เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๑๕ มิ.ย. ๒๕๕๗

 

เทศน์เช้า วันที่ ๑๕ มิถุนายน ๒๕๕๗
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

อ้าว! เราตั้งใจฟังธรรมะ ธรรมะ ที่ไหนมีธรรม ที่นั่นมีความร่มเย็นเป็นสุข เราแสวงหาสิ่งนั้น แต่เราแสวงหาสิ่งข้างนอกไง ที่ไหนที่มีธรรม สังคมร่มเย็นเป็นสุข เราอยากอยู่ในสังคมนั้น ถ้าสังคมข้างนอกร่มเย็นเป็นสุข สมณะชีพราหมณ์จะได้ประพฤติปฏิบัติไง แต่ถ้าสังคมในหัวใจเราล่ะ ภพชาติหนึ่ง เวลาเกิดภพชาติหนึ่ง อารมณ์ความรู้สึกหนึ่ง นักปฏิบัติ อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา สงฺขาราปจฺจยา วิญฺญาณํ สิ่งนี้มีถึงมีเหตุนี้ แต่เวลาอารมณ์เกิดดับๆ นั่นล่ะภพชาติหนึ่ง ภพชาติหนึ่งของนามธรรม

แต่เวลาภพชาติหนึ่งในการเวียนว่ายตายเกิด สังคมภายนอกเป็นสังคมหนึ่ง สังคมในหัวใจของเรา ถ้ามันทำสิ่งนี้ได้ คนต้องมีสติปัญญา ต้องละเอียดรอบคอบ แต่ถ้าไม่ละเอียดรอบคอบ เขาไม่รู้ว่ากายกับใจเป็นอย่างไร เราก็คือเรา ร่างกายก็คือจิตใจ จิตใจก็คือร่างกาย เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ทุกข์ก็เป็นเรา สรรพสิ่งก็เป็นเรา เวลาอารมณ์นี้เป็นของเรานะ แต่เวลาไปข้างนอก สมบัติก็เป็นของเรา วัตถุเป็นของเราได้อย่างไร

ดูสิ สิ่งที่ร่างกาย ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เรายังต้องตัดทิ้งเลย เราต้องโกนทิ้ง เราต้องตัดทิ้งอยู่แล้ว ทั้งๆ ที่อยู่ที่ร่างกายของเรา เรายังต้องทำความสะอาดมันเลยล่ะ แล้วของอยู่ข้างนอก เราว่าเป็นของเราได้อย่างไรล่ะ แต่มันเป็นของเรา ของเราโดยสมมุติ ของเราโดยสิทธิ เป็นสิทธิของเรา แล้วสิทธิไปยึดมั่น เห็นไหม

ปาณาติปาตา เราไม่ล่วงเกินกัน เราไม่ทำร้ายกัน เราไม่ล่วงเกินและทำร้ายกัน เวลาสัตว์ ดูสิ เวลาครูบาอาจารย์ท่านบอกว่าสัตว์ เวลาเป็นพระโพธิสัตว์ หลวงตาท่านเทศน์นะ ท่านบอกว่า มันมีอยู่ทางภาคอีสาน พระองค์หนึ่งท่านนอนแล้วฝัน ท่านนอนนะ เป็นเจ้าคุณด้วย นอนแล้วฝัน ฝันว่ามีพระโพธิสัตว์ มีพระโพธิสัตว์เป็นปลาช่อน ปลาช่อนพระโพธิสัตว์มาเข้าฝันท่าน บอกว่า ท่านเป็นพระโพธิสัตว์ แต่ตอนนี้ท่านโดนขังไว้ เขาเอามาขังไว้เพราะว่าบ้านนอกเขาเอาขังไว้เพื่อทำอาหารเขาไปแต่ละวันๆ ไป เขาบอกว่าเขาเป็นโพธิสัตว์ เวลาพรุ่งนี้เช้าท่านไปบิณฑบาตนะ ท่านคุ้นเคยกับบ้านนั้น ให้ขอไปปล่อยให้ที

นี่เป็นความฝัน เป็นความฝันเพราะท่านฝัน แล้วพอในความฝันก็ถามว่า “แล้วท่านมาบอกผมทำไมล่ะ ทำไมต้องมาบอกผมล่ะ”

“อ้าว! ก็ผมเป็นโพธิสัตว์ ท่านก็เป็นโพธิสัตว์ด้วยกัน ต่างคนต่างสร้างบุญสร้างกุศลด้วยกันไง”

นี่ในฝันนะ เช้าขึ้นมาท่านก็ออกไปบิณฑบาต พอบิณฑบาต บ้านที่คุ้นเคยกัน ก็เดินเลย ถือวิสาสะเข้าไปหลังบ้านเลย เขาขังปลาช่อนไว้จริงๆ แต่ด้วยอุบาย คนที่มีอุบายนะ เพราะคนคุ้นเคยใช่ไหม สิ่งใดก็ถวายได้ใช่ไหม ไอ้นี่มันเป็นสัตว์ที่เขากักไว้เป็นอาหาร

“ขอนะๆ”

เทลงคลองไปเลย

นี่พระโพธิสัตว์กับโพธิสัตว์ ฉะนั้น สิ่งนี้ ปลาช่อนนะ สัตว์น้ำที่มันเป็นพระโพธิสัตว์ พระโพธิสัตว์ทำไมเขาถึงมาขอล่ะ เพราะเขาโดนขังไว้เป็นกลุ่ม เป็นก้อน เป็นฝูง เขาเป็นหัวหน้าสัตว์ไง หัวหน้าสัตว์นะ เขาเสียสละของเขา เพื่อจะสร้างบุญกุศลของเขา เขาจะช่วยเหลือหมู่คณะของเขา แต่เขาจะช่วยเหลือได้อย่างไรล่ะ เขาก็มาเข้าฝัน

“ทำไมต้องมาเข้าฝันผมด้วยล่ะ อ้าว! ท่านก็เป็นโพธิสัตว์ ผมก็เป็นโพธิสัตว์” พระโพธิสัตว์กับโพธิสัตว์ด้วยกันเขาก็สร้างคุณงามความดีของเขาไป

เขาสร้างคุณงามความดีของเขา ปาณาติปาตา เราไม่เบียดเบียนกัน เราไม่รังแกกัน เราไม่ทำร้ายกัน แต่สิ่งที่เราเกิดมาในสังคมโลก ทำไมมันเอารัดเอาเปรียบกันอย่างนั้นล่ะ เวลาเขาบอกว่าสัตว์มันเกิดเป็นอาหารของเรา หน้าที่ของมันคือเกิดเป็นอาหารของเรา

มันก็มีชีวิตของมัน มันก็มีความรู้สึกของมันเหมือนกัน แต่เวลาโลกของเรา เห็นไหม ดูสิ พระโพธิสัตว์เหมือนกัน องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสวยชาติเป็นกระต่ายป่า นายพรานเขาไปเที่ยวป่า แล้วเขาหลงป่า เขาหิวกระหายมาก เขาจุดกองไฟไว้เผาเพื่อความอบอุ่นของเขา เพราะเป็นนายพรานป่า พระโพธิสัตว์กระโดดเข้ากองไฟ กระต่ายตัวนั้นกระโดดเข้ากองไฟเลย ให้นายพราน ๒ คนนั้นได้รอดชีวิตไป นี่ความเสียสละของพระโพธิสัตว์

แต่พระโพธิสัตว์ ถ้าเรารู้ว่าเป็นพระโพธิสัตว์ เราหลงป่าอยู่ เราจะกินเนื้อกระต่ายนั้นไหม แต่ก็ไม่มีใครรู้ไง แล้วสิ่งที่รู้นี้เอามาจากไหนล่ะ ไปเก็บมาจากไหน? ก็ในพระไตรปิฎกไง เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นคนบอกเองว่าท่านเคยเป็น ท่านเคยทำ ท่านทำของท่านมา ท่านทำของท่านมา นี่พูดถึงผลของวัฏฏะใช่ไหม ถ้าผลของวัฏฏะ คนที่หูตาสว่าง สิ่งใดเขาทำคุณงามความดีของเรา แต่ถ้าคนเรามันด้วยกิเลสตัณหาความทะยานอยากมันก็แสวงหาของมัน เราก็ทำ

ทุกคนต้องมีหน้าที่การงาน เพราะคนเกิดมามีปากมีท้อง เราเกิดมาเป็นญาติกันโดยธรรม เพราะทุกคนมีหนึ่งปากและหนึ่งท้อง เวลามีหนึ่งปากหนึ่งท้อง เราต้องแสวงหาปัจจัยเครื่องอาศัยเพื่อมาดำรงชีวิตของเรา เรามีความเสมอภาค มีคนละหนึ่งปากและหนึ่งท้อง แล้วเราก็มีจิตใจด้วย จิตใจของเรา เห็นไหม ดูสิ สังคมของเรา ถ้าสังคมในหัวใจของเรา เราฟังธรรมๆ ฟังธรรมเพื่อเหตุนี้ ใครจะติฉินนินทา ใครจะส่งเสริมอย่างไรมันก็เรื่องของโลกธรรม ๘ เรื่องของการติฉินนินทาของโลกเขา เราเองเราเป็นคนรู้ไง แต่จะรู้ได้อย่างไรล่ะ ถ้าเราไม่มีสติปัญญา เราจะรู้ได้อย่างไร เพราะตัณหาความทะยานอยากมันครอบงำหัวใจทั้งนั้นแหละ มันบอกว่าความคิดของเราไม่มีใครรู้เรื่องของเราหรอก เราทำสิ่งใดเราก็จะเอาแต่ผลประโยชน์ของเรา นี่มันคิดของมันไป มันทำของมันไปไง มันทำของมัน มันว่าเป็นความลับๆ มันน่ะรู้ เพราะมันรู้มันถึงเวียนว่ายตายเกิด เพราะมันรู้มันถึงมีเวรมีกรรม เพราะมันรู้มันถึงมีการกระทำ นี่การกระทำของใจ ใจมีการกระทำ

แต่ถ้าเรามีสติปัญญา หน้าที่การงานก็เป็นหน้าที่การงาน หน้าที่การงานก็ปากกัดตีนถีบอยู่แล้วแหละ เราก็รู้อยู่ว่าเป็นหน้าที่การงาน เพราะเราเสมอกัน เราเกิดมาไง แต่มันขาดตกบกพร่องที่หัวใจ หัวใจของคนที่มันทุกข์มันยาก มันดิ้นรนของมัน แต่คนที่หัวใจเขาอิ่มเขาเต็มของเขา เขามีของเขา เวลาเขาต้องใช้สอยของเขา ถ้าหัวใจของเขา เขาสละให้คนอื่นก่อน ทั้งๆ ที่มันทุกข์มันยาก เขาก็สละให้คนอื่นก่อนได้ เพราะเดี๋ยวหาได้ข้างหน้า

ในสมัยที่หลวงตาท่านอยู่กับหลวงปู่มั่น ช่วงนั้นเป็นช่วงสมัยสงครามโลกครั้งที่ ๒ ผ้าผ่อนมันขาดแคลนไปหมด อัตคัดขาดแคลนไปทั้งนั้น แล้วยิ่งภิกษุอยู่ป่า เอาที่ไหนล่ะ เวลาสิ่งที่ใครเขามาถวายผ้าอาบน้ำฝน ผ้าต่างๆ หลวงตาท่านกั๊กไว้ กั๊กไว้เพื่อประโยชน์หลวงปู่มั่น ไปเก็บไว้ในที่อยู่ของท่าน ในที่ท่านกั้นห้องไว้อยู่ เอาไปเก็บไว้

เวลาท่านกลับไปนะ “นี่ของใคร”

“ก็เก็บไว้เพื่อให้หลวงปู่มั่นได้ใช้”

ท่านพูดนะ หลวงตาท่านจำแม่น จำจนฝังใจ “เราเป็นหัวหน้า คำว่าหัวหน้ามันเป็นผู้ที่ญาติโยมเขาศรัทธา เราเป็นหัวหน้า ฉะนั้น สิ่งที่มันอัตคัดขาดแคลน ให้ลูกศิษย์ลูกหาก่อน”

ท่านให้พระก่อนนะ ท่านไม่ยอม ท่านให้พระก่อน หลวงตาท่านจับของท่านไว้ ท่านให้คนอื่นก่อน ท่านบอกว่าให้พระไปก่อนเพราะมันขาดแคลน พระที่มาพึ่งพาอาศัย ให้สิ่งนั้นก่อน แล้วท่านก็สังเกต สังเกตว่ามันไม่มี มันไม่มี

พอไม่กี่วันต่อไปก่อนเข้าพรรษา อาจารย์อุ่นเขาจ้างให้คนแบกหามเข้าไป ผ้าเป็นพับๆ เลย เป็นม้วนๆ เลย เข้าไปถวายท่าน แล้วผ้าที่ได้มา หลวงตาท่านก็ไปถามนะ “เพราะมันอัตคัดขาดแคลนมันไม่มีขายหรอก แล้วผ้านี้เอามาจากไหน”

ผ้านี้เอามาได้เพราะเขาไปซื้อหลังร้าน

ภาษาเราก็ซื้อใต้ดิน ถ้าซื้อหน้าร้านไม่มีขาย ไม่มีเลย

นี่อำนาจวาสนาของคน ผู้นำๆ ท่านเสียสละ เห็นไหม อย่างพวกเรา ถ้าเราอัตคัดขาดแคลน สิ่งใดมาเราต้องเก็บไว้ใช้ของเราก่อน เพราะเราอัตคัดขาดแคลนใช่ไหม แต่ของท่านอัตคัดขาดแคลนด้วยกัน ผู้มีน้ำใจถวายท่าน ท่านบอกว่า “ให้พระในวัดก่อน ให้คนอื่นก่อน ให้คนอื่นก่อน”

“แล้วท่านไม่มีใช้ทำอย่างไรล่ะ”

“ช่างมัน หัวหน้าเดี๋ยวมันเป็นไปเอง”...มันต้องมีของมันได้ไง

สิ่งที่เวลาเราทำแล้ว เราเสียสละให้คนอื่น เราจะไม่ได้สิ่งใด ถ้าสละด้วยหัวใจที่บริสุทธิ์นะ เราไม่ได้สละด้วยว่าเราต้องการผลตอบแทนอะไร เราสละของเรา ความเสียสละ ถ้าเสียสละอย่างนี้ เราทำเพื่อสังคมในใจของเรา

สังคมภายนอกเรายังควบคุมเขาไม่ได้เลย สังคมนะ นานาจิตตัง โลกธรรม ๘ สรรเสริญ นินทา มันมีของมันประจำโลกอยู่แล้ว ธรรมะเก่าแก่ แต่ถ้าเรามีจิตใจของเรามั่นคงนะ ไอ้ธรรมะเก่าแก่นั้นมันจะไม่สามารถเหยียบย่ำ ไม่สามารถพัดให้หัวใจเราหวั่นไหวไปได้ แต่ถ้าข้างในหัวใจเราหวั่นไหว ไม่ต้องให้สังคมภายนอกมันมาพัดหรอก เราระแวงไปเอง เราทำอะไรล้มลุกคลุกคลาน เราทำอะไรหวาดหวั่นไปหมดเลย

ทำไมมันต้องเป็นอย่างนั้นล่ะ ทำไมต้องไปหวาดหวั่นอะไรกับเขา คนก็เท่าคน เขาก็มีปากมีท้องเหมือนเรา เขามีกายมีใจเหมือนกัน มนุษย์ก็เท่ากับมนุษย์ มันจะแตกต่างกันตรงไหนล่ะ สิทธิเสมอภาคมันเท่ากัน ถ้ามันเท่ากัน เราก็ทำของเราไปสิ นิ้วมือของเรายังไม่เท่ากันเลย โอกาสของคนแต่ละชาติหนึ่งเวียนว่ายตายเกิด ตายเกิดมาแล้วภพชาติหนึ่ง ชีวิตหนึ่งมันก็มีลุ่มๆ ดอนๆ เวลาลุ่มๆ ดอนๆ มันจะไปหวั่นไหวอะไร ลุ่มๆ ดอนๆ ก็เผชิญกับมันสิ

เวลานักปฏิบัตินะ ครูบาอาจารย์ท่านอยู่ในป่าในเขา เวลามันทุกข์มันยาก เรายังต้องทุกข์ยากมากกว่านั้น หลวงปู่มั่นเวลาเจ็บไข้ได้ป่วยขึ้นมา เขาก็ต้องฟื้นฟู ต้องดูแลร่างกาย เวลาหลวงปู่มั่นท่านเจ็บไข้ได้ป่วย หลวงตาท่านเล่า ธรรมดาคนเรา ท่านก็ถือธุดงควัตรอยู่แล้ว เวลาเจ็บไข้ได้ป่วย ฉันน้ำข้าวต้มกับเกลือ อ้าว! เขาเจ็บไข้ได้ป่วยเขาต้องฟื้นฟูร่างกาย ธรรมดาท่านก็ฉันอาหารปกติ แต่เวลาเจ็บไข้ได้ป่วยนะ ข้าวต้มกับเกลือ ท่านทำอย่างนั้น แล้วหลวงตาท่านเป็นคนอุปัฏฐากอยู่ มันเห็นมากับตา มันเห็นมากับตาแล้วจิตใจมันคนละชั้น คนที่ทำท่านทำด้วยหัวใจของท่าน ไอ้เราเคารพบูชาใช่ไหม ถ้าไม่รักมันก็ไม่คิดหรอก คนไม่รักกันไม่ห่วงกันหรอก ไอ้นี่มันรัก มันเคารพ มันบูชา แล้วมันอยากให้ได้อย่างที่เราคาดเราหมาย เราอยากให้ท่านฟื้นฟู ให้ท่านทำของท่าน มันยิ่งจับ ยิ่งดู ยิ่งแล แต่ท่านทำของท่านเป็นคติเป็นตัวอย่าง เพราะมีหลวงตา มีหลวงปู่ขาว มีครูบาอาจารย์เราที่จะเป็นหลักชัยไป

หลวงปู่ขาวท่านบอกว่าท่านเก็บบาตรผิดที่นะ คืนนั้นพอนั่งภาวนา หลวงปู่มั่นมาติเลย “ทำอย่างนั้นหรือ ทำอย่างนั้นหรือ” ถ้าผู้ใดจะเป็นผู้ที่เป็นหลักเป็นชัยไปข้างหน้า ท่านจะอบรมสั่งสอน สอนด้วยการไม่สอน สอนด้วยการทำให้ดู ท่านทำชีวิตของท่าน ท่านทำให้ดู ทั้งๆ ที่ท่านก็เมตตาอยู่แล้วแหละ แต่ท่านทำให้ดูเพราะท่านรู้ว่าคนที่มีปัญญา ท่านทำสิ่งใด ไอ้คนมีปัญญามันรู้ มันเห็น มันเก็บ มันซับ มันเอามาเป็นประโยชน์ ไอ้คนไม่มีปัญญานะ ยัดใส่ปากมัน มันยังบ้วนทิ้งเลย ไอ้คนที่มีปัญญาท่านทำเป็นประโยชน์ เห็นไหม ทั้งเก็บ ทั้งซับเพื่อเป็นประโยชน์กับเรา

เวลาครูบาอาจารย์ท่านทำเป็นตัวอย่าง ไม่ใช่ท่านอดท่านอยากนะ ท่านมี ท่านมีของท่านทั้งนั้นแหละ เพราะอะไร เขามาในวัด เขาไปหนองผือ เขาไปหาใครล่ะ ก็เขาไปหาหลวงปู่มั่น แล้วที่เขาถวายเขาถวายใครล่ะ ก็ถวายหลวงปู่มั่น แล้วเวลาท่านใช้สอย ท่านไม่ใช้สอย ท่านให้พระในวัด ท่านไม่เอา ท่านให้พระในวัด เวลาเจ็บไข้ได้ป่วยขึ้นมายังทำเป็นแบบอย่าง ยังทำเป็นตัวอย่าง นี้เป็นแค่พฤติกรรม นี้เป็นแค่ข้อวัตรปฏิบัติ นี้เป็นแค่ที่ว่าเป็นวัตถุที่เราเห็น เราจับต้องได้ แต่ในหัวใจนะ หัวใจที่มันประพฤติปฏิบัติ เวลาประพฤติปฏิบัติ สังคมภายในหัวใจเวลามันชำระล้างไปแล้ว อันนั้นมันสำคัญกว่า มันสำคัญกว่าเพราะอะไร

สังคมภายนอก สังคมภายนอก ดูสิ กระแสสังคมเขาบริหารจัดการ เขาควบคุมได้ เวลาคุมม็อบ เขาน้อมนำไป เขาทำได้ แต่ในใจของเราล่ะ ใครจะควบคุมใคร เวลาเราคิดอะไรขึ้นมา เรารู้ตัวอยู่แล้ว เราทำอะไรขึ้นมามันบอกเอ็งก็โกหก ก็รู้กันอยู่ ก็ทำเองรู้เอง แล้วจะทำอย่างไรล่ะ

แต่ถ้ามีสติมีปัญญา กำหนดพุทโธก็ได้ ปัญญาอบรมสมาธิก็ได้ ทำเข้าไปแล้วเราจะเห็นสังคมของเรา สังคมของเรา เราต้องการให้ทุกคนมีความสุขรื่นเริง ในหัวใจของเรา เราก็อยากให้สังคมรื่นเริง อเสวนา จ พาลานํ ปณฺฑิตานญฺจ เสวนา เราจะไม่คบคนพาล เราจะคบบัณฑิต เราจะคบสัจธรรม แต่หัวใจทำไมมันดิ้นรนอย่างนี้ล่ะ นั่งสมาธิภาวนา เขาบอกเป็นหนทางแห่งการพ้นทุกข์ ในการประพฤติปฏิบัติมันเป็นคุณงามความดีทั้งนั้นแหละ เราก็ทำคุณงามความดีทั้งนั้นแหละ ทำไมตบะธรรมมันต้องแผดเผากิเลสตัณหาความทะยานอยาก ทำไมตบะธรรมมันเผาหัวใจเรา มันลนก้น นั่งนี่ก้นร้อนไปหมดเลย เราเดินสมาธิภาวนามันจะล้มลุกคลุกคลาน ก็ไหนว่าจะทำความดีไง ก็ไหนว่าจะมุ่งมั่นมุมานะเอาความดีไง ทำไมมันเป็นอย่างนี้ ทำไมมันสู้ไม่ได้

นี่ขั้วบวก-ขั้วลบ คนเกิดมา โลกเป็นของคู่ มันมีดีก็มีชั่ว มันมีบุญกุศล มีเจตนา มันก็มีอวิชชา มีมารอยู่ในหัวใจที่มันจะต่อต้าน นี่มารมันต่อต้าน มารมันไม่ต้องการให้เราเข้าไปสันทิฏฐิโก ไปปัจจัตตัง ได้สัมผัสรสของธรรม มันต่อมันต้าน ถ้าใครไปสัมผัสนะ ใครทำสมาธิทีหนึ่งจะฝังใจไปจนตายเลย ถ้าใครเคยใช้ปัญญาไปทีหนึ่ง ปัญญาอย่างนี้เมื่อไหร่จะเกิดขึ้นสักที ปัญญาที่เราอยากรู้เมื่อไหร่มันจะเกิดขึ้นสักที เพราะมันไปเจอแล้วมันฝังใจ มารมันถึงได้ใช้เล่ห์ใช้กลของมันพยายามผลักไส

ฉะนั้น เราเดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนา มันเป็นวิธีการ แล้วทุกคนมันอยู่ที่จิตใจหนาหรือบาง ถ้าหนาก็ต้องเข้มข้น ถ้าจิตใจบาง บางคนนั่งสมาธิก็ทำได้ง่าย บางคนมีปัญญาก็พอไปได้ คำว่า “พอไปได้” แต่เราต้องมีสติปัญญา ต้องมีสติ มีความรอบคอบ อย่าเพิ่งไว้ใจ อย่าเพิ่งเชื่อ ไม่ให้เชื่อสิ่งใดทั้งสิ้น เชื่อในการประพฤติปฏิบัติ “นี่ก็ประพฤติปฏิบัติแล้ว นี่ก็รู้จักการประพฤติปฏิบัติ มันจะไม่ให้เชื่อได้อย่างไรล่ะ”...มันไม่ให้เชื่อ ไม่ให้เชื่อเพราะว่ามันยังเป็นอนิจจังอยู่ มันยังอยู่ในไตรลักษณ์อยู่ เห็นไหม สพฺเพ ธมฺมา อนตฺตา ความเป็นอนัตตา ทุกอย่างเป็นอนัตตา สรรพสิ่งเป็นอนัตตา มันก็เป็นอยู่แล้ว ดูสิ พระอาทิตย์ขึ้น-พระอาทิตย์ตกมันก็เป็นอนัตตา มันแปรปรวนของมันอยู่ตลอดเวลา ธรรมะเป็นธรรมชาติมันก็แปรปรวนของมันอยู่แล้ว แล้วใครเป็นคนเห็น ใครเป็นรู้ล่ะ

ถ้าใครเป็นคนรู้คนเห็น เห็นอย่างไรล่ะ? ก็เห็นสังคมไง เห็นความฉ้อฉลของสังคมในหัวใจไง เห็นพาลกับบัณฑิตมันต่อสู้กันไง เห็นธรรมกับอธรรมมันต่อสู้กันไง เห็นสัจธรรม เวลาเป็นสมาธิมันก็มีความร่มเย็นไง ธรรมจักร เวลาจักรมันเคลื่อน ปัญญามันเคลื่อนพร้อมกับสมาธิ พร้อมกับกำลังขึ้นมา ธรรมจักรมันบดบี้กิเลสตัณหาความทะยานอยากไง แต่เวลาจิตมันเสื่อมลงมา จิตมันท้อถอยลงมา มันเป็นกงจักรแล้ว ฝ่ายอธรรม ฝ่ายกิเลสมันมีมากกว่า เห็นไหม “เราไม่มีวาสนา เราทำแล้วเราทำไม่ได้” นี่กงจักรมันหมุนแล้ว ถ้าเราไม่มีสติปัญญา กงจักรมันหมุนมา เดี๋ยวเราก็ล้มลุกคลุกคลานแล้ว

แต่ถ้าเรามีสติปัญญา เราแยกแยะได้ แยกแยะด้วยเหตุด้วยผล ดูสิ เวลาเราภาวนาไป มันจะน้อยเนื้อต่ำใจเป็นธรรมดาเลย แค่น้อยเนื้อต่ำใจนะ สุดท้ายแล้ว “เลิกเถอะ พอเถอะ สุดวิสัยแล้ว มันเป็นไปไม่ได้แล้ว”

ถ้าเป็นไปไม่ได้ ชีวิตนี้มาจากไหนล่ะ เป็นไปไม่ได้มานั่งอยู่นี่ทำไมล่ะ เป็นไปไม่ได้มันมีอะไรอยู่นี่ล่ะ มันมีของมันก็เป็นของมันสิ คนเราเกิดมามีปากมีท้องเหมือนกันนะ คนเกิดมาก็มีจิตใจเหมือนกันนะ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็เป็นมนุษย์เหมือนกัน หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นก็เป็นมนุษย์เหมือนกัน เราก็เป็นมนุษย์เหมือนกัน ทำไมเราทำไม่ได้ล่ะ

ถ้าทำได้นะ ทำได้ต้องมีสัมมาทิฏฐิ เวลานั่งสมาธิภาวนาแล้วมันไปไม่ได้ๆ เราสุดโต่งไปทางใดทางหนึ่ง ถ้ามันไปไม่ได้ต้องหาเหตุหาผล มีอุบาย หลวงตาท่านบอกนะ เวลาภาวนาเดินจงกรมโง่อย่างกับหมาตาย หมามันตาย หมามันไม่กระดิก หมามันนอนอยู่นั่นน่ะ โง่กว่ามันอีก หมาตายแล้วมันมีปัญญาไหม เวลาท่านเสียดสีพระไง ให้พระมีกำลังใจ เวลาเดินจงกรมโง่อย่างกับหมาตาย คือไม่ใช้สติปัญญา ไม่ใช้อุบายเลย สักแต่ว่าทำหัวทิ่มอยู่อย่างนั้นแหละ เดินไปเดินมา เดินมาเดินไป แล้วทำไมปัญญามันไม่หมุนบ้างล่ะ

ปัญญามันหมุนก็หาอุบายสิ ถ้ามันไปแล้วมันไม่ได้ กิเลสมันปิดกั้น กิเลสมันต่อต้าน เราก็ต้องมีอุบาย อุบายว่าวันนี้ทำอย่างนี้ไม่ได้ วันต่อไปก็จะพลิกแพลงอย่างไร เราจะเดินอย่างไร เราจะพลิกแพลงอย่างไร นี่หาอุบาย ไม่ใช่ภาวนาโง่แบบหมาตาย นี่คำพูดหลวงตา เราฟังแล้วมันซึ้ง โง่อย่างกับหมาตายมันโง่มากนะ

แต่ถ้าเราจะฉลาดขึ้นมาบ้าง หมาเป็นก็ยังได้ ไม่ต้องหมาตาย หมาที่มีชีวิตตีนมันยังดิ้นบ้าง ไอ้นี่หมาตายไม่กระดิกเลย นี่ไง แล้วเราว่าภาวนาไม่ได้ๆ ภาวนาโง่อย่างกับหมาตาย

เวลาครูบาอาจารย์ท่านพูดนะ พูดให้เราฮึกเหิม พูดให้ฮึกเหิม พูดให้มีกำลังใจ พูดให้เรามุมานะ เพื่ออะไร? เพื่อประโยชน์กับเรา เห็นไหม เวลาเราทำบุญถวายในหลวง วันเฉลิมฯ วันต่างๆ ทำบุญถวายในหลวง ทำบุญถวายในหลวง ทำบุญเราทั้งนั้นแหละ เราทำบุญก็บุญของเรา แล้วเราถวายในหลวง

นี่ครูบาอาจารย์ท่านกระตุ้นๆ ของใคร? ของเราทั้งนั้นแหละ ของคนที่โดนกระตุ้น เวลาหมอใช้เครื่องไฟฟ้ากระตุ้นหัวใจ กระตุ้นไป คนเจ็บๆ แล้วกระตุ้นเพื่ออะไรล่ะ? ก็ให้หัวใจมันทำงานขึ้นมา นี่ก็เหมือนกัน โง่อย่างกับหมาตาย มันไม่ทำงานเลยล่ะ ให้มันทำงานขึ้นมา ทำงานขึ้นมาเป็นประโยชน์กับคนคนนั้น

เพราะว่าคนเรามีกายกับใจเท่ากัน เสมอกัน เกิดมามีปากมีท้องเหมือนกัน มีจิตใจเหมือนกัน ทุกคนมีสิทธิเสรีภาพ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงพยายามจะรื้อสัตว์ขนสัตว์ รื้อสัตว์คือสัตตะผู้ข้อง ใจมันเป็นผู้ข้อง ร่างกายมันไม่ข้องหรอก เวลาตายไปแล้วเหมือนกับหมาตาย เผาทิ้ง ร่างกายไปข้องกับอะไร แต่จิตใจมันข้อง เห็นไหม สังคมภายในสำคัญมาก ถ้าสังคมภายในมันข้อง สัตตะผู้ข้อง ปลดมัน ปลดเปลื้องมัน ทำมันเพื่อสัจธรรม เพื่อความจริงของเรา

เวลาทำ ทำเพื่อประโยชน์อย่างนี้ เราสร้างสมบุญญาธิการมา สร้างสมบุญญาธิการมาให้หัวใจมันผ่องแผ้ว เรื่องลาภสักการะภายนอกมันเป็นเรื่องอามิส แต่เรื่องความสุข-ความทุกข์ในใจของเรา เรื่องความจริงในใจของเรา เราทำเพื่อประโยชน์กับเราเอง เอวัง

=