เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๗ ก.ย. ๒๕๕๗

 

เทศน์เช้า วันที่ ๗ กันยายน ๒๕๕๗
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ตั้งใจฟังธรรมะเนาะ ธรรมะเพื่อให้เรามีความร่มเย็นเป็นสุขในหัวใจไง เพราะถ้าเราไม่มีธรรมะในหัวใจ มันมีกิเลสอยู่แล้ว เพราะอวิชชาพาเกิด คำว่า “อวิชชาพาเกิด” แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรารถนาเป็นพระโพธิสัตว์ คำว่า “ปรารถนาเป็นพระโพธิสัตว์” มันก็เวียนว่ายตายเกิดนี่แหละ แต่เวียนว่ายตายเกิดด้วยการเสียสละ เวียนว่ายตายเกิดด้วยการสร้างอำนาจวาสนาบารมี

ถ้าการสร้างอำนาจวาสนาบารมี เราไปอ่านประวัติองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตั้งแต่เป็นพระโพธิสัตว์มา ท่านเสียสละมาทั้งนั้นแหละ เสียสละชีวิต ถ้าเกิดเป็นกวาง เกิดเป็นสัตว์ ท่านก็เป็นหัวหน้าสัตว์ คุ้มครองหมู่สัตว์ให้สัตว์นั้นพ้นจากภัย พ้นจากการล่าของมนุษย์ เวลาเป็นพระโพธิสัตว์ท่านเสียสละมาขนาดนั้น ท่านทำคุณงามความดีของท่านมา แล้วในปัจจุบันนี้องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมมาแล้ว ๒,๐๐๐ กว่าปี วางธรรมวินัยนี้ไว้ ธรรมวินัยคือธรรมโอสถ ธรรมโอสถมันเป็นการบรรเทาทุกข์ของเรา บรรเทาทุกข์ในหัวใจของเรา

ถ้าเรามีธรรมะในหัวใจ เห็นไหม ดูสิ เวลาเราพูดถึงเรื่องศาสนา บรรพบุรุษของเราเป็นผู้มีปัญญา นับถือพระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติ กษัตริย์เวลาออกรบต่างๆ รบเพื่อปกป้อง ปกป้องแผ่นดิน ปกป้องแผ่นดินเพื่ออะไร? เพื่อให้ศาสนามั่นคงไง ถ้าศาสนามั่นคง ชาติ ชาติคืออะไร? ชาติคือสังคมรวมกัน มนุษย์รวมกันเป็นชาติขึ้นมา ชาติต้องมีสิ่งใดหล่อหลอม? ก็มีธรรมะ มีน้ำหล่อหลอมให้หัวใจของคนมีความรัก มีความผูกพัน มีการเสียสละต่อกัน

ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ พระมหากษัตริย์เป็นผู้นำ ชาติ ชาติคือสังคม คือมนุษย์ ศาสนา ศาสนาเป็นเครื่องโน้มน้าวหัวใจของเราให้อยู่ด้วยกันด้วยความร่มเย็นเป็นสุข ถ้าใครมีศาสนาในหัวใจ ถ้าคนที่มีศาสนา คนที่มีศาสนาในหัวใจมันเหมือน เหมือนกับเรา เราเกิดมาเรามีพ่อมีแม่ เรากลับบ้านมีพ่อมีแม่ เราอบอุ่นไหม แต่พ่อแม่ก็ต้องจากเราไปเป็นธรรมดา เวลาพ่อแม่จากเราไป เรากลับบ้านแล้วเราไม่มีพ่อไม่มีแม่ เราต้องยืนตัวของเราได้ใช่ไหม เราต้องเติบโตขึ้นมา เราต้องดูแลรักษากัน เพราะพ่อแม่เราไม่มีแล้ว แต่ถ้าพ่อแม่เรายังอยู่ มีสิ่งใดขัดแย้งกันก็ฟ้องแม่ๆ อ้าว! แม่จะเป็นคนจัดการ แต่พ่อแม่เราไม่อยู่แล้ว นี่มันเป็นผลของวัฏฏะ มันเป็นความจริงอย่างนี้ ถ้าเราอยู่กับความจริงอย่างนี้ เราต้องเตรียมตัวของเราไง เราจะต้องเติบโตของเราขึ้นมา เราต้องมีสัจจะในหัวใจของเราขึ้นมา ถ้ามีสัจจะในหัวใจของเราขึ้นมา เราจะเติบโตขึ้นมา

เรามีธรรมในหัวใจ มีธรรมในหัวใจ ถ้ามีสัจธรรมๆ แล้วธรรมมันก็มีอย่างพื้นฐาน อย่างละเอียดขึ้นไปเป็นชั้นเป็นตอนขึ้นไป ถ้ามันเป็นอย่างพื้นฐาน เห็นไหม ดูสิ เวลาสัตว์ถ้ามันมีน้ำใจต่อกัน มันมีอำนาจวาสนา สัตว์บางตัวมันเกิดมา เจ้าของมันดูแลนะ มันใส่สร้อยเพชรนะ มันดูแล สัตว์มันเกิดมาทำไมสัตว์ไม่เหมือนกัน สัตว์นะ ดูสิ หมาจรจัดมันมีใครไปดูแลมันบ้าง ถ้าเป็นหมาเศรษฐี อู้ฮู! มันมีเสื้อผ้าใส่ มันมีอาหารการกินดีกว่าเราอีก สัตว์มันเกิดมาเป็นสัตว์เหมือนกัน ทำไมมันไม่เท่ากันล่ะ? มันไม่เท่ากันเพราะว่ามันสร้างบุญกุศลมาแตกต่างกัน

สัตว์จรจัดๆ เห็นไหม ไอ้ทองแดงๆ ในหลวงเอาไปเลี้ยง คุณทองแดง เขาเก็บมานะ เก็บมาจากข้างถนน ทำไมมันมีวาสนาอย่างนั้นล่ะ แล้วท่านก็ทำเป็นตัวอย่างไง คุณทองแดงๆ มันเป็นหมาจรจัด แต่เขาเอามาแล้วก็บอกว่า อ้าว! ก็มันสัตว์เหมือนกัน สัตว์เหมือนกัน

สัตว์มันยังเกิดมา กรรมจำแนกสัตว์ให้เกิดต่างๆ กัน แม้แต่เกิดเป็นสัตว์ขึ้นมามันยังมีอำนาจวาสนาแตกต่างกัน เราเกิดมาเป็นมนุษย์ เราเป็นผู้ที่ประเสริฐ เรามีสมอง เรามีปัญญา ถ้าปัญญาของเรา ปัญญาโดยกิเลส ปัญญาก็บอกว่า เราจะต้องแสวงหาของเรา เราต้องมีความมั่นคงของเรา ความมั่นคงของเรานะ มันไม่ดูตาม้าตาเรือเลย

แต่ถ้ามันเป็นธรรม เราก็ต้องแสวงหาของเรา เราต้องมีปัญญาของเรา ปัญญาของเราไม่กระทบกระเทือนใคร เห็นไหม สุจริตชน ความเป็นสุจริตนั้นเป็นเกราะป้องกัน กลิ่นของธรรมหอมทวนลมๆ คุณงามความดีของเราหอมทวนลม แต่มันไม่เป็นอย่างนั้น โลกเขาอยากได้สายสะพายกัน เขาพยายามจัดฉากสร้างภาพเพื่อจะให้เอาสายสะพาย...เอามาทำไม เอามาทำไมสายสะพายนั่นน่ะ แต่เขาก็เอามาด้วยเกียรติยศทางสังคมใช่ไหม แต่ของเราคุณงามความดีมันเป็นสายสะพายในหัวใจ ถ้าหัวใจเรามีสายสะพายขึ้นมา คุณงามความดีอย่างนั้นมันต้องไปประกาศให้ใครรู้ล่ะ

นี่ทำดี เราว่าทำดีทิ้งเหวๆ เขาบอกว่า “หลวงพ่อบอกให้ทิ้งเหว ทิ้งเหวแล้วขอทานเวลาเขาเอาเด็กมาขอทาน ไปส่งเสริมเขา”

โอ๋ย! ทำไมปัญญามันเป็นอย่างนั้นล่ะ ไอ้นั่นมันปัญญาของโลกๆ คำว่า “ทิ้งเหวๆ” มันทิ้งเหวในกิเลสของเรา ไอ้หัวใจที่มันอยากได้สายสะพาย ทำบุญแล้วอยากให้เขานับหน้าถือตา จะทำบุญสักที กว่าจะถวายนะ ยื่นแล้วยื่นอีก ไม่มองสักที มองฉันหน่อย ฉันจะถวาย กล้องจับให้ดีสิ ถ่ายรูปมาฉันจะได้ติดรูปไป จะลงหน้า ๑ นั่นน่ะ นี่ทิ้งเหวตรงนี้ๆ

เราทำเถิด เราทำบุญของเรา ปฏิคาหก ผู้ให้ให้ด้วยความสะอาดบริสุทธิ์ ไม่หวังผลสิ่งใดทั้งสิ้น มันจะเกิดผลมหาศาลเลย อู๋ย! หยิบอยู่นั่นแหละกว่าจะวางได้นะ ไม่หันหน้ามามองฉันสักที ของฉันพิเศษนะ เห็นไหม มันไม่บริสุทธิ์ นี่ทิ้งเหว ทิ้งเหวตรงนี้ ไม่ใช่ทิ้งเหวว่า เขากดขี่ข่มเหงกัน

เด็ก เด็กมันไร้เดียงสา เด็กมันน่าสงสาร อนาคตเราฝากไว้กับเด็ก เยาวชนมันจะขึ้นมา แล้วเด็กมันไร้เดียงสา ผู้ใหญ่ที่ฉ้อฉลเขาก็ไปหลอกลวงเขามา แล้วทำให้พิการ แล้วมาขอทาน อย่างนั้นไม่ใช่ว่าเราจะทำบุญทิ้งเหวนะ อย่างนั้นเราต้องสืบประวัติ เราต้องสืบเพื่อจะช่วยเด็กคนนั้น เราต้องแจ้งเจ้าหน้าที่ให้เจ้าหน้าที่มาจัดการ ไม่ใช่ว่าทำบุญทิ้งเหวแล้วไม่รับผิดชอบอะไรเลย เห็นขอทานก็ให้

เรามีน้ำใจอยู่แล้ว เราอยากให้อยู่แล้วแหละ แต่เราอยากให้มันต้องมีปัญญา ปฏิคาหกต้องมีปัญญา ถ้าทิ้งเหว ทิ้งเหวต้องทิฏฐิมานะของเรานี่ จะทำสิ่งใดทำไม่ได้ กิเลสมันขวางไปกลางหัวใจ มันใหญ่ไปหมดเลย ในบ้านไม่มีใครใหญ่เท่ามันเลย มันข่มขี่อยู่ตลอดเวลาเลย แล้วทำอะไรไม่ได้เลย

เวลาไปถามองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่าควรทำบุญที่ไหน

ควรทำบุญที่เธอพอใจเพราะเหตุนี้ ถ้าเธอพอใจที่ไหนมันเปิดโอกาสให้รีบๆ ซะ ถ้าเธอพอใจที่ไหน แต่ถ้าเธอเอาบุญกุศลนะ เอาข้อเท็จจริง อย่างนั้นก็ต้องย้อนกลับมาที่ว่าเนื้อนา

เวลาทำบุญ เริ่มต้นถ้ามันพอใจที่ไหน คำว่า “พอใจ” คือมันพอใจ กิเลสมันเปิดช่องให้ คำว่า “พอใจ” กิเลสเปิดช่องให้ แล้วกิเลสมันร้ายนัก เวลามันเปิดช่องให้แล้ว คำว่า “เปิดช่องให้” มันทำไป เพราะอะไร เวลาควรทำบุญที่ไหน องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกควรทำบุญที่เธอพอใจ แต่ถ้าจะเอามรรคเอาผลล่ะ ต้องมาวัดกันที่เนื้อนาบุญ

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่าผู้ปฏิบัติดี ปฏิบัติตรง ปฏิบัติชอบเป็นเนื้อนาบุญของโลก เป็นเนื้อนาบุญของโลก แล้วเนื้อนาบุญมันเกิดจากไหนล่ะ

เราหาครูบาอาจารย์ของเรา ที่เราหาครูบาอาจารย์ของเราในสมัยพุทธกาล ทุคตะเข็ญใจเขาเป็นคนรับจ้างไถนา สุดท้ายแล้วทางบ้านเขาต้องมาส่งอาหาร ทีนี้พอส่งอาหารช้าก็หิวมาก เขาหิวมาก เขาโกรธมากเลย แต่เวลาพระสารีบุตรออกจากสมาบัติ ออกมาบิณฑบาต พอเห็น เพราะทางบ้านเขามาส่งอาหารพอดี นี่ชีวิตไง คือหิวมาก หิวมาก แล้วทุคตะคนเข็ญใจ แต่ด้วยความศรัทธาอันนั้น อาหารที่จะดำรงชีวิตนี้ถวายพระสารีบุตรไปหมดเลย เสร็จแล้วพอท่านบิณฑบาตไปท่านก็ไปฉัน ท่านก็ให้พรของท่าน กลับมาไถนานะ เวลาไถนาพลิกขึ้นมา ดินเป็นทองคำหมดเลย นี่สมัยพุทธกาลนะ

เราบอกว่า เป็นไปไม่ได้ เป็นไปไม่ได้ วิทยาศาสตร์บอกเป็นไปไม่ได้

พอมันไถขึ้นมา ดินกลายเป็นทองคำหมดเลย ทีนี้เป็นทองคำ สังคมอย่างนั้นนะ ทุคตะเข็ญใจไม่กล้าหยิบทองคำนั้น เพราะตัวเองเป็นทุคตะเข็ญใจ ถ้ามีทองคำสักบาทหนึ่งเขาก็ว่าปล้นมาแล้ว คนมันฉลาด ไม่กล้าหยิบเลย ก็ไปเฝ้าพระเจ้าพิมพิสาร พระเจ้าพิมพิสารก็ให้อำมาตย์ไป บอกทองมีเท่าไร? มีประมาณ ๘๐ เล่มเกวียน ที่ดินพลิกขึ้นมาเป็นทองคำหมด มีประมาณ ๘๐ เล่มเกวียน ไม่กล้าจับ ไม่กล้าแตะเลย คนมีปัญญา แล้วไปบอกพระเจ้าพิมพิสาร

พระเจ้าพิมพิสารถามว่าของเธอมีประมาณเท่าไร? ๘๐ เล่มเกวียน ก็ให้อำมาตย์เอาเกวียนไปเอาทองนั้นมา พออำมาตย์ไปเอาทอง เจ้าของไม่ชัดเจน หยิบทองขึ้นมา ทองกลายเป็นดิน ทองเป็นก้อนๆ ขึ้นมากลับกลายเป็นดิน

อำมาตย์ก็กลับมาเฝ้าพระเจ้าพิมพิสาร พระเจ้าพิมพิสารบอกว่าให้เธอกลับไปใหม่นะ เพราะพระเจ้าพิมพิสารเป็นพระโสดาบัน คนมีปัญญา เธอกลับไปใหม่นะ แล้วบอกว่า ไปประกาศว่าที่มาเอานี้มาเอาทองคำของทุคตะเข็ญใจนี้ ไม่ใช่เอาทองคำของใคร หยิบขึ้นมาเป็นทองคำหมดเลย เอากลับมากองไว้ที่กลางราชวัง

เพราะสมัยนั้นมันเป็นสังคมโบราณ เขาต้องมีเศรษฐีประจำราชการ จะมีขุนนางแก้ว เขาก็ประกาศว่าในแว่นแคว้นนี้ใครมีสมบัติมากเท่านี้ไหม? ไม่มี ก็ตั้งให้ทุคตะเข็ญใจเป็นเศรษฐีประจำราชการ นี้อยู่ในพระไตรปิฎก นี่มันมีเหตุมีผลของมัน

แต่ถ้าทางวิทยาศาสตร์มันเป็นไปได้อย่างไรล่ะ เวลาไถดินขึ้นไป ดินจะเป็นทองคำได้อย่างไร แล้วทองคำ มันเป็นทองคำแล้ว เวลาไปเอาโดยผิดเจ้าของ ผิดผู้ที่มีอำนาจวาสนา มันกลับกลายเป็นดินอีก เห็นไหม ต้องกลับไปบอกว่าเอาของของคนนี้ เอาของของทุคตะเข็ญใจนี้ นี่พูดถึงว่าเวลาทำบุญด้วยปฏิคาหก ทำบุญด้วยความสะอาดบริสุทธิ์ ไม่ต้องหวังสิ่งใดเลย ทิ้งเหวๆ เขาได้ของเขา นี่พูดถึงเขาได้ทองคำนะ แต่เราอยากได้ทองคำหรือเราอยากได้มรรคผลล่ะ

ถ้าอยากได้ทองคำนะ เราก็เอาแบงก์ไปซื้อที่ร้านสิ เราต้องไปไถนาทำไมล่ะ เราไม่ต้องไปไถนาหรอก มันไม่มีหรอก เพราะอำนาจวาสนาคนไม่เหมือนกัน เพราะเราเลียนแบบเขา เราจะให้ได้อย่างเขา แล้วเราจะหาพระอย่างพระสารีบุตร พระโมคคัลลานะจากที่ไหน

เราหาไม่ได้ เราหาพระอย่างนั้นไม่ได้ เนื้อนาบุญอย่างนั้นเราหาไม่ได้ แล้วความเป็นจริงของเรา เราหาได้ เราก็อยากได้ ความสะอาดบริสุทธิ์มันไม่มี จังหวะและโอกาสมันไม่เป็นแบบนั้น บุญกุศลของคนแบบนั้นยังไม่มี ถ้ามันไม่มี เราทำของเรา ถ้าเราทำบุญกุศล เราทำบุญกุศลที่นี่

เวลาทำบุญกุศล ชีวิตของเรา เราเกิดมาทุกข์จนเข็ญใจ เกิดมาอัตคัดขาดแคลนสิ่งต่างๆ สิ่งนี้ถ้าจิตใจของคนเป็นธรรม มันยิ้มแย้มแจ่มใส แต่ถ้าจิตใจของคนเป็นกิเลส มันมีความน้อยเนื้อต่ำใจ มันมีชนชั้น มันมีการบีบคั้น ดูคุณทองแดงสิ มันเป็นหมาข้างถนน มันเป็นคุณทองแดง ทุกคนต้องเรียกมันคุณทองแดงนะ นี่ชนชั้นไหมล่ะ ข้างถนนเวลามันขึ้นไป

นี่ก็เหมือนกัน เราทำคุณงามความดีของเรา เราสร้างบุญกุศลของเรา ถ้าเราสร้างบุญกุศลของเรา ถ้าเราเชื่อมั่นในพระพุทธศาสนา เพราะเราเชื่อมั่น เรามีศรัทธา ถ้าคนมีศรัทธา พุทโธๆ มันจะทำได้เพราะมันมีความเชื่อมั่นมีศรัทธา แต่เรามันศรัทธาผิวเผินไง เราไม่ใช่เอาทองคำ เราไม่ใช่เอาทรัพย์สมบัติ เราจะเอาบุญกุศล เราจะเอามรรคเอาผล ถ้าเอามรรคเอาผล ทำบุญกุศลฝึกหัดใจของเรา

ทานมันดัดแปลงใจ เพราะทาน เห็นไหม ดูสิ เราจะเสียสละได้ไหม เรามีปัญญาได้ไหม พระบิณฑบาตมาเป็นพระจริงหรือพระปลอม จะใส่บาตรหรือไม่ใส่บาตร ถ้าใส่บาตรไปแล้วเขาเอาไปขายหรือเปล่า เดี๋ยวนี้มันเป็นอย่างนี้ สังคมเป็นอย่างนี้ไปหมดเลย ทำให้เราระแวงไปหมดเลย คนทำบุญก็ระแวงนะ ไอ้พระก็ระแวงนะ เอ๊ะ! ใส่บาตร มันใส่อะไรให้ก็ไม่รู้ นี่มันไม่มีความไว้วางใจต่อกันเลย เพราะสังคมมันเสื่อมไป

ศาสนทายาท แล้วจะทำบุญที่ไหน ทำบุญที่เธอพอใจ แต่ถ้าเราจะเอามรรคเอาผล เราจะเอาบุญกุศลของเรา เราก็หาเนื้อนาของเรา แล้วถ้าหาเนื้อนาของเราแล้ว ที่ว่ามันสำคัญๆ ที่ว่ามันดัดแปลง คำว่า “ดัดแปลง” ถ้าใจของเราไม่เปิดโอกาส ใจของเราไม่รับความเห็นต่างเลย เราจะมีโอกาสพัฒนาใจเราไหม

ถ้ามีความเห็นต่าง เพราะกิเลสมันคิดอย่างนี้ สามัญสำนึกคิดอย่างนี้ พันธุกรรมของจิตมันคิดอย่างนี้ แล้วเรื่องของทานมันมาดัดแปลงตรงนี้ ถ้ามันดัดแปลง เริ่มดัดแปลงคือหัวใจมันเปิด พอหัวใจมันเปิด มันมีระดับของทาน

ทาน ศีล ภาวนา ถ้าระดับของทานมันก็จะศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว ถ้าธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า สิ่งที่เป็นวัตถุ ที่เขาว่าธรรมเหนือโลกๆ ธรรมโอสถที่มันมีคุณค่า แล้วทำไมมันติดกันเรื่องอย่างนี้ ทำไมมันติดกันเรื่องปัจจัยเครื่องอาศัยเท่านั้นเอง

หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นท่านถึงปัดทิ้งหมดไง ท่านปัดทิ้งเลย ตัวท่านเองไม่ใช่ว่าทุกขนิยม ไม่ใช่ว่าต้องแสดงว่าตัวเองทุกข์ยากอย่างนั้น แต่ความเป็นหัวหน้า ในเมื่อพระบวชเข้ามา พระเข้ามาศึกษา พระเข้ามา กิเลสทั้งนั้น ทุกคนก็ต้องหวังความเป็นอยู่ที่พอทนได้ ทีนี้ท่านเป็นหัวหน้าใช่ไหม ท่านถึงได้ปฏิเสธๆ ไง เพราะเป็นแบบอย่างไม่ให้คนใช้ชีวิตแบบนั้น ถ้าใช้ชีวิตแบบกิเลสมันนำหน้า ถ้าใช้ชีวิตแบบธรรมนะ ประหยัดมัธยัสถ์ คำว่า “ประหยัดมัธยัสถ์” ไม่ใช่ว่าไม่มี ท่านชื่อเสียงระดับนั้น ชื่อเสียงหลวงปู่มั่นคับประเทศ มันมีอะไรบ้างที่ท่านจะเอาแล้วไม่ได้ ทำไมท่านไม่เอา ไม่เอาเลย

หลวงตาบอกว่า ตอนหลวงปู่มั่นท่านเสีย ในวัดมีเงินอยู่ไม่กี่ร้อยบาท ตอนหลวงปู่มั่นเสีย เพราะว่าหลวงปู่มั่นเสียแล้วมันต้องมีการทำศพใช่ไหม ในวัดไม่มีเงินเลย เพราะอะไร เพราะท่านไม่เอา นั่นเป็นแบบอย่าง ความเป็นแบบอย่างไง สิ่งที่เวลาท่านเป็นแบบอย่าง แล้วสิ่งที่เรามาติดกันเรื่องปัจจัยเครื่องอาศัย

ความที่เป็นอาศัย ทีนี้คำว่า “อาศัย” เราก็ทำให้มันสมควรกับสิ่งมีชีวิตที่อาศัย ภิกษุเป็นผู้ไม่มีเรือน อารามิก ออกจากเหย้าออกจากเรือนก็ต้องอยู่วัดอยู่วา ถ้าอยู่วัดอยู่วา วัดวาเป็นสมบัติสาธารณะ เป็นที่พึ่งอาศัยของบริษัท ๔ ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา มันก็ต้องมีที่หลบแดดหลบฝน มีที่พอจะอาศัยซุกหัวนอนเพื่อที่จะประพฤติปฏิบัติ เราทำตรงนั้น

แล้วถ้าพระที่เป็นพระเขาจะมีข้อวัตรของเขา ข้อวัตร กิจของสงฆ์ ๑๐ อย่าง กวาดลานเจดีย์ ล้างส้วม ข้อวัตร เดี๋ยวนี้พระมันจ้างคนมาทำ แล้วมันบอกว่าหน้าที่ของพระก็จะสวดมนต์อย่างเดียว

พระ หน้าที่ของพระนะ กิจของสงฆ์ไปเปิดดูนวโกวาทสิ มันมีอะไรบ้าง การเก็บ การกวาด การดูแล การรักษา นี่กิจของสงฆ์ เพราะมันดูแลรักษาที่พึ่งอาศัย ถ้าที่พึ่งอาศัยมันสะอาด ที่พึ่งที่อาศัยมันน่ารื่นรม มันก็จะภาวนารักษาหัวใจของเรามาได้ ที่พึ่งที่อาศัยมันสกปรก แล้วหัวใจข้างในมันจะสะอาดได้อย่างไรล่ะ

หัวใจมันสะอาด เพราะมันสะอาดจากหัวใจ เพราะหัวใจมันรับผิดชอบ หัวใจมันถึงได้มีรับความผิดชอบ ถึงได้ทำความสะอาด พอข้างนอกมันสะอาดแล้วเราก็จะนั่งสมาธิ เราจะเดินจงกรม เราจะภาวนาของเรามันก็ปลอดโปร่ง เพราะมันปลอดโปร่ง ถ้าข้างนอกมันสะอาดแล้ว สัปปายะ สถานที่เป็นสัปปายะ อาจารย์เป็นสัปปายะ หมู่คณะเป็นสัปปายะ แล้วหัวใจเป็นสัปปายะไหม ถ้าหัวใจเป็นสัปปายะมันจะย้อนกลับมา

เพราะมันสะอาดแล้ว มันไม่มีอะไรทำ มันจบแล้วมันก็ต้องมาทำหัวใจ ถ้าทำหัวใจ หัวใจมันสะอาดได้อย่างไร หัวใจมันก็ต้องปัดด้วยสติ ปัดด้วยคำบริกรรม พุทโธๆ มันจะกลับมาทำหัวใจสะอาด ถ้าหัวใจสะอาดแล้วมันมหัศจรรย์แล้ว เพราะอะไรล่ะ เพราะเรามีศรัทธามีความเชื่อ มีความมั่นคง พอมีความมั่นคงมันก็จะประพฤติปฏิบัติ ไม่ใช่เหลวๆ ไหลๆ ไง แล้วบอกว่าเราเกิดเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา ศาสนาประเสริฐมากๆ แล้วมันประเสริฐตรงไหนล่ะ มันประเสริฐตรงไหนล่ะ

มันก็ไปประเสริฐเห็นแต่วัตถุข้าวของมันประเสริฐไง ศาสนวัตถุ ศาสนพิธี ศาสนธรรม ศาสนบุคคล แล้วเราจะเอาอะไรล่ะ เราจะเอาอะไร เราจะเอาศาสนธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้เข้ามาสถิตในใจของเรา เราจะเอาตรงนั้น เราจะเอาธรรมเป็นที่พึ่ง แต่มันก็ต้องอาศัยหมู่ชน อาศัยกัน คำว่า “อาศัยกัน” โลกเกิดมามันจะปลีกแยกไปไม่ได้ ถ้าปลีกแยกแล้ว เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ขึ้นมาแล้วก็กลับมาเผยแผ่ธรรม

นี่ก็เหมือนกัน หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นท่านก็ทำตัวแบบนั้น ถ้าทำตัวแบบนั้น คิดเข้ามาที่นี่ เข้ามาถึงอำนาจวาสนาของเรา เข้ามาถึงว่าควรมีคุณธรรมในใจของเรา เราได้ทำแล้ว เราได้เสียสละแล้ว เสียสละทานเพื่อบุญกุศลของใจ แล้วถ้ามันจะพัฒนาขึ้นก็ขอให้มีสติมีปัญญาขึ้นมา เราจะมีคุณธรรมในหัวใจนะ

ถ้ามีคุณธรรมในหัวใจ มันจะเข้าใจว่าทำบุญทิ้งเหวทำอย่างไร ทำบุญทิ้งเหว หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นท่านทำทิ้งเหวหมดเลย ท่านทำบุญเพื่อศาสนทายาท ท่านทำบุญเพื่อชนรุ่นหลัง เวลาพระกัสสปะมีอายุเท่ากับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถือธุดงค์ ผ้าสังฆาฏิเก็บมา เก็บผ้าบังสุกุล ปะเย็บๆ จน ๗-๘ ชั้น องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถาม “กัสสปะเอย เธอก็อายุปานเรา” แล้วพระกัสสปะพระพุทธเจ้ายืนยันไง “เธอก็เป็นพระอรหันต์ คือหมดกิเลสแล้ว ทำไมยังต้องถือธุดงค์อย่างนั้นล่ะ”

พระกัสสปะบอกกับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านะ “ข้าพเจ้าปฏิบัติไม่ใช่เพื่อตัวของข้าพเจ้าเอง” เพราะท่านเป็นพระอรหันต์ท่านต้องไปชำระล้างกิเลสตรงไหนอีก “แต่ข้าพเจ้าประพฤติปฏิบัตินี้เพื่อเป็นคติธรรมให้กับอนุชนรุ่นหลังได้มีแบบอย่าง”

ทำเพื่ออนุชนรุ่นหลัง ทำเพื่อหมู่ชน ไม่ได้ทำเพื่อตัวเอง แล้วไม่ได้ทำเพื่อตัวเอง ทำไมทำตนให้ลำบากเปล่าอย่างนั้น คิดแล้วมันสะเทือนใจ เห็นไหม ครูบาอาจารย์ของเรา ถ้าท่านเป็นธรรมจริงๆ ท่านเป็นอย่างนั้น แล้วไม่มีเบื้องหน้าเบื้องหลัง ไม่มีซับมีซ้อน มีซ่อนเงื่อน ไม่มี สะอาดบริสุทธิ์ ท่านทำอย่างนั้นเพื่อสังคม

เราต้องการอย่างนั้น เราต้องการมีครูบาอาจารย์อย่างนั้นเพื่อเป็นแบบอย่าง แล้วถ้าเป็นแบบอย่าง ท่านก็อยู่ได้ เราก็ต้องอยู่ได้ เวลาเราทุกข์ขึ้นมา เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกถ้าใครทุกข์ใครยาก ใครโดนโลกธรรมเสียดสี โดนเขาติฉินนินทา ให้นึกถึงเราๆ ให้นึกถึงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะเราเป็นกษัตริย์นะ แล้วออกมา ลัทธิอื่นๆ เขาจ้างคนมาว่า จ้างคนมาทำร้าย เขาจ้างมา เพราะเขาต้องการทำลาย ไม่ต้องการให้ศาสนานี้มั่นคง

“ถ้าเธอโดนโลกธรรมเบียดเบียน ให้นึกถึงเราตถาคต เพราะเราตถาคตโดนโลกธรรมเบียดเบียนมาหนักหนาสาหัสสากรรจ์มากกว่าทุกๆ คน”

ถ้าเรามีทุกข์มียากให้เรานึกถึงตรงนี้ ระลึกถึงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านเป็นพระอรหันต์ ท่านมีฤทธิ์มีเดชทำได้ทุกอย่างเลย แต่ท่านไม่ทำใครเลย ท่านไม่ทำใครเลย ท่านมีแต่เมตตาของท่าน นี่เวลาใจคนสะอาดบริสุทธิ์แล้วเป็นแบบนั้น

ฉะนั้น เรามีครูบาอาจารย์ที่ดี สิ่งที่สังคมมันฟอนเฟะเพราะเขาไม่สนใจหัวใจอย่างที่เราสนใจกันนี่ไง เขาไม่ดูแลหัวใจของเขา เหมือนเด็กไม่มีพ่อไม่มีแม่ เราเป็นชาวพุทธ เรามีพระพุทธศาสนา ศาสนาเป็นพ่อเป็นแม่ให้หัวใจได้เกาะ ให้หัวใจได้ยึด เรามีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เป็นรัตนตรัย พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เป็นที่พึ่ง เรามีที่พึ่งที่อาศัย หัวใจเรามีพ่อมีแม่ เราไม่ใช่คนเร่ร่อน อำนาจวาสนาไม่เหมือนคุณทองแดง มันเร่ร่อนมันยังได้ขึ้นเป็นคุณทองแดง เอวัง