เทศน์พระ

ให้ชื่อ

๑๙ ต.ค. ๒๕๕๖

 

ให้ชื่อ
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

เทศน์พระ วันที่ ๑๙ ตุลาคม ๒๕๕๖
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ตั้งใจฟังธรรม ฟังธรรมนะ เวลาวันเข้าพรรษา เราบวชมา เห็นไหม เราเข้าพรรษา ได้ชื่อหนึ่ง เวลาเราออกพรรษา เห็นไหม ออกพรรษา เราบวชระหว่างพรรษา เราได้ประพฤติปฏิบัติ ออกพรรษาเราได้ชื่อหนึ่ง เวลาเข้าพรรษานี่พระบวชใหม่ นี่พระบวชใหม่ เรามาจากคฤหัสถ์ เวลาออกพรรษเขาเรียกว่าทิด เรียกบัณฑิต เราก็ได้ชื่อมา เขาให้ชื่อ พอเขาให้ชื่อให้เสียงให้ชื่อให้นามมา ให้ชื่อให้นามมานี่เป็นชื่อเป็นนาม

แต่ระหว่างที่เราประพฤติปฏิบัติ ในพรรษาหนึ่งเราได้สิ่งใดตกค้างในใจเราไป ได้สิ่งที่ตกค้างในใจนะ สมบัติทางโลก เห็นไหม สมบัติทางโลกเขาแสวงหามา เขาได้ทรัพย์สมบัติมาขนาดไหน เขาเอาไปเทียบเคียงกันได้ว่าเขามีสมบัติมากน้อยขนาดไหน อันนี้ศีลธรรมในหัวใจของเราไง อัตตัตถสมบัติ สมบัติของใจ ใจถ้ามีสมบัติขึ้นมานะ

เรามีสติ คำว่ามีสติ ก่อนที่เราจะประพฤติปฏิบัติ เห็นไหม คำว่าสติคือชื่อของมัน แต่เวลาเรามีสติ เราฝึกหัดเรามีสติของเรา สติของเรามันจะยับยั้งความคิดของเราได้ เราได้เนื้อหาสาระ เราได้ข้อเท็จจริงของคำว่าสติ

ถ้าเรามีสติของเรา เรามีสมาธิของเรา เราทำความสงบของใจเข้ามา ถ้าใจมันสงบเข้ามาได้เรามีความร่มเย็นเป็นสุข เรารู้ได้ ขณิกสมาธิ เรามีความร่มเย็นเป็นสุข ถ้ามันจะละเอียดเข้าไปเป็นอุปจารสมาธิ เห็นไหม อุปจารสมาธิ จิตมันละเอียดมากขึ้น มีความสงบมากขึ้น ออกรับรู้มากขึ้น นี่อาการของมันแสดงออกมาตามความจริงของมัน ถ้าเรากำหนดพุทโธของเราต่อเนื่องมากขึ้นไป มันเป็นอัปปนาสมาธิ มันเข้าไปสักแต่ว่ารู้ มันละเอียดลึกซึ้งจนพูดออกมาเป็นภาษาสมมุติไม่ได้ เขาถึงว่าอัปปนาสมาธิสักแต่ว่ารู้ แม้แต่เป็นภาษาสมมุติไม่ได้ ยังมีสมมุติอยู่ว่า “สักแต่ว่ารู้” มันก็รู้ของมัน เห็นไหม มันมีสติปัญญาของมัน มีข้อเท็จจริง มีเนื้อหาสาระตามข้อเท็จจริงนั้น การให้ชื่อให้นาม เราได้ชื่อได้นามของมันมา

เราเรียนศึกษามาปริยัตินี่ เขาว่าเราต้องมีการศึกษา เราศึกษามาเพื่อความมีปัญญาของเรา ปัญญาของเรานี่ปัญญาทางทฤษฎี ปัญญาทางโลก ปัญญาทางโลกคือปัญญาความจำมา ศึกษามาจากครูบาอาจารย์ของเรา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ตามความจริงโดยชอบ วางธรรมและวินัยนี้ไว้โดยเนื้อหาสาระตามความเป็นจริงในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า วางธรรมวินัยนี้ไว้ เวลาเทศน์ธรรมจักรขึ้นมา พระอัญญาโกณฑัญญะมีดวงตาเห็นธรรม เพราะสัจจะความจริงในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้เองโดยชอบ เทศนาว่าการไปมันมีข้อเท็จจริงตามเสียงธรรมนั้นไปตามความเป็นจริง พระอัญญาโกณฑัญญะใช้สติใช้ปัญญาไตร่ตรองตามความเป็นจริงอันนั้นไป เห็นความเกิดขึ้นและความดับไปเป็นธรรมดา เห็นความเป็นจริงนะ

การให้ชื่อให้นามนั้นเป็นส่วนหนึ่ง แต่การให้ชื่อให้นามนั้น ถ้าไม่มีข้อเท็จจริงตามความเป็นจริงอันนั้น การให้ชื่อให้นามมันก็เป็นการให้ชื่อให้นามเป็นภาษาโลก นี่โลกียปัญญาๆ ปัญญาทางโลกเขาโลกียปัญญา โลกุตตรปัญญา ปัญญาตามความเป็นจริงขึ้นมาในหัวใจของเรา ถ้าตามความเป็นจริงในหัวใจเรามันจะมีข้อเท็จจริงในใจของเรา การให้ชื่อให้นามทางโลกมันเป็นการให้ชื่อให้นามทางโลกอย่างหนึ่งนะ

ถ้าการให้ชื่อให้นามตามความเป็นธรรมล่ะ การให้ชื่อให้นามตามเป็นธรรม เห็นไหม นี่แม้แต่ทางปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธะ ในการปริยัติน่ะ มันก็เป็นการศึกษาชื่อศึกษานาม การศึกษาชื่อศึกษานามเราศึกษาขึ้นมาโดยความเป็นจริงของเรา เรารู้ความจริงของเรา แต่มันก็ไม่มีข้อเท็จจริงในหัวใจของเรา

ถ้ามีข้อเท็จจริงในใจของเราล่ะ ถ้าข้อเท็จจริงในใจของเรานี่เราต้องเอาใจของเราไว้ในอำนาจของเราได้ เราต้องรู้ถูกรู้ผิดได้ ถ้าจิตมันสงบเข้ามา ทำไมมันถึงมีความสงบเข้ามา ถ้าความสงบเข้ามา ความสงบกับความเป็นจริง มันมีความสุขตามความเป็นจริงอันนั้น ถ้ามันเป็นความสงบไม่เป็นความเป็นจริง มันเป็นสัญญา เพราะว่าจิตใจเราเคยสงบเข้ามานี่ เราอยากได้อย่างนั้น เราอยากอารมณ์ตามความเป็นจริงอย่างนั้น มันเป็นสัญญา มันเป็นสิ่งที่เราเคยได้สัมผัส แต่มันไม่มีความจริง เห็นไหม ไม่มีความจริงอย่างนั้น ใจของเรามันก็ไม่เป็นความจริงตามนั้น นี้คือว่าการให้ชื่อให้นามมาอย่างหนึ่งนะ ข้อเท็จจริงในใจของเราอย่างหนึ่งนะ

เวลาทางโลกของเขา เห็นไหม ชื่อนายสมชาย เขาได้ชื่อของเขามาว่าเป็นนายสมชาย นายสมชายทำความดีก็ได้ นายสมชายทำความชั่วก็ได้ คำว่านายสมชายๆ นี่ ในโลกนี้มันเป็นล้านๆ คน นายสมชายที่เข้าหอเกียรติคุณ มันทำคุณงามความดีจนชื่อของเขาเข้าหอเกียรติคุณ เข้าหอที่มีคนเคารพนับถือ นั้นก็เป็นชื่อความจริงอันนั้นได้ นายสมชายติดคุกติดตะรางจนเขามีโทษประหาร ก็นายสมชายเหมือนกัน แต่ชื่อๆ เดียวกันแต่มันแตกแขนงกันไปเป็นแต่ละบุคคลๆ เห็นไหม ชื่อสมชายๆ มีเป็นร้อยเป็นพัน ถ้าเป็นร้อยเป็นพันขึ้นมานี่ สิ่งที่ทางโลกเขามีของเขาอยู่เหมือนกัน

นี่ก็เหมือนกัน เวลาเราจะให้ชื่อให้นาม การที่ให้ชื่อให้นามเป็นอย่างหนึ่ง ตามเป็นจริงของเราในหัวใจของเราเป็นอีกอย่างหนึ่ง ถ้าเป็นอีกอย่างหนึ่ง เห็นไหม เราศึกษาธรรมก็เพื่อเหตุนี้ ก่อนเข้าพรรษา ก่อนเข้าพรรษานั้น ในทุกพรรษา เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าวางธรรมและวินัย เห็นไหม บอกว่ากึ่งพุทธกาลศาสนาจะเจริญอีกหนหนึ่ง แล้วพอสิ้นยุคของสมณโคดม พระศรีอริยเมตไตรยจะมาตรัสรู้เป็นองค์ต่อไป เป็นภัทรกัป กัปนี้มี ๕ องค์ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ๕ พระองค์ที่จะมาตรัสรู้ต่อไปข้างหน้า

โลกนี้เป็นอจินไตย โลกนี้เคยอยู่ของมันอยู่อย่างนี้ แต่โลกมันเปลี่ยนแปลงสภาพของมันไป ถึงกาลถึงเวลามันเปลี่ยนแปลงของมันไป ถ้าเปลี่ยนแปลงไปนี่มันเป็นอจินไตยๆ อจินไตย ๔ สิ่งนี้อจินไตย จิตของเราเวียนตายเวียนเกิดในวัฏฏะ มันเป็นความจริง เรามีขอบมีเขตของเรา

ถ้ามีขอบมีเขตของเรา เห็นไหม เพราะเราเกิดมาเป็นมนุษย์ พบพุทธศาสนา เรามีศรัทธาความเชื่อของเรา เราถึงได้มาบวชเป็นพระของเรา เรามาบวชเป็นพระ บวชเป็นพระอะไร พระเป็นผู้ประเสริฐ นี่เราเป็นนาย ก. นาย ข. นาย ง. เราเป็นผู้ประเสริฐไหม เราก็ประเสริฐในความจริงของเรา ถ้าไม่มีความประเสริฐเราจะมีความเป็นทิฏฐิมานะในใจของเราไหม

ในใจของเราก็มีทิฏฐิมานะของคน คนจะทุกข์จนเข็ญใจขนาดไหนเขาก็มีทิฏฐิมานะของเขา แต่ถ้าทิฏฐิมานะอันนั้น เห็นไหม ถ้าเป็นสัมมาทิฏฐิ ทิฏฐิความเห็นอันถูกต้อง ถูกต้องคืออะไร ถูกต้องเห็นไหม นี่โลกมันเป็นแบบนี้ โลกมันเป็นแบบนี้ เราเกิดมากับโลกเราก็อยู่กับโลก อยู่กับโลกนะ นี่มันสมมุติทั้งนั้น นี่โลกียปัญญาๆ มันก็เกิดจากนี้แหละ เกิดจากโลก ถ้าคนมีสติปัญญามันจะทวนกระแสเข้ามา ทวนกระแสโลก

ทวนกระแสโลก กระแสโลกนี่กระแสของเราที่เป็นอยู่นี่เป็นกระแสโลก ถ้าเราไหลไปตามโลก เห็นไหม ปลาตาย ปลาตายมันจะไหลไปตามน้ำ มันไหลของมันไป สุขสบายด้วย ไม่ต้องทวนกระแส ไม่ต้องแหวกว่ายขึ้นไปเพราะมันปลาตาย ปลาตายอาศัยให้น้ำพัดพาไป มันเน่ามันเหม็นของมันไป ปลาเป็น เห็นไหม ปลาเป็นมันทวนกระแสน้ำ ปลามันต้องทวนน้ำขึ้นไปเพื่อไปวางไข่ของมัน มันจะดำรงเผ่าพันธุ์ของมัน

นี่ก็เหมือนกัน ถ้าเราเกิดมาเป็นมนุษย์ขึ้นมาแล้ว เห็นไหม สิ่งที่เราเกิดมานี่มันเห็นโทษของวัฏฏะไหม? ถ้าเห็นโทษของวัฏฏะ เราก็พยายามไปปฏิบัติ แล้วไปปฏิบัติที่ไหนล่ะ? เวลาบอกว่าพระธุดงค์เราเข้าป่าเข้าเขาไปหาสถานที่วิเวก คนป่าคนเขาเขามีนะ นี่คนป่าคนดอย คนดอยอยู่ในป่ามาตลอด เกิดในดอยเกิดบนป่าบนเขานั้นน่ะ แล้วก็เจริญเติบโตขึ้นมา เขาดำรงชีพของเขาเหมือนกัน นี่เหมือนกัน การที่เราจะทวนกระแสๆ สิ่งที่เราออกธุดงค์ออกวิเวกนั้น มันก็เป็นปัจจัยเป็นเครื่องอาศัย เป็นสิ่งที่เราจะแสวงหาตัวตนของเรา เราแสวงหาหัวใจของเรา เราจะไปธุดงค์ที่ไหนก็แล้วแต่ เราก็เพื่อจะหาความสงบระงับในใจของเรา เพื่อเกิดศีลสมาธิในใจของเราขึ้นมา ทวนกระแสๆ

นี่ก็เหมือนกัน เราเกิดเป็นมนุษย์ มนุษย์ เห็นไหม เราเกิดมาเป็นมนุษย์ มันเป็นโลก เกิดจากพ่อจากแม่ เกิดจากกาม องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกพระโมคคัลลานะ พระโมคคัลลานะที่เขาจะถวายกามแล้วปฏิเสธเขา นี่เพ่งของเขาจนทุกทวารเกิดหนอนชอนไช กรรมมันหนักๆ สุดท้ายแล้วพระโมคคัลลานะไปขอองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้ช่วยเขา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่ากรรมเขามากนัก หนักเท่าแผ่นดิน หนักเท่าแผ่นดินนี่เหาะไปบนอากาศเพื่อที่จะเห็นแผ่นดิน องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกไว้เลยนะ “ถ้าเธอเห็นโลกนี้เท่าใบมะขาม อย่าไปมากจากนั้นให้กลับมา” เวลาไปแล้วหลง ไปจนกลับมา กลับมานี่มารำพันกับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

“โทษของกามมันหนักหนานัก โทษของกาม”

“โมคคัลลานะ เธอพูดอย่างนั้นไม่ได้ เราตถาคตก็เกิดจากกามเหมือนกัน”

เราจะปฏิเสธโลกไม่ได้ไง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็มีพ่อมีแม่ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็เกิดจากพ่อจากแม่เหมือนกัน เกิดจากกามเหมือนกัน แต่เกิดจากกามขึ้นมานี่เราเอาสิ่งนี้มารื้อค้นมาทวนกระแสกลับเข้าไปในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไปตรัสรู้เองโดยชอบ นี่ไง เราปฏิเสธโลกไม่ได้หรอก ถ้าผู้ที่ปฏิบัติจริงเห็นตามความเป็นจริง เขาปฏิเสธโลกได้ยังไง เพราะเขาเกิดมาจากโลก ไม่มีโลกจะเกิดมีคนได้อย่างไร

ไม่มีโลกวัฏฏะเกิดอย่างไร จิตมันเวียนตายเวียนเกิดในวัฏฏะมันปฏิเสธได้อย่างไร มันปฏิเสธไม่ได้ เกิดมาแล้วเพียงแต่เราจะประพฤติปฏิบัติอย่างไร เราจะตั้งสติปัญญาของเราอย่างไร ถ้าทวนกระแสเข้ามานะ เราศึกษามาเราก็มีความรู้ของเรา เห็นไหม ศึกษาชื่อศึกษานามมา

เราให้ชื่อให้นามกันมา นี่นายสมชายๆ นายทำดีก็ได้ ทำชั่วก็ได้ เพราะว่าอำนาจวาสนาของเขา คำว่าอำนาจวาสนาของเขาเพราะจิตใจของเขา ถ้าจิตใจของเขามีคุณงามความดีของเขา เขาจะทวนกระแสของเขา เขาทวนกระแสโลก เขาไม่ไปตามโลกได้ เขายับยั้งของเขาได้

อยู่กับโลก ดูสิ ดูคนที่เขามีสติปัญญาของเขา มีวัฒนธรรมของเขา เขาอยู่กับโลก เขาไม่ไปกับกระแสโลก ทุนนิยมๆ นี่มันท่วมโลก ทำไมเขามีสติปัญญายับยั้งได้ ทำไมเขามีสติปัญญาทรงวัฒนธรรมของเขาได้ ทำไมเขามีการรักษาวัฒนธรรมของเขา รักษาประเพณีของเขา รักษาประเพณีของเขาด้วยความภูมิใจ ไอ้พวกเราพวกอ่อนแอ เห็นสิ่งใดเป็นกระแสที่เขาตื่นเต้น เราก็ตื่นเต้นไปกับเขา กระแสทุนนิยม นี่อะไรต่างๆ ก็ท่วมโลกๆ เราก็ไปกับเขา แต่คนที่มีคุณธรรมของเขา เขายับยั้งของเขาได้ เขามีความสุขของเขาได้ เขาตั้งสติปัญญาของเขาได้ เขาทวนกระแสกลับไปที่ไหน ถ้าเราไม่มีสติปัญญาเราจะทวนกระแสกลับไปที่ไหน

ถ้าเราไม่มีคำบริกรรม เราไม่มีชาวพุทธ เราไม่ใช่เป็นชาวพุทธ เราไม่มีพุทธศาสนา เราไม่มีรัตนตรัย เราไม่มีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ แก้วสารพัดนึก เราไม่มีไตรสรณคมน์เป็นที่ยึดที่เหนี่ยว ถ้าเราไม่มีไตรสรณคมน์เป็นที่ยึดที่เหนี่ยว จิตใจมันก็เร่ร่อน จิตใจมันก็ไม่มีหลักมีเกณฑ์ของมัน ถ้ามันมีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ มีรัตนตรัยเป็นทีพึ่งเป็นที่เกาะ ถ้ามีที่พึ่งที่เกาะเรามีวัฒนธรรมประเพณีของเรา

ถ้ามีวัฒนธรรมประเพณีของเรามันก็เป็นโลก ถ้าเป็นโลกมันก็มีวัฒนธรรมประเพณี มันก็ต้องมีเปลือก เปลือกส้ม ในเมื่อส้มมันก็มีเปลือกส้มเป็นธรรมดา สังคมประเพณีวัฒนธรรมมันก็เป็นเปลือกส้ม มันก็รักษาสิ่งนี้ไว้ เรารักษา ดูสิ ส้มทั้งใบนี่ ถ้าคนที่ไม่เข้าใจมัน กินตั้งแต่เปลือกส้มเข้าไปมันก็ขม ถ้ามันปอกเปลือกส้ม มันก็ได้เนื้อส้มที่หวาน

วัฒนธรรมประเพณี เราก็อยู่กับวัฒนธรรมประเพณีเพื่อรักษาสิ่งที่เป็นไตรสรณคมน์ของเรา ถ้ารักษาไตรสรณคมน์ของเรา ถ้าเรามีสติปัญญา เห็นไหม เรามีคำบริกรรมของเรา เรามีคำบริกรรมพุทโธ ธรรมโม สังโฆของเรา ถ้ามีคำบริกรรมของเราจิตใจมีที่เกาะที่อาศัย ถ้าจิตใจมีที่เกาะที่อาศัย มันทวนกระแส ทวนกระแส มันทวนกระแสจากที่นี่ มันปฏิเสธไม่ได้ คนที่ปฏิเสธโดยกำปั้นทุบดิน ปฏิเสธโดยไม่ใช้ปัญญา ปฏิเสธอย่างนั้นได้อย่างไร เขาไม่ได้ปฏิเสธอย่างนั้น สิ่งที่มีอยู่ก็คือมีอยู่ การปฏิเสธคือปฏิเสธตัณหาความทะยานอยากของเรา ปฏิเสธการยึดมั่นถือมั่นของเราไง “อานนท์ รูป รส กลิ่น เสียง รูปอันวิจิตร เสียงอันวิจิตร รูปอันวิจิตร นั้นไม่ใช่กิเลส ตัณหาความทะยานอยากของคนต่างหาก”

ตัณหาความทะยานอยากของคนต่างหากมันเป็นกิเลส มันไม่ใช่รูปอันวิจิตร เสียงอันวิจิตร รูปอันวิจิตร ความวิจิตรอันความสวยงามนั้นมันเป็นกิเลส มันไม่ใช่ มันมีของมันอยู่อย่างนั้น นี่รูปอันวิจิตรมันไม่ใช่กิเลส ตัณหาความทะยานอยากของคน ตัณหาความทะยานอยากของคน นี่ก็เหมือนกัน เราเกิดอยู่กับโลก สิ่งที่มันเป็นโลก เห็นไหม เราศึกษาชื่อศึกษานามมา เราก็ต้องศึกษาตามความเป็นจริงและศึกษาทางทฤษฎี เราก็รู้เข้าใจของเราได้

แต่ความเป็นจริงล่ะ เราทำความสงบของใจเข้ามา ถ้าใจมันมีที่เกาะที่อาศัยเข้ามา เห็นไหม สติก็เป็นสติเนื้อหาสาระ สติตามข้อเท็จเจริง ถ้ามีสมาธิขึ้นมา สมาธิก็สมาธิตามความเป็นจริงของมัน แล้วถ้ามีปัญญาขึ้นมา ปัญญามันจะตื่นเต้นมาก พอมันตื่นเต้นขึ้นมาเราจะซาบซึ้ง

เวลาหลวงตาท่านบรรลุธรรมของท่านขึ้นมา นี่กราบแล้วกราบเล่า มีภิกษุหนุ่มอยู่องค์หนึ่ง กราบแล้วกราบเล่า กราบแล้วกราบเล่า มันกราบอะไรน่ะ นี่มันกราบอะไร กราบสิ่งที่มองไม่เห็น เรามองไม่เห็นน่ะ กราบแล้วกราบเล่า กราบอากาศเหรอ อยู่ในป่าในเขาจะไปกราบอะไรล่ะ กราบเคารพพระรัตนตรัยไง กราบเคารพนี่พุทธ ธรรม สงฆ์ รวมเป็นหนึ่งเดียวไง กราบธรรม-สัจธรรม สัจธรรมอันที่รู้ที่เห็นนั้นน่ะ กราบแล้วกราบเล่า กราบแล้วในหัวใจ นี่ปัจจัตตัง สันทิฏฐิโก รู้เฉพาะตน รู้เห็นตามความเป็นจริงในใจของตน

แต่คนที่มองมาจากข้างนอกนี่กราบอะไรนี่ แต่เวลาเรากราบทางโลก เห็นไหม ถ้าไม่มีพระพุทธรูปเราจะกราบอะไร? เวลากราบพระก็ต้องมีพระ ไม่มีพระจะทำบุญกุศลที่ไหน นั่นมันเป็นเรื่องโลก เราก็อยู่กับโลก วัฒนธรรมประเพณีเป็นอย่างนี้ เราก็อยู่มาเป็นอย่างนี้ นี่ให้ชื่อให้นาม การให้ชื่อให้นาม เห็นไหม ถ้าภาษาโลกนี่เพราะให้ชื่อให้นามวิทยาศาสตร์เขาถึงค้านได้

พระมีที่ไหน ก็ลูกชาวบ้านทั้งนั้น พระก็มาจากคน ทำไมคนก็เป็นคนเหมือนกัน นี่ก็เป็นคนเหมือนกัน ห่มผ้าเหลืองทำไมต้องไปเคารพบูชา

เขาดูกันที่คุณธรรม เขาดูที่พฤติกรรม พฤติกรรมที่ความแสดงออกอันนั้นน่ะ มันเป็นจริงไม่จริง มันเป็นแบบนั้น ถ้าวิทยาศาสตร์เขาคิดกันอย่างนั้น โลกคิดอย่างนั้น

แต่ถ้านี่ไง มันอัดอั้นตันใจ มันไม่เหมือนธรรม ธรรมมันมีหยาบมีละเอียด เห็นไหม รูปธรรม นามธรรม สิ่งที่เป็นธรรมนี่ให้ชื่อให้นามมา มันก็เป็นชื่อทั้งนั้นน่ะ แต่ถ้าเป็นความจริง ความจริงเรามีสติปัญญาเราแยกแยะแล้ว เราแยกแยะของเรา เห็นไหม ครูบาอาจารย์ของเราก็อยู่วัดอยู่วาของเรา

เราก็มีรูปมีนามเหมือนกัน เราก็มีร่างกายมีจิตใจเหมือนกัน ถ้ามีร่างกายมีจิตใจเหมือนกันเราก็พิจารณาของเราสิ เรามีสติปัญญาเราก็เกาะเกี่ยวของเราไว้ ถ้ามันเกาะเกี่ยวของมันไว้ เห็นไหม นี่สิ่งที่เราพุทโธๆๆ พุทโธ ธรรมโม สังโฆ สิ่งที่จิตมันเกาะไว้ จิตต้องเกาะไว้

ครูบาอาจารย์ที่ท่านประพฤติปฏิบัติมาท่านรู้จริงของท่าน ท่านรู้จริงของท่านนะ จิตนี้... จิตนี้... ความรู้สึกนึกคิดอันนี้มันเร็วมาก มันมีพลังงานมาก มันมีความทุกข์ความสุขในหัวใจนี่ล้นเหลือ ถ้าใครรู้ใครเห็น ใครถนอมรักษา ใครสร้างสัจจะความจริงในใจขึ้นมาได้ มันจะเป็นสิ่งที่มหัศจรรย์

สิ่งที่มหัศจรรย์ทางโลก เห็นไหม สิ่งที่มหัศจรรย์ทางโลก ๗ อย่าง ดูสิ สิ่งมหัศจรรย์ทางโลกเขาเข้าไปดูกันไปศึกษากัน มนุษย์สร้างขึ้นทั้งนั้นน่ะ แต่คุณธรรมในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้เองโดยชอบ พระโมคคัลลานะ พระสารีบุตร นี่ตรัสรู้เองโดยชอบโดยความเป็นจริงในใจอันนั้น แล้วใจอันนั้น เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแสดงธรรม เห็นไหม เทวดา อินทร์ พรหม ตรัสรู้ธรรมโดยชอบๆ มหาศาลเลย ในหัวใจอันนี้มันมหัศจรรย์ สิ่งที่เป็นความมหัศจรรย์ของเราล่ะ สิ่งที่มหัศจรรย์ไม่ใช่มนุษย์สร้าง สัจจะๆ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค สัจจะ จิตนี้มีการกระทำออกมาจากอริยสัจ จิตนี้มีการกระทำ ทุกข์ควรกำหนด สมุทัยควรละ นิโรธะมีด้วยมรรคญาณ มันเป็นจริงขึ้นมา ถ้ามันเป็นจริง

ถ้ามันไม่มีความเป็นจริงสิ่งนี้จะพิสูจน์กันได้อย่างไร สิ่งนี้ตรวจสอบกันได้อย่างไร สิ่งนี้มันตรวจสอบความเป็นจริงขึ้นมา เห็นไหม เราให้ชื่อให้นามมาก่อน นี่การให้ชื่อให้นาม เห็นไหม ดูสิ เกิดมาจากพ่อจากแม่ พ่อแม่ก็ให้ชื่อให้นามมา มาบวชเป็นพระอุปัฌาย์ก็ให้ฉายามา ได้ฉายามา เวลาเรามาปฏิบัติขึ้นมานี่ เรามาศึกษาในธรรม เราก็ได้ชื่อได้นามมา แต่ถ้าได้ความจริงขึ้นมามันมหัศจรรย์นะ

แต่จิตมันสงบขึ้นมานี่มันสงบ เพราะมันสงบขึ้นมานี่ ถ้าคนที่บวชแล้วจิตสงบได้ มันติดใจนะ เวลาจิตใจนี้มันเจริญมันบอกเลย มรรคผลนิพพานจะหยิบจับได้เลย หวังมรรคผล มรรคผลนิพพาน แต่เวลาปฏิบัติไปๆ เวลาจิตมันเจริญนะ แล้วมันพิจารณามาถึงที่สุด ไม่เป็นอกุปปธรรม เสื่อมได้ ความเจริญแล้วเสื่อม เสื่อมแล้วเจริญ นี่สัพเพ ธรรมมา อนัตตา ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา ความเจริญ เจริญที่ไหนก็เสื่อมของมัน มันเป็นโดยธรรมชาติของมัน

แต่เวลาจิตเรา ถ้าเรามีสติมีปัญญาของเรา เรามีสติปัญญา เราพิจารณาของเราไป พิจารณาตามความเป็นจริง มันเป็นอนัตตาเหมือนกัน แต่ใครเป็นผู้รู้เห็นอนัตตา ใครเป็นผู้ที่แยกแยะ ใครเป็นผู้พิจารณาอนัตตา แล้ววางอนัตตาไว้ตามความเป็นจริง เวลามันบรรลุธรรมนั่นเป็นอกุปปธรรม สิ่งที่เป็นอกุปปธรรมเป็นผลของมัน อันนี้เป็นความจริง ถ้าเป็นความจริงน่ะมันจะไม่เสื่อม แต่ถ้าจิตที่มันเสื่อมๆ เจริญแล้วเสื่อม เจริญแล้วเสื่อม เจริญแล้วมันเสื่อม เวลาจิตที่มันเจริญขึ้นไป มันก็มรรคผลนิพพานหยิบเอาคว้าเอาจับฉวยเอา เวลามันเสื่อมขึ้นมานี่ท้อถอย ทดท้อถอย จิตเจริญแล้วเสื่อม นี่ครูบาอาจารย์ที่ท่านเป็นจริงขึ้นมาท่านจะคอยดูแลเราให้ คอยดูแลในหัวใจของเรา คอยปกป้อง คอยดูแล คอยชี้แนะเรา ถ้ามันเสื่อม มันเสื่อมมันก็ต้องเจริญได้ เวลามันเจริญขึ้นมามันเจริญมาจากไหน เจริญมาจากหัวใจที่มันดำมืดนี่

จิตใจของเรานี่ จิตใจที่ให้ชื่อให้นามกันมา แต่มันยังไม่เป็นความจริงขึ้นมา เราศึกษามาเราก็มีความรู้ของเราขึ้นมา เวลาปฏิบัติไปมันเป็นความจริงขึ้นมา มันก็เป็นความแปลกประหลาดเป็นความมหัศจรรย์ของใจ ใจมหัศจรรย์ มันจับต้องของมัน มันมหัศจรรย์ของมัน นี่มหัศจรรย์ของมันแต่รักษาไม่เป็น หญ้าปากคอก หญ้าปากคอกเวลาฝึกหัดใหม่ เวลาฝึกหัดใหม่สิ่งที่รักษาไม่เป็น เวลามันเจริญงอกงามขึ้นมามันดีงามขึ้นมาแล้วมันก็เสื่อมไป

เวลามันเสื่อมไปนะ สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีการเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นก็ดับไปเป็นธรรมดา เป็นธรรมดาของมัน แต่คนดูแลรักษามันไม่ธรรมดา คนดูแลรักษามันยึดมั่นถือมั่นของมัน เวลาเสื่อมไปมันก็เสียใจน้อยใจของมัน มันเสื่อมไปเป็นธรรมดา เพราะไม่ธรรมดามันไปคิดถึงอดีตอันนั้น ครูบาอาจารย์ถึงบอกให้ปล่อยวางๆ ปล่อยวางให้ได้ สิ่งที่มันเจริญขึ้นมาเป็นการยืนยันว่าสัจจะมีจริง มรรคผลมีจริง หัวใจมีจริง

เห็นไหม ชื่อรูปชื่อนามมันมีจริง ชื่อรูปชื่อนาม เห็นไหม นามนี่เขาก็ศึกษากัน มี ธาตุ ๔ ขันธ์ ๕ มีภวังค์ ตกภวังค์ต่างๆ จิตลงมาสู่ภวังค์ เวลารูป รูป มหาภูตรูป รูปละเอียดรูปหยาบก็ว่าสิ่งนั้นเรารักษาของเรามา เวลามันไปรู้จริงขึ้นมาล่ะ มันรู้จริงขึ้นมามันมหัศจรรย์ เห็นไหม มหัศจรรย์สิ่งนั้นซับๆ มาในใจของเรา ถ้ามันซับมาเป็นความจริง ความจริงขึ้นมานี่ ถ้ามันเจริญขึ้นไป มันเจริญขึ้นไปแล้วมันรักษาไม่ได้ มันรักษาความต่อเนื่องไม่ได้ มันเสื่อมขึ้นมา เสื่อมขึ้นมาก็ต้องสู้กันต่อไป พิจารณากันต่อไป

คนเราขิปปาภิญญา ปฏิบัติง่าย รู้ง่าย ปฏิบัติง่ายรู้ง่ายบางทีมันไปเพราะมีอำนาจวาสนา แต่ของเรามันต้องกระเสือกกระสน แต่กระเสือกกระสนๆ เพื่อความจริง กระเสือกกระสนต่อสู้กับกิเลสของตัว เวลากิเลสในหัวใจนะ สิ่งใดต่างๆ ที่เราจะพัฒนา เราจะจัดการของเรา จะจัดการทางโลก เราจัดการทุกอย่าง เรามีความสามารถจัดการได้ แต่เวลาเราจัดการหัวใจของเราล่ะ แล้วใครจะช่วยเหลือเจือจานเรา เวลาทุกข์ใจขึ้นมา เวลาเสื่อมขึ้นมา ใครจะมาช่วยเหลือจัดการของเรา

มีครูบาอาจารย์คอยบอกคอยแนะ คอยบอกคอยแนะ เราก็บอกว่าคอยบอกคอยแนะนี่เสื่อมแล้วค่อยมาบอก เวลามันเจริญขึ้นมาไม่เห็นบอกเลย เวลามันเจริญขึ้นมามันเจริญมาจากไหน เวลามันเจริญขึ้นมามันก็เจริญจากเหตุ เจริญจากสติปัญญาของเรา ถ้าสติปัญญาของเราทำได้จริงมันได้จริงขึ้นมา เห็นไหม นี่มันเป็นปัจจัตตัง ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ถ้ามันมีความรู้ความตื่นความเบิกบานในหัวใจของเรา มันได้ข้อเท็จจริงไง มันเป็นการให้ชื่อให้นาม มันเป็นการปฏิบัติได้ตามความเป็นจริง มันเป็นสันทิฏฐิโก ถ้ามันเป็นความจริงขึ้นมา ความจริงอันนี้มันประจักษ์กับกลางหัวใจ ถ้าประจักษ์กลางหัวใจ เห็นไหม นี่เครื่องอยู่

พระเรามันมีข้อวัตรเป็นเครื่องอยู่นะ ถ้าเราไม่มีข้อวัตรเป็นเครื่องอยู่จิตใจมันเร่ร่อน พอจิตใจเร่ร่อนมันก็ไปกว้านเอาความน้อยใจทั้งนั้นน่ะ มองไปทางโลกเขาอยู่สุขอยู่สบาย เขามีทุกอย่างประสบความสำเร็จของเขา เราเป็นพระเป็นเจ้าขึ้นมา ทำไมเราต้องมาอัตคัดขาดแคลนอย่างนี้ ความว่าอัตคัดขาดแคลนมันอัตคัดขาดแคลนของกิเลสไง กิเลสมันไม่ยอมจำนน มันไม่พอใจสถานะอย่างนี้ มันจะพอใจสถานะทางโลกเขา

แต่ทางโลกเขานี่เขาต้องทุกข์ต้องยากของเขา สิ่งใดมานี่โลกนี้พร่องอยู่เป็นนิจ มันไม่มีสิ่งใดสมบูรณ์ตามแบบอย่างที่เราจินตนาการหรอก มันมีความขาดตกบกพร่องเป็นธรรมดา แต่เขาหามาเขาหามาเติมเต็มของเขา เขาหามาความเป็นอยู่ของเขา เรามองอยู่นี่ เราว่าสิ่งนั้นเป็นสิ่งที่เราปรารถนา

แต่เวลาเรามีข้อวัตรเป็นเครื่องอยู่ มีข้อปฏิบัติเป็นเครื่องอยู่ ถ้ามีข้อวัตรปฏิบัติเป็นเครื่องอยู่ จิตใจมันอยู่กับข้อวัตรปฏิบัตินี่ ข้อวัตรปฏิบัติๆ ก็การกระทำของเราไง ถ้าการกระทำของเรา มันก็มีที่อยู่ที่อาศัย เห็นไหม นี่ก็เหมือนกัน เวลาคำบริกรรมของเรา จิตมันก็มีที่เกาะ ถ้าจิตเราไม่มีที่เกาะ เราจะเอาอะไรเป็นที่เกาะ นามธรรมนี่ ให้ชื่อให้นามมา เราก็ได้ชื่อได้นาม แต่ความจริงมันไม่มี

แต่ถ้ามันไปเกาะพุทโธๆๆ มันมีความจริงของมันมา ถ้ามันสงบได้แค่ไหน มันก็ได้แค่นั้น ถ้ามันสงบไม่ได้มันก็ดิ้นรนของมัน มันดิ้นรนเพราะอะไร เพราะมันมีพุทธานุสติครอบงำมันไว้ ถ้าไม่มีพุทธานุสติครอบงำมันไว้มันก็เร่ร่อนของมัน แต่ว่ามีพุทธานุสติครอบงำมันไว้มันก็เร่ร่อนของมันไม่ได้ นี่ข้อวัตร นี่มีเครื่องอยู่ ถ้ามันมีเครื่องอยู่ ถ้าอยู่ด้วยความพอใจมันก็สงบระงับเข้ามา อยู่ด้วยความไม่พอใจ อยู่ด้วยตัณหาความทะยานอยาก อยู่ด้วยความดิ้นรน มันก็ดิ้นรนของมันขึ้นมา

นี่ไง การปฏิบัติตามความเป็นจริง มันไม่ใช่ชื่อไม่ใช่นาม มันเป็นความจริง ถ้าความจริงมันดีขึ้นมา มันก็ดีขึ้นมาตามความเป็นจริงอันนั้น ถ้าความจริงมันมีขึ้นมา เห็นไหม เราก็ได้ปฏิบัติบูชาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า การปฏิบัติ เห็นไหม ดูสิ วันพระวันเจ้าเราประพฤติปฏิบัติ หลวงปู่ขาว นี่บูชาพระพุทธ บูชาพระธรรม บูชาพระสงฆ์ ทั้งๆ ที่ท่านเป็นผู้ที่สิ้นกิเลสแล้ว ท่านยังปฏิบัติบูชาพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ นี่รัตนตรัยเป็นเครื่องอยู่ เห็นไหม เพื่ออะไร เพื่อวิหารธรรม

ไอ้ของเรากิเลสเต็มหัวใจนะ เราปฏิบัติมากิเลสเต็มหัวใจ ในพรรษา ก่อนเข้าพรรษาเราก็ตั้งใจของเรา ตั้งใจอธิษฐานพรรษา อธิษฐานธุดงค์กัน นี่อธิษฐานธุดงค์ทำไม ระหว่างหนึ่งพรรษา ในพรรษาที่ผ่านมา เห็นไหม สิ่งที่ก้าวมาเราตั้งชื่อตั้งนามกัน ให้ชื่อให้นามว่า “เราจะทำ จะให้ได้” ทำให้ได้ นี่สิ่งนี้เราก็ได้ชื่อ ถ้าพรรษาหนึ่งผ่านไปมันก็เพิ่มตัวเลขเข้าไปอีกหนึ่งพรรษา ชื่อก็เปลี่ยนแปลงไปแล้ว ชื่อนามมันจะมีเปลี่ยนแปลงของมันตลอดไป

แต่สัจจะความจริงในใจ ถ้ามันเป็นความจริงขึ้นมา มันคงที่ของมัน อกุปปธรรมๆ อฐานะที่เติมสิ่งใดเข้าไป ไม่เติมสิ่งใดเข้าไปไม่ได้ จะไปตัดทอนสิ่งใดก็ไม่ได้ แต่สิ่งที่มันเป็นความจริงขึ้นมา ความจริงมันเกิดจากการบกพร่อง เกิดจากจิตที่บกพร่อง จิตบกพร่อง จิตนี้พร่องอยู่เป็นนิจมันถึงเวียนตายเวียนเกิด ผู้ที่ประพฤติปฏิบัติถึงที่สุดแห่งทุกข์ จิตสมบูรณ์ของมัน เต็มของมัน เป็นธรรมธาตุ ธาตุสัจธรรม

สัจธรรม เห็นไหม จิตนี้กลั่นมาจากอริยสัจ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค มันกลั่นมาเป็นทางเดินของปัญญา ปัญญามันได้ก้าวเดินของมันไป ถ้าปัญญาได้ก้าวเดินไปตามความเป็นจริงเราจะรู้เห็น นี่ช่องทาง ช่องทางที่มันก้าวเดินมาตั้งแต่พื้นฐานขึ้นมา เห็นไหม นี่ความสงบของใจ

ถ้าใจมันไม่สงบ คนวิ่งอยู่มองภาพสิ่งใดมันก็ไม่ชัดเจนนัก ถ้ายังเดินอยู่ เห็นไหม ยังเดินอยู่ภาพนั้นก็มองได้รางๆ ถ้าหยุดนิ่งอยู่แล้วมองภาพนั้น ถ้าจิตมันหยุดนิ่งอยู่ เห็นไหม นี่เราถึงต้องทำความสงบของใจหยุดนิ่งอยู่เพื่อดูอาการของมัน จิตเห็นอาการของจิต จิตที่มันจะหมุนเวียนไปเพราะอาการนั้นกระตุ้น อาการนั้นยุแหย่ อาการ เห็นไหม มันโดยธรรมชาติ

โดยธรรมชาติของมนุษย์ มีธาตุ ๔ และขันธ์ ๕ ธาตุ ๔ เพราะเราเกิดเป็นมนุษย์ เห็นไหม เกิดเป็นเทวดา อินทร์ พรหม สถานะของเขาเป็นทิพย์ เกิดเป็นมนุษย์มีธาตุ ๔ และขันธ์ ๕ มันเป็นธรรมชาติของมนุษย์ ธรรมชาติของมนุษย์มันมีความรู้สึกนึกคิด พอไม่มีความรู้สึกนึกคิดเราจะสื่อสารกันได้อย่างไร

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเกิดเป็นเจ้าชายสิทธัตถะก็เป็นมนุษย์เหมือนกัน องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเวลาพิจารณานะ พิจารณาด้วยปัญญา ปัญญาที่ไปศึกษากับเจ้าลัทธิต่างๆ ๖ ปี นั้นคือโลกียปัญญา ปัญญาของฤๅษีชีไพร เห็นไหม ฌานโลกีย์ๆ จะรู้วาระจิต จะรู้ต่างๆ เป็นฌานโลกีย์ เป็นเรื่องของโลก เรื่องของโลก โลกเกิดจากอะไร โลกเกิดจากจิต เพราะจิตมันสงบเข้ามา จิตมันรู้เข้ามาแต่เป็นประสาโลก โลกียปัญญา ถ้าจิตสงบเข้ามา เห็นไหม อาปานสติจนจิตสงบเข้ามา จิตเห็นอาการของจิต พอจิตเห็นอาการของจิต อาการคือความรู้สึกนึกคิด โดยธรรมชาติของเรา ความรู้สึกนึกคิดนี้เป็นเรา

เรามีความรู้สึกนึกคิด เราถึงมีความน้อยเนื้อต่ำใจ เราถึงมีความขาดตกบกพร่องเพราะความรู้สึกนึกคิดของเราเปรียบเทียบกับสิ่งที่กิเลสมันสร้างภาพ เพราะความรู้สึกนึกคิดอย่างนั้นมันถึงเป็นไฟเผาลนใจของเราเอง เพราะใจของเรา เรากำหนดพุทโธ ใช้ปัญญาอบรมสมาธิ ถ้าจิตมันสงบเข้ามา สงบเข้ามา มันปล่อยวางธาตุ ๔ และขันธ์ ๕ เข้ามาเป็นสัจจะ สัจจะเป็นความจริงของมัน ถ้าจิตมันสงบเข้ามา เห็นไหม

เวลาเรากำหนดพุทโธๆ เวลามันสงบระงับเข้ามา ถ้าเข้าถึงอัปปนาสมาธิ สักแต่ว่ารู้ นี่พอจิตมันสงบเข้ามา ถ้ามันเป็นอุปจารสมาธิมันออกรู้ ออกรู้เห็นไหม จิตเห็นอาการของจิต ถ้าจิตสงบเข้ามาธรรมชาติมันเป็นแบบนั้น มนุษย์มีธาตุ ๔ และขันธ์ ๕ เพราะธาตุ ๔ และขันธ์ ๕ แต่ตัวจิตไม่ได้พูดถึง ธาตุ ๔ และขันธ์ ๕ ธาตุ ๔ และขันธ์ ๕ โดยทางโลกเขา แต่ถ้าจิตสงบเข้ามามันเห็นธาตุ ๔ และขันธ์ ๕ ถ้าเห็นธาตุ ๔ และขันธ์ ๕ จิตเห็นอาการของจิต

จิตเห็นอาการของจิตนี่ จิตจับอาการรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ อารมณ์ความรู้สึก อารมณ์ความรู้สึกเป็นรูป เห็นไหม อารมณ์ความรู้สึกคิด ความนึกคิดต่างๆ เป็นรูปโดยสมบูรณ์ มันถึงเกิดอารมณ์ความรู้สึก ถ้าจับเป็นรูปได้อารมณ์ความรู้สึกมันมีเวทนา เวทนาคือความดีใจ ชอบใจ เสียใจ กับอารมณ์ความรู้สึกนั้น อารมณ์ความรู้สึกนั้น มันจะเกิดขึ้นได้มันต้องมีสัญญา สัญญาคือข้อมูลของใจ พันธุกรรมของจิต พันธุกรรมของกายมีหยาบละเอียดแตกต่างกัน มันก็เกิดจากสัญญาเกิดจากข้อมูลนั้น สังขารความคิด ความปรุง ความแต่ง เวลาจับความคิดได้ สังขารความคิดความปรุงแต่งก็คือความคิดความปรุงความแต่ง แต่งจากรูปนั้น จากรูปนั้นนะ ถ้ามีวิญญาณรับรู้ เห็นไหม จิตเห็นอาการของจิต จิตเห็นอาการของจิตแล้วจับวิปัสสนา สิ่งที่ว่าโลกียปัญญาๆ โลกียปัญญานี่จิตเวลาออกรับรู้นี่เขาเอาความรู้สึกนึกคิดออกรู้ ที่ว่าฌานโลกีย์ๆ รู้ความรู้สึกนึกคิด รู้สิ่งต่างๆ มันเป็นฌานโลกีย์ เป็นเรื่องของโลกียปัญญา

แต่เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเวลาจิตสงบเข้ามาแล้ว จิตเห็นอาการของจิต จิตเห็นรูป เห็นเวทนา เห็นสัญญา เห็นสังขาร เห็นวิญญาณ เห็น เห็นแต่จับไม่ได้ เห็นแต่จับไม่ได้ก็ล้มลุกคลุกคลาน ถ้าเห็นมันจับได้นี่ทวนกระแส ทวนกระแสไง อย่างนี้มันไม่ใช่ให้ชื่อให้นาม เวลาให้ชื่อให้นามกัน เห็นไหม ได้ชื่อได้นามกันมา นั่นเป็นรูป นี่เป็นนาม ก็ว่าได้ชื่อได้นาม มันก็ไปให้ค่าให้ชื่อให้นามเหมือนกัน มันไม่เป็นความจริง ถ้าเป็นความจริงถ้ามันจับขึ้นมาได้ ใครให้ชื่อให้นาม มันไม่ต้องให้ชื่อให้นาม สิ่งนี้มันเป็นความจริง ความจริงเพราะอะไร เพราะจิตมันจับได้

จิตมันจับได้ จิตมันรับรู้ได้เพราะอะไร เพราะมันมีรสของธรรมไง รสของสมาธิธรรม จิตสงบก็มีรสชาติของมัน รสชาติของสมาธิ รสชาติของความสงบ รสชาติของความอิ่มเอม รสชาติของความสุข รสชาติของจิตที่นิ่งอยู่ รสชาติของจิตที่มันได้เคี้ยวกิน มันได้เคี้ยวกินมันได้สำรอก มันได้สำรอกสิ่งที่เป็นสังโยชน์ เห็นไหม รูป เวทนา สังขาร วิญญาณ

“อานนท์ รูปอันวิจิตรไม่ใช่กิเลส”

รูปอันวิจิตร เสียงอันวิจิตร รูป รส กลิ่น เสียง ที่สวยงามที่เป็นวิจิตร จะวิจิตรขนาดไหนมันไม่ใช่กิเลส ตัณหาความทะยานอยากของคนต่างหาก ตัณหาความทะยานอยากของคนต่างหากเป็นกิเลส ถ้าจิตมันเห็นอาการของจิต มันพิจารณาของมันแยกแยะของมัน สิ่งที่ว่าเป็นโลกียปัญญาเป็นเรื่องหนึ่ง จิตขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเวลาจิตสงบเข้ามาแล้ว เห็นไหม อาปานสติทำให้จิตสงบเข้ามา เวลาจิตเห็นอาการของจิต ท่านพิจารณาของท่าน ท่านพิจารณาของท่าน เห็นไหม พิจารณาแยกแยะของท่าน สิ่งต่างๆ แยกแยะให้เห็นตามความเป็นจริง มันคาย มันคายของมันออกเป็นชั้นเป็นตอนๆ

นี่ก็เหมือนกัน ถ้าเราปฏิบัติของเรา เห็นไหม นี้ไม่ใช่ชื่อ ไม่ใช่การให้ชื่อให้นาม นี้เป็นความจริง ถ้าความจริงมันเป็นปัจจุบัน มันกังวานกลางหัวใจนะ มันกังวานตามความเป็นจริงในหัวใจของเรา ถ้าใครปฏิบัติใครเจริญงอกงามขึ้นมา แล้วมันรู้เห็นของมัน มันตื่นเต้นของมัน ถ้ามันตื่นเต้นของมัน เห็นไหม ดูสิ ทางโลกเขา เขาทำหน้าที่การงานเขาได้ทรัพย์สมบัติของเขามา เขาว่าเขาได้ทรัพย์สมบัติของเขา ได้มากได้น้อย เขาภูมิใจ เขาดีใจ เขาเอามาใช้จ่ายใช้สอยในชีวิตประจำวันของเขา

เราภาวนาเข้าไป จิตเราสงบเข้ามานี่ได้สมาธิ ถ้าจิตได้สมาธิแล้วออกฝึกหัดใช้ปัญญา เราได้อัตตัตถสมบัติ สิ่งที่เป็นสมบัติในใจของเรา เห็นไหม จิตที่มันเป็นสมาธิ มันก็มีความสุขความสงัดมีความร่มเย็นของมัน จิตที่มันออกฝึกหัดใช้ปัญญา มันเป็นธรรมะส่วนบุคคลๆ ธรรมะของใจดวงนั้น ถ้าใจดวงนั้นมีวุฒิภาวะรู้ได้ขนาดนี้

แล้วถ้ามีครูบาอาจารย์ เราเอาคุณธรรมของเราไปถวายท่าน เราปรึกษาท่าน นี่ครูบาอาจารย์ท่านรู้เลย สมบัติ อัตตัตถสมบัติ สมบัติของใจดวงนี้ มีสมบัติเท่านี้ แล้วสมบัติที่มันจะเพิ่มมากขึ้น นี่พิจารณาซ้ำพิจารณาซากน่ะ จากที่เรามีอัตตัตถสมบัติ มันพิจารณาไปมันพิจารณาซ้ำพิจารณาซาก เวลามันขาด อันนั้นไม่ใช่เรา เราไม่ใช่ขันธ์ ๕ ขันธ์ ๕ ไม่ใช่ทุกข์ ทุกข์ไม่ใช่ขันธ์ ๕ ถ้ามันไม่ใช่เรา แล้วเรารู้อะไร ถ้ามันไม่ใช่เรา เราเอาอะไรไปรู้มัน ถ้ามันไม่รู้ มันไม่รู้มันก็เป็นเรา เป็นเราเราก็หลง

เวลาเรามีสติปัญญาจิตสงบแล้วเราจับอาการของจิตพิจารณาได้ แล้วพิจารณาซ้ำแล้วมันปล่อย ตทังคปหานนี่มันไม่ใช่เรา แต่มันก็ไม่มีผลตอบสนอง พิจารณาซ้ำๆๆๆ จนมันขาด ขันธ์ ๕ ไม่ใช่เรา เราไม่ใช่ขันธ์ ๕ ขันธ์ ๕ ไม่ใช่ทุกข์ ทุกข์ไม่ใช่ขันธ์ ๕ มันสลัดทิ้ง จิตมันรวมลง จิตมันรวมลงมันปล่อยหมด พอมันปล่อยหมดนี่สังโยชน์มันขาด ถ้ามันขาดไป ขาดไปนี่แล้วมันเหลืออะไร สิ่งที่เหลือมันคืออกุปปธรรม อกุปปธรรม สิ่งนี้มันเป็นความจริง ถ้าเป็นความจริง ความจริงเกิดจากไหน ความจริงเกิดจากใจ

เวลาใจของเรานะ เวลาเราทำความสะอาดบ้านเรือนของเรา บ้านเรือนของเรามันสกปรก เราทำความสะอาดของเราเป็นชั้นเป็นตอนขึ้นมา นี่โสดาปัตติมรรค โสดาปัตติผล สกิทาคามิมรรค สกิทาคามิผล อนาคามิมรรค อนาคามิผล เราทำความสะอาดบ้านเรือนของเรา ทำความสะอาดบ้านเรือนของเรา อนาคามิมรรค อนาคามิผล ว่างหมด เป็นเรือนว่าง ทำความสะอาดบ้านเรือนหมดแล้ว แล้วทำอะไรต่อไปล่ะ จะทำสิ่งใดต่อไป การจะทำต่อไป เห็นไหม ไอ้คนที่ทำความสะอาดมาน่ะ นี่จิตเดิมแท้นี้ผ่องใส จิตเดิมแท้นี้หมองไปด้วยอุปกิเลส อุปกิเลสความยึดมั่นถือมั่นในตัวมันเอง เราต้องทำความสะอาดบ้านเรือนของเราเข้ามา มันสะอาดเข้ามาเป็นชั้นเป็นตอน แล้วคนที่ทำความสะอาดนั้นน่ะ นี่เราจะทำอย่างไรให้ผู้ที่ทำความสะอาดนั้นให้ทำลายภพทำลายชาติ ต้นตอของมันไง คร่อมตออันนั้นอยู่ไง

นี่ตอของจิต ตอของใจ นี่ว่าใจสะอาดบริสุทธิ์ๆ มันทำความสะอาดเข้ามาเป็นชั้นเป็นตอนเข้ามา แล้วถ้ามันมีตัวตอ มันมีตัวใจอยู่นี่ จิตเดิมแท้นี้ผ่องใส จิตเดิมแท้นี่หมองไปด้วยอุปกิเลส มันยังมีตัวตนอยู่นี่ มันมีสิ่งที่มารมันจับต้องได้นี่ แล้วมันจะทำอย่างไร ถ้ามันทำอย่างไรนี่ ถ้าเรามีครูมีอาจารย์มันจะย้อนกลับมา นี่อนาคามิมรรค อนาคามิผล อรหัตตมรรค อรหัตตผล อรหัตตมรรคนี่สิ่งที่มันละเอียดบริสุทธิ์มันตามความเป็นจริง นี่มันเป็นความจริง ความจริงในการประพฤติปฏิบัติ มันไม่ใช่เป็นความจริงโดยการให้ชื่อให้นาม

การให้ชื่อให้นาม องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้เองโดยชอบ พุทธะ พุทโธ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เขายกย่องสรรเสริญ สิ่งนี้มันก็เป็นการยกย่องสรรเสริญของสามโลกธาตุ แต่ความเป็นจริงสิ่งนี้เป็นสมมุติทั้งนั้น สมมุติบัญญัติๆ มันมีมา มีชื่อมีนามกันมาตลอด แต่ความจริงในใจอันนั้นน่ะ ความจริงในธรรมธาตุอันนั้น ความจริงในสิ่งที่ทำลายตออันนั้น ถ้ามันทำสิ่งอันนั้น มันเป็นความจริง

การให้ชื่อให้นามก็เป็นอันหนึ่งนะ เราศึกษาชื่อศึกษานาม ถ้าเรามีการให้ชื่อให้นามกันมา ก็เป็นการให้ชื่อให้นามมาในทางโลก การให้ชื่อให้นามมาเป็นมงคลชีวิตใน มงคล ๓๘ ประการ ธมฺมสากจฺฉา เอตมฺมงฺคลมุตฺตมํ การให้ชื่อให้นามกันมาก็เพื่อการศึกษาแลกเปลี่ยนเพื่อความเข้าใจในสัจธรรม ถ้าการศึกษาแลกเปลี่ยนในสัจธรรมนั้นเป็นมงคลชีวิต การสนทนาธรรมเป็นมงคลอย่างยิ่ง การสนทนาธรรมโดยการประพฤติปฏิบัติของเรา เรามีคุณธรรมสิ่งใด เรามีสติมีสมาธิมีปัญญาระดับไหน เราสนทนาธรรมกันเพื่อแยกแยะ เพื่อความดีงามของเรา

วันนี้วันมหาปวารณา ใครมีสิ่งใดเป็นประโยชน์ สิ่งนั้นจะเป็นประโยชน์กับเรา เราจะปวารณากันด้วยจิตที่เป็นกุศล สิ่งใดที่มันผิดพลาด สิ่งใดที่เป็นการกระทำของคน นั่นมันแล้วแต่เขา เขามีสติมีปัญญาได้แค่นั้น

ถ้าเขามีสติมีปัญญาแค่นั้น เหมือนเด็ก เราจะสอนความรู้ที่สูงส่งให้กับเด็ก เด็กยังรับไม่ได้ แต่เด็กถ้ามันโตขึ้นมา มันอยากรู้อยากเห็นของมัน นี่เด็กเวลามีการศึกษาไม่ขวนขวาย เวลาโตขึ้นมาเขาต้องใช้แรงงานเพื่อดำรงชีวิตของเขา เด็กถ้ามีการศึกษา เขามีการค้นคว้าของเขา เขาขวนขวายของเขา โตขึ้นมาเขาจะมีสติปัญญาของเขา เขาจะทำหน้าที่การงานของเขาด้วยประสบการณ์ความเป็นจริงของเขา

หัวใจของเราก็เหมือนกัน เราแสวงหาสิ่งใดของเรา ถ้าเราตั้งใจเพื่อทำความจริงของเรา เห็นไหม การให้ชื่อให้นามนั้นอย่างหนึ่งนะ การให้ชื่อให้นามของโลก โลกให้ชื่อให้นามกันมา นี่กระแสสังคมเรื่องของเขา มันเรื่องของเขา

ถ้าเรื่องของเราล่ะ เรื่องเรานี่ความลับไม่มีในโลก จิตนี้มันรู้ สุขก็รู้ว่าสุข ทุกข์ก็รู้ว่าทุกข์ มีก็รู้ว่ามี ไม่มีก็รู้ว่าไม่มี มันเป็นความจริงของมัน มันไม่ใช่เป็นการให้ชื่อให้นาม มันเป็นปัจจัตตัง มันเป็นสันทิฏฐิโก มันเป็นสมบัติของเรา เราพยายามหาสมบัติอันนั้นเพื่อเป็นอัตตัตถสมบัติของเรา เอวัง