เทศน์พระ

ต่อหน้า

๑o ส.ค. ๒๕๕๗

 

ต่อหน้า
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

เทศน์พระ วันที่ ๑๐ สิงหาคม ๒๕๕๗
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

หนึ่งเดือนผ่านไปนะ นี่เข้าพรรษามาหนึ่งเดือน ๒ ปักษ์ อีก ๔ ปักษ์ออกพรรษา วันคืนล่วงไปๆ ไง ถ้าวันคืนล่วงไปๆ ดูสิ อาหารนะ เวลาเขาทำอาหาร เขามีความร้อนมีอุณหภูมิมันยังสุกได้ แต่ใจของเราเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ เกิดมาเป็นมนุษย์ไง เกิดมาเป็นมนุษย์จนได้ชื่อได้นาม พ่อแม่ได้ตั้งชื่อให้ นี่มีการศึกษามีการเล่าเรียนมาจนเห็นภัยในวัฏสงสาร มาบวชเป็นพระ

ถ้าบวชเป็นพระ เราจะต้องมีสติปัญญาอยู่กับปัจจุบันนี้สิ เราอย่าคิดถึงอดีตอนาคต ถ้าคิดถึงอดีตอนาคต อดีตเรามีสถานะมาอย่างไรก็แล้วแต่ อดีต เรายึดแต่ว่าอดีต เราเคยมีสถานะ เราเคยสะดวกสบายมา มาบวชเป็นพระแล้วเราจะมาเอาความสะดวกสบายอย่างนั้นไม่ได้ เราไม่ติดอดีตอนาคต อนาคตยังมาไม่ถึง เราทำคุณงามความดีขนาดไหน ถ้ามันเป็นความจริงขึ้นมา เห็นไหม

หลวงตาท่านบอกว่า ถ้าเราประพฤติปฏิบัติขึ้นมา ถ้าเป็นความจริงขึ้นมาจะไปอยู่บาดาลชั้นไหนก็แล้วแต่เขาตามไปหาทั้งนั้นล่ะ มันไม่ต้องห่วงหรอกว่าเขาจะไม่รู้ ว่าที่ไหนจริง ที่ไหนไม่จริง ถ้ามันเป็นจริงไม่ต้องไปห่วงอนาคตว่าอนาคตเราจะต้องปูพรมไว้ จะต้องให้คนเขานับหน้าถือตา จะให้คนมาเชื่อฟัง ไปเชื่อฟังยังไง ใจเราเองยังไว้ใจตัวเองไม่ได้ ใครจะเชื่อฟังใคร

ถ้าใจเราไว้ใจตัวเราเองได้ ถ้าไว้ใจตัวเองได้ เห็นไหม ดูสิ คนมีสติปัญญาเขาทำสิ่งใด เขามีความผิดพลาดของเขาไป ที่ทำอะไรมีแต่ความผิดพลาดๆ มันผิดพลาดเพราะอะไร มันผิดพลาดเพราะมันไม่มีสติปัญญาไง มันไม่รู้เท่ากับปัจจุบันนี้ว่าปัจจุบันนี้เราทำอะไรอยู่ ต่อหน้า ถ้าต่อหน้าแล้วลับหลัง

ต่อหน้าเพราะอะไร ต่อหน้าเพราะเราจะต้องมีคู่เจรจา ถ้าต่อหน้ามีคู่เจรจาเราก็หลบหลีกไปตลอด เราก็รู้ๆ อยู่ ถ้ารู้อยู่ทำไมเราไม่พูดความจริงล่ะ เราทำสิ่งใดเราพูดความจริงสิ่งนั้น แต่เราพูดความจริงสิ่งนั้นไม่ได้ เพราะเรารู้ต่อหน้า ต่อหน้าเพราะมันเกรงกลัวไง มันเกรงกลัวว่าเหตุผลมันสู้กันไม่ได้ ถ้าเหตุผลสู้กันไม่ได้ เหตุและผลรวมกันเป็นธรรม

หลวงตาท่านสอนไว้นะ เหตุและผลรวมกันเป็นธรรม เหตุและผล ถ้าเหตุมันสมบูรณ์ผลมันต้องสมบูรณ์แน่นอน แต่เหตุมันไม่สมบูรณ์ แต่เราจะให้ผลเป็นแบบนั้น ถ้าเหตุมันไม่สมบูรณ์ เห็นไหม เราก็ต้องหาทางหลบหลีก หลบหลีกไปๆ เพราะเหตุมันไม่สมบูรณ์อยู่แล้ว

ถ้าสมบูรณ์มันหลบหลีกทำไม ดูสิ นักกีฬาเวลาเขาแข่งขันกัน เขาสู้กันซึ่งหน้า เขาสู้กันด้วยปฏิญาณของเขา เขาสู้ด้วยความจริงของเขา ถ้าเขาฟิตมาดี เขามีเทคนิคของเขา เขาชนะแน่นอน เขาชนะของเขาอยู่แล้ว นี่ก็เหมือนกัน ด้วยเหตุด้วยผล ถ้าเหตุผลนี่ต่อหน้า ด้วยเหตุด้วยผล เห็นไหม

ถ้าเราบอกว่าจะให้คนนับหน้าถือตา ให้คนเขาเชื่อถือเรานี่ เราเชื่อถือใจเราได้ไหม เราเชื่อถือใจเราไม่ได้ แม้แต่ต่อหน้า เพราะเรามีเหตุมีผลอยู่แล้ว เราเกิดเป็นมนุษย์นะ มนุษย์ต่างกับสัตว์ ต่างกับสัตว์เพราะมีสมอง สมองนี่มนุษย์ใหญ่ มนุษย์มีสมองต่างกับสัตว์ สัตว์จะมีกำลังมากน้อยขนาดไหน มนุษย์สามารถเอาสัตว์นั้นมาฝึกมาหัดจนเอาสัตว์นั้นมาใช้งานได้ มนุษย์ต่างกับสัตว์เพราะมีสมอง นี่พูดถึงทางโลกนะ

แต่ถ้าเวลาทางธรรม มนุษย์ต่างกับสัตว์เพราะมีศีลธรรม ดูสิ เวลามนุษย์เรา สัตตะเป็นผู้ข้อง ตั้งแต่พรหมลงมา เวลาพรหมลงมา เห็นไหม นี่การเวียนว่ายตายเกิด ผู้ข้องในวัฏฏะ เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ เวลาเทวดา อินทร์ พรหม มาฟังเทศน์องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เวลาเทวดา อินทร์ พรหม มาฟังเทศน์หลวงปู่มั่น นี่มนุษย์เหมือนกัน เราเป็นสัตว์มนุษย์ เห็นไหม เขาสัตตะผู้ข้องเกิดเป็นเทวดา เป็นอินทร์ เป็นพรหม เขารู้อะไร ทำไมเขาต้องฟังเทศน์จากครูบาอาจารย์เราล่ะ ทำไมต้องมาฟังเทศน์จากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าล่ะ

นี่ไง ถึงว่าเราเป็นมนุษย์ มนุษย์เพราะอะไร มนุษย์ต่างกับสัตว์เพราะว่ามนุษย์มีสมอง ถ้าเป็นทางวิทยาศาสตร์เป็นทางโลก มนุษย์มันฉลาดกว่าสัตว์ สามารถเอาสัตว์ที่มีกำลังมากกว่ามาใช้ได้ แต่มนุษย์ที่มีศีลมีธรรม มนุษย์มีอัตตัตถสมบัติ สมบัติของเราที่เราเกิดเป็นมนุษย์นี่ไง

เราเกิดมาเป็นมนุษย์เราเห็นภัยในวัฏสงสาร เราเห็นความเวียนว่ายตายเกิดของวัฏฏะ เพราะเราเชื่อในธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่เรายังไม่มีคุณธรรมในใจของเรา เพราะเรายังไม่ประพฤติปฏิบัติให้เข้าถึงความจริงในใจของเรา แต่เรามีอำนาจวาสนา เรายังมีความลงใจกับธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เรายังเชื่อนะ เรายังมีโอกาสเชื่อธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ คนที่เขาไม่เชื่อๆ นี่เขาไม่สนใจเลย ถ้าเขาไม่เชื่อนั่นล่ะคนหนา กิเลสมันหนา พอกิเลสมันหนานี่มันไม่ฟังเหตุฟังผล แต่ฟังเหตุฟังผลโดยกิเลสไง ฟังเหตุฟังผลโดยความพอใจของตัวไง ด้วยเหตุด้วยผลเข้าข้างตัวเองไง เอาสีข้างเข้าถูไปตลอดไง

นี่สีข้างเข้าถู ด้วยเหตุด้วยผลใช่ไหม มนุษย์คิดอย่างหนึ่ง พูดอย่างหนึ่ง ทำอย่างหนึ่ง ในเมื่อมีความคิดอย่างนั้น เวลาเหตุผลของกิเลส เหตุผลของความเห็นแก่ตัว มันก็ว่าของมันไป มันก็เอาสีข้างถูของมันไป มันก็ว่าเป็นธรรมของมัน เพราะว่าคนหนา เวลาคนปานกลาง เห็นไหม เขาก็ทำบุญกุศลของเขา แต่เขายังมีความรับผิดชอบในหน้าที่การงาน เขาก็อยู่กับโลกเขาไป

อย่างพวกนี่ เราเป็นคนเบาบาง เป็นคนเบาบางเพราะเรามีสิทธิเสรีภาพที่อยู่ทางโลกก็ได้ ถ้าอยู่ทางโลก เห็นไหม เห็นโลกเขาเสพสุขกันอย่างไร เราอยู่ทางโลกเราได้เสพสุขไปกับเขา แต่เพราะคนอย่างกลางเขาลงใจในพุทธศาสนา แต่เขามีโอกาสมาบวชมาเรียน เขามีโอกาสมาต่อสู้แบบเรา เขาก็อยู่ทางโลกของเขา เขาก็ยังถือศีลของเขา ไอ้เรามาบวชไปแล้ว คนอย่างเบาบาง อย่างเบาบางแล้วนี่สิ่งนั้นมันเป็นเรื่องโลก เรื่องโลกียปัญญา เรื่องความสุขทางโลก กามคุณ ๕ กามเป็นคุณเพราะว่าภัยในวัฏสงสาร เขามีสืบทอดสกุลของเขา นี่กามคุณของเขา เขามีคุณของเขาในทางโลก แต่มันเป็นโทษกับเรา เราไปถือพรหมจรรย์ เราเป็นคนเบาบาง เราวางแล้ว เราสละแล้วในสิทธิเสรีภาพทางโลก

เรามาบวชเป็นพระ มีศีล ๒๒๗ ถือพรหมจรรย์ๆ เราไม่เอากามคุณเป็นโทษ นี่มันเป็นกามทั้งนั้น วัตถุกาม วัตถุกามกับสิ่งที่เป็นวัตถุ สิ่งที่เป็นสิ่งก่อสร้างนี่เป็นวัตถุ แล้วไปติดไปลุ่มหลงมัน ไปติดมัน ไปพะเน้าพะนอต่อมัน จิตใจอ่อนแอกับมัน ให้มันขี่คอไง ถ้าจิตใจอ่อนแอกับมัน สิ่งใดก็ต้องให้ประณีต ให้สวยงาม ให้พอใจกับเรา นี่วัตถุกาม

กามมันมีหลายชั้นไง วัตถุกาม วัตถุมันเป็นกาม ดูสิ กามราคะ กามราคะน่ะอารมณ์เป็นกาม สิ่งต่างๆ เพราะอะไร นี่สิ่งที่เราเป็นคนเบาบางไง เราเสียสละแล้วไง เราวางแล้ว เราพอแล้ว เราถือพรหมจรรย์แล้ว เราจะประพฤติปฏิบัติแล้ว ถ้าประพฤติปฏิบัติ เห็นไหม ในเมื่อเราประพฤติปฏิบัติ เรามีข้อวัตรปฏิบัติของเรา สิ่งนี้เป็นเครื่องอยู่อาศัยพออาศัยเยียวยาไปเท่านั้น เพราะเราไม่ติดในวัตถุกาม เราไม่ติดสิ่งที่เป็นกาม

สิ่งที่เป็นกาม วัตถุกามมันข่มขี่หัวใจเรา หัวใจเราเป็นทาสมัน เราละมาแล้ว เราละจากโลกมาแล้ว โลกเขาเป็นอยู่อย่างไรเขาอยู่ของเขาด้วยเสพสุขของเขา ด้วยความเป็นมนุษย์ของเขา ด้วยวัตถุกามของเขา ด้วยกามคุณของเขา นี่กามคุณๆ ของเขา นี่มันเรื่องโลกๆ แต่เราเสียสละมาบวชแล้ว เราทิ้งมาแล้ว เราวางมาแล้ว แต่เมื่อเรามีชีวิต เราเป็นมนุษย์ มีปัจจัย ๔ ใช่ไหม ถ้าปัจจัย ๔ เราก็ต้องมีที่อยู่อาศัย เห็นไหม เรือนว่าง อยู่ที่บังแดดบังฝนเท่านั้น เราอยู่ประสาของเรา แต่หัวใจมันรื่นเริง

ถ้าเรามีสติมีปัญญาเราอาศัยเพื่อพรหมจรรย์ เราปฏิบัติก็เพื่อพรหมจรรย์ของเรา เพื่อความดีงามของเรา ถ้าดีงาม นี่ต่อหน้า ต่อหน้าด้วยโลก ต่อหน้าด้วยเหตุด้วยผล ถ้ามันลงกันด้วยเหตุด้วยผล นี่ต่อหน้า ลับหลัง ต่อหน้าและลับหลัง ลิงหลอกเจ้า ลิงหลอกเจ้า เวลาต่อหน้ามันก็ทำเคารพบูชา ลับหลังมันก็ลับๆ ล่อๆ นี่ลิงหลอกเจ้า นี่พูดถึงทางโลก เห็นไหม โลกเป็นแบบนั้น ถ้าโลกเป็นแบบนั้น เราเสียสละมาแล้ว เรามีสัจจะ

เวลาเราเข้าพรรษา เห็นไหม เราอธิษฐานธุดงค์ ถ้าใครอธิษฐานเรามีสัจจะกับเรา เราได้อธิษฐานอย่างใด เราตั้งใจอย่างไร เราจะมีเป้าหมายของเรา จะทำให้ได้ นี่บารมี ๑๐ ทัศ อธิษฐานบารมี ทานบารมี ศีลบารมี เราจะสร้างของเรา ถ้าจิตใจมันเข้มแข็งขึ้นมา สิ่งที่มันเกิดขึ้นมามันจะมาครอบงำจิตใจเราไม่ได้ แต่ถ้าเราอ่อนแอ สิ่งนี้มันครอบงำหัวใจของเรา ถ้าครอบงำหัวใจของเรามันก็แสดงออกไง แสดงออกด้วยการขาดสติ เราว่าเรามีเหตุมีผลเต็มที่ของเรานะ เรามีเหตุมีผลมันสมควรไปหมดล่ะ สมควรไปอย่างไร สมควรเพราะใจมันอ่อนแอไง ใจที่มันมีคุณภาพมันก็สมควร ใจที่คุณภาพมันเป็นภาระ

เรามาอาศัยวัตถุข้าวของนี้เป็นที่ดำรงชีวิต อาศัยปัจจัยเพื่อดำรงชีวิตของเรา อาศัยปัจจัย เรามาอาศัย แต่มันเป็นภาระไหมล่ะ แต่คนที่เขาวางแล้วนี่มันเป็นภาระรุงรังไง ถ้าเป็นภาระทุกอย่างเป็นภาระไปหมดเลย ถ้าเป็นภาระขึ้นมา เรื่องหัวใจที่มันจะเบาบางขึ้นไปมันก็ติดขัดใช่ไหม

แต่ถ้าคนไม่เอาไหนไม่รับผิดชอบสิ่งใดเลย อาศัยแต่คนอื่นเขาดูแลรักษา แล้วอาศัยว่าคนอื่นทำแล้วเราไม่ต้องทำ คนอื่นทำให้เราไว้ นี่เป็นของของสงฆ์ มันเป็นของที่เขาดูแล ถ้าคนมันเหลวไหลมันไม่รับผิดชอบตัวเองเลย มันต้องรับผิดชอบตัวเอง ถ้าจิตใจเป็นธรรมขึ้นมาแล้ว นี่ต่อหน้า ต่อหน้ามันมีเหตุมีผล สมเหตุสมผล ความเห็นสมเหตุสมผล เห็นไหม ดูสิ เด็กมันไร้เดียงสานี่ ทำสิ่งใดมันก็น่ารักน่าใคร่ทั้งนั้น เพราะมันไร้เดียงสา มองแล้วมันน่าเอ็นดู แต่ไอ้เฒ่ามันไปทำการไร้เดียงสาอย่างนั้นมันไม่น่าเอ็นดูหรอก มันน่าหมั่นไส้ เพราะไอ้เฒ่า ไอ้เฒ่ามันอยู่มาจนแก่จนเฒ่า มีความรู้สิ่งใดเขาเก็บไว้เป็นมารยาทของเรา

ผู้เฒ่าผู้แก่ เห็นไหม ผู้เฒ่าที่เขามีสติปัญญาของเขา ทุกคนเคารพบูชา เคารพบูชาเพราะว่าเขามีสติปัญญาของเขา เป็นปราชญ์ เป็นที่เราปรึกษาด้วยความข้องใจของเราสิ่งใด เราปรึกษาเขาได้ เป็นผู้เฒ่าเขาต้องนิ่ง เป็นผู้เฒ่าเขาทำสิ่งใดเขาเข้าใจ มีสิ่งใดเกิดขึ้นเขาก็ยิ้มๆ เท่านั้นแหละ ยิ้มๆ มันสังเวชไง เพราะเป็นผู้เฒ่าใช่ไหม ความไร้เดียงสามันก็น่าเอ็นดู แต่ความน่าเอ็นดูนั้นมันก็ต้องพัฒนาขึ้นมาจนกว่ามันจะมีสติปัญญาขึ้นมา เพราะอะไร เพราะเราต้องเผชิญโลก เราไม่อยู่คนเดียวนะ

มนุษย์เป็นสัตว์สังคม เราต้องอยู่ในสังคม เราต้องมีสติมีปัญญา ถ้าอยู่ในสังคมไม่มีสติปัญญาเป็นภาระสังคมไปหมดเหรอ ดูสิ ทางโลกเขา ถ้าสิ่งใดแล้วเขาไม่รับผิดชอบ ทิ้งไปให้คนอื่นรับผิดชอบ นี่เป็นภาระสังคม แล้วภาระสังคมใครเป็นคนสร้างขึ้นมา ก็มนุษย์ทั้งนั้น แต่ถ้ามนุษย์ช่วยกันดูแล ดูสิ รักษาสภาวะแวดล้อม เวลาสภาวะอากาศสมดุลขึ้นไปทุกคนก็อยู่ร่มเย็นเป็นสุข เพราะทุกคนช่วยกันรับผิดชอบ ทุกคนไม่เห็นแก่ตัว ถ้าคนเห็นแก่ตัวทั้งโลกก็ไม่มีใครยอมรับ มาบวชเป็นพระก็ไม่มีใครยอมรับเหมือนกัน เพราะมันไม่เสมอภาคกัน

ความไม่เสมอภาค เห็นไหม ดูสิ สัปปายะ ๔ ครูบาอาจารย์เป็นสัปปายะ อาหารเป็นสัปปายะ หมู่คณะเป็นสัปปายะ ถ้าสถานที่เป็นสัปปายะ หมู่คณะเป็นสัปปายะนี่มันไม่เสมอกันๆ มันไม่เสมอกัน มันไม่เท่ากัน ถ้ามันเสมอกัน เวลาคนเสมอกัน เห็นไหม มุมมอง ทัศนะคติ มันเหมือนกัน มันคล้ายกัน เพราะเรามีเป้าหมายเหมือนกัน

เรามาบวชเรามาบวชเพื่ออะไร ทุกคนอยากได้มรรคได้ผลทั้งนั้น ดูสิ โลกเขาแสวงหากันเขาก็อยากได้ทรัพย์สมบัติของเขา เราสละแล้ว เราสละเป็นพระ เราบวชมาแล้วพระจะมีอะไรเป็นสมบัติล่ะ ก็มีศีลมีธรรมเป็นสมบัติ มีคุณงามความดีเป็นสมบัติ ถ้าคุณงามความดีเป็นสมบัติ ศีลธรรมนี่มันมีกฎกติกา ทุกคนก็รู้ได้ ทุกคนก็ศึกษาได้ ดูสิ ทางโลกเขาเรียนนักธรรมตี นักธรรมโท นักธรรมเอก เขาจบนักธรรมเอกกันแล้วนะ เดี๋ยวนี้เขาส่งเสริมการศึกษาพุทธศาสนา ทุกคนเขาก็จบนักธรรมเอก เขาก็รู้หรอก ธรรมวินัยเขาก็รู้ ใครก็รู้ แต่พฤติกรรมที่เราเป็นพระนี่ เราเป็นนักรบอยู่แล้ว เราจะมีอะไรเป็นเครื่องยืนยันว่าเขาได้เรียนนักธรรมตรี นักธรรมโท นักธรรมเอกมาแล้ว แต่เขาไม่ได้ประพฤติปฏิบัติ

เราเป็นนักรบ เราอยู่กับสัจจะ เราอยู่กับความจริง แล้วพฤติกรรมของเรา นักธรรมตรี นักธรรมโท นักธรรมเอก เขาวัดเราได้ เขาวัดของเรา แต่ถ้าเราบวชเราเรียนมาแล้ว เราก็มาศึกษา ศึกษานักธรรมตี นักธรรมโท นักธรรมเอก แล้วตรัสผ้าก็ไม่เป็น ทำรังดุมก็ไม่เป็น นักธรรมโทมันเป็นข้อสอบในนักธรรมโท กุสิ อนุวาต เขาตัดอย่างไร เขาเย็บอย่างไร จบนักธรรมโทต้องทำเป็น นี่จบนักธรรมเอกทำอะไรไม่เป็นสักอย่าง มันจบทางวิชาการไง มันจบในสมุดหนังสือไง มันไม่ได้จบด้วยการประพฤติปฏิบัติไง มันไม่ได้จบด้วยความเป็นจริงในหัวใจของเราไง

เราก็เรียน เราก็ศึกษานักธรรมตรี นักธรรมโท นักธรรมเอก มันก็มีตำรับตำรา มันมีตำราให้เรียน เราก็เรียน เราก็อ่าน เราก็รู้ แต่เราไม่ไปสอบเอาใบประกาศกับใคร เราเรียนมาเพื่อศึกษาธรรมวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราเรียนมาแล้วเราก็ทำด้วย เราปฏิบัติด้วย ให้มันเป็นจริงขึ้นมาด้วย ถ้าเป็นจริงขึ้นมามันก็เป็นจริง เห็นไหม

ต่อหน้า! ต่อหน้ากับหัวใจของเราไง ถ้าต่อหน้าหัวใจเราทุกคนปรารถนาดี ต่อหน้ามันเป็นธรรม คำว่าเป็นธรรม ต่อหน้าศึกษาแล้วทุกคนเข้าใจ นักธรรมตรี นักธรรมโท นักธรรมเอก นี่ต่อหน้า นี่เป็นสัจธรรมทั้งนั้นเลย สิ่งที่เป็นสัจธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วจะมีประพฤติปฏิบัติของเรา เราบวชมาแล้วเราก็อยากจะพ้นจากทุกข์ เราก็มีสติปัญญาของเรา เราก็จะปฏิบัติของเรา นี่ต่อหน้า ต่อหน้าทุกคนก็ปรารถนาดีก็หวังดีทั้งนั้น

ลับหลัง! ลับหลังกิเลสมันลูบหัวเล่น กิเลสมันลูบหัวเล่นแล้วล่ะ ทำสิ่งนี้ทำสิ่งใดไปแล้ว ปฏิบัติไปแล้วมันก็ล้มลุกคลุกคลานทั้งนั้น ลับหลังกิเลสมันก็ครอบงำ เราก็ทำอย่างนี้แล้ว อย่างนี้จะดีกว่าอย่างนั้น ลับหลังไง ลับหลังมันทนต่อตัณหาความทะยานอยากไม่ไหว มันทนต่อความเร่าร้อนของใจไม่ไหว ใจมันแผดเผาในใจ นี่ตัณหาความทะยานอยาก แล้วมันทำอย่างนั้นไม่ไหวมันก็หาอุบายแล้ว ดูสิ เวลาทางโลก เวลาทางพระเขา เห็นไหม นู่นก็ดี นี่ก็ดี โฆษณาชวนเชื่อไปทั้งนั้น ถ้าดีแล้วทำไมเอ็งไม่ปฏิบัติ พระนี่ถ้าดีทำไมเอ็งไม่ทำให้ใจเอ็งเป็นคนดีก่อนล่ะ ทำไมเอ็งบอกว่าดีๆๆ เอ็งมาเรี่ยรายทั่วประเทศ เอ็งไปกวนบ้านกวนเมือง มันดีตรงไหน

ถ้าดีมันต้องอยู่โคนไม้สิ ถ้าเอ็งมีความสุขจริง เอ็งจะออกมายุ่งกับโลกเขาทำไม ในเมื่อศีล สมาธิ ปัญญา มันมีอยู่เต็มหัวใจ มันต้องมีความสุขในใจสิ พระที่ดี พระที่เขาปฏิบัติแล้วถ้ามันดีมันก็ร่มเย็นเป็นสุขสิ หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น ท่านอยู่ในป่าในเขา เห็นไหม คนจะไปหาท่านต้องซื้อถนนเข้าไปนะ คนจะไปทำบุญกับครูบาอาจารย์ท่านต้องขวนขวายเข้าไป เขาขวนขวายด้วยเจตนาของเขา ด้วยกลิ่นของศีลกลิ่นของธรรมของครูบาอาจารย์ แล้วมีความเชื่อถือๆ ไม่ใช่การประชาสัมพันธ์ ไม่ใช่การโฆษณา มันเป็นสัจจะ เห็นไหม มันเป็นประชาสัมพันธ์ทางข้อเท็จจริง ปากต่อปากๆ คนเขาเชื่อถือกันๆ เขาขวนขวายกันไปๆ นี่เป็นความจริงนะ

ต่อหน้าคือสัจธรรม ต่อหน้าไง เราศึกษานักธรรมตรี นักธรรมโท นักธรรมเอก นี่เปรียญธรรมประโยค เราศึกษานี่ต่อหน้า ลับหลังทำได้ไหม เวลาจริงๆ แล้วเราทำได้ไหม เวลาจริงๆ จิตมันจะเป็นอย่างนั้นไหม ถ้าศึกษามามันเป็นได้จริง มันเป็นจริงหมดแล้วมันก็ควรจะจบสิ มันควรจะเป็นจริงอย่างที่เราศึกษามา มันควรจะเป็นจริงในธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสิ

ในธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ศีล สมาธิ ปัญญา มรรค ในทางอันเอก มรรคโค จิตมันจะก้าวเดินไป มันสำรอก มันจะคายกิเลสของมันออก เราศึกษาหรือเปล่า เราก็ศึกษา ศึกษามาจบแล้วด้วย แล้วศึกษาก็มาบวชแล้วด้วย บวชมาก็บวชเป็นพระ บวชเป็นพระสงฆ์ยกเข้าหมู่แล้วนี่ แล้วมันเป็นอะไรล่ะ มันเป็นสมมุติสงฆ์ มันเป็นสมมุติ แล้วก็ให้กิเลสตัณหาความทะยานอยากมันครอบงำ เวลาลับหลังๆ กิเลสมันลูบหัวเล่น

ต่อหน้าเราศึกษาธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านะ เราเคารพบูชาทั้งนั้น สิ่งที่เป็นสัจธรรมนี่ เพราะพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเวลากราบองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากราบอะไร เขาถามองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากราบอะไร บอกกราบธรรมๆ กราบธรรมคือกราบความจริง กราบสัจธรรม

สัจธรรมมันเกิดที่ไหน สัจธรรมมันเกิดที่ไหน ในตำราบอกวิธีการทั้งนั้น เวลาสัจธรรมมันเกิดขึ้นมันเกิดขึ้นกลางหัวใจนะ แล้วเวลาสัจธรรมมันเกิดขึ้น ดูสิ เวลาธัมมจักฯ มันเกิดขึ้น เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะแสดงธัมมจักฯ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแสดงธัมมจักฯ เทวดา อินทร์ พรหม ได้ยินส่งข่าวเป็นชั้นๆ จักรได้เคลื่อนแล้วๆ มันเคลื่อนที่ไหน มันได้เคลื่อนที่ในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก่อนใช่ไหม

ศีล สมาธิ ปัญญา ดำริชอบ งานชอบ เพียรชอบ งานชอบธรรม งานทางโลกเป็นงานอันหนึ่ง งานในการภาวนาเป็นงานอันหนึ่ง งานในทำสมาธิเป็นงานอันหนึ่ง งานของวิปัสสนาเป็นงานอันหนึ่ง งานของมรรค เวลามรรคมันรวมตัว มัคคะมันด้วยสติปัญญาให้มรรคมันเคลื่อนที่ไป ด้วยธัมมจักฯ จักรมันเคลื่อนไป เวลามันเข้าไปกลมกลืนสัมปยุตเข้าไป สัมปยุตเข้าไปคือทำลายๆ วิปปยุตคือคลายออกมา คลายตัวออกมาให้เป็นสัจจะเป็นความจริง นี่งานมันเป็นชั้นๆๆๆ เข้าไป

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประกาศธรรมๆ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากราบอะไร ก็กราบธรรม กราบธรรมที่ไหน กราบธรรมเพราะหัวใจได้สัมผัสธรรม กราบธรรมด้วยความมั่นคงของใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า รู้จักว่าธรรมมันอยู่ที่ไหน ธรรมมันเป็นอย่างไรไง เวลาพระอัญญาโกณฑัญญะฟังธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อัญญาโกณฑัญญะรู้แล้วหนอ นี่เห็นไหม ก็เข้าไปสัมผัสธรรมๆ ว่าสัมผัสธรรม แล้วในวัฏสงสาร ใน ๓ โลกธาตุ มันจะมีอะไรมีคุณค่าเข้าไปกับสัจธรรมอันนี้ สิ่งที่เราทำกันอยู่นี่ อะไรมันจะมีคุณค่า มีคุณค่าเท่ากับสัจธรรมอันนี้

เวลาครูบาอาจารย์ท่านกราบท่านถึงกราบด้วยหัวใจไง ท่านกราบด้วยความเป็นจริงไง ของเราศึกษานักธรรมโท นักธรรมเอก เปรียญธรรมประโยคเรียนมาหมดแล้ว เรียนมาทุกอย่าง เรียนมาหมดแล้ว หน้าไหว้หลังหลอก เวลาเรียนขึ้นมาก็จะเอาความรู้ๆ นี่ต่อหน้า ลับหลังไปนี่ไม่รู้สักเรื่อง ให้กิเลสมันขี่หัว กิเลสมันเหยียบย่ำอยู่นี่ เหยียบย่ำหัวใจอยู่นี่ แล้วเหยียบย่ำหัวใจ ใครฝืนทนมันได้

เวลาครูบาอาจารย์ท่านอดนอนผ่อนอาหารก็นี่ไง จะสู้กับมันๆ ถ้าสู้กับมันๆ ก็ไม่แสดงออกมาอย่างนี้หรอก แต่นี้เวลาสู้กับมันเพราะจิตใจอยู่ในอำนาจของสมุทัย มันถึงเหลวไหล เหตุผลของกิเลสไง ก็จำเป็นทั้งนั้น ทุกอย่างก็จำเป็น ทุกอย่างจำเป็นทั้งนั้น ทุกอย่างสมเหตุสมผล สมเหตุสมผลของกิเลสไง มันไม่สมเหตุสมผลของธรรม แล้วเวลามันบังเงา เห็นไหม ดูสิ ดูพระบางองค์ เห็นไหม เขาอยู่ในกุฏิของเขา เขาปล่อยมันชำรุดทรุดโทรมไป เขาว่ามันเป็นสัจธรรม ในเมื่อมันสร้างขึ้นมาแล้วมันต้องชำรุดไปธรรมดา แล้วครูบาอาจารย์เข้าไปตรวจไง ทำไมตรงนี้ไม่ซ่อมล่ะ อ้าว ก็ปล่อยวาง ปล่อยวางแล้ว... นี่มันปล่อยวางแบบควาย ควายมันปล่อยวางแบบนั้น

นี่ไง มันไม่สมเหตุสมผล เวลามันเบื้องหลัง เวลามันจะอ้างมันขี้เกียจ มันขี้เกียจ มันไม่ดูแล มันบอกว่ามันจะภาวนา มันจะภาวนาในหัวใจ ฝนตกน้ำมันไหลน้ำมันนองพื้นเลย ทำไมไม่ดูแลรักษา ก็ปล่อยวางไง ก็ปล่อยวาง ปล่อยวางหมดแล้ว นี่มันไม่สมเหตุสมผล มันไม่มีเหตุมีผล

แต่ถ้ามันคนมีเหตุมีผล เห็นไหม สัตว์ สัตว์ป่านี่ เวลาฝนตกมันหลบในต้นไม้ มันหลบร่มไม้ สัตว์มันยังรู้จักหลบจักหลีกเลย เวลาฝนตก เพราะสัตว์มันอยู่ในป่า มันไม่มีบ้านมีเรือนหรอก มันต้องอาศัยธรรมชาติอย่างนั้น มันก็ยังรู้จักหลบจักหลีก นั่นมันสัตว์นะ เป็นสัตว์ป่าด้วยไม่ใช่สัตว์บ้าน สัตว์บ้านเขายังมาสอนมันแล้วด้วย สัตว์ป่ามันรู้โดยสัญชาตญาณของมัน ไอ้นี้เป็นคน เป็นคนแล้วเห็นภัยในวัฏสงสารมาบวชเป็นพระด้วย บวชเป็นพระมันต้องมีสติปัญญามากกว่าฆราวาสเขา เพราะฆราวาสเขาก็ศึกษาธรรมมาเหมือนกัน ฆราวาสเขาก็จบนักธรรมตรี นักธรรมโท นักธรรมเอกเหมือนกัน ฆราวาสเขาเรียนธรรมวินัยได้ พุทธศาสตร์เขาเรียนจบหมดล่ะ ดอกเตอร์ทางพุทธศาสตร์ นี่ฆราวาสเขาจบเยอะแยะเลย แต่นกแก้วนกขุนทอง มันจะรู้อะไร แต่เราเป็นพระนะ ถ้าเราเป็นพระนี่เราต้องมีสติปัญญามากกว่า พฤติกรรมของเรานี่เขามองทั้งนั้นล่ะ

คนมีหูมีตา ทุกคนมีจิต ทุกคนมีความคิด เราจะปิดบังความคิดใครไม่ได้ แล้วเราจะบริหารความคิดของคนอื่นให้เหมือนเราไม่ได้ เรามีหน้าที่บริหารความรู้สึกนึกคิดของเรา เรามีหน้าที่มีสติมีปัญญาทำความสงบของใจของเราเข้ามา ถ้าใจมันสงบได้มันจะรู้จะเห็นเรื่องอย่างนี้ มันควรหรือไม่ควร ถ้ามันไม่ควรน่ะเพราะใจเขาใจเรา เราไม่ชอบสิ่งใด เขาก็ไม่ชอบสิ่งนั้นทั้งนั้น ทุกคนไม่ชอบความทุกข์ ปรารถนาความสุข แต่ทุกคนทุกข์ทั้งนั้น เพราะมันต้องเผชิญความจริงไง

มันจะหนีไปไหนในเมื่อเราเกิดมามีกายกับใจ กายนี้มันเป็นรวงรังของโรค กายนี้มันต้องการอาหาร ออกซิเจนมันต้องหายใจเข้าตลอดเวลา เครื่องยนต์ถ้ามันติดเครื่องขึ้นมาแล้ว ถ้ามันไม่สะดวกมันก็ไม่สะดวกของมัน มันมีแต่ชราคร่ำคร่า มันจะพังไปข้างหน้าแน่นอน เครื่องยนต์ๆ หนึ่ง

ชีวิตหนึ่งเกิดมาจากท้องแม่ มันก็ชีวิตหนึ่ง เครื่องยนต์เครื่องยนต์หนึ่ง มันต้องบริหารไปจนกว่าเครื่องยนต์นี้มันจะดับเครื่องยนต์นี้มันจะพังทลายไป แล้วมันจะเอาความสุขมาจากไหน มันเป็นความทุกข์ทั้งนั้น มันเป็นสัจจะความจริงทั้งนั้น แต่พวกเราเกิดมาแล้ว วิทยาศาสตร์มันเจริญ คุณภาพชีวิต ทุกอย่างก็ต้องดูแลใช่ไหม บรรเทาทุกข์ๆ เมื่อก่อนเวลาโรคระบาดขึ้นมาตายกันหมด เดี๋ยวนี้มันมียา มีวัคซีน มีการป้องกัน เขาบอกว่าคุณภาพชีวิตๆ นี่มันเป็นการบรรเทาทุกข์ ทางโลกเป็นทางวิทยาศาสตร์น่ะ

เราเกิดมาชีวิตหนึ่งแล้วเราจะดูแลอย่างไร ถ้าดูแลอย่างไรเรามีสติปัญญาขึ้นมาแล้ว ชีวิตหนึ่งก็เท่านี้ ดูสิ เวลาธรรมโอสถ ครูบาอาจารย์เราเจ็บไข้ได้ป่วยขึ้นมา นี่กำหนดพุทโธ ถ้าจิตสงบระงับเข้ามาแล้วนี่เข้าอัปปนาสมาธิ ปล่อยวางหมดเลย โรคภัยไข้เจ็บหายหมดเลย นี่ธรรมโอสถ ไม่ใช่มรรค ไม่ใช่ ธรรมโอสถนี่เจ็บไข้ได้ป่วยขึ้นมานี่ ดูสิ เข้าฌานสมาบัติ เข้าสมาธิ มันระงับเข้าไปนี่ มันสำรอกคาย ปล่อยออกมานี่โรคหายหมดเลย แล้วโรคหายนี่แล้วตายไหม มันก็ตายไปข้างหน้า เห็นไหม มันไม่ใช่มรรค ไม่ใช่มรรคคือดำริชอบ งานชอบ งานของใจ

งานของใจนี่ต้องทำความสงบของใจเข้ามา พอใจสงบเข้ามาแล้วนี่เข้าไปสู่ใจ เข้าไปสู่ใจแล้วนี่เราจะไปบริหารมันอย่างไร เราจะยกขึ้นสู่วิปัสสนาอย่างไร ถ้ามันยกขึ้นสู่วิปัสสนา เห็นไหม ถ้ามีปัญญาอย่างนี้ ปัญญาของโลกๆ ที่เขาบริหารจัดการกันอยู่นี่มันเป็นโลกียปัญญา ปัญญาของโลก ปัญญาทางวิทยาศาสตร์ ปัญญาที่เขาศึกษากันมา เป็นวิชาชีพของเขา ความถนัดนี่ ความถนัดของใครก็แล้วแต่ ถ้าจิตมันสงบแล้วจิตมันยกขึ้นสู่วิปัสสนา เข้าไปสู่อริยสัจเข้าไปถอดถอนความจริง

ใครจะมีความถนัดขนาดไหนก็แล้วแต่ ดูสิ เวลาเราบวช เห็นไหม เรามาแต่ละภูมิภาค เรามาจากทุกภาคของประเทศไทย เรามาบวชกัน บวชแล้วนี่ความเคยชินไง ความเคยชินในรสชาติของอาหารไง ความเคยชินในท้องถิ่นไง แล้วเรามาปฏิบัติ เวลาปฏิบัติแล้วสมาธิก็เป็นสมาธิเหมือนกัน มันต่างกันที่ว่าหยาบละเอียด กว้างหรือแคบ เพราะขณิกสมาธิ อุปจารสมาธิ อัปปนาสมาธิ มันต่างกันด้วยความลึกความกว้างแตกต่างกัน มันก็คงด้วยสมาธินั้นล่ะ แต่ยกขึ้นสู่วิปัสสนา เห็นไหม ถ้าวิปัสสนา ถ้าใช้ปัญญาไป มรรคญาณมันเกิดขึ้น นี่มรรคญาณ เป็นอาสวักขยญาณทำลายอวิชชา มันก็เป็นอันเดียวกันทั้งนั้น แต่มันมีความแตกต่างกับจริตนิสัย แตกต่างโดยความเห็น สิ่งนี้โลกียปัญญาไง แล้วถ้าเป็นภาวนามยปัญญามันจะเข้ามาที่นี่ ถ้าเข้ามาที่นี่มันไปทำอะไรล่ะ

เราเป็นพระมา เราละเอียดกว่า เรารอบคอบกว่าฆราวาสเขา ฆราวาสของเขา ชีวิตเขา เขาก็พยายามใช้ปัญญาของเขา เพราะเขาเห็นภัยในวัฏสงสารเหมือนกัน เขาอยากจะพ้นจากทุกข์ นี่แต่เราเป็นพระ เราเป็นนักรบ บริษัท ๔ เป็นหัวหน้า เป็นผู้นำ ภิกษุ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกภิกษุทั้งหลายๆ ไม่ได้บอกฆราวาสทั้งหลายเลย ฆราวาสทั้งหลายมันมาทีหลัง แต่เวลาพระพุทธเจ้าสอนๆ ภิกษุนี่ก่อน ภิกษุทั้งหลายๆ ถ้าภิกษุไปไม่รอดแล้วใครจะไปรอด

ในเมื่อเราเป็นนักรบ เราจะรบกับกิเลส เราเป็นภิกษุ เราเป็นผู้นำ แล้วผู้นำเหตุผลมันสู้โลกเขาไม่ได้ ผู้นำเหตุผลของโลกเราต้องสู้ได้ เว้นไว้แต่คนพาล คนพาลมันจะจับผิดหายใจมันก็ว่าผิด พระพูดเสียงดังมันบอกนี่โทสะ ถ้าคนมันพาลมันไม่มีเหตุมีผล ถ้าคนมีสติปัญญา มันจะรุนแรงขนาดไหน มันมีเนื้อธรรมหรือเปล่า มันมีความจริงอยู่ในนั้นไหม ที่ฟังธรรมๆ นี่ฟังธรรมเพื่อให้กิเลสมันขย้อนกิเลสมันคายออก มันมีเหตุมีผล ฟังได้ไหม เอาอารมณ์รุนแรงมากระทบกันใช่ไหม แล้วเอามาลูบๆ คลำๆ ใช่ไหม ขออนุญาตกิเลสใช่ไหม เจริญพร จะเทศนาว่าการแล้วนะ กิเลสหลบไปก่อน กิเลสหลบไปข้างทาง เดี๋ยวพูดธรรมะไปธรรมะมันจะราบรื่น พอพูดจบแล้วกิเลสมันก็กลับมาลูบหัวเล่นอีกไง

นี่มันก็เจ้าเล่ห์เจ้ากลอยู่อย่างนั้น พูดจานุ่มนวลอ่อนหวานไง ขออนุญาตกิเลสก่อนไง ให้กิเลสหลบตัวไปก่อน ให้กิเลสมันหลบซ่อนก่อน แล้วนี่ก็แสดงธรรมะด้วยความนุ่มนวลไง พอแสดงจบแล้วกิเลสมันตลบหลัง มันลูบหัวเล่น มันตบหัวเล่นอีกทีหนึ่ง แต่ถ้าพูดจริงมันบอกว่ากิเลส มันบอกว่ารุนแรง รุนแรงเพราะอะไร รุนแรงเพราะกิเลสมันดื้อดึง เพราะกิเลสมันหน้าด้าน ถ้ากิเลสมันไม่หน้าด้านทำไมจะต้องไปรุนแรงกับมัน ในเมื่อมันไม่มีเหตุไม่มีผล ไม่มีการกระทำ ทำไมต้องไปรุนแรงกับมัน แต่ถ้ามันดื้อด้าน มันทำลาย แล้วมันจะชำระล้างมัน มันทำไมจะทำมันไม่ได้ มันทำได้ทั้งนั้น

ถ้าเราทำสิ่งนั้นให้มันเป็นคุณงามความดีขึ้นมา มันจะลงแรงขนาดไหนมันก็สมเหตุสมผลของมัน กิเลสมันแรงก็ต้องแรงตามมันไป ถ้ากิเลสมันนุ่มนวลๆ ก็ต้องนุ่มนวลกัน มันเป็นขั้นตอนของมันในการชำระล้าง กิเลสมันแรงก็ต้องแรงกับมัน แต่นี่พออะไรก็ไม่ได้ๆ ให้กิเลสมันขี่หัวเอา

ต่อหน้าคือการเผชิญกันต่อหน้า ต่อหน้าและลับหลัง ถ้ามันมีสัตย์มันมีต่อหน้าและลับหลัง ในทางโลก ในการต่อหน้าและลับหลังคือสังคมไง แต่ในสัจธรรม ต่อหน้าคือความคิด ความคิดที่เป็นธรรม ความคิดที่หวังดีนั้นต่อหน้า ทุกคนคิดดี ปรารถนาดี อยากทำดีนี่ต่อหน้า แต่ลับหลังล่ะ ลับหลังความคิดนั้นมันทรงตัวไว้ไม่ได้ มันให้กิเลสมันตบหัวเล่น พอลับหลังแล้วต่อหน้าก็อยากทำดี อ้างว่าดีทั้งนั้น ทุกคนอ้างว่าเป็นคนดี ทุกคนอ้างว่าทำดีทั้งนั้นเลย ไม่มีใครทำชั่วสักคน อ้างทั้งนั้น แล้วลับหลังมันทำมาแล้วมันดีหรือเปล่าล่ะ มันดูตรงนี้หรือเปล่าคือผล ผลที่ทำมามันสมเหตุสมผลไหม ถ้าไม่สมเหตุสมผล ใครจะค้าน

หลวงตาท่านสอนประจำนะ ให้ตรวจดูแลหัวใจของเรา ถ้าเราดูแลใจของเรา เราจับผิดใจของเราไม่ได้ ใครมันจะมาค้าน ใครมันจะจับผิด ดูแลหัวใจของเรา ถ้าหัวใจของเรา เราเก็บกวาดบ้านเรา มันสะอาดรอบคอบหมดล่ะ ใครมันจะติฉินนินทา นั่นล่ะโมฆบุรุษ ตายเพราะลาภ ตายเพราะเหยื่อ นี่โมฆบุรุษ แต่ถ้าหัวใจเรานี่เขาชี้ได้หมด นี่ไง เขาชี้ได้หมด ขาดตกบกพร่องทั้งนั้นเลย แล้วจะโทษใคร

ในเมื่อเรามีสติเรามีปัญญา เราดูแลหัวใจของเรา ถ้าเราทำความสะอาด เรากวาดบ้านเรา เราทำอะไรของเราเรียบร้อยแล้ว ใครมาหาความผิดเราไม่ได้ ถ้าตัวเองหาความบกพร่องของตัวเองไม่ได้ ใครก็หาความบกพร่องของเราไม่ได้ แต่ถ้าเขาพูดออกมานั้นคือโลกธรรม ๘ มนุษย์เป็นสัตว์ประหลาด คิดอย่างหนึ่ง พูดอย่างหนึ่ง ทำอย่างหนึ่ง มันหาความผิดไม่ได้ มันก็นินทา นินทากาเล

คนโง่มากหรือคนฉลาดมาก ในโลกนี้มีคนโง่มากหรือคนฉลาดมาก ขนโค เขาโค โคตัวหนึ่งมีเขาอยู่ ๒ เขา ขนเต็มตัว คนโง่เต็มโลกธาตุ ทำไมต้องไปตอแยกับมัน ทำไมต้องไปตอแยกับคนโง่ ทำไมไม่ตอแยกับคนฉลาด นี่ไง ดูสิ คนโง่เขาอยู่เต็มโลก เขาบวชเป็นพระมีเท่าไหร่ เขาบอกพระตอนนี้ในเมืองไทยมีสี่ห้าแสน แล้วคนมีอยู่หกพันกว่าล้าน แล้วพระในสี่ห้าแสนนี่ใครจริงจังบ้าง ใครปฏิบัติแล้วได้ผลบ้าง มันเหลือกี่คน นี่คนฉลาด คนจริง คนจริงทำความจริง เอาความจริงกับใจเรามา สิ่งใดเป็นโลกแค่อาศัยมัน อย่าให้สังคมเขาขาดตกบกพร่อง แล้วเขาชี้ได้ เราเป็นนักรบ เราจะต้องป้องกันตัว เราต้องมีสติปัญญาดูแลใจของเรา เราดูใจของเรา ใครมันจะเห็นความบกพร่องของเราให้มันชี้มา ถ้าเป็นความจริงให้มันชี้มา

แต่นี่มันไม่ใช่ มันไม่ใช่เพราะมันมีต่อหน้าและลับหลัง แต่ถ้าเป็นธรรมแล้วมันไม่มีต่อหน้าและลับหลัง มันเป็นความจริงตลอด ความจริงทั้งข้างหน้าและความจริงทั้งข้างหลัง เราต้องการความจริง เราหาความจริง เราเอาประโยชน์กับเรา ชีวิตเรา เห็นไหม เขามีความสุขกันทางโลก เรามองแล้วเขาว่าชีวิตมีความสุข เราก็อยากจะเป็นอย่างเขา ไม่ใช่ ไม่ได้

เราเป็นพระ เราเสียสละอันนั้นมา เขาก็มองว่าพระนี้มีความสุขมาก เขาอยากจะสละมา เขาไม่มีโอกาสสละมา เขาทำใจของเขาไม่ได้ เราสละมาแล้ว แล้วทำไมเราจะต้องไปกินขี้อีกล่ะ เราสละมาแล้วเราไม่ควรไปทำอย่างนั้น เราสละมาแล้วต้องเป็นพรหมจรรย์ เราสละมาแล้วต้องมีเป้าหมาย เราทำคุณงามความดีของเราเพื่อประโยชน์กับเรา เอวัง