เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๑๑ ส.ค. ๒๕๕๗

 

เทศน์เช้า วันที่ ๑๑ สิงหาคม ๒๕๕๗
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

อ้าว! เราตั้งใจฟังธรรมะเนาะ เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าฝากศาสนาไว้กับบริษัท ๔ ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา เพราะบริษัท ๔ เป็นมนุษย์ เป็นมนุษย์นะ เป็นผู้เร่าร้อน เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมา เวลาเทศนาว่าการจนได้พระอรหันต์ ๖๐ องค์ “เธอจงอย่าไปซ้อนทางกัน โลกเขาเร่าร้อนนัก โลกเขาเร่าร้อนนัก”

เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเวลาแสวงหาอยู่ ทุกข์ในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นอย่างไร ทุกข์ของสังคม ทุกข์ของสัตว์โลกก็เป็นแบบนั้น เวลาท่านพ้นจากทุกข์ขึ้นมาแล้ว “โลกนี้เขาเร่าร้อนนัก” มันประกันเลย มันสัจจะเลยว่าโลกนี้เร่าร้อนนัก เห็นไหม “ในสโมสรสันนิบาตทุกดวงใจว้าเหว่”

ฉะนั้น เราเกิดมาเป็นบริษัท ๔ ทุกข์ทั้งนั้นแหละ ทุกข์เป็นสัจจะ ทุกข์เป็นความจริง จะยากจนเข็ญใจ จะร่ำรวยมหาศาลขนาดไหน มันทุกข์ไปคนละอย่าง เวลาคนจนคนทุกข์มันก็ทุกข์ไปอย่างหนึ่ง ทุกข์เพราะเราต้องแสวงหาปัจจัยเครื่องอาศัย คนที่เขาร่ำรวยมหาศาลนะ เขาก็ทุกข์ด้วยความว่าจะรักษามันอย่างไร ทุกข์ว่าใครจะมารับผิดชอบสมบัติของเราต่อไป มันทุกข์ไปหมดเลย นี่ปั้นทายาทมาเลย บอกว่าต้องรักษาให้ดีไปเลย แล้วก็ไปทะเลาะกัน ๒ คน กว่าจะโตขึ้นมา นี่ไง มันทุกข์ทั้งนั้นแหละ นี่ทุกข์เป็นสัจจะ ทุกข์เป็นความจริง แล้วทุกข์เป็นสัจจะ ทุกข์เป็นความจริง เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงเมตตา

เพราะความทุกข์อันนี้เราจะผ่อนคลายกัน เรามาทำบุญกุศล เรามาเพื่อหลักใจของเรา เรามาทำเพื่อบุญกุศล คำว่า “บุญกุศล” คือสร้างอำนาจวาสนาบารมี คำว่า “สร้างอำนาจบารมี” คนดี กลิ่นของศีลหอมทวนลม กลิ่นของคุณงามความดี เราทำคุณงามความดีกัน เราทำสิ่งใดมันก็มีที่พึ่งพาอาศัย เห็นไหม หลวงตาบอกว่า ทำคุณงามความดี เวลาตกทุกข์ได้ยากจะมีคนช่วยเหลือเจือจาน เพราะคุณงามความดีของเราไง

แต่ถ้าเราเอาแต่ใจของเรา เราทำสิ่งใดเราเอาแต่ใจของเรา เวลาตกทุกข์ได้ยาก คนเขาสมน้ำหน้า เขาไม่ช่วย เขาสมน้ำหน้า แต่ถ้าเราเป็นคนดี เราทำคุณงามความดีของเรา เราทำเพื่อบุญกุศลของเรา อันนั้นเป็นกระแสสังคมนะ

แต่ถ้าเป็นความจริงของเราล่ะ ถ้าความจริงของเรานะ ถ้าเรารักษาใจของเราได้ เราประหยัดมัธยัสถ์ เขาก็บอกว่าเราเป็นคนขาดแคลน เราประหยัดมัธยัสถ์ ไอ้คนมันฟุ่มเฟือยมันก็บอกว่าถ้ามีความสุขคือต้องใช้จ่ายตามแต่กิเลสมันพอใจ ถ้าประหยัดมัธยัสถ์ คนคนนี้ทุกข์ยาก แต่ไอ้คนที่มีคุณธรรมในหัวใจมันประหยัดมัธยัสถ์ ประหยัดเพื่ออะไร? ประหยัดเพื่อนิสัย ประหยัดเพื่อหัวใจ ให้หัวใจมันเข้มแข็ง ให้หัวใจมันเห็นคุณค่า

ถ้าใจมันมีคุณค่า สมบัติทุกอย่างมันก็มีคุณค่า แต่ถ้าใจมันไม่มีคุณค่า สมบัติใช้สอยมันก็จะใช้สอยด้วยความฟุ่มเฟือย มันใช้สอยด้วยไม่สมประโยชน์ เห็นไหม นี่มันมีค่าอยู่ที่ใจ ถ้าใจมันดีขึ้นมา เราประหยัดมัธยัสถ์เพื่อฝึกฝนใจของเรา ถ้าประหยัดมัธยัสถ์ขึ้นมา เราจะช่วยเหลือหัวใจของเราให้เป็นอิสระ ปลดปล่อยหัวใจของเราไม่ให้มันอยู่ในอำนาจของกิเลส การจะปลดปล่อยหัวใจของเรา ที่เรามาทุกข์ทรมานกันอยู่นี่ เราทรมานใครน่ะ? เราทรมานกิเลสของเรานะ กิเลสของเรามันอยากสะดวกอยากสบาย อยากอยู่ตามความพอใจของมัน เห็นไหม

เราก็มีศีล มีรั้วกั้นมัน เรามีรั้วกั้นมัน เราทำคุณงามความดีทั้งนั้นเลยแหละ แต่กิเลสมันดิ้น แล้วโลกนี้โลกเป็นใหญ่ๆ โลกเป็นใหญ่มันก็เรื่องกิเลสใช่ไหม ความเห็นของโลกเขา เขาบอกว่า “มันจะมีความสุขได้อย่างไรล่ะ ฉันข้าวมื้อเดียวมันจะมีความสุขได้อย่างไรล่ะ มันไม่มีความสุขหรอก สู้เราไม่ได้ ๒๐ มื้อวันหนึ่ง แหม! อย่างนี้มีความสุข” มันคิดไปนู่น นี่เรื่องของกิเลสนะ พอกินเสร็จมันก็ไปฟิตเนสนะ มันไปลดความอ้วน เห็นไหม มึงกินไปทำไม มึงกินไปทำไม มีความสุข ความสุขจริงหรือ

ความสุข แต่พอฉันมื้อเดียวมันจะมีความสุขได้อย่างไร

ฉันมื้อเดียว เห็นไหม องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนไว้ ฉันด้วยความเห็นภัย เหมือนกับล้อเกวียน หยอดน้ำมันพอให้มันหมุนไปเท่านั้นแหละ เราเป็นสมณะ ถือพรหมจรรย์ ดำรงชีวิตไว้เพื่อประพฤติปฏิบัติเท่านั้น โลกเขากินเพื่อกาม โลกเขากินเพื่อเกียรติ โลกเขากินเพื่อศักดิ์ศรี สมณะเราฉันเพื่อดำรงชีวิตเท่านั้น มื้อเดียวก็มากเกินไป

เวลาคนภาวนานะ พระเราภาวนา อดอาหาร นี่ก็อดอาหารอยู่ มาไม่ครบหรอก เขาอดอาหารทำไมล่ะ? เขาผ่อนเพื่อให้ธาตุขันธ์มันเบา เราตั้งใจให้จิตใจปลอดโปร่ง การทำงานของเราจิตใจมันปลอดโปร่ง ทำสิ่งใดมันก็สะดวกสบายใช่ไหม จิตใจของเรามีแต่ความเครียด มีแต่ความหมักหมม ไปทำอะไรมันก็สัปหงกโงกง่วง เขาเห็นประโยชน์ในคุณธรรม เขาไม่ใช่เห็นประโยชน์จากอาหาร

ดูสิ เขาเลี้ยงหมู เช้าขึ้นมามันกินอย่างเดียว กินไปทำไม? กินให้เขาเชือดไง เนื้อหนังมังสามันเป็นอาหารไง เราไม่ใช่หมู เรากินด้วยปัญญา เรามีสติมีปัญญา เรากินเพื่อดำรงชีวิต ดำรงชีวิต “คุณภาพชีวิตๆ”...ไอ้นั่นมันเหยื่อ นี่คุณภาพชีวิต คุณภาพชีวิตก็เป็นคุณภาพชีวิตของเขา

คุณภาพชีวิตของเรานะ รั้วกินได้ กระถิน ยอดกระถิน ผักริมรั้ว นั่นล่ะคุณภาพชีวิต มันให้แต่ประโยชน์ มันไม่ให้โทษเลย เราจะเอาคุณภาพชีวิตๆ กินเข้าไปแล้วก็ไปหาหมอ เวลาคุณภาพชีวิต

นี่มันเป็นกระแสสังคม กระแสโลก เราไม่เป็นเหยื่อ เรามีสติปัญญาของเรา เวลาเขาไปสัมภาษณ์คนอายุร้อยกว่าปี ทำอย่างไรล่ะ? กินน้ำพริก ผักน้ำพริก อายุร้อยกว่าปี ไอ้เรานี่กินอย่างดีเลย ไปถามเขาว่าทำไมอายุยืนล่ะ ไอ้เรา ๖๐ ปีตายแล้ว เส้นเลือดสมองแตก คุณภาพชีวิต

ถ้าเรามีสติมีปัญญา เราไม่เป็นเหยื่อไง ถ้าเรามีสติมีปัญญา เรากินเพื่ออะไร? เรากินเพื่อดำรงชีวิตไว้ ชีวิตนี้มีค่ามาก มีค่าจริงๆ นะ ผู้ที่ไปบวชเพราะเห็นคุณค่าของใจ ถ้าเห็นคุณค่า ความรู้สึกนึกคิด หัวใจ น้ำใจมีค่ามากเลยล่ะ เพราะน้ำใจมีค่า เพราะมันมีค่ามันถึงเสียสละ มันถึงเจือจานกัน พอเจือจานกัน สังคมก็ไม่ได้แย่งชิงกันจนเกินไป ถ้าสังคมไม่แย่งชิงจนเกินไป สังคมก็ร่มเย็นเป็นสุข

ถ้าจิตใจของเรา เห็นไหม หน้าเนื้อใจเสือ เวลาหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส แต่ใจมันเชือดคอ มันจะเอาเขาทั้งนั้นแหละ ถ้ามันทำอย่างนั้นนะ ขนาดมันหน้าเนื้อใจเสือมันจะเชือดคอคนอื่น แล้วมันจะเชือดตัวมันเองไหมล่ะ มันเชือดตัวมันเองเพราะอะไรล่ะ เพราะสิ่งที่กว้านมาเป็นประโยชน์กับเรา ฟืนไฟทั้งนั้นแหละ นี่มันเป็นฟืนเป็นไฟ เพราะมันได้มาด้วยความไม่สุจริต

แต่ถ้ามันเป็นความสุจริตนะ คนเราสร้างบุญกุศลมา คำว่า “คนสร้างบุญกุศล” นี่บุญ เวลาบุญ มันทำอะไรมันจะประสบความสำเร็จไปหมดเลย จังหวะและโอกาสจะเป็นของเขา เขาจับต้องสิ่งใดถูกเวลา ถูกจังหวะ อู๋ย! คนนี้ทำอะไรมันประสบความสำเร็จ บุญของเขา ไอ้เราเห็นเขาทำนะ อยากทำตามเขาบ้าง เห็นเขาทำอะไรดีก็แห่ตามกันไป ตลาดมันวายแล้วค่อยไปทำ แต่ไอ้คนที่มันทำ นี่บุญของเขา เขาทำของเขา จังหวะโอกาสของเขา นั่นคือบุญกุศลของเขา เขาทำของเขามา เราทำของเรามาแบบนี้ เราก็มีสติปัญญาของเรา เราไม่น้อยเนื้อต่ำใจ

คำว่า “น้อยเนื้อต่ำใจ” นั่นล่ะมันฟืนมันไฟ มันน้อยเนื้อต่ำใจมันก็เตะตัดขาตัวเองไง มันทำให้ตัวเองไม่มีกำลังใจ ทำให้เราจะเป็นเหยื่อนะ เพราะอะไร เพราะเราน้อยเนื้อต่ำใจ เราก็แสวงหา คนเสนอสิ่งใดมาโดยไม่ใช้สติปัญญา เราก็จับต้อง พอจับต้องมันก็เป็นเหยื่อ

แต่ถ้าคนเรามีสติปัญญา เราไม่น้อยเนื้อต่ำใจ สิ่งใดที่ได้มาโดยเปล่าไม่มี มันต้องมีเหตุมีผลทั้งนั้นแหละ เราใช้สติปัญญาของเรา เราจะรักษาหัวใจของเรา รักษาชีวิตของเราไม่ให้ไปเอาฟืนเอาไฟ เอาฟืนเอาไฟนะ ใจเรามันก็เป็นฟืนไฟเผาตัวเองอยู่แล้ว ไปจับต้องสิ่งใดขึ้นมามันก็โดนหลอกลวงขึ้นมา มันก็เป็นโทษเป็นภัย ๒ ชั้น ๓ ชั้นขึ้นไป

คนมีบุญเขาจับต้องสิ่งใดเขาประสบความสำเร็จ เขาทำสิ่งใดประสบความสำเร็จ นั่นเป็นบุญของเขา เขาทำของเขามา เราก็พยายามทำของเรามา ทำของเรามา ไอ้นี่มันเป็นเรื่องผลของวัฏฏะ ผลของวัฏฏะคือสถานะการเกิดไง “กรรมจำแนกสัตว์ให้เกิดแตกต่างกัน” กรรมจำแนกสัตว์ จำแนกสัตว์ ทำบุญ ทำความดีอย่างไร ทำความชั่วอย่างไร จำแนกสัตว์เป็นชั้นเป็นตอน เป็นชั้นเป็นตอนขึ้นไป อันนี้เป็นผลของวัฏฏะ

แต่เราจะเอาใจของเราให้เป็นอิสระ ทุกคนมีสิทธิ์หมด ทุกคนมีสิทธิ์เพราะอะไร ทุกคนมีสิทธิ์ เห็นไหม เวลาหัวใจมันทุกข์มันยาก มันทุกข์มันยากมาจากไหน ในสมัยพุทธกาลนะ พระสีวลีเป็นผู้ที่มีลาภมาก เป็นพระอรหันต์ที่มีลาภมากรองจากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มีทุคตะเข็ญใจสำเร็จเป็นพระอรหันต์ ฉันข้าวไม่เคยอิ่มเลย เป็นพระอรหันต์เหมือนกัน เห็นไหม คนทุกข์คนจนก็เป็นพระอรหันต์ได้

คนมั่งมีศรีสุข เวลาเป็นพระอรหันต์ขึ้นมาแล้ว ลาภสักการะอันดับหนึ่งเลย พระสีวลี ทำอย่างไรคนก็อยากมาทำบุญกับพระสีวลี ใครก็อยากมาทำบุญกับพระสีวลี เพราะอะไร เพราะท่านทำของท่านมา ทุคตะเข็ญใจเขาก็เป็นพระอรหันต์เหมือนกัน แต่มันทุกข์มันยากมา ทุกข์ยากมา

สิ่งที่มันจะเป็นมันเป็นเพราะเรานั่งสมาธิ ทุกคนมีหัวใจไหม ทุกคนมีความรู้สึกไหม ความรู้สึกอันนี้มันโดนกิเลสตัณหาความทะยานอยากครอบงำมันอยู่ ในธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่า “เราจะทำบุญกุศลมากน้อยขนาดไหน แต่เวลาจะสำเร็จก็ต้องสำเร็จด้วยการภาวนา”

สามเณร ๗ ขวบในสมัยพุทธกาลเป็นพระอรหันต์ขึ้นมา คำว่า “สามเณร ๗ ขวบเป็นพระอรหันต์ขึ้นมา” เขาต้องมีมรรคญาณ เขาต้องมีอริยสัจ เขาต้องมีสัจจะความจริง ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค มรรคคือดำริชอบ งานชอบ เพียรชอบ

คิดดูสิ สามเณร ๗ ขวบเขาภาวนาถูกต้องของเขาได้อย่างไร เขารักษาหัวใจของเขาอย่างไร เขาทำสมาธิของเขา แล้วสมาธิของเขา เขามีปัญญาของเขา เขาถึงเกิดมรรค มันต้องมีเหตุ มันจะเป็นพระอรหันต์มันต้องมีเหตุ ไม่ใช่เป็นพระอรหันต์เพราะเขาตั้งให้ ไม่ใช่เป็นพระอรหันต์เพราะนอนหลับไป ตื่นขึ้นมาเป็นพระอรหันต์ มันไม่มีหรอก เป็นพระอรหันต์มันต้องมีเหตุมีผลของมัน แล้วเหตุผลของมัน คนที่เป็นพระอรหันต์เขาต้องเป็นปัจจัตตัง เป็นสันทิฏฐิโก ต้องรู้จำเพาะตน รู้ขึ้นมาที่กลางหัวใจเลย เห็นไหม เพราะเราลังเลสงสัย เราไม่แน่ใจของเรา มันก็เหมือนขวดน้ำที่พร่อง ขวดน้ำที่มีอากาศ เขย่าเสียงดังมากเลย ขวดน้ำที่เต็ม เขย่าอย่างไรมันก็ไม่มีเสียงดัง

นี่ก็เหมือนกัน มันต้องเป็นที่หัวใจของเรา หัวใจเราปฏิบัติขึ้นมา เราจะมาปลดปล่อยใจของเราไง ถ้าเราปลดปล่อยใจของเรา ใจของเรามีค่าแล้วนะ สรรพสิ่งในรอบตัวเรามันดีงามไปหมดเลยล่ะ นู่นก็ดี นี่ก็ดีนะ เพราะจิตใจมันดีไง ถ้าจิตใจมันมีความทุกข์ มารมันครอบงำนะ ของจะดีขนาดไหน ของเราไปซื้อมาราคาแพงๆ ทั้งนั้นแหละ เวลาใช้ไปๆ มันเบื่อ ให้คนอื่นแล้ว แล้วไปซื้อใหม่ เลวกว่าเก่า อันนี้ดี ดีเพราะอะไร เพราะเพิ่งได้ของใหม่ไง แต่เลวกว่าเก่า เพราะคุณภาพมันด้อยกว่า

ของดีๆ นี่แหละแต่อยู่กับเรา จิตใจมันคุ้นเคยแล้วมันเบื่อหน่ายของมัน มันเป็นเพราะเรื่องใจทั้งนั้นแหละ แต่ถ้าใจมันทำใจของเราดีแล้ว ของรอบข้าง ใบไม้มันเอามาจักรสาน มาเป็นของมหัศจรรย์เลยล่ะ ใบไม้จักรสานขึ้นมา ทำขึ้นมา ใครมาเห็นก็ โอ้โฮ! ทำไมมันสุดยอด มันมาจากไหนล่ะ มันมาจากไหน? มาจากคุณธรรมทั้งนั้นแหละ มาจากหัวใจที่มันคิดของมัน เห็นไหม

ฉะนั้น เราจะปลดปล่อยใจของเรา เราถึงว่าต้องวางไว้ สถานะทางสังคม สถานะผลของวัฏฏะที่ทำมา เราเกิดมามีค่าเท่ากัน อาการ ๓๒ เหมือนกัน เราก็มีหู ตา ลิ้น จมูก กาย ใจเหมือนกัน มีเหมือนกัน ไม่ต่างกันหรอก มันต่างกันที่คุณภาพหัวใจ ถ้าเราต่างกันที่เราจะเข้มแข็ง ไม่เข้มแข็ง เราต่างกัน เห็นไหม

ดูสิ ทำไมเขาเดินจงกรมได้ ทำไมเขานั่งสมาธิได้ ทำไมเรานั่งไม่ได้ เออ! มันต่างกัน ต่างกันตรงนี้ ต่างกันตรงความเพียร ความวิริยะ ความอุตสาหะ แล้วถ้าความเพียร ความเพียรชอบ ความเพียรไม่ชอบ เราพยายามของเรา หลังขดหลังแข็งแล้วมันก็ไม่ประสบความสำเร็จสักที

แต่ถ้าความเพียรชอบ ชอบตรงไหน ชอบตรงที่ว่าจิตใจสมดุล เห็นไหม พุทโธๆๆ จนมันพอใจของมัน จิตมันสงบได้ นี่พุทโธๆ มันดิ้น พุทโธ จะมาพุทโธทำไม เขาไปเที่ยวเล่นกันสนุกสนานแล้วจะมาพุทโธอยู่ทำไม

นี่เขาเที่ยวเล่น เขาเหนื่อยล้า สุขภาพเขาเสียหายไป เขาทุกข์ทั้งนั้นแหละ แต่เรามองว่าเขาสุข ไอ้เรานั่งพุทโธๆ เรานั่งโดยปกติ สุขภาพกายของเราแข็งแรงเพราะเราไม่ได้ออกใช้พลังงาน เขามองว่า “โอ๋ย! คนนี้ดีเนาะ เขามีความสุข เขานั่งนิ่งๆ ได้เนาะ ไอ้เราสิ โอ๋ย! มันนั่งไม่ได้ ดิ้นรนอยู่นี่”

ความคิด เห็นไหม ใครอยู่ตรงไหนมันไม่เป็นปัจจุบัน ถ้าเราเอาเป็นปัจจุบันของเรา เอาสติ เอาสมาธิของเราไว้ได้นะ จะมีคุณค่าขึ้นมา เราจะปลดปล่อยใจของเรา ถ้าใจของเรามีสติปัญญา มันวิปัสสนาขึ้นมา มันจะปลดปล่อยตัวมันเอง ปลดปล่อยตัวมันเองนะ ปลดปล่อยเป็นชั้นเป็นตอน ปลดปล่อยเป็นโสดาบัน ปลดปล่อยเป็นสกิทาคามี ปล่อยเป็นพระอนาคามี แล้วมันจะทำลายภวาสวะ ทำลายตัวมันเอง ทำลายภวาสวะ ทำลายฐานที่ตั้ง ทำลายภพชาติทั้งหมด มารหาไม่เจอ เวลาทำเสร็จแล้วนะ มารค้นคว้า ฝุ่นตลบหาใจดวงนี้ หาที่อยู่ของมัน หาไม่เจอ

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกเลย “มารเอย เธอไม่ต้องค้นหา ลูกศิษย์ของเรา เขาทำลายภพ ทำลายชาติ ทำลายสถานที่ที่เอ็งจะหาได้ พิกัดของมันทำลายหมดแล้ว เอ็งจะหาเจอได้อย่างไร หาไม่เจอหรอก เอ็งไม่ต้องหา”

มารคอตกเลย เห็นไหม

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าฝากศาสนาไว้กับเรา ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา

เราโดยมารยาทสังคม “สบายดีไหม” เราก็บอกสบายดี เราสบายดี มารยาทสังคมเราก็ต้องมีมารยาทสังคม แต่ใจของเราที่มันดิ้นอยู่กลางหัวอก เราต้องมีคุณธรรม เอาคุณธรรม เอาสติปัญญาหล่อเลี้ยง เห็นไหม ใจต้องการธรรมเป็นอาหาร ร่างกายต้องกินอาหารเป็นคำข้าว อาหารเป็นคำข้าวเพื่อหล่อเลี้ยงร่างกายของเราให้ร่างกายของเราดำรงชีวิตไปได้

แต่ดำรงชีวิตไปได้ เวลาคนละขันธ์ไปแล้ว ใจออกจากร่างนี้ไป มันยังต้องไปเวียนว่ายตายเกิดตามอำนาจของกรรม กรรมจำแนกสัตว์ให้เกิดต่างๆ กันนี้ ธรรมอันนี้ให้หัวใจดวงนี้ได้ดื่มกินในปัจจุบันนี้

ทำสิ่งใด ถ้าเป็นสมาธิธรรม ถ้าเป็นปัญญาธรรม เห็นไหม “ผู้ใดเห็นธรรมผู้นั้นเห็นตถาคต” มันมีความสุขในปัจจุบันนี้นะ ถ้าเราทำบุญกุศลของเรา สร้างบุญกุศลของเราเป็นเสบียงกรังต่อไปที่เวียนว่ายตายเกิด ถ้ายังไม่สิ้นสุดแห่งทุกข์ ก็ขอให้เกิดด้วยมีปัจจัยเครื่องอาศัยให้พออาศัย อย่าให้มันทุกข์ยากจนเหมือนปัจจุบันนี้ปากกัดตีนถีบ ทุกข์มากๆ ทุกข์มากเพราะอะไร ทุกข์มากเพราะเราสะสมมาอย่างนี้ เราทำมาอย่างนี้ กรรมคือการกระทำ สิ่งที่เป็นปัจจุบันนี้คือเราทำมาทั้งนั้น เราเป็นคนทำมาเอง แล้วจะไปตีโพยตีพายเอากับใคร

แต่ในปัจจุบันนี้เกิดมาเป็นมนุษย์พบพระพุทธศาสนา ได้ฟังธรรมๆ เตือนสติเรา ทำแต่สิ่งที่ดี ทำแต่สิ่งที่เป็นประโยชน์กับหัวใจของเรา จะได้มากได้น้อย จะภาวนาไม่ได้ก็ทำบุญกุศลของเรา สะสมของเราไป สะสมด้วยเจตนาของเรา เจตนา ปฏิคาหก เราได้ความสะอาดบริสุทธิ์ ทำแล้วเราก็พอใจของเรา ถ้ามันมีสติปัญญามากขึ้น เราก็นั่งสมาธิของเรา เพราะเราจะเอาอริยทรัพย์แล้ว เอาอัตตสมบัติแล้ว เอาสมบัติจริงๆ ของเราแล้ว นี่กุปปธรรม-อกุปปธรรม กุปปธรรม สพฺเพ ธมฺมา อนตฺตา อกุปปธรรม สถานะเป็นอัตตสมบัติ เป็นสมบัติแท้ของเรา เราจะขวนขวายได้ไหม

เวลาทางโลกเราอยากได้ทรัพย์สมบัติที่มีคุณค่ามาก แต่เวลาบุญกุศล ปฏิบัติบูชาได้คุณค่ามาก ศีล สมาธิ ปัญญา มันจะเป็นมรรคญาณเข้าไปชำระล้าง เข้าไปปลดปล่อยหัวใจของเรา ให้หัวใจของเราเป็นอิสระ เอวัง