เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๓o มี.ค. ๒๕๕๗

 

เทศน์เช้า วันที่ ๓๐ มีนาคม ๒๕๕๗
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

วันนี้วันพระ เห็นไหมวันพระ วันโกนเราทำบุญกุศลของเรา เราจะทำบุญกุศลของเราเพื่อประโยชน์กับเรานะ ดูคนมีศรัทธาความเชื่อถ้ามีความเชื่อเข้มแข็ง ในการประพฤติปฏิบัติจะเข้มข้น คำว่า“เข้มข้น” การปฏิบัติตามความเป็นจริงตามความเข้มข้นของเรา แต่ถ้าคนอ่อนแอนะ ทำสิ่งใดก็ล้มลุกคลุกคลานไปทั้งนั้นแหละ แต่ความปรารถนาดี เราปรารถนาดีไง เราปรารถนานี้คุณงามความดีของเรา

เวลาความดีเรื่องของทาน ทานคือการเสียสละ เสียสละเพื่ออะไร? เพื่อให้หัวใจเรามันมีอำนาจวาสนาบารมี คนเราถ้ามีบารมี ไปที่ไหนมีแต่คนเชิดชูบูชาคนที่ไม่มีบารมีจะร่ำรวยขนาดไหน จะมีทรัพย์สมบัติมากน้อยขนาดไหนก็แล้วแต่ คนไม่มีบารมีมันเดียวดายไงมันไปไหนมันเดียวดาย มันว้าเหว่ คำว่า“บารมี” มาจากไหน? มาจากการเสียสละนี่แหละมาจากทาน มีน้ำใจ เรามีน้ำใจต่อเขา เราทำคุณงามความดี

กลิ่นของศีลหอมทวนลมทำความดีไม่ต้องไปปรารถนาความดี เราทำของเราไป เราทำของเราไป เพราะอะไร เพราะคน คนไม่ยอมรับคนหรอก คนเขาจะยอมรับกันต่อเมื่อเขามีความดีจริง ความดีจริงเพราะอะไรเพราะจิตใจเขาเห็นคุณงามความดีจริง เขายอมรับจากหัวใจของเขา แต่ถ้าเราปรารถนาความดีปรารถนาให้คนยอมรับๆ เราทุกข์ตายเลยเพราะใครจะยอมรับใครล่ะไม่มีใครยอมรับใครหรอก เพราะหัวใจของเรา เรายังไว้ใจเราไม่ได้เลย ถ้าเราไว้ใจหัวใจเราไม่ได้เราจะไว้ใจใครล่ะ เพราะหัวใจเราไว้ใจเราไม่ได้ใช่ไหม

แต่วันนี้วันพระ วันพระ พุทโธ พุทธะ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานความเบิกบานในหัวใจของเราถ้าหัวใจของเรามันเบิกบาน เราไว้ใจเราได้ไง เราไว้ใจเราได้แล้วไว้ใจเราได้ตรงไหนล่ะ

คนถ้ามีความศรัทธาเข้มข้นของเขา เขาทำอะไรเขาทำจริงจังของเขานะ ถ้าทำจริงจังของเขา

“เราทำจริงจังของเราแล้วทำไมเราไม่ได้ผล ไม่ได้สมาธิไม่ได้ปัญญาสมความปรารถนาของเราล่ะ”

อันนั้นมันเป็นอีกเรื่องหนึ่งนะ ถ้าเป็นอีกเรื่องหนึ่ง เห็นไหม ดูสิ ดูเขาทำอาหาร เราไม่เคยทำอาหาร เราได้แต่กินอาหารอาหารชนิดนี้อร่อยๆ เราจะทำบ้างมันจะอร่อยตรงไหนล่ะ เพราะอะไร เพราะการที่ทำอาหารอร่อยคนที่เขาจะทำได้เขาต้องเลือกวัตถุดิบที่สดความสดของเขาความสะอาดของเขา สิ่งที่เป็นประโยชน์กับเขาคนที่เขาจะทำอาหาร แม้แต่พ่อครัวที่เขามีความชำนาญนะ เขาปลูกของเขาเองเวลาทำเขาเอาสดๆ จากต้นลงมาทำอาหาร ของมันสดใหม่ตลอดอาหารออกมามันก็มีคุณภาพใช่ไหม

นี่ก็เหมือนกัน ศีลสมาธิ ปัญญาของเรามันอยู่ไหน ดูสิ เรามีแต่ของสำเร็จมา มันเป็นธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอาหารสำเร็จรูปอาหารพร้อมทานๆ เดี๋ยวนี้อาหารพร้อมทานมันไปทั่วพร้อมทานๆ เราก็เอาความสะดวกสบายเห็นไหม โลกนี้เจริญ เรามีปัญญา เราศึกษาใคร่ครวญแล้วเรามีความรู้ของเราแล้ว อาหารพร้อมทานไงอาหารพร้อมทานอร่อยไหมล่ะอร่อยเพราะเขาใส่ผงชูรส เขาใส่สารเคมีเพื่อให้มันอร่อย อร่อยแต่มันมีโทษกับร่างกายนี้ไหมแต่ถ้าเชฟที่เขามีจรรยาบรรณ เขาทำของเขา เขาเอาของสดๆ เด็ดมาจากต้น นี่ก็เหมือนกัน ศีลสมาธิ ปัญญามันเกิดจากเรา ศีลสมาธิ ปัญญาสดๆ ร้อนๆ ถ้าสดๆ ร้อนๆ ของเรา

ไอ้นี่ศีลก็อยู่ในพระไตรปิฎก ศีลสมาธิ ปัญญา ชื่ออยู่ในพระไตรปิฎกหมดเลย อาหารพร้อมทาน องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทำให้พร้อมแล้ว พอพร้อมแล้วปฏิบัติไป “ผู้ที่ปฏิบัติทุกข์ๆยากๆ พวกนั้นไม่มีอำนาจวาสนา เรามีอำนาจวาสนา เราทำสิ่งใดเราทำสมความปรารถนาเรา” นี่กิเลสมันเสี้ยม พอกิเลสมันเสี้ยมก็เชื่อมันไปถ้าเชื่อมันไป ถ้าศรัทธามันอ่อนแออยู่แล้ว พอกิเลสมันเสี้ยมก็เชื่อมันพอเชื่อมัน ปฏิบัติไปก็ล้มลุกคลุกคลาน แล้วก็มาตีโพยตีพายว่า“ปฏิบัติแล้วก็ไม่ได้ผล เราปฏิบัติมาถึงขนาดนี้แล้วมรรคผลไม่มีหรอก มันพ้นกึ่งพุทธกาลไปแล้วมรรคผลมันไม่มี”

ถ้าที่ใดมันมีทุกข์ ทุกข์เกิดขึ้น ทุกข์ตั้งอยู่ แล้วทุกข์ดับไป ถ้ามันมีทุกข์อริยสัจ ความจริงแล้วบอกทุกข์ควรกำหนด เราจะกำหนดมัน เราจะหาตัวตนมันก็บอกไม่ได้อีก มันเป็นทุกข์นิยมๆเราจะเอาแต่ความสุขๆ ไง

แล้วเวลาศึกษาในพระไตรปิฎก องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเวลาท่านสร้างสมบุญญาธิการของท่านมา จะทำสิ่งใดบุญกุศลมันส่งเสริมมา ในเรื่องลาภสักการะดูสิ เวลาพระสีวลีเป็นผู้ที่มีลาภมากที่สุด มันมาจากไหนล่ะ? มันมาจากอดีตชาติเวลาคนไปถามองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เขาทำของเขามาทั้งนั้นแหละ เขาเป็นหัวหน้าผู้ที่ทำบุญเขาเป็นหัวหน้าคน เขาชักชวนคนทำบุญ เขาชักชวน เขาเป็นหัวหน้า เขาเป็นผู้เสียสละก่อน นี่เขาทำของเขามา

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ขึ้นมา เขาบอกองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามีคนนับหน้าถือตา...ก็ท่านทำของท่านมาเหมือนกันท่านทำของท่านมา ท่านเสียสละของท่านมา ท่านทำของท่านมา นี่ก็เหมือนกัน เวลาเราจะทำของเราล่ะ เราจะทำของเรา เราล้มลุกคลุกคลาน “สิ่งนี้มันไม่มีแล้วแหละเราทำเต็มที่ของเราแล้ว”...เต็มที่ของใครล่ะ? เต็มที่ของคนที่อ่อนแอไง คนที่มันไม่เป็นความจริงไง คนที่เป็นความจริงเขาทำของเขาด้วยความเข้มข้นของเขา เขาทำด้วยความเต็มใจของเขา ความเข้มข้นของเขา

อัตตกิลมถานุโยค เวลาธรรมมันไม่ได้ผลของมัน มันก็เป็นเรื่องความสมดุลเห็นไหม มัชฌิมาปฏิปทา ความสมดุล เห็นไหมเรานั่งสมาธิกันเกือบเป็นเกือบตาย บางวันนั่งก็ไม่ได้ บางวันนั่งแล้วไม่ได้ตั้งใจสิ่งใดเลย มันลงสมาธิ มันสมดุลของมัน แล้วสมดุลของมันเราก็อยากรู้ว่ามันสมดุลอย่างไรเพราะเราจะจำสิ่งนี้ไว้ เราอยากจะเข้าตรงนี้อีกแล้วมันก็เข้าไม่ได้ ก็ล้มลุกคลุกคลานอยู่อย่างนั้นแหละ ล้มลุกคลุกคลานเพราะอะไร เพราะมันมีตัณหาความทะยานอยาก มันมีสิ่งเร้า มันอยากได้อยากดีไง ความอยากได้อยากดีเห็นไหม

แต่เราทำคุณงามความดี เราปรารถนาดี เรามีเป้าหมาย แต่เราไม่อยาก เราทำแล้วเราทิ้งเลยๆ นั่งสมาธิเราทำของเราแล้ว เราบูชาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เรามีความเข้มข้นในหัวใจของเรา

เวลาเราทำอาหารของเราเราจะปลูกต้นไม้ของเรา เราจะปลูกผักชี เราจะปลูกพืชผักต่างๆเราจะเลี้ยงสัตว์ของเรา เชฟที่เขามีความสามารถเขาทำนาเองเลยเขาต้องการเมล็ดข้าวที่สด เมล็ดข้าวที่มีคุณภาพเวลาทำอาหารแล้วออกมามันมีประโยชน์ นี่ไง นี่ก็เหมือนกัน เราตั้งสติของเรา เราจะกำหนดพุทโธของเรา เราจะทำสมาธิของเรา เราปรับพื้นที่ของเราเราจะปลูกพืชผลของเรา ถ้าพืชผลของเรามันเกิดขึ้นมาเราก็ชื่นใจแล้ว ดูสิ เวลามันแตกใบอ่อน เวลาผักมันเกิดขึ้นมามันแตกใบอ่อนพวกแมลงมันจะมาแย่งชิง

นี่ก็เหมือนกัน เราตั้งสติขึ้นมาก็ล้มลุกคลุกคลาน เวลาทำสมาธิขึ้นมา อย่างนี้เป็นสมาธิหรือไม่เป็นสมาธิ นี่มันยังมหัศจรรย์เลย พอเอาเมล็ดฝังดินไปก็ โอ้โฮ! เร่ง หัวใจจะแตกสลาย ทำไมมันไม่งอกเสียที อู๋ย! ทำไมมันไม่เติบโต โอ๋ย! สวนของคนอื่นมันเต็มไปหมดเลยทำไมของเรามันไม่งอกไม่งามขึ้นมาเลย...ก็เราไม่ดูแล เราไปเร้า นี่กิเลสไง กิเลสคือตัณหาความทะยานอยาก สิ่งที่ยังไม่เป็นก็อยากให้มันเป็นสิ่งที่ไม่สมความปรารถนา เวลามันงอกขึ้นมาแล้ว เวลามันเติบโตขึ้นมาแล้วมันไม่สมความปรารถนา นี่ผลักไส ความผลักไส เห็นไหม

แต่ถ้าคนเขาเป็น อายุของมัน ๔๕ วัน มันก็ได้ผลแล้ว อายุของมันจะเกิด ๒วัน ถ้าเรารดน้ำพรวนดินของเราเราดูแลของเรา ๒วัน คนที่เขามีความชำนาญนี่เขารู้เลย ฉะนั้นเวลาเขาทำอาหารนะ เขาคิดเลย เขาจะวางแผนไว้เลยว่าเขาต้องการใช้สิ่งใด เขาจะปลูกตอนไหน กี่วันมันถึงพอดีใช้งานพอใช้งาน อาหารชนิดนั้น วัตถุดิบต่างๆ มันมีหลากหลายที่เขาจะเอามาใช้ปรุงอาหารนั้น แล้วของสดๆเก็บมาสดๆ ทั้งนั้นเลย เวลาทำออกมาทำไมอาหารนี้มันอร่อยล่ะ ทำไมของเราก็ของไปซื้อมา มันแช่ฟอร์มาลีนมาไง ผัดอย่างไรมันก็ไม่สุก มันอยู่อย่างนั้นแหละแล้วของเราออกมาทำไมรสชาติไม่เหมือนกับเขาๆ...เพราะเราไม่ได้ทำของเรา

นี่ก็เหมือนกัน เวลาปฏิบัติ ถ้ามีสติสติก็เป็นปกติเป็นปัจจุบันนี้ ถ้ามันเข้มข้นก็เข้มข้นของมัน ถ้ามีสมาธิขึ้นมาสมาธิก็ของเราสดๆ ร้อนๆ สมาธิมีความสุข มีความสงบ มีความระงับ แล้วฝึกหัดใช้ปัญญาล่ะ

ฝึกหัดใช้ปัญญา ของที่เราได้หามาแล้วเราต้องปรุงต้องแต่งขึ้นมาให้เป็นอาหารขึ้นมาเป็นอาหารมันก็เป็นอาหารจานใดก็แล้วแต่ที่เราปรารถนาจะทำ นี่ก็เหมือนกัน สิ่งที่เราหามา เราก็ต้องหามา สิ่งที่มันไม่มี ของมันเน่าแล้ว ไปเก็บไปคุ้ยเอาที่กองขยะแล้วก็จะเอามาทำอาหารกันแล้วก็บอกว่ามันจะต้องได้ดี

ถ้ากองขยะ มันก็เป็นอาหารของสัตว์สัตว์มันไปคุ้ยไปกินของมัน ไปหาของมัน มันไม่หาในป่าแล้ว แต่ก่อนมันหากินอาหารในป่าของมัน เดี๋ยวนี้มันมาคุ้ยจากกองขยะแล้วเราจะไปแย่งสัตว์ใช่ไหม แย่งสัตว์เอามาปรุงอาหาร แล้วพอปรุงอาหารออกมาแล้วมีแต่ของเน่าของเสีย แล้วเอามาปรุงให้มันสดชื่นขึ้นมา นี่ก็เหมือนกัน ถ้ามันอ่อนแอ มันอ่อนแออย่างนั้นไปหมด

แต่ถ้าเราเข้มแข็ง วันนี้วันพระ พระเป็นผู้ประเสริฐ ถ้าประเสริฐแล้ว เราอยากประเสริฐในใจของเราพระเป็นผู้ประเสริฐ เห็นไหมแก้วสารพัดนึกเป็นมงคลชีวิตการได้เห็นสมณะเห็นสมณะที่ ๑สมณะที่ ๒ สมณะที่ ๓ สมณะที่ ๔โสดาบัน สกิทาคามี อนาคามีพระอรหันต์ ได้เห็นสมณะเป็นมงคลกับชีวิต นี่เราได้เห็นสมณะเราได้กราบได้ไหว้ ได้ฟังธรรม

ฟังธรรมนะ เตือนสติเราสิ่งที่ไม่เคยได้ยินได้ฟัง ทั้งๆ ที่มันก็เหมือนเสียงลมพัดมา เราตีความออกหรือไม่ออกว่ามันคืออะไร ฟังเทศน์ก็เหมือนกัน ฟังเทศน์ทุกวันมันผ่านหูไปเฉยๆแต่ถ้ามันสะเทือนใจเรา มันผ่านมาแล้วมันมีคำที่สะเทือนใจ เห็นไหม นี่ฟังธรรมๆสิ่งที่ไม่เคยได้ยินได้ฟัง สิ่งที่ได้ยินได้ฟังแล้วตอกย้ำๆ แล้วสิ่งนี้มันแก้ความสงสัยของเรา เวลาฟังแล้วจิตใจมันผ่องแผ้ว นี่ถ้าได้พบสมณะ

แต่เราต้องการสมณะในใจของเรา อตฺตา หิ อตฺตโนนาโถ ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน ตนต้องสัมผัสเองเวลาเป็นสติ สติถ้ามันเกิดขึ้นมาสติก็คือสตินะ สติก็คือสติ สติทำอะไรได้ล่ะ แต่ถ้าเราเกิดสติขึ้นมาเราใช้งานเป็นเราใช้ประโยชน์เป็น พอสติขึ้นมานะ เวลาเรามีความคิดที่เร่าร้อน มีความคิดที่เจ็บช้ำน้ำใจมีความคิดที่มันเหยียบย่ำทำให้เราเจ็บช้ำ พอมีสติมันยับยั้งได้ นี่ไง สติมีผลอย่างนี้ไง สติมันทำให้เราระลึกรู้ เราไม่คิดตามมันไป สติมันทำให้เราไม่ทุกข์ สติทำให้เราปล่อยได้

แต่เวลาบอกสติ สติมันคืออะไรล่ะ สติก็คือสติ นี่ไง เชฟทำงานไม่เป็น มันจะไปเอาที่ขยะเวลาจะไปหามันไปหาที่กองขยะมันบอกว่านั่นคืออาหาร

แต่ถ้าคนเขาเป็นนะ เขาปลูกผักปลูกหญ้านะ เขากำหนดวันนะ กี่วันเขาถึงจะใช้งานได้ ให้พอดีกับการทำงานของเขา พอมีสติขึ้นมา มันมีปัญญา สติมันยับยั้งได้ สติถ้าระลึกรู้ ถ้ามันใช้ประโยชน์ได้ สิ่งที่มันทุกข์ๆ ร้อนๆสิ่งที่มันเหยียบย่ำหัวใจ สิ่งที่มันเผาลนใจนี่หยุดหมดถ้าสติมันทัน หยุดได้หมด พอหยุดได้แล้วนะ หยุดแล้วทำอย่างไรต่อ หยุดก็คือหยุด หยุดเดี๋ยวก็คิดอีก หยุดก็คิดอีก สติเรามีต่อเนื่อง แล้วถ้ามันคิดอีกเราทำอย่างไร คิดอีกเราก็เปลี่ยนจากที่มันจะคิดมาบริกรรมเสียบริกรรมพุทโธๆสิ่งที่มันจะคิดให้มันคิดพุทโธเสียพุทโธๆ ต่อเนื่องนาโน สิ่งที่ละเอียดที่สุด เล็กที่สุด ความรู้สึกมันคลายตัวตลอด ให้มันสะสมตัวมันๆๆสะสมพุทโธๆๆ

สิ่งที่เราทำได้ เราทำไม่ได้ มันสดๆ ร้อนๆนะ ดูสิ เราปลูกผักปลูกหญ้าเวลามันงอกขึ้นมา เราจะให้มันเจริญงอกงามให้ใช้ประโยชน์ได้เดี๋ยวนี้ ตอนนี้จะแกง จะผัด จะเอาเดี๋ยวนี้ๆ แล้วมันมาจากไหนล่ะ

นี่ก็เหมือนกัน พุทโธๆๆ เราตั้งสติแล้วพุทโธต่อเนื่องไป ถ้ามันนาโน มันสะสมๆขึ้นไป มันจะงอกงามขึ้นมามันจะใช้ประโยชน์ได้แล้วพอใช้ประโยชน์ได้ ถ้าเราเกิดปัญญาเราจะเอามาทำเป็นอาหารชนิดใด ถ้าเราไม่เกิดปัญญาขึ้นมาเวลามันเกิดขึ้นมา มันงอกขึ้นมาแล้ว ถ้าเราไม่เก็บมาใช้เดี๋ยวมันก็เหี่ยวเฉาไปเดี๋ยวมันก็เสียหายไป นี่ไงเพราะปัญญามันไม่เกิดไง

นี่ปัญญาเกิดนะ เห็นไหมสมาธิแก้กิเลสไม่ได้ แต่ถ้าไม่มีสมาธิมันก็เกิดภาวนามยปัญญาไม่ได้เหมือนกันสมาธิเป็นตัวพื้นฐานให้เราใช้ภาวนามยปัญญา โลกุตตรปัญญา ปัญญาที่จะแก้ไขกิเลส

แต่บอกว่า“เรานี่มีปัญญากันมาก”...ก็อาหารในกองขยะไง กองขยะเขาเอามาทิ้งไว้ เราไม่ต้องทำหรอก เดี๋ยวรถเทศบาลมันก็ทิ้งแล้ว เดี๋ยวมันมาดัมพ์เลย ไปเก็บเอา นี่ก็เหมือนกัน “ไม่ต้องทำเดี๋ยวมันมาเองมันมีของมันเองมันเป็นของมันเอง”...มันเป็นไปไม่ได้ ฉะนั้น ถ้าเป็นไปไม่ได้ มีสมาธิแล้วทำอย่างไรต่อ

มีสมาธิแล้วฝึกหัดใช้ปัญญาๆ ถ้ามีสมาธิแล้วจิตมันจริงแท้

จิตเดิมแท้นี้ผ่องใส จิตเดิมแท้หมองไปด้วยอุปกิเลส จิตเดิมแท้นี้ผ่องใสจิตเดิมแท้นี้เป็นผู้ข้ามพ้นกิเลส

“จิตเดิมแท้ๆ” แต่จิตมันไม่เดิมแท้เพราะอะไร เพราะมันมีตัณหาความทะยานอยากครอบงำมัน แล้วมันเสวยอารมณ์มันคิดของมันไปมันไม่เดิมแท้เพราะสมมุติบัญญัติครอบงำมันไว้ สมมุติครอบไว้ สมมุติก็คืออยากได้อยากดี อยากเป็น คิดของมันไป มันไม่เดิมแท้เพราะมันเป็นสัญชาตญาณของมนุษย์ มันเป็นธรรมชาติของมนุษย์ที่ต้องมีอารมณ์ความรู้สึก ต้องคิดออกไป ถ้าเราพุทโธๆมันก็ปล่อยอารมณ์ความรู้สึกจนมันเป็นอิสระ เป็นตัวมันเอง นี่จิตเดิมแท้

จิตเดิมแท้นี้ผ่องใส จิตเดิมแท้นี้หมองไปด้วยอุปกิเลสจิตเดิมแท้นี้ผ่องใส จิตเดิมแท้นี้จะเป็นผู้ข้ามพ้นกิเลส จิตเดิมแท้มันจะเป็นผู้ข้ามพ้น ถ้าข้ามพ้น ข้ามพ้นอย่างไรล่ะ จะข้ามพ้นอย่างไร

พอมันสงบขึ้นมาแล้วสมาธิทำอย่างไรล่ะ สมาธิทำอย่างไร มีหมดทุกอย่าง มีผักหญ้าทุกอย่างพร้อม ทำอย่างไรปล่อยให้มันเน่าไหม ไม่มีก็อยากมีอยากเป็น พอมันมีขึ้นมาก็ใช้ไม่เป็นใช้ไม่ถูกอีก ถ้ามันใช้ถูกขึ้นมา เอามาทำอาหารของเราเอามาทำประโยชน์กับเราถ้าทำประโยชน์กับเรา พิจารณาของเรา แยกแยะของเราไป เห็นกาย เห็นเวทนาเห็นจิต เห็นธรรม

เขาบอกว่า “กิเลสมันเป็นอย่างไร กิเลสมันไม่มีตัวไม่มีตนกิเลสมันเป็นกิริยา กิเลสมันเป็นอาการ”...นั่นล่ะเขาว่าของเขาไป แต่ของเราล่ะกิเลสมันคืออะไรถ้าไม่เห็นกิเลสจะไปชำระกิเลสได้ไหม เราเป็นหนี้ใครล่ะ เราไม่ใช้เจ้าหนี้มันจะพ้นจากหนี้ไหมถ้าเราไม่พ้นจากเจ้าหนี้ เราไม่รู้จักเจ้าหนี้ เราไปใช้ใคร เห็นไหมเป็นหนี้อยู่ ยืมคนนี้มาไปใช้อีกคนหนึ่ง แล้วบอกว่าเราใช้หนี้แล้วๆเดี๋ยวเขาก็ตามมาทวงหนี้อีก

นี่ก็เหมือนกัน กิเลสมันอยู่ไหน เห็นกายอย่างไร เห็นกายเห็นเวทนา เห็นจิต เห็นธรรมอย่างไร ถ้าไม่เห็นตัวมันจะรู้ได้อย่างไร ถ้าไม่เห็นตัวมันจะสละตัวมันได้อย่างไรถ้าไม่เห็นตัวมันจะแยกแยะมันได้อย่างไร ถ้าไม่เห็นตัวมันจะบอกว่ากูเป็นหนี้มึงเท่าไร กูเป็นหนี้มึงเท่าไร บอกมาว่ากูเป็นหนี้มึงเท่าไร กูจะได้ใช้มึง

นี่ไง พอไปเจอการพิจารณามันแยกแยะ มันเป็นไตรลักษณ์ของมันไปพิจารณากายพิจารณาเวทนาพิจารณาจิตพิจารณาธรรมพิจารณาแล้วมันก็ปล่อยๆ พอมันปล่อย นั่นล่ะกูใช้หนี้มึงหนหนึ่งนะดอกเบี้ยเท่าไรต้นเท่าไร ถ้ามันยังใช้ไม่พอ ไม่มีเงินพอ เดี๋ยวไปใช้ใหม่ พอมันรวมลง มันปล่อยแล้วเดี๋ยวพิจารณาใหม่พิจารณาซ้ำพิจารณาซากเข้าไป กูใช้มึงเรื่อยๆ ใช้จนเอ็งพอใจ ใช้จนสังโยชน์มันขาดเวลามันขาดไปอกุปปธรรมๆเห็นไหม จิตเดิมแท้นี้ผ่องใส จิตเดิมแท้นี้เป็นผู้ข้ามพ้นกิเลส เราจะข้ามพ้นมันไปข้ามพ้นมันไปด้วยความเพียรความวิริยะ ความอุตสาหะ การกระทำของเรา

เราเกิดเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา พระพุทธศาสนานี้เกิดได้ยาก เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าต้องสร้างบุญญาธิการมา ๔อสงไขย ๘อสงไขย ๑๖อสงไขย แล้วองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสร้างมา แล้วพยายามรื้อค้นในกิเลสตัณหาความทะยานอยากในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจนสำเร็จสิ้นไปแล้ว แล้ววางธรรมและวินัยนี้ไว้ธรรมวินัยจะเป็นครั้งเป็นคราวกิเลสจะอยู่กับเรามีอยู่ตลอดไป ผลของวัฏฏะไม่มีต้นไม่มีปลาย การเวียนว่ายตายเกิดของจิตจะไม่มีต้นไม่มีปลาย

ในปัจจุบันนี้เราเกิดเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา พระพุทธศาสนาคือคำสั่งสอน ธรรมโอสถสัจธรรมอันนั้นคือยารักษาโรคสัจธรรมอันนั้นคือยาแก้กิเลสสัจธรรมอันนั้นคือยารักษาโรคแก้โรคในหัวใจของเรา เราจะทำได้หรือทำไม่ได้เราจะพยายามของเราเราทำของเราสุดความสามารถของเรา ถ้าสุดความสามารถเราทำประโยชน์กับเรา เราจะเป็นผู้ประเสริฐในหัวใจ

พบสมณะเป็นมงคลชีวิต แต่ถ้าเราประพฤติปฏิบัติ เราได้สัมผัสสัจธรรมสัจธรรม ธรรมโอสถนั้นจะเข้ามายับยั้งเป็นสมาธิให้เราได้ความร่มเย็นเป็นสุข สิ่งที่ยับยั้งแล้ว สิ่งที่ยับยั้งนั้นเราออกฝึกหัดใช้ปัญญาด้วยภาวนามยปัญญา

ภาวนามยปัญญา ถ้าคนทำภาวนาไม่เป็นมันใช้หนี้ไม่ได้ไม่เห็นเจ้าหนี้ ใช้หนี้ไม่ได้ ถ้าการใช้หนี้ ผู้ที่พ้นจากหนี้ เราเป็นหนี้ทุกคน เป็นหนี้เวรหนี้กรรมกันมาทุกๆคน แล้วก็บอกว่า“เรามีกรรมอะไรเรามีอะไรมันทุกข์ยากขนาดนี้ หนี้เวรหนี้กรรมมันเป็นอย่างไร” นี่เราเป็นหนี้ทุกคนแล้วเราได้ใช้มันคนที่เห็นสัจธรรมเห็นกาย เห็นเวทนา เห็นจิตตามความเป็นจริง ได้ใช้หนี้มันใช้บ่อยครั้งเข้าๆจนพ้นจากความเป็นหนี้ คนพ้นความเป็นหนี้มันจะมีความสุขแค่ไหน

เราเป็นหนี้กันอยู่นี่ กลับไปบ้านพูดกับตัวเอง “เรามีเวรกรรมอะไรเราถึงเป็นอย่างนี้” ทุกคนพูดอย่างนี้ ทุกคนคิดอย่างนี้ แต่ทุกคนแก้ไขไม่ได้ ทุกคนปลดเปลื้องความเป็นหนี้ในใจเราไม่ได้

ถ้าทุกคนปลดเปลื้องจากความเป็นหนี้ของใจเราได้ เห็นไหมเกิดเป็นมนุษย์พบพระพุทธศาสนา แล้วเราจะทำสัจธรรมความเป็นจริงในหัวใจของเราให้เป็นพุทธะ ให้เป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ให้หัวใจเราเป็นพระ ให้หัวใจเราเป็นผู้ประเสริฐประเสริฐจากคนอื่นๆ ที่เขาเป็นหนี้กันอยู่ เราจะไม่เป็นหนี้อย่างเขาเอวัง