เทศน์เช้า วันที่ ๔ กรกฎาคม ๒๕๕๗
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี
ตั้งใจฟังธรรม ฟังธรรมเพราะเรามาทำบุญ ทำบุญกุศลนะ ธรรมะ กุศล อกุศล กุศลคือความถูกต้องดีงาม ความถูกต้องดีงามผลมันจะให้ความร่มเย็นเป็นสุข อกุศล ทำสิ่งใดแล้วมันผิดพลาด ทำสิ่งใดแล้วมันเป็นทุจริต อกุศล กุสลาธัมมา อกุสลาธัมมา ทำความดีมาหรือทำความชั่วมา การทำชั่วอย่างนั้น เห็นไหม นี่เราทำสิ่งใดมาสิ่งนั้นจะให้ผล เวลาทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว มันเป็นความจริงแน่นอนอยู่แล้ว ถ้าความจริงแน่นอน องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ไม่ตรัสรู้มันเป็นความจริง แต่เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาตรัสรู้มันยิ่งกว่าความจริง ความจริงเพราะอะไร? ความจริงเพราะว่ารู้สัจจะความจริง รู้ความเป็นจริง รู้วิธีการ
ดูสิศีล สมาธิ ปัญญา รู้วิธีการกระทำ พอกระทำแล้วถึงที่สุดผลมันเกิดขึ้นไง ถ้าผลเกิดขึ้น แต่ถ้าไม่มีใครรู้ ความจริงก็เป็นความจริงอยู่อย่างนั้น ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว แต่ทำดีได้ดีก็ทำไปโดยสามัญสำนึก ทำโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ เพราะทำ ความดีก็คือความดีนั่นล่ะ แต่ถ้ามันมีสติมีปัญญา ความดีนั้นเป็นพื้นฐาน เป็นพื้นฐานเพราะเราทำความดี ถ้าไม่ทำความดีมันก็จะทำความชั่ว ความชั่วเพราะอะไร? ความชั่วเพราะความเห็นแก่ตัว เพราะอกุศลในหัวใจ เพราะอวิชชาในหัวใจมันทำตามความพอใจของมัน มันจะทำความพอใจของมัน นั่นล่ะทำอย่างนั้นมันก็ให้ผลเป็นบาปอกุศล
แต่คนจิตใจที่ดี จิตใจที่ดีเขาทำความดีของเขา ความดีของเขา นี่ถ้าความดีของเขา แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ทำดีมาตลอด พระโพธิสัตว์ทำดีมาตลอด ทำดีมา ๔ อสงไขย ๘ อสงไขย ๑๖ อสงไขย สร้างคุณงามความดีมาทั้งนั้น แต่คุณงามความดีมาเกิดเป็นเจ้าชายสิทธัตถะชาตินี้เป็นชาติสุดท้าย แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าต้องออกประพฤติปฏิบัติอีก ๖ ปี เวลาออกประพฤติปฏิบัติ วิธีการๆ วิธีการในการประพฤติปฏิบัติ ความดีก็คือความดี ก็สิ่งที่เป็นธรรมชาติ เป็นสัจจะ เป็นความจริงก็เป็นของมันอยู่อย่างนั้นไง
แต่หัวใจของคนที่กระทำ หัวใจของคนมันเป็นผู้ได้ หัวใจเป็นคนที่กระทำ หัวใจอันนี้มันโดนกิเลสตัณหาความทะยานอยากครอบงำมันอยู่ ถ้าครอบงำมันอยู่ ทำสิ่งใดก็ทำความพอใจของตัว แล้วว่าจะเอามรรคเอาผลนะ เอามรรคเอาผลโดยกิเลสไง เอามรรคเอาผลด้วยความเห็นแก่ตัว อย่างนั้นมันเป็นมรรคเป็นผลไปไม่ได้ เอามรรคเอาผล สิ่งที่เอามรรคเอาผล ทำความดีแล้วก็วางไว้ ความดีเราทำขนาดไหน
ดูสิองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสละชีวิตมาหลายภพหลายชาติ ก็ไม่เห็นไปทวงเอาความดีจากใครเลย แต่เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ขึ้นมาก็ตรัสรู้ในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราทำดีก็เพื่อความดี ความดีอันนั้นเป็นอำนาจวาสนาบารมี เพราะความดีของเรา โลกเขาร่ำลือๆ ร่ำลืออะไร? กลิ่นของศีลกลิ่นของธรรมมันหอมทวนลม หอมทวนลมอย่างนั้น คนดีก็คือคนดีไง
ดูคน เห็นไหม ถ้าคนดีเขาขวนขวาย เขาทำความดี ทางโลกว่าคนนั้นเป็นคนดีๆ คนดีก็คนดี คนดีทุกคนต้องปรารถนา ทุกคนต้องการเป็นคนดีทั้งนั้นแหละ แต่คนดีก็เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะไง แต่ถ้าเราทำความดีของเราก็อาศัยความดีนั่นล่ะเป็นหนทาง เป็นหนทางขึ้นไปทำความดีแล้วก็วางไว้ๆ เพราะเราต้องการความดีมากไปกว่านี้ ดูสิเวลาข้าวของเงินทองเขาทำประสบความสำเร็จมาเขาว่าสิ่งนั้นเป็นสมบัติของเขา
เวลาเรานักบวช นักปฏิบัติ นี่เรามีศีลมีธรรมเป็นสมบัติ อัตตัตถสมบัติ สมบัติในใจของตัว รื้อค้นในใจของตัว ในใจของตัวมันมีสิ่งใดบ้างที่มันขาดตกบกพร่อง มันมีสิ่งใดบ้างที่มันหมักหมมในใจ นี่เราเอามาตีแผ่ๆ อัตตัตถสมบัติ สมบัติในใจของตัว นี่เป็นสมบัติแท้ คนทางโลกเขาขวนขวาย ขวนขวายนี่ก็เป็นหน้าที่ของเขา ดูสิคนที่มีความรับผิดชอบ เขาบอกว่าคนนี้เขาใส่หมวกหลายใบมากเลย มีหน้าที่การงานมาก เขามีหน้าที่การงานมาก เขามีหมวกมาก เขาต้องทำหน้าที่นั้น เวลาเข้าบริษัทนี้ก็ทำหน้าที่นี้ ไปบริษัทหนึ่งก็มีอีกหน้าที่หนึ่ง เขาใส่หมวกหลายใบเลย
ของเราใส่ ๒ ใบ ใบหนึ่งทางโลกกับทางธรรม เวลาพระปฏิบัติบวชมาแล้วใส่ใบเดียว นักปฏิบัติใส่หมวกที่ว่าเรายังมีชีวิตอยู่ นี่ชีวิตนี้เป็นของเราใส่หมวกใบเดียว ใส่หมวกใบเดียวเราจะค้นคว้าของเรา เราจะทำความจริงของเรา ถ้ามันใส่หมวกหลายใบ ทางโลกเขาหน้าที่การงานเขามากมายมหาศาล เขาทำของเขา เขามีความจริงของเขา เขาฝืนกระทำของเขา อันนั้นก็เป็นประโยชน์กับเขา นั่นเป็นประโยชน์กับเขา
ประโยชน์ เห็นไหม ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว ถ้าความดีของเขา เขาก็ทำความดีเพื่อดำรงชีวิตของเขา แล้วมันก็สื่อความหมายว่าจิตใจของเขา คนที่ขยันหมั่นเพียร คนที่มีความวิริยะอุตสาหะ อยู่ที่ไหนมันก็ประสบความสำเร็จทั้งนั้นแหละ นี่ประสบความสำเร็จของเขา ถ้าอยู่ทางโลกเขาก็ประสบความสำเร็จทางโลก ถ้ามาบวชเป็นพระหรือมาเป็นนักปฏิบัติเขาก็จะขวนขวายของเขา เขาขวนขวายของเขา ขวนขวายด้วยสติปัญญา ไม่ใช่ขวนขวายด้วยเถรส่องบาตร เห็นเขาทำก็ทำตามกันไป เห็นเขาทำเราก็ทำตาม ครูบาอาจารย์ท่านทำ นี่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นศาสดา เป็นครูเอกของโลก เป็นตัวอย่างของเรา เราก็พยายามทำตาม ทำตามขึ้นมา
ทำตามนั้นเป็นกิริยา ทำตามแล้วมีปัญญาไหมล่ะ? ทำตามแล้วมีปัญญาว่านี่เราทำแล้วประสบความสำเร็จไหม? ทำแล้วหัวใจเราสงบระงับไหม? เวลาเราทำตามๆ ทำแล้วเรามีแต่ความทุกข์ความยาก แล้วจิตใจมันไม่ลงเลย เราก็ผ่อนของเรา เราหาอุบายของเรา เราหาวิธีการของเรา นี่เราทำเพื่อจิตสงบไง การประพฤติปฏิบัติขึ้นมาทำเพื่อหัวใจของเรา ทำเพื่อรื้อค้นหัวใจนะ รื้อค้นสิทธิของเรา หัวใจนี่ หัวใจที่มันเวียนว่ายตายเกิดอยู่นี่ หัวใจที่มันบีบคั้นอยู่นี่ เราจะค้นหาๆ ค้นหามาจากไหนล่ะ?
ถ้าเราค้นหาไม่เจอ เขาบอกนี่คนเกิดมามีกายกับใจๆ ถ้าครูบาอาจารย์ท่านปฏิบัติมาแล้วท่านเข้าใจของท่าน ท่านเข้าใจของท่านมันจะเป็นอย่างนี้จริงๆ เลย จริงๆ เพราะมันเป็นโลกียปัญญา มันส่งออกไง ถ้าคนไม่มีปัญญาเราก็จะไม่รู้สิ่งใดเลย คนเขาเรียนสิ่งใดมา เขาเรียนสิ่งใดมาทางวิชาการของเขา เขาจะมีมุมมองกับโลกในทางวิชาการของเขา ทางมุมมองของเขา นี่คนที่มีปัญญาขนาดไหนเขาก็มีปัญญาของเขา ปัญญาก็คือความรู้ของเขา ก็คือสัญญา คือเสวยอารมณ์ คือความยึดมั่นถือมั่น ถ้าไม่ยึดมั่นก็ไม่รู้ ถ้าไม่เข้าใจก็ไม่รู้
ความเข้าใจมาจากไหน ก็จิตมันใช้ปัญญาของมัน นี่ปัญญาทางโลก แต่เวลาเราจะประพฤติปฏิบัติขึ้นมาเราต้องทำความสงบของใจเข้ามา เพราะถ้ามันส่งออกมันก็ยึดมั่นหมายไปหมด นี่สิ่งที่ใกล้ สิ่งที่ไกล เวลาไกลเราคิดถึงดาวอังคารนู่นน่ะ เราคิดถึงจักรวาลนู่นน่ะ มันไปหมดเลย แต่เวลาจิตสงบแล้ว เวลาครูบาอาจารย์ท่านประพฤติปฏิบัติขึ้นมา เวลาสิ้นสุดแห่งทุกข์ท่านบอกว่ามันไปสามโลกธาตุ เวลาเราคิดเราคิดแค่จักรวาลนี้ จิตใจมันยึดไปว่าส่งออกๆ ไปในจักรวาลนี้ แต่เวลาประพฤติปฏิบัติตามความเป็นจริงนะ ถ้าจิตสงบเข้ามาแล้วพิจารณาตัวนั้น พอจิตสงบเข้ามาให้จิตมันค้นคว้าความสกปรกโสมม อวิชชาความไม่รู้ของมันในหัวใจ พิจารณาเป็นชั้นเป็นตอนเข้าไป เป็นชั้นเป็นตอนเข้าไป มันสำรอกมันคายของมัน
เวลามันขาดเป็นชั้นเป็นตอนเข้าไป เห็นไหม เวลาขาดเป็นชั้นเป็นตอนมันก็มีความว่าง ความว่างของโสดาบัน ความว่างของสกิทาคามี ความว่างของพระอนาคามี ความว่างของพระอรหันต์มันแตกต่างกัน แตกต่างกันตรงไหน? เห็นไหม ดูสิพระโสดาบัน พระสกิทาคามียังต้องเกิดในกามภพ มันก็มีความว่างในกามภพ ในกามภพก็ในจักรวาลนี้ไง เห็นไหม เวลาพรหม เวลาพรหมนี่พ้นจากกามรูป อรูปภพไปแล้ว มันมีภพมีชาติ มีขอบเขตไง แต่เวลามันสิ้นสุดกิเลสไปแล้ว มันทำลายหมดแล้ว นี่สามแดนโลกธาตุ กามภพ รูปภพ มันกว้างขวาง มันครอบงำไปหมดเลย
เวลาจิตมันส่งออก มันส่งออกได้แค่นี้ เวลาส่งออกได้แค่นี้มันก็ส่งออกของมันไป มันก็ว่ามันรู้มันเห็นของมัน มันก็ยึดมั่นถือมั่นของมัน แต่เวลาประพฤติปฏิบัติเข้าไปแล้วมันสำรอก มันคายของมันเป็นชั้นเป็นตอนเข้าไป เวลามันสำรอกคายออกหมดมันไปมากกว่านั้น ไปมากกว่านั้นโดยเหนือธรรมชาติไง ไปมากกว่านั้นโดยรู้เท่ากว้างขวางไปได้เต็มที่ นี่ครอบงำสามโลกธาตุ มันกว้างขวางขนาดนั้นนะหัวใจ แต่เวลาเริ่มปฏิบัติมันต้องทำความสงบของใจเข้ามาก่อน นี่พอจิตเวลามันสิ้นสุดแห่งทุกข์มันกว้างขวาง มันกว้างขวางนั่นเป็นผู้รู้ที่เขารู้ แต่เราไม่รู้มันจินตนาการทั้งนั้นแหละ
ถ้ามันจินตนาการทั้งนั้น เห็นไหม ความจินตนาการอันนั้น สิ่งที่มันส่งออกไปมันก็ไปยึดมั่นถือมั่นว่าเป็นความรู้ ศึกษาธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ว่ารู้ เวลาประพฤติปฏิบัติไปก็ว่ารู้ รู้แล้วก็ยังหันรีหันขวาง ยังไม่ปลอดโปร่งในหัวใจ นี่มันรู้โดยมีอวิชชา มีความไม่รู้เจือปนมา มีสมุทัยเจือปนมาตลอด ทั้งที่ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นวิทยาศาสตร์ วิทยาศาสตร์นี่เราศึกษาเราค้นคว้ามาเมื่อไหร่ก็ได้ เปิดตำราเมื่อไหร่ก็ศึกษาได้ ศึกษาได้ ค้นคว้าได้ตลอดเวลา ค้นคว้าได้แล้วกิเลสมันก็ค้นคว้าไปด้วย มันก็ยึดมั่นถือมั่นของมันไปด้วย เวลายึดมั่นถือมั่นทางโลกเขามีความทุกข์ความยาก ใส่หมวกหลายใบ มีหน้าที่การงานมาก มีความรับผิดชอบมาก
ความรับผิดชอบนั้นมันเป็นอำนาจวาสนาบารมีนะ คนถ้าไม่มีอำนาจวาสนาบารมี เขาจะทำหน้าที่การงาน เขาประสบความสำเร็จไหม? ถ้าเขาทำงานประสบความสำเร็จเขาก็มีหมวกหลายใบของเขา อันนั้นมันเป็นบารมี เป็นคนที่มีอำนาจวาสนา นั้นก็เป็นหน้าที่การงานทางโลก ทางโลก เห็นไหม ทรัพย์สมบัติทางโลกเป็นสมบัติสาธารณะ คนนี่คนต้องเวียนว่ายตายเกิด ผู้เฒ่า ผู้แก่ก็ต้องหมดอายุขัยไป มันก็มีเด็กเกิดมาใหม่ตลอดมา เขาก็จะมาทำหน้าที่การงานอย่างนี้ เขาก็จะมาหาสมบัติสาธารณะเป็นสมบัติของเขาเพื่อจะดำรงชีวิตของเขา แต่สมบัติของใจล่ะ?
สมบัติของใจ เห็นไหม อันนั้นมันหน้าที่การงานทางโลก ถ้ามีหมวกหลายใบเป็นหน้าที่รับผิดชอบ มันก็เป็นความดีทางโลกๆ ความดีทางวัฏฏะ ความดีที่เวียนว่ายตายเกิด แต่นี่เราเป็นชาวพุทธ เกิดเป็นมนุษย์พบพุทธศาสนา เราจะเอาความจริงของเรา เราจะประพฤติปฏิบัติโดยความจริงของเรา ถ้าความจริงของเรา นี่ครูบาอาจารย์ท่านปฏิบัติเป็น ท่านจะบอกว่าทำความสงบของใจเข้ามาก่อน พุทโธ พุทโธ หรือปัญญาอบรมสมาธิให้จิตสงบเข้ามาก่อน แล้วจิตสงบทำไม มันไม่ใช่ปัญญา นี่เรามีความรู้มาก เรามีการศึกษามาก เราเข้าใจทางโลกมาก เราเข้าใจเรื่องดิน ฟ้า อากาศ เรื่องลม เรื่องต่างๆ อวกาศเขาจะออกไปเขาต้องคำนวณของเขา
นี่เขารู้ไปหมด เขาเก่งไปหมด แล้วทำไมต้องมาทำความสงบของใจล่ะ? ก็ฉันเก่ง ฉันรู้แล้ว ฉันเก่งฉันรู้แล้วมันก็ลากออกไปหมดไง ส่งออกหมดไง ส่งออกหมดมันก็เป็นเรื่องของโลก ก็จินตนาการได้จักรวาลนี้เท่านั้นเองไง แต่ความจริงในใจมันจะรู้มากกว่านี้อีกไง ถ้ารู้มากกว่านี้มันต้องหดตัวของมันเข้ามาก่อน หดตัวเข้ามาเพื่ออะไร? หดตัวเข้ามาเพื่อมันเกิดภาวนามยปัญญา ปัญญาเกิดจากจิต ปัญญาเกิดจากการรื้อภพรื้อชาติ ไอ้ส่งออกมามันก็เกิดจากภพจากชาติ เกิดจากอวิชชามันส่งออกไปข้างนอก มันไปกว้าน มันบังเงา มันก็ไปเอาเงา ตื่นเงา เอาเงามาเป็นสมบัติของตัวไง
นี่เป็นสมบัติขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า สมบัติสาธารณะก็ไปยึดมั่นถือมั่นเป็นสมบัติของตัว เวลาสมบัติของตัว สมบัติของตัวเองก็ไม่มี แล้วสมบัติของตัวจะมี จะมีก็นี่พุทโธเข้ามาให้ค้นคว้ามาถึงตัวตนของตัว ถ้าเข้ามาถึงตัวตนของตัวก็บอกว่าอันนี้ไม่ใช่ปัญญา ก็นี่ขายก่อนซื้อ ไม่มีสิ่งใดก็ขายก่อนเลย มีความรู้มาก มีสมบัติเยอะ มีสินค้ามาก ขายก่อนซื้อ ไปขายก่อนเลย ยังไม่ทันมีสมบัติก็ขายไปก่อนเลย ก็เป็นสมบัติขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า สมบัติของโลกเขา ก็ไปของเขามา แล้วก็จะมาขายกัน
อ้าว นี้สมบัติก็มาขาย ไอ้สมบัติของตัว จิตของตัวก็ไม่เข้าใจ ปัญญาของตัวก็ยังไม่มี นี่มันยังไม่ซื้อ ยังไม่มีสินค้าของตัว ขายไปทั่วเลย แล้วบอกว่าฉันมีปัญญา ฉันมีปัญญา แต่พอจะหดเข้ามาเพื่อจะซื้อ เพื่อจะหาหลักฐานของตัว เพื่อหาสมบัติของตน ถ้ามีสมบัติของตนแล้ว เห็นไหม นี่ของตนมีแล้ว ถ้าสมบัติของตน ปัจจัตตังสันทิฏฐิโกมันกลัวอะไร? มันองอาจกล้าหาญ เผชิญกับความตายก็ได้ เผชิญกับมัจจุราชเลย อะไรตาย นี่พญายมมา พญายมคือใคร เทวดา อินทร์ พรหมเป็นใคร มันมาจากไหน?
นี่ถ้ามันมีความจริงของมัน มันไม่ตื่นกลัวสิ่งใดเลยถ้ามันมีความจริงขึ้นมา ถ้าไม่มีความจริงล่ะ? นี่ขายก่อนซื้อ สมบัติขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า สมบัติของครูบาอาจารย์ทั้งนั้นแหละ สิ่งนั้นมา เราศึกษามาเป็นคติธรรม ศึกษามาเป็นแนวทาง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นศาสดา เป็นครูเอกของโลก ศากยบุตรพุทธชิโนรสเราเป็นศากยบุตร เราเป็นบุตรของท่าน เป็นบุตรขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราบวชมานี่เราปฏิญาณตน เวลาอุปัชฌาย์ยกเข้าหมู่ ยกขึ้นมาเป็นสมมุติสงฆ์ สมมุติสงฆ์เราก็จะประพฤติปฏิบัติขึ้นมาเอาให้ใจเราเป็นสงฆ์
ผู้ใดเห็นสมณะ สมณะที่ ๑ สมณะที่ ๒ สมณะที่ ๓ สมณะที่ ๔ เป็นมงคลชีวิตๆ สิ่งที่เป็นมงคลชีวิต นี่เราไปเห็นสมณะ แต่ถ้าทำความสงบของใจเข้ามา เราได้สัมผัส ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นตถาคต เราได้สัมผัสสมณะในใจ เราได้สัมผัสตัวตนของเราจริงๆ สิ่งที่ว่าเราจะรื้อภพรื้อชาติ นี่ถ้าตัวตนมันเกิดขึ้นมาแล้ว ใช้ปัญญาขึ้นมามันจะรื้อภพรื้อชาติ เกิดภาวนามยปัญญา เกิดธรรมจักร เกิดญาณ เกิดความหยั่งรู้ เกิดความหยั่งรู้ แล้วว่าเรามีปัญญาๆ ปัญญาทางโลกเราไม่สบประมาทกันหรอก
ปัญญาทางโลกเป็นปัญญาทางโลก แต่เวลาเทศน์จะบอกว่าถ้าปัญญาทางโลก ถ้าวุฒิภาวะเรามีเท่านี้เราก็โลกียปัญญาไง แล้วโลกียปัญญาถามตัวเองว่าเหนื่อยไหม? ถามตัวเองว่าสงสัยไหม? ถามตัวเองว่าทุกข์ไหม? แล้วปัญญาอย่างนี้มันต้องทบทวน ปัญญาอย่างนี้ ดูสิวิชาการใดก็แล้วแต่มันจะมีวิชาการตลอดเวลา เราต้องทบทวนตลอดเวลาอย่างนี้เชียวหรือ? เรายังต้องกระเสือกกระสนอย่างนี้ใช่ไหม? เราจะต้องเหนื่อยยากอย่างนี้ตลอดไปใช่ไหม? แล้วถ้ามันเป็นปัญญาญาณ ปัญญาที่เกิดจากเรา ดูสิมีดในฝัก คมในฝัก ชักออกมามันก็มีมีดตลอดเวลา มันมีดอยู่ที่ร้านค้า มีดอยู่ที่โรงตีเหล็กนู่นน่ะ มันเป็นมีดของเขา
ไอ้นี่มีดคมในฝักของเรา ปัญญาในใจมันคมกล้า มันชักออกจากใจ ฟาดฟันมันได้ตลอดเวลา ปัญญาอย่างนี้มันต้องไปหาที่ไหน? มันเหนื่อยมันยากที่ไหน? มันไม่เหนื่อยไม่ยาก มันอยู่กับเรา ถ้ามันอยู่กับเรา อยู่ที่ไหนล่ะ? เห็นไหม อยู่ที่เราก็เริ่มต้นกันนี่พุทโธก่อน ถ้าพุทโธจิตสงบเข้ามาแล้ว นี่ฝึกหัดใช้ปัญญา ฝึกหัดจะลับมีด นี่ธรรมโอสถ สัจธรรม สิ่งที่จะเป็นดาบเพชร จะฟาดฟันกับกิเลสมันเกิดที่นี่ ถ้าเกิดที่นี่เราทำความสงบของใจเข้ามา เราเอาหมวกใบเดียวนี่แหละ ถ้าหมวกของเรานะ ชีวิตของเรา
นี่ชีวิตของเรา จิตใจของเรา เราเอาหน้าที่การงานของเรานี่แหละ เราจะเอาสมบัติความจริงของเราเข้าไป ถ้ามันพิจารณาของมัน พิจารณากาย พิจารณาเวทนา พิจารณาจิต พิจารณาธรรม เวลาจิตสงบแล้วแยกแยะของมัน เวลาสมุจเฉทปหานเวลามันขาดออกไป นี่มันเป็นสมบัติของตน มันเป็นสมบัติของเรา ถ้ามันตทังคปหานมันก็ปล่อยวางชั่วคราว ปล่อยวางชั่วคราว ปล่อยวางชั่วคราวเราก็มีความมุมานะ มีความพยายามของเรา เพราะมันมีรสของธรรมตลอดไป ดูสิเวลากินอาหาร แต่ละคำมีรสชาติทุกคำ แล้วมันยังไม่อิ่มก็กินไปเรื่อยๆ มีรสชาติทั้งนั้นแหละ เวลามันอิ่มขึ้นมา อิ่มเต็มแล้วพอด้วย
นี่ก็เหมือนกัน เวลาตทังคปหานมันปล่อยวางชั่วคราว มันปล่อยวางแล้ว ปล่อยวางแล้วรสมันยังไม่อิ่มไม่เต็มเราก็ทำต่อเนื่องกันไป ทำต่อเนื่องจนถึงที่สุด เวลามันขาดมันอิ่มเต็มของมันขึ้นมาแล้ว นี่สิ่งนั้นเวลามันสำรอกมันคายของมัน ดั่งแขนขาด สังโยชน์มันขาด สังโยชน์มันขาด ดูสิคนเรานี่เวลาเกิดมาเป็นมนุษย์ เราอาบเหงื่อต่างน้ำขึ้นมาเราต้องทำความสะอาดร่างกายทุกวันๆ วันหนึ่งอาบน้ำหลายรอบหลายหน
จิตใจของเรามันมีอวิชชา มันมีตัณหาความทะยานอยาก มันบอกหมักหมมในใจ ไม่มีใครเคยทำความสะอาดมันได้เลย เพราะตัวเองก็ยังไม่รู้จัก ความเห็นก็ยังไม่มี แต่เวลาภาวนามยปัญญาขึ้นไปมันสำรอก มันทำความสะอาดของมัน ตทังคปหานมันปล่อยวาง มันมีความโล่ง ความโถง มันมีความสุข ดูสิร่างกายเราอาบเหงื่อต่างน้ำมามันเหม็นหืนไปหมด เวลามันอาบน้ำแล้วมันสะอาด มันสะอาดผุดผ่อง มันสดชื่น จิตใจเวลามันสำรอกมันคายกิเลสของมันไป โอ้โฮ มันโล่ง มันโถง นี่มันรู้มันเห็น ถ้าไม่รู้ไม่เห็นอย่างนี้มันจะคายอย่างไร? ถ้าไม่รู้ไม่เห็นมันจะชำระได้อย่างไร? ถ้าไม่รู้ไม่เห็นมันจะขาดออกไปจากใจได้อย่างไร? ไอ้นี่ไม่รู้ไม่เห็น ไม่รู้จักกิเลส ไม่รู้จักอะไรทั้งสิ้น
ไอ้นี่คำว่ากิเลสๆ นะ แต่เราเป็นชาวพุทธ เราทำบุญกุศลก็เพื่ออำนาจวาสนา เพื่อความมั่นคงของชีวิตทั้งนั้นแหละ ทำบุญกุศล นั่นก็บุญกุศลมันเกิดแล้วล่ะ อำนาจวาสนาบารมี แต่ถ้าปัญญามันเกิดขึ้น นี่จะชี้ให้เห็นว่าในพุทธศาสนาเป็นการชี้นำ วัฒนธรรมประเพณีให้เรามุ่งไปสู่คุณงามความดีของเรา ให้เป็นอำนาจวาสนา เป็นบารมี เป็นทรัพย์สมบัติของเราเวียนตายเวียนเกิดในภพชาติ แต่ถ้าเรามีอำนาจวาสนา เราปฏิบัติของเรา เราชำระล้างกิเลสของเรา เราสำรอกคายออกมา นี่มันวางหมดนะ กามภพ รูปภพ อรูปภพ วัฏฏะ ผลของวัฏฏะ
จิตใจเวียนว่ายตายเกิดนี่ผลของวัฏฏะ เห็นไหม วัฏฏะมันมีของมันอยู่อย่างนั้นแหละ เวียนว่ายตายเกิด แล้วถ้ามันพ้นจากวัฏฏะไปล่ะ? นี่มันพ้นจากวัฏฏะไปล่ะ? มันไม่เวียนว่ายตายเกิด มันมีอำนาจเหนือวัฏฏะ นี่มัจจุราช ยมบาลต่างๆ เขาก็อยู่ในวัฏฏะนี่แหละ แล้วเขาจะตามใจดวงนี้เจอได้อย่างไร? เขาจะมีกิเลสกับใจดวงนี้ได้อย่างไร? เราถึงมีความองอาจกล้าหาญ เราถึงเยาะเย้ยถากถางมันได้ทั้งนั้นแหละ ถ้าเราได้มีความจริงในหัวใจของเรา เพื่อประโยชน์กับเรานะ นี่วันพระ เราทำบุญกุศลเพื่อหัวใจของเรา ในเมื่อเราต้องเวียนว่ายตายเกิดเราก็หาเสบียงกรังของเราไป แต่ถ้าเราหวังจะพ้นจากทุกข์ เราทำความจริงของเราขึ้นมา ถ้าประโยชน์ความจริงขึ้นมา สิ่งที่ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นตถาคต เอวัง