ถาม-ตอบปัญหาธรรมะ

หวังดี

๑๒ ส.ค. ๒๕๕๗

หวังดี

พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

 

ถาม-ตอบ ปัญหาธรรม วันที่ ๑๒ สิงหาคม ๒๕๕๗

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) .หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

 

ถาม : เรื่องการปฏิบัติของฆราวาส

ขอถามหลวงพ่อค่ะ ตอนนี้หนูอายุ ๒๓ แต่เห็นว่าชีวิตนี้มีภัยมาก ตอนนี้พยายามกำหนดพุทโธอยู่ พยายามทำทาน ถือศีล ๘ ทุกวัน อยากทราบว่า ถ้ายังอยู่ในสถานะของฆราวาสจะมีสิทธิ์บรรลุธรรมไหมคะ หรือจะต้องมีเวลาภาวนามากๆ แบบพระอย่างเดียว

ปล. ใช้ชีวิตประจำวันเป็นกุศลยากมาก พอจะมีทางบ้างไหมคะที่ไม่อยากเวียนว่ายตายเกิด ไม่อยากเวียนว่ายตายเกิดแล้ว

ตอบ : นี่คำถาม คำถามนี้เป็นคำถาม อายุ ๒๓ เพิ่งวัยทำงาน พอวัยทำงานขึ้นมา เห็นไหมชีวิตประจำวันเป็นกุศลได้ยากมาก

ถ้าชีวิตประจำวันเป็นกุศลได้ยากมาก เหมือนกับเด็กๆ เวลาเด็กๆ ทำอะไร ครูบาอาจารย์จะยัดใส่เด็กทั้งนั้นน่ะ นู่นก็ไม่ดี นี่ก็ไม่ดี ยัดเยียดใส่เด็กหมดเลย แล้วโทษสังคมเลยนะ เวลาสังคมมีปัญหาขึ้นมาต้องไปแก้ที่ไหน ต้องไปแก้ที่เด็ก มีปัญหา ไปแก้ที่เด็ก จะไปอบรมเด็กก่อน เด็กมันก็รับอยู่คนเดียวนั่นน่ะ อะไรก็ไปโทษที่มัน อะไรก็ไปโทษที่มัน

นี่ก็เหมือนกัน เราอายุ ๒๓ ปีตอนนี้อายุ ๒๓ เห็นว่าชีวิตนี้มีภัยมาก

ชีวิตนี้มีภัยมาก อายุ ๒๓ มันแบบว่ายังผ้าใสๆ อยู่ไง ยังผ้าใสๆ ยังแบบว่ายังมีไฟ คนมีไฟ คนอยากจะทำคุณงามความดี คนอยากจะพ้นจากทุกข์ ชีวิตใสๆ มันมองสิ่งใดมันมองด้วยความใสซื่อ ด้วยความไร้เดียงสา

แต่เวลาโตขึ้นมา ผู้เฒ่าผู้แก่ ในภาคอีสานนะ เขาเรียกผู้เฒ่าคือผู้ที่มีอายุยืน ผู้ที่ผ่านโลกมามาก มีสิ่งใดขัดแย้งกันในหมู่บ้านนั้น เขาจะให้ผู้เฒ่าเป็นคนตัดสิน เขายอมฟังผู้เฒ่าไง ให้เห็นว่าผู้เฒ่าเป็นผู้ที่ผ่านโลกมามาก จะวินิจฉัยสิ่งใดได้ถูกต้อง จะถามผู้เฒ่าๆ ผู้เฒ่านี้เหมือนกับรัฐบาลเลย เป็นทั้งฝ่ายปกครอง เป็นทั้งฝ่ายกฎหมาย เป็นผู้พิพากษา เป็นผู้ตัดสินในหมู่บ้านนั้นน่ะ นั่นเป็นผู้เฒ่า เพราะอะไร เพราะเขาผ่านชีวิตมามาก เขาเห็นโลกมามาก เห็นโลกมามากนะ เพราะโลกนี้มีมารยาสาไถย มันมีเล่ห์มีเหลี่ยม มีเล่ห์กลร้อยแปด เราผ่านโลกมามาก ชีวิตนี้ผ่านโลกมามาก ถ้าชีวิตนี้ผ่านโลกมามาก สิ่งใดที่จะวินิจฉัยๆ เพราะว่าคนมีปัญหาขัดแย้งกันมันจะมีข้อโต้แย้งกัน มีความเห็นแตกต่างกัน เขาจะวินิจฉัย

แต่นี่เรายังผ้าใสๆ ไร้เดียงสาก็มองโลกอย่างนี้ มองโลกว่า ชีวิตนี้มีภัยมาก ชีวิตนี้จะสร้างกุศลได้ยาก แล้วอยากจะพ้นจากทุกข์ อยากจะพ้นทุกข์ เราจะต้องปฏิบัติภาวนามากๆ แบบพระอย่างเดียวใช่ไหม

ถ้าภาวนาแบบพระอย่างเดียว พระเป็นพระอรหันต์หมดเลย พระภาวนากัน ๔ แสนองค์ พระภาวนา พระบวชมาแล้วก็มีเวลาภาวนา ๒๔ ชั่วโมง ถ้าภาวนามากๆ แบบพระอย่างเดียว พระอรหันต์เต็มประเทศไทยเลย แต่นี่เราแสวงหาครูบาอาจารย์กัน แสวงหาก็ยังไม่ได้

ปัญหาเมื่อ ๒ วันนี้ เห็นไหม ภาวนา ๑๒ ปี ไปอยู่กับพระ พระสอนมาอย่างไรเชื่อหมดเลย สุดท้ายแล้วพระปาราชิกสึกไปเลย จิตใจตัวเองตกหมดเลย ภาวนาแบบพระใช่ไหม

แล้วบอกว่า พระที่ดีก็มี พระที่ทำไม่ถูกต้องก็มี แล้วทำแบบพระแบบไหน ถ้าแบบพระเป็นสัมมาทิฏฐิ เป็นความถูกต้องดีงามหรือไม่ ถ้าความถูกต้องดีงาม ภาวนาอย่างไร

ถ้าภาวนาถูกต้องดีงามแล้ว เห็นไหม เวลาหลวงตาท่านเทศน์สอนพระๆ นะ เวลาเข้าพรรษา กรรมฐานเขาไปทำวัตรกัน เวลาครูบาอาจารย์ท่านเทศน์ขึ้นมา ท่านจะเทศน์ถึงพระจักขุบาล พระโสณะ เป็นตัวยืนโรงเลย

เพราะพระจักขุบาลอธิษฐานเข้าพรรษา บอกว่าจะไม่นอนภายใน ๓ เดือน แล้วเป็นโรคตา หมอมารักษา หมอบอกว่า ถ้าไม่นอนหยอดตานี่ตาบอด

เวลาคนภาวนามันปฏิบัติจริงจัง ปฏิบัติอย่างที่ว่า ต้องภาวนาแบบพระมากๆ อย่างเดียวใช่ไหม ภาวนาแบบพระอย่างเดียวแล้วจะถูกต้องดีงามไหม

พระจักขุบาลยังมีความห่วงใยตาของตัวว่าชาตินี้ไม่อยากตาบอด อยากจะเป็นคนตาดี ถ้าเขาต้องนอนหยอดตา เขาต้องอะไร เพราะเขาไปรักษาธาตุขันธ์ใช่ไหม จิตใจ จิตใจมันโดนอย่างนี้ลากไป มันก็ทะลุไปไม่ได้ มันก็เป็นพระอรหันต์ไม่ได้ ก็ไปห่วง ไปติด ไปห่วงอาลัยอาวรณ์อยู่นั่น ไปติดพันอยู่นั่นน่ะ

ทีนี้ขนาดหมอนะ หมอเขามีชื่อเสียงมาก รักษาใครก็หายนะ หยอดตาทีเดียว หายหมดเลย ทุกคนหายหมด พอมารักษาพระจักขุบาลมันไม่หาย อยู่ในอรรถกถา มันรักษาอย่างไรก็ไม่หายเพราะว่ายาของเขาต้องนอนแล้วหยอด แต่พระจักขุบาลท่านถือเนสัชชิก พอถือเนสัชชิก หลังมันแตะพื้นไม่ได้ พอหลังแตะพื้นไม่ได้ เขาก็หยอดเหมือนกัน แต่นั่งหยอดอย่างนี้ แล้วหยอดแล้วหยอดอีกมันไม่หาย พอมันไม่หาย หมอก็เริ่มใจไม่ดี พอใจไม่ดี จะเสียชื่อเสียงเขา เขามาหาพระจักขุบาลนะ บอกว่า ต้องนอนหยอดตานะ ถ้าไม่นอนหยอดตานะ ถ้ามันไม่หาย ถ้าไม่นอนหยอดตา ขอพระคุณเจ้าจงบอกเขาว่าพระคุณเจ้ารักษาเอง ไม่ใช่รักษาด้วยหมอคนนั้น

หมอพูดอย่างนั้นเลยนะ หมอบอกเลย ถ้าอย่างนั้นให้พระคุณเจ้าบอกเขาเลยนะว่า พระคุณเจ้ารักษากันเอง ไม่ใช่เอาชื่อหมอมาอ้าง เพราะเขากลัวเสียชื่อเสียงเขา

พระจักขุบาลก็รับปากเขาบอกว่า ต่อไปนี้เราจะไม่พูดถึงหมอเลย เราจะรักษาเอง แล้วก็นั่งจะหยอดไม่หยอด สุดท้ายวันออกพรรษา เห็นไหม ตาบอดพร้อมกับหัวใจเบิกบาน

นี่ก็เหมือนกัน พระโสณะ พระโสณะเวลาเดินจงกรม พระโสณะเป็นผู้ที่มีชื่อเสียงมาก ฝ่าเท้าบาง มันมีขนไง ไปไหนเขาต้องใช้เสลี่ยงรับไป จนเลื่องลือ เลื่องลือไปถึงกษัตริย์ พระเจ้าพิมพิสาร เลื่องลือไปถึงกษัตริย์นะ เพราะกษัตริย์ เท้ายังไม่ประณีตขนาดนั้น ขอดู เชิญเข้ามาในราชวังมาขอดูฝ่าเท้า

ทีนี้ชีวิตของเขา เขาก็สุขสมบูรณ์เพราะเขาเป็นลูกมหาเศรษฐี สุดท้ายแล้วก็อยากบวช อยากพ้นทุกข์ไง เพราะว่ารำคาญน่ะ ชีวิตเป็นอย่างนี้ สุขขนาดไหนมันก็ยังมีความวิตกกังวลในใจ ก็มาบวชไง มาบวช เดินจงกรม คนฝ่าเท้านุ่มนวลอย่างนั้นมาเดินจงกรมมันจะเหลือหรือ หนังก็เปิดหมด

แล้วพระพุทธเจ้าเหมือนครูบาอาจารย์เรา ท่านจะเดินตรวจสอบพระ ดูว่าพระอยู่ในกรอบหรือเปล่า พอเดินไปถึงทางจงกรมของพระโสณะ นี่พระพุทธเจ้าอุทานนะ เราก็ไม่ได้ยินหรอก แต่มันอยู่ในอรรถกถา อยู่ในตำราที่เขียนกันมา พระพุทธเจ้าอุทานบอกว่าที่นี่ที่เชือดโคของใคร

คำว่าที่นี่ที่เชือดโคของใครแสดงว่าเลือดมันต้องแดงไปหมด พระพุทธเจ้าอุทานเลยนะ เวลาไปเดินตรวจกุฏิ ไปเห็นทางจงกรม เดินจงกรมไป ฝ่าเท้าหนังมันเปิดหมด แล้วเลือดแดงๆ เดินไป ดูสิ ความเข้มแข็งของใจ เดินไป จนพระพุทธเจ้าอุทานนะที่นี่ที่เชือดโคของใครเนี่ย เลือดมันแดงไปหมดอย่างนี้

พระบอกไม่ใช่ ที่นี่เป็นที่เดินจงกรมของพระโสณะ

นี่พระโสณะเดินจงกรมจนฝ่าเท้าแตกหมด พระพุทธเจ้าเลยบอกว่าให้เบา เดินจงกรมไม่ได้ เอาจริงเอาจัง จนพระโสณะนี่ก็เป็นพระอรหันต์ไป พระจักขุบาลตาบอดก็เป็นพระอรหันต์ไป

เวลาเราเป็นพระกรรมฐาน ก่อนเข้าพรรษา เราจะไปทำวัตรครูบาอาจารย์กัน ทีนี้พอทำวัตรครูบาอาจารย์ ไปทำวัตรคือไปขมาลาโทษ แล้วขมาลาโทษ ครูบาอาจารย์ของเรา นี่บอกว่า พระมีพ่อมีแม่ไหม พระมีพ่อมีแม่ ไปทำวัตรครูบาอาจารย์ ครูบาอาจารย์ก็เป็นห่วงใช่ไหม ครูบาอาจารย์ก็จะเทศน์ให้กำลังใจ ให้กำลังใจว่า ใน ๓ เดือนนี้ต้องมุมานะ ต้องทำจริง แล้วต้องมีสติปัญญา ต้องเป็นสัมมาทิฏฐิ ทำให้มันถูกต้องดีงาม อย่าเอาทิฏฐิมานะของตัวเอาสีข้างเข้าถู ฉันทำอย่างนี้ฉันดี ฉันทำอย่างนี้ฉันแน่ ฉันทำอย่างนี้ฉันถูก

พระไตรปิฎกบอกไว้นะ แล้วพอมันมีทิฏฐิผิดแล้วนะ มันก็อ้างเลย พุทธพจน์ว่าอย่างนั้น เพราะมันเข้าใจผิด พอมันเข้าใจผิดปั๊บ มันจะว่าตัวมันเข้าใจถูก มันก็พูดไม่ได้ พอเข้าใจผิดปั๊บ มันก็อ้างพระไตรปิฎกเลย อ้างว่า พุทธพจน์ว่าอย่างนั้น พุทธพจน์ว่าอย่างนี้ แต่ความจริงมันเข้าใจผิด มันตีความผิด พอตีความผิด มันก็แถออกไปข้างนอกน่ะสิ แล้วปฏิบัติจะปฏิบัติไปไหน แต่ถ้าเรามีครูบาอาจารย์ ครูบาอาจารย์ท่านจะคอยเตือน

แล้วเราอยู่ทางภาคอีสาน เวลาไปทำวัตร เกือบทุกองค์เลย เวลาไปทำวัตรนะ จะได้ยินพระโสณะ พระจักขุบาลเป็นพื้นเลย เพราะว่าท่านเอาจริง ท่านทำจริง ไม่ใช่จริงข้างนอกนะ มันจริงในหัวใจน่ะ หัวใจเข้าสู่สัจธรรม เข้าสู่ความสมดุล เข้าสู่มัชฌิมาปฏิปทา มันถึงจะเป็นจริง

ถ้าเราเอาสีข้างเข้าถู เราคิดว่าเป็นอย่างนั้นๆ เพราะว่าอะไร เพราะว่ามี มีในพระไตรปิฎกเหมือนกัน มีพวกเดียรถีย์เขาถือวัตรเป็นหมา เขาถือวัตรเป็นหมา คือว่าเขาดำรงชีวิตเป็นหมาเลย กินแบบหมา อยู่แบบหมา เวลากินไม่ใช้มือ ใช้ปากกินเหมือนหมา ใช้ดำรงชีวิตเหมือนหมาเลย แล้วก็มาเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า บอกว่า เขาทำวัตรอย่างนี้เขาจะได้บุญมากอะไร

พระพุทธเจ้าบอกว่า อย่าให้เราพยากรณ์เลย อย่าให้พูดเถอะ

เขาขอร้องเป็นครั้งที่ ๒

พระพุทธเจ้า นี่เป็นประเพณีของคนโบราณเนาะ ถ้าถามครั้งแรก ถ้ามันไม่ดี ท่านจะไม่ตอบ ทีนี้ไอ้สีข้างเข้าถูยังไม่รู้ มันก็นึกว่ามันเก่งไง มันก็อ้อนวอนเป็นครั้งที่ ๒ ท่านก็บอกว่า อย่าให้เราพูดเลย เรายังไม่ตอบ

ก็อ้อนวอนอีกนะ ก็อ้อนวอนเป็นครั้งที่ ๓ อ้อนวอนว่า ข้าพเจ้าถือวัตรเข้มงวดมาก ถือวัตรแบบหมา อยู่แบบหมา กินแบบหมา ขี้แบบหมา นอนแบบหมา ทำแบบหมาหมดเลยนึกว่ามันดี

พออ้อนวอนครั้งที่ ๓ พระพุทธเจ้าบอกว่า ถ้าเธอปฏิบัติเหมือนหมา เธอปฏิบัติเหมือนหมาในปัจจุบันใช่ไหม เธอปรารถนาว่าความเป็นหมาประเสริฐใช่ไหม เธอตายไปเธอก็เกิดเป็นหมาไง

ก็ยังไม่ตายมันก็อยากเป็นหมาอยู่แล้ว อ้าว! คนดีๆ ไปปฏิบัติวัตรเหมือนหมา อยากเป็นหมา แล้วตายไปมันจะไปไหนล่ะ ตายไปก็ไปเป็นหมาไง ร้องไห้เลยนะ

อ้าว! เป็นคนมันประเสริฐแล้วใช่ไหม แล้วไปปฏิบัติวัตรแบบหมา แล้วบอกว่า ฉันตายไปจะเป็นอะไร ฉันตายไปจะเป็นอะไร

เอ็งยังไม่ตายเลย เอ็งยังอยากเป็นหมา เป็นคน เอ็งยังใช้ชีวิตแบบหมาเลย แล้วตายไป เอ็งไปไหน เอ็งก็เป็นหมาน่ะสิ

เห็นไหม นี่เวลาเอาสีข้างเข้าถู ตัวเองผิด แต่ตัวเองนึกว่าถูก แล้วย้อนกลับไป ย้อนกลับไปองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเวลาทำทุกรกิริยาก็อย่างนี้ ทำทุกรกิริยาไง อะไรที่มันเข้มงวด ที่โลกเขานับถือเลื่องลือ เอากับเขาหมดเลย

แล้วพอเราปฏิบัติกรรมฐานล่ะ กรรมฐานว่าแต่เขา เวลาปฏิบัตินี่อัตตกิลมถานุโยคทั้งนั้นน่ะ ทำตนให้ลำบากเปล่า อดนอนผ่อนอาหาร ทำเคร่ง

อดนอนผ่อนอาหารพวกเรานี่นะ ทำเพราะอะไรรู้ไหม ทำเพราะว่า จิตใจเรามันอ่อนด้อย จิตใจของพวกเรามันอ่อนแอ พอมันอ่อนแอ มันสู้สิ่งใดไม่ได้ มันเจออะไรมันก็ล้มลุกคลุกคลาน เจออะไรมันก็กระทืบ มันก็ล้มหมด ฉะนั้น อดนอนผ่อนอาหารฟื้นฟูมัน ฟื้นฟูให้มันแข็งแรง อดนอนน่ะ อดนอนจนมันตื่นโพลงภายใน มันตื่นโพลงภายใน เวลาอดอาหารให้ร่างกายมันเบา จิตใจมันมีกำลังขึ้นมา นี่มันเป็นอุบาย มันเป็นอุบายที่เราจะมาทำความสงบของใจ เราทำศีล สมาธิ ปัญญานี่แหละ แต่การอดนอน การผ่อนอาหาร การฟื้นฟูร่างกาย การฟื้นฟูหัวใจให้มันเข้มแข็ง ฟื้นฟูหัวใจให้มันเป็นเอกภาพ ใครทำเป็น

แหม! นี่เวลาว่า ว่าแต่เขา เวลาตัวเองทำกัน แหม! ดี โอ๋ย! ดีงามน่ะ อัตตกิลมถานุโยคเหมือนกัน”...ไม่ใช่ มันอยู่ที่หัวหน้าเป็น ถ้าหัวหน้าเป็น ช่างที่ชำนาญเขาทำอะไรสมบูรณ์ไปหมดแหละ

ไอ้ช่างที่ไม่เป็นไปยืนเฝ้าเขาเลย ไปดูเขาเลย เวลาถอดออกมาเสร็จแล้วประกอบไม่ได้ ฝรั่งทำเกิน ประกอบไม่เสร็จ ไปยืนเฝ้า มันก็ทำไม่เป็น ถ้ามันไม่เป็น แต่ถ้ามันเป็น มันเป็นหมดแหละ

ฉะนั้น ที่บอกว่า ปฏิบัติแบบพระอย่างเดียว ต้องเป็นพระอย่างเดียวใช่ไหม

เราสังเวชนะ สังเวชที่ว่า เวลาเรา เราเป็นฆราวาส เรามีความเชื่อมั่นศรัทธากันเราถึงมาบวชเป็นพระ พอบวชเป็นพระ สงฆ์ยกเข้าหมู่ ญัตติจตุตถกรรม ยกเข้าหมู่เป็นพระมา พอเป็นพระมา ได้ห่มผ้ากาสาวพักตร์ ได้ห่มผ้าคือธงชัยของพระอรหันต์ การเป็นพระมันประเสริฐขนาดนั้นน่ะ แล้วคนก็หวังพึ่งว่า เพศของพระ เพศของพระต้องทำคุณงามความดี ต้องทำถูกต้องทั้งหมด

แล้วเวลาไอ้พระปฏิบัติขึ้นมา ถ้ามันความถูกต้องดีงามขึ้นมา มันต้องรู้จักสิ สมาธิเป็นอย่างไร ถ้าไม่เป็นสมาธิ ไอ้กิเลสมันครอบงำอยู่ ไอ้กิเลสมันเหยียบย่ำหัวใจอยู่ มันทุกข์ยากขนาดไหน เวลาทำล้มลุกคลุกคลานขนาดไหน แล้วถ้าเป็นสมาธิขึ้นมา ทำไมถึงเป็นสมาธิ แล้วเป็นสมาธิแล้ว ถ้าไม่มีสติปัญญา รักษาไม่เป็นก็เสื่อม ไม่เป็นสมาธิก็เกือบตาย ทำสมาธิขึ้นมาได้แล้วก็เสื่อม แล้วเสื่อมแล้วจะแก้ไขอย่างไร ถ้าแก้ไขไม่ได้นะ สึก แก้ไขไม่ได้ก็ตายไปเลย แก้ไขไม่ได้ก็สำมะเลเทเมาไปเลย

แก้ไขก็เป็นพระที่ว่านี่ เราเคยปฏิบัติได้ นี่ไง ปฏิบัติแบบพระอย่างเดียว ปฏิบัติอย่างไร ปฏิบัติขึ้นมามันยังไม่เข้าสู่สมถะเลย ถ้าเข้าสู่สมถะ ถ้ามันสงบแล้ว สงบแล้วถ้ามันเสื่อม เสื่อมแล้วเราจะฟื้นฟูอย่างไร ตรงนี้ ตรงที่มันเสื่อมแล้วจะฟื้นฟูอย่างไร

พอฟื้นฟู ถ้ามันเสื่อม เสื่อมเพราะอะไร เพราะมันรักษาไม่เป็น เสื่อมเพราะว่าไม่มีการดูแลรักษา เสื่อมเพราะเหตุปัจจัยมันผิดพลาด ถ้าปัจจัยผิดพลาด เราจะตั้งใจทำงาน เราจะตั้งใจทำงาน

ดูสิ เวลาทำงานในออฟฟิศของเรา เราไม่ต้องการให้ใครมากวนเลย เห็นไหม คนทำงาน แล้วให้ลูกมาร้องไห้พันแข้งพันขาอยู่ ทำงานได้ไหม คนจะทำงานอยู่ ให้เด็กมันมาคอยดึงความสนใจ ทำงานได้ไหม มันก็ทำงานไม่ได้ มันทำงานมันก็ต้องอยู่ในที่สมควรแก่การทำงาน

เวลาจิตมันเสื่อมแล้วๆ มันเสื่อมเพราะอะไร เสื่อมเพราะหัวใจไม่มีการดูแลรักษามัน เห็นไหม อดนอนผ่อนอาหารก็ตรงนั้นน่ะ ตรงที่ทำให้มันเข้มข้น ตรงที่ทำให้มันจงใจ ทำให้เป็นเอกภาพ ทำให้หัวใจมันมีงานหน้าเดียว มันจะต่อสู้กับกิเลสเพื่อจะฟื้นฟูสิ่งที่มันเสื่อมขึ้นมาให้มันเจริญขึ้นมา นี่ไง มันมีเหตุมีผลทั้งนั้นน่ะ ถ้าคนทำเป็น คนทำเป็นจะรู้เลย อะไรมันใช้กับประโยชน์อะไร อย่างเครื่องมือ เครื่องมืออะไรจะใช้กับอะไร ดูสิ เครื่องมืออย่างหยาบๆ เขาก็ใช้อย่างหยาบ ไอ้อย่างละเอียดมันต้องใช้เครื่องมืออย่างไร เดี๋ยวนี้ทำงาน ทำงานที่บ้านๆ ทำงานนี่กดอย่างเดียว แล้วผู้คิดนโยบายเขาต้องคิดนโยบาย ก็แค่สั่งอย่างเดียว เวลาทำงานทำอย่างไร

นี่บอกว่า ถ้าปฏิบัติอย่างพระอย่างเดียว

คำนี้เราอยากพูดไว้ว่า ปฏิบัติแบบพระอย่างเดียว เวลาอยู่กับพระนะ กาลามสูตร ไม่ให้เชื่อ ไม่ให้เชื่อแม้แต่อาจารย์ของเรา ไม่ให้เชื่อสิ่งใดทั้งสิ้น

เวลาหลวงตาท่านพูดถึง ท่านอยู่กับหลวงปู่มั่นนะ หลวงตาท่านเป็นมหามา ท่านเรียนมา ในพระไตรปิฎกมันแปลได้ มันรื้อค้นได้หมด แล้วเวลาไปอยู่กับหลวงปู่มั่น เวลาหลวงปู่มั่นท่านทำอย่างไร ท่านคิดอย่างไร ท่านก็เคารพอยู่ แล้วท่านยังมาเปิดพระไตรปิฎก พอเปิดพระไตรปิฎกมันตรงเพียะๆๆ เลย เพราะท่านบอกท่านทำอย่างนั้น ยิ่งครูบาอาจารย์เราทำอย่างใด แล้วเรามาตรวจเช็กของเราในตำรับตำรา มันยิ่งเข้ากันได้นะ โอ้โฮ! เรายิ่งเคารพมาก เรายิ่งเคารพมาก เห็นไหม ไม่ให้เชื่อแม้แต่อาจารย์ของเรา ไม่ให้เชื่อใดๆ ทั้งสิ้น

ฉะนั้นบอกว่า ปฏิบัติแบบพระอย่างเดียว

นี่พูดไว้ก่อนไง พูดไว้ว่า ปฏิบัติแบบพระอย่างเดียว ดูพระปฏิบัติจริงหรือเปล่า แล้วพระปฏิบัติ ถ้าปฏิบัติ เวลาท่านปฏิบัติขึ้นมา ท่านเป็นจริงนะ ท่านจะบอกเราว่า วิธีทำสมาธิทำอย่างไร ทำสมาธิแล้ว มันได้สมาธิแล้วมันเสื่อม มันแก้อย่างไร ถ้าแก้สมาธิเสื่อมขึ้นมาให้เป็นสมาธิได้ ให้มั่นคงได้ แล้วออกวิปัสสนา จิตเห็นจิตเป็นอย่างไร จิตเห็นกายเป็นอย่างไร จิตเห็นเวทนาเป็นอย่างไร จิตเห็นจิตเป็นอย่างไร จิตเห็นธรรมเป็นอย่างไร

ถ้าเห็นธรรมแล้ว เห็นธรรมแล้วก็ต้องเป็นธรรมสิ เห็นธรรม ทำไมไม่เป็นธรรม

เห็นธรรมเป็นธรรมารมณ์ ธรรมารมณ์คือสัจธรรม ธรรมะเป็นธรรมชาติไง ธรรมชาตินี่ธรรมารมณ์ ธรรมชาติ สรรพสิ่งที่มันมีอยู่นี่ธรรมชาติๆ แล้วธรรมชาติ ใครไปดูแลมัน ธรรมชาติ ใครไปแก้ไขมัน แล้วแก้ไขอย่างไรถึงจะพ้นจากมันไป

ถ้ามีครูบาอาจารย์ ถ้าเป็นครูบาอาจารย์ที่ท่านทำจริง ท่านต้องแก้เราได้ แก้ได้เพราะอะไร แก้ได้เพราะท่านทำแล้ว ท่านทำแล้ว ท่านพิจารณาแล้ว ท่านผ่านมาแล้ว

คนจะผ่านไปได้มันต้องผิดก่อนใช่ไหม ผิดแล้วก็ทำให้มันถูก พอถูกแล้วถ้ามันยังปล่อยวางไม่ได้มันก็ไม่สมุจเฉทปหาน

นี่ทำถูกแล้ว เราบอกว่า เราก็มีทุกอย่างพร้อม สติก็มีพร้อม สมาธิก็มีพร้อม ปัญญาก็มีพร้อม ทุกอย่างมีพร้อมหมดเลย พร้อมเพราะอะไร พร้อมแบบเราคิดไง นี่ก็เหมือนกัน ทุกอย่างมีแล้วๆ มีแล้วใช้อะไร

นี่ไง เวลาจะประกอบอาหารก็ไปซื้อมา หมู เห็ด เป็ด ไก่ ซื้อมาพร้อมเลย แล้วทำอย่างไร อ้าว! ซื้อมาก็ตั้งอยู่นั่น ก็มีพร้อมแล้ว แล้วทำอย่างไรต่อ

อ้าว! ทำให้เป็นแกงขึ้นมาสิ ทำให้มันเป็นแกงขึ้นมา ทำให้มันเป็น จะทำอะไรก็ทำให้มันเป็นขึ้นมา จะต้ม จะแกง จะทำ ทำมาสิ อ้าว! ก็มีพร้อม มีพร้อมแล้วทำอย่างไรต่อ มีพร้อมแล้วกูทำไม่เป็นน่ะ เออ! มีพร้อมแล้วกูก็จะซื้อถุงมาไง อาหารก็ซื้อมาพร้อมแล้ว จะกิน ไปซื้ออาหารถุง เวลาไปหามา หมู เห็ด เป็ด ไก่มีเต็มเลย เวลาจะกิน ไปซื้อเอาจากแผงลอย มันกินไม่เป็น มันทำไม่เป็น

ปฏิบัติแบบพระอย่างเดียวก็ต้องดูก่อน ดูว่ามันเป็นจริงหรือไม่เป็นจริงนะ เราดู แต่มันอย่างว่าแหละ วุฒิภาวะโดยวัย ในเมื่อวุฒิภาวะเราแค่นี้เราดูไม่ออก เราดูไม่รู้หรอกว่าใครภาวนาได้หรือไม่ได้ แต่พอวุฒิภาวะเราดีขึ้น เราทำสมาธิได้ แล้วจะไปถามท่าน ท่านบอกว่าเราทำผิด สมาธิไม่เป็นแบบนี้ สมาธิเขานอนหลับเป็นสมาธิ สมาธิเขาว่าว่างๆ เผลอๆ นั่นสมาธิ ของเอ็งไม่ใช่หรอก เพราะของเอ็งมันรู้ชัดเกินไป ของเอ็งไม่เป็นสมาธิหรอก สมาธิของกูต้องเผลอๆ ไม่รู้ไม่ชี้นี่สมาธิ แต่ของเอ็งไม่ใช่ ไม่ใช่สมาธิ

พูดแค่นี้มันก็รู้แล้ว มึงสมาธิหรือไม่สมาธิ

เพราะว่านะ ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพูดไว้ชัดเจนมาก ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านะ จะเป็นขั้นเป็นตอน จะส่งเสริมกัน ไม่มีขัดไม่มีแย้ง สิ่งใดที่ขัดที่แย้งกันไม่ใช่ธรรม ถ้าขัดถ้าแย้งกับความเป็นจริงไม่ใช่ธรรม ธรรมะจะเป็นขึ้นไปเป็นชั้นเป็นตอนขึ้นไป มันส่งเสริมกันตั้งแต่โสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี เป็นชั้นเป็นตอนขึ้นไป ไม่มีขัดไม่มีแย้งต่อกัน ถ้ามีขัดมีแย้งนั่นไม่ใช่ ถ้าไม่ใช่ เราต้องคิดแล้ว นี่พูดถึงปฏิบัติแบบพระอย่างเดียว

นี่คำถามเนาะ บอกว่า อยากจะปฏิบัติให้มาก อยากจะพ้นจากทุกข์ ชีวิตนี้พยายามพุทโธตลอด พยายามถือศีล ๘ ทุกวัน อยากทราบว่า ถ้ายังอยู่ในสถานะฆราวาสจะมีสิทธิ์บรรลุธรรมหรือไม่คะ

มีสิทธิ์แน่นอน สิทธิบรรลุธรรม ในสถานะของบริษัท ๔ ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา ทุกบริษัทมีสิทธิบรรลุธรรมได้ทุกคน มีสิทธิบรรลุธรรมได้ทุกคน คำว่าความเป็นสิทธิ์

เราไม่อยากจะพูดคำว่าประชาธิปไตยเพราะคำว่าประชาธิปไตยเขาไปบิดเบือนใช้เพื่อผลประโยชน์ส่วนตัวกัน

เราใช้คำว่าธรรมาธิปไตยนี่ธรรมาธิปไตยมันเป็นสิทธิ์ มันเป็นสิทธิ์ของใจทุกดวง มันเป็นสิทธิ์ประจำหัวใจ มันเป็นสิทธิ์ของใจ มันเป็นสิทธิ์ของผู้นั้น ถ้ามันเป็นสิทธิ์ เรามีสิทธิ์ไหม

มันเป็นสิทธิ์ตั้งแต่มีจิต มันเป็นสิทธิ์ของเรา แล้วทำไมจะบรรลุไม่ได้ มันเป็นสิทธิ์ ทีนี้มันเป็นสิทธิ์แล้ว เอ็งใช้สิทธิ์หรือเปล่าล่ะ มันเป็นสิทธิ์ แต่ไม่ใช้สิทธิ์ คือไม่ภาวนา มันเป็นสิทธิ์ มันเป็นสิทธิ์ของเรา

ฉะนั้น ถ้ามันเป็นสิทธิ์ของเรา เขาบอกว่าอยากทราบว่า ผู้อยู่ในสถานะของฆราวาสจะมีสิทธิ์บรรลุธรรมได้หรือไม่

ได้ ได้ แต่บรรลุอย่างไร เออ! ตรงนี้ต่างหากล่ะ เออ! แต่บรรลุอย่างไร ถ้าการบรรลุ เราต้องทำให้เป็นจริงขึ้นมามันถึงจะบรรลุ มันเป็นสิทธิ์ของเรา แต่เราใช้สิทธิ์ของเราไม่ถูกต้อง เราใช้สิทธิ์ของเราไม่เป็น มันจะบรรลุไหม เราใช้สิทธิ์ของเราไม่เป็น เราใช้สิทธิ์ของเราไม่ถูกต้อง หรือใช้สิทธิ์เขา ให้เขาจูงจมูกไปใช้สิทธิ์ด้วย ถ้าเขาจูงจมูกไปใช้สิทธิ์ เราไปใช้สิทธิ์ให้เขา จูงจมูกไป เขาต้องการคะแนนเสียง เขาต้องการสิทธิ เขาต้องการการยอมรับจากเรา

สังเกตได้ไหม เวลาหลวงปู่มั่น หลวงตา ท่านเคยจูงจมูกใครไหม ท่านเคยหวั่นไหวกับคนที่เชื่อหรือไม่เชื่อท่านไหม ถ้าเอ็งมีคุณธรรมในหัวใจ เอ็งยังต้องให้คนคล้อยตาม ให้คนยอมรับ ให้คนคอยเดินตามเอ็ง เฮ้ย! ไร้สาระว่ะ ไร้สาระ

ธรรมมันเหนือโลก มันเหนือทุกอย่าง เหนือการยอมรับ เหนือการเชิดชู เหนือประชาชนเฝ้ามองอยู่ เหนือ เหนือทั้งหมด ถ้าเหนือหมดแล้วมันต้องไปแคร์อะไร มันไม่เคยแคร์

ไอ้แคร์นั่นแสดงว่า นั่นแน่ะ มีวาระซ่อนเร้น ไอ้ที่แคร์คนนู้นแคร์คนนี้แสดงว่ามีผลประโยชน์ทับซ้อน หวังจะได้สิ่งใดอย่างหนึ่ง ถ้ายังแคร์นะ

ไม่มี ไม่มีหรอก มันจะมีอะไรที่มีค่ากว่าสัจธรรม ธรรมะนี่มีค่าสูงสุด ดูสิ เวลาหลวงตา หลวงปู่แหวน หลวงปู่ซามา พูดเหมือนกัน ไอ้หลังลายไอ้หลังลายนี่มาจากหลวงปู่ซามา

หลวงปู่ซามาท่านเห็นแบงก์ ท่านบอกไอ้หลังลาย ไอ้หลังลายคือกระดาษมันเปื้อนหมึก แล้วหลวงปู่แหวนก็ว่าไอ้หลังลาย หลวงตาก็ว่าไอ้หลังลาย เห็นไหม ถ้าจิตใจมันเป็นธรรม มันเหนือทุกๆ อย่าง แล้วในโลกนี้มันมีอะไรวะที่มันจะมาเทียบค่าได้

แล้วเราก็แปลกใจ ไปดูสิ ออกไปถนนน่ะ ไปดูคัทเอาท์ที่มันขึ้นป้ายกันน่ะ มันบ้าบอคอแตกอะไรของมันนั่นน่ะ นั่นน่ะมันต้องประกาศจับ ไอ้พวกอาชญากรไง ทำผิดไว้ไง เขาประกาศจับตามถนนเต็มไปหมดเลย มันบ้าอะไรของมันนั่นน่ะ มันบ้าได้ขนาดนั้นน่ะ แล้วมันทำทำไมนั่นน่ะ นี่ไง พูดถึงถ้าสัจธรรมเขาไม่ทำกันอย่างนั้น แล้วทำอย่างนั้นมันทำได้อย่างไร ถ้ามันทำอย่างนั้นเพราะนั่นไง

ที่บอกว่า ต้องปฏิบัติแบบพระอย่างเดียวใช่ไหม

พระเขาก็ขึ้นคัทเอาท์กันนั่นน่ะ เขาพยายาม คิดดูสิ บวชมาเป็นพระ แล้วกลับมาวุฒิภาวะอ่อนด้อยกว่าฆราวาสเขา แล้วจะบอกว่าเป็นผู้นำอีก

ถ้าเป็นผู้นำ เป็นผู้นำ การสอนอย่างสูงสุดนะ คือการไม่สอน การสอนที่สูงสุดคือไม่ต้องสอน ทำตัวเองให้เป็นตัวอย่าง ไม่ต้องสอน

หลวงปู่มั่นนะ เวลาท่านสอน ท่านสอนพระ ท่านจ้ำจี้จ้ำไชกับพระ แต่เวลากับพวกฆราวาส ท่านไม่ยุ่งกับใครหรอก มีแต่ฆราวาสเราไปซื้อนะ ซื้อคันนา ซื้ออะไรเข้าไป นั่งเกวียนกันเข้าไปหาท่าน

ไม่ต้องสอน ประชาชนญาติโยมก็แปลกใจนะ ทำไมท่านอยู่แต่ในป่า ทำไมท่านไม่ออกมาเลย เห็นไหม ท่านไม่ต้องสอนใครหรอก แต่คนคิดถึง คนที่รำพึงถึง คนที่ปรารถนา คนที่พยายามขวนขวายไปหาท่านเอง

นี่สอนโดยไม่ต้องสอน สอนโดยการดำรงชีวิตของท่าน หลวงตาท่านชม ทุกคนก็ชมมากว่าหลวงปู่มั่นท่านใช้ผ้าบังสุกุล ไอ้เราคหบดีจีวรคือผ้าที่โยมมาถวาย ของท่านไม่ใช้เลยนะ ทั้งชีวิตนะ หลวงปู่มั่นใช้ผ้าบังสุกุลนะ คหบดีจีวรไม่ใช้เลย หลวงตาบอกว่าเห็นอยู่อันเดียวเท่านั้นน่ะ เห็นอยู่ที่ใช้เป็นผ้าอังสะของเจ้าคุณจังหวัดกาฬสินธุ์อะไร ที่ว่าท่านทอกับมือเอง แล้วไปขอร้องท่านบอกว่านี่ทอกับมือเอง คือทอผ้าเอง เย็บเอง ตัดเย็บเองมาถวายท่าน

หลวงตาบอกที่เห็นอยู่ก็เห็นใช้ผ้า ๒ ผืนนั้นที่เป็นของถวาย ของถวายคือคหบดีจีวร เจ้าคณะจังหวัดกาฬสินธุ์หรืออย่างไรนี่แหละเป็นผู้มาถวาย ๒ ชิ้น นอกนั้นเก็บเอา เก็บผ้าบังสุกุล เก็บเอาของทิ้งของอะไร ท่านทำอย่างนั้น หลวงปู่มั่นน่ะ ท่านทำเป็นตัวอย่าง แล้วท่านทำเป็นตัวอย่าง ชีวิตของท่าน ท่านไม่ได้สอน แต่ท่านทำชีวิตของท่าน แล้วคนที่ไปดู คนที่ไปเห็น คนที่ต่างๆ จะศึกษาๆ นี่สอนโดยไม่ได้สอน

แล้วคิดดูสิ หลวงปู่มั่นท่านไม่ได้ไปจ้ำจี้จ้ำไช ออกมาขึ้นคัทเอาท์ ออกมาประกาศโฆษณาชวนเชื่อ ไม่มีเลย แต่ทำไมเขาเชื่อกันทั่วโลก

นี่พูดถึงปฏิบัติแบบพระนะ หนึ่ง ปฏิบัติแบบพระ

แล้วเราเป็นฆราวาส เราจะมีสิทธิ์บรรลุธรรมหรือไม่

ถ้าเรามีสิทธิ์บรรลุธรรม เรามีสิทธิ์บรรลุธรรมแน่นอน เรามีสิทธิ์บรรลุธรรม แต่วิธีการที่จะบรรลุธรรม เราต้องทำให้มันถูกต้องด้วย เพราะเราพูดบ่อยมากนะ เพราะมันสังเวช สามเณร ๗ ขวบเป็นพระอรหันต์น่ะ ในสมัยพุทธกาล ลูกศิษย์พระสารีบุตรเป็นพระอรหันต์ ๗ ขวบ โอ๋ย! ๗ ขวบมันฉลาดขนาดนั้นน่ะ ๗ ขวบมันใช้ภาวนามยปัญญา ปัญญาข้างใน ปัญญาของจิต มันใช้ได้อย่างไร มันเป็นอย่างไร

อ้าว! คนจะเป็นพระอรหันต์ต้องเป็นด้วยมรรคญาณ มันไม่ได้เป็นที่ใครแต่งตั้งให้ มันไม่ได้เป็นที่การศึกษา ไม่ได้เป็นที่จดจำของใครมา มันจดจำมาไม่ได้ เพราะจดจำนี่เป็นสัญญา สัญญาไม่ใช่ปัญญา ปัญญาที่มันเกิดขึ้นมันต้องเป็นภาวนามยปัญญา

แล้วสามเณร ๗ ขวบเป็นพระอรหันต์ แสดงว่าเขามีปัญญาของเขา เขามีมรรคของเขา เขาถึงได้ชำระล้างกิเลสของเขาได้ นี่สามเณร ๗ ขวบนะ แล้วพวกเรามันกี่ขวบ ไอ้เด็ก ๗ ขวบมันยังมีปัญญารู้ได้เลย เด็ก ๗ ขวบมันยังมีความสนใจนะ มันเป็นสามเณรของพระสารีบุตร เป็นผู้ถือบาตรตามพระสารีบุตรไปบิณฑบาต พอออกไปนะ เห็นชาวบ้านเขาชักน้ำเข้านาไง สมัยโบราณเขาทำนากัน เขาชักน้ำเข้านา เด็กมันไปด้วย เด็กมันคิดไง นี่มันมีปัญญานะ

เหมือนที่หลวงตาท่านพูด ในสมัยพุทธกาล พระปฏิบัติองค์หนึ่งมีปัญหาเยอะ ปฏิบัติไปแล้วมันเกิดการโต้แย้งกันภายใน นี่ภาวนามยปัญญา ก็จะไปถามองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทีนี้พอไปถึงกุฏิ ฝนมันตกแรง ฝนมันตกแรง น้ำก็เจิ่งนองไปหมด แล้วเวลาฝนมันตกลงมามันเป็นฟองอากาศแตก พับ! พับ!

เพราะคนปัญญามันหมุนอยู่แล้ว ปัญญามันหมุนอยู่แล้ว พอไปเจอฟองมันแตก พับ!...เอ๊อะ! มันเป็นไตรลักษณ์

เห็นไหม น้ำอยู่เป็นฟองขึ้นมา เป็นฟองอากาศขึ้นมา พอมันตก มันก็เป็นฟองอากาศขึ้นมา แล้วมันก็แตก พอแตกขึ้นมา เพราะปัญญามันหมุนแล้วมันปิ๊ง! เป็นพระอรหันต์เลย กลับกุฏิ ไม่ถามพระพุทธเจ้าเลย

นี่ก็เหมือนกัน สามเณรไปกับพระสารีบุตร เห็นชาวบ้านเขาชักน้ำเข้านา ชักน้ำเข้านา ดูสิ ที่เขาชักน้ำเข้านา กังหันที่เขาชักน้ำเข้านา โบราณเขาทำ เดินไป มันมีความคิดขึ้นนะ เด็กอายุ ๗ ขวบ ถามอาจารย์เลยน้ำมีชีวิตไหมก็เด็กมันต้องคิดใช่ไหม คนที่มีชีวิต คนดีถึงทำความดี แล้วน้ำมีชีวิตหรือเปล่า น้ำไหลเข้ามา ทำนา มันมีข้าวมีปลาให้กิน

ถามพระสารีบุตรว่าท่านอาจารย์ น้ำมีชีวิตไหม

พระสารีบุตรบอกมันไม่มีชีวิต

คิดเลยนะ มันไม่มีชีวิตมันยังเป็นประโยชน์ มันไม่มีชีวิต เขายังชักมันเข้ามา น้ำเอามาดื่มกินก็ได้ เอามาบริโภคก็ได้ เอามาทำเกษตรกรรมก็ได้ โอ๋ย! น้ำมีประโยชน์ขนาดนี้ พอปัญญามันหมุนปั๊บนะ ถือบาตรอยู่ ยื่นบาตรให้พระสารีบุตร บอกว่าท่านอาจารย์ ท่านอาจารย์เอาบาตรบิณฑบาตเองเนาะ ตอนนี้ข้างในมันกำลังปั่นป่วนให้รีบกลับกุฏิเลย ไปนั่งต่อ เพราะปัญญามันติดแล้ว ปัญญามันหมุนแล้ว นี่ธรรมจักร จักรมันเคลื่อนแล้ว กลับไปกุฏิก็ไปนั่งภาวนาต่อ ต่อจากนี้เสริมต่อขึ้นไป

พระสารีบุตรก็ไปบิณฑบาตนะ บิณฑบาตเสร็จก็กลับ กลับมา ฉันเสร็จแล้วก็เป็นห่วงเณรไง ก็จะเอาอาหารไปให้เณร พระพุทธเจ้ารู้นะ อนาคตังสญาณ พระพุทธเจ้ารู้ ไปดักหน้าพระสารีบุตรไว้ก่อน ชวนพระสารีบุตรคุย เพราะว่าถ้าพระสารีบุตรเข้าไปแล้ว เพราะเณรกำลังใช้ปัญญา ปัญญากำลังหมุนมาก ถ้าเข้าไปมันจะไปขัดจังหวะ ก็ไปดักหน้าพระสารีบุตร

ทีนี้การจะไปดักหน้า จะบอกว่าฉันไปดักหน้าเธอ มันก็ไม่ใช่นักปราชญ์ใช่ไหม ก็ชวนสารีบุตร เธอจะไปไหนก็ชวนพระสารีบุตรคุย คุยไปเรื่อย ก็คุยไป แต่จิตก็มองดูเณร เณรกำลังเข้าด้ายเข้าเข็ม กำลังเต็มที่ไป ยังไม่สำเร็จ ก็ชวนพระสารีบุตรคุยต่อๆ คุยจนเณรสำเร็จ เพราะด้วยปัญญาญาณ พอปัญญาญาณเสร็จก็ปล่อยพระสารีบุตรให้เข้าไปหาเณร พอพระสารีบุตรเข้าไปก็ไปนิมนต์เณรฉันอาหาร พอฉันเสร็จ มันเที่ยง เพราะพระไม่ถึงเพล นี่อยู่ในพระไตรปิฎกหรืออรรถกถา พอฉันเสร็จ พอล้างบาตรเสร็จ พระอาทิตย์นู่น บ่ายไปแล้ว นี่ไง ด้วยฤทธิ์ด้วยเดชของครูบาอาจารย์

ที่มันฝังใจ ฝังใจตรงไหนรู้ไหม ฝังใจว่าเด็ก ๗ ขวบ เด็กอายุ ๗ ขวบมันยังมีความขยันหมั่นเพียรน่ะ มันยังมีคุณงามความดี มันยังทำมรรคญาณจนมันสำเร็จเป็นพระอรหันต์ได้ แล้วเราอายุกันเท่าไร มึงไม่อายเด็ก ๗ ขวบหรือ ถ้าอายเด็ก ๗ ขวบต้องขวนขวาย ต้องทำให้ดี ต้องมีสติปัญญา ทำได้

สามเณร ๗ ขวบเป็นพระอรหันต์ ตรงนี้มันฝังใจมาก ฝังใจที่ว่ายกย่องไง ๗ ขวบยอด ๗ ขวบ มึงยังเก่งกว่ากูอีก ๗ ขวบเป็นพระอรหันต์น่ะ โอ๋ย! ๗ ขวบนี่ใช้ได้เลย แล้วเรากี่ขวบ

เวลาอ่านหนังสือไป เราอ่านพระไตรปิฎก อ่านอะไรก็แล้วแต่นะ พอมันมีอะไรที่มันแทงใจ มันจำแม่น มันฝังใจมากนะ สิ่งใดที่ว่าคำไหนที่มันแทงใจ มันจำจนตาย แล้วพอจำจนตาย มันดูดดื่ม เอามาพูดบ่อย

นี่ก็เหมือนกัน ฉะนั้นบอกว่า เป็นฆราวาสมันจะสำเร็จได้ไหม

แน่นอน ฆราวาสในสมัยพุทธกาล พระเจ้าสุทโธทนะเป็นพระอรหันต์ นางวิสาขาเป็นพระโสดาบัน ในปัจจุบันนี้ฆราวาส ดูสิ ถ้าบอกเป็นฆราวาสก็เป็นแม่ชี แม่ชีแก้ว เป็นฆราวาสก็มี ฆราวาสสำเร็จได้ แต่ไปดูชีวิตสิ เราศึกษาประวัติชีวิตของเขา ถ้าเขาเป็นพระอรหันต์ เราศึกษาประวัติชีวิตของเขาว่าเขาทำตัวอย่างใด เขาภาวนาอย่างใด เขาทำตัวอย่างใดเขาถึงสำเร็จเป็นพระอรหันต์ เขาถึงมีคุณธรรม

พอเราศึกษาประวัติชีวิตเขาแล้วปั๊บ เราก็มาศึกษาว่ามรรคญาณ นั่นประวัติชีวิตของเขาคือประสบการณ์ของเขา คือบุญอำนาจวาสนาของเขาใช่ไหม แล้วนี่คือการดำรงชีวิตของเขา

แล้วเราล่ะ เรา เราก็จะมาศึกษา นี่ชีวิตของเรา เราพอใจ ชีวิตของเรา เราเป็นเจ้าของชีวิต เราจะใช้ชีวิตอย่างไร ถ้าเราอายุ ๒๓ กำลังทำงานเลย กำลังวัยใสๆ เลย มองโลกสวยงามไปหมดเลย การดำรงชีวิตนี้แสนยาก ชีวิตประจำวันนี้ทุกข์ยากมาก จะทำกุศล เพราะมันทำธุรกิจ มันทำหน้าที่การงาน มันถึงเวลา ถ้าเราไม่ได้ตั้งใจจะคดโกงใคร เขาเรียกว่าอุบาย

คำว่าอุบายเหมือนเด็ก เด็กเวลามันจะผิดพลาดขึ้นมา ถ้าบอกมันตรงๆ มันไม่ฟัง เขาต้องใช้อุบายตำรวจจับนะพอตำรวจจับ มันหยุดเลย แล้วตำรวจจะมาจับอะไรเด็ก เด็กมันทำอะไรผิด แต่เวลาผู้ใหญ่จะขู่นะตำรวจจับนะทุศีลไหม ศีลขาดหรือเปล่า โกหกหรือเปล่า แต่มันโกหก โกหกนี่อีกเรื่องหนึ่ง แต่ตำรวจจับนะ เราบอกไม่โกหกหรอก

ทีนี้ไอ้พวกเถรตรงบอกอย่างนี้ผิดศีล พ่อแม่อะไรโกหกลูกตำรวจจับๆ

เขารักลูกเขา พอบอกตำรวจจับ มันดูการ์ตูน มันรู้ใช่ไหมว่าตำรวจจับ มันกลัว บอกตำรวจจับ มันหยุดเลย แต่จริงๆ ตำรวจไม่จับหรอก จะจับอะไร กฎหมายมันบังคับใช้เยาวชน ถ้าเยาวชนทำผิด กฎหมายยังไม่บังคับใช้เลย แล้วบอกว่าตำรวจจับ มันสะดุดกึ๊กเลย แบบนี้เขาเรียกว่าอุบาย อุบายการสั่งสอน อุบายการอบรมให้เด็กมันสำนึก เด็กมันเป็นคนดี อย่างนี้เป็นการโกหกไหม

อุบาย คำว่าอุบายเรามีเจตนาดี เราปรารถนาดี เราอยากให้เขาเป็นคนดี แต่บอกเขาด้วยความซื่อตรง กิเลสมันครอบงำ มันต้องใช้อุบาย ต้องใช้อุบาย เราไม่ได้เจตนาทำให้เขาชั่วร้าย ไม่ได้เจตนาทำเสียหาย แต่เราเจตนาให้เขาเป็นคนดี แต่บอกเขาดีๆ กิเลสมันครอบงำ กิเลสมันไม่เชื่อลูกอย่าทำนะ มันไม่ดีอย่างนั้นนะมึงพูดไป ๕ วันเลย มันนั่งยิ้มเฉย นั่งเล่นเฉยเลย มันไม่ฟังมึงเลย บอกตำรวจจับ มันปล่อยผัวะ! เลิกเลย แล้วเอ็งจะเอาอย่างไรล่ะ แล้วก็บอกว่าผิดศีล

นี่ไอ้ซื่อบื้อ เวลามันไปทำชั่ว มันบอกว่ามันเป็นความดี นี่ปฏิบัติธรรม เวลามันใช้อุบายจะบอกให้คนทำดี มันบอกว่าผิดศีล เห็นไหม คนมันมีมุมมองต่างกันไง

ของอย่างนี้เราบอกตั้งแต่ทีแรก ผู้เฒ่า ผู้เฒ่าประจำหมู่บ้านเขาผ่านโลกมามาก เขาจะให้ผู้เฒ่านั้นเป็นผู้พิพากษา เป็นทั้งตำรวจ เป็นทั้งนักปราชญ์ประจำหมู่บ้านเลย แต่ของเราอายุ ๒๓ มันยังไม่รู้เท่า มันก็เลยมองว่าโลกนี้ยุ่งไปหมดเลย แบบว่ามันเถรตรงเกินไปไง ความเถรตรง ความดำรงชีวิต มันก็มีของมันนะ

ฉะนั้นว่า ชีวิตเกิดมา ถ้ายังเป็นวัยใสอยู่ เพราะอะไร เพราะกรณีอย่างนี้มันต้องทบทวน ถ้าคนผ่านโลกมาแล้วมันจะเข้าใจเรื่องนี้

พระบวชใหม่ทุกองค์ เราบวชใหม่ๆ ก็อย่างนี้ บ้าบอคอแตกอย่างนี้ ซื่ออย่างนี้ เป็นอย่างนี้หมด เราก็เป็น บวชใหม่ๆ โดนพระเขาหลอกจนหัวปั่นเลย เพราะอะไร เพราะอยากศึกษา เขาก็บอกมาแต่ละเรื่อง เขาก็พูดของเขาไปตามความเข้าใจของเขา ไอ้เรามันคนเถรตรง เราก็พยายามทำจริงของเรา

สุดท้ายแล้วพอภาวนาเป็นนะ โอ้โฮ! กูนี่โดนหลอกมาหมดเลยนี่หว่า คือคนไม่เป็นมันสอน คนทำไม่เป็นแล้วมันสอน มันฟังต่อๆ กันมา มันฟังต่อๆ กันมา เล่าต่อๆ กันมา แล้วเราก็ฟังตามเขา แล้วเราก็ปฏิบัติ เวลามันเป็นจริงขึ้นมา พอมันเป็นจริงขึ้นมา โอ้โฮ! นี่ไง มันถึงทำให้เราพยายาม ที่พูดๆ อยู่นี่เรารู้ เพราะอะไรรู้ไหม เพราะเราโดนอย่างนี้

อายุ ๒๓ ชีวิตนี้อายุ ๒๓ เห็นว่าชีวิตนี้เป็นภัยมาก ตอนนี้พยายามกำหนดพุทโธอยู่ พยายามทำทานถือศีล ๘ ทุกวัน ถือศีล ๘ ทุกวัน

นี่มันเป็นวัยใส มันอยากดีทั้งนั้นน่ะ เราตอนบวชใหม่ก็เป็นอย่างนี้ เห็นอะไรมันดีไปหมด คิดว่าเขาคิดดีหมด คิดว่าผ้าขาว คิดว่าใครพูดอะไรมันดีหมด มันถูกหมด แต่จริงๆ เขาไม่รู้ นี่มันวุฒิภาวะไง

การศึกษาคือการเล่าต่อๆ กันมา คือฟังนิทานมา ฟังเขาว่า จริงไม่จริงยังไม่รู้ ฟังเขาว่า แล้วพูดต่อๆ กันมา แล้วเราก็ไปฟังต่อมา แล้วก็เชื่อ แล้วก็พยายามมุมานะ โอ๋ย! ทุกข์มาก โดนหลอกมาเยอะ แต่พอมันเข้าไปสู่ โอ้โฮ! อันนั้นโดนหลอก

นี่ไม่ใช่อวดนะ ตั้งแต่นั้นมานะ พอมันโตขึ้นมาหน่อย มันปฏิญาณในใจเลย กูต้องอยู่กับพระอรหันต์เท่านั้น กูไม่อยู่กับใครทั้งสิ้น ฉะนั้น เราถึงเข้าบ้านตาด ออกจากบ้านตาดไปอยู่กับหลวงปู่เจี๊ยะ ไม่ได้หลวงปู่เจี๊ยะ กูก็ไปอยู่ป่าของกู ไปอยู่ในนั้น ถ้าไม่มีใคร กูไม่อยู่กับใคร ถ้ากูอยู่ กูต้องอยู่กับพระอรหันต์ อย่างน้อยๆ พระอรหันต์เจตนาทุจริตไม่มี กูไว้ใจได้ กูต้องอยู่กับพระอรหันต์เท่านั้น นี่เราปฏิญาณของเราเองเลยนะ กูต้องอยู่กับพระอรหันต์เท่านั้น นอกนั้นกูไม่อยู่ด้วย ไม่อยู่ด้วย เราก็ไปอยู่ของเราเอง

จนสุดท้าย พอดีเขาไปนิมนต์มาอยู่ที่โพธาราม เขาก็บอกเลย ไอ้พระบวชเมื่อวานซืนมาสร้างวัดเขาว่าเพิ่งบวชนะ ปากยังไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมเลย มันจะมาสร้างวัดกันแล้วมันก็ทำมาได้ขนาดนี้

นี่พูดถึงเขาถามไง เพราะมันเห็นใจ มันเห็นใจหลายเรื่อง เห็นใจหลายเรื่องเพราะอะไร เพราะเราเจอ ตัวเราเองเป็นอย่างนี้มาก่อน เราโดนหลอกมาเยอะ แล้วพอเราบวชมาแล้ว มันมีนะ พวกลูกศิษย์ ผู้หญิงด้วย เขาเรียนวิศวะ เขาบอกเขาเรียนจบแล้วเขาจะบวชภิกษุณีแล้วเข้าป่าไปเลย

โอ้โฮ! ใจเราหายวาบเลยนะ เราพยายามคุยกับเขาด้วยเหตุด้วยผลนะ เพราะเป็นผู้หญิง แล้วมันดันทุรังอย่างนี้ มันจะบวชภิกษุณีแล้วจะเข้าป่าไปเลย ก็ผ้าใสไง ก็คิดว่ากูเข้าไปแล้วกูเป็นพระอรหันต์ มึงเข้าไปสิ เข้าไป มึงจะซักผ้าที่ไหน มึงจะย้อมผ้าที่ไหน มึงจะหากินอย่างไร แล้วมึงก็เพิ่งบวชด้วย

เราเจออย่างนี้มาเยอะ หลายๆ คนถ้ามันเป็นแบบว่า เป็นผู้ที่หวังดี เจตนาดี ทุกอย่างดี แต่โลกนี้มันซับซ้อน เดี๋ยวนี้เขาบอกว่าโลกนี้มันซับซ้อน เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมันมีความซับซ้อนมาก มันมีอะไรหลายซับหลายซ้อน เราจะเชื่อใคร จะอะไรใคร ยังเชื่อไม่ได้ พระพุทธเจ้าถึงสอนกาลามสูตร อย่าเพิ่งเชื่อ อย่าเพิ่งเชื่อใครทั้งสิ้น พยายามทำความจริงของเรา

ไอ้นี่ก็เหมือนกัน เราบอกว่า นี่เป็นความหวังดี เป็นเจตนาดี เป็นกุศลจิตที่ดี แต่ความที่ดีเป็นที่ดีใช่ไหม ที่ดีเราต้องทำดี ไม่ใช่ดีแล้วเราจะเป็นเหยื่อนะ เพราะด้วยความคิดดีของเรา เราคิดว่าดีไง แต่คนที่คิดไม่ดีเขาปรารถนาประโยชน์ เขาเอาความคิดว่าเราเป็นคนดีนี่เป็นเหยื่อเขาเลย

แต่ถ้าเราปฏิบัติ เราปฏิบัติของเรา แล้วบอกว่า ถ้าบอกว่า เราเป็นฆราวาสจะบรรลุธรรมได้ไหม

ได้ ได้ แต่วิธีการ พอได้ปั๊บ ทีนี้ก็เอาแล้ว ก็หลวงพ่อว่าได้ ได้ก็ไปเลยนะ ใครจะหลอกอย่างไรก็ชอบ หลวงพ่อว่าได้นี่

ได้ มันได้อยู่ที่เป็นสัมมาทิฏฐิ วิธีการที่ถูกต้อง ถ้ามันมิจฉาทิฏฐิ มันความเห็นผิด มันจะได้ได้อย่างไรล่ะ มันก็เข้ารกเข้าพงไปน่ะสิ

มันได้ ได้ แต่ก็ต้องทำให้ถูกต้องดีงามด้วยมันถึงจะได้ ถ้าได้แล้วมันก็สำมะเลเทเมากันไป ไปล้มลุกคลุกคลานกันอยู่อย่างนั้นแล้วบอกว่าได้ มันก็ไม่ใช่

ได้ มันก็ต้องถูกต้องดีงามมันถึงจะได้ใช่ไหม คนบอกได้ ได้ ถ้ามันไม่ดีงาม มันไม่ถูกต้อง มันจะได้ได้อย่างไรล่ะ ถ้ามันได้ มันดีงามมันก็ได้ไง

ฉะนั้น.. ชีวิตประจำวันนี้มันสร้างกุศลได้ยากมาก

เขายากของเขา ถ้าเราทำของเรา มันก็ง่ายของเราไง

เราบอกว่าชีวิตประจำวันมันสร้างกุศลได้ยาก

ยากเพราะอะไร เพราะสังคมมันซับซ้อน สังคมมันเห็นแก่ตัว สังคมมันเอารัดเอาเปรียบ มันก็ทำอกุศลกันอยู่อย่างนั้นน่ะ แล้วเราไปอยู่กับเขา เราจะไปกับเขา มันก็ยากใช่ไหม

แต่ถ้าทำให้เราง่ายใช่ไหม เขาอกุศล เขาทำแต่ประโยชน์ของเขา เราเป็นกุศล เราหวังดี เราทำของเรา ทำของเรา แต่มันอย่างที่ว่า สังคม ถ้าสังคมเขาทำกันอย่างนั้น เราไม่ทำ มันก็อยู่ยาก อยู่ยากก็ต้องหา หาวิธีการหลบหลีก จะทำความดี เราก็ทำของเรา ทำความดี เราก็ทำในใจก็ได้ ไม่ต้องทำความดีแล้วต้องบอกเขา อย่างฉันถือศีล ๕ สลักหน้าผากเลย คนคนนี้ถือศีล ๕ นะ...ไปแล้ว ไอ้นู่นก็กินไม่ได้ ไอ้นี่ก็ไม่ได้ เพราะฉันถือศีล ๕

โอ๋ย! ถือศีล ๕ ไว้ในใจก็ได้ ไม่ต้องสลักไว้ที่หน้าผากเลย ฉันถือศีล ๕ นะ ไปตลาดก็ปลาเป็นก็กินไม่ได้ ไอ้นู่นก็กินไม่ได้

ปลาในซองเยอะแยะ ในซอง ปลาแห้งก็มี ไปซื้อเอาที่ปลาแห้งก็ได้ ของในซองเยอะแยะ ไม่ต้องไปซื้อไอ้ตลาดสดหรอก มันอยู่ที่เราจะใช้ชีวิต

ทีนี้คนเรามันคิดอย่างนี้ไง ถ้าทำความดีแล้วทุกคนก็ต้องดีกับเราไง ทุกคนคิดอย่างนี้นะ คิดว่าเราทำความดีแล้วก็เชื่อว่าทุกคนจะดีหมดไง มองสังคมอย่างนั้นมันไร้เดียงสาเกินไป ถ้าเราไม่ไร้เดียงสาเกินไป

ชีวิตประจำวันทำกุศลได้ยากมาก

เขาทำของเขา ใครทำใครได้ เขากว้านฟืนกว้านไฟใส่ใจเขาก็เรื่องของเขา เราก็ทำดีของเรา แต่ทำดีของเรา เพราะเรามันจำนวนน้อย ยกทีไรก็แพ้เขาทุกที เขาชนะทุกที แต่เราจำนวนน้อยก็ต้องทนเอาสิ เราจำนวนน้อย กุศล คนดี เขาโคกับขนโค จำนวนเราน้อย แต่เราทำความดี

แต่ถ้าเราทนไม่ไหว จำนวนเราน้อย เราก็เลิก ไปอยู่จำนวนมากซะ แล้วก็บอกชีวิตประจำวันทำกุศลแสนยาก ตอนนี้มันง่ายแล้ว เพราะไปเป็นพวกเขาแล้ว พอไปเป็นพวกเขานี่ง่ายเลย ไปหมดเลย

นี่ไง ปลาเป็นว่ายทวนน้ำ การปฏิบัติคือการทวนกระแส แม้แต่ปกติมันก็ทุกข์ยากพอแรงแล้ว แล้วปฏิบัติยังทวนกระแส ทวนกิเลส ทวนทุกอย่าง มันทุกข์ทั้งนั้นน่ะ ถ้าพูดถึงเรามาคิดว่าเป็นทุกข์

แต่ถ้าเรามีสติมีปัญญา เราคิดว่าสิ่งนี้มันเป็นการสร้างกุศล ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เราทำคุณงามความดีต้องเป็นความดีของเรา เราทำความดีของเรา ใครจะชั่วจะช้าอย่างไร ช่างเขา เราจะทำความดีของเรา ทำความดีของเรา ฝืนทำของเราไป ทำไปๆ จนอำนาจวาสนาบารมีเกิดขึ้น ทุกคนยอมรับ วันหลังมานะ เขาจะเตรียมให้พร้อมเลย คนนี้ต้องให้อยู่ในศีลธรรม เขาจะจัดไว้ให้เลย ถ้าเป็นเพื่อน เพื่อนก็บอกว่า คนนี้เขาจะใช้อย่างนี้ ทดลองกันมาหลายปีแล้ว เขาเป็นอย่างนี้ ฉะนั้น เพื่อนเขาจะจัดให้ ถ้ากินเลี้ยง เขาจะจัดของเราให้เลยต่างหาก ไอ้พวกนี้มันถือศีล ๕ มันไม่กินปลาเป็น มันกินปลาตาย เอาปลาตายให้มัน เขาจัดไว้ให้เลย เห็นไหม ถ้าเราทำจริงนะ ถ้าทำจริงมันทำได้ แต่กว่าจะได้ ต้องมีวาสนา นี่ไง เราถึงบอกวุฒิภาวะของใจ ใจมีวุฒิภาวะจะทำได้

ฉะนั้น อ่านคำถามคำนี้แล้วมันสงสารไง สงสารว่า หนึ่ง หนูอายุ ๒๓ เพิ่งทำงาน กำหนดพุทโธ

มันเป็นผ้าใสไง มันเป็นความไร้เดียงสาไง ความไร้เดียงสา แล้วมองสิ่งใดก็มองไป ความไร้เดียงสาแล้วปรารถนาดีหวังดี ก็ยังคิดว่าดี ฉะนั้น หวังดี คิดว่าดี มันต้องมีประสบการณ์ชีวิต เราประสบการณ์ชีวิตไป

ฉะนั้น ที่ว่า ถ้าเป็นฆราวาสบรรลุธรรมได้ไหม

ได้ แล้วถ้าปฏิบัติให้ถูกต้องดีงาม รักษาไว้ รักษาอุดมการณ์อันนี้ไว้ รักษาอุดมการณ์ รักษาความตั้งใจของเราอันนี้ เราสาธุอันนี้นะ แต่ว่าอุดมการณ์มันจะยกเลิกเมื่อไหร่ไม่รู้ อุดมการณ์ชีวิตนี้ เวลามันทุกข์ เลิกเถอะ ไม่เอาแล้ว ทำดีไม่ได้ดี ทุกข์น่าดูเลย

อุดมการณ์อันนี้ให้รักษาไว้ ดำรงไว้ ความหวังดีนี้ไว้ให้เป็นกุศลกับใจดวงนี้ เอวัง