เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๑๖ ส.ค. ๒๕๕๗

 

เทศน์เช้า วันที่ ๑๖ สิงหาคม ๒๕๕๗
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

อ้าว! ตั้งใจฟังธรรมะเนาะ ธรรมะมันจะเกิดขึ้นมา ดูสิ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไปค้นคว้า ค้นคว้าจนองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมใช่ไหม แล้วพวกเราบอกว่าธรรมะมีอยู่แล้ว ธรรมะมีอยู่โดยดั้งเดิม ให้มันลอยมาเอาเองหรือ มันจะลอยมาจากไหนล่ะ ขนาดองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังต้องค้นคว้าขนาดนั้น ๖ ปี ไปรื้อค้นมาอยู่ ๖ ปี ไปศึกษากับเขาก็ไม่ได้ แต่เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะมาตรัสรู้ ตรัสรู้ในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

ฉะนั้น เวลาเราจะทำคุณงามความดีของเรา เราจะต้องทำคุณงามความดีของเรา ต้องมีการกระทำ มันไม่มีหรอก ในพระพุทธศาสนามันมีเหตุมีปัจจัย มันต้องมีที่มาที่ไป มันไม่มีที่ว่าลอยมาจากไหน ไอ้ที่ว่าลอยมาจากไหนมันเป็นอธิษฐานบารมี เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตั้งอธิษฐานไว้ ตั้งอธิษฐานบารมี ตั้งอธิษฐานว่าเราจะเป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไปภาคหน้า เราก็สร้างบุญกุศลมาเป็นพระโพธิสัตว์ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพยากรณ์แล้วมันกลับไม่ได้

แต่เวลาคนปรารถนาทำคุณงามความดี ใครๆ ก็อยากจะมีอำนาจวาสนา ใครก็อยากจะรื้อสัตว์ขนสัตว์ ใครก็อยากมีอำนาจวาสนามาก ก็ตั้งปรารถนากันเป็นพุทธภูมิ อยากจะเป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากันทั้งนั้นแหละ แล้วพอทำไปๆ สุดท้ายแล้วนะ สุดท้ายทำไปมันไม่มีต้นไม่มีปลาย แล้วมันจะจบเอาเมื่อไหร่ เพราะพระพุทธเจ้ายังไม่พยากรณ์

ขนาดหลวงปู่มั่นนะ ท่านบอกว่าท่านปรารถนาเป็นพระโพธิสัตว์เหมือนกัน ท่านปรารถนาเป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเหมือนกัน แล้วก็สร้างบุญกุศลมามาก บุญกุศลมามาก สร้างมามากแล้วแหละ แต่ถึงที่สุดแล้วท่านมาได้คิดไง ท่านคิดของท่านเอง ไม่ใช่ว่าได้คิด ท่านมาใช้ปัญญาของท่านว่า ถ้าในชาติปัจจุบันนี้เวียนว่ายตายเกิด เพราะท่านเกิดมาท่านก็มีโรคประจำตัวอยู่แล้ว เป็นโรคท้องเสียมาตั้งแต่เป็นฆราวาส เวลามาบวชใหม่ๆ มาไสไม้อยู่ที่วัดเลียบ ท่านก็เป็นโรคของท่าน ท่านมีโรคประจำตัวของท่านอยู่แล้ว คนมีโรคประจำตัวนะ มันทำอะไรมันขาดตกบกพร่องไหม คนสมบูรณ์เขาทำอะไร เขาทำของเขา เขายังทุกข์ยากของเขา นี่คนมีโรคประจำตัว แล้วท่านก็มาพิจารณาของท่าน

พิจารณาของท่านว่า ถ้าเราปฏิบัติในชาติปัจจุบันนี้ ถ้าสำเร็จก็เป็นพระอรหันต์เหมือนกัน ถ้าปรารถนาเป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า สร้างบุญญาธิการไปมหาศาลเลย พอตรัสรู้แล้วก็เป็นพระอรหันต์เหมือนกัน เป็นพระอรหันต์เหมือนกันคือสิ้นกิเลสเหมือนกัน วิมุตติสุขเหมือนกัน แต่มันต่างกันที่รื้อสัตว์ขนสัตว์ แต่ถ้าเราสร้างอำนาจวาสนาบารมี สาวก-สาวกะ เราก็ได้สาวกไง สาวกก็ได้มีคุณธรรมในหัวใจ ก็สิ้นกิเลสเหมือนกัน ท่านคิดของท่านอย่างนั้นท่านถึงลาพระโพธิสัตว์ของท่านไง ท่านลาพระโพธิสัตว์ของท่านแล้วท่านมาประพฤติปฏิบัติของท่าน เพราะท่านมีอำนาจวาสนา เพราะได้สร้างเป็นพระโพธิสัตว์มาใช่ไหม มันถึงเวลาท่านค้นคว้าของท่าน ท่านค้นคว้าของท่าน องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเวลาค้นคว้า ค้นคว้าโดยองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเอง ยังไม่มีธรรมะ ธรรมไม่มี หมายความว่า มันไม่มีอริยสัจ ไม่มีสัจจะความจริง

ดูสิ ไม่มีสัจจะความจริง ศาสนาเชนที่ชีเปลือย ศาสนาต่างๆ ก่อนที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะตรัสรู้ เขามั่นคงของเขาแล้วนะ เขามั่นคงของเขา พวกพราหมณ์เขามีกี่พันปี ๕,๐๐๐ ปี ๗,๐๐๐ ปีนู่นน่ะ ศาสนาเรา ๒,๐๐๐ กว่าปี ศาสนาอื่นเขามั่นคงของเขาแล้ว แล้วองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไปศึกษากับเขาๆ ศึกษากับเขาทำไมไม่คล้อยตามเขาไป ไม่คล้อยตามเขาไปเพราะอำนาจวาสนาอันนี้ไม่คล้อยตาม อำนาจวาสนา สร้างบุญญาธิการมามาก มีบารมีไง ถ้ามันไม่มีเหตุมีผล เชื่อไม่ได้ ถ้าไม่มีเหตุ ไม่มีสิ่งใดที่มันชำระล้างในจิตใจของตัวเอง มันเชื่อไม่ได้ มันเชื่อไม่ได้ ถ้ายังสงสัย ยังลังเลอยู่ ยังฉงนสนเท่ห์อยู่ มันเป็นไปไม่ได้ ท่านถึงมาค้นของท่านเอง นั้นเวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าค้นคว้าเองเป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

เวลาหลวงปู่มั่น หลวงปู่มั่นท่านค้นคว้าของท่าน ตู้พระไตรปิฎกมีทุกวัดเลย ทุกวัดมีธรรมะทั้งนั้นแหละ ตู้พระไตรปิฎกมีตั้งอยู่ทุกวัดเลย แล้วก็มีการศึกษาๆ ศึกษามา ศึกษามาแล้วก็งงๆ ศึกษาทำอย่างไร ศึกษามาทำอย่างไร นี่ไง หลวงปู่มั่นท่านถึงมากรุงเทพ มาปรึกษาใคร? มาปรึกษาเจ้าคุณอุบาลีฯ

เจ้าคุณอุบาลีฯ ท่านก็ภาวนาของท่าน ท่านก็ศึกษา เพราะท่านเป็นคนวางรากฐานในการศึกษานะ เวลาการศึกษา สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส เป็นผู้วางการศึกษาไว้ ครูบาอาจารย์ท่านสืบต่อกันมา เจ้าคุณอุบาลีฯ ท่านก็มาวางรากการศึกษาไว้ ท่านศึกษาแล้วท่านยังภาวนาด้วย

ดูสิ เวลาหลวงปู่มั่นท่านอยู่ที่ถ้ำสาริกา เวลาระลึกถึง เพราะว่าท่านมาคุย มาปรึกษาธรรมะกัน มาค้นคว้าร่วมกัน ธมฺมสากจฺฉา มาปรึกษา มาค้นคว้ากัน แล้วปฏิบัติขึ้นมาด้วยกัน เวลาท่านมาอยู่ที่ถ้ำสาริกาท่านก็ระลึกถึง ท่านส่งจิตมาดูไง ดูว่าเจ้าคุณอุบาลีฯ ท่านทำอะไรอยู่ เจ้าคุณอุบาลีฯ ท่านกำลังพิจารณาปฏิจจสมุปบาท การพิจารณาปฏิจจสมุปบาท เจ้าคุณอุบาลีท่านพิจารณาของท่าน แล้วหลวงปู่มั่นท่านจำวันเวลาไว้ เวลาท่านลงมาจากถ้ำสาริกาไปแวะพักวัดบรมฯ พอพูดถึงวันเวลา “วันนั้นเจ้าคุณท่านเป็นอย่างนั้นๆ จริงไหม”

“เอ๊อะ! เอ๊อะ!”

นี่ไง เวลาค้นคว้าๆ การค้นคว้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านค้นคว้าของท่านเอง หลวงปู่มั่นท่านค้นคว้าของท่าน ท่านปฏิบัติของท่าน ปฏิบัติของท่าน แต่ท่านก็เทียบเคียงๆ เราจะบอกว่าความทุกข์ความยากของคนมันต่างกัน เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะไปปรึกษาใคร ค้นคว้าเอง ปฏิบัติเอง เทียบเคียงเอง ในหัวใจเอง ดูสิ ใครจะยกย่องสรรเสริญขนาดไหน คนดีนะ คนดีคนที่มีสัมมาคาราวะไปอยู่กับสังคมใด สังคมนั้นก็รัก สังคมนั้นก็ชอบ สังคมนั้นก็อยากเอาไว้กับเราจริงไหม คนดี แต่คนดีมีความปรารถนาลึกๆ ในใจว่า คนดีด้วย แล้วอยากจะไม่เวียนว่ายตายเกิด จะตรงข้าม ไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย จะพ้นไปให้ได้

แต่เวลาเขาสอน เขาสอนไม่ได้ เขาสอนไม่ถึง เขาสอนให้ทำความสงบของใจ ใจมันสงบแล้วมันก็เป็นฌานโลกีย์ มันก็เป็นอภิญญา มันก็ยังมีตัวตนเราอยู่ เราจะมีคุณวิเศษขนาดไหนมันก็ยังมีเวียนว่ายตายเกิด เพราะมันรู้ตัว เห็นไหม นี่คนที่มีอำนาจวาสนาบารมี เวลามารื้อค้นของท่านเอง ท่านทำของท่านเอง บุพเพนิวาสานุสติญาณ ระลึกอดีตชาติได้ ระลึกว่ามันมาจากไหน มันมาอย่างไร ค้นไว้ได้หมดเลย แล้วไปอย่างไรล่ะ ไปไม่ได้ อันนี้ไม่ใช่ วางไว้

อ้าว! ถ้าไม่ใช่ ถ้ามันยังมีจิตอยู่ ไปอนาคต ถ้ามันเกิด แก่ เจ็บ ตาย จุตูปปาตญาณ มันยังเกิด ถ้ามีแรงขับ มีอวิชชา ต้องเกิดๆๆ เกิดแล้วก็ต้องตาย ก็เวียนว่ายตายเกิดอย่างนั้นไง อดีตที่ส่งเสริมมามันเป็นแบบนี้ อนาคตที่มันจะเป็นไปมันมี อดีตอนาคตมันมี เมื่อวานมี วันนี้มี มันก็จะมีพรุ่งนี้ พรุ่งนี้ยังต้องมี ถ้าเรามีอยู่ พรุ่งนี้เราต้องเผชิญกับชีวิตพรุ่งนี้อีก แล้วถ้ามันจะดับ จะดับอย่างไรล่ะ

ย้อนกลับมา ย้อนกลับมา อาสวักขยญาณ ย้อนกลับมา เห็นไหม ดับลง ดับลงที่ฐีติจิต

“เธอจงมองโลกนี้เป็นความว่างแล้วกลับมาถอดถอนอัตตานุทิฏฐิ” ทิฏฐิความเห็น ตัวตนของเราถอนทั้งหมดเลย

อ้าว! พรุ่งนี้ก็เป็นพรุ่งนี้ เมื่อวานก็มาแล้ว ไม่ไปตื่นเต้นอะไรกับมัน ปัจจุบันนี้ได้ถอนแล้ว รู้เท่าหมดเลย แล้วพรุ่งนี้ก็ ภารา หเว ปญฺจกฺขนฺธา มันก็เป็นภาระ มันเป็นสิ่งที่มีอยู่ มันก็ไม่ตื่นเต้นไปกับมัน เราต้องอยู่ เราต้องอยู่กับมัน แต่เราก็ไม่ต้องว่า พรุ่งนี้จะมีอะไร พรุ่งนี้จะเป็นอะไร...พรุ่งนี้ก็คือพรุ่งนี้ นี่ไง ถ้ามันกลับมาย้อนตรงนี้หมด เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าค้นคว้าขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเอง เวลาหลวงปู่มั่น หลวงปู่มั่นนะ เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพยากรณ์ไว้ “กึ่งพุทธกาลศาสนาจะเจริญอีกหนหนึ่ง”

สมัยองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าศาสนาเจริญรุ่งเรืองมาก เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเทศนาว่าการ เทวดา อินทร์ พรหมสำเร็จเป็นพระอรหันต์เป็นแสนๆ เวลาเทศนาว่าการไป ไปเทศน์ชฎิล ๓ พี่น้อง ๕๐๐ เทศน์ทีหนึ่งมีนักบวชสำเร็จทีละ ๕๐๐ ทีละ ๑,๐๐๐ คิดดูสิ พระอรหันต์ นั่งอยู่นี่พระอรหันต์ทั้งนั้นเลย

เวลาวันมาฆบูชา เห็นไหม เป็นผู้บวชให้เอง บวชให้เอง สอนเอง ๑,๒๕๐ องค์ เป็นเอหิ ภิกขุ เหมือนเราคลอดเอง เราคลอดด้วย เราบวชให้เอง มันคลอดออกมา แล้วสั่งสอนจนเป็นพระอรหันต์ด้วย ระลึกถึงบุญคุณขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ดูสิ มองไปที่ไหนมีแต่พระอรหันต์ สังคมพระอรหันต์ที่อยู่กัน แล้วพระอรหันต์ เห็นไหม “เธอทำจิตให้ผ่องแผ้ว จะไม่ทำความชั่วทั้งนั้น จะทำจิตใจให้สิ้นสุด” นี่เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเทศนาว่าการพระอรหันต์ด้วยกัน นั้นเวลาเจริญรุ่งเรือง แล้วกาลเวลาก็ผ่านไป องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพยากรณ์ว่ากึ่งพุทธกาลศาสนาจะเจริญอีกหนหนึ่ง

ในสมัยหลวงปู่มั่นนะ เวลาท่านจะออกประพฤติปฏิบัติ ที่ปฏิบัติ ปฏิบัติจากที่ไหน หลวงปู่มั่นปฏิบัติอย่างไร หลวงปู่เสาร์ท่านพาของท่าน ผู้ที่สร้างอำนาจวาสนาบารมีมา ในเมื่อบวชแล้วเราก็จะไม่ใช้ชีวิตอยู่กับวัดกับวาที่เขาอยู่ใช้ชีวิตแบบประเพณีวัฒนธรรม เราจะรื้อค้นของเรา ออกธุดงค์ ออกค้นคว้า ค้นคว้าเสร็จแล้ว แล้วจะไปปรึกษาใครล่ะ ใครเป็นอาจารย์ล่ะ นี่ความสงสัยมันมี เห็นไหม ขนาดที่ว่าลาพระโพธิสัตว์ เวลาลาพระโพธิสัตว์แล้วย้อนกลับมา เวลาย้อนกลับมาด้วยปัญญา ด้วยการศึกษา ด้วยการค้นคว้า ค้นคว้า เพราะตู้พระไตรปิฎกมีอยู่ทุกวัด พระเณรเต็มไปหมด แล้วใครจะบอกได้ ใครจะสอนได้

เวลาท่านค้นคว้าของท่าน ท่านทำของท่านจริง เพราะท่านมีอำนาจวาสนา พอศาสนาเจริญ เจริญที่ไหนล่ะ? เจริญในใจของหลวงปู่มั่น เจริญในใจหลวงปู่เสาร์ นี่เจริญในใจ เพราะใจที่มันเป็นธรรมจริงๆ เห็นไหม ธรรมแท้ๆ พอธรรมแท้ๆ แสดงออกมา แม้แต่ความเป็นอยู่ ใครได้เห็นความเป็นอยู่นะ มันก็เคารพบูชาแล้ว เพราะมันไม่มีมารยาสาไถย มันเป็นจริงอย่างนั้น

ดูสิ เวลาเขาพูดกัน “พระอรหันต์เหมือนเด็กๆ เด็กๆ ที่มันไม่รู้ นั่นพระอรหันต์”

มันจะพระอรหันต์ตรงไหน เด็กมันร้องไห้ เด็กมันอ้อนแม่มัน เด็กมันต้องการความอบอุ่น มันจะพระอรหันต์ที่ไหนล่ะ เราบอกว่า เวลาพระอรหันต์ไม่มีมารยาสาไถย มันเหมือนเด็กที่ไร้เดียงสาที่ไม่มีมารยา ไม่มีมารยาสาไถย แต่เด็กนี้มันมีภวาสวะ มันมีภพ มันเป็นกาลเวลา

แต่พระอรหันต์ไม่เป็นอย่างนั้น นี่สมบูรณ์ด้วยสติ เวลาอยู่โดยธรรมธาตุ เวลาจะออกเสวยอารมณ์ เวลาออกมารับรู้มันถึงพร้อมมา แล้วพร้อมมาทำไมพระอรหันต์ยังหกล้ม ยังเจ็บไข้ได้ป่วยอยู่ล่ะ อันนั้นมันเป็นเรื่องภาระ ของที่เป็นภาระ เห็นไหม เรามีเสื้อผ้าอยู่ชุดหนึ่ง เสื้อผ้าเราต้องเก็บล้าง ต้องซักไหม แล้วเราเอามาใช้แล้วเราต้องซักล้างอีกไหม เสื้อผ้าเราต้องซักไหม ไม่ซักมันก็เหม็นใช่ไหม เสื้อผ้าเราก็ต้องซัก ต้องปะ ต้องชุน เพื่อเราจะใช้ของเราไปใช่ไหม

ขันธ์ ๕...ธาตุ ๔ ขันธ์ ๕ มันไม่ใช่จิต มันไม่ใช่ธรรมธาตุ ธรรมธาตุมันอาศัยธาตุ ๔ ขันธ์ ๕ นี้อยู่ มันก็เหมือนเสื้อผ้าชุดหนึ่งที่รับภาระผิดชอบที่ต้องซัก ต้องดูต้องแลมันไป แต่ของเรามันไม่ใช่ ของเราขันธมาร มันเป็นมาร มันเป็นเสื้อผ้า มันเป็นมารด้วย แล้วมันก็รัดคอด้วย จะเอาสวยงามอย่างนั้น จะเป็นทุกข์ใจอย่างนั้น มันชำรุดเสียหาย อู๋ย! เจ็บปวดเลย อู๋ย! ตัวนี้มัน...นี่กิเลสมันไปยึด มันคนละเรื่องกัน เห็นไหม

ฉะนั้น สิ่งที่ว่าพระอรหันต์เหมือนเด็กไร้เดียงสานี่เขาพูดกันไป พระอรหันต์เหมือนเด็กไร้เดียงสา มันไม่มีมารยาสาไถย...นั้นมันเป็นเด็ก แต่ถ้าจิตมันไม่เป็นอย่างนั้นหรอก ถ้าจิตมันเป็นความจริงขึ้นมานะ มันพิจารณาของมันไป เป็นชั้นเป็นตอนขึ้นไป เป็นชั้นเป็นตอน เห็นไหม

ศาสนาจะเจริญอีกหนหนึ่ง เจริญในใจของหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น เจริญในใจของครูบาอาจารย์ของเรา ถ้าครูบาอาจารย์ท่านประพฤติปฏิบัติของท่าน ท่านเป็นธรรมของท่านมา ท่านเป็นธรรม เป็นธรรมมาจากไหนล่ะ? เป็นธรรมมันก็ต้องมาจากความเพียร ความวิริยะ ความอุตสาหะ ฉะนั้น เวลาเราทำความเพียร ความวิริยะ ความอุตสาหะ เราอย่าน้อยเนื้อต่ำใจ

เราเกิดมาแล้วเราก็อยากจะมั่งมีศรีสุข เราอยากทำอะไรประสบความสำเร็จ มันก็อยู่ที่อำนาจของคน คนที่มันมีอำนาจวาสนาทำสิ่งใด จังหวะและโอกาสมันสมดุล มันพอดี เพราะบุญของเขา ของเรานะ เราทำของเรา เราทำของเรามันจะขาดตกบกพร่องบ้าง เพราะเราก็ไม่สมบูรณ์ของเรา อย่างเช่นทำทานๆ ดูสิ เขาจะทำกันไหม เขาบอกทำไมล่ะ เราหามา เราหามาเป็นของเราต้องไปให้คนอื่นด้วยทำไม

อ้าว! เราหามา หามาด้วยน้ำพักน้ำแรง เราหามาเพื่อปัจจัยเครื่องอาศัย แต่สิ่งที่เราเสียสละออกไป เราเสียสละเพื่อฝึกฝนใจของเรา เพื่ออำนาจวาสนาบารมีของเรา ถ้าอำนาจวาสนาบารมี เพื่อหัวใจ หัวใจที่มันมีอำนาจวาสนาบารมี นี่บุญกุศลๆ เวลาเราทำสิ่งใด ที่ว่า เวลาเขาทำอะไรเขาประสบความสำเร็จ เขาทำอะไร จังหวะโอกาสเป็นของเขา เราทำอะไรมันขาดตกบกพร่อง

ก็นี่ไง พระอรหันต์สมัยพุทธกาล พระสีวลีเป็นผู้มีลาภรองจากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเพราะอะไร เพราะเป็นหัวหน้าทำบุญมาตลอดไง พระอรหันต์ในสมัยพุทธกาลที่ว่าทุคตะเข็ญใจเป็นพระอรหันต์ขึ้นมา ไม่เคยกินข้าวอิ่มแม้แต่มื้อเดียวเลย นี่มื้อหนึ่งไม่เคยกินข้าวอิ่มเลย แต่เป็นพระอรหันต์ได้อย่างไร

เราก็เหมือนกัน เราจะมั่งมีศรีสุขขนาดไหน หัวใจเราทุกข์เรายากหรือเปล่า หัวใจเรามีธรรมโอสถขึ้นมาเพื่อจรรโลงใจหรือเปล่า เราจะทุกข์จนเข็ญใจ เราทำสิ่งใดขาดตกบกพร่อง เราก็ขาดตกบกพร่องเพราะเราก็เลี้ยงปากเลี้ยงท้อง ปากท้องมันก็เท่านี้แหละ ปากท้องมันก็ไม่ให้คุณค่าเราไปมากกว่านี้หรอก แต่จิตใจของเราต่างหากที่มันจะมีคุณค่ามากไปกว่านี้ ถ้ามันทำแล้วเราก็วางไว้ ดีเสียอีกเพราะมันทำแล้วมันมีความขัดข้องหมองใจ มันจะมีเหตุให้ได้วิปัสสนา มันมีเหตุให้ทำความสงบของใจเข้ามา

ถ้าใจมันสงบเข้ามา มันมีคุณธรรมเข้ามาในหัวใจ จิตสงบแล้วมันมีที่พึ่งอาศัย แล้วถ้าฝึกหัดใช้ปัญญาขึ้นไป ปัญญาจะเกิดขึ้น เห็นไหม มันเกิดที่นี่ มันเกิดที่มรรค มันเกิดที่การกระทำ เกิดที่ความเพียร ความวิริยะ ความอุตสาหะ

คนเราจะประสบความสำเร็จก็เพราะเขามีความเพียร ความวิริยะ ความอุตสาหะ แล้วเขามีสติปัญญา เขามีเชาวน์ปัญญาของเขา เพราะเขามีบารมี แต่ของเรา ถ้าเราจะทำความสำเร็จ เราไม่มีเชาวน์ปัญญาของเรา ถ้าบุญกุศลมันก็ให้ผลประสบความสำเร็จ แต่ไม่มีปัญญาๆ

แต่เวลาจะเป็นพระอรหันต์ขึ้นมามันต้องเกิดจากปัญญา ภาวนามยปัญญา ปัญญาที่เกิดจากการภาวนา แล้วเราก็ฝึกฝนของเราขึ้นมาสิ สิ่งนี้มันจะเป็นประโยชน์กับเรา เห็นไหม พระอรหันต์ทุกองค์ต้องเกิดมรรคญาณ พระอรหันต์ทุกองค์ต้องมีมรรค พระอรหันต์ทุกองค์ต้องมีศีล สมาธิ ปัญญาเกิดจากใจดวงนั้น แล้วชำระจิตดวงนั้นให้เป็นพระอรหันต์ขึ้นมา พระอรหันต์ขึ้นมาไม่ได้ด้วยการอ้อนวอนใคร พระอรหันต์ขึ้นมาไม่ได้ให้ใครยกย่องสรรเสริญ พระอรหันต์ไม่ให้มีใครการันตี ไม่ใช่ ไม่มีใครการันตีพระอรหันต์องค์ไหนได้

พระอรหันต์ต้องทำจากใจพระอรหันต์นั้นขึ้นมาเอง จากใจที่สกปรกโสโครก จากใจที่มีอวิชชา ทำขึ้นมาจนสำเร็จขึ้นมา พอสำเร็จขึ้นมาแล้ว นี่กึ่งพุทธกาลศาสนาจะเจริญอีกหนหนึ่ง มันเจริญในใจของหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นขึ้นมา ท่านถึงเห็นคุณธรรมเป็นความสำคัญ ท่านถึงอยู่ป่าอยู่เขามาตลอดเพื่อเป็นเนติแบบอย่างให้กรรมฐานรุ่นหลังมาได้ถือเป็นเยี่ยงอย่าง ท่านทำไว้เป็นเยี่ยงอย่าง ท่านเสียสละไง

พระอรหันต์มีความทุกข์ไหม พระอรหันต์จะทำอย่างไรก็ได้ ดูหลวงตาสิ เวลาท่านปฏิบัติขึ้นมา ท่านพยายามเข้มงวดกับตัวท่านเองมาก เวลาแก่เฒ่าชราขึ้นมา เพื่อประโยชน์กับโลก ท่านบอกเพื่อประโยชน์กับโลกๆ ท่านอยู่ของท่านโดยวิหารธรรมของท่าน เพื่อประโยชน์กับโลกๆ

คำว่า “ประโยชน์กับโลก” พยายามทรงธาตุขันธ์ไว้เพื่อประโยชน์กับโลก ไอ้เราก็ไม่รู้ว่าท่านทรงไว้ทำไมไง เพราะพระอรหันต์มันไม่มีทุกข์ไม่มียาก ไม่มีอะไร แล้วเขาจะอยู่ทำไมล่ะ แต่ท่านทรงประโยชน์ไว้ ท่านบอกว่าตายกับอยู่มีค่าเท่ากัน แต่อยู่เพื่อประโยชน์กับโลกๆ ประโยชน์กับสังคม ประโยชน์กับเนติแบบอย่างให้คนได้ดู แต่คนก็คิดอย่างนู้น คิดอย่างนี้ คิดกันไปไง คิดไปแต่มุมมอง คิดไปแต่ทิฏฐิมานะของตัว คิดแต่ความเห็นของตัว

แต่ถ้ามันจะเป็นความจริงๆ พระอรหันต์ทุกองค์ต้องมีสติปัญญาจะเข้าไปชำระล้าง แล้วมีสติปัญญาแล้วมันไม่โง่หรอก มันดำรงชีวิตได้ แม้แต่เอาชนะกิเลสยังเอาชนะกิเลสได้เลย แม้แต่ฆ่ากิเลสในหัวใจยังฆ่ามาแล้ว มันจะไปโง่กับใครล่ะ มันจะเอาชีวิตไปสมบุกสมบัน ชีวิตมันก็ต้องดีงามไปไง แต่ใช้ชีวิตเป็นแบบอย่าง เห็นไหม หลวงปู่มั่นท่านอยู่ป่าอยู่เขาของท่านเป็นเนติแบบอย่างให้กับเรากระทำ เราทำตาม เพราะอยู่อย่างนั้นมันจะมีความสุขไหมในสายตาของทางโลก แต่วิหารธรรม วิหารธรรมในใจมันสุข มันมีความสุขของมัน วิหารธรรม ถ้ามีวิหารธรรมในใจแล้ว อยู่ด้วยวิหารธรรม มันมีอะไรจะมีค่ามากกว่านั้นล่ะ แต่ท่านทรงธาตุ ทรงขันธ์ไว้เพื่อประโยชน์กับโลกนะ ประโยชน์กับพวกเรา ประโยชน์กับพวกเราได้ อย่างน้อยๆ มันก็ดูแบบอย่าง

มันจะไม่เข้าตาเราเลยล่ะ มันจะขวางหูขวางตาไปหมดล่ะ ไม่ทำได้ดั่งใจเราเลย ขวางหู ขวางตาไปหมด

แต่ขวางหูขวางตาคือขวางกิเลสไง ไม่ให้กิเลสมันออกไปเพ่นพ่านมากเกินไปไง แต่ถ้ามันไม่ขวางหูขวางตามันก็ไปแนวทางกิเลสไง ในทางออเซาะฉอเลาะ มันเป็นแนวทางนั้นไง แนวทางการตลาดไง แล้วก็อยู่กันแบบนั้นแหละ อยู่กันแบบตลาดๆ นั่นล่ะ แต่ไม่อยู่แบบวิหารธรรม พรหมจรรย์ เราอยู่กันด้วยความสะอาดบริสุทธิ์ เราอยู่ด้วยการมีเป้าหมาย เราอยู่ด้วยกันนะ พยายามฝึกฝนให้เราเกิดสติเกิดปัญญาขึ้นมา เกิดมาชาตินี้ไม่เสียชาติเกิด เอวัง