เดาธรรม
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ถาม-ตอบ ปัญหาธรรม วันที่ ๖ เมษายน ๒๕๕๗
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี
ถาม : เรื่อง “การอธิษฐานจิตเพื่อพ้นทุกข์”
ทุกครั้งที่ปฏิบัติภาวนาก็อธิษฐานจิตให้ถึงความพ้นทุกข์ในชาติปัจจุบัน แต่จะน้อมจิตว่า อย่างน้อยขอให้มีภูมิจิตถึงพระอนาคามีขั้นอวิหา แต่ตอนหลังได้ทราบว่าพระสกิทาคามีจะกลับมาเกิดอีกเพียงชาติเดียวก็นิพพาน ส่วนพระอนาคามีนั้นยังต้องไปปฏิบัติในขั้นพรหมอีกยาวนาน ดิฉันกราบขอเมตตาท่านอาจารย์ช่วยชี้แนะด้วยเจ้าค่ะ กราบขอบพระคุณ
ตอบ : ถ้าอธิษฐานนะ เราอธิษฐานว่าปฏิบัติชาตินี้ให้พ้นจากทุกข์ เราก็พยายามปฏิบัติให้พ้นจากทุกข์ไป ถ้าพ้นในชาติปัจจุบันนี้ได้ไง ทีนี้พอไปฟังเทศน์ๆ แล้วมันงงไง นี่งง อย่างน้อยถ้าปฏิบัติไม่ถึงที่สุดแห่งทุกข์ก็ขอให้ได้ขั้นอนาคามี พอขั้นอนาคามีปั๊บ พอฟังเทศน์ต่อไป ทีหลังมาทราบว่าพระสกิทาคามีเกิดอีกชาติหนึ่ง ฉะนั้น ถ้าเกิดอีกชาติหนึ่งถึงนิพพานเลย แล้วถ้าเป็นพระอนาคามี เราเกิดเป็นพระอนาคามียังต้องปฏิบัติในชั้นพรหมอีกตั้งยาวนาน
คำว่า “อีกยาวนาน” ยาวนานแค่ไหน ถ้ายาวนานแค่ไหนนะ เพราะอะไร เพราะพระสกิทาคามีมันก็ต้องผ่านอนาคามีถึงขั้นพระอรหันต์เหมือนกัน มันเป็นขั้นตอนไง ทีนี้มันมีความคิดความเปรียบเทียบของเขามันเป็นการด้นเดา
การศึกษา การฟังเทศน์มาเป็นประโยชน์ แต่เป็นประโยชน์ ถ้าเราปฏิบัติได้จริงนะ มันก็จะเข้าใจได้หมด ถ้ามันไม่เข้าได้จริง เรามาเรียงลำดับผิดกันเอง เรามาเรียงลำดับผิด เห็นไหม บางคนบอกไม่ปรารถนาสิ่งใดๆ เลย อย่างเช่นพวกมหายานเขาไม่ต้องการมรรคผล เพราะเขาปรารถนาพุทธภูมิ เขาจะสร้างบุญบารมี การเสียสละ ทำทาน เรามีความสุขมาก มีความสุขมาก พวกมหายาน แล้วพอมาเจอพวกเถรวาท พวกเรา พวกนี้เห็นแก่ตัว จะเอาตัวรอด จะเอานิพพาน เขาติฉินนินทานะ
ไอ้พวกเราพอเห็นเขาติเข้า โอ๋ย! ไม่ได้นะ เราต้องเป็นมหายานแบบเขา จะสร้างไง สร้างสมบุญญาธิการ สร้างสมต่างๆ แล้วบอกว่าเราจะนิพพานเป็นคนสุดท้าย ต้องให้มนุษย์นิพพานหมดเลย คือต้องไม่มีมนุษย์ตกค้างในโลกเลย เขาจะนิพพานเป็นคนสุดท้าย
แล้วโยมว่ามันเป็นไปได้ไหมล่ะ มันเป็นไปได้ไหมว่ามนุษย์จะเป็นพระอรหันต์หมดเลย จนเหลือเป็นคนสุดท้าย จะเอาคราวไหนก็ไม่ได้ แม้แต่สมัยพุทธกาล แม้แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมาแล้วยังทอดธุระเลยว่า โอ้โฮ! มันจะสอนใครได้อย่างไร สุดท้ายแล้วเพราะว่าสร้างสมบุญญาธิการมาหนึ่ง เพราะว่าผู้ที่สร้างสมบุญญาธิการมาก็มี แล้วถึงเวลาพรหมมานิมนต์ แล้วมาเทศนาว่าการ พระอรหันต์มาก แต่มากก็มากแบบสมัยพุทธกาล เพราะว่าปุถุชนหรือพวกเจ้าลัทธิอื่น ผู้ที่นับถือศาสนาอื่นเยอะแยะไปหมด มันมีไปหมด เห็นไหม
ฉะนั้น เราบอกว่า มหายานบอกว่า เราจะรื้อสัตว์ขนสัตว์ เราจะสร้างคุณงามความดี เราจะนิพพานเป็นคนสุดท้าย
เราจะบอกว่าเป็นไปไม่ได้เลย ถ้ามีแรงปรารถนาอย่างนี้นะ บอกว่าต้องให้คนเป็นพระอรหันต์หมดแล้ว แล้วเราจะเดินเป็นคนสุดท้าย เป็นไปไม่ได้ เป็นไปไม่ได้
แต่ถ้ามีแรงปรารถนา คิดกันอย่างนั้น เขาทำกันอย่างนั้น พอเราฟังไง ไอ้คนฟังฟังแล้วมัน เออ! แสดงว่าท่านจิตใจเมตตามาก ท่านจะเป็นคนสุดท้ายเลย อย่างไรเราก็นอนใจแล้ว เพราะมีคนอยู่ข้างหลังเรา มีคนสุดท้ายคอยเข็นเราขึ้น พวกเราสบายใจเนาะ อย่างน้อยก็มีพระโพธิสัตว์จะตรัสรู้เป็นคนสุดท้าย สุดท้ายต่อจากเรา แสดงว่าเราก็มีโอกาสจะได้เป็นพระอรหันต์แน่นอน เพราะว่าจะมีคนมาต่อสุดท้ายจากเรา มันก็เลยนอนใจกันไปหมด หนึ่ง
สอง อำนาจวาสนาของคนนะ มันเป็นไปได้ยาก
นี่พูดถึงว่า เวลาเราไปฟังธรรมแล้วเรามาเรียงลำดับกันเอง เราคิดกันไปเอง ถ้าเราคิดกันไปเอง เราก็คิด เราคิดแล้วมันจะถูกต้องหรือเปล่าล่ะ คิดโดยกิเลสก็ด้วยอวิชชา ฉะนั้น แสดงว่าพวกมหายาน อาจริยวาท อาจริยวาทคือเชื่อตามๆ อาจารย์ไง
ฉะนั้น ในกาลามสูตรขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกไม่ให้เชื่อ ไม่ให้เชื่อ ไม่ให้เชื่อใดๆ ทั้งสิ้น ไม่ให้เชื่อแม้แต่อนุมานว่าจะได้เหมือนความคิดเรา ไม่ให้เชื่อว่าเราใช้ปัญญาแล้วมันลงตัว ไม่ให้เชื่อทั้งนั้นน่ะ
กาลามสูตร พระพุทธเจ้าบอกไม่ให้เชื่อใดๆ ทั้งสิ้นเลย แล้วถ้าไม่ให้เชื่อแล้ว สิ่งที่เราเอามาเรียงลำดับมันจะเป็นไปได้ไหม ฉะนั้น พอเรียงลำดับเป็นไปได้ ทีนี้เราก็เป็นปัญหาเลย เป็นปัญหาเขียนมาถาม “ทุกครั้งที่ปฏิบัติธรรม อธิษฐานตั้งจิตเลยว่าจะพ้นทุกข์ในชาติปัจจุบันนี้ หรืออย่างน้อยที่สุดก็ต้องอนาคามี”
ถ้าเราตั้งเป้าอย่างนี้ อธิษฐานบารมี บารมี ๑๐ ทัศ ทานบารมี ศีลบารมี ขันติบารมี อธิษฐานบารมี อธิษฐานบารมีคือเป้าหมาย เป็นบารมี ๑๐ ทัศ เป็นจุดเป้าหมายของพระโพธิสัตว์ที่จะปรารถนาเป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าหนึ่ง เป็นบารมี ๑๐ ทัศ บารมี ๑ ใน ๑๐ นั้น
ฉะนั้น ถ้าเราอธิษฐาน เราตั้งเป้า อันนี้ก็เป็นเป้าหมายของเรา ถ้าเป็นเป้าหมายถูกต้องไหม ก็ถูก แต่เราก็ต้องพยายามขวนขวายของเรา ทำให้มันถึงที่สุดแห่งทุกข์ ถ้ามันทำได้ก็ปฏิบัติของเราไป
ทีนี้พอปฏิบัติไปแล้ว เวลาตั้งเป้าหมาย ดูสิ เขาว่า อย่าเชื่อในอารมณ์ความรู้สึกของเราเองนะ เพราะมันแปรปรวนตลอดเวลา เวลาจิตใจเรา เรามีเหตุมีผล เราก็ตั้งเป้าหมายได้ พอทำไปแล้วนะ โอ้โฮ! ถ้าเราไปนิพพานก่อนแล้ว แล้วพวกญาติพี่น้องอยู่ที่นี่เขาจะตามเราไม่ทัน เขาจะอยู่ที่นี่ ห่วงไปหมดแหละ เออ! ลดแล้ว ลดขั้นไปเรื่อยๆ สุดท้ายแล้วก็จะเป็นพระอรหันต์องค์สุดท้าย จะให้เขาไปหมด แล้วเราเป็นองค์สุดท้าย นี่เวลาจิตมันตก
เวลาจิตมันคิดดีนะ มันคิดดีมากๆ เห็นไหม หลวงตาท่านพูดนี่ซึ้งมาก จิตคนนี้เป็นได้หลากหลายนัก ดี ดีได้สุดๆ เวลามันคิดดีนะ มันคิดได้สุดๆ เลย ถ้าเวลาปฏิบัติถึงที่สุดแห่งทุกข์ยิ่งสุดยอดของหัวใจเลย สุดยอดของคุณงามความดีเลย แต่เวลามันร้ายนะ มันร้ายสุดๆ นะ มันทำลายเขาได้ทั่วนะ แล้วสุดท้ายนะ มันไม่มีที่จะทำลายใครแล้ว คนอื่นแล้ว ทำลายตัวเอง สุดท้ายความคิดคิดถึงฆ่าตัวตายได้ มันคิดถึงทำลายตัวเองนะ
ถึงว่า เวลาดีมันดี ดีได้สุดยอดเลย แต่เวลามันร้ายนะ จิต เวลามันร้ายมันทำลายแม้แต่ชีวิตเราเลยนะ ฉะนั้น องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนไว้นะ “ภิกษุทั้งหลาย เธอจงพิจารณาสังขารด้วยความไม่ประมาทเถิด”
ไอ้ความประมาท ความขาดพลาดพลั้งสติ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่าตรงนี้เป็นโทษมากเลย ถ้าเราไม่ประมาท ไม่เลินเล่อ เรามีสติปัญญา เราพยายามขวนขวายของเรา อย่าให้สิ่งนี้มาครอบงำหัวใจ ถ้าสิ่งนี้มาครอบงำหัวใจ เราตั้งเป้าหมายนี่ถูกต้อง เราตั้งเป้าหมายไว้ดีเลย เราตั้งของเราจะพ้นจากทุกข์ให้ได้ ไม่ได้ก็เป็นพระอนาคามีก็พอ ถึงพระอนาคามีเพราะว่าพระอนาคามีก็จะไปสุกเอาข้างหน้าไง ทีนี้พอสุกข้างหน้า ก็มาคิด “ตอนหลังได้ทราบมาว่าพระสกิทาคามีกลับมาเกิดอีกชาติเดียว”
กลับมาเกิดชาติเดียว เขายังไม่ได้อนาคามี พระสกิทาคามีมันจะมีวุฒิภาวะสูงกว่าพระอนาคามีได้อย่างไร ฉะนั้น เราบอกว่า พระอนาคามีไปอยู่บนพรหมแล้วต้องทำอีกนาน เพราะอายุของพรหมไง ก็เหมือนแมลงวันกับเรา เราก็ชาติหนึ่งนะ แมลงวันมัน ๗ วัน แมลงวันมันก็ภูมิใจมันนะว่าอายุมันยืนนะ แมลงวัน แมลงวันมัน ๗ วันหมดอายุขัยมันใช่ไหม ไอ้เรา ๑๐๐ ปี โอ๋ย! เราก็ลำบากลำบน ลำบากลำบน แป๊บเดียวหมดแล้ว มันเป็นภพ เป็นมิติไง
ฉะนั้นบอกว่า เป็นพรหมอีกยาวไกล
ยาวไกลก็อายุของพรหม แต่เราพอไปเป็นพรหมแล้วมันก็เหมือนอายุขัย มันเป็นเรื่องธรรมดา แต่เราบอกว่า โอ้โฮ! อายุพรหมมาคำนวณกันไง นั่นเขาคำนวณกัน สวรรค์ ถ้าคำนวณ ๑๐๐ ปีของเราเท่ากับสวรรค์ ๑ วัน ถ้าอายุขัยเขาบอกว่าเขาคำนวณแล้วนะ ๙ ล้านปีเท่ากับอายุขัยหนึ่งของเทวดา อ้าว! แล้วพรหมล่ะ
นี่เขาคำนวณ ไอ้นี่อยู่ในภาคปริยัติ ทางวิชาการเขาคำนวณกัน คำนวณว่า ถ้าอายุขัย อายุขัยของเราในโลกมนุษย์ ๑๐๐ ปีของเรา มนุษย์ ๑๐๐ ปีเท่ากับสวรรค์วันหนึ่ง แล้วถ้าอายุขัยของเขา เขาคำนวณแล้ว ๙ ล้านปี ถ้า ๙ ล้านปี แล้วคิดดูสิ เป็นพรหม พรหมอีกยาวไกลๆ นี่แค่สวรรค์นะ เดี๋ยวมันไปอีก
ฉะนั้น ตรงนี้ไม่ต้องเอามาพูด ถ้าเอามาพูดอย่างนี้ปั๊บ เราคาดหมายเดาธรรม เราด้นเดาของเราเองไง ทีนี้ด้นเดา พอบอกว่า ตอนหลังมาทราบว่าพระสกิทาคามีกลับมาเกิดอีกเพียงชาติเดียว ส่วนพระอนาคามียังต้องปฏิบัติอีกยาวไกล
โอ้โฮ! เห็นไหม นี่เดาธรรม พอเดาธรรมขึ้นมา ถ้าเป็นพระอนาคามี พระอนาคามีคือไม่กลับมาเกิดอีกแล้ว พระอนาคามีสูงกว่าพระสกิทาคามีมาก พระสกิทาคามี กามราคะปฏิฆะอ่อนลง แต่กามราคะปฏิฆะมันยังฝังใจอยู่ ถ้าฝังใจอยู่ ถ้าทำลาย ทำลายกามราคะปฏิฆะ อสุภะ ขั้นของการปฏิบัติตรงนี้แรงมาก แรงมาก หลวงตาใช้คำว่า “น้ำป่า” ปัญญาน้ำป่ามันรุนแรง มันซัด มันโหมใส่ เรื่องอสุภะ ระหว่างที่เราจะข้ามจากกามราคะปฏิฆะไป อันนี้รุนแรงมาก
แล้วรุนแรงนะ พระสกิทาคามีผ่านมาแล้ว ทำไมจะเป็นพระอนาคามีต้องรุนแรงขนาดนั้น แล้วบอกว่าพระสกิทาคามีกลับมาเกิดอีกชาติเดียว
กลับมาเกิดอีกชาติเดียวก็ต้องมาปฏิบัติเป็นพระอนาคามีนี่
เออ! แล้วพระอนาคามีไปแล้วมันยังอีกยาวไกล โอ๋ย! พระสกิทาคามีดีกว่า
เห็นไหม เดาธรรมไง ถ้าเราด้นเดาของเราอย่างนี้มันก็เป็นการด้นเดา ถ้าด้นเดาของเราแล้ว ฟังธรรมแล้ว เพราะด้วยความสงสัยของเรา ด้วยกิเลสของเราทำให้เราสับสน ทำให้สับสนแล้วทำให้เราเรรวน พอทำให้เรรวน การปฏิบัติ มันปฏิบัติก็เลยละล้าละลัง ถ้ามีครูบาอาจารย์นะ ถ้ามีหลวงปู่มั่นอยู่นะ ท่านตบเลย
หลวงตาท่านบอกว่ามีปัญหาขึ้นมา หลวงปู่มั่นท่านล้มโต๊ะ ล้มโต๊ะคือว่าสิ่งที่เป็นข้อมูล สิ่งที่เป็นที่เราวิตกกังวล ท่านลบทิ้งเลย แล้วให้เราหาใหม่ หลวงตาบอกเวลาท่านใส่นี่ทุกข์มาก ถ้าเถียงด้วยเหตุผลมันเถียงกันไม่จบไง
ครูบาอาจารย์ท่านเถียงด้วยเหตุผลนะ ไอ้เรานี่สีข้างถูใหญ่เลย ถูใหญ่ เพราะไม่รู้ แล้วเราไม่รู้ เราจะสู้ ก็สีข้างไง ครูบาอาจารย์ท่านพูดเหตุผลใช่ไหม นั่นเป็นธรรม ไอ้เราฟังแล้วก็สีข้างแถไปเรื่อย แถไปจนเลือดนี่แดงหมดเลย แล้วยังชนะอีกนะ ยังชนะครูบาอาจารย์อยู่ ครูบาอาจารย์เหตุผลฟังไม่ขึ้น เหตุผลฟังไม่ได้หรอก ของเราดีกว่า เลือดซิบๆ มันยังว่าของมันดีกว่าอยู่เลย กิเลสมันเป็นแบบนั้นน่ะ ฉะนั้น เวลาครูบาอาจารย์อยู่ ท่านจะล้มโต๊ะเลย
หลวงตาท่านพูดบ่อย เวลาขึ้นไปหาหลวงปู่มั่นนะ มันเป็นวาสนาเรา ขึ้นไปด้วยเหตุด้วยผล ขึ้นไปนี่ล้มโต๊ะ ล้มโต๊ะหมายความว่าพลิกเลย ล้มหมดเลย แล้วไปหาเอง ไปหาเอาเอง เพราะถ้าเถียง มันเอาสีข้างเข้าถู พอเอาสีข้างเข้าถู มันเสียเวลา เสียเวลาด้วย แล้วหาเหตุผลมาเสริมทิฏฐิของตัวเอง โอ้! เราได้ขึ้นไปหาท่านแล้ว ท่านพูดอย่างนี้ตีความเข้าข้างตัวเองหมดเลย ท่านรับประกันเราด้วย ท่านว่าเราถูกด้วย
สีข้างนี่เลือดซิบๆ มันยังบอกว่ามันถูก แล้วมันดี อาจารย์ยังชมเราอีกนะ แล้วก็ติดอยู่อย่างนั้นน่ะ ภาวนาไปอย่างนั้นน่ะ ล้มลุกคลุกคลานไปอยู่อย่างนั้นน่ะ จนวันใดไปจนตรอกนะ เอ๊! หรือมันไม่ใช่วะ แต่เอ๊! ก่อนนะ มันไม่ยอมรับหรอก กิเลสนี่ มันเอ๊ะก่อนนะ เอ๊ะ! ชักเอะใจ พอเอะใจแล้วนะ มันค่อยหาเหตุผลนะ เอ๊! หรือว่า หรือว่า...หรือว่านะ มันยังไม่ยอมรับ ไม่ยอมรับหรอก ใครไม่เคยเจอกิเลส ไม่รู้จักกิเลส กิเลสมันร้ายอย่างนี้
แล้วพอเราคุยกันเอง ด้วยปัญญาเราเอง เราก็ว่าเรารู้ เราชัดเจนอย่างนั้นน่ะ แล้วไปเจอครูบาอาจารย์นะ ถ้ากิเลสมันสุมไฟสุมขอนในหัวใจนะ มันจะมีความน้อยใจเลย อาจารย์ลำเอียง เวลาคนอื่น รับประกันเขาไปหมด เวลาเราไม่ยอมรับ มันน้อยใจ มันทุกข์ใจนะ ดูสิ มันทำลายเราแล้วนะ มันยังเอาฟืนเอาไฟสุมอีกนะ เผาอีกนะ เผาเสร็จแล้วยังว่าตัวเองถูกอีกนะ แล้วเวลาครูบาอาจารย์ท่านผ่านมาแล้ว ท่านรู้จักกิเลสไง รู้จักกิเลส แต่เอามาตีแผ่ให้เราเห็นได้อย่างไร เราเห็นไม่ได้หรอก ท่านถึงล้มโต๊ะ ล้มโต๊ะเลย
อันนี้ก็เหมือนกัน มันเป็นความเห็นผิด บอกว่า สกิทาคามีมาเกิดอีกเพียงชาติเดียวก็นิพพาน ส่วนพระอนาคามีต้องไปอยู่บนพรหม ปฏิบัติอีกยาวนาน
อนาคามี คุณสมบัติ ดูสิ เวลาในมุตโตทัย หลวงตาท่านบอกว่า หลวงปู่มั่นเวลาท่านเทศน์ ท่านเทศน์ละเอียดกว่านี้เยอะ แต่เวลามุตโตทัย เขาจำมาได้ขนาดนั้น มันวุฒิภาวะเขาจำมา บอกว่า ที่ว่าทองคำ ทองคำที่มันสกปรกไง ทองคำในร้านกับทองคำในเหมือง ทองคำในเหมืองก็มีแร่ธาตุอื่นเจือปน เราไปทำเหมืองทองมาแล้วเราต้องไปหลอม กว่าจะเป็นทองคำขึ้นมา
นี่ก็เหมือนกัน เป็นพระโสดาบันมันก็มี ถ้าเราเป็นปุถุชน เราไม่มีอะไรเลย เพราะไม่มีคุณธรรมสิ่งใดๆ เลย มีแต่อามิส มีแต่บุญที่เป็นอามิสที่จะเวียนว่ายตายเกิด แต่เวลาปฏิบัติไปแล้วถ้าเป็นโสดาบันมันจะมีทองคำ มีสัจธรรม ๒๕ เปอร์เซ็นต์ มีอวิชชา มีกิเลสอีก ๗๕ เปอร์เซ็นต์ ถ้าเป็นสกิทาคามีจะมีคุณธรรม ๕๐ เปอร์เซ็นต์ มีกิเลสอีก ๕๐ เปอร์เซ็นต์ ถ้าเป็นพระอนาคามีมีคุณธรรม ๗๕ เปอร์เซ็นต์ มีกิเลสอีก ๒๕ เปอร์เซ็นต์ ๒๕ เปอร์เซ็นต์ที่เป็นอวิชชา ถ้าเป็นพระอรหันต์นี่ทองคำบริสุทธิ์ ทองคำบริสุทธิ์ที่เขาหลอมแล้ว ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ นี่เวลาเป็นธรรมขึ้นมา มันเป็นขั้นตอนๆ ของมันไป
นี่ก็เหมือนกัน อนาคามีมันต้องสูงกว่าสกิทาคามี สกิทาคามีเกิดมาอีกชาติเดียว ชาติเดียวหมายความว่าเกิดมาแบบเรา เกิดมาแล้วต้องมาปฏิบัติให้เป็นอนาคามี ผ่านอนาคามีไปแล้วมันถึงเป็นพระอรหันต์
แต่ถ้าเป็นพระอนาคามีไปแล้ว เราเป็นพระอนาคามีไปแล้วอยู่บนพรหม อยู่บนพรหมมันลงมาไม่ได้อยู่แล้ว มันไม่มีเศษกิเลสที่จะเกิดมาในกามภพ มันเป็นไปไม่ได้ มันอยู่ขั้นของพรหมนั้น แล้วขั้นของพรหมนั้น อายุขัยของพรหมก็เป็นแบบนั้น ฉะนั้น ถ้าเป็นแบบนั้นแล้วสิ้นสุดไป
ทีนี้ถ้าเวลาไปฟังเทศน์ๆ เทศน์ของหลวงตาเองนี่แหละ หลวงตาท่านบอกว่าท่านไปวัดที่บ้านผือ ที่ไปเป็นโรคเสียดอก ท่านบอกว่ามันเสียดอก ต้องตาย ไม่อยากตาย เพราะรู้ว่าตายนี่อนาคามี ตายแล้วไปเกิดบนพรหม มันยังอีกยาวไกล ถ้ากลับมาประพฤติปฏิบัติ ท่านใช้ธรรมโอสถ กลับมากำหนดจิต จิตสงบแล้วพิจารณาจนโรคภัยไข้เจ็บนั้นหาย พอหายแล้วท่านก็ปฏิบัติของท่านจนถึงสิ้นสุดแห่งทุกข์ ตอนนี้ตายเมื่อไหร่ก็ได้ เพราะอะไร เพราะไม่ไปเกิดบนพรหมแล้ว รู้แล้ว นักปฏิบัติเป็นอย่างนี้ มันจะรู้ของมันนะ เป็นโสดาบัน เป็นสกิทาคามี เป็นอนาคามี แต่ถ้ามีสติปัญญาจะรู้ของมันเป็นอย่างนี้
แต่ส่วนใหญ่แล้วพอปฏิบัติไปแล้ว พอเป็นโสดาบัน เป็นสกิทาคามี มันบอกเป็นพระอรหันต์ เพราะมันให้ค่าตัวเองสูงกว่าข้อเท็จจริง
แล้วบอกว่า เป็นพระอริยบุคคลจะมีความรู้สึกอย่างนี้ได้อย่างไร
อ้าว! เดี๋ยวปฏิบัติไปก็จะรู้ รู้ไม่รู้ เดี๋ยวรู้เอง ถ้ามันเป็นพระอริยบุคคลแล้วมันต้องรู้ตามข้อเท็จจริง อย่างนั้นพระโสดาบันเขาก็ไม่ติดเป็นพระโสดาบันน่ะสิ พระสกิทาคามีก็ไม่ติดน่ะสิ ใครปฏิบัติแล้วต้องเป็นพระอรหันต์ทั้งสิ้น ทำไมบางองค์เป็นพระโสดาบันแล้วตายไป บางองค์เป็นพระสกิทาคามีแล้วตายไป ทำไมคนปฏิบัติแล้วไม่ปฏิบัติให้สิ้นกิเลสไปล่ะ เห็นไหม เพราะเขาติด นี่กิเลสของคน ความปรารถนาของคน
นางวิสาขาเป็นพระโสดาบัน แล้วก็เป็นพระโสดาบันตายไป พระอานนท์เป็นพระโสดาบัน เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรินิพพาน ร้องไห้ ฟังนะ พระโสดาบันร้องไห้ ร้องไห้ว่า เราเป็นพระโสดาบัน เรายังต้องการคนชี้นำอยู่ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็จะปรินิพพานเสียแล้ว พระโสดาบันร้องไห้เลย ไม่มีคนบอก ร้องไห้
“อานนท์ เธอร้องไห้ทำไม”
“องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะนิพพานแล้ว”
“อานนท์ เธออย่าร้องไห้ไปเลย เธอได้เป็นผู้ที่สร้างสมบุญญาธิการไว้มาก เธอได้อุปัฏฐากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้บุญมาก อุปัฏฐากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามา ๒๐ กว่าปีนี้ได้บุญมาก ได้ฟังเทศน์มาเยอะมาก อีก ๓ เดือนข้างหน้าเขาจะมีการสังคายนา เธอจะได้เป็นพระอรหันต์ในวันนั้น”
นี่เป็นพระโสดาบันยังร้องไห้ ไม่มีคนบอกคนชี้ทาง มันทุกข์ของมันน่ะ แล้วบอกไม่ติดๆ...เดี๋ยวจะรู้ ติดหรือไม่ติด
ฉะนั้นบอกว่า ที่ว่าจะเป็นพระสกิทาคามีกลับมาเกิดอีกชาติเดียว
กลับมาเกิดนี่จริง จริงเพราะอะไร เพราะมันอยู่ในกามภพ มันยังเกิดเป็นมนุษย์ได้ เกิดเป็นเทวดาได้ แต่เป็นพรหมแล้วเกิดบนเทวดาไม่ได้ ไม่ได้แล้ว เพราะว่าคุณสมบัติมันขาดไปแล้ว มันจะกลับมาจูนเข้ามาเกิดเป็นเทวดา เป็นมนุษย์ไม่ได้ เพราะเป็นพระอนาคามี แต่พระสกิทาคามีนี่ได้ เพราะกามราคะปฏิฆะ กามภพ กามราคะ กามภพมันยังจูนกันได้ ภพชาติมันยังสืบต่อกันได้ ฉะนั้น พอกลับมาแล้วมันก็ต้องมาปฏิบัติอีก
ฉะนั้น คำถามท่อนแรกดีที่สุด “ทุกครั้งที่ปฏิบัติภาวนาอธิษฐานจิตให้ถึงความพ้นทุกข์ในชาติปัจจุบัน และจะน้อมจิตว่า อย่างน้อย อย่างน้อยขอให้ภูมิจิตถึงพระอนาคามี”
แต่คำถามที่สองนี่ เออ! “ตอนหลังมาทราบว่าพระสกิทาคามีกลับมาเกิดอีกชาติเดียว ส่วนพระอนาคามีต้องปฏิบัติอีกตั้งยาวไกล ก็เลยอยากได้สกิทาคามีขึ้นมาอีก”
อ้าว! ทีแรกก็ปรารถนาจะพ้นทุกข์ ปรารถนาถึงพระอนาคามี พอมารู้ว่าพระสกิทาคามีเกิดมาอีกชาติเดียว ยังจะกลับมาเกิดอีก แต่พระอนาคามีไม่กลับมาเกิดอีกแล้ว ไม่กลับมาเกิดอีกแล้ว เกิดบนพรหม แล้วปฏิบัติในภพชาติของพรหมนั้น แล้วสิ้นกิเลสไป อันนี้ข้อเท็จจริง ฉะนั้นถึงบอกว่า เดาธรรมแล้วก็เป็นอย่างนี้ เดาธรรมแล้วไปไม่ถูก เดินหน้าก็ไม่ได้ ถอยหลังก็ไม่ถูก
วงกรรมฐานเขาติดครูบาอาจารย์กันอย่างนี้ ติดครูบาอาจารย์เวลาเราไปกังวล เราไปรู้อะไรแล้วมันวิตกกังวล ครูบาอาจารย์จะแก้ให้ หลวงตาท่านบอกว่า ถ้าเราจะแก้ของเราเองนะ
๑. เสียเวลา เพราะเสียเวลาหมายความว่าต้องลองผิดลองถูก ลองผิดลองถูก เสียเวลามาก
๒. ฟั่นเฟือนได้ เสียหายได้ เสียหายเพราะว่ามันมีเหตุมีผลชักนำน้อมนำจนกิเลสมันสร้างเหตุผลจนเราเชื่อ เราหลงไปเลย ผิดพลาดไปเลย
การแก้ไขตัวเอง
๑. เสียเวลา ถึงจะไปถูกก็เสียเวลา
๒. กิเลสสามารถใช้เหตุใช้ผลชักนำชักจูงเราไปในทางที่ผิด ในทางที่เป็นมิจฉาทิฏฐิได้เลย
แต่ถ้ามีครูบาอาจารย์ ครูบาอาจารย์ท่านผ่านอย่างนี้มาแล้ว ท่านตบทีเดียวจบเลย ตบ แพะ! หลวงตาท่านบอกว่า ถ้ามีปัญหาปั๊บ จะเข้าหาหลวงปู่มั่นทันที ถ้ามีปัญหาจะเข้าหาหลวงปู่มั่นทันที เพราะท่านผ่านมาแล้ว คนผ่านมาแล้วจะรู้เล่ห์กลของกิเลส คนไม่เคยผ่านจะไม่รู้เล่ห์กลของมันเลย ถ้าไม่รู้เล่ห์กลของมัน เสร็จมัน แล้วมันคือใครล่ะ
เวลาโทษ โทษคนอื่นทำร้ายเราทั้งนั้นน่ะ ไม่โทษใจเราเองทำร้ายเราเอง ไม่โทษกิเลสในใจเราทำร้ายเรา ถ้าทำร้ายเรา เราปฏิบัติมีครูบาอาจารย์ กรรมฐานถึงติดครูบาอาจารย์ ติดเพราะเหตุนี้ จบ
อันนี้สิ อันนี้หนักกว่า
ถาม : เรื่อง “ขณะ”
รบกวนเรียนถามหลวงพ่อเรื่องหลวงตาบอกว่าพระอาจารย์สิงห์ทองไม่มีขณะ คำว่า “ขณะ” ของหลวงตาคืออะไรคะ
ตอบ : นี่เหมือนกัน เวลาขณะ ขณะในวงกรรมฐานเขาจะรู้ ขณะคือการจบกระบวนการเป็นชั้นเป็นตอน
“ขณะ” เราเริ่มต้นกระบวนการ ทำสิ่งใดก็แล้วแต่ เริ่มต้นโครงการ ต้องมีการเริ่มต้นโครงการ ระหว่างดำเนินการโครงการนั้น เวลาจบโครงการนั้นน่ะ สรุปบัญชีจบ ๑ โครงการ ขณะที่ว่าเราสรุปบัญชี ปิดบัญชี นั้นคือขณะ ขณะที่ปิดบัญชีได้ จบกระบวนการ นั้นคือขณะ
ฉะนั้น เวลาจะเป็นขณะ ขณะในพระไตรปิฎกก็พูดถึง เวลาครูบาอาจารย์ท่านจะพูดถึงตรงนี้ว่า ใครปิดโครงการได้ ใครปิดบัญชีได้ ใครปิดโครงการเป็นโสดาบัน ใครปิดบัญชีเป็นสกิทาคามี ใครปิดบัญชีเป็นพระอนาคามี ใครปิดบัญชีเป็นพระอรหันต์ แล้วปิดบัญชีนี่ปิดอย่างไร แล้วรายรับรายจ่ายรวมแล้วปิดบัญชี นี่คือขณะ ถ้าขณะจิตนะ ขณะที่เป็นความจริง
ขณะนี้ ถ้าคนอย่างเรา เราไม่มีธุรกิจอะไร เราไม่มีรายรับรายจ่ายอะไร แล้วเราไปปิดบัญชีอะไร เราไม่มีบัญชีให้ปิด เพราะเราไม่มีบัญชี เราจะปิดอะไร ถ้าไม่มีบัญชี ไม่มีบัญชี เอ็งก็ไม่ทำอะไรน่ะสิ เอ็งก็ไม่มีสถานะ ไม่มีอะไรเป็นสมบัติของเอ็ง เพราะเอ็งไม่มีที่มาที่ไป
นี่ไง วงกรรมฐานถึงเวลาพูดธรรมะกันเขาพูดกันอย่างนี้ไง อย่างเช่นหลวงตาท่านไปหาหลวงปู่แหวน ถามปัญหาแรกขึ้นไปเลย ท่านปิดบัญชีได้ เออ! มีบัญชี ถามซ้ำเข้าไปเลย ท่านขยายความหมดเลย จบ “มหามีอะไรว่ามา มีอะไรสงสัย ค้านมาได้เลยนะ” ถ้าบัญชีนี้รายรับรายจ่ายมันผิด หรือมีการคดโกง หรือว่าบัญชีใดไม่ถูกต้อง ว่ามาๆ
หลวงตาท่านบอกว่า “ไม่หรอกครับ ผมหาฟังธรรมะอย่างนี้” กราบหลวงปู่แหวนด้วยความซาบซึ้งใจ เห็นไหม “ขณะ” พูดได้ถูกต้อง
แต่นี่บอกว่า ถ้าของอาจารย์สิงห์ทองที่ว่าไม่มีขณะ
ของอาจารย์สิงห์ทองก็เป็นของท่าน ก็ขณะของอาจารย์สิงห์ทองเป็นแบบนั้น ถ้าความเห็นเรา ถ้าความเห็นของอาจารย์สิงห์ทองไม่มีขณะ แต่บอกว่า เราว่าขณะของอาจารย์สิงห์ทองเป็นแบบนั้น ในความเห็นเรา แต่ความเห็นหลวงตาท่านว่าอย่างนั้น
ฉะนั้น เขาบอกว่า ขณะของหลวงตานั่นคืออะไรคะ
นี่ไง ขณะของหลวงตาคืออะไรคะ คือคนไม่รู้ ถ้าคนไม่รู้พูดถึงขณะ ถ้าพูดกับคนไม่รู้ก็คือไม่รู้นะ ถ้าคนไม่รู้ เขาก็จะไม่รู้เรื่องของเขา ถ้าพูดถึงว่าไม่มีขณะหรือ อ๋อ! ขณะก็เหมือนกัปปิ กปฺปิยํ กโรหิ บอกว่ากัปปิหรือยัง บอกว่า อ๋อ! กะปิไม่ได้เอามา ต้องไปซื้อที่ตลาด ถ้าได้กะปิมา เดี๋ยวจะมาตำให้ อ้าว! ตำน้ำพริกไปก่อนนะ เดี๋ยวกะปิตามมาทีหลัง
เพราะ กปฺปิยํ กโรหิ เขาไปพูดถึงกะปิที่ตำน้ำพริก ไอ้ขณะนี่บอกขณะ อ๋อ! ขณะที่ลงจากรถเมื่อกี้นี้ไง ก็ว่าไปไง เพราะคนไม่เป็น เพราะคนไม่เป็นนะ
เราไปอ่านหนังสือเจอ มีครูบาอาจารย์อยู่ ๒ องค์ พูดอย่างนี้เลยนะ เขาเขียนเป็นตำราเลย เขียนเป็นวิชาการ เป็นการปฏิบัติของเขา แล้วเขาก็วงเล็บเปิดนะ เวลาขณะของเขานะ ดังต๊าบ! เลยนะ เอ๊ะ! เราก็งงเว้ย ขณะอะไรดังต๊าบ! เลยนะ ขณะของเอ็งนี่ตังเมหรือ เอ็งดึงตังเมแล้วเอ็งตัดใช่ไหม มันก็เลยดังต๊าบ! เลยน่ะ
นั่นน่ะมันบอกถึงวุฒิภาวะของเขาเอง ขณะดังต๊าบ! เลย ดังต๊าบ! เราดึงหนังยางก็ได้ แล้วเราเอากรรไกรตัดสิ มันสะบัด พับ! เลย อันนี้เขาไปสมมุติ ถ้าคนไม่เป็นพูดอย่างนั้นน่ะ ถ้าขณะของเขา ไอ้นั่นมันขณะตังเม ถ้าตังเมเป็นอย่างนั้นมันก็เป็นอย่างนั้น ฉะนั้น ถ้าคนไม่รู้จักขณะ อธิบายไม่เป็น เห็นไหม
ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นตถาคต ถ้าใครเห็นตถาคต ครูบาอาจารย์ของเรานะ ถ้ามีคุณธรรมนะ เวลาพูดธรรมะขึ้นไปแล้ว เวลาเราฟังเหตุฟังผลแล้วเราเปิดพระไตรปิฎกสิ ตรงกันๆๆ เลยล่ะ
แต่ถ้าสมมุติเรา เรานี่โง่มากเลย แต่เราจะแสดงธรรม กูอ้างพระไตรปิฎกหมดเลย พระไตรปิฎกว่าอย่างนั้น พระไตรปิฎกว่าอย่างนี้นะ แล้วเราอธิบายไปเลยนะ พอฟังแล้วเราไปเปิดพระไตรปิฎกสิ ไปไหนมา สามวาสองศอก มันไม่เห็นไปทางเดียวกันเลย ทำไมมันไปแยกกันหมดเลย มันไม่เข้าทางกันเลย
ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอก มันจะไม่มีขัดไม่มีแย้งกัน มันจะไปในแนวทางเดียวกันถ้าใครปฏิบัติได้จริง
ฉะนั้น สิ่งที่ว่า “ขณะของหลวงตาคืออะไรคะ”
อธิบายไปขนาดไหนเราก็ไม่รู้หรอกค่ะ เพราะอธิบายไป “ขณะ” เราเพียงแต่เข้าใจว่า เหมือนกับเริ่มโครงการปิดบัญชี ถ้าปิดบัญชี อย่างเช่นตทังคปหาน เราเริ่มทำโครงการแล้ว แล้วเราก็มีรายรับรายจ่าย ถ้ารายรับมันไม่สมกับรายจ่าย เราก็ขาดทุน
ถ้าเราปฏิบัติไป สมาธิเราไม่ดี ใช้วิปัสสนาไปแล้วไม่ก้าวหน้า นี่รายจ่ายมากกว่ารายรับ ตัวแดงโร่มาตลอดเลย อ้าว!
แต่ถ้าเราปฏิบัติของเราไป เราใช้ปัญญาของเราไป รายรับรายจ่าย รายรับ มันมีรายรับขึ้นมา มีรายรับขึ้นมา รายรับมันดีขึ้น ปฏิบัติไปแล้วเวลามันใช้สติปัญญาไป เห็นกาย เห็นเวทนา เห็นจิต เห็นธรรม พิจารณาไปแล้วมันปล่อยๆ ตทังคปหาน เห็นไหม นี่รายรับมากกว่ารายจ่าย
พอรายรับมากกว่ารายจ่ายมันก็เขียวมาเลย มีเงินสะสม มีเงินทุกอย่างมาพร้อม มีกำไรมาพร้อม มันมีความสุขไง มันมีความว่าง มันมีความสุข มันสงบระงับ แต่ไม่มีขณะ ไม่มีขณะ
ขณะที่บริษัทเราตั้งบริษัทขึ้นมา เรามีกิจการของเราขึ้นมา มันมีรายรับรายจ่าย มันมีกำไร มีขาดทุน เดี๋ยวกำไร เดี๋ยวขาดทุน การภาวนาของคน เวลาภาวนาขึ้นไปแล้ว ถ้าภาวนาดีๆ ขึ้นมา จิตมันจะเจริญงอกงามขึ้นมา มันต้องเสื่อมเป็นธรรมดา คนปฏิบัติ ถ้านักปฏิบัตินะ ไม่เคยจิตเจริญแล้วจิตเสื่อม ไม่ใช่นักปฏิบัติ เพราะคนที่ปฏิบัติมันจะมีจิตเจริญขึ้นมา แล้วมันก็ต้องมีเสื่อมเป็นธรรมดา
แล้วเวลาจิตเจริญขึ้นมา เจริญขึ้นมาเพราะเหตุใด เจริญขึ้นมาด้วยความเพียร ความเพียร ความวิริยะ ความอุตสาหะ แล้วถ้าความเพียร ความวิริยะ ความอุตสาหะ ไม่มีสติปัญญาควบคุมมันดี มันจะเสื่อมของมันไป
เวลาเสื่อมแล้วเราจะปลุกมันขึ้นมาได้อย่างไร เสื่อมแล้วเราพยายามฟื้นฟูขึ้นมาอย่างไร ถ้าเราฟื้นฟูขึ้นมาไม่ได้ เราจะก้าวเดินไปอย่างไร
คนเรา ชีวิตชีวิตหนึ่งมันล้มลุกคลุกคลานมา ชีวิตหนึ่งที่ประสบความสำเร็จมา กว่าจะสำเร็จมา เราผิดพลาดมากี่หน เราผิดพลาดมามากน้อยแค่ไหน ถ้าเราประสบความสำเร็จขึ้นมา สำเร็จแล้วเราจะรักษาไว้ได้อย่างไร
ถ้ารักษาไม่ได้ ไม่มีขณะ มันเสื่อม ถ้ามันเสื่อมนะ ถ้าไม่มีขณะใช่ไหม พอเราทำธุรกิจของเราขึ้นมา มีรายรับขึ้นมา มันจะปิดบัญชีเองไง เวลาขณะมันดังต๊าบ! เลยล่ะ มันตัดดังต๊าบ! เลยนะ คือคนไม่เป็นแล้วพูดออกไปนะ น่าอาย
เหมือนเรานี่ พูดบ่อย ปล่อยไก่ทีหนึ่งเป็นคอกๆ เลยล่ะ ปล่อยไก่ไปนี่นะ ถ้าคนรู้จักไก่ รู้จักคน จะรู้ว่าปล่อยไก่ ถ้าคนไม่รู้จักไก่เลย ปล่อยมาก็ไม่รู้จักไก่นะ เวลาครูบาอาจารย์เทศน์ไปนี่ปล่อยไก่เป็นเล้าๆ เลย ไอ้คนฟัง อู้ฮู! ซาบซึ้ง ไม่รู้หรอกว่านั่นคือปล่อยไก่ แต่ถ้าคนเป็นนะ ตาย ไก่หลุดไปแล้ว เดี๋ยวต้องตามไปจับไก่คืนมา ทีนี้พอปล่อยไปแล้วทำอย่างไรล่ะ ไม่รู้ก็คือไม่รู้อยู่วันยังค่ำ
แต่หลวงตาท่านพูด เราซึ้งมาก “คนรู้มีนะ ในวงการปฏิบัติ ผู้รู้เขามี ถ้าผู้รู้เขามี เราพูดอะไรไปนี่ถูก มันก็ดีไป ถ้าผิด ผู้รู้เขามี”
แล้วผู้รู้ อย่างเช่นหลวงตา ครูบาอาจารย์ท่านผู้รู้จริง ท่านเก็บไว้ก่อน แล้วเข้าถึงตัวเลย ไปบอกเขาเลยว่าผิด ถ้าเขายอมรับนะ มันก็เป็นประโยชน์กับเขา คือเขาได้แก้ไข แต่ถ้าเขาไม่ยอมรับนะ ส่วนใหญ่จะไม่ยอมรับ ไม่ยอมรับเพราะเขาไม่รู้ว่าผิด พอเขาไม่รู้ว่าผิด เราไปบอกว่าเขาผิด เขาจะยอมรับว่าเขาผิดไหม
เพราะเขาไม่รู้ว่าเขาผิด เขาก็คิดว่าเขาถูก แล้วเราไปบอกว่าเขาผิด เขาก็หาว่าเราไปจับผิดเขา แล้วพอกิเลสมันสุมไฟสุมขอนขึ้นมานะ มันก็บอกว่าอิจฉาตาร้อน ไม่เห็นแก่หน้าตาของคน
แต่ความจริงนะ ถ้าเป็นธรรมนะ อันนี้มันเป็นประโยชน์กับเขาเอง ประโยชน์กับผู้ที่ปฏิบัติ ผู้ที่พูด เพราะผู้พูดถ้ามีความรู้อย่างนี้ ถ้ามันแก้ไข มันต่อยอดขึ้นไป เขาจะได้ประโยชน์ของเขา
ทิฏฐิพระ มานะกษัตริย์ นี่ไง หลวงปู่มั่นท่านพูดไง “แก้จิตแก้ยากนะ แก้จิตแก้ยากนะ”
การเอาเหตุเอาผลให้จิตยอมรับความผิดความถูก มันไม่ใช่ของง่ายๆ การที่เราจะไปบอกเขาว่าถูกหรือผิด เราจะมีวิธีการบอกเขาให้เขาเข้าใจได้อย่างไรว่าเขาผิด
แล้วถ้าเวลาเขาผิดนะ ผิดถูกนี่มันเป็นเรื่องส่วนบุคคล เราถูกเราผิดมันเป็นเรื่องผลประโยชน์ของเรา จริงๆ แล้วมันเป็นประโยชน์เราทั้งนั้นเลยนะ มีนักปราชญ์ท่านรู้ของท่าน แล้วท่านมาแนะนำมาบอกเรา ให้เป็นสมบัติของเรา เรากลับไปโกรธเขา เรากลับเป็นพาลไง เรากลับไปโกรธเขา กลับไปบิดเบือน กลับไปเห็นว่าเขาเพ่งโทษ เขาทำร้าย นี่ไง การบอก การบอกการกล่าว
นี่ไง หลวงตาถึงบอกว่า เวลาปฏิบัติ เขาเรียกลงใจ เวลาพระนะ เวลาไปหาครูบาอาจารย์ ท่านให้อยู่กัน ๗ วันก่อน ๗ วันให้พิจารณาว่าจริตนิสัยตรงกันไหม คือพูดจากันเข้าใจได้ไหม ถ้าพูดจาเข้าใจได้ เราจะขอนิสัยให้พระองค์นั้นเป็นอาจารย์ของเรา อาจารย์ของเรา ถ้าบอกนิสัย นี่เวลาครูบาอาจารย์ท่านจะขอนิสัยกัน
ถ้าไม่ขอนิสัย ถ้าครูบาอาจารย์ท่านเป็นธรรมนะ ท่านจะไม่คอยบอกอะไรเป็นพิเศษ ถ้าบอกไปมันจะกรณีนี้ เพราะไม่ได้ขอนิสัย บอกทำไม ก็เหมือนเรา เราไม่บกพร่อง ไม่ได้บอกให้เขาบอกเรา แล้วบอกทำไม มันเกิดแรงต้าน
แต่ถ้าขอนิสัยแล้วนะ อ้าว! ก็ขอนิสัย ถ้าผมมีอะไรผิดพลาดให้บอกผมได้เลยนะ การขอนิสัยคือขอนิสัยอย่างนั้นน่ะ แล้วก็ฝึกหัดกัน แล้วถ้าเราผิดถูกนะ อ้าว! ก็ขอนิสัยแล้ว ขอนิสัยแล้ว เราจะพูดได้เต็มปากเต็มคำ พอเต็มปากเต็มคำ พระที่ว่าขอนิสัย ที่ได้นิสัยๆ กันมา
นี่ไง ถ้าอย่างของเรามีครูบาอาจารย์ หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นท่านค้นคว้าของท่านกันเอง หลวงปู่มั่นท่านก็มีครูบาอาจารย์เป็นที่ปรึกษาบ้าง แต่ท่านค้นคว้าด้วยตัวของท่านเอง
ดูหลวงตาสิ หลวงตา ครูบาอาจารย์เราท่านเคารพหลวงปู่มั่นเพราะอะไร พ่อแม่ครูจารย์ พูดแล้วสะเทือนใจ
เป็นทั้งพ่อเป็นทั้งแม่ หาเลี้ยงปากเลี้ยงท้อง ความเป็นอยู่ดูแลทั้งหมด
เป็นทั้งครูเป็นทั้งอาจารย์ พ่อแม่ก็เลี้ยงแต่ร่างกาย แล้วใครจะเลี้ยงหัวใจ ใครจะดูแลหัวใจที่มันดื้อ หัวใจที่มันไม่ยอมรับ หัวใจที่มันมีแต่ทิฏฐิมานะ แล้วมันจะมีอุบายอย่างไรบอกให้เข้าใจ
ดูสิ ลูกๆ สอนง่ายไหม ลูกๆ นี่ให้สมความปรารถนา ได้ดั่งความปรารถนาไหม แล้วครูบาอาจารย์ท่านเป็นอะไรกับเรา เราไปขอฝากตัวพ่อแม่ครูจารย์ต่างหาก ถ้าเราไม่ไปขอฝากตัว ท่านเป็นอะไรกับเรา ท่านก็มีพ่อแม่ของท่าน ท่านก็บวชของท่านมา เราก็บวชของเรามา แต่เราเองยอมตน ยอมตนขอนิสัยท่าน ให้ท่านเป็นอาจารย์ แล้วท่านก็จะสอนเรามา ถ้าสอนมา
นี่ไง ขณะของหลวงตาคืออะไร
ขณะของหลวงตาก็คือขณะที่ท่านกระทำประสบความสำเร็จของท่าน พอความสำเร็จของท่านปั๊บ เวลาอาจารย์สิงห์ทองท่านปฏิบัติของท่านมา ท่านก็มาเล่าถวายอาจารย์ของท่าน อาจารย์ของท่านก็ซักไง ซักหาขณะนี่ไง ขณะเป็นโสดาบันอย่างไร เป็นสกิทาคามีอย่างไร เป็นอนาคามีอย่างไร เป็นพระอรหันต์อย่างไร บอกมาเป็นชั้นตอนมา ถ้าบอกเป็นชั้นตอนมา
ที่หลวงตาท่านไปพูดกับหลวงปู่ขาวไง เวลาหลวงปู่ขาวพูดมาเป็นชั้น ๑ ๒ ๓ ๔ หลวงตาท่านพูดของท่านให้หลวงปู่ขาวฟัง ๑ ๒ ๓ ๔ ที่เจ้าคุณจูมเอาหลวงตากับหลวงปู่ขาวไปสนทนาธรรมกันที่วัดป่าแก้วชุมพลในงานเผาศพแม่ของอาจารย์สิงห์ทอง
นี่ไง เวลาครูบาอาจารย์ของเราท่านจะมีประสบการณ์อย่างนี้ ธมฺมสากจฺฉา เอตมฺมงฺคลมุตฺตมํ ท่านจะสนทนาธรรม ถ้าว่าจะตรวจสอบกันก็ได้ พอมาตรวจสอบมันก็ชัดเจนอยู่แล้ว
ฉะนั้น เวลาอาจารย์สิงห์ทองท่านปฏิบัติมา ท่านก็ซักถามของท่าน แล้วท่านก็มาพูดของท่าน มาพูดถึงของอาจารย์สิงห์ทองนี่แปลก เวลาหลวงตาท่านพูดนะว่า ขณะที่ ๑ ๒ ๓ มามันมี พอขั้นสุดท้ายพยายามซัก อาจารย์สิงห์ทองบอกว่าจะตอบหลวงตาให้ชัดเจน มันไม่ชัดเจน แต่ผลมันเป็นอย่างนี้ ผลของมันคือมันจบ
ของอาจารย์สิงห์ทองเวลาท่านอธิบายธรรมะของท่าน ท่านเปรียบเหมือนปากกา ปากกาหล่อลื่น ปากกาหมึกซึม พอท่านเขียนๆๆ ปากกาเขียนจนหมึกหมด พอหมึกมันหมดไปแล้วมันเขียนไม่ติด เพราะมันไม่มีหมึก นี่คือวิทยานิพนธ์ของอาจารย์สิงห์ทอง
ปากกาเขียนจนหมึกหมด พอหมึกมันหมดไปแล้ว เขียนอย่างไรมันก็ไม่มีแล้ว เพราะมันไม่มี เออ! เห็นไหม คนที่ปฏิบัติไป ถ้าจริงแล้วมันเป็นจริง ฉะนั้น เวลาหมึกมันหมดไปแล้วมันก็หมดไปแล้ว แล้วหมึกหมดไปแล้วมันไม่มีนี่ หมึกมันไม่มี จะทำให้มันมีอย่างไรมันก็ไม่มี
หลวงตาท่านก็ซักเลย พยายามบอกว่า สมมุติว่าถ้ามันมีหมึก เอาหมึกมาเติมได้ไหม
เออ! ท่านก็มีเหตุผลตอบของท่าน เพราะเวลาจะสอบ โอ๋ย! ต้องสอบกันละเอียดนะ ถ้าสอบแล้วก็คือจบ
ฉะนั้น ของอาจารย์สิงห์ทอง สาธุ เราก็เชื่อมั่นของเรา ถูกต้อง อาจารย์สิงห์ทองถูกต้อง หลวงตาก็ถูกต้อง ถูกต้องแล้ววางไว้
แต่นี่มันมาที่คำถามสิ คำถาม คนถามก็ไม่รู้ คนตอบก็ไม่รู้ไง “ขณะของหลวงตาคืออะไรคะ”
คือตังเมมั้ง มันตัดดังต๊าบ! เลยล่ะ เราต้องไปหาตังเมมาตัดกัน แต่ถ้าเป็นความจริงนะ ความจริงมันก็คือความจริงสิ มันมีความจริงอยู่มันก็เป็นความจริง แต่ถ้าไม่มีความจริงอยู่มันก็เป็นแบบนี้ นี่พูดถึงขณะ
ฉะนั้น ผู้ถามไม่ต้องสงสัย มันเดาธรรม มันด้นเดาจนสูงส่ง ข้างหน้าก็บอกว่า สกิทาคามีมันเกิดอีกชาติเดียว อนาคามีต้องไปอีกยาวไกลเลย อันนี้ก็เดามา อันนี้เดาสูงขึ้นไปอีก เล่นขณะเลย แล้วขณะคืออะไร
อันนี้คือการตรวจสอบบัญชีที่ผู้ตรวจสอบบัญชีเขาเซ็นรับหมด เซ็นรับแล้วก็ยื่นสรรพากร เสียภาษีถูกต้องตามกฎหมาย ทำความชัดเจนตามระเบียบทางราชการถูกต้องหมด แล้วจบโดยสมบูรณ์เป็นสัมมาทิฏฐิ
แต่ถ้าพูดถึงคนที่มีกิเลสแล้วคิดโดยเข้าข้างตัวเอง มันก็หลบหลีกหลบเลี่ยง หลบภาษี หนีภาษี แล้วว่าตัวเองถูกต้อง มันก็ไม่ใช่พระพุทธศาสนาไง ถ้าหลบภาษีคือหลบจากสัจธรรม หลบจากอริยสัจ
มันจะเป็นสัจธรรม เป็นผู้ที่ผู้ใดปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม เห็นไหม ผู้ใดปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นตถาคต ถ้าเห็นตถาคต มันก็ไม่หลบเลี่ยง ไม่หลบภาษี ขณะถูกต้องดีงาม
แต่ถ้ามันหลบภาษี หลบภาษี หลบเลี่ยง แล้วก็ไปทำบัญชีสอง บัญชีสาม ตัดกิเลสดังต๊าบ! มันก็ไม่เห็นตถาคต มันไม่เห็นตถาคต ไม่เห็นธรรม ไม่เห็นตถาคต แล้วก็แถกันไป นี่ขณะของเขา
ฉะนั้น เราไม่เอาอย่างนั้น ของหลวงตาสาธุ ยกไว้ ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังยกไว้เลย เพราะเวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพูดถึงพระอานนท์ “อานนท์ อีก ๓ เดือนข้างหน้าเขาจะทำสังคายนา เธอจะได้เป็นพระอรหันต์ในวันนั้น”
คำว่า “เป็นพระอรหันต์วันนั้น” เห็นไหม นี่ขณะของพระอานนท์ ของพระอานนท์ถูกต้องดีงาม ถูกต้องดีงาม พระอานนท์มีอายุขัยมาอีก ๑๒๐ ปี พระอานนท์ถึงนิพพานกลางอากาศ
นี่ไง เวลาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นิพพานไปแล้ว พระอานนท์ร้องไห้รำพันรำพึงเลยล่ะ เราเป็นพระโสดาบัน ไม่มีใครชี้นำ
สุดท้ายแล้วองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่า “อานนท์ เธอได้ทำบุญกุศลเอาไว้มาก อุปัฏฐากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แม้แต่อนาคตกาล ผู้ที่จะอุปัฏฐากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ไม่มีใครปฏิบัติได้เกินพระอานนท์ไปหรอก เธอได้ทำบุญกุศลเอาไว้มาก อีก ๓ เดือนข้างหน้า เขาจะทำสังคายนา เธอจะได้เป็นพระอรหันต์วันนั้น” แล้วพระอานนท์ก็ได้เป็นพระอรหันต์วันนั้นจบสิ้นไปแล้ว
ฉะนั้น เวลาขณะของหลวงตาก็เป็นขณะของหลวงตา ขณะของอาจารย์สิงห์ทองก็เป็นขณะของอาจารย์สิงห์ทอง
อย่างนี้ที่สงสัย สงสัยแล้วนะ ปฏิบัตินะ ให้เอาจริงเอาจัง เอาความจริงของเรา ของหลวงตาก็เป็นของหลวงตา ของอาจารย์สิงห์ทองก็เป็นของอาจารย์สิงห์ทอง ของเรา ของเรา ของเราของผู้ถาม พยายามปฏิบัติ
แต่อย่าไปตัดตังเมนะ ตังเมไม่ต้องไปตัดหรอก เพราะว่าผู้ขายตังเมเขาตัดของเขาเอง เขาขายตังเมเพื่อเอาตังค์ เราปฏิบัติเพื่อเอาคุณธรรม เราเอาความจริงของเรา เราจะเอาสัจจะความจริง เราไม่ใช่เอาการหลีกเลี่ยงหลบเลี่ยง เราจะเอาความจริง
ถ้าผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นตถาคต เราอยากเห็นตถาคต เราอยากเห็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราอยากได้สัจจะความจริงในใจของเรา
อย่าแถ ไม่รู้แล้วอวดรู้ แล้วสร้างทฤษฎีของตัวเองขึ้นมาว่าขณะเป็นอย่างนั้นๆ ขายโง่ ปล่อยไก่ ทำให้คนเขาติฉินนินทา กรรมฐานเป็นกันอย่างนี้หรือ กรรมฐานมีความรู้อย่างนี้หรือ ไหนว่ากรรมฐานปฏิบัติจริงไง
ถ้าเราปฏิบัติจริง เราปฏิบัติของเราเพื่อเป็นความจริงของเรา เอวัง