ดี-ชั่ว
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
เทศน์พระ วันที่ ๑๗ พฤศจิกายน ๒๕๕๖
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี
ตั้งใจฟังธรรม สัจธรรมเตือนหัวใจนะ ก่อนเข้าพรรษา ก่อนเข้าพรรษาเราเตรียมตัวกันเพื่อจะเข้าพรรษา เข้าพรรษามาเห็นไหมเราตั้งสัจอธิษฐานเพื่อจะประพฤติปฏิบัติ นี้ออกพรรษาแล้วเราจะต้องเที่ยววิเวกกันไป ถ้าเราเที่ยววิเวกกันไปเห็นไหม เราต้องสำนึกตัวเราว่าเราเป็นพระ ความสำนึกนี่สำคัญมากเลย ถ้ามันสำนึกว่าเราเป็นพระนะจะทำสิ่งใดนี่มันไม่ทำแบบโลกไง
ถ้าไม่สำนึกความเป็นพระมันเหมือนโลกไง ดูสิ เวลาฆราวาสเขาจะมาบวชเห็นไหม สามเณรกว่าจะบวชได้ ถ้าไล่กาได้ไง ถ้าไล่กา กามันมากินข้าวตากแห้ง มันเข้ามาวุ่นวาย ถ้าเด็กไล่กาได้นั้นบวชเณรได้ แต่เวลาจะบวชพระเห็นไหม ต้องอายุ ๒๐ ถ้าอายุ ๒๐ บวชขึ้นมานี่เห็นไหม บรรลุนิติภาวะ บรรลุนิติภาวะนี่มีความเข้าใจ มีสติปัญญาแบ่งแยกผิดถูกได้ ดีชั่วแบ่งแยกได้ ถ้าแบ่งแยกดีชั่วได้เห็นไหม
เวลาบวชเข้ามายกเข้าหมู่มาแล้ว เวลาจะมาเป็นปะขาว เวลาหลวงปู่เสาร์หลวงปู่มั่นนะ ท่านให้เป็นปะขาวนี่ ๓ ปี ๔ ปี ๓ ปี ๔ ปีเพราะอะไร เพราะว่าต้องฝึกหัดนิสัย ถ้าฝึกหัดนิสัยหลวงตาท่านบอก เวลาเป็นปะขาว เวลาเราดูแลเขานี่มันสั่งสอนง่าย เวลาบวชเป็นพระขึ้นมาแล้วเห็นไหม ศีลเสมอกัน ๒๒๗ เท่ากัน ถ้าศีลเสมอกัน ทิฏฐิมันไม่เสมอกัน ความเป็นอยู่มันยังมีความขัดแย้งกัน
ถ้ามีความขัดแย้งกัน นี่ไงสัปปายะ ๔ หมู่คณะเป็นสัปปายะ ถ้าหมู่คณะไม่เป็นสัปปายะ มันก็กระทบกระเทือนกัน ถ้ามันกระทบกระเทือนกันเห็นไหม การประพฤติปฏิบัติมันจะมาจากไหนล่ะ เวลาเราอยู่ด้วยลำพังของเรา จิตใจของเรา เรายังควบคุมดูแลจิตใจของเราได้ยาก แล้วถ้ามีการกระทบกระทั่งกันเห็นไหม ลิ้นกับฟันๆ ลิ้นกับฟันมันอยู่ด้วยกันมันยังขบกัน
นี่ก็เหมือนกัน ถ้าหมู่คณะเป็นสัปปายะ เราอยู่ที่ไหนปฏิบัติเป็นสัปปายะเราจะหลบหลีกปลีกตัวเราเพื่อเร่งความเพียรของเราได้ ถ้าเราจะเร่งความเพียรของเราได้เห็นไหม เราบวชมาเป็นพระ งานของพระคืองานประพฤติปฏิบัติ การประพฤติปฏิบัติแต่ชีวิตของเราเห็นไหม ชีวิตเราบวชมา ๕ พรรษา ๑๐ พรรษา ๒๐ พรรษาไป ชีวิตของเรานี้จะอาวุโสไปข้างหน้า ถ้าอาวุโสไปข้างหน้า ถ้าเรามีจุดยืนของเรา เรามีหลักเกณฑ์ของเรา เราพยายามทำหัวใจของเรา
ถ้าหัวใจของเรานี่นะมันมีหลักเกณฑ์ขึ้นมาเห็นไหม มันอยู่ที่ไหนมันก็ไม่เดือดร้อนจนเกินไปนัก คำว่าเดือดร้อนเกินไปนักนะ มันคิดอดีตอนาคตไง สิ่งที่อดีตมันก็ผ่านมาแล้ว เราก็เสียดายเวลาที่เป็นอดีตที่ผ่านมา ที่ว่าเราทำประพฤติปฏิบัติมา ถ้าจิตมันเคยสงบมาเห็นไหม เราก็อาลัยอาวรณ์ถึงสิ่งนั้น สิ่งที่มันกระทบกระเทือนมามันบาดหมางมาในหัวใจเราตลอดไป
อนาคต อนาคต-สมบัติบ้า สมบัติบ้ายังมาไม่ถึงเห็นไหม สมบัติบ้ายังมาไม่ถึงในปัจจุบันเราทำให้ดีที่สุด ฉะนั้นถ้าเราออกวิเวกขึ้นไปที่ไหน ถ้ามันเป็นที่ประพฤติปฏิบัติเพื่อเรา เราพยายามจะหาที่วิเวกเพื่อรักษาหัวใจของเรา เวลาครูบาอาจารย์ท่านให้ออกไปเที่ยววิเวกนะ เวลาพระผู้ที่ออกไปวิเวกแล้วกลับมา ท่านจะถามว่า "กลับมานี่ได้ธรรมะมาหรือได้ยาเสพติดมา"
ได้สัจธรรมมาคือไปวิเวกที่ไหนแล้วเรามีที่สงบสงัดที่เราประพฤติปฏิบัติขึ้นได้ พอมีจิตใจของเรา เพราะการอยู่คุ้นชินกับที่ใดแล้วนี่มันอืดอาด มันเฉยชา มันอืดอาด มันไม่ตื่นตัว เราวิเวกไปเพื่อความตื่นตัวของใจ ฉะนั้นไปวิเวกที่ไหนมา ภาวนามานี่มีสิ่งใดมาฝากกันบ้าง ถ้ามีสิ่งใดมาฝากกันบ้าง นั่นไงมีคุณธรรมมา
แต่เวลาถ้าเราออกไปแล้วเห็นไหม สิ่งใดไปเห็นสภาพแวดล้อมต่างๆ ไปดูที่นั่นเป็นอย่างนี้ ที่นี่เป็นอย่างนี้เห็นไหม ท่านบอกว่า "นั่นได้ยาเสพติดมา" ได้ยาเสพติดมานะ แล้วเวลาไปวิเวก ถ้าไปที่ใดมามันฝังใจนะ ประสบการณ์ของใจ แต่ถ้าสิ่งใดที่มันขัดแย้งใจมา สิ่งนั้นมันจะฝังใจ ถ้ามันฝังใจนี่ ฉะนั้นถ้าเรามีสำนึก เราเลือกไม่ได้ เห็นไหม
จิตของเราเวียนตายเวียนเกิดนี่เราเลือกเกิดไม่ได้ เวลาคนเกิดนี่เราเลือกเกิดไม่ได้ ตายเราก็เลือกไม่ได้ ไม่รู้ว่าจะตายวันใด แต่ถ้าเรามีสติมีปัญญาขึ้นมาเห็นไหม เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะนิพพาน "ภิกษุทั้งหลาย เธอจงพิจารณาสังขารด้วยความไม่ประมาทเถิด เราจะไม่ประมาทชีวิตของเรานะ นี่เราต้องมีสติปัญญาไง
สติปัญญาเห็นไหม สามเณรน้อย เวลาจะบวชเห็นไหมไล่กาได้ กามันมารบกวน ไล่กาได้ ถ้าเรามีอายุจนบรรลุนิติภาวะ เราจะแยกดีแยกชั่วได้ แต่สิ่งใดเป็นความดีล่ะ ความดีถ้าเรามีสำนึกความดีของเรา ความดีของโลกเขา ความดีของโลกเขาเขาก็แสวงหาเพื่อสมบัติพัสถานของเขา เขาทำคุณงามความดีของเขาเห็นไหม เขาก็หวังพึ่ง เขาก็หวังพรหม หวังสวรรค์ของเขา หวังคุณงามความดี เขาก็ทำบุญของเขา
เราเป็นพระศากยบุตรพุทธชิโนรสเห็นไหม ความดีของเราล่ะ ความดีของเราเห็นไหม ดูสิ เวลากำหนดพุทธานุสสติเห็นไหม อานาปานสติ เรากำหนดของเรามันเป็นงานของใจๆ ไง งานชอบ เวลาบอกว่ามรรค ๘ งานชอบ ถ้างานชอบ งานมีสติ มีคำบริกรรม มีปัญญาอบรมสมาธิที่ชอบ ถ้ามีความชอบธรรมเห็นไหม ถ้ามันชอบธรรม นี่ความดีความชั่ว เราแบ่งดีแบ่งชั่วถูกไง ถ้าแบ่งดีแบ่งชั่วไม่ถูกเราจะภาวนาอย่างไร
คนเรามันจะรู้ดีรู้ชั่ว ใครๆ ก็ชอบความดีทั้งนั้น ใครไม่ชอบความชั่ว ใครไม่ชอบความไม่ดี ถ้าความไม่ดีขึ้นมานี่ สิ่งที่ไม่ดีขึ้นมาเราก็ไม่ต้องการในหัวใจของเรา ฉะนั้น ที่ไหนที่มันเป็นดีหรือไม่ดี มันเป็นเรื่องส่วนประกอบ เป็นเรื่องภายนอก ถ้าเรื่องภายนอกเราหาเอง เราไปเอง ถ้าเราหาเองเราไปเอง เราต้องคัดเลือกแยกแยะของเราเอง ถ้าเราคัดเลือกของเราเองเห็นไหม เวลาดีและชั่วข้างนอก กับดีและชั่วในหัวใจของเรา
ถ้าดีและชั่วในหัวใจของเราเห็นไหม ดูสิ ฆราวาสของเขา เขาเริ่มมีจิตใจเป็นสาธารณะ เขาอยากจะทำบุญกุศลของเขา นั่นก็ว่าเป็นความดีของเขา ของเราก็เหมือนกัน ของเราเห็นไหม เราเห็นภัยในวัฏฏะสงสาร เรามาบวชเป็นพระนะเราจะออกจากวัฏฏะ เป็นวิวัฏฏะ ออกจากวัฏฏะออกไปที่ไหนล่ะ ถ้าไปออกที่ไหนเห็นไหมดูสิ มีการมหรสพที่ไหนก็แล้วแต่จบรอบของเขา เขาก็จบรอบของเขา
นี่ก็เหมือนกัน เราออกจากวัฏฏะ วนรอบของวัฏฏะ แล้วเราจะออกอย่างไร ถ้าเราจะออกของเราเห็นไหม ความดีความชั่วมันดีชั่วที่นี่ ความดีดีของใคร ถ้าดีของโลกก็เป็นอย่างหนึ่ง ถ้าดีของพระเห็นไหม ดูพระที่เขาบวชมา เขาเรียนปริยัติ มาบวชแล้วต้องมีการศึกษา เพราะถ้าไม่มีการศึกษาจะปฏิบัติไม่ได้ เขาเรียนของเขาเห็นไหมเขาก็สอบได้นักธรรมตรี นักธรรมโท นักธรรมเอก เวลาเขาได้เปรียญธรรมประโยคสองประโยคขึ้นไปเรื่อย นั่นก็ความดีของเขา
ความดีของเขานี่ เขาไปศึกษาจดจำธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามา ทางวิจัยเขาบอกว่า เขาทำวิจัยการศึกษานี่มันยากนะ กว่าจะสอบได้แต่ละขั้นแต่ละตอนนี่ไม่ใช่ของง่ายหรอก
ใช่ ไม่ใช่ของง่าย!
การศึกษามาก็ศึกษาธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่เวลาเราปฏิบัติล่ะเห็นไหม ปริยัติ ปฏิบัติ เรามาปฏิบัติของเรา ความดีของเราล่ะ ความดีของเรานี่มันหักล้างกันเลยล่ะ มันหักล้างหัวใจเราเลยนะ!
สิ่งที่มันดิ้นรนในใจนี่เราจะหักล้างด้วยสติปัญญาของเรา งานมันยากกว่าปริยัติหลายๆ เท่านัก ว่าการเรียนปริยัติยากไหม? ยาก การศึกษาทางวิชาการเห็นไหม ดูสิทางโลกเขา เขามีลูกมีเต้าเขาก็ส่งไปเรียนเมืองนอก เขาอยากได้ภาษา เขาอยากได้วิชาการของเขา เวลาจบมาแล้วเห็นไหมก็ต้องสมัครงาน ฝึกงานที่เมืองนอกก่อน ฝึกงานเมืองนอกเสร็จแล้วก็กลับมา กลับมาก็มาฝึกงาน สมัครงาน ทำงาน เขาก็ต้องฝึกของเขา
ดูสิพ่อแม่ส่งไปเรียนก็เพื่อการศึกษาต้องมีปัญญาทั้งนั้นล่ะ ปัญญาอย่างนั้นมันเป็นโลกียปัญญา ปัญญาวิชาชีพ วิชาชีพมีสติมีปัญญา มีองค์ความรู้แล้ว แล้วมาประกอบวิชาชีพของเรานี่ประสบความสำเร็จไม่ประสบความสำเร็จนั่นอีกเรื่องหนึ่ง แต่ของเราเห็นไหม เราเกิดมานี่ เราก็มีชีวิตเหมือนกัน เกิดมามีชีวิตเหมือนกัน เห็นภัยในวัฏสงสาร เห็นโลกความเดือดร้อนของโลก ถ้าเห็นความเดือดร้อนของโลก เราเสียสละแล้ว เราทิ้งเรื่องโลกมาแล้ว เห็นไหม โลกกับธรรมอยู่ด้วยกัน
ดูสิ เราบริษัท ๔ ภิกษุกับฆราวาสเขาก็อยู่ด้วยกัน แต่เราเป็นพระ เราไม่ใช่ฆราวาส ถ้าเราเป็นพระนะ ถ้าเป็นพระนี่เรามีศีล มีข้อวัตรปฏิบัติ มันมีสิ่งใดที่บังคับเรา ถ้าบังคับเรา เราใช้สิทธิของเราตามธรรมวินัยของเรา ถ้าเขาเห็นต่าง เขาไม่เห็นดีเห็นงามด้วย เขาติเขาเตียน คนที่ใจเขาเป็นธรรมเขาเห็นแล้วเขาชื่นชมของเขา นั่นก็เป็นบุญของเขา เราก็มีอำนาจวาสนาว่าได้พบคนอย่างนั้น แต่ถ้าเขาเป็นคนที่จิตใจเขาต่ำทราม จิตใจเขาไม่เห็นดีเห็นงามด้วย เขาบอกว่าเป็นพระทำไมมันยุ่งยากขนาดนั้น เป็นพระทำไมมันวุ่นวายขนาดนั้น เป็นพระเขาให้ปล่อยวางแล้วก็ปล่อยวางให้หมดเถอะ เห็นไหม นี่ความดีของเขา เพราะเขาต้องการความสะดวกสบาย
แต่ของเราไม่เป็นอย่างนั้น สิ่งที่ว่าให้ปล่อยวางๆ ปล่อยวางแบบกิเลส ดีและชั่วเราแบ่งแยกไม่เป็นเหรอ เราทำมาแล้วเห็นไหม เราทำมาแล้วดูสิ กษัตริย์สมัยสมบูรณาญาสิทธิราช คำพูดของกษัตริย์เป็นกฎหมายเป็นข้อบังคับหมดเลย นี่ก็เหมือนกัน เราบวชมาเป็นพระ คำพูดขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าธรรมวินัยที่ได้แสดงไว้เป็นข้อบังคับ ผิดทั้งนั้นเลย ผิดธรรม ผิดวินัย
ถ้าเป็นวินัย เราผิดวินัยเห็นไหม เราผิดวินัยก็เป็นอาบัติ ถ้าผิดธรรมล่ะ วินัยไม่ผิด วินัยไม่ผิดแต่มันผิดธรรม เพราะธรรมมันกว้างขวางกว่า กว้างขวางกว่าอย่างไร ดีชั่วนี่ไง ความดีความชั่วนี่เป็นธรรม แล้วความดีความชั่วของใคร ดีชั่วของโลกก็เป็นเรื่องหนึ่งนะ ถ้าดีชั่วของโลกมันเป็นเรื่องของโลกเขา ถ้าดีชั่วของเราล่ะ ถ้าดีชั่วของเราเห็นไหม ถ้ามีสติมีปัญญาขึ้นมา เห็นไหม "ธรรมทั้งหลายมาแต่เหตุ" ถ้ามีสติปัญญาขึ้นมา ถ้าเรามีสติ เราใช้คำบริกรรม ใช้ปัญญาอบรมสมาธิ มันปล่อยวางเข้ามาๆ ที่เราแสวงหากัน เราออกวิเวกกัน เราปฏิบัติกันมันก็หวังตรงนี้
ความดีความชั่วของโลกเขา เราก็เป็นโลกเหมือนกัน เราเกิดมามีพ่อมีแม่ พ่อแม่ทำให้เราเกิดมาเห็นไหม เรามีหน้าที่การงานมา เราทำงานมา เราก็อยู่กับโลกเขามานั่นน่ะ โลกเขาเขาก็อยู่ในใต้กรอบของกฎหมาย ถ้าไม่ทำผิดกฎหมายเขาก็ทำได้ เพราะมันไม่ผิดกฎหมาย แต่เห็นไหม เวลาเราเห็นภัยในวัฏสงสาร เราทิ้งนั้นมา
มนุษย์เห็นไหม เขาบอกความเป็นมนุษย์ มนุษย์ต้องมีอาหารการกินทั้งนั้น แล้วเราเป็นพระทำไมไม่เห็นโทษของมัน เห็นโทษของปัจจัยเครื่องอาศัย แล้วเราไม่ใช่เห็นโทษของปัจจัยเครื่องอาศัย แต่เรามีสติปัญญาเพื่อจะให้ตามทันหัวใจของเรา เพราะหัวใจของเราเห็นไหมดูสิ กิเลสมันครอบงำอยู่ กิเลสตัณหาความทะยานอยากมันครอบงำหัวใจนี้ แล้วมันบังคับขู่เข็ญ ให้ไปตามอำนาจของมัน เราไม่มีสติปัญญาที่จะต่อสู้กับมันได้ เราถึงต้องอดนอนผ่อนอาหารมาเพื่อบรรเทามันไง เพื่อบรรเทาไม่ให้มันเข้มแข็ง ไม่ให้มันมีกำลังจนเกินไป
เพราะไม่มีกำลังจนเกินไปจนมีอำนาจเหนือจิตใจของเราเห็นไหม เราทำเพื่อเหตุนั้น ไม่ใช่ว่าเราเห็นภัยเห็นโทษของมันหรอก แล้วมันเป็นโทษๆ มันเป็นโทษต่อเมื่อคนที่ไม่มีสติปัญญาใช้มัน แต่นี้เรามีสติมีปัญญาเห็นไหม เราทำสิ่งที่เหนือกว่า ทำสิ่งที่เป็นประโยชน์กับหัวใจของเรา ดีชั่วที่อีกระดับหนึ่ง ความดีความชั่วมันมีหลายชั้นนะ ถ้ามันแบ่งดีแบ่งชั่วไม่เป็น มันก็ไปกับเขาเลย นี่ปล่อยวางแล้ว ปล่อยวางแล้วมันก็ขี้ลอยน้ำไปกับโลกเขาเลย เราไม่ได้ปล่อยวางแบบนั้น เราปล่อยวางตัณหาความทะยานอยากในใจต่างหากเห็นไหม
รูป รส กลิ่น เสียงเป็นบ่วงของมาร เป็นพวงดอกไม้แห่งมาร รูป รส กลิ่น เสียงอันวิจิตรไม่ใช่กิเลส มันไม่ใช่กิเลส แต่เพราะว่า รูป รส กลิ่น เสียงเป็นบ่วงของมาร เป็นพวงดอกไม้แห่งมาร เพราะกิเลสมันอาศัยสิ่งนี้ อาศัยสิ่งที่ว่า รูป รส กลิ่น เสียง มาล่อมาลวงมาหลอกหัวใจของเราไง ถ้ามาล่อมาลวงหัวใจของเรา ถ้าเราไม่มีสติปัญญาเราแยกผิดแยกถูกไม่ได้ มันก็ไหลตามมันไป ถ้าเรามีสติปัญญาเห็นไหม รูป รส กลิ่น เสียง ทุกคนก็ใช้สอย
โลกเห็นไหม ดูสิ สิ่งที่ว่าเรื่องเสียง รูปต่างๆ เสียงต่างๆ รสต่างๆ เขาเอามาเป็นอาชีพของเขา ดูสิอย่างสื่อสารมวลชนเขาก็อาศัยสิ่งนี้มาเป็นวิชาชีพของเขา มันเป็นวิชาชีพเป็นอาชีพของเขาได้เลยล่ะ แล้วของเรานี่เราเอามาใช้ประโยชน์กับเราได้ไหมล่ะ ถ้าจะเอาประโยชน์กับเรา ประโยชน์อย่างไร
ถ้ามีสติปัญญาเห็นไหม ความดีอย่างหยาบๆ แล้วถ้ามันดีละเอียดขึ้นไปล่ะ ดีละเอียดขึ้นไปนี่มันมีสติปัญญามันปล่อยวาง แล้วปล่อยวาง คนที่ไม่เคยทำความสงบของใจ คนที่ไม่มีหลักใจนะมันสงบหรือไม่สงบมันก็เป็นชื่อ พอเป็นชื่อเราก็คาดหมายไปมันก็เท่ากัน คาดหมายจากเรา คาดหมายจากโลกียปัญญา คาดหมายไปจากหัวใจดิบๆ นี่มันก็ได้แค่นี้ ทุกข์ก็ทุกข์อย่างนี้ ทุกข์นี่รู้ แต่เวลาถ้ามันสงบแล้วมันเป็นธรรมแล้วที่มันเป็นความสุขๆ เป็นอย่างไรมันไม่เข้าใจ
แต่ถ้าผู้ที่ทำได้ ผู้ที่ทำความสงบของใจเข้ามา ถ้าใจมันสงบเข้าไปเห็นไหม สิ่งนี้มันเป็นปัจจัตตัง เป็นสันทิฏฐิโก ใจที่มันรับรู้ได้มันสัมผัสสิ่งนี้ได้ มันสัมผัสสิ่งนี้ได้นี่มันมีความดีอีกชั้นหนึ่งไง ถ้ามีความดีอีกชั้นหนึ่ง มันมีพยานรู้เห็นในใจของเราใช่ไหม ถ้ามีความรู้เห็นในใจของเราเห็นไหม นี่ความดีอีกระดับหนึ่ง ความดีของธรรมๆ นะ ถ้าเราแยกดีแยกชั่วได้ ถ้าคนมันแยกดีแยกชั่วไม่เป็น แยกดีแยกชั่วไม่ได้เห็นไหม มันก็ยึดหลัก นี่โมฆบุรุษตายเพราะเหยื่อ โมฆบุรุษตายเพราะลาภ ถ้ามันมีลาภมีเหยื่อขึ้นมา นี่เขาสรรเสริญ เขายกย่อง แล้วก็ว่าอย่างนั้นถูกต้องๆ เราแยกดีแยกชั่วไม่ได้ เราแยกผิดแยกถูกไม่เป็น ถ้าแยกผิดแยกถูกไม่เป็น เราก็อาศัยสิ่งนั้น เพราะสังคมเขายกย่องสรรเสริญ ทุกคนเขาว่าดีงามใช่ไหม โลกเขาสรรเสริญน่ะ
นี่หลวงตาท่านพูดบ่อย "คนโง่มากหรือคนฉลาดมาก" โลกนี้มีแต่คนโง่มาก ถ้าคนโง่เขาติฉินนินทามันเรื่องของเขา แต่ถ้าคนฉลาดเขาพูดสิ แล้วนี่ก็เหมือนกันกระแสการโฆษณาชวนเชื่อ ถ้ากระแสโฆษณาชวนเชื่อเขาเห็นกันแบบนั้น แล้วเราไปอยู่ในสังคมแบบนั้นเห็นไหม ดีชั่วของใครล่ะ ดีชั่วของเขา เวลาเขาบอกเขาเป็นความดีของเขา เขาเห็นเป็นคุณงามความดีของเขา แต่ของเรามันผิดกับเรา เพราะเรามีศีลของเรา เรามีข้อวัตรปฏิบัติของเรา แล้วเราก็ต้องหลบหลีกของเราสิ เรามีสติปัญญาของเรา เราต้องหลบหลีกของเรา มันก็มาเกิดความน้อยเนื้อต่ำใจ
เราทำคุณงามความดี เราทำคุณงามความดีทั้งนั้นน่ะ ทำไมคุณงามความดีให้เป็นโทษกับเรา เราทำคุณงามความดีแล้วทำไมไม่เป็นประโยชน์กับเรา ทำไมเขาไม่เห็นดีเห็นงามไปกับเรา เขาจะเห็นดีเห็นงามไปกับเราได้อย่างไร ก็ความดีของเขามันคนละชั้นกันน่ะ ความดีของโลกเขา ถ้าชุมชนเขาเยอะ ชุมชนเขาใหญ่ มวลชนเขามาก เขาก็ว่าเขาถูกทั้งนั้นล่ะ แล้วมวลชนมันมีปัญญาแค่ไหน เห็นไหม ความสะอาดบริสุทธิ์ของแต่ละบุคคล ความสะอาดของคนมันเป็นเรื่องเฉพาะตน ถ้ามันเป็นเรื่องเฉพาะตน เราจะมีดีมีชั่วแค่ไหน เราจะเอาความดีอย่างไรของเรา ถ้าเราจะเอาความดีของเรา เราตั้งสติของเรา โลกเขาจะหวั่นไหว โลกเขาจะมีความแปรปรวนอย่างไร ถ้าเรามีสติปัญญาของเรา เรารักษาใจของเรา ถ้าใจของเรามันมีหลักมีเกณฑ์ขึ้นมาเห็นไหม
เราอยู่กับโลกนะ แม้แต่พฤติกรรมของเรานี่เขาสงสัยเอง เอ๊ะ ทำไมมันเป็นแบบนั้น ดูสิเวลาหลวงปู่มั่นท่านไปอยู่ทางภาคเหนือเห็นไหม พุทโธหายๆ ชาวบ้านเขาช่วยค้นหาเลยล่ะ เอ๊ ทำไมมาอยู่กันอย่างนั้น มาอยู่กันอย่างนั้น มาด้วยกิจการใด พอมาอย่างนี้แล้วคงจะมีลับลมคมในมาแน่นอนเลย ท่านก็อยู่ของท่านอย่างนั้นเห็นไหม
นี่ดีชั่วของใคร ถ้าดีชั่วกับสังคมเขา สังคมเขาก็ติฉินนินทา สังคมเขาไม่ไว้ใจ สังคมเขาไม่ไว้ใจ แต่หลวงปู่มั่นกับพระที่ไปด้วย ท่านบอกเห็นไหม ชาวบ้านเขามีความเข้าใจผิด เราจะไปไหนไม่ได้แล้วล่ะ เราต้องอยู่ที่นี่จนแก้ทิฏฐิของเขาให้ได้ก่อน ถ้าไม่แก้ทิฏฐิของเขาไป เวลาเขาตายไป เขาจะมีโทษมีกรรมของเขาไป ด้วยความเมตตาของท่านเห็นไหม ท่านอยู่ของท่านเห็นไหม แล้วความดีไง ฝนตกฟ้าร้องมาอยู่โคนไม้ จนเขามาพุทโธหายๆ จนเขามาฝึกหัดดัดแปลงของเขา นี่ความดีมันใกล้เคียงกันแล้ว
ถ้าความดีใกล้เคียงกันแล้วนี่ พอเขาเป็นจริงอย่างที่สัจธรรมเห็นไหม "ไม่หาย พุทโธหลวงปู่ไม่หาย พุทโธของพวกข้าพเจ้าต่างหากมันไม่มี" นี่มันน่าเศร้าใจมันน่าน้อยใจ ดูสิ เอาคนโง่มาจับผิดคนฉลาดไง แล้วมันก็จับผิดไม่ได้เห็นไหม แต่คนฉลาดเขาสอนไปมันพยายามยกขึ้นมาเห็นไหม พอยกขึ้นมาเขาก็พยายามพุทโธของเขา จนเขาเห็นจิตของเขาเอง เขาเอาจิตของเขาส่งมาดูจิตของหลวงปู่มั่น มันสว่างไสวไปหมด "พุทโธของตุ๊มันครอบโลกธาตุหมดเลย พุทโธของตุ๊มันไม่หาย เป็นความเซ่อของพวกผมต่างหากล่ะ"
มันเป็นความเศร้าใจเห็นไหม นี่แยกดีแยกชั่วเป็น ถ้าเราแยกดีแยกชั่วได้แล้วเห็นไหมดูสิ เขาสรรเสริญ เขาเคารพบูชาของเขา เวลาจะลาเขามา "ตุ๊ไปไหนๆ พวกข้าพเจ้าไม่มีปัญญาเลี้ยงดูเหรอ ถ้าตุ๊ตายไปข้าพเจ้าก็เผาศพให้ได้ ข้าพเจ้า..." ด้วยความรักด้วยความผูกพันเห็นไหม นี่มันเป็นความดีระดับหนึ่ง ดีและชั่ว
แต่หลวงปู่มั่นก็ต้องลากลับไป ที่มานี้ก็มาด้วยความจำเป็น มาด้วยความจำเป็นเพราะวิเวกมาเพื่อค้นคว้า เพื่อความวิเวกสงัดในหัวใจ นั้นพอทำถึงสิ่งเป็นประโยชน์แล้ว ประโยชน์ของชาวบ้านก็ได้แล้ว ประโยชน์ของชุมชนก็ได้แล้ว เพราะชุมชนหูตาสว่าง ชุมชนนั้นก็มีหลักมีเกณฑ์เพื่อประโยชน์กับชุมชนนั้น มันก็มีความจำเป็นต้องต่อเนื่องไปเพื่อชุมชนอื่นต่อไป
เห็นไหม ความดีของโลกเขา ความดีของสังคมเขา แต่ความดีของเราล่ะ ถ้าเรามีความดีของเรานะ เราจะมีสติปัญญา เราจะมีจุดยืนของเรา เราจะรักษาธรรมและวินัยของเรา เห็นไหม ศาสนทายาทๆ ถ้าเราทำของเรา ใจของเราเป็นธรรมขึ้นมาเห็นไหม มันจะเป็นศาสนทายาทที่ไหน ศาสนทายาทในหลักใจของเราไง ถ้าใจเรามีหลักมีเกณฑ์เห็นไหม คำว่ามีหลักมีเกณฑ์นี่มันรู้ที่มาที่ไป เรานี่ทุกคนสงสัยว่าเกิดมาจากไหน มาอยู่นี่อยู่เพื่ออะไร แล้วตายแล้วไปไหนไง
แต่ถ้าเรามีความสงบของใจเข้ามา จิตนี้มันย้อนเลย มันสงบเข้าไปมันเข้าไปถึงบุพเพนิวาสานุสสติญาณ เข้าไปถึงข้อมูลเดิมของมันมันเห็นได้ถึงว่าเรามาจากไหน แล้วอะไรทำให้มา ที่เกิดมานี่อะไรมันขับไสมา แล้วขับไสมานี่ทำไมมันขับไสมาด้วยความเป็นมนุษย์มีศักยภาพอย่างนี้ แล้วมนุษย์ในโลกนี้ ๗ พันล้าน ๗ พันล้านคนเขาใช้อาชีพของเขา เขาอยู่ของเขา แล้วเรานี่เราเสียสละมาทำไม
เราเสียสละมาดูสิ โกนหัวห่มผ้ากาสาวพัสตร์ โกนหัวแล้วนี่มันโกนหัวเป็นพระ แต่หัวใจมันยังไม่ได้โกน กิเลสมันยังมีเต็มหัวใจมัน เราจะมาดูแลที่นี่ ถ้าเราดูแลที่นี่เห็นไหม เกิดมาทำไมๆ เกิดมาแล้วมาบวชพระๆ นี่ พระเป็นผู้ประเสริฐๆ หัวใจมันประเสริฐไหม ถ้าหัวใจประเสริฐที่เราออกมาวิเวก เราอยู่ในที่พักของเรา เราทำเพื่ออะไรๆ เราทำเพื่อหาสัจจะหาความจริงในใจเรานะ
ถ้ามันมีสัจจะมีความจริงขึ้นมาเห็นไหม นี่ความดีอีกระดับหนึ่ง ถ้ามีความดีอย่างนี้ คนเรานะถ้าทำความสงบของใจได้ ใจมันจะสงบจะรักษานี่ดูแลแสนยาก หลวงตาท่านพูดบ่อย บอกว่าจิตมันเหมือนลิง วันนี้หมดกล้วยไปกี่หวี เอากล้วยให้ลิงกินนี่เพื่ออยากให้ลิงให้มันเชื่อง นี่ก็เหมือนกัน พุทโธ ปัญญาอบรมสมาธิ เราใช้สติปัญญามากน้อยแค่ไหน เราจะเอาลิงตัวนี้ให้มันสงบระงับได้ เอาลิงตัวนี้ให้มันนั่งนิ่งๆ อย่าให้มันวอกแวกวอแว นี่มันแสนยาก ถ้ามันแสนยากคนที่ทำได้อย่างนี้นะ เขาจะมีสติปัญญา เขาจะไม่คลุกคลี เขาจะไม่เร่ร่อน
การเคลื่อนไหวของเขามันจะมีสติปัญญา นี่ไง ตรงนี้สำคัญ เราอย่าเล่นกัน อย่าคลุกคลีกัน คลุกคลีกันจนเกินกว่าเหตุ มีแต่สุมหัวอยู่นั่นน่ะ เราคุยกัน ธมฺมสากจฺฉา เอตมฺมํคลมุตฺตมํ ใครปฏิบัติแนวทางไหน ใครตั้งสติอย่างใด ใครกำหนดอย่างใด ใครทำอย่างใด มีแนวทางอย่างใด เราคุยกัน เราคุยกัน ผู้พูดแล้วจบแค่นี้ คนที่เขาฟังเขาจะเชื่อไม่เชื่อเป็นสิทธิของเขา ไม่ใช่เราพูดสิ่งใดแล้วเราจะให้เขาเชื่อเราไปทั้งหมด เขาจะเชื่อไม่ได้
ความสะอาดบริสุทธิ์ ความบริสุทธิ์ของใจแต่ละดวงใจเป็นของบุคคลจำเพาะตน เป็นจำเพาะตน ถ้าเราปฏิบัติของเราดี ธมฺมสากจฺฉาฯ ถ้าทำของเราถูกต้องดีงาม ถ้าเขาฟังของเขา เขาต้องได้อุบายของเขา เขาจะเป็นประโยชน์กับเขา ถ้าเป็นประโยชน์กับเขา นี่เป็นมงคลชีวิต มงคลแห่งปฏิบัติ พระกรรมฐานๆ ธรรมสากัจฉา เวลาคุยกัน เวลาสนทนาธรรมๆ มันเป็นประโยชน์อย่างนี้ไง ถ้าเป็นอย่างนี้เราจะคุยกันสนทนาธรรมกันเป็นครั้งเป็นคราว
แล้วเรื่องของเขา สิทธิของเขา ไม่ใช่ว่าเราสนทนาธรรมแล้วต้องอย่างนี้ๆ "ต้องอย่างนี้" ครูบาอาจารย์ท่าน "ต้อง" อยู่แล้ว หลวงปู่มั่นน่ะ "ต้อง" อย่างเดียวเลย ไม่มี "จะ,หรือ" เป็นไปไม่ได้ เวลาทำความสงบของใจ ใจจะสงบเข้ามา สงบแล้วมันยกขึ้นวิปัสสนาอย่างไร ถ้ามันไม่สงบ สิ่งที่เกิดขึ้นมาเป็นโลกียปัญญาทั้งหมด สูงส่งที่สุดก็เป็นปัญญาอบรมสมาธิ แม้ในตรึกของธรรม ตรึกในธรรมๆ ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเอามาตรึกในธรรม แล้วมันสังเวชนะ มันธรรมสังเวช สังเวชแล้วมันรำพึงรำพันขึ้นมานี่มันสังเวช นั่นน่ะมันตรึกในธรรม
ถ้ามันตรึกในธรรม สิ่งที่ตรึกในธรรมขึ้นมา ถ้ามันสูงสุดมันก็เป็นปัญญาอบรมสมาธิ ถ้ามันปัญญาอบรมสมาธิขึ้นมา ถ้าจิตมันไม่ยกขึ้นสู่วิปัสสนา มันเป็นวิปัสสนาอย่างไร เรามีครูมีอาจารย์ ครูบาอาจารย์ของเราคอยสั่งสอนเรา ถ้าสั่งสอนเราเรายึดหลักนั้นไว้ แล้วเราประพฤติปฏิบัติของเราให้ได้ แล้วเวลาเราคุยกันในหมู่คณะ เวลาเราปฏิบัติขึ้นมานี่ธมฺมสากจฺฉา เอตมฺมํคลมุตฺตมํ สนทนาธรรม
สนทนาธรรม ถ้ามันเป็นความดีนะ มันเป็นมงคล แต่ถ้ามันเป็นพาลนะ มันเป็นความชั่ว ธมฺมสากจฺฉา มันกลายเป็นหมากัดกัน เวลาหมามันกัดกันมันแข่งขันกัน มันจะเอาดีแข่งขันกัน หักล้างกันด้วยทิฏฐิมานะ อันนั้นมันเป็นความชั่ว ถ้าคุยกันอย่างนั้นไม่เป็นประโยชน์เห็นไหม เวลาอยู่ด้วยกัน สิ่งใดที่เป็นสัปปายะ ๔ หมู่คณะเป็นสัปปายะไง ความทิฏฐิเสมอกัน ความเห็นเสมอกัน ความเสมอกันมันมีเหตุมีผลเหมือนกัน ถ้ามันไม่เสมอกันมันต่ำกว่าสูงกว่า มันขัดแย้งกันเห็นไหม นั่นน่ะหมากัดกัน หมากัดกันน่ะเถียงกันปากเปียกปากแฉะ แล้วเถียงกันทำไม
นี่ความสะอาดบริสุทธิ์ของใจของเขาคือของเขา ของเราก็ของเรา ถ้าของเราทำได้จริงจะต้องไปแคร์สิ่งใด ของเราเป็นความจริงมันก็จริงในใจของเราสิ ถ้าของเขาเป็นจริงขึ้นมา มันก็จริงในใจของเขา แล้วครูบาอาจารย์ก็มี ถ้าครูบาอาจารย์ท่านวินิจฉัยของท่านเอง แล้วผู้ปฏิบัติก็เหมือนกัน มีครูมีอาจารย์ ถ้าเราไม่ทดสอบในใจของเรา ไม่เอาใจของเรามาตีแผ่ขึ้นมาให้เป็นมงคลกับชีวิตของเรา เอามันมาหมักหมมไว้
ถ้ามันตกภวังค์ ถ้ามันไม่เป็นสัมมาทิฏฐิ ถ้ามันกึ่งอยู่ มันไม่ก้าวเดินหน้าต่อไป มันมีแต่เสื่อมอย่างเดียว มันมีแต่ถอยอย่างเดียว มันก็เป็นอำนาจวาสนาของเขา ถ้าเขาเก็บของเขาไว้ในใจ เขาเก็บไว้อย่างนั้นมันก็เป็นผลของใจของเขา นี่ความสะอาดบริสุทธิ์ ความดีความชั่วมันก็เป็นเฉพาะบุคคล เฉพาะใจดวงนั้น ถ้าใจดวงนั้นเป็นอย่างนั้นมันก็เรื่องใจของเขาใช่ไหม แต่ถ้าใจของเราล่ะ
เราต้องดูแลใจของเรา แบ่งดีแบ่งชั่วให้เป็น ถ้าแบ่งดีแบ่งชั่วได้ เรารู้จักดีรู้จักชั่ว ถ้าเราไม่รู้ดีรู้ชั่ว แม้แต่สามเณรน้อยไล่กาได้นะ ไล่กาได้คือปกป้องดูแลของของสงฆ์ได้ ไล่กาได้คือทำคุณประโยชน์กับสงฆ์ได้ นั่นน่ะให้บวชได้ แล้วเราบรรลุนิติภาวะ เรามีการศึกษา ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเห็นไหม เราก็ศึกษาในนวโกวาทก็มี วินัยมุขก็มี บุพสิกขาก็มี พระไตรปิฎกก็มี สิ่งนี้เราศึกษาได้ แต่มันดีชั่วของใครล่ะ กิเลสของใครชอบสิ่งใด มันก็ว่าสิ่งนั้นดีของมันเห็นไหม มันก็ตีความของมันไป ถ้ามันตีความของมันไป ดีชั่วของใคร
ถ้ากิเลสในหัวใจมันชอบอย่างนั้น มันดีอย่างนั้น มันก็สุมหัวอยู่อย่างนั้น แล้วมันก็ไม่ก้าวเดินของมัน ถ้าไม่ก้าวเดินของมันเพราะสัจจะมีอันเดียว จะศึกษามาขนาดไหน เวลาปฏิบัติขึ้นมาถ้าจิตมันสงบจิตมันระงับขึ้นมา มันรู้จริงของมันเห็นไหม มันซาบซึ้ง ถ้ามันซาบซึ้งขึ้นมาเห็นไหม นี่เราทำมาได้อย่างนี้ เรามีสติปัญญา เราเดินจงกรมนั่งสมาธิภาวนา เราอดนอนผ่อนอาหารมาอย่างไร แล้วจิตมันลงอย่างไร
ถ้าจิตมันลงแล้วนี่เราจำสิ่งสภาวะแบบนี้ไว้ แล้วเราก็พยายามทำต่อเนื่อง ทำให้มันดีขึ้นมา ถ้าจิตมันสงบต่อเนื่องๆ จนเป็นหลักได้ จิตตั้งมั่นๆ จิตตั้งมั่นแล้วพอมันออกรับรู้ของมันเห็นไหม มันเห็นกาย เห็นเวทนา เห็นจิต เห็นธรรม มันเห็นของมันมันสะเทือนมากถ้าเห็นตามความเป็นจริง เพราะเห็นตามความเป็นจริง มันสั่นไหวกิเลสไง กิเลส ทุกคนอยากค้นหากิเลสจะฆ่ากิเลส ทุกคนอยากชำระล้าง แล้วกิเลสมันคืออะไรล่ะ สังโยชน์ๆ จะไปฆ่าสังโยชน์
มันก็เหมือนผ้านี่ ผ้านี่เขาเอามาตัดเย็บเป็นอะไรล่ะ นี่ก็เหมือนกัน สังโยชน์ๆ แล้วสังโยชน์มันเป็นอย่างไร สักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาส มันยึดมั่นอย่างไร มันยึดมั่นของแต่ละจริตนิสัยของมันก็ไม่เหมือนกัน ถ้าใครพิจารณาไปเห็นกาย เห็นเวทนา เห็นจิต เห็นธรรมตามความเป็นจริง แยกแยะมันตามความเป็นจริง ถ้าแยกแยะตามความเป็นจริง ดูสิ เวลามันพิจารณาไปมันปล่อยๆ นี่มัชฌิมาปฏิปทา ความเป็นไปสมดุลของมันด้วยเหตุด้วยผล ไม่ใช่เป็นกลางๆ กลางๆ ก็สีข้างเข้าถูไง เราจะพูดไปนะ ดีชั่วของใครล่ะ ถ้าดีชั่วของใครมันก็อ้างนี่ไง
พอดี พอดี พอดีอะไร? ถ้ามันปล่อยมันวาง มันวางอย่างไร ถ้ามันวางแล้วมันมีสิ่งที่จะต่อเนื่องอย่างไร ถ้ามีสิ่งต่อเนื่องเห็นไหม เราหมั่นพิจารณา หมั่นแยกหมั่นแยะ หมั่นใช้ปัญญาของเรา มันหมั่นเพียรของเรา "ทุกคนจะล่วงพ้นทุกข์ด้วยความเพียร" ความเพียร ความวิริยะ ความอุตสาหะ ความเพียรด้วยจริตนิสัย ความเพียรด้วยกิริยาภายนอกนี้เรื่องหนึ่ง ความเพียรในหัวใจเห็นไหม นั่งเฉยๆ นี่แต่จิตใจมันหมุนของมัน ปัญญามันก้าวเดินของมันไป นี่ก็เป็นความเพียรในใจของเรา ไม่ใช่ว่าเราไม่ได้เดินจงกรมไม่ได้นั่งสมาธิ เขาบอกว่าเราไม่ได้ทำความเพียร ถ้ามีสติอยู่เห็นไหม คนที่เขาปฏิบัติเขาจะสงบระงับของเขา เขาจะมีจุดยืนของเขา จิตใจของเขานี่เขาอยู่ที่ไหนก็แล้วแต่ ปัญญามันหมุนได้ไง
การปฏิบัติของจิตมันเคลื่อนไหวตลอดเวลา มันมีสติปัญญาของมันตลอดเวลา พิจารณาซ้ำพิจารณาซาก พิจารณาซ้ำๆๆ ถึงที่สุดเวลามันขาด เวลามันขาดมันเป็นอกุปปธรรม สิ่งที่เป็นอกุปปธรรมเห็นไหม ความดีระดับหนึ่งมันรู้ของมันชัดเจนมาก ความสะอาดบริสุทธิ์ในใจของแต่ละบุคคล ของใครของมัน ถ้าของใครของมัน แต่ปัจจัตตัง สันทิฏฐิโก รู้ด้วยกันได้ ผู้ที่จิตใจที่สูงกว่ารับรู้ได้เลย จิตใจที่เสมอกันเขาก็รู้ว่าวิธีการอย่างนี้โลกไม่มี เวลาสมุจเฉทปหาน ในพระไตรปิฎกก็อ่านมาทั้งนั้น ทุกคนก็ค้นคว้าหมด
ในพระไตรปิฎกบอกถึงวิธีการบอกถึงเหตุ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นศาสดานะ แม้แต่หลวงปู่มั่น เวลาท่านเทศนาว่าการ เวลาสิ่งที่เข้าด้ายเข้าเข็มท่านจะบอกแต่เหตุเลย ท่านไม่ยอมบอกถึงผล เพราะบอกถึงผลไปมันเป็นสัญญา ทุกคนจะจำเหตุการณ์นั้น ถ้าเหตุการณ์นั้นเห็นไหม สิ่งที่จะเป็นความดีของหลวงปู่มั่น หลวงปู่มั่นท่านพยายามเทศนาว่าการเพื่อให้พวกเรามีแนวทาง แต่ดีของหลวงปู่มั่นแต่ชั่วของเราไง ชั่วของกิเลสไง กิเลสมันไปยึดมั่นถือมั่นว่ารู้ ท่านถึงไม่บอกไง
ดีของครูบาอาจารย์แต่ชั่วของกิเลสของเรา กิเลสมันไปยึด กิเลสมันไปคาดหมาย กิเลสมันไปจับจอง จับจองว่าธรรมอย่างนั้นเป็นในหัวใจของเรา จับจองธรรมอย่างนั้นมาเป็นสมบัติของเรา แต่มันเป็นจริงไหมล่ะ มันไม่เป็นความจริงเลยเห็นไหม แยกดีแยกชั่วไม่เป็น ดีชั่วขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็เรื่องหนึ่ง ดีชั่วของครูบาอาจารย์ก็เรื่องหนึ่ง ถ้าดีชั่วของเราล่ะ ถ้าเราแยกดีแยกชั่วของเราไม่ถูกนี่ ข้อวัตรปฏิบัติเห็นไหม ดูสิแนวทางปฏิบัติ มันมีเหมือนกัน
ทุกคนต้องการความดี ไม่ต้องการความชั่วทั้งนั้น ทุกคนต้องการความดี ทุกคนต้องการความอะลุ่มอล่วย ทุกคนต้องการความเห็นน้ำใจกัน เรามีน้ำใจต่อเขา ถ้าเราไม่มีน้ำใจต่อเขา เขาจะมีน้ำใจกับเราได้อย่างไร ถ้าเรามีน้ำใจต่อเขา เขาก็มีน้ำใจต่อเรา ถ้าเราอยากให้คนรักเรา เราไม่รักเขาก่อนเขาจะรักเราได้อย่างไร ถ้าอยากจะทำคุณงามความดี แล้วไม่ทำคุณงามความดีความดีความดีมันจะตอบมาได้อย่างไร
เห็นไหม ทำทานๆ ทำบุญกุศลมันได้บุญกุศลอย่างนี้ เพราะเราทำบุญกุศล เราทำคุณงามความดี ความดีต้องตอบสนองเราแน่นอน ช้าหรือเร็วเท่านั้น ความดีมันมีของมันอยู่แล้ว ทำความดีทิ้งเหว เราทำความดีเพื่อความดีไง เราไม่ได้ทำความดีเพื่อความยอมรับ เราไม่ได้ทำความดีเพื่อให้ใครเห็นความดีของเรา ไม่เกี่ยว ดีหรือชั่วนี่ใจมันรู้ เราทำออกไปนี่รู้เลย เราตั้งใจอย่างไร ดูสิเวลาทางโลกเขา เขาวางยากันเห็นไหม เขาวางยา วางยาคือเขาล่อลวงไง เขาวางยานี่เขาบอกเป็นสิ่งดีๆ ทั้งนั้นน่ะ แล้วเราทำตามนั้นไปน่ะเสียหายหมดเลย เพราะเขาวางยา วางยาคือเขาเล่ห์กลของเขา
แต่ครูบาอาจารย์มีอย่างนั้นไหม มีแต่ครูบาอาจารย์ที่ไม่เป็นธรรมๆ ทำอย่างนั้น อาจารย์ขององคุลิมาล นั่นเป็นเวรกรรมของสัตว์โลก แต่ของเรานี่เราแสวงหาของเรา ถ้าจริตนิสัยมันเป็นจริงนะ เราพยายามรักษาอย่างนี้เพื่อประโยชน์กับเรานะ ดีชั่วน่ะแยกให้ได้ ถ้าเราแยกดีแยกชั่วถูก ดีชั่วน่ะมีหยาบมีละเอียดนะ ไม่ใช่ว่าเราจะไปเอาคุณธรรมสูงส่ง เห็นไหม ธรรมของครูบาอาจารย์ ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วก็ยึดหลักอย่างนั้น แต่โลกเขารู้กับเราไม่ได้ เด็กเล็กเด็กน้อยนี่เขาก็ต้องมีน้ำใจกับเขาก่อน มีน้ำใจกับเขา
ถากหญ้าก่อนจะปลูกพืชธัญญาหารเห็นไหม วัชพืชเขาต้องเก็บปรับพื้นที่ให้สมดุลก่อน แล้วเขาต้องหาปุ๋ย หาพืชพันธุ์แล้วมาปลูกมาเพาะขึ้นมา จิตใจของพระผู้บวชใหม่เขาก็ไม่รู้อะไรหรอก เห็นไหม เขาเป็นฆราวาสมา พระบวชใหม่ว่ายากสอนยาก เพราะเขาชินชากับความเป็นอยู่ของโลก เขามาเป็นพระเป็นเจ้า แม้แต่การเป็นอยู่เขาก็ต้องดัดแปลงใจของเขาอยู่แล้ว ถ้าใจของเขาดัดแปลงของเขานะ เราก็มีเมตตาเขา ค่อยบอกเขา ค่อยๆ แนะนำชี้ทางเขา แล้วถ้าเขาอยู่ต่อไปเขาเห็นถูกเห็นผิดเอง เขาก็จะปรับตัวของเขา ถ้าเขาแยกดีแยกชั่วได้
เขาเห็นดีเห็นชั่ว เขาก็พยายามจะทำคุณงามความดี จากชั่วเป็นดี ถ้ามันเป็นธรรม แต่ถ้ามันเป็นกิเลส มันเป็นความชั่ว ความชั่วโดยสันดาน ถ้าความชั่วโดยสันดานมันก็จะตะแบงไปอย่างนั้น เอ้า ก็บวชมาเพื่อละเพื่อวาง ไม่ได้บวชมาเพื่อแบกเพื่อหาม ก็จะละวางไปหมดเลย ก็เป็นไอ้ตะเข้เลยไง นี่มันขวางคลองไปไง ถ้ามันขวางคลองนะ หมู่คณะก็สะเทือนกันไปหมดล่ะ
นี่ถ้ามันแยกดีแยกชั่วได้ มันก็จะแก้ไขตัวมัน นี่แยกดีแยกชั่วนะ เราเป็นพระกรรมฐาน เราเป็นพระปฏิบัติ การเป็นพระปฏิบัติ เขาจะปฏิบัติที่หัวใจ ฉะนั้น ถ้ามีข้อวัตรปฏิบัติมันเป็นข้อวัตรปฏิบัติเพื่อความเป็นอยู่ของสงฆ์ สงฆ์อยู่ด้วยกันเห็นไหม มนุษย์เกิดมาต้องมีปัจจัย ๔ พระก็มีปัจจัย ๔ เหมือนกัน ถ้ามีปัจจัย ๔ ต้องมีข้อวัตร เฝ้าเวร ล้างแก้ว ล้างชาม วัตรในศาลา วัตรในห้องน้ำ วัตร กุฎีวัตร วัตรในที่อยู่อาศัย มันมีเพื่อรักษาหัวใจ เพื่อรักษาหัวใจของเราให้หัวใจของเรามันอยู่อย่างนี้ อยู่กับข้อวัตร มีเครื่องอยู่ ถ้ามีเครื่องอยู่แล้ว ถ้าเราปฏิบัติขึ้นมา มันจะเติบโตขึ้นมาเห็นไหม
ถ้ามันเติบโตขึ้นมานี่ เรานี่ศาสนทายาท ผู้สืบต่อจะเข้ามาเรียนซ้ำๆ ซ้อนขึ้นมา เราเติบโตขึ้นมา เราต้องมีจุดยืนของเราขึ้นมา เราแยกดีแยกชั่ว อย่างหยาบ อย่างละเอียด ผู้มาใหม่ เขายังไม่รู้เหนือรู้ใต้มันก็ต้องอะลุ่มอล่วยพอสมควร แต่เวลาจะเข้าด้ายเข้าเข็มเราอะลุ่มอล่วยไม่ได้นะ
หลวงตาท่านบอกอยู่กับหลวงปู่มั่น เวลาคุยกันด้วยความเป็นอยู่เหมือนพ่อกับลูก หลวงปู่มั่นท่านรักมาก รักหลวงปู่เจี๊ยะ รักหลวงตานี่รักมาก รักมากเพราะอะไร รักมากเพราะว่าเวลาหลวงปู่มั่นท่านจะเทศน์นะ ท่านบอกครูบาอาจารย์ให้คอยจับขโมยให้ผมทีนะ เพราะเวลาผมเทศน์ผมไม่ถนัด เพราะเขาคิดออกนอกลู่นอกทาง ผู้ที่คอยก็บอกว่านั่นไม่ถูกนะ ถ้าฟังเทศน์ไม่ควรคิดอย่างนั้น ไม่ควรทำใจอย่างนั้น
ฉะนั้นเวลาว่าหลวงปู่มั่นท่านรักหลวงตารักหลวงปู่เจี๊ยะ เพราะหลวงตา หลวงปู่เจี๊ยะท่านเคารพ ท่านมีน้ำใสใจจริงกับหลวงปู่มั่น คนที่มีน้ำใสใจจริงจะรักกันด้วยน้ำใจ แต่กิริยาภายนอกมันเป็นอีกเรื่องหนึ่ง กิริยาภายนอกทุกคนก็เข้าไปอยู่กับท่าน ข้อวัตรปฏิบัติมันก็กิริยาเดียวกันนั่นแหละ แต่น้ำใสใจจริง น้ำใสใจจริงที่เคารพบูชาด้วยหัวใจด้วยเจตนา เพราะหลวงปู่มั่นท่านมีเครื่องรับรู้สิ่งนี้ได้ ท่านถึงได้เมตตาของท่าน เมตตานะ เวลาอยู่ด้วยกันท่านเมตตาของท่าน นี่ผู้ฝึกหัดใหม่ผู้ปฏิบัติใหม่ เริ่มต้นคนปฏิบัติใหม่ นี่สั่งสอนขึ้นมา
แต่เวลาพูดเรื่องธรรมะ หลวงตาท่านบอกว่า เวลาจะพูดเรื่องความเป็นอยู่นี่รักเหมือนพ่อกับลูกด้วยความเมตตาด้วยความรักอบอุ่นมาก อบอุ่นมาก แต่ถ้าพูดเรื่องธรรมะ หงายท้องทุกที ความดีที่ละเอียดขึ้นไป ความดีที่ยกจิตใจหัวใจให้สูงขึ้น ถ้าเราไม่ยกใจเราสูงขึ้น เราไม่ชำระล้างกิเลสของเรา เราไม่เหยียบย่ำกิเลสของเรา จิตใจของเราจะสูงขึ้นมาไม่ได้ไง ครูบาอาจารย์ถ้าเป็นธรรมๆ ธรรมที่เป็นประโยชน์กับเราเอง ท่านถึงบอกว่า ถ้าพูดถึงธรรมะนี่หงายท้องทุกที หงายท้องเพราะอะไร เพราะหัวใจมันคนละชั้น หัวใจผู้ที่ปฏิบัติใหม่ หัวใจผู้ที่แสวงหากับครูบาอาจารย์ที่สิ้นกิเลสแล้วหัวใจมันคนละชั้นเห็นไหม แล้วจิตใจหลวงปู่มั่นที่ท่านสูงส่งกว่า ท่านพยายามจะดึงหัวใจให้สูงขึ้นๆ ท่านพยายามทำให้เรา ทำประโยชน์ให้กับเราต่างหากล่ะ
ถ้าความเป็นอยู่ของโลก ความดี ความชั่ว แบ่งแยกดีโลกเห็นไหมก็ด้วยความอบอุ่นด้วยความรัก ด้วยความเมตตา ด้วยคุณธรรม แต่เวลาประพฤติปฏิบัติขึ้นมาด้วยความดีในหัวใจ ท่านสิ่งนี้ไว้ไม่ได้ ผิดคือผิด ถูกคือถูก สิ่งที่กีดขวางใจต้องชำระล้าง สิ่งที่มันบาดหมางในหัวใจ หนามยอกกิเลสในหัวใจต้องถอนๆ แล้วถอดถอนทำอย่างไร
นี่สิ่งนี้ต่างหาก เวลาท่านเข้มงวดกับลูกศิษย์ลูกหาเข้มงวดเพื่อประโยชน์อย่างนี้ ประโยชน์กับใจนะ ให้แยกถูกแยกผิด แยกดีแยกชั่ว แล้วดีชั่วมันมีหยาบมีละเอียด ฉะนั้นหัวใจของเรา เราดูแลหัวใจของเรา จะอยู่ที่ไหนก็คือกายกับใจนี่แหละ เราจะอยู่ที่ไหนมันก็ชีวิตเรานี่แหละ เราอยู่ที่ไหนก็หัวใจเรานี่แหละ เราดูแลหัวใจของเรา เรารักษาหัวใจของเรา ปฏิบัติของเราให้เป็นศาสนาทายาท ศาสนทายาทจากเหตุและผล จากสัจจะความในใจของเรา เพื่อประโยชน์กับเรา เอวัง