เทศน์พระ

อ้างธรรม

๑ ม.ค. ๒๕๕๗

 

อ้างธรรม
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

เทศน์พระ วันที่ ๑ มกราคม ๒๕๕๗
วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่ ) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ตั้งใจฟังธรรมเนาะ ฟังธรรมะเพื่อเตือนสติ เตือนให้เรามีสามัญสำนึกในความเป็นภิกษุ ภิกษุเห็นไหม สมณะสารูป ถ้าสมณะสารูป การเคลื่อนการไหว เวลาบวชใหม่ นิสัยของคฤหัสถ์ ถ้านิสัยของคฤหัสถ์ เห็นไหม ความเคยชินของเรา เราก็ว่าสิ่งนี้เป็นความสุภาพ สิ่งนี้เป็นกิริยามารยาทที่สมความเป็นมนุษย์

แต่เวลาเรามาบวชเป็นภิกษุแล้ว เวลาเรามีสติมีปัญญานะ ถ้ามีสติมีปัญญา เห็นไหม เรามาฝึกหัดของเรา ตามสติของเรา การเคลื่อนไหว การต่างๆ ความรับรู้ต่างๆ มันมีสติ ถ้ามีสติ เห็นไหม นักปฏิบัติเป็นแบบนี้ นักปฏิบัติการเคลื่อนไหว การรับรู้ต่างๆ สติสัมปชัญญะมันจะพร้อม ถ้ามันจะพร้อม เห็นไหม ถ้าสติเราพร้อมเราควบคุมเราได้ กิเลสมันไม่มีช่องที่มันจะได้ออกแสดงตัว ถ้ากิเลสมันออกแสดงตัวแล้ว เวลามันแสดงตัวของมัน เห็นไหม

ดูสิ คนเจ็บไข้ได้ป่วยแล้วไม่รักษาตัวเอง กินแต่ของแสลง ไข้นั้นมันจะอาการหนักขึ้นไปเรื่อยๆ กิเลสถ้ามันได้แสดงตัวแล้วนะ เราควบคุมใจเราได้ยากแล้ว เพราะมันได้ติดเชื้อแล้ว มันมีสิทธิติดเชื้อ ทั้งๆ ที่มันมีเชื้ออยู่แล้วล่ะ เพราะมีอวิชชามันถึงพาให้เรามาเกิดเป็นมนุษย์ เพราะเรามีศรัทธามีความเชื่อ เราเห็นว่าพุทธศาสนาธรรมโอสถนี้สามารถแก้สามารถชำระล้างกิเลสได้ เราถึงได้มาบวชเป็นพระไง เป็นภิกษุไง

ถ้าเป็นภิกษุ เห็นไหม สิ่งที่กิริยาของสมณะ ถ้าสมณะมีสติมีปัญญาขึ้นมา กิเลสมันไม่มีช่องที่มันได้แสดงตัวของมัน ทั้งๆ ที่มันเป็นอยู่น่ะ แต่มันแสดงตัวไม่ได้ เพราะเรามีสติมีปัญญาควบคุมดูแลมัน ถ้าเราขาดสติในการควบคุมดูแล เห็นไหม เราบวชมาแล้วเราได้เป็นพระ เราบวชมาแล้วได้เป็นพระ เห็นไหม

ในสังคมของชาวพุทธ ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา ภิกษุเป็นนักรบๆ เขาให้เกียรติ เขาเชิดชู เห็นไหม กิเลส เห็นไหม กิเลสมันติดเชื้อของมันน่ะ ทั้งๆ ที่มันมีเชื้ออยู่ เพราะมีเชื้อมันถึงได้มาเกิดเป็นมนุษย์ไง แต่ถ้าเพราะเรามีสติมีปัญญา เราเกิดเป็นมนุษย์ เรามีศรัทธามีความเชื่อ เราได้มาบวชเป็นพระขึ้นมา เราเป็นพระแล้วเราจะออกประพฤติปฏิบัติอีก ถ้าออกประพฤติปฏิบัติ เราจะมีสติควบคุมอยู่ตลอดเวลา การเคลื่อนไหว การเคลื่อน การเหยียด การคู้ การอยู่ การมีสามัญสำนึก มันรักษาตัวมันอยู่ กิเลสมันก็สงบตัวมัน มันอยู่ในจิตใต้สำนึก มันอยู่ในใจของเรา มันมีของมันอยู่แล้ว เพราะเรามาเราจะมาชำระสะสางมัน ถ้าเราจะมาชำระสะสางมัน เห็นไหม

เราฝึกหัดสติของเราอย่างนี้ ถ้าเราฝึกหัดสติของเราอยู่ เราดูแลของเราอยู่ เรารักษาของเราอยู่ เห็นไหม เราต้องมีสติ เราต้องฟังธรรมๆ เตือนสติของเรา ฟังธรรมนะ ฟังธรรมแล้วปฏิบัติธรรม ถ้าปฏิบัติธรรมขึ้นมาตามเป็นจริงนะ ถ้ามีสติมีปัญญาขึ้นมาแล้ว ถ้าธรรมเป็นธรรมของเรา เห็นไหม ในธรรมโอสถ ถ้าธรรมโอสถนะ มันเกิดขึ้นมา เห็นไหม สติก็เป็นสติของเรา เพราะมีสติขึ้นมา เราควบคุมตัวเราได้ เรามีสามัญสำนึก เราเข้าใจสถานะของเรา มันมีระยะห่างไง ระยะห่างของความเป็นภิกษุ

ดูสิ เวลาในบุพพสิกขา ครูบาอาจารย์ของเราท่านยืนอยู่ เราเป็นลูกศิษย์ลูกหา สัทธิวิหาริก เราจะอุปัฏฐากท่าน ถ้าเราใส่รองเท้าอยู่ เราใส่รองเท้าเดินเข้าไปในครูบาอาจารย์ แค่ ๖ ก้าวน่ะ นับจากอาจารย์ของเรา ๖ ก้าว เป็นอาบัติหมดน่ะ เป็นอาบัติหมดนะ ถ้าอาจารย์ที่ท่านไม่ใส่รองเท้า ท่านยืนอยู่ เราใส่รองเท้าเดินเข้าไปในระยะ ๖ ก่อนจะเข้าถึงท่าน ๖ ก้าวเราจะถอดรองเท้ากันแล้ว เพราะเราจะไม่ทำให้เสมอท่าน

นี่พูดถึงว่า ผู้ที่เขาเคารพไง ครูบาอาจารย์น่ะ ในข้อวัตรปฏิบัติในหมู่บุพพสิกขา เห็นไหม ถ้าในหมู่บุพพสิกขาอย่างนั้น เขาแสดงน้ำใจออกไง เขาแสดงออกถึงน้ำใจของเขา ถ้าแสดงน้ำใจออกของเขา เขาเคารพบูชากันเพราะอะไรล่ะ? เขาเคารพบูชากัน เขาเคารพคุณธรรมไง

เวลาเราบวชเป็นพระขึ้นมาศีล ๒๒๗ เหมือนกัน เราเสมอภาคกันโดยความเป็นสมณะ เราเป็นภิกษุด้วยกันแต่เราเคารพบูชากันด้วยคุณธรรมไง ถ้าใครมีคุณธรรมเราจะเคารพบูชาใช่ไหม แต่ถ้าใครไม่มีคุณธรรม ไม่มีคุณธรรมเราก็เคารพด้วยวินัย อาวุโส ภันเต ถ้าอาวุโส ภันเต คำว่า อาวุโส ภันเต เขาเคารพด้วยอายุพรรษา นี่เคารพวินัย ถ้าเคารพนี่เคารพใคร? ถ้าเราเคารพกันโดยวินัยก็เคารพองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไง

เราอยู่ในหมู่คณะนะ ถ้าครูบาอาจารย์ที่ดี พระที่ดี อยู่ด้วยกันร่มเย็นเป็นสุข เห็นไหม ร่างกายที่สมบูรณ์ ร่างกายที่แข็งแรง ร่างกายนั้นก็เคลื่อนไหวได้สะดวก ถ้าร่างกายพิการ ร่างกายนั้นมันเจ็บไข้ได้ป่วย แขนยึด ขายึด มันเส้นพลิก นี่มันเป็นไปไม่ได้ มันขัดแย้ง เห็นไหม

ในหมู่คณะของเราก็เหมือนกัน ในทุกวงการมีทั้งคนดีและคนชั่ว ในวงการของพระเรา ถ้าเราไม่พอใจใคร เราไม่เกรงใจใคร เราไม่พอใจใคร มันขวางหูขวางตาอย่างไรก็แล้วแต่ เราเก็บไว้ในใจของเรา เราไม่ได้คบคนๆ นั้น เราไม่ได้คบพระองค์นั้น เราเคารพธรรมวินัย ในเมื่อเขาอาวุโส เราก็เคารพไปตามอาวุโสไง เห็นไหม ดูสิ เวลาทำวัตรเสร็จกราบหัวหน้า เป็นหัวหน้าเป็นผู้นำ เราเคารพบูชากันๆ นี่เราเคารพธรรมวินัย ถ้าเหม็นหน้ามัน หัวหน้าเหม็นหน้ามาก เราไม่อยากกราบมันน่ะๆ แต่เรากราบครูบาอาจารย์ไง เรากราบธรรมวินัยไง เราเหม็นหน้ามาก เหม็นหน้าก็เก็บไว้ในใจ เราจะเหม็นหน้าขนาดไหน เราเก็บไว้ในใจ

แต่อาวุโส ภันเต เราเคารพพระพุทธเจ้า เราเคารพองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราเคารพธรรมวินัย เคารพธรรมวินัย เห็นไหม หัวใจมันก็ผ่อนคลาย หัวใจมันก็ไม่โดนกดดันมากจนเกินไป แต่ถ้าเราฝึกหัดของเรา เราฟังเทศน์ของเรา เราปฏิบัติของเราน่ะ เราจะเห็นของเราน่ะ สิ่งใดก็แล้วแต่ เราทำขึ้นมา มันเป็นมโนกรรมทั้งนั้น

ขันติธรรม ขันติธรรมนะ ผู้ที่อาวุโส ภันเต ผู้ที่มีอำนาจเหนือกว่าเรา กล่าวติเตียนเราได้ เราอดทนได้ นี่ขันติอย่างหยาบๆ คนที่เสมอกัน เราเสมอกันน่ะ เรากล่าวได้ เราติเตียนกันได้ เราบอกแนะกันได้ เห็นไหม ขันติธรรมอันกลางๆ คนที่อ่อนด้อยกว่าเรา อย่างสามเณร คนที่ไม่มีศักยภาพเลย คนที่ด้อยค่าหมดเลย บอกถึงความบกพร่องของเรา เห็นไหม แล้วเรารับได้ เรารับได้ ขันติอย่างละเอียด คือคนที่อ่อนด้อยกว่า คนที่ไม่มีศักยภาพ คนที่ไม่มีฐานะที่จะพูดสิ่งใดได้เลย เขาเห็นความบกพร่องของเรา เขาตักเตือนเราแล้วเรารับได้ ที่เขาตักเตือนเราๆ รับไม่ได้ล่ะ แม้แต่ผู้ที่สูงกว่านะ ผู้ที่มีอำนาจเราไปอาศัยผู้นั้นอยู่ เขาพูดอะไรเรายังบอกว่า เรายังคิดเลย ลำเอียง ลำเอียงเพราะรัก ลำเอียงเพราะชังน่ะ ไม่ใช่พวกเราก็ลำเอียงน่ะ

จิตใจของครูบาอาจารย์ท่านที่เป็นธรรมนะ ท่านเป็นธรรม เห็นไหม ในเบื้องต้น ท่ามกลาง และที่สุด เบื้องต้นเหตุมันเป็นแบบนี้ ท่ามกลางๆ มันจะมีการกระทบกระเทือนกัน ที่สุดแล้วผลบาดหมางจะเกิดขึ้น แต่เริ่มต้นเราก็ไม่รู้น่ะ เราทำอะไรเราก็ไม่รู้ เบื้องต้นจะทำขึ้นมาเรานึกไม่ได้ ท่ามกลางที่ทำไปแล้ว ที่สุดผลออกมา ไม่น่าเลย ถ้ารู้อย่างนี้ก็ไม่ทำล่ะ ถ้ารู้อย่างนี้มันก็สายไปแล้ว ถ้ารู้อย่างนี้ๆ ทำไมต้องถ้ารู้อย่างนี้ล่ะ

แต่เวลาครูบาอาจารย์ท่านเตือนท่านบอก ลำเอียงๆ ล่ะ เห็นไหม มันแอบอ้าง ธรรมวินัย เราเคารพบูชา ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเราเคารพ เคารพธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า หลวงตาท่านพูดบ่อย เหยียบหัวพระพุทธเจ้าไปแล้วแสดงธรรม เหยียบหัวพระพุทธเจ้าไปก็เหยียบธรรมวินัยนี้ไป เหยียบย่ำไป แล้วจะให้คนอื่นเคารพบูชา มันเอามาจากไหน

ในเมื่อมันเหยียบย่ำน่ะ เหยียบย่ำ ดูสิ คนที่เขาเคารพพ่อแม่ของเขา เห็นไหม เขากตัญญูกตเวที เขาดูแลพ่อแม่ของเขา ทุกคนเห็นน่ะ กลิ่นของศีลหอมทวนลม เขาเป็นคนดีไง คนที่มันอกตัญญูน่ะ มันไม่ดูไม่แล มันทิ้งขว้างพ่อแม่มัน แล้วมันเที่ยวไปสอนคนอื่นนะ ต้องเคารพบูชานะ ต้องมีกตัญญูนะ เขาฟังไหม แต่ถ้าเขาทำของเขามา เห็นไหม เขาทำเป็นตัวอย่างของเขา ดูแลของเขา

นี่ก็เหมือนกัน เหยียบหัวพระพุทธเจ้าไป ธรรมวินัยมันไม่คิดถึงเลยน่ะ ธรรมวินัยๆ ศาสดาของเรา ศาสดาของเราไม่ดูแลเลย ศาสดาของเรา บวชมานี้บวชมาเพราะอะไร ถ้าไม่มีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะมีศาสนาไหม แล้วมีศาสนาขึ้นมา ศาสนาน่ะเป็นที่หลบภัยใช่ไหม คนที่มีความทุกข์ความยากขนาดไหนก็หลบภัยในศาสนาก็ได้ คนที่เห็นภัยในวัฏสงสารเขาไม่ได้หลบภัย เขาบวชมาเพื่อโอกาส โอกาส ๒๔ ชั่วโมงไง โอกาสของสมณะ สมณธรรมกว้างขวางไง ๒๔ ฉันแล้วภาวนาทั้งวันเลย

ทางของคฤหัสถ์เป็นทางคับแคบ เขาต้องทำมาหากินของเขา เขาต้องมีภาระรับผิดชอบของเขา ทำหน้าที่การงานจนเสร็จแล้ว ก่อนนอนน่ะได้ทำวัตรแล้วนั่งสมาธิได้สักชั่วโมงสองชั่วโมง เวลาของเขามีเท่านั้นน่ะ ของเรา ๒๔ ชั่วโมง เห็นไหม เพราะเราเห็นภัยในวัฏสงสาร เราถึงได้มาบวชเป็นพระ บวชเป็นพระเป็นเจ้าขึ้นมาเพื่อการประพฤติปฏิบัติ เพื่อต่อสู้กับกิเลสอวิชชา

เวลาเขาทำหน้าที่การงานกัน เขาต้องหาออฟฟิตของเขาหาที่ทำงานของเขา ไอ้เราทำงานของเรา หัวใจเราก็มีอยู่แล้ว เรามีความเชื่อมีความศรัทธา เวลาปฏิบัติๆ ที่ไหนล่ะ ปฏิบัตินะ เดินจงกรมนั่งสมาธิภาวนาเพื่ออะไร? ก็เพื่อหัวใจสงบไง ถ้าใจมันสงบเข้าแล้ว ถ้ามันเกิดปัญญาขึ้นมา มันเป็นไปได้จริงไหมล่ะ

เราศึกษาธรรม เห็นไหม ถ้ามันเป็นขึ้นมาจริงเป็นอย่างนี้ แต่ถ้าแอบอ้างล่ะ มันอ้างธรรมนะ อ้างว่ารู้ อ้างว่าเป็นไปน่ะ อ้างธรรมๆ มันไม่ใช่ความจริง เห็นไหม กั้นฉากไว้ มีหน้าฉากหลังฉาก ถ้ามีหน้าฉากหลังฉาก เห็นไหม นี่เป็นเรื่องของส่วนบุคคล มันเป็นเรื่องส่วนบุคคล มันไม่ใช่เรื่องหน้าที่การงาน หน้าที่การงานเป็นเรื่องส่วนบุคคล เรื่องส่วนบุคคลมันก็หมักหมมไง ความหมักหมมของมันในหัวใจใช่ไหม ถ้าหัวใจมันหมักหมมของมันน่ะ แล้วมันทำจริงได้ไหมล่ะ

แสดงธรรมนะ ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเข้าใจไปหมด ธรรมะของครูบาอาจารย์เหมือนกันๆ ทำไมต้องเหมือนกัน องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็มีองค์เดียวล่ะ เอกนามกิง หนึ่งไม่มีสอง พระกัสสปะก็เป็นพระกัสสปะ พระสารีบุตรก็เป็นพระสารีบุตร พระโมคคัลลานะก็เป็นพระโมคคัลลานะ

เวลาเข้ากันโดยธาตุๆ เวลาเข้าโดยธาตุน่ะ ลูกศิษย์ของพระสารีบุตรนี้เป็นผู้ที่มีปัญญาทั้งนั้น เลิศทางปัญญา ลูกศิษย์ของพระโมคคัลลานะมีความวิเศษในเรื่องของมีฤทธิ์มีเดชทั้งนั้น เข้ากันโดยธาตุ ชอบอย่างนี้เป็นอย่างนี้ ลูกศิษย์เทวทัตลามกหมด ลูกศิษย์เทวทัตลามกทั้งนั้นเลย เพราะเทวทัตคิดยังไง เข้ากันโดยธาตุ ถ้าเข้ากันโดยธาตุ เห็นไหม เข้ากันโดยธาตุ นี่กระแส แต่ถ้าความเป็นจริงน่ะ พระสารีบุตรก็มีองค์เดียว พระโมคคัลลานะก็มีองค์เดียว ลูกศิษย์ทำได้ไม่ได้ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง

นี่ก็เหมือนกัน ทำไมต้องไปเหมือนใคร เราปฏิบัติแล้วต้องไปเหมือนใคร ผลงานของเราก็เป็นของเราใช่ไหม ไม่ต้องอ้างใครทั้งสิ้น อย่าอ้างธรรม ธรรมนี้เขาเอาไว้ศึกษา ไว้เพื่อประพฤติปฏิบัติขึ้นมาให้เป็นความจริงของเรา แล้วความจริงของเรา แต่มันไปสื่อความหมายไหม ธมฺมสากจฺฉา เอตมฺมํคมฺตฺตมํ การสนทนาธรรมเป็นมงคลอย่างยิ่ง การสนทนาธรรมนะ ธรรมต้องเป็นธรรมจริงๆ สิ ถ้าธรรมมันเป็นศีล สมาธิ ปัญญา มันเป็นอย่างไร แต่ถ้าเป็นความเห็นน่ะ มันเป็นปรัชญา เป็นแนวคิดเท่านั้น แล้วมันจะเป็นธรรมตรงไหนล่ะ แล้วทำไมต้องเสียเวลาไปคุยด้วยล่ะ แล้วคุยทำไมล่ะ มันไปคลุกคลีทำไม

แต่ถ้าเป็นธรรมนะ เวลาหลวงปู่มั่น ครูบาอาจารย์ท่านพูดนะ ถ้ามีใครขึ้นไปถามธรรมะท่าน แล้วถ้าเสียงดังเอะอะขึ้นมา หลวงปู่เจี๊ยะท่านพูดประจำ เฮ้ย! ฟ้าผ่าๆ ถ้าฟ้าผ่านะ ธรรมมันมาแล้ว ในเมื่อจะเกิดฝนตกฟ้าร้อง เห็นไหม ฟ้ามันร้องๆ ฟ้าแลบต่างๆ ฝนมันจะตกๆ ถ้าฝนมันจะตกน่ะ ใครมีภาชนะรับน้ำฝนนั้น ถ้าฟ้าผ่าน่ะทุกคนวิ่งเข้าไปในใต้กุฏินั้นเพื่อจะไปฟังธรรม ฟังธรรมว่าสิ่งที่เป็นธรรมโอสถออกแล้ว ออกมาจากใจของหลวงปู่มั่น หลวงปู่มั่นท่านเทศนาว่าการน่ะ

เขาแสวงหากันๆ เห็นไหม ได้ฟังธรรมๆ อย่างนั้น ฟังธรรมจากสัจธรรมที่ออกมาจากธรรมอันนั้น ไม่ใช่มันเป็นปรัชญา ไม่ใช่เป็นความคิด ไม่ใช่แอบอ้าง อ้างเล่ห์ อ้างธรรมๆ น่ะ อ้างธรรมแต่ไม่เป็นธรรม แต่ถ้าเป็นความจริงไม่ต้องอ้าง มันเป็นจริงของมัน ใครทำอย่างไรออกมาเป็นอย่างนั้น เห็นไหม ความสะอาดบริสุทธิ์ของพระแต่ละองค์มันเป็นส่วนบุคคล มันเป็นเรื่องเฉพาะตัว ไม่มีใครการันตีใครได้

แต่เป็นเพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นศาสดา เวลาวางธรรมวินัยนี้ไว้ เห็นไหม ที่ว่าเราเคารพธรรมๆ น่ะ ก็เคารพธรรมวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะว่าอะไร? เพราะเราเป็นสาวก สาวกะ ถ้าไม่ร่องมีรอยเลย เราจะทำอย่างไร ทั้งๆ ที่มีร่องมีรอยอยู่ มันยังออกนอกลู่นอกทางกันไปขนาดนี้

เดี๋ยวนี้มันจะเป็นเรื่องโลกแล้ว มันก็เป็นเครื่องแบบ พระนี้เครื่องแบบ มีแค่ห่มจีวรมันเป็นพระเหรอ เป็นพระมันต้องญัตติจตุตถกรรมขึ้นมา สงฆ์ยกเข้าหมู่ขึ้นมามันมีอานิสงส์ อานิสงส์ในการประพฤติปฏิบัติ เห็นไหม ถ้าเราเป็นพระด้วยกัน เวลาบวชขึ้นมา อุปัชฌาย์ต้องให้กรรมฐาน ๕ อยู่แล้ว ได้กรรมฐาน ๕ แล้ว เราจะมาปฏิบัติเราก็คิดว่าเราปัญญาอ่อนด้อย เรายังมีความสงสัยอยู่เราก็จะศึกษาก่อน นั้นเป็นภาคปริยัติ ปริยัตินี่ปริยัติเขาศึกษามาทำไม ศึกษาปริยัติขึ้นมาก็เพื่อจะเอามาประพฤติปฏิบัติ เขาไม่ได้ศึกษาปริยัติมา เห็นไหม

ธรรมทูตๆ น่ะเผยแผ่ธรรมๆ เอากิเลสหรือธรรมไปเผยแผ่ เอาอะไรไปเผยแผ่ เอาความรู้จากไหนมาเผยแผ่ ความจริงมันมีในหัวใจไหมล่ะ อย่ามาแอบอ้าง! อ้างไปเรื่อย อ้างเล่ห์ไปเรื่อย อ้างเล่ห์ขึ้นไปแล้ว เห็นไหม เวลาเราเกิดเป็นมนุษย์ เราก็มาสร้างอำนาจวาสนาบารมีกัน เกิดมาทุกข์มายาก เราก็พยายามจะหาความสุขของเรา แต่ถ้าเรามีสติมีปัญญา เรามีสติปัญญามากกว่าเขา มันน่าสังเวชนะ

เวลาครูบาอาจารย์ของเรา เห็นไหม หลวงปู่มั่นท่านอยู่ในป่าในเขา หลวงตาท่านบอกเลยนะ เหมือนกับผ้าขี้ริ้ว ไม่มีค่าอะไรเลย ผ้าขี้ริ้วเขาก็ทิ้งกลางข้างทาง ผ้าขี้ริ้วเขาโยนทิ้งน่ะ เขาไม่เอาเข้าบ้านใคร มันสกปรก ในสายตาของโลกใช่ไหม แต่ในสายตาของธรรมน่ะ นี่บุรุษอาชาไนย สัตว์อาชาไนยมันไม่กินอาหารตามพื้นที่ของสัตว์ที่เขากิน สัตว์อาชาไนยมันกินน้ำมันต้องกินตาน้ำโน่น กินหญ้ามันต้องกินหญ้าอ่อนยอดหญ้า สัตว์อาชาไนย หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น ท่านเป็นสัตว์อาชาไนย ท่านแสวงหาที่ความเป็นสัจจะเป็นความจริงของท่าน ในป่าในเขาของท่าน ในความที่สะอาดบริสุทธิ์ของท่าน ในสายตาของธรรม เห็นไหม ในสายตาของธรรม นี่สัตว์อาชาไนย นี่เอกบุรุษ บุรุษที่เห็นภัยในวัฏสงสาร บุรุษที่จะเอาตัวรอดให้ได้

แต่ในสายตาของโลก เห็นไหม ผ้าขี้ริ้ว มันทุกข์มันยาก มันไม่มีสิ่งใดในการดำรงชีวิตเลย ว่าชีวิตนี่คุณภาพชีวิตๆ ทำไมมันต่ำต้อยขนาดนั้น ทำไมคุณภาพชีวิตของเรา เห็นไหม มันต้องมีความเป็นอยู่ ความเป็นอยู่สะดวกพอสมควร นี่ว่ากันตามกระแสโลก ถ้ากระแสโลก โลกกับธรรม ถ้าเราอ้างธรรมนะ อ้างธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วอยู่กันโดยเรื่องโลกๆ อยู่กันโดยความเป็น จะว่าเป็นสัตว์มนุษย์ มนุษย์เขาอยู่อย่างไรก็อยู่อย่างนั้นแหละ

แต่ถ้าเราอยู่แบบพระ เห็นไหม เราอยู่แบบพระ มันเตือนตนมาตั้งแต่วันบวช วันบวชอุปัชฌาย์ยกเข้าหมู่มา เห็นไหม เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ รุกขมูล เสนาสนัง เห็นไหม เธอจงปฏิบัติอย่างนี้ตลอดชีวิตเถิด บวชมาทุกคนได้หลักคำสอนมาอันเดียวกัน องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าวางธรรมวินัย วิธีการบวชองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็วางไว้เอง เริ่มต้นตั้งแต่ถึงรัตนตรัย ขอบวชนี่เอหิภิกขุ ขอบวชจากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก่อน แล้วพอภิกษุมากขึ้นก็ให้ถึงพระรัตนตรัย แล้วพอมากขึ้นก็ตั้งญัตติจตุตถกรรมขึ้นมา เป็นพิธีกรรมยกเข้าหมู่

วิธีการบวชมันก็มาจากธรรมวินัยของพระพุทธเจ้า มันแบบว่าพระยังน้อยอยู่ก็ทำสิ่งใดที่พอสะดวกก็ทำไปก่อน แต่เวลามีพระมากขึ้น ทุกอย่างขึ้น มันก็เข้ารูปเข้ารอยขึ้นมาก็เอาเข้ารูปเข้ารอยมา แล้วเราบวชมา เห็นไหม เราก็เข้ามายกเข้าหมู่โดยธรรมวินัย โดยธรรมวินัย โดยข้อบัญญัติบังคับของวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายกเราเข้าหมู่ ยกเข้ามาแล้วเข้าหมู่มาแล้วไง เห็นไหม พอเข้าหมู่มาแล้วน่ะ เราจะทำอย่างไรต่อไป เราจะทำอย่างไร

เวลาบวชเข้ามา เห็นไหม โกนผมโกนคิ้วไง ห่มผ้ากาสาวพัสตร์ แล้วทำอย่างไรต่อ นี่บวชกายไง แล้วบวชใจล่ะ บวชใจ บวชใจด้วยธรรมโอสถไง บวชใจด้วยศีล สมาธิ ปัญญาไง บวชใจด้วยวิธีประพฤติปฏิบัติของเราไง บวชใจ เห็นไหม ดูสิ คนจะล่วงทุกข์ด้วยความเพียร ความเพียร ความอุตสาหะ เวลาเขาทำอาบเหงื่อต่างน้ำ ทำหน้าที่การงานกัน ทุกคนก็เห็นว่างานเริ่มต้น ท่ามกลาง แล้วที่สุด มันจบลงได้ไง

แต่เวลาประพฤติปฏิบัติขึ้นมา ตั้งสติขึ้นมาอย่างไร จะเอาหัวใจไว้ในอำนาจของเรา สิ่งที่มันแปรปรวนอยู่ เวลามีศรัทธาความเชื่อ แหม มันน่ารื่นรมย์ไปหมดเลย เวลามันเสื่อมสภาพขึ้นไป โลกนี้มันปิดมืดมิดเลย ไม่มีทางออกเลย เวลาหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น ท่านออกประพฤติปฏิบัติ มีครูบาอาจารย์ท่านดู เห็นไหม สัตว์อาชาไนย สัตว์อาชาไนยมันเลือกที่อยู่ของมัน มันไม่คลุกคลีกับโลก มันแยกตัวของมันออกไปเป็นอิสระ แยกตัวออกไปเพื่อค้นคว้าในหัวใจของหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น ให้เป็นความจริงขึ้นมา

แล้ววางข้อประพฤติปฏิบัติขึ้นไว้ แล้วเราจะประพฤติปฏิบัติขึ้นมา เราก็แสวงหาของเราอย่างนี้ โลกเขาเห็นขึ้นแล้ว เขาจะบอกว่า มันหมดยุคหมดสมัย เดี๋ยวนี้เขาปฏิบัติกันเรียบง่าย เขาปฏิบัติกันน่ะ อยู่ที่ไหนเขาก็มีมรรคมีผลทั้งนั้นน่ะ ทำไมพวกนี้ยังตกยุคตกสมัยอยู่น่ะ

ยุคสมัยของกิเลสไง ยุคสมัยของโลกไง ถ้าเราไม่มีจุดยืนของเราๆ ก็จะคล้อยตามเขาไป แต่ถ้าเรามีจุดยืนของเราน่ะ ยุคสมัยของใคร ถ้ายุคสมัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ยุคสมัยของธรรมวินัย ยุคสมัยของธรรมน่ะ ของธรรม เห็นไหม อกาลิโก ไม่มีกาล ไม่มีเวลา เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าน่ะชีวิตเป็นแบบอย่าง แล้วครูบาอาจารย์เราท่านประพฤติปฏิบัติเป็นแบบอย่าง แล้วเราบวชมา เราจะเอาอะไรเป็นข้อเท็จจริงของหัวใจของเรา ถ้ามันอ้างธรรมกันอยู่อย่างนั้น

อ้าง! การแอบอ้างมันไม่ใช่ความจริง นี่ก็เหมือนกัน เข้ามาศึกษาธรรมน่ะ ศึกษาในภาคปริยัติน่ะก็ศึกษามาไว้ปฏิบัติ ศึกษาแล้วมาอ้างอิงอะไร? ยิ่งอ้างอิง เห็นไหม ตัณหาซ้อนตัณหา โดยธรรมชาติของเราน่ะ โดยสัญชาตญาณของคนทุกคนอยากเป็นคนดี ทุกคนอยากได้มรรคได้ผลตามความเป็นจริง แต่ด้วยกิเลส ด้วยความมักง่าย ด้วยความอยากใหญ่ ด้วยความเจ้าเล่ห์ ด้วยความเจ้าเล่ห์มันก็พลิกแพลง แล้วทำอย่างไรก็ได้

ทองคำแท้ เขาต้องทำเหมือง เขาต้องขุดของเขาขึ้นมา เขาต้องมาหล่อหลอมเข้ามา เผื่อมันจะเป็นทองขึ้นมา ไอ้นี่ด้วยกิเลสตัณหาความทะยานอยากของเรา มันเป็นตะกั่ว มันเป็นเศษวัตถุไม่มีประโยชน์อะไรเลย ไปชุบทอง ชุบทอง พอชุบ เห็นไหม

ผ้ากาสาวพัสตร์ ได้บวชมา ได้ห่มผ้ากาสาวพัสตร์ ได้ห่มธงชัยพระอรหันต์ แล้วชุบขึ้นมาแล้วมันจะเป็นความจริงไหมล่ะ ถ้ามันไม่เป็นความจริงขึ้นมาจะทำให้เขาเชื่อถือศรัทธาอย่างไร ก็แอบอ้าง อ้างธรรม อ้างธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วเวลาไปเทศน์ออกมา แหม ท่านเทศน์เพราะ ท่านเทศน์เข้าใจง่าย

ในเมื่อมันเป็นสมมุติ สมมุติบัญญัติ ถ้าสมมุติบัญญัตินะ ตรรกะทุกคนเข้าใจได้ พูดกันเรื่องโลกๆ เข้าใจได้ แต่ถ้าพูดถึงเรื่องนามธรรม เรื่องของหัวใจ เรื่องที่ละเอียดเข้าไปเข้าใจไม่ได้ ถ้าพูดถึงสัจจะนะเข้าใจไม่ได้ ถ้ามันเข้าใจได้ ทำไมองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงบอกให้ปริยัติแล้วปฏิบัติล่ะ ปริยัติ เห็นไหม เราศึกษาค้นคว้ามามันเข้าใจได้ เราเข้าใจได้เข้าใจได้ว่าเป็นแนวทาง แต่ถ้ามันปฏิบัติมันเป็นอย่างนั้นไหม ปฏิบัติมันไม่เป็นอย่างนั้น ถ้ามันเป็นอย่างนั้นมันก็เป็นบล็อกเลย พิมพ์มาเลย หนังสือนั้นพิมพ์ ๑๐,๐๐ เล่ม ๑๐๐,๐๐๐ เล่ม มันก็พิมพ์ออกมาตามบล็อก มันพิมพ์ออกมาเลย นี่ก็เหมือนกัน พิมพ์ออกมาเลย ชุบออกมาเลยน่ะ มีคุณธรรมมาเลย แล้วมันเป็นจริงไหม มันไม่เป็นจริงเลย เห็นไหม แต่ถ้ามันเป็นจริงล่ะ

ทองคำ เห็นไหม แร่ธาตุในแผ่นดิน มันมีแร่ธาตุทั่วๆ ไป เขาแสวงหา เขาจะทำเหมืองเขาต้องหาแหล่งแร่ก่อน พอมั่นใจว่าแหล่งแร่นั้นมีแล้ว เขาถึงจะทำเหมือง เปิดเหมือง เหมืองปิด เหมืองเปิด เพื่อจะเอาแร่นั้นขึ้นมา เพื่อมาคัดแยกความสะอาดบริสุทธิ์ของมัน เพื่อใช้ประโยชน์ของมัน

นี่ก็เหมือนกัน ธาตุรู้ ปฏิสนธิจิตมันมีของมันอยู่ แต่มันโดนครอบงำไปด้วยอวิชฺชา ปจฺจยา สงฺขารา เพราะความครอบงำของอวิชฺชา ปจฺจยาสงฺขารา มันถึงได้เวียนว่ายตายเกิด ถ้าเวียนว่ายตายเกิด แต่ก็มีอำนาจวาสนาด้วยการสร้างคุณงามความดี องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นพระโพธิสัตว์ พยายามสร้างสมขึ้นมา จนมีคุณงามความดีจนมีอำนาจวาสนาบารมี แสวงหาด้วยการประพฤติปฏิบัติขึ้นมา จนเอาความเป็นจริงเอาสัจจะในหัวใจนั้นมาเป็นความจริง ธรรมธาตุๆ หัวใจของคนมันเป็นอย่างนั้นหมด เพียงแต่ว่ามันหยาบละเอียดเท่านั้นเอง ถ้ามันหยาบละเอียดขึ้นมา มันละเอียดลึกซึ้งขึ้นมา มันก็มีหลักมีเกณฑ์ของมัน

ถ้าเราไม่มีอำนาจวาสนาเลย ดูสิ เขาเกิดเป็นมนุษย์กัน เขาก็แสวงหาความสุขของเขากัน เขาหาเรื่องความมั่นคงในชีวิตของเขา เขาทำของเขาอย่างนั้น เขามองเรานะ เขาบอกว่าแล้วมันมาได้อย่างไร พวกนี้มาได้อย่างไร มนุษย์ไม่เห็นมีค่าความเป็นมนุษย์เลย ไม่มีศักดิ์ศรีเท่ากับโลกเขาเลย ไอ้โลกที่มีศักดิ์ศรีน่ะมันทับซ้อนกันอยู่นั่น มันเจ็บปวดเจ็บแสบอยู่นั่น เวลามันตายไปโดยที่ไม่มีสติปัญญาน่ะ มันถึงมาเข้าใจถึงชีวิตไง ชีวิตมีเท่านี้เอง เกิดแล้วก็ตายไป ตายแล้วก็ไม่มีอะไรไป ตายไปด้วยความอัดอั้นตันใจ ตายไปด้วยความทุกข์ความยาก

แต่ของเราน่ะ ของเราเพราะเรามีอำนาจวาสนาบารมี พระโพธิสัตว์ท่านสร้างสมบุญญาธิการขึ้นมา ถึงออกไปค้นคว้า ออกไปประพฤติปฏิบัติ จนชำระล้างอวิชชาๆ มันเห็นจริงตามข้อเท็จจริงในใจ ใจมันรู้เท่าไง บุพเพนิวาสานุสติญาณ ความเป็นไปที่สะสมมาก็รู้ ถ้าทำไม่ได้ จุตูปปาตญาณมันก็รู้ ถ้ารู้แล้วทำไงต่อ อาสวักยญาณเข้ามาชำระล้าง มันจบสิ้น พอจบสิ้นแล้วมันจะตายด้วยความไม่ว้าเหว่แล้ว จะไม่ตายไปด้วยความลังเลสงสัยแล้ว จะตาย เห็นไหม เพราะมันเกิดแล้วต้องตาย แต่ตายแล้วไม่เกิดอีก ไม่เกิดอีกเพราะทำลายอวิชชา ทำลายความสงสัย ทำลายความเศร้าหมอง ทำลายสิ่งที่ไม่เข้าใจในชีวิตของตัวเอง เพราะคนยังสงสัย ยังเศร้าหมองอยู่ มันถึงจะต้องค้นคว้าต้องหาความจริง เพราะหาความจริงด้วยกิเลส มันก็หมุนของมันไป

แต่ถ้ามันทำลายภวาสวะทำลายทุกอย่างหมดแล้ว เห็นไหม มันจะไปไหนอีกล่ะ เกิดแล้ว เห็นไหม เกิดแล้วต้องตาย แต่ตายแล้วไม่เกิด สิ่งที่ทำอย่างนั้นเพราะอำนาจวาสนาบารมี นี่เหมือนกัน เรามีอำนาจวาสนาบารมี ถ้าเราไม่มีอำนาจวาสนาบารมี เราเกิดมาเป็นคน สิทธิเสมอภาคความเป็นคน ทำสิ่งใดก็ได้ ภายในกฎหมายที่บังคับ ถ้ากฎหมายบังคับ เราไม่ทำผิดกฎหมาย เราทำได้ทั้งนั้นน่ะ

ทางโลกเขาอยู่กัน เห็นไหม ถ้าไม่ผิดกฎหมายเขาก็อยู่ของเขาได้ ทำไมเราเสียสละมาล่ะ เราไม่ต้องการใช้ชีวิตแบบนั้น เรามาบวชเป็นภิกษุ เป็นสมณะ เป็นผู้เห็นภัยในวัฏสงสาร เป็นผู้ยอมรับในธรรมวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ประกาศตนว่าเป็นศากยบุตรพุทธชิโนรส แล้วเรามาบวชนี่มันมีอำนาจวาสนาไหม มีอำนาจวาสนาเพราะอะไร? มีอำนาจวาสนาเพราะ ๒๔ โมงนี้ไง ไม่ต้องแบบโลกเขา เห็นไหม หน้าที่การงานของเขาบีบคั้นเขา เขาต้องหาเวลาของเขามาปฏิบัติไง

ไอ้ ๒๔ ชั่วโมงเลย เช้าออกบิณฑบาต โดยบริษัท ๔ ไง อยู่ในสังคมของสงฆ์ เห็นไหม สงฆ์ อาวาสอารามที่อยู่ของผู้ไม่มีบ้าน ผู้ไม่มีบ้านมีเรือนเขาอยู่ในอาราม อยู่ในที่สาธารณะ เช้าก็ออกบิณฑบาตมาเลี้ยงชีพด้วยปลีแข้ง เลี้ยงชีพมา เลี้ยงชีพให้ชีวิตนี้อยู่แล้ว นี่โอกาส ๒๔ ชั่วโมงเลย

เราจะมุมานะขนาดไหนล่ะ เราจะมีสติปัญญาขนาดไหนล่ะ มีสิ่งใดบ้างที่มันขัดแย้ง มีสิ่งใดบ้างที่จะดึงเวลาเราไปที่ไม่ให้เราปฏิบัติ มีอะไรบ้างล่ะ มีอะไร? คนเรา เห็นไหม สัตว์ นกมันยังมีรวงมีรังใช่ไหม มนุษย์เราเกิดมาเป็นคนใช่ไหม ก็ต้องมีที่พักอาศัย ก็มีข้อวัตรปฏิบัติเพื่อการดูแลรักษาที่พักอาศัยเท่านั้นเอง ของของสงฆ์ ของที่เป็นสาธารณะไง เราใช้ของที่เป็นสาธารณะเพื่อการดำรงชีวิต แล้วสิ่งนี้มันก็เป็นข้อวัตรที่เราต้องทำเป็นครั้งคราว แล้วเวลาปฏิบัติ ๒๔ ชั่วโมง ทางของสมณะทางกว้างขวาง ถ้ามีครูบาอาจารย์ที่ดีที่ให้โอกาส กว้างขวางมาก ๒๔ ชั่วโมง ได้ ๒๔ เลย

วาสนาของสมณะไง ทางกว้างขวางไง เวลาทางกว้างขวาง เห็นไหม ทางกว้างขวางก็จะเอาแต่โอกาส จะเอาแต่สิ่งที่อำนวยความเป็นประโยชน์กับเรา แล้วเวลาทางคฤหัสถ์เขาทางคับแคบ ทางคับแคบเพราะอะไร? เพราะเขาต้องทำหน้าที่การงานของเขา เขาต้องรับผิดชอบชีวิตของเขา เวลาเขามีโอกาสปฏิบัติน่ะ นั่นเขาก็แสวงหาเหมือนเรา ที่เรามี ๒๔ ชั่วโมงอยู่แล้วแต่เราไม่ทำ แต่ฆราวาสเขาไม่มี เขาไม่มี เขาแสวงหา เขาอยากเป็นอยากไป

ดูสิ เห็นไหม วันหยุดต่างๆ ที่เขาปฏิบัติกันน่ะ เขาก็หาเวลา ๒๔ ชั่วโมงเหมือนเราไง ๒๔ ชั่วโมง เวลาเขามาแล้ว เห็นไหม ให้เขามาทานอาหารที่ศาลา ๒๔ ชั่วโมงก็ทำไปสิ ทำเข้าไป ถ้าคนที่มีพื้นฐานเขาก็ทำของเขาได้ ถ้าคนที่ไม่มีพื้นฐานล่ะ โอ้โฮ! อะไรๆ ก็ดีไปทุกอย่างเลย เสียอย่างเดียวเวลามันว่างมากเกินไป มันไม่รู้จะทำอะไรวันๆ น่ะ โอ้โฮ! เวลามันเยอะมาก เพราะเวลาอยู่นั่งทำงานทั้ง ๒๔ ชั่วโมง มันมีงานทำ พอมาอยู่วัดไม่รู้จะทำอะไรเดินไปเดินมา เวลามันเดินช้ามาก โอ้โฮ! เข็มนาฬิกาไม่กระดิกสักที

เวลาแสวงหาก็แสวงหา เวลานึกเอาน่ะ เห็นไหม มันอ้างอิงน่ะมันทำของมัน เวลาเอาจริงขึ้นมาน่ะทำไม่ได้ ทำไม่ได้เพราะอะไร? เพราะมันใกล้ชิดกัน เห็นไหม ใจของเรา กิเลสของเรามันอยู่ด้วยกัน มันใกล้ชิดเกินไป มันไม่รู้ไม่เห็นเลยน่ะ ไม่เห็นว่าความเป็นไปของใจมันเป็นอย่างไรเลย ทั้งๆ ที่จะมาแก้ไขมันอยู่ เห็นไหม มันก็ปิดบัง มันอ้างเล่ห์ไปเรื่อย อ้างธรรมไปเรื่อย แสวงหาธรรม ค้นคว้าหาธรรม

แต่เวลาจะทำจริงๆ สติธรรม สมาธิธรรม ปัญญาธรรมจะเกิดขึ้นมาน่ะ มันก็หาไม่เจอ ก็หาไม่ได้ก็ทำไม่ได้ ก็ล้มลุกคลุกคลานไปอยู่นี่ แล้วโทษใคร ทั้งๆ ที่มีวาสนา ไม่มีวาสนาไม่ได้เกิดเป็นคน การเกิดเป็นคนเกิดเป็นมนุษย์นี่มีวาสนามาก มีวาสนาเพราะอะไร กายกับใจ เวลาร่างกายนี้บีบคั้น โรคหิวเป็นโรคประจำธาตุขันธ์ มันขาดตกบกพร่องตลอดเวลา มันต้องการอาหารของมัน

หายใจออกซิเจนก็อาหารอันละเอียด ถ้ามันไม่หายใจ ติดขัดขึ้นมา มันดิ้นรนเลยล่ะ เวลาตายๆ เพราะขาดอากาศหายใจ เวลามันมีชีวิตอยู่ เห็นไหม เราหายใจเพื่อดำรงชีวิต สิ่งที่อาหารเราแสวงหามาเพื่อดำรงชีวิต ดำรงชีวิตไว้ทำไม ชีวิตนี้ดำรงไว้ทำไม

นักปฏิบัติ ครูบาอาจารย์ท่านถึงเห็นคุณค่าตรงนี้มาก เห็นคุณค่าของใจ เห็นคุณค่าของน้ำใจ เห็นคุณค่าของความน้ำใจที่อบอุ่น ครูบาอาจารย์ที่เป็นจริงอบอุ่น หลวงตาท่านบอกว่า อยู่กับหลวงปู่มั่นน่ะกลัวก็กลัวนะ แต่รักก็รัก นี่ไง ครูบาอาจารย์เป็นแบบนั้น กลัวๆ เพราะอะไร? กลัวเพราะเรามีความไม่รู้ เรามีความสงสัยในใจ เรากลัวทำผิดน่ะ กลัว กลัวมากเลย แต่ก็รักนะ รักเพราะอะไร? เพราะท่านรักเราจริงๆ ครูบาอาจารย์ท่านเมตตาเรานะ ด่าก็ด่าด้วยความรัก ด่าแน่นอน ด่าอะไร ด่าเพราะอะไร? หลวงตาท่านบอกว่าไม่ได้ด่าคน ด่ากิเลสของคน ด่ากิเลสที่มันครอบงำใจมึงน่ะ

สิ่งที่มันปิดกั้นในหัวใจน่ะมันมืดบอดนั่นน่ะ เวลาขาดสติน่ะซากศพเดินได้ ซากศพเดินได้ ดูสิ เรามีลูกมีหลาน เราอยากให้ลูกหลานมีสติมีปัญญาใช่ไหม ถ้าลูกหลานเรามันเดินด้วยความพลั้งเผลอ เดินไปมันมีอันตรายทั้งนั้นน่ะ ซากศพเดินได้ๆ แล้วให้ซากศพมันเดินได้ต่อหน้ามันทนได้ไหม มันทนสิ่งนี้ไม่ได้ ถ้ามันทนไม่ได้ มันก็บอกไง บอกก็ด่าไง ด่าอีกแล้ว

แต่เวลาเผลอมันเผลอนะ เวลาซากศพเดินได้มันไม่บอกเลยน่ะ เดินด้วยความเหม่อลอยมันเป็นซากศพแล้วล่ะ มันไม่มีสติมีปัญญาเลยน่ะ เห็นไหม สมณสารูป ถ้าสมณสารูป อยู่กับครูบาอาจารย์ท่านจะบอกว่าให้เคลื่อนไหวไว ทุกอย่างให้ไวนะ นั่งที่ไหนไม่ให้รากงอก เพื่อฝึกฝนไง ฝึกฝนไม่ให้กิเลสมันครอบงำ ไม่ให้กิเลสมันโดดเกาะ ถ้าเราเรื่อยเฉื่อยเหนื่อยหน่าย กิเลสมันกระโดดเกาะ แล้วมันสะสมๆ สะสมจนรากงอก รากงอกแล้วปฏิบัติไม่ได้ พอปฏิบัติไม่ได้มันขยับไม่ได้เลย จะทำอะไรก็ไม่ได้ ทำไมล่ะ ก็มันไม่สมฐานะน่ะ ถ้าจะปฏิบัติก็ต้องโรยด้วยกลีบกุหลาบก่อนน่ะ มันต้องเอาน้ำหอมพรมไว้เลยน่ะ จะเดินจงกรมน่ะกลิ่นมันต้องหอมหวนน่ะ มันไปโน่นเลยนะ

แต่ถ้ามันมีสติมีปัญญา สิ่งต่างๆ มนุษย์ประดิษฐ์ สิ่งที่มนุษย์ประดิษฐ์ไม่สำคัญ สัจจะซิ สัจจะเป็นความจริง ถ้าสัจจะความจริง เรามีสติมีปัญญาเราค้นคว้าของเรา ถ้าค้นคว้าขึ้นมาได้จริงนะ เห็นไหม ดูสิ บุรุษอาชาไนย สิ่งที่เขาแสวงหาสัมมาอาชีวะ ความสัมมาอาชีวะเขาบอกเขาประกอบอาชีพโดยสะอาดบริสุทธิ์ เป็นสัมมาอาชีวะ เห็นไหม ประกอบอาชีพชอบ อาชีพอย่างนี้อันเป็นการเลี้ยงชีพ

แต่ถ้าเราเลี้ยงหัวใจล่ะ เห็นไหม สิ่งที่เป็นวิญญาณาหาร สิ่งที่เป็นความรู้สึกนึกคิด อารมณ์ความรู้สึก ถ้ามีสติมีปัญญาขึ้นมา เห็นไหม สิ่งที่มันเสวย เสวยไปแล้ว คิดความโลภ ความโกรธ ความหลง คิดทีไร เสวยทีไร เจ็บช้ำน้ำใจทุกที คิดทีไร เสวยทีไร ทำทีไร มีแต่น้ำตานองหน้า แล้วยังเสวยอยู่ทำไมล่ะ แล้วมันเป็นสัมมาอาชีวะตรงไหนล่ะ ถ้ามันเป็นสัมมาอาชีวะ ทำไมน้ำตาไหลล่ะ ทำไมสัมมาอาชีวะ ทำไมมันทุกข์ยากขนาดนี้ล่ะ

แต่ถ้าเรามีสติมีปัญญานะ อันนี้มันเป็นยาพิษ อันนี้มันเป็นสารพิษ ถ้าเป็นของเป็นพิษ จิตใจเราไม่เสวย แต่มันเคยชินน่ะ ของมันเคยๆ น่ะ เรามีสติยับยั้งอย่างไร ถ้าสติยับยั้งเขา มีเขาก็พุทโธๆ เห็นไหม ถ้าเขาพุทโธไม่ได้ เขาก็ใช้ปัญญาอบรมสมาธิของเขา ถ้ามันไม่เสวย ถ้ามันไปเสวยแต่พุทโธ มันไปเสวยที่สติปัญญา แยกธาตุรู้ แยกความรู้สึกของเรา มันแยกเข้าไปสู่ธรรม เห็นไหม พุทธานุสติ ปัญญาอบรมสมาธิ

เป็นสัจธรรม ศีล สมาธิ ปัญญา สติธรรม สมาธิธรรม ถ้าสติธรรม สมาธิธรรม มันมีสติปัญญาบังคับ ใหม่ๆ ต้องบังคับ โอ๊ย! ปฏิบัติธรรมทำไมต้องบังคับ ปฏิบัติธรรมมันก็ต้องว่างๆ ปฏิบัติธรรมมันก็ต้องสะดวกสบายสิ ปฏิบัติธรรมทำไมมันอึดอัดขัดข้องไปหมดเลย ไอ้นี่มันอ้างธรรมน่ะ มันธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เห็นไหม ผลของมันเริ่มต้นด้วยการบังคับ ด้วยการมีสติมีปัญญา

ท่ามกลางที่มันกลมกลืนต่อกัน ท่ามกลางเพราะมีคำบริกรรมมันต่อเนื่องกัน จิตมันมีคำบริกรรมต่อเนื่องกันไปแล้วมันละเอียดลึกซึ้งเข้ามา เห็นไหม ท่ามกลางมันชักสะดวกขึ้น ที่สุดโอ้ย! มันปล่อยวาง มันละเอียดลึกซึ้ง นี่ไง มันมีเหตุมีผลของมันสิ

เริ่มต้น ท่ามกลาง และที่สุด มันมีของมันสิ เวลาเราปฏิบัติน่ะ ไอ้นี่เริ่มต้นก็ว่างๆ ล่ะน่ะ เริ่มต้นน่ะว่างไปหมดเลย มันเวิ้งว้างไปหมด ท่ามกลางมันก็ตกภวังค์แล้วนะ ที่สุดมันก็หลับไปเลยน่ะ ที่สุดมันตื่นขึ้นมาน้ำลายไหลเลยน่ะ นอนขึ้นมา โอ้ย! วันนี้เข้าฌานสมาบัติ น้ำลายเปียกหมอนเลยน่ะ นี่ไง มันอ้างอิง ชิงสุกก่อนห่ามน่ะ

แต่ถ้ามันเป็นความจริง เห็นไหม คนเรามันก็ต้องมีเริ่มต้น เริ่มต้นก็บังคับมัน ทำคุณงามความดีบังคับมัน ท่ามกลางๆ ฮือ... ทำแล้วมันมีเหตุมีผล หัวใจมันสงบระงับเข้ามา มันหนักหน่วง มันมีอารมณ์ มันมีสิ่งที่รู้ได้ มันมีสติของเรา ฮือ...มันแปลกๆ พุทโธต่อเนื่องไปๆ

ถึงที่สุดมันว่าง มันละเอียดลึกซึ้ง โอ้! สัมมาสมาธิเป็นแบบนี้เนาะ ไม่ใช่ว่างๆ ไม่ใช่ว่าวเชือกขาดเนาะ ดูสิ ดูก้อนเมฆมันปลิว มันไปตามธรรมชาติของมัน ไอ้นั่นมันไม่มีชีวิตน่ะ มันไม่มีชีวิต มันไม่มีเวรมีกรรม แต่จิตใจเรามีชีวิตน่ะ ธาตุรู้น่ะ มโนกรรม คิดดี คิดชั่ว คิดดีมโนกรรมมันก็ซับสมเข้ามา นาโน เห็นไหม พุทโธๆๆ นาโน เห็นไหม มันสะสมขึ้นมา ซับสมขึ้นมา จนมันสร้างตัวได้ มันเป็นหลักฐานได้ไง

พุทโธๆๆๆ นาโนที่ละเอียดของใจ มันซับสมของมันขึ้นมา ปัญญาอบรมสมาธิขึ้นมา มันมั่นคงของมันขึ้นมา มันเป็นความจริงขึ้นมา เห็นไหม สัจธรรม ไม่ใช่อ้างอิง ไม่อ้างอิง ไม่เจ้าเล่ห์ ไม่ฉ้อฉล ทำความจริงขึ้นมา เราเป็นนักรบนะ นักรบ เราเป็นนักปฏิบัติ ปฏิบัติขึ้นมา เห็นไหม ให้มีสมบัติส่วนตัว ให้มีสัจจะความจริง สัจจะความจริงขึ้นมา

ปฏิบัติให้เป็นความจริงขึ้นมา ความจริงเป็นความจริง ความจริงเป็นอันเดียวกัน แต่จริตนิสัย วิธีการ คนกระทำแตกต่างกันมา แต่ความจริงมีอันเดียว ศีล สมาธิ ปัญญา เวลามรรคขึ้นมา โสดาปัตติมรรค สกิทาคามิมรรค อนาคามิมรรค อรหัตตมรรค มรรค ๔ ผล ๔ บุคคล ๔ คู่ จะเกิดขึ้นมาในใจของเรา ใจเรามันแปลกประหลาดมหัศจรรย์ ทุกข์ยากแสนยาก แต่มันปฏิบัติแล้วมันเป็นความจริงขึ้นมา มันเป็นบุคคล ๘ บุคคล ๘ มันเป็นขึ้นมาได้อย่างไร แล้วถึงที่สุดแล้วน่ะ มรรค ๔ ผล ๔ นิพพาน ๑ พ้นออกไปจากกิเลสตัณหาความทะยานอยากที่สุด เห็นไหม เป็นธรรมธาตุ เป็นสัจธรรมความจริงนั่นน่ะ เหนือโลก ถ้าเหนือโลกขึ้นมาแล้ว มันเข้าใจโลกหมดเลยเพราะมันเหนือ เพราะมันเหนือโลกมันถึงเห็นโลก มันถึงเข้าใจโลก มันถึงปล่อยวางโลก มันถึงได้เหยียบโลกไว้ใต้ฝ่าตีนไง เอวัง