ถาม-ตอบปัญหาธรรมะ

เชื่อตามเขา

๒๑ มิ.ย. ๒๕๕๗

เชื่อตามเขา

พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

 

ถาม-ตอบ ปัญหาธรรม วันที่ ๒๑ มิถุนายน ๒๕๕๗

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) .หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

 

ถาม : เรื่องชีวิตฆราวาส

มีคำถามดังนี้

. ผู้ที่ปฏิบัติภาวนา ชีวิตประจำวัน ชีวิตงานประจำวัน แต่งหน้าได้หรือไม่ และเป็นอุปสรรคขวางการเจริญภาวนาตัดกิเลสได้ไหมคะ (เมื่อต้องรักษาศีล ๘ ห้ามแต่งหน้า ใส่น้ำหอม)

. ชีวิตฆราวาสถ้าเลือกไม่หาคู่แต่งงาน เพราะไม่อยากมีห่วงเพิ่มทุกข์ เป็นกิเลสไหม โดนสังคมหาว่าขี้ขลาด กลัวเจ็บเลยไม่กล้ามีคู่ และเราคิดสุดโต่งสำหรับชีวิตฆราวาส

. ได้สนทนากับเพื่อนที่ปฏิบัติ มีความเห็นต่างกัน เช่น ถ้านั่งสมาธิแล้วรู้ตัวว่าคิด ให้ตามดู ไม่ต้องฝืนบังคับดึงกลับมา แต่ตัวดิฉันดึงกลับมาที่พุทโธ เขาบอกห้ามบังคับ จริงๆ แล้วเป็นอย่างไร ควรบอกเพื่อนหรือปล่อยไป ปฏิบัติของตัวให้รอดก่อนค่ะ

. ปัจจุบันมีฆราวาสนำสอนปฏิบัติหลากหลาย บอกว่ามีการสอนธรรมะผิดๆ พระถูกดิสเครดิต เข้าวัดเป็นการหนีทุกข์ สอนวิธีตามดู รู้อารมณ์ เป็นผู้รู้ สังเกตจิตที่เกิดดับถี่ยิบ ความจริงแล้วจิตเกิดดับทุกขณะ และอะไรคือผู้รู้ บางท่านสอนไม่ต้องพุทโธ เดี๋ยวติดบริกรรม ต้องมาถอนทีหลัง ยุ่งยาก การเรียนธรรมะปฏิบัติภาวนาจริงแท้ควรมีอาจารย์เป็นพระมากกว่าใช่หรือไม่ และแบบไหนเชื่อได้ แบบไหนเชื่อไม่ได้คะ ขอบคุณค่ะ

ตอบ : นี่คำถามเนาะ ถ้าคำถาม คำถามตั้งแต่เริ่มต้นเลยล่ะ เริ่มต้นชีวิตฆราวาส การปฏิบัติภาวนาชีวิตประจำวันแต่งหน้าได้หรือไม่ เป็นอุปสรรคการเจริญภาวนาตัดกิเลสหรือไม่

ศีล ๘ เขาบอกว่าศีล ๘ ห้ามฟังเพลง ห้ามขับกล่อมร้องรำทำเพลง ห้ามนอนในที่สูง ห้ามนอนในที่อ่อนนุ่ม ห้าม นี่ศีล ๘ คำว่าศีล ๘ห้ามใช้เครื่องหอม ใช้น้ำหอมต่างๆ เพราะเห็นว่าเป็นการประมาทกับชีวิต เป็นการเลินเล่อไง ถ้าประมาทกับชีวิตเป็นอย่างนั้นไป ศีล ๕ ทำได้ พอศีล ๘ ทำไม่ได้ ถ้าศีล ๘ ทำไม่ได้นะ เพราะว่าให้ชีวิตอยู่กับตามความเป็นจริงเพราะถือพรหมจรรย์ ถ้าถือพรหมจรรย์ ศีล ๘ ถือพรหมจรรย์ แต่ชีวิตฆราวาส ถ้าชีวิตฆราวาส ในชีวิตประจำวันแต่งหน้าได้หรือไม่

คำว่าแต่งหน้าได้หรือไม่คำว่าแต่งหน้าเราเอาขีดจำกัดแค่ไหน แต่ถ้าทาหน้าปะแป้งนี่เราว่าได้ แต่ถ้าเขียนคิ้วโก่งๆ ทาปากแดงๆ เราว่าไม่ได้ ถ้าอย่างนั้นมันเป็นการทำให้เพลิดเพลิน

แต่การปะแป้ง การแบบว่าเพื่อความเย็น เพื่อกำจัดไขมัน เราถือว่ามันเป็นยา การปะแป้ง ความกันโรคต่างๆ พื้นๆ เราว่าได้ แต่ถ้าทำให้มันแบบทางโลกที่แต่งหน้ากันด้วยความเข้มข้น อันนั้นเราว่าผิดแน่นอน

แต่ชีวิตฆราวาสไง ชีวิตฆราวาส ชีวิตประจำวันแต่งหน้าได้หรือไม่

คำว่าแต่งหน้าแต่งแค่ไหน ทีนี้คำว่าศีล ๘ห้ามใส่น้ำหอม คำว่าน้ำหอม เครื่องหอมมันทำให้คนหลงใหล เห็นไหม ทำให้คนหลงใหล ทำให้คนประมาท ทำต่างๆ ศีล ๕ ทำให้เป็นอย่างนั้น ถ้าชีวิตฆราวาส เขาเรียกว่ากามคุณ ๕ กามที่เป็นคุณ เป็นคุณเพราะอะไร เป็นคุณเพราะทางโลกเขา ถ้าเป็นคุณ อยู่ในศีล ๕ คู่ครองของเรา คู่ครองของเราไม่ผิด ถ้าเราไปเสพกามกับคนอื่นนี่ผิด ถ้าคู่ครองของเรา นี่กามคุณ เพราะว่าโลกเป็นอย่างนี้ สัตว์โลกเป็นอย่างนี้ สัตว์โลกละสิ่งนี้ไม่ได้ ละสิ่งนี้ไม่ได้ก็ต้องมีศีล มีศีลคือว่าในคู่ครองของตัว ในสิทธิของตัว อย่างนี้ถูกต้อง แต่ถ้ามันไม่ใช่สิทธิของตัวนี่ผิด ฉะนั้น คำว่าผิดฉะนั้น เป็นกามคุณ

ทีนี้ในสมัยพุทธกาลมีคนเขาไปต่อว่าพระมาก บอกว่า สอนให้ถือพรหมจรรย์ ต่อไปมนุษย์จะสูญจากโลกเลยแหละ มนุษย์โลกจะไม่มี

ทุกคนคิดอย่างนี้นะ พอคิดว่าจะถือศีลปั๊บ ห่วงเลย ห่วงว่าต่อไปมันจะเหลือแต่สัตว์เดรัจฉานเต็มโลกเลย มนุษย์จะไม่มีสักคนหนึ่ง เพราะคนมันจะถือศีล ๘ หมด คนจะปฏิบัติหมด นี่เวลาเขาคิด คิดไปอย่างนั้นน่ะ แต่ความจริงมันเป็นไปไม่ได้ มันเป็นไปไม่ได้เพราะว่ากิเลสของคนมันขับดัน มันเป็นอย่างนั้นไปไม่ได้หรอก นี่ถึงว่ากามคุณ ๕ มันอยู่ที่เรื่องของโลกเขา

แต่ถ้าเป็นพรหมจรรย์ มันเป็นโทษแล้ว ไม่เป็นคุณแล้ว ถ้าเป็นโทษเพราะอะไร เป็นโทษเพราะว่ามันขับดันในใจ ถ้ามันขับดันในใจ สิ่งนี้เราถึงจะต้องละ ทีนี้ถ้าละ จะว่าใช้น้ำหอม ใช้เครื่องหอม สิ่งนี้ทำให้ประมาทเลินเล่อ ละหมด ศีล ๘ งดเว้นๆๆ สิ่งนี้คือการงดเว้น

ทีนี้ชีวิตฆราวาส ทีนี้คิดว่าชีวิตประจำวัน ชีวิตฆราวาส ชีวิตประจำวัน เราจะต้องอยู่กับสังคม เวลาสังคมไม่ไปเลยได้ก็ดี แต่มันจะเป็นไปได้ไหมล่ะ บางทีมันเป็นสังคม เราก็ไปของเรา เราไปของเรา เพราะคนถือศีล เวลาเขาไปกินเลี้ยง เขาไปในงานสโมสร เขามีแก้วน้ำแก้วหนึ่ง เขาก็สังสรรค์ไปกับเพื่อน เขาบอกว่า ทำไมไม่ทานอาหารล่ะ อู๋ย! วันนี้ทานมาแล้ว อิ่มตื้อเลย ทั้งๆ ที่ท้องมันร้องจ๊อกๆ เลย นี่ทานอาหารมา เอาน้ำแก้วหนึ่ง เราก็จิบน้ำของเราไป เพราะเราถือศีล ๘ ไม่กินอาหารตอนเย็น

เราไปงานของเขา เราก็มีแก้วน้ำแก้วหนึ่ง เพราะเรามีสติสัมปชัญญะพอ เราเป็นคนคุมเกม ทีนี้พอคุมเกม เขาทานเลี้ยงกัน เราก็จิบน้ำ เขาบอกทำไมไม่ทานอาหาร

โอ๋ย! ทานมาอิ่มเลย

บอกทำไมไม่ทานอาหาร

โอ๋ย! ทานไม่ได้มันแพ้กัน

นี่คนฉลาดเขาแก้อย่างนี้ เขาไม่บอกว่า ฉันถือศีล ๘ ฉันเป็นคนมีศีล ฉันมาในงานนี้ฉันเก่ง อย่างนี้โลกเขาไม่รับ พอโลกเขาไม่รับแล้วมันจะมีแรงต่อต้าน คนเรามันจะอวด ทุกคนอยากอวดดิบอวดดี

ถือศีลมันเก็บไว้ในใจ ถือศีลมันเก็บไว้ มันต้องไปอวดใคร ถ้ามันไม่อวดใคร พอถ้ามันมีความจำเป็น ความจำเป็นหมายความว่า ในเมื่อญาติของเรา คนสนิทชิดเชื้อของเรา เขามีงาน มีความจำเป็น ไอ้ไม่ไปหรือ มันก็สังคมใช่ไหม ไอ้ไปหรือมันก็ศีลของเราใช่ไหม เราก็ทำของเราพอประมาณใช่ไหม ทางสายกลาง เราก็ไม่แสดงตนว่าฉันถือศีล ๘

ฉันจะไปงานใครก็ไม่ได้ ฉันเป็นคนดี พวกคนที่มาในสังคมนี้เป็นคนที่ไม่ดีหมดเลยเพราะเขาไม่มีศีล ฉันมีศีลอยู่คนเดียว ไปนั่งอยู่ในงานก็ติดป้ายไว้บนหัวเลย คนนี้ถือศีล ๘ ไอ้พวกที่มาในงานนั่นเขาไม่มีศีลเหมือนเรา ทิฏฐิ ทิฏฐิมันอยู่บนหัวไง

แต่ถ้าเราถือศีลของเราใช่ไหม เราก็เก็บไว้ในใจ ในเมื่องานสโมสรใช่ไหม งานของเรา เราก็ไป เราไปแล้วเขาทานอาหารกัน เขากินสุรา เขาดื่มสุรากัน เขามีความรื่นเริงกัน เราก็มีน้ำเปล่าแก้วหนึ่ง เออ! ชนแก้วก็ชนกัน เขาทาน เราก็ดื่มน้ำ กรึ๊บ! โอ้โฮ! ทั้งๆ ที่อยากกินใจจะขาดเลย มันหิว แต่ก็ดื่มน้ำ กรึ๊บ! วัดใจกันไง วัดว่าศีลเราบริสุทธิ์แค่ไหนไง นี่ชีวิตฆราวาสไง

ในธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่า ชีวิตฆราวาสเป็นทางคับแคบ คับแคบเพราะว่าเขาไม่เปิดทางให้เราหรอก จะไปวัดไปวาเขาก็ว่าคนนั้นหนีทุกข์ คนนั้นไม่จริงไม่จัง มันเสียดสีไปทั้งนั้นน่ะเรื่องของกิเลส เห็นไหม จะทำดีไม่กล้าทำ แต่ว่าทำตามเขาไปนี่ทำได้

ฉะนั้นว่าผู้ที่ปฏิบัติธรรม ชีวิตประจำวันแต่งหน้าได้หรือไม่

แต่งหน้า เราว่าทำไม่ได้หรอก แต่งหน้าแบบว่ามันเป็นไก่งามเพราะขนไง เวลาไก่นะ เวลามีขนง๊ามงามเลย เวลาเขาเชือดไก่เสร็จแล้วเขาถอนขน ไม่มีขน ไก่ไม่สวยเลย

ไอ้นี่ก็เหมือนกัน เขียนหน้าทาปาก ไก่มันงามเพราะขน มันจะแต่ง ขนไก่ ถ้ามันขนไก่ เราไม่ต้องมีขนก็ได้ อ้าว! เราก็เป็นไก่เหมือนกัน ไก่หนังร่อน ไก่มีแต่หนัง ไม่มีขนเลยก็ไม่เป็นไร ถ้าขนมันขึ้นหยอมแหยมๆ เราก็เข้ากับฝูงไก่ ฝูงไก่ ไก่เขามีขนสวยงาม ขนของเรามันไม่สวยงาม แต่เราก็เป็นไก่เหมือนกัน อ้าว! เราก็เป็นคนเหมือนกันใช่ไหม

ฉะนั้น สิ่งที่ว่า ชีวิตประจำวันแต่งหน้าได้หรือไม่

เราว่าทาแป้งเพื่อกันเหงื่อไคล ทาแป้งเพื่อรองพื้นเพื่อเป็นยารักษา อย่างนี้เราว่าได้ เพราะมนุษย์เดี๋ยวนี้แบบว่าพวกเครื่องประทินผิวต่างๆ มันทำให้การรักษาโรค การป้องกันแดด อย่างนี้เราถือว่ามันเป็นยา มันปกป้องผิวของเรา ถ้าผิวของเรา

เขาบอกว่า อย่าไปอยู่กลางแดดนะ มันมีแสงยูวีนะ เดี๋ยวจะเป็นมะเร็งผิวหนัง เราก็ทาเครื่องกัน อย่างนี้เราไม่ถือว่าเป็นการตบแต่ง อย่างนี้ถือว่าเป็นการป้องกัน ถ้าถือว่าสิ่งนี้เป็นการป้องกันว่าเราป้องกันผิวหนังเราเพื่อป้องกันไม่ให้เป็นมะเร็งผิวหนัง คนถือศีล ๘ มันจะเป็นมะเร็งผิวหนังหมดเลย ต้องทาแป้งกันไว้ อย่างนี้เราถือว่าไม่มีเจตนาจะตบแต่ง แต่มีเจตนาจะรักษา รักษา เห็นไหม

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนให้บริษัท ๔ ฉลาด ในเมื่อเราเป็นคนฉลาดใช่ไหม เราเป็นคนฉลาด เราอยู่กับแสง เราอยู่กับแดด มันจะทำให้เราหมองคล้ำ ทำให้ผิวพรรณเราเสียหาย เราแค่ป้องกัน เราไม่ใช่ตกแต่งให้มันสวยงาม ศีล ๘ เราว่าใช้ได้ เราว่าสิ่งที่เป็นการป้องกันบำรุงผิวเพื่อไม่ให้เจ็บไข้ได้ป่วย อย่างนี้ใช้ได้

แต่ถ้าเป็นการแต่งหน้าทาแป้ง การเขียนคิ้ว การตบแต่งแบบไก่งามเพราะขน จะเอาขนมาแซมอย่างนี้ เออ! อย่างนี้เจตนา อย่างนี้ผิด

ฉะนั้น ที่บอกว่าข้อที่ ๑ผู้ที่ปฏิบัติภาวนา ชีวิตประจำวันแต่งหน้าได้หรือไม่ และเป็นอุปสรรคขวางการเจริญภาวนาตัดกิเลสหรือไม่คะ

เวลาภาวนา เขาพุทโธๆๆ เขาใช้พุทโธหรือใช้ปัญญาอบรมสมาธิ เขาไม่ใช้การแต่งหน้าไม่แต่งหน้ามาตัดกิเลส เขาใช้มรรคใช้ผลตัดกิเลส ฉะนั้น การภาวนา อุปสรรคของเราคือกิเลสของเราทั้งนั้น กิเลสของเรามันก็ไปปรุงไปแต่งเรื่องนี้ขึ้นมาให้เป็นความวิตกกังวล อย่างนี้ทำให้เป็นกังวล

แต่ถ้าเรามีครูบาอาจารย์ ถ้าเรามีหมู่คณะที่ดี อเสวนา จ พาลานํ ปณฺฑิตานญฺจ เสวนา ปณฺฑิตานญฺจ นี่เราคบบัณฑิต เราคบในหมู่ชนที่นักปฏิบัติ นักปฏิบัติเขาทำตัวกันอย่างไร นักปฏิบัติที่ดีนะ

อย่าไปตามนักปฏิบัติที่ว่าตามกระแส เวลาไปไหนก็จะไปปฏิบัติ เปิดกระเป๋ามามีแต่เครื่องสำอางทั้งนั้นเลย นักปฏิบัติไปไหน อย่างนั้นไม่ใช่ นักปฏิบัตินะ มีกระเป๋าไปคนละใบ เปิดมานักปฏิบัตินี่ โอ้โฮ! มีแต่เครื่องสำอางทั้งนั้นเลย

ถ้าเราไม่ตามนักปฏิบัติอย่างนั้น คบบัณฑิตๆ ถ้าอยู่ในฝูงชนของบัณฑิตมันจะเข้าใจ มันจะเข้าใจแล้วมันไม่ขัดแย้งกัน แต่นี้ด้วยชีวิตของเรา เราไปตกอยู่ที่ไหนน่ะ เราไปตกอยู่สังคมใดล่ะ

เกิดในประเทศอันสมควร ถ้าประเทศของเรา ในประเทศไทยของเรา ในหมู่ชนของเรา ในลูกศิษย์ครูบาอาจารย์เดียวกัน เห็นไหม เกิดในประเทศอันสมควร เกิดในประเทศสมควร หมู่ชนที่สมควร นี่เป็นสัปปายะ แต่ถ้ามันไม่เป็นสัปปายะ เราก็ต้องพยายามหลบหลีกเอา พยายามหลบพยายามหลีกจะเอาชีวิตรอด จะเอาตัวรอด

มันจะเป็นอุปสรรคกับการเจริญภาวนาไหม

สรรพสิ่งอย่างนี้ เครื่องสำอางมันไม่มีชีวิตหรอก มันไม่ให้ใครไปสำเร็จพระอรหันต์และปิดกั้นใครไม่ให้สำเร็จพระอรหันต์ เครื่องสำอางน่ะ แต่คนต่างหาก คนใช้เครื่องสำอางปิดกั้น กิเลสในใจของคนมันปิดกั้น ถ้ากิเลสในใจคนปิดกั้น

ถ้าเราไม่เชื่อตามๆ กันมา เรามีจุดยืนของเรา เราไม่มีความวิตกกังวล เราไม่มีสิ่งใดมาเป็นนิวรณธรรม ไม่ปิดกั้น เราใช้อย่างที่ว่านี่ เราใช้เพื่อเป็นการป้องกัน เราใช้เพื่อไม่ให้แตกต่างไปจากโลกจนเกินไปนัก แต่เราก็ไม่ทำให้ผิดศีลของเรา ถ้าเราจะอยู่กับเขานะ

แล้วถ้าเราจะมาปฏิบัติ เราปฏิบัติได้ เขาจะรื่นเริง เขาจะตื่นเต้นกับสังคมโลก นั่นมันเรื่องของเขา เราอยู่กับเขา แต่เราจะเอาจริง ใจของเรา เอาหัวใจของเรา เอาความจริงของเรา ถ้าความจริงของเรา เห็นไหม

ศากยบุตรพุทธชิโนรส เราเป็นบุตรขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราเชื่อปากขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่า มนุษย์ต่างจากสัตว์เพราะมีศีลธรรม ศีล ๕ ศีล ๘ ศีล ๑๐ ศีล ๒๒๗ เราต่างจากสัตว์ มนุษย์ต่างจากสัตว์เพราะมีศีลมีธรรมในใจ

แต่ถ้าเขาไม่มีศีลไม่มีธรรม เขาจะใช้ชีวิตประจำวันของเขา อันนั้นเขาใช้ชีวิตแบบสัตว์ เราไม่ไปสนใจเขา แต่ชีวิตแบบสัตว์สังคมเขามีชุมชนเขาใหญ่กว่า เวลาเขาพูดจาเสียดสีเรา เราก็เสียใจ

แต่ถ้าเราบอกว่า เราเป็นศากยบุตรพุทธชิโนรส เราเป็นบุตรขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราเชื่อธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราเชื่อปากขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราเชื่อปากของครูบาอาจารย์ที่ดี เรายึดตรงนี้ เราไม่ต้องไปฟังปากเขา เราไม่ต้องไปฟังปากของสังคม เราฟังปากขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ศีล สมาธิ ปัญญา เอาอันนี้เป็นหลัก นี่ข้อที่ ๑

. ชีวิตฆราวาสถ้าเลือกไม่หาคู่แต่งงานเพราะไม่อยากมีห่วงเพิ่มทุกข์ เป็นกิเลสไหม โดนสังคมกล่าวหาว่าขี้ขลาด กลัวเจ็บ ไม่กล้ามีคู่ เราคิดแบบสุดโต่ง เป็นกิเลสไหม

ตอนนี้มันเป็นกิเลส ตอนคิดนี่มันเป็นกิเลส ว่าจะมีคู่หรือไม่มีคู่นี่เป็นกิเลส ถ้าว่ามันเป็นกิเลสไหม แต่ถ้าเราเลือกชีวิตพรหมจรรย์ มันเป็นกิเลสตรงไหนล่ะ ชีวิตพรหมจรรย์ ชีวิตของเรา ชีวิตที่ไม่มีคู่ หนึ่งเดียวนี่พรหมจรรย์

ชีวิตคู่นั่นล่ะที่เขาหาคู่กัน เขาว่าชีวิตนี้มีคู่เป็นฝั่งเป็นฝานะ แล้วองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกไว้ในพระไตรปิฎกนะ วิดทะเลทั้งทะเลเลย เอาปลาน้อยๆ ตัวเดียวไง ก็คิดว่าจะเป็นสุขไง จะเป็นสุขนะ วิดทะเลก็ทำหน้าที่การงานอาบเหงื่อต่างน้ำมาเลี้ยงปากเลี้ยงท้องอยู่น่ะ แล้วจะมีความสุขๆ เหนื่อยเกือบตาย เหนื่อยเกือบตาย เราหาความสุขไม่เจอหรอก วิดทะเลทั้งทะเลเลย เอาปลาตัวหนึ่ง ก็ยังหวังว่าจะสุขไง หวังว่ามันจะสุข แล้วไปหาที่ไหนล่ะ หาไม่เจอหรอก หาความสุข

แต่พอชีวิตไม่มีคู่ เขาบอกว่ามันเป็นกิเลส

อ้าว! เป็นตรงไหนล่ะ ทำตามพระพุทธเจ้าเป็นกิเลสตรงไหน ทำตามพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าบอกอนุปุพพิกถา เวลาเทศนาว่าการสอนฆราวาสให้ทำทาน ทำทานแล้วจะได้ไปสวรรค์ พอไปสวรรค์ให้ถือเนกขัมมะ พอเนกขัมมะ จิตใจควรแก่การงานแล้วองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงเทศน์อริยสัจ เทศน์อริยสัจ เทศน์ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค

แต่เดี๋ยวนี้ใครก็อริยสัจๆ นะ แต่หัวใจมันดำมืดเลย บอกอริยสัจ อริยสัจอะไรก็ไม่รู้

แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าต้องเตรียมพร้อมพื้นที่ก่อน แล้วถึงได้หว่านได้ไถ นี่ก็เหมือนกัน เตรียมหัวใจของคนก่อน ให้เสียสละ ให้ทำทานให้จิตใจอ่อนนุ่มควรแก่การงาน จิตใจที่เป็นคุณธรรมควรแก่การงานแล้วถึงเทศน์ นี่มันเป็นความทุกข์ ทุกข์มันเป็นอริยสัจ ทุกข์มันเป็นความจริง ท่านทำของท่านมา ท่านสอนของท่านเป็นชั้นเป็นตอนขึ้นมา

แล้วบอกว่า เราไม่เลือกหาคู่ ไม่แต่งงาน มันเป็นกิเลสไหม

เป็นธรรม เว้นไว้แต่กิเลสมันเพิ่มขึ้นมาแหม! ถ้ารู้อย่างนี้มีคู่มาตั้งนานแล้วอย่างนั้นเสียดายไง เสียดายพอแก่เฒ่าแล้วแหม! เสียดาย ถ้าเรามีคู่ก็ดี นี่เราไม่มีคู่นี่กิเลส อย่างนี้เป็นกิเลส

แต่ถ้ามันมีศีลมีธรรมนะ มันไม่เป็นกิเลสหรอก ไม่เป็นกิเลสเพราะอะไร เรามองไปสิ มองไปสังคมโลกสิ เขามีความสุขจริงหรือ เพียงแต่เขาอยู่อย่างเราไม่ได้ ทุกข์ทั้งนั้นน่ะ อยู่คนเดียวก็ทุกข์ ทุกข์เพราะอะไร ทุกข์เพราะกิเลสมันบีบคั้น อยู่ ๒ คนทุกข์มากขึ้นเพราะมันมี ๒ คนบีบคั้น พอมีลูกขึ้นมาก็ ๓ คนบีบคั้น มีลูกขึ้นมา ๔ คนบีบคั้น

คนเดียวบีบคั้นกับ ๔ คนบีบคั้น อะไรทุกข์กว่ากัน ถ้า ๔ คนบีบคั้น ๕ คนบีบคั้น อะไรมันทุกข์กว่ากัน แล้วเขาบอกว่าชีวิตคู่มีความสุขๆ

เพราะเขาเขียนกันบ่อย บอกว่าแหม! รู้อย่างนี้แต่งงานตั้งนานแล้วก็ดี รู้อย่างนี้แต่งงานตั้งนานแล้ว

อันนี้เขาพูดเป็นการเสียดสีกัน แต่เขาทำไม่ได้ ดูคนที่ทำได้สิ เพราะชีวิตพรหมจรรย์มันดีกว่าชีวิตคู่แน่นอน ดีกว่า คำว่าดีกว่าแต่ธรรมชาติของหัวใจ ธรรมชาติของความรู้สึกมันก็เหงา มันก็เหงามันก็ว้าเหว่ของมัน

แต่ถ้าคนมีหลักมันไม่เหงา เราอยู่กับเรา อยู่กับความคิดเรา อยู่กับใจเรา มันเหงาตรงไหนล่ะ แต่พอเห็นเขามีชีวิตคู่ เราก็คิดว่าเขาจะมีความสุข

มีความสุขอะไร ไปดูหลังบ้านเขาสิ ออกมานอกบ้านนี่แหม! มีความสุขมากเลย พอเข้าไปในบ้านนะ โอ๋ย! นั่งคอตกทั้งคู่เลย มันมีแต่เรื่องความทุกข์ทั้งนั้นน่ะ แต่ออกมาจากบ้าน แหม! เราเห็นเขาแต่งตัวออกมาจากบ้าน โอ้โฮ! ชีวิตนี้มีความสุขมากเลย พอเขาเข้าบ้านนะ เขามีความทุกข์ทั้งนั้นน่ะ ไอ้นี่พูดถึงเรื่องจริง แต่เพียงแต่เราอยู่สังคมใดล่ะ

เพราะธรรมชาตินะ ในธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คนโง่มากกว่าคนฉลาด คนโง่ในโลกนี้ มีแต่คนโง่มากกว่าคนฉลาด ขนโคกับเขาโค เขาใช้ชีวิตแบบเขาโดยธรรมชาติอย่างนั้น แต่เขาโคเขาจะทวนกระแส มันมีน้อยไง ชีวิตพรหมจรรย์มันมีน้อยกว่าชีวิตคู่แน่นอน

ธรรมชาติ มันเป็นธรรมชาติของสัตว์ เขาว่าสิ่งนี้เป็นเรื่องธรรมชาติ เรื่องกามราคะเป็นเรื่องธรรมชาติ ฉะนั้น พอมีคู่ เขากลับไปสู่ธรรมชาติ

แต่ของเรา เราฝืนธรรมชาติไง เราฝืนธรรมชาติเพราะว่าเราถือพรหมจรรย์ เราอยู่ของเราคนเดียว เราถือพรหมจรรย์ มันฝืนธรรมชาติ มันถึงมีน้อยไง

ในเมื่อคนโง่มันมากกว่า มันก็พูดประสาคนโง่ สังคมคนโง่มันก็พูดกันเสียงลั่นเลย ไอ้เราสองคนคุยกันซุบซิบๆๆ สู้เขาไม่ได้ไง เพราะถือพรหมจรรย์มันมีอยู่ ๒ คน ไอ้คนที่มีคู่มันทั่วโลกเลยล่ะ มันคุยกันลั่นๆ เลยว่ามันมีความสุขๆ มันพูดกันว่ามีความสุข

ถามว่า โยมสบายดีไหม

สบายดีครับ มีความสุขมากครับ

ถามจริงๆ มันสุขจริงหรือ

จะฆ่ากัน เมื่อกี้เพิ่งทะเลาะกันมา ตอนนี้จะมีความสุข เมื่อกี้ยังทะเลาะกันมาหน้าดำคร่ำเครียดเลย พอเจอ โยมสบายดีไหม

โอ๋ย! มีความสุขๆ

เพิ่งทะเลาะกันเสร็จ ทะเลาะกันเสร็จมาเมื่อกี้นี้จะมีความสุข

แต่ไอ้ ๒ คนทะเลาะกับใคร พรหมจรรย์จะไปทะเลาะกับใคร มีแต่ตัวเราคนเดียว เราจะไปทะเลาะกับใคร ถ้าทะเลาะกัน ธรรมกับกิเลสทะเลาะกันในใจ ถ้าทะเลาะกันในใจนะ มันเป็นกิเลสไหม ไม่เป็นกิเลสหรอก มันเป็นสิ่งที่ดีกว่าทางโลกอีก ทวนกระแสเข้าไปสู่ธรรม ทวนกระแสเข้าไปสู่สัจจะ สู่พรหมจรรย์

ชีวิตนี้มาจากไหน มันก็มาจากพ่อจากแม่ ชีวิตคู่นั่นแหละ มาจากพ่อจากแม่ จากพ่อจากแม่ เพราะพ่อแม่เสพกามกันมันถึงมาเกิดเป็นเรา แล้วเราเกิดมาแล้ว โดยธรรมชาติเราเกิดมาจากพ่อจากแม่ เราก็ต้องเป็นคู่จะให้มีลูกต่อเนื่องกันไป กลัวว่ามนุษย์นี้จะไม่มีกับโลก จริงหรือ มนุษย์มีกับโลกเยอะแยะไปหมด เขาต้องมีการควบคุม เขาต้องมีการบริหารครอบครัวของเขาเพื่อควบคุม แต่ของเราไม่ต้อง ถ้าเราถือพรหมจรรย์ได้นะ ถ้าเราทำได้จริงนะ

แต่นี่เขาหาว่าขี้ขลาด หาว่ากลัวเจ็บ หาว่าไม่มีคู่ หาว่าสุดโต่ง

มันไม่สุดโต่งหรอก มันพอดี สุดโต่งมันสุดโต่งของใคร องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนไว้ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าวางหลักการไว้ เหมือนมีกฎหมาย มีกฎหมาย เราทำกฎหมาย มันสุดโต่งตรงไหนล่ะ กฎหมายแพ่ง กฎหมายอาญา กฎหมายรัฐธรรมนูญ กฎหมายมันมีของมันอยู่แล้ว

นี่ก็เหมือนกัน ศีล ๕ ศีล ๘ ศีล ๑๐ ศีล ๘ มันมีอยู่แล้ว ศีล ๑๐ มันมีอยู่แล้ว ศีล ๒๒๗ มันมี มันไปสุดโต่งตรงไหน องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนมัชฌิมาปฏิปทา ทางสายกลางๆ

ทางสายกลางของโลกเขาเลือกอย่างนั้น คนที่ไม่มีศีลเลยเขาเลือกแบบสัตว์ เขาทำลายกัน เลือกแบบสัตว์ คนที่มีศีลเขาก็มีศีลของเขา เขามีศีล ๕ ของเขาเป็นมนุษย์สมบัติ ถ้ามีศีล ๘ ของเขา ศีล ๑๐ ของเขา แล้วมีศีล ๒๒๗ เป็นพระ มันไปสุดโต่งตรงไหน ถ้าสุดโต่งแสดงว่าพระพุทธเจ้าไม่ได้บอกไว้ เราสุดโต่งของเราไปเอง นี่พระพุทธเจ้าบอกไว้หมดแล้วเราทำตามนั้น มันสุดโต่งตรงไหน

เพียงแต่ว่าสังคมมันคนโง่มากหรือคนฉลาดมาก คนโง่เขาประพฤติปฏิบัติกันอย่างนั้น แล้วเขาก็คุยกันแบบนั้น แล้วมีเราอยู่คนเดียว พออย่างนั้นมันก็เลยแปลกโลกไง

ฉะนั้น ไม่สุดโต่ง พอดี ชีวิตพรหมจรรย์นี่พอดี ชีวิตเรานี่พอดีกับเรา พอดีกับชีวิตนี้ แต่ชีวิตคู่ของเขา เขาพอดีของเขา ให้ ๒ คนเขาไปทะเลาะกัน ให้มันไปทะเลาะกันอยู่นั่น พอดีของมัน เราไม่ต้องไปทะเลาะกับใคร ทะเลาะกับตัวเอง เออ! กูทะเลาะกับกูนี่ เพราะกูอยู่คนเดียว เออ! มันก็พอดีของเรา

แล้วเราปฏิบัติไปนะ ก็ดูพระสิ พระเขาบวชแล้ว ก็บวชแล้ว มีศีลธรรมดีแล้ว ก็อยู่วัดก็ดีแล้ว ทำไมเราต้องไปธุดงค์ ธุดงค์แล้วก็ไปอยู่โคนไม้ มันพอดีของใคร นั่นธุดงควัตร มันพอดีของใคร พอดี มันก็พัฒนาขึ้น สูงขึ้น ดีขึ้น มันก็พอดีของใครล่ะ

อันนี้ก็เหมือนกัน มันเป็นกิเลสไหม

เป็นธรรม ไม่เป็นกิเลส

ทีนี้มันเป็นที่ว่าลมปากคน หมื่นคนแสนคนเขาพูดไง เขามีคู่กัน เขามาพูด แล้วเราคนเดียว ก็เลยกลายเป็นกิเลสเพราะใจเราไหวไง ใจเราไหวก็เลยเป็นกิเลส

ถ้าใจเราไม่ไหว เขายิ่งพูด เรายิ่งยิ้มใหญ่เลย ถามกลับเลย ใครมาพูด ถามกลับว่า เอ็งสบายดีหรือ กลับไปบ้านทะเลาะกันไหม ถามกลับเลย ถ้าเขาถาม ถามเขากลับไป เพียงแต่ว่าเราต้องอยู่ได้ เราอยู่ได้ของเราหมายความว่า เพราะคนถ้าไม่มีชีวิตคู่ มันห่วงว่าแก่เฒ่าแล้วใครจะดูแล ใครจะรักษา

หาสตางค์ไว้เยอะๆ เขามาดูแลเอ็งทั้งวันเลย เอ็งไม่ต้องห่วงถ้ามีสตางค์ ถ้าเอ็งมีสตางค์นะ เดี๋ยวคนเขามาดูแลเอง ไม่ต้องห่วง

ไม่เป็นอย่างนั้นหรอก เราทำดีนะ คนทำดีแล้วมีสติมีปัญญานะ ร่างกายมันสมบูรณ์แข็งแรง เราอยู่ได้ตลอด อยู่ได้ของเราตลอด

ไอ้คนที่ห่วง แล้วคนที่มีคู่ เสร็จแล้วนะ ถ้ามีสามีหรือภรรยาหรือลูกทิ้งไป มีมากเลยในข่าว ข่าว พอสามีหรือภรรยาเจ็บไข้ได้ป่วย สามีหรือภรรยาทิ้งไป ลูกทิ้งไป อยู่คนเดียวนะ ประชาสงเคราะห์เขาไปดูบ่อย ผู้เฒ่าผู้แก่อยู่คนเดียว บางคนตาบอด บางคนพิการ บางคนช่วยตัวเองไม่ได้ ก็พอตัวเองดี หาเลี้ยงเขาได้ เขาก็อยู่ด้วย พอหาเลี้ยงเขาไม่ได้ เขาก็ทิ้งหนีไป แล้วตัวเอง เห็นไหม ลูกก็มี

ถาม มีลูกไหม มี มีสามีภรรยาไหม มี แล้วไปไหนหมดล่ะ เขาทิ้งไป เขาไม่อยู่เช็ดขี้เช็ดเยี่ยว เขาทิ้งไป แล้วอยู่กับใครล่ะ พ่อแม่มาดูแล คนข้างบ้านเขาดูแล วัดวาพระเขาดูแล เขาให้อาหารมากิน เยอะแยะไป ไปดูอย่างนั้นบ้างสิ ถ้าไปดูอย่างนั้นก่อนแล้วค่อยกลับมาว่า เราแก่เฒ่าแล้วจะไม่มีใครดูแล ไม่ต้องห่วง มีคนดูแล นี่ข้อที่ ๒

. ได้สนทนากับเพื่อนที่ปฏิบัติธรรมเห็นต่างกัน เช่น ถ้านั่งสมาธิไปแล้วรู้ตัวว่าคิด ให้ตามดูความคิด ฝึกบังคับไม่ให้ดึงกลับมา แต่ดิฉันดึงกลับมาพุทโธ เขาบอกว่าห้ามบังคับ จริงๆ แล้วต้องเป็นอย่างไรคะ แล้วควรจะบอกเขาไหม

ไอ้กรณีปฏิบัติมันปฏิบัติกันมาก พอปฏิบัติกันมากนะ คนที่ปฏิบัติงูๆ ปลาๆ เขามาพูดกัน แต่เราเอาแบบหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นเป็นพระอรหันต์ ฝึกสอนจนหลวงปู่แหวน หลวงปู่คำดี หลวงปู่ตื้อ หลวงตามหาบัว ครูบาอาจารย์ที่ท่านประพฤติปฏิบัติไป ท่านเป็นพระอรหันต์ นี่ครูบาอาจารย์ที่ท่านเป็นพระอรหันต์ ท่านสอนให้พระเป็นพระอรหันต์ ถ้าสอนให้เป็นพระอรหันต์ ท่านบอกให้เราบังคับ ใหม่ๆ ต้องบังคับ เด็กจะเป็นเด็กดีได้ พ่อแม่ต้องใช้อุบายบังคับ ไม่บังคับเหมือนบังคับ

เด็กๆ เราจะไม่บังคับ เพราะบังคับแล้วเดี๋ยวมีแรงต้าน เราก็ต้องใช้อุบายของเรา อย่างนี้ดีกว่า อย่างนี้เราเสนอ เราคอยประคองมาให้เด็กมันรู้ถูกรู้ผิดมา นี่บังคับไหม บังคับแบบไม่บังคับ

แต่ถ้าเด็กมันดื้อ เด็กมันไม่มีเหตุมีผล เราก็ต้องบังคับ ต้องเฆี่ยนต้องตีเพื่อลงโทษ ถ้าเขาดื้อจะทำแต่ความเสียหายก็ต้องบังคับ แต่ถ้าเด็กมันไม่ดื้อจนเกินไป เด็กมันมีเหตุมีผล เราก็ใช้อุบายบังคับ คือใช้อุบาย อุบายคือว่า ใช้เหตุใช้ผลคุยกัน ใช้เหตุใช้ผลจัดการมา

บังคับทั้งนั้นน่ะ มันต้องบังคับขึ้นมามันถึงจะเป็นคนดีได้ เพราะมันบังคับขึ้นมามันถึงทำสมาธิได้ ใหม่ๆ ต้องบังคับ พอบังคับไปๆ จนมันชำนาญแล้วไม่ต้องบังคับ เพราะมันพอใจ มันทำแล้วมันพอใจ มันอยากจะบังคับตัวเอง มันอยากจะทำตัวเองให้เป็นคนดี ต้องบังคับ

เริ่มต้นก็ไม่ต้องบังคับเลย เวลาสอนเด็กก็ต้องเอาเด็กเป็นตัวตั้งๆ เด็กมันบอกว่ากลับบ้านๆ ไม่ต้องเรียน กลับบ้าน เอาเด็กเป็นตัวตั้งก็ปล่อยมันกลับบ้านใช่ไหม

เอาเด็กเป็นตัวตั้งหมายความว่า เอาเด็กเป็นจุดศูนย์กลาง แล้วเราจะสอน เราต้องสอนเด็ก ก็ต้องบังคับ แต่เอาตัวเขาบังคับ เพราะเราต้องการให้เด็กนั้นมีปัญญา

นี่ก็เหมือนกัน เราจะทำความสงบของใจ เราจะปฏิบัติ จิตของเรามันเร่ร่อนขนาดนี้ จิตของเรามันดื้อด้านขนาดนี้ แล้วไม่บังคับ ไม่มีสติเลย ปล่อยให้มันเร่ร่อนเลย ว่างๆ ว่างๆ

ว่างๆ กิเลสมันสวมรอย พอมันจะปฏิบัติมันก็นึกว่าว่าง ว่าง นึกว่าว่าง นึก ธาตุรู้คือธรรมชาติที่รู้ แล้วมันนึก นึกก็คือความคิด มันนึกให้ว่าง พอนึกให้ว่างมันก็จินตนาการความว่าง แล้วมันเอามาจากไหนล่ะ

ฉะนั้น บอกว่าเวลานั่งสมาธิไป ถ้ารู้ว่าคิดแล้วให้ตามดูต่อไป

ตามดูๆ ดูไปไหนล่ะ ดูให้มันหลับใช่ไหม ดูให้มันหายไปใช่ไหม แต่ถ้าใช้ปัญญาอบรมสมาธิ เขาใช้สติ เขาใช้สติใช้ปัญญา เวลามันคิด เขาใช้พิจารณาความคิด ความคิดมันเกิดดับ ความคิดมันเป็นอะไร นี่ใช้ปัญญาอบรมสมาธิ

แต่ถ้าใช้บริกรรมพุทโธๆ ต้องบังคับ ใหม่ๆ บังคับ บังคับจนละเอียดเข้ามา บังคับจนมันชัดเจนขึ้นมา มันเห็นผลขึ้นมา พอมันปล่อยวาง มันรู้ของมันเอง ต้องทำ

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า บุพเพนิวาสานุสติญาณ จุตูปปาตญาณ อาสวักขยญาณ ยังมีเหตุมีผล ถึงเป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ ครูบาอาจารย์ท่านประพฤติปฏิบัติขึ้นมา ศีล สมาธิ ปัญญา มันต้องมีขั้นตอนของมันมา

นี่บอกว่า ตามรู้ตามเห็น ตามมันไป

ตามมันไปมันก็ขี้ลอยน้ำไง เวลามันปฏิบัติ ปฏิบัติกันไปแบบนี้

ฉะนั้น บอกว่า ถ้าเพื่อนเขาปฏิบัติอย่างนี้ เราต้องไปบอกเพื่อนเขาไหม

ไม่ต้องไปบอกเขาหรอก เขาก็อยากบอกเรา อย่างว่าเมื่อกี้นี้ คนโง่มากหรือคนฉลาดมาก สังคมเขาเป็นแบบนั้น คนโง่มาก พอคนโง่มากนะ ที่ไหนเขามีกระแสสังคม ไปหมดล่ะ ที่ไหนลัดสั้น ที่ไหนสบาย ที่ไหนไม่ต้องทำอะไรเลย มาถึงวัด มานั่ง เราก็มาวัดแล้วเราก็กลับไป แค่เฉียดมาวัดมานั่งคุยกัน มาโม้ มานินทากาเล มาเก็บแต่สัญญาอารมณ์แล้วกลับบ้าน

ฉันเป็นนักปฏิบัติ ฉันเป็นนักปฏิบัตินะ ฉันปฏิบัติแล้วฉันได้มรรคได้ผลนะปากยังไม่หยุด ยังนินทากันอยู่นั่น ยังไม่จบ มันบอกว่ามันได้มรรคได้ผล มรรคผลด้วยการนินทาใช่ไหม มรรคผลด้วยการเสียดสีเขาใช่ไหม มรรคผลด้วยการติเตียนเขาใช่ไหม

แต่ของเราสิ มรรคผลของเรา มรรคผลของเรา เราบังคับ บังคับให้ใจมันเป็นธรรม ใจมันเป็นสมาธิขึ้นมา ใจมันเป็นจริงขึ้นมา นี่ครูบาอาจารย์ท่านบังคับ

ดูสิ พวกเราอยากเจอพระอรหันต์ แล้วครูบาอาจารย์ท่านเล่าให้ฟัง เราก็เกิดไม่ทันหลวงปู่มั่น บอกหลวงปู่มั่นนี่ดุมาก ใครเข้าไปนี่ไล่ออกหมดล่ะ ผิดนี่ไล่เลย ผิดนี่ไล่เลย แล้วพระอรหันต์ อู้ฮู! ทำไมดุขนาดนั้นน่ะ

ก็ดุกิเลสไง ดุความออเซาะฉอเลาะไง ดุไอ้คอยลูบหน้าปะจมูกไง ดุคอยมานั่งนินทากันไง ดุเวลามาวัดก็มาสุมหัวกันไง

มาวัด เขามาวัดใจ มาทำความสงบของใจ

ไอ้นี่มาวัดก็ไอ้นั่นก็เป็นพระอรหันต์ ไอ้นี่ก็เป็นพระอรหันต์ไม่รู้มันหันไปไหนกันน่ะ เที่ยวติฉินนินทาไป เอาอย่างนั้นหรือ

ถ้าจะเอา บังคับ บังคับให้เข้าที่สงบสงัด บังคับไม่ให้คลุกคลี ไม่ให้คลุกคลี ถ้าคลุกคลี มันทางของกิเลส

ในความรู้สึกของเรา ในใจเรามันคลุกขี้ ขี้ทุกข์ ขี้โลภ ขี้โกรธ ขี้หลงอยู่แล้ว มันคลุกอยู่กับขี้อยู่แล้วในหัวใจของเรา แล้วเราก็มาสุมหัวกัน เอาขี้มาป้ายกัน เอ็งก็เอาขี้มากองหนึ่ง เราก็เอาขี้มากองหนึ่ง แล้วก็มายำกัน แล้วพอยำเสร็จ กลับบ้าน ฉันเป็นพระอรหันต์

แต่ถ้าครูบาอาจารย์สอน เห็นไหม ท่านให้วิเวก ให้ต่างคนต่างอยู่ ให้เช็ดขี้เช็ดเยี่ยวในใจ พุทโธๆๆ รักษาขี้โลภ ขี้โกรธ ขี้หลง ขี้หลง ขี้ลืม ขี้ติฉินนินทา ท่านให้ทำตรงนั้น ถ้าทำตรงนั้นมันจะเป็นประโยชน์ไง ถ้าเป็นประโยชน์ เห็นไหม

เราไม่เชื่อตามเขา เราเชื่อตามครูบาอาจารย์ เราเชื่อตามหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น ครูบาอาจารย์ หลวงปู่ตื้อ หลวงปู่ฝั้น ครูบาอาจารย์ที่ท่านปฏิบัติ

เวลาหลวงปู่ฝั้น พุทโธๆ ข้อวัตรให้วัดหัวใจของตัว วัดใจ ดูใจ รักษาใจ เอาตรงนั้นน่ะ ถ้าเอาตรงนั้นได้นะ เราถึงจะเป็นนักปฏิบัติ

ไอ้ที่พูดกันเรื่อย การปฏิบัติข้อที่ ๑ จะเป็นอุปสรรคไหม ข้อที่ ๒ จะเป็นกิเลสไหม ไอ้ข้อที่ ๓ ก็ว่ากันไป ติฉินนินทากันไปทั้งนั้นน่ะ ฉะนั้น เราบังคับของเรา

แล้วต้องไปบอกเพื่อนไหม

ที่ถามก็เพื่อนถามมาใช่ไหม เพื่อนกรอกหูทุกวันถึงถามมา แล้วคิดดูสิ ขณะที่ถามมา ถามมาเรื่องแต่งหน้า ถามมาเรื่องกิเลส ถามมาเรื่องพุทโธ นี่เพราะฟังเขามา เขาเสียดสีมา เขาพูดกรอกหูมา ตัวเองก็หวั่นไหวมา แล้วจะไปบอกใครล่ะ

บอกตัวเองนี่ บอกตัวเราเอง บอกว่าเราจะทำความจริงของเรา ไอ้สังคมของเขานั่นเรื่องของเขา นี่พูดถึงว่า การติฉินนินทาในการว่าใครถูกใครผิดไง แล้วยิ่งข้อที่ ๔ นี่สำคัญกว่า

. ปัจจุบันนี้มีฆราวาสนำสอนปฏิบัติหลากหลาย บอกว่ามีการสอนธรรมะที่ผิดๆ พระถูกดิสเครดิต เข้าวัดก็เป็นการหนีทุกข์ สอนวิธีตามดูรู้อารมณ์ ดูผู้รู้ สังเกตจิตที่เกิดดับ ความจริงแล้วจิตก็เกิดดับทุกขณะ และอะไรคือผู้รู้ บางท่านสอนว่าไม่ต้องพุทโธ เดี๋ยวติดคำบริกรรม แล้วมาถอนทีหลังมันจะยุ่งยาก

โอ้โฮ! ติดพุทโธแล้วมันจะมาถอนด้วยหรือ นี่คนมันภาวนาไม่เป็น เห็นไหม คนภาวนาไม่เป็น คนไม่เคยรู้มันถึงพูดอย่างนี้ไง

มันจะไปติดที่ไหนที่พุทโธล่ะ พุทโธๆๆ ขณิกสมาธิ อุปจารสมาธิ อัปปนาสมาธิ พุทโธๆๆ จนพุทโธละเอียดขึ้น ละเอียดจนระลึกแทบไม่ได้ มันละเอียดจนมันจะหลับ ถ้าละเอียดแล้วมันไม่มีสติปัญญา มันปล่อย พุทโธๆๆ แล้วก็เงียบหายไปเลย ตกภวังค์ไปเลย

พุทโธๆๆ จนละเอียดขึ้นมา ละเอียดจนมันจะระลึกไม่ได้ แต่เรามีสติขึ้นไป มันละเอียดจนพุทโธไม่ได้ มันละเอียดจนพุทโธไม่ได้ ไม่ใช่พุทโธมันไม่มี มันละเอียดคือตัวมันจริง

ธาตุรู้ จิตเป็นธาตุรู้ แล้วสัญญาอารมณ์ ความคิด จิตเสวยอารมณ์ ขันธ์ ๕ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ความรู้สึกนึกคิด อารมณ์ความรู้สึกมันเป็นรูป ในรูปต้องมีสุขมีทุกข์ใช่ไหม มีเวทนา มีความรู้สึก มันถึงมีเวทนา เวทนามันจะเกิดได้มันต้องมีสัญญา สัญญาจำว่าอารมณ์นี้คืออะไร สีเขียว สีแดง ต้องมีสัญญา สัญญาเกิดได้มันต้องมีสังขารปรุง สังขารปรุงมันต้องเกิดวิญญาณในขันธ์ ๕ เห็นไหม จิตกับขันธ์ ๕ จิตมันหุ้ม เหมือนกับส้ม เปลือกส้ม

ส้มมันจะมีเปลือกส้มหุ้มไว้ ไอ้เปลือกส้มนั่นคือเปลือกส้มมันขม ไอ้เนื้อส้มมันหวาน พุทโธ พุทธะ มันคือธรรมชาติ คือธาตุรู้ ความคิดมันคือขันธ์ ๕ มันจะเสวยอารมณ์ มันถึงเป็นของคู่ มันมีความคู่ เดี๋ยวก็คิดได้ เดี๋ยวคิดไม่ได้ เวลาคิดไม่ได้มันก็ปล่อยวาง เวลาคิดได้มันก็คิดขึ้นมา ทีนี้ความคิดมันอยู่กับเราตลอดไป

ทีนี้เรานึกพุทโธ พุทโธก็ความคิดไง ก็รูปนี่ไง รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ สัญญา มันมีสัญญา สัญญาว่าเราจะนึกพุทโธ เราสัญญาไว้ เราสัญญากับจิตใจเราไว้ จิตใจเรามีความมุมานะว่าเราจะระลึกพุทโธ พุทโธๆๆ เราระลึกพุทโธ มันเป็นขันธ์ ๕ มันเป็นความคิด

ความคิดเราระลึกพุทโธ แล้วพุทโธๆๆ ถ้ามันละเอียดขึ้น พุทโธมันมีที่เกาะ ธรรมดาความคิดมันก็คิดเรื่องร้อยแปด คิดเรื่องงูพิษ คิดเรื่องเสือเรื่องสาง เรื่องปล้นชิงวิ่งราว มันคิดไปร้อยแปด แล้วเราคิดพุทโธๆ มันก็เป็นความคิดเหมือนกัน พุทโธๆๆ มันเป็นคำบริกรรมพุทโธ เวลามันเป็นหนึ่งเดียว มันยังไม่ทิ้งหรอก มันก็เป็นขณิกสมาธิ เพราะขณิกะมันยังคิดได้

มันละเอียดขึ้นไป พุทโธๆ ต่อเนื่องไปมันก็เป็นอุปจาระ เพราะมันนิ่งของมัน แต่มันยังรับรู้ได้ การรับรู้ก็รับรู้ขันธ์ ๕ นี่ไง รับรู้ขันธ์ ๕ มันก็มีของมัน ส้มกับเปลือกส้มมันมีของมัน กระทบกัน

เราพุทโธๆๆ ต่อเนื่องไป มันจะละเอียดขึ้น เปลือกส้มมันจะคลายออก มันจะลอกเปลือกส้มออก มันเหลือแต่เนื้อส้ม

มันมีเปลือก มีเนื้อ มันถึงกระทบกัน มันเป็นของคู่ๆๆ ความคิดไม่ใช่จิต ความคิดมันเกิดดับจากจิต จิตมันเป็นธรรมชาติที่รู้ แต่ความคิดในสัญญาอารมณ์มันรู้ของมัน เห็นไหม

พุทโธๆๆ จนละเอียด ละเอียดจนมันพุทโธไม่ได้ มันเป็นตัวเนื้อส้ม มันเป็นตัวธาตุรู้นิ่งๆ เลย แล้วจะไปถอนพุทโธตรงไหนล่ะ ตรงไหนต้องไปถอนมัน พุทโธ

พุทโธไม่ได้นะ เดี๋ยวต้องตามไปถอนพุทโธอีก

อ้าว! พุทโธจนพุทโธไม่มี พุทโธมันละเอียดจนเป็นอัปปนาสมาธิ เป็นหนึ่งเดียว มันจะไปถอนที่ไหน

นี่ไง เขาบอกว่าพุทโธไม่ได้นะ บางท่านบอกว่าไม่ต้องพุทโธ เดี๋ยวติดบริกรรม ต้องมาถอนพุทโธทีหลัง

โอ้โฮ! อ๋อ! พุทโธนี่เป็นหมุดเนาะ ตอกมันไปก่อนเนาะ ถ้ามันจะว่างก็ต้องถอนพุทโธทิ้งหรือ มันไม่มีอยู่จริงไง

ความมีอยู่จริง ขณิกสมาธิ อุปจารสมาธิ อัปปนาสมาธิ มันจะไปถอนตรงไหน มันไม่ต้องถอน มันเหมือนเอ็นเย็บเนื้อที่มันละลายเลย มันไม่ใช่เชือก เวลาเราเย็บแผลใช่ไหม เราใช้ด้ายใช่ไหม ถึงเวลาเราต้องไปตัดด้ายทิ้งใช่ไหม แต่นี่มันเป็นเอ็นที่ว่ามันเย็บไปแล้วมันละลายเลย มันจะไปถอนตรงไหน พุทโธๆๆ จนมันชัดเจน จนพุทโธไม่ได้ แล้วมันเป็นหนึ่งเดียวไปเลย มันจะไปถอนที่ไหน

มันไม่มีอยู่จริงไง มันไม่ใช่ด้ายเย็บแผล มันเป็นเอ็น มันละลายเป็นเนื้อเดียวกัน มันไม่มีการถอน ไม่มีๆๆ นี่เขาหลอกให้เชื่อก็เชื่อตามเขา

ปัจจุบันนี้มีฆราวาสที่สอนเรื่องประมาณนี้หลากหลาย บ้างก็บอกว่าหนทางปฏิบัติธรรมะแบบผิดๆ พระถูกดิสเครดิต

ถ้าพระมันไม่รู้ มันถูกดิสเครดิตก็ดี เพราะมันก็ไม่รู้อยู่แล้ว มันก็ไปหลอกเขา ไอ้พระที่ไม่รู้มันก็เยอะ ไอ้พระไม่รู้โดนดิสเครดิตนี่ดี ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวมันจะไปหลอกคนอื่นต่อ

แต่ครูบาอาจารย์เราที่รู้ ถ้าพระมันรู้จริง มันจะโดนดิสเครดิตได้อย่างไร เขาจะเอาความจอมปลอมมาดิสเครดิตคนรู้จริง มันเป็นไปไม่ได้ กาลเวลามันพิสูจน์เอง อะไรจริงอะไรปลอม ถึงเวลาแล้วมันต้องชัดเจนขึ้นมา ถ้าถึงเวลาแล้วไอ้ความจอมปลอมนั้นมันต้องมีของมันจริง

ฉะนั้น สิ่งที่ว่า พระโดนดิสเครดิต ถ้าพระมันปลอมอยู่แล้ว โดนดิสเครดิตก็เรื่องของเขา

ถ้าไปวัดเป็นการหนีทุกข์

เวลาไปร้านอาหาร ไปทำไมล่ะ เวลาไปร้านอาหาร ยิ่งร้านอาหารที่แบบว่าติดดาวเยอะๆ โอ้โฮ! คนแย่งกันเข้าเลยล่ะ เวลาไปอย่างนั้นบอกไม่หนีทุกข์บ้างล่ะ ไปกินอาหารอร่อยไง กินอาหารอร่อยแล้วมีความสุขไง

นี่ไปวัด ไปวัดก็ไปเพื่อปฏิบัติ ไปวัดก็เพื่อบุญกุศล มันหนีทุกข์ตรงไหนล่ะ อ้าว! ไปวัดก็เพื่อไปวัดใจของตัว

ถ้าจิตเรามีหลักเกณฑ์นะ เราจะไม่ตื่นเต้นกับเรื่องอย่างนี้ เรื่องอย่างนี้จะมาทำลายหัวใจเราไม่ได้ จะทำให้เราสะเทือนไม่ได้

ฉะนั้น สิ่งที่เขาบอก เขาพูดต่อไปฆราวาสสอนปฏิบัติธรรม

เราเห็นอย่างนี้จริงๆ นะ ฆราวาสสอนปฏิบัติธรรม ทางโลกเขาคิดกันอย่างนั้น การศึกษาจะทำให้โลกเจริญ ปัญญานี้ทำให้โลกเจริญ การส่งเสริมการศึกษา เดี๋ยวนี้ประเทศไทย การศึกษาต่ำสุดในอาเซียนนะ ทั้งๆ ที่ว่างบประมาณมากที่สุดด้วย แต่ทำไมมันเป็นแบบนั้นน่ะ

ผู้สอนไง เวลาครูเอาจริงเอาจังมากน้อยขนาดไหน ครูมีจิตใจความเป็นครูมากน้อยขนาดไหน ถ้าครูมีจิตใจที่เป็นครู เขามีจิตใจจะสอน มีจิตใจที่รัก มีจิตใจที่เห็นอนาคตของเด็ก เขาจะทุ่มเทปลุกปั้น

แต่เดี๋ยวนี้มันเป็นอาชีพ อาชีพทำให้มันครบเวลาเท่านั้นน่ะ เด็กก็คือเด็ก อาชีพครูก็อาชีพครู ไปสอนแล้วก็จะกลับบ้าน

นี่ไง แต่ถ้าครูโดยอาชีพนะ เขาจะตามคอยดูพฤติกรรมลูกศิษย์ของเขา เขาจะดูแลลูกศิษย์ของเขา เรือจ้างจะพาลูกศิษย์ของเขาขึ้นฝั่ง นี่ถ้าเป็นคนที่มีอาชีพครู นี่พูดถึงศึกษา

โลกเขาบอกว่าโลกจะเจริญด้วยการศึกษา มันก็ศึกษาของโลกไง มันเป็นศึกษาของโลก ฉะนั้น เวลาฆราวาสสอนธรรมๆ เขาพูดอย่างนั้น บอกว่า ศาสนาจะเจริญต้องมีคนสั่งสอนเยอะๆ ศาสนาเจริญต้องมีคนเผยแผ่เยอะๆ ฆราวาสก็เลยสอนธรรมกันใหญ่เลย

ถ้าเขาสอนธรรมโดยที่จิตใจของเขาเป็นธรรม จิตใจเขาเป็นธรรมนะ ดูนะ อย่างนักปฏิบัติของเรา ผู้ที่ปฏิบัติจนมีคุณธรรมในใจ เขาจะสอนคน เขาต้องดู ดูว่าพวกที่จะมาศึกษามาปฏิบัติ เขาปฏิบัติจริงหรือเปล่า เขามีความมุ่งมั่น มีความมุมานะจริงหรือเปล่า ถ้าเขามุมานะจริง เขามาอยู่ เวลาเขาเข้าเรียน เรียนแล้วเรียนไม่จบ มันเสียที่นั่งที่หนึ่งเฉยๆ ไง นี่ก็เหมือนกัน เข้ามาแล้วเสียที่ไปเปล่าๆ ไง แต่ถ้าเขามุมานะของเขา เขาตั้งใจของเขา ครูบาอาจารย์สอนอย่างนี้ คนอย่างนี้มีโอกาส

ฉะนั้น ฆราวาสสอนธรรม ฆราวาสสอนธรรมเขามีวุฒิภาวะแค่ไหน ฆราวาสมีวุฒิภาวะแค่ไหน ฆราวาสรู้จักสมาธิไหม ถ้าฆราวาสยังไม่รู้จักสมาธิ จะสอนสมาธิได้อย่างไร

เราไม่เคยไปกรุงเทพฯ เราเอาตำรามาสอนเลย เข้ากรุงเทพฯ นะ เข้าถนนปิ่นเกล้านะ พอข้ามสะพานปิ่นเกล้าก็ลงซังฮี้นะ แต่กูไม่เคยไปสักที กูไม่เคยเห็นหมดเลย แล้วพอซังฮี้ พูดไปเรื่อย กรุงเทพฯ พูดไปเรื่อย

นี่ก็เหมือนกัน ฆราวาสสอนธรรมะนะ สมาธิก็ไม่รู้จัก มรรคผลก็ไม่รู้จัก แล้วมันจะสอนกันอย่างไรล่ะ มันก็สอนแบบคนตาบอดสอนคนตาบอดไง เชื่อตามเขา มันเป็นความเชื่อ มันไม่เป็นความจริงหรอก ถ้าเป็นความจริงมันเป็นอีกอย่างหนึ่ง

ฆราวาสสอนธรรม แล้วเวลาสอนธรรมยังมาดิสเครดิตพระอีกด้วยเออ! พระไม่มีการศึกษา วันๆ หนึ่งก็นั่งหลับหูหลับตา พระมันจะไปรู้อะไร ฉันนี่สิเที่ยวมารอบโลก แล้วเวลาปฏิบัติแล้วยังจะพานักปฏิบัติเที่ยวรอบโลกด้วย การเที่ยวรอบโลกนี้เป็นการทัศนศึกษา การศึกษาให้หูตากว้างไกล ถ้าหูตากว้างไกลเข้าใจโลก พอเข้าใจโลกแล้วมันก็จะเข้าใจธรรมมันไม่ได้อะไรเลยนั่นน่ะ มันอยู่กับโลกนี้

แต่ครูบาอาจารย์ของเรา ถ้านักปฏิบัติ ไม่ให้คลุกคลีกัน อยู่โคนไม้ อยู่ในเรือนว่าง แล้วกำหนดพุทโธ ใช้ปัญญาอบรมสมาธิ ถ้าจิตสงบเข้ามา จิตสงบเข้ามา เห็นไหม ญาณํ อุทปาทิ ปญฺญา อุทปาทิ วิชฺชา อุทปาทิ อาโลโก อุทปาทิฯ เกิดญาณ เกิดญาณทัสสนะ เกิดปัญญา เกิดความหยั่งรู้ นี่พระสอนธรรม พระสอนการปฏิบัติธรรม เขาไม่เที่ยวรอบโลก เขาไม่ต้องทัศนศึกษา เขาทัศนศึกษาในจิตตนคร ในจิตของผู้ที่ประพฤติปฏิบัติ

จิตของผู้ที่ประพฤติปฏิบัติ เพราะจิตนี้เวียนว่ายตายเกิด จิตนี้เวียนว่ายตายเกิด จิตนี้จะต้องทำความสงบของจิตเข้ามา จิตเป็นจิตจริง จิตเป็นสัมมาสมาธิที่สมบูรณ์แบบแล้วจิตออกใช้ปัญญา จิตเห็นกาย จิตเห็นเวทนา จิตเห็นจิต จิตเห็นธรรมเป็นสติปัฏฐาน ๔ สติปัฏฐาน ๔ พิจารณาโดยความเป็นจริงมันจะสำรอกมันจะคายออกไป นี่พระสอนปฏิบัติธรรม ไม่ใช่ฆราวาสสอนปฏิบัติธรรม

ฆราวาสสอนปฏิบัติธรรมอ้าว! เราจะปฏิบัติธรรมต้องลงทะเบียน ลงทะเบียนเสร็จแล้วต้องซื้อบัตร ซื้อบัตร เราจะต้องไปสังเวชนียสถานทั้ง ๔ ไปเพื่อให้จิตใจนี้มันเศร้า ให้จิตใจเห็นตามความเป็นจริง ไปสังเวชนียสถานทั้ง ๔ เสร็จแล้วเราจะต้องไปทัศนศึกษาว่าศาสนามันจะเจริญรุ่งเรืองมาอย่างไร มันเคยเจริญรุ่งเรืองในศรีวิชัย ในสุวรรณภูมิ มันเคยเจริญรุ่งเรืองมาอย่างไร เราจะต้องไปทัศนศึกษา เราจะต้องไปพิสูจน์กันเพื่อเห็นว่าศาสนาเจริญรุ่งเรืองแค่ไหน เดี๋ยวนี้ศาสนารุ่งเรืองในยุโรป ศาสนาไปเจริญรุ่งเรืองในอเมริกา เราจะต้องตามไปดูว่าศาสนามันเจริญรุ่งเรืองขนาดไหนนี่ฆราวาสสอนธรรมๆ

แต่ถ้าพระสอนธรรมนะ กำหนดพุทโธ ใช้ปัญญาอบรมสมาธิ ทำความสงบของใจเข้ามา เราจะเกิดญาณ เกิดทัสสนะ เกิดความเห็นที่ถูกต้อง

เราไม่ใช่เกิดปัญญา นี้โลกเขาว่ากันอย่างนั้นมันเป็นปัญญานะ ศาสนาพุทธเป็นศาสนาแห่งปัญญา คนถ้ามีปัญญา โลกเจริญด้วยปัญญาอันนั้นเป็นโลกียปัญญา ปัญญาของโลก อย่าหลงทาง พระอย่าหลงทาง

หลวงตาท่านสอนบ่อย ทางยุโรปเขาวัตถุเจริญ สิ่งที่เป็นวัตถุ มนุษย์สร้างขึ้นมาก็โดยใช้ปัญญานั่นแหละ นี่วัตถุเจริญ แต่หัวใจไม่เจริญ

ปัญญาภาวนามยปัญญา ปัญญาของธรรม ปัญญาของใจ มันไม่มีอยู่กับโลกหรอก มันมีอยู่ในหัวใจของสัตว์โลก แล้วครูบาอาจารย์ที่ท่านเป็นจริงท่านจะสอนที่นี่ แล้วจะย้อนกลับมาที่นี่ แล้วไม่ต้องเสียสตางค์ ไม่ต้องลงทะเบียน เว้นไว้แต่มันลงทะเบียนเข้าออกเท่านั้นแหละว่าเข้าอยู่เมื่อไหร่

ไม่ต้องลงทะเบียน ไม่ต้องซื้อตั๋วเที่ยวรอบโลก ไม่ต้องทัศนศึกษา เอาตัวเองให้รอด เข้าดูใจตัวเองให้ได้ นี้การสอนปฏิบัติโดยพระ ไม่ใช่การสอนปฏิบัติโดยฆราวาส พระเขาสอนอย่างนี้ พระสอนเรื่องสัจจะ เรื่องความจริง

แล้วถ้าพระมีกึ๋น พระมีกึ๋น พระมีกึ๋นมันรู้ถึงวิธีการสอน มันรู้ถึงการเคลื่อนไหวของใจ ไอ้พระไม่มีกึ๋น หลวงตาบอกว่าโง่อย่างกับหมาตาย หมามันตายแล้วยังโง่กว่ามันอีก แล้วสอนปฏิบัติธรรม

ถ้าจะสอนอย่างนั้นนะ ไปเรียนกับหมาตาย เวลาหมามันตายอยู่ข้างถนนน่ะ เอาดอกไม้ธูปเทียนไปขอฝากเป็นลูกศิษย์ ไปเป็นลูกศิษย์หมาตายนะ มันจะได้ไม่เสียสตางค์อย่างนี้ด้วย ถ้าฆราวาสสอนธรรมๆ มันล้วงกระเป๋า มันหาเงินหาทองจากเรา แล้วเรายังไปเชื่อเขา นี่ฆราวาสสอนธรรม

นี่พูดแค่พอหอมปากหอมคอ พูดมากไปกว่านี้เดี๋ยวจะอยู่เมืองไทยไม่ได้ เอวัง