศัยของมัน ภวาสวะนี่ เห็นไหม สถานที่ ภวาสวะๆ ภพชาติที่มันอาศัยอยู่บนนั้น
แล้วเวลามรรคญาณ มันทวนกระแสกลับเข้ามาที่จะไปเห็นตัวตนของมัน มันจะยอมให้ไปเห็นตัวตนของมันได้อย่างไร ถ้ามันไม่ยอมให้เห็นตัวตนของมัน นี่คือสัญชาตญาณความเคยชินของมัน แล้วที่เราตั้งสติ เรากำหนดคำบริกรรมที่จะเข้าไปต่อสู้กับมัน เราก็ต้องเข้าไปแย่งชิงพื้นที่เดียวกัน เราต้องแย่งชิงพื้นที่ที่กิเลสมันอาศัยที่อยู่มันนั่นน่ะ ถ้าเราแย่งชิงพื้นที่เดียวกัน กิเลสมันโดนตบะธรรมเข้าไปแผดเผา มันจะยอมให้เราเข้าไปง่ายๆ ไหม
แต่ผู้ที่เขาทำความสงบของใจโดยความชำนาญของเขา ถ้าโดยความชำนาญของเขา เขาก็ต้องได้ฝึกฝนของเขาจนมีความชำนาญของเขา เช่น นักกีฬาอาชีพ เขาทำจนชำนาญขนาดไหน เขาก็ต้องฝึกซ้อมของเขาตลอดเวลา แต่เขาชำนาญมาก นักกีฬาอาชีพ เขาจะเล่นสิ่งใดก็แล้วแต่เขาได้ฝึกฝนของเขามา เขาได้ซ้อมของเขามาจนเต็มที่ของเขา เขาถึงได้แสดงออกด้วยการแข่งขัน ด้วยทางเทคนิคในการเล่นกีฬาอาชีพแต่ละชนิดของเขา เขาถึงทำได้คล่องแคล่ว จนเรานี่แปลกประหลาดเลย
นี่ก็เหมือนกัน นักรบ เราเป็นนักรบนี่เราจะมีความชำนาญ ทำความสงบของใจมาบ่อยครั้งเข้าๆ จนเรามีความชำนาญขนาดนั้น เราจะมีความชำนาญขนาดนั้น นี่เราจะดูแลรักษาใจของเราได้สงบระงับได้ขนาดนั้น จิตใจมีพื้นฐานอย่างนั้น เพราะเราก็ต้องชิงพื้นที่ของกิเลสนั้น ถ้ามีความชำนาญอย่างนั้นกิเลสมันก็เบาบางลง กิเลสมันต่อสู้แน่นอน มันไม่ยอมให้ฆ่ามันง่ายๆ หรอก แต่มันจะต่อสู้ขนาดไหน จิตเราสงบแล้ว เห็นไหม จิตเราจริงแล้ว
จิตจริงเพราะอะไร จิตจริงเพราะมีสติจริงๆ ไม่ใช่สติในตำรา ไม่ใช่สติในตัวอักษร ไม่ใช่สติที่ครูบาอาจารย์มอบให้ มันเป็นสติของเรา สติที่เราได้ฝึกฝน ที่ล้มลุกคลุกคลาน ที่เดินจงกรมก็ทุกข์ยาก ที่นั่งสมาธิก็ทุกข์ยาก แต่เราฝึกฝนขึ้นมาจนเป็นชิ้นเป็นอันขึ้นมาเป็นสมบัติของเรา ถ้ามีสติพอทำความสงบใจเขามากขึ้นจนมันสงบบ่อยครั้งเข้า บ่อยครั้งเข้า จนเป็นสัมมาสมาธิ มีสมาธิมีกำลังแล้วนี่พอมันออกเห็นกาย เห็นเวทนา เห็นจิต เห็นธรรมตามความเป็นจริง เห็นไหม ถ้าเห็นกาย เห็นเวทนา เห็นจิต ตามความเป็นจริง มันจะเป็นสติปัฏฐาน ๔ ของบุคคลคู่นั้น
บุคคล ๔ คู่ โสดาปัตติมรรค โสดาปัตติผล สกิทาคามิมรรค สกิทาคามิผล อนาคามิมรรค อนาคามิผล อรหัตตมรรค อรหัตตผล บุคคล ๔ คู่จะเริ่มเกิดขึ้นมาจากหัวใจของเราที่มันจะเป็นผู้บุกเบิก ถ้าจิตใจเราบุกเบิก เห็นไหม จากการที่ล้มลุกคลุกคลานที่มันทุกข์มันยาก ล้มลุกคลุกคลานที่มันทุกข์มันยากนี่มันเป็นปกติ มันเป็นความจริงของมันอย่างนั้น แต่เพราะด้วยมีอำนาจวาสนา เห็นไหม กำลังพละของใจ กำลังอินทรีย์ของใจที่มันได้ทะนุบำรุงของเราขึ้นมา ถ้าจิตใจมันมีการทะนุบำรุงขึ้นมา มันพัฒนาของมัน นี่ตบะธรรมๆ เกิดขึ้นมา มันสมควรแก่ธรรม มันสมควร มันพอใจ มันมีการปฏิบัติ มันไม่ใช่น้อยเนื้อต่ำใจ ความน้อยเนื้อต่ำใจ พอมันน้อยเนื้อต่ำใจน่ะกำลังใจมันเบาบาง กำลังใจไม่มี ทำสิ่งใดก็จะไม่ประสบความสำเร็จ ถ้าไม่มีกำลังใจ เห็นไหม
กำลังใจที่มันเกิดขึ้นๆ หนึ่ง จากอำนาจวาสนา จากตบะธรรม จากอินทรีย์ จากความสะสม จากกำลังใจของเรา คนที่มีกำลังใจทำสิ่งใดทำด้วยเต็มไม้เต็มมือ ทำทุกอย่างด้วยความมั่นคง ทำทุกอย่างด้วยความเต็มใจ ความเต็มใจ เห็นไหม ทำงานทางโลกก็เต็มใจทางโลก ทำเพื่อประโยชน์สาธารณะ ทำเพื่อประโยชน์กับหมู่คณะ ทำเพื่อประโยชน์กับสังคม ทำเพื่อประโยชน์กับผู้ที่ใช้อาศัยสมบัติที่เราแสวงหามา
เวลากลับมาประพฤติปฏิบัติตามความเป็นจริงของเรา แม้แต่ข้างนอกเราทำสมบัติจากภายนอก สมบัติของสาธารณะ เรายังทำด้วยความเต็มใจอย่างนั้น เวลาเรามานั่งสมาธิ เรามาเดินจงกรมทำภาวนาของเรา เราก็เต็มใจทำในใจของเรา เราเต็มใจทำของเราไหม เราไม่น้อยใจว่าทำไมเราทำแล้วล้มลุกคลุกคลาน ทำไมเราทำแล้วเราไม่ได้ผลอย่างเขา เราก็ไม่น้อยใจเพราะเราทำของเรามาเอง
เวลาเรามีสติมีปัญญา เราทำสิ่งใดทำคุณงามความดี มันก็เป็นของเรา แล้วเรามีปัญญา เรามีอำนาจวาสนา เราก็พยายามทำของเรา ถ้าเราทำของเรา เราจะไม่ตีโพยตีพาย เราจะไม่น้อยเนื้อต่ำใจว่าทำไมเราเป็นแบบนี้ ทำไมเราไม่เป็นขิปปาภิญญาที่ปฏิบัติง่ายรู้ง่าย นั่งสมาธิหนเดียวเป็นพระอรหันต์ไปเลย ทำไมเราไม่เป็นแบบนั้น ท่านเป็นแบบนั้นเพราะท่านสร้างของท่านมา องค์ที่สร้างอย่างนั้นมาท่านก็ได้ของท่านอย่างนั้น
แต่เราสร้างของเรามาอย่างนี้ เราสร้างของเรามาอย่างนี้ เห็นไหม ผิดถูกเรามีครูมีอาจารย์ ถามสิ สมาธินี้เป็นสมาธิจริงหรือสมาธิไม่จริง ปัญญาที่เกิดขึ้นมาแยกแยะนี่มันจะจริงหรือไม่จริง เรามีครูมีอาจารย์เราถามอย่างนี้ได้ เรามีอำนาจวาสนา เราจะตรวจสอบ เราถามได้ ธมฺมสากจฺฉา เอตมฺมงฺคลมุตฺตมํ ฉะนั้น เราจะไม่น้อยเนื้อต่ำใจ มันก็มีกำลังใจขึ้นมา แต่ถ้าเราน้อยเนื้อต่ำใจ เห็นไหม มันมีแต่น้อยเนื้อต่ำใจ มีแต่ความอาลัยอาวรณ์ มีแต่นิวรณธรรม มันปิดกั้นมรรคผลไปหมดล่ะ แต่ถ้าเรามีกำลัง เรามีความเชื่อ มีความเชื่อมั่นกับเรา ปฏิบัติของเราด้วยความจริงของเรา มันจะล้มลุกคลุกคลาน
เวลาหลวงตาท่านพูดบ่อย พระโสณะเดินจงกรมจนฝ่าเท้าแตก พระจักขุบาลนั่งสมาธิภาวนาจนตาบอด ทำไมเขาทุ่มเทกัน เขาทำอย่างนั้นได้จริงๆ ล่ะ เพราะจิตใจนี่เขาสร้างอำนาจวาสนาบารมีของเขามา เขาทำของเขาได้ เขาจริงจังของเขาได้ แล้วเขากำลังเข้าด้ายเข้าเข็ม เวลาสิ่งที่มันจะเข้าด้ายเข้าเข็มนี่ มันกำลังเพ่งพินิจ มันพยายามวิปัสสนา มันกำลังทำต่อสู้อย่างนั้น มันมีกำลังใจ มันเข้าด้ายเข้าเข็ม จะได้จะเสียนี่คนมันมีกำลังใจขึ้นมา ขณะที่เรานี่เราจะไม่ได้ไม่เสียของเรา เราก็ตั้งใจของเรา เราก็จงใจของเรา เราก็สร้างของเรา เพราะมันเป็นอำนาจวาสนาของเรา ถ้าอำนาจวาสนา เราทำแบบนี้ไง
เราเกิดมาเป็นมนุษย์นะ เกิดมาเป็นมนุษย์พบพุทธศาสนา เรามีอำนาจวาสนามาก คนที่เขาอยู่ทางโลก เห็นไหม เขาอยากบวชเป็นพระ เขาอยากปฏิบัติเหมือนเรา เขาอยากมาก เขาอยากหาโอกาสอย่างนี้มาก แต่ แต่ตอนนี้เราอยู่ตรงนี้แล้ว เรานี่เป็นนักรบแล้ว เราเป็นผู้ที่มีโอกาสแล้ว แล้วมีโอกาสแล้วจิตใจเป็นแบบนี้ล่ะ ทำไมมันอ่อนแอ ทำไมมันน้อยเนื้อต่ำใจ
ถ้าอย่างนั้นนอนปลักสิ เห็นไหม ควายมันนอนปลักมันยังกินหญ้ามาเลย มันต้องกินหญ้ามาแล้ว มันต้องอิ่มหนำสำราญมันถึงมานอนปลักของมัน แล้วบอกว่าว่างๆ นี่ร่มเย็น นิพพานสงบ นิพพานร่มเย็น นิพพานเป็นความว่าง นิพพานสว่างไสว มันเคี้ยวเอื้องของมันมีความสุขของมัน
เรามีครูมีอาจารย์ เราจะไม่นอนปลักอย่างนั้น เราจะทำความจริงของเราอย่างที่เราความเพียรชอบ ความเพียรชอบ ความวิริยะ ความอุตสาหะ ครูบาอาจารย์ของเราท่านประพฤติปฏิบัติของท่านไป ท่านวางแนวทางไว้นะ สิ่งที่เป็นข้อวัตรปฏิบัติเป็นแนวทาง เราให้จิตใจที่มีเครื่องอยู่ จิตใจของเรานี่ถ้ามีเครื่องอยู่มันไม่ว้าเหว่จนเกินไป ทุกข์ไหม ทุกข์
นี่แม้แต่หายใจเข้าหายใจออกก็ทุกข์ การหายใจเข้าหายใจออกเป็นหน้าที่เป็นการงาน เป็นหน้าที่เป็นการงาน หายใจเข้าไม่ออกก็ตาย หายใจออกไม่เข้าก็ตาย เรายังต้องหายใจเข้าหายใจออกอยู่ ในเมื่อเรามีชีวิต เราต้องมีปัจจัยเครื่องอาศัย มีปัจจัยเครื่องอาศัยก็ต้องมีข้อวัตรปฏิบัติ มีข้อปฏิบัติก็รักษาสิ่งนี้ รักษาสิ่งนี้ก็ย้อนกลับมา รักษาเพื่ออะไร รักษามาเพื่อให้ใจ เห็นไหม ให้ใจมันมีเครื่องอยู่ ถ้ามีเครื่องอยู่แล้วปฏิบัติของเรา
พอถึงที่สุดแห่งทุกข์ สรรพสิ่งนี้เป็นสมมุติบัญญัติ จิตที่มันพ้นออกไป เห็นไหม ใจที่พ้นออกไปเป็นธรรมธาตุเหนือสมมุติบัญญัติ ถ้าเหนือสมมุติบัญญัติเราจะมองกลับมาด้วยความสลดสังเวชนะ นี่ความสลดสังเวช ที่นี้มองกลับมาด้วยความสลดสังเวช สิ่งที่มองกลับมานั่นน่ะมันเป็นเครื่องดำเนิน ใจที่จะพ้นออกไปเป็นธรรมธาตุนี่มันต้องมีเครื่องดำเนิน เห็นไหม เป็นชั้นเป็นตอนขึ้นไป
ถ้าเป็นชั้นเป็นตอนขึ้นไปน่ะ ครูบาอาจารย์ของเราท่านปฏิบัติมาเป็นชั้นเป็นตอน ท่านถึงย้อนกลับมา ย้อนกลับมาเห็นน้ำใจพวกเราไง เห็นน้ำใจของคนที่ปฏิบัติว่ากิเลสมันร้ายนัก กิเลสมันมีเล่ห์เหลี่ยมนัก กิเลสมันมีชั้นเชิงมากนัก แล้วทำให้เราล้มลุกคลุกคลาน หัวปั่น คนที่ปฏิบัติหัวปั่นหมดเลย
แต่..แต่มันเป็นงานชอบ มันเป็นหนทางที่เราจะชำระล้างมัน ถ้าเรามีหนทางอย่างนี้ คนไม่มีหนทางไม่มีโอกาส เขาก็พยายามแสวงหาโอกาสกัน เราเป็นคนที่มีโอกาส มีหนทาง หนทางคือหัวใจนี่ที่มันจะพัฒนาไป ถ้ามันพัฒนานี่มรรคโค ทางอันเอก เห็นไหม เวลาจิตของเราสงบแล้วนี่จับกิเลสได้แล้ว พิจารณาแล้ว นี่เป็นทางเดินของสติของปัญญา จิตมันจะก้าวเดินไปทางอริยสัจ
เวลามันก้าวเดินเป็นบุคคล ๔ คู่ ถึงที่สุดมันชำระล้างหมดแล้วนี่มันพ้นออกไป เห็นไหม นี่ถนนหนทางอำนาจวาสนาของเราอยู่กับมือของเรา อยู่กับสติปัญญาของเรา อยู่กับสติปัญญา อยู่กับความเพียร ความวิริยะ ความอุตสาหะของเรา เราจะล่วงพ้นทุกข์ด้วยความเพียร เอวัง