ถาม-ตอบปัญหาธรรมะ

ทางอยู่ไหน

๑๖ พ.ย. ๒๕๕๗

ทางอยู่ไหน

พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

 

ถาม-ตอบ ปัญหาธรรม วันที่ ๑๖ พฤศจิกายน ๒๕๕๗

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) .หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

 

ถาม : เรื่องเข้าฟังคำตอบปัญหาธรรมไม่ได้

ตอบ : เขาบอกว่าเขาเข้าอินเทอร์เน็ตไม่ได้ ให้เจ้าหน้าที่จัดการด้วย นี่มันไม่ใช่คำถามที่มีเนื้อหาสาระ แต่เราจะยกให้เห็นว่า เข้าฟังคำถามคำตอบธรรมะไม่ได้ คือเข้าเว็บไซต์ไม่ได้ มันมีปัญหา ถ้ามีปัญหา ช่องทางของการเข้าสู่ธรรมะ ช่องทางของการเข้าสู่ธรรมะด้วยเทคโนโลยี เขายังต้องมีการเข้าช่องทางที่ถูกทาง ถ้าเข้าช่องทางไม่ถูกทางหรือว่ากดผิด มันก็เข้าไม่ได้ ถ้าเข้าไม่ได้ นี่ช่องทางของมัน

ทางอยู่ไหนๆ หนทางที่เราจะประพฤติปฏิบัติมันอยู่ที่ไหน หนทางที่เราจะเอาความจริงกัน เราจะเดินไปทางไหน นี่หนทาง ทางของไอที ทางของอินเทอร์เน็ต

ฉะนั้น คำถามต่อไป

ถาม : เรื่องกราบสอบถามคำแนะนำเพิ่มเติมเจ้าค่ะ

กราบอาจารย์ ลูกสำนึกในความเมตตาของพระอาจารย์เสมอ น้อมนำคำสอนของพระอาจารย์มาปฏิบัติ คราวที่แล้วได้เรียนถาม ลูกได้รับคำตอบและน้อมนำไปปฏิบัติเสมอ ลูกจะไม่นำธรรมที่ลูกเข้าไม่ถึง ไม่นำคำพระอาจารย์ ไม่นำธรรมของพระพุทธเจ้ามาเป็นของลูก น่าจะเป็นปีกว่าแล้วที่ไม่ได้เรียนถามพระอาจารย์ ลูกยังปฏิบัติอย่างต่อเนื่องมากขึ้นเรื่อยๆ ขอรายงานผลการปฏิบัติ

หลวงพ่อ : -๕ หน้าแน่ะ อ่านไม่ไหว แต่เราอ่านแล้วได้เนื้อหาสาระ -๕ หน้าเลยนะ สุดท้ายเขาถามว่า

ถาม : ลูกควรปฏิบัติอย่างไร ที่เดินมาถูกต้องหรือไม่ ต้องทำเช่นไรเจ้าคะ ขอกราบเท้าอาจารย์ด้วยเคารพยิ่ง

ตอบ : นี่พูดถึงคำถามไง คำถามยาวมากๆ เลย

ยาวมากๆ หมายความว่า เขาเล่าถึงประสบการณ์ เพราะคำถามถามว่าขอคำแนะนำเพิ่มเติมเจ้าค่ะแล้วก็เล่าประสบการณ์การปฏิบัติมามหาศาลเลย แล้วการปฏิบัติมหาศาล คือว่าเขาไปรู้ไปเห็น ไปรู้เท่าทัน เห็นกิเลสความเกิดดับตัดฉับๆๆ ไป แล้วก็เจ็บไข้ได้ป่วย ไปรู้ไปเห็นถึงความไม่เสมอภาคของสัตว์ ของมนุษย์ ของต่างๆ นี่เวลาปัญญามันเกิด เวลาปัญญามันเกิด เขามีความรู้ความเห็นไปหมด แล้วเขาเศร้าใจ เขามีผลกระทบกับความรู้สึกต่างๆ อันนี้มันเป็นความเห็น แล้วก็คิดว่าเราปฏิบัติมาอย่างนี้มันจะถูกทาง คำว่าถูกทางเราปฏิบัติมาแล้วถูกทางแล้ว แล้วขอคำแนะนำจากอาจารย์ต่อว่า แล้วจะต้องปฏิบัติอย่างไรต่อไป แล้วถนนหนทางมันจะเป็นแบบใด

ลูกควรจะปฏิบัติอย่างไรเพื่อเดินให้ถูกต้อง ไม่ให้ผิดเพี้ยนไป

การปฏิบัติอย่างใดนะ การปฏิบัติ เริ่มต้นการปฏิบัติ ครูบาอาจารย์ท่านสอน ท่านสอนที่ถูกต้อง เวลาทางการศึกษา เวลาเขาสอนเด็ก เด็กมันต้องเรียนอนุบาลมาก่อน เรียนอนุบาลขึ้นมา เรียนประถม เรียนต่างๆ ขึ้นมา พอขึ้นไปเรียนทางวิชาชีพ วิชาชีพเขาต้องฝึกหัดของเขา ถ้าวิชาชีพมันมีพื้นฐานมันมา เขามีทั้งพื้นฐานของเขามา

ถ้าเราไม่มีพื้นฐานเรามา เราเป็นเด็กฝึกงาน เด็กฝึกงาน เราไม่ได้เรียนมาโดยตรง เราไปฝึกงาน เด็กฝึกงานมันฝึกงาน มันก็มีประสบการณ์ตามความเป็นจริงของเขา พื้นฐานทางวิชาการของเขาจะอ่อนกว่าเด็กที่มีพื้นฐานมา

เด็กมีพื้นฐานมามันเรียนของเขามา แล้วเขาเรียนมาทางวิชาชีพ เขาฝึกงานของเขามา เวลาเขาเรียนจบมา เขามีประสบการณ์การทำงานด้วย เขามีองค์ความรู้ที่รองรับเขาด้วย แต่เด็กที่ฝึกงานเขามีประสบการณ์ของเขา ถ้ามีประสบการณ์ของเขา แต่เขาไม่ได้เรียนพื้นฐานมา พื้นฐานทางองค์ความรู้ของเขาเรียนพื้นฐานมามันจะอ่อน แต่ว่าเขามีประสบการณ์ของเขา นี่การทำงานของเขา การฝึกของเขา

ในการปฏิบัติก็เหมือนกัน ทางปฏิบัติอยู่ไหน ทางอันเอก มัคโคอยู่ไหนๆ ถ้ามัคโคอยู่ไหน เวลาทางโลก ทางโลกที่เข้าทางไอที ทางเข้าอินเทอร์เน็ต แม้แต่มันชำรุดเสียหายต่างๆ มันก็เข้าไม่ได้แล้ว แล้วนี่ทางปฏิบัติ ทางเข้าสู่ใจ ทางเข้าสู่ธรรม ถ้าทางเข้าสู่ธรรมนะ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่า มัคโค ทางอันเอกๆ ทางอันเอกมันความถูกต้อง

แต่นี้เวลาเราปฏิบัติไป ปีสองปีแล้วเราบอกว่า จะไม่เอาธรรมะของท่านอาจารย์ จะไม่เอาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาเป็นของเรา แล้วเราปฏิบัติของเราตามความเป็นจริง

ถ้าตามความเป็นจริง แล้วทางมันอยู่ไหนล่ะ

เวลาเส้นทางนะ ทางปฏิบัติ ในทางปฏิบัติของเรามันต้องมีพื้นฐาน มีพื้นฐาน หมายความว่า เวลากรรมฐานของเราเริ่มต้น เวลาหลวงปู่มั่นท่านฝึกนะ หลวงปู่มั่นท่านฝึก เวลาใครจะมาบวช ท่านให้เป็นปะขาวก่อน เป็นปะขาวแล้วต้องฝึกหัด ฝึกหัดข้อวัตร ฝึกหัดตัดผ้า ฝึกหัดอุปัฏฐากพระ

เพราะคำว่าอุปัฏฐากพระเพราะเดี๋ยวเขาบวชมาเขาจะเป็นพระ ถ้าเขาบวชเป็นพระ เราฝึกหัดอุปัฏฐาก อุปัฏฐากผิดถูก พระคอยบอก แล้วเวลาเราบวชเป็นพระแล้วเราจะรู้ว่าอะไรถูกอะไรผิด เพราะเราเคยอุปัฏฐากพระมา นี่ไง พื้นฐานๆ ในภาคปฏิบัติเขาจะให้ฝึกหัดข้อวัตรปฏิบัติ

เวลาฝึกหัดข้อวัตรปฏิบัติ พอมันฝึกเป็นแล้วให้หัดท่องขานนาค ท่องแล้วให้หัดสวดปาฏิโมกข์ สวดไปแล้วท่านถึงให้บวช ๓ ปี ๘ ปีนะ หลวงปู่มั่นท่านถึงจะให้บวช ถ้าจะบวชจริงๆ เว้นไว้แต่บวชประเพณี ท่านก็ให้บวชของท่าน

ถ้ามันมีพื้นฐานมา มีพื้นฐานมาแล้ว เวลาบวชมาแล้ว เวลาปฏิบัติ ทางอยู่ไหน

เวลาข้อวัตรปฏิบัติมันเป็นข้อวัตรปฏิบัติ มันเป็นรูปธรรมที่จับต้อง ที่ปฏิบัติกัน เวลาเราฝึกหัดหัวใจของเรา จิตนี้เป็นนักท่องเที่ยว เวลาจิตนี้เป็นนักท่องเที่ยว เวลาหลวงปู่มั่นท่านบอกจิตนี้เป็นนักท่องเที่ยว มันท่องเที่ยวในวัฏฏะ มันเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ

แต่เวลาของเรา เราปุถุชน จิตเป็นนักท่องเที่ยว ท่องเที่ยวไปในอารมณ์ความรู้สึกไง ในความคิดไง มันคิดร้อยแปด จิตนี้เป็นนักท่องเที่ยว มันไปของมันเต็มที่ แล้วไปเต็มที่ แล้วเราจะหยุดมันอย่างไร เวลาเราจะหยุดมันแล้ว หยุดแล้วเราจะได้ประโยชน์จากจิตของเราไหม เวลามันหยุด มันหยุดอย่างไร

นี่ก็เหมือนกัน ถามว่า จะประพฤติปฏิบัติอย่างไรต่อไป แล้วเส้นทางมันอยู่ไหน

เส้นทางอยู่ไหน  มันก็คิดไปประสาทางโลกไง เราจะบอกว่า สิ่งที่โยมทำๆ กันมามันต้องปรับพื้นฐานกันก่อน ถ้ามันยังไม่ได้ปรับพื้นฐานมาก่อน มันเป็นโลกียปัญญา

คำว่าโลกียปัญญากับโลกุตตรปัญญาคนไม่เคยปฏิบัติจะแยกไม่ออกหรอกว่าอะไรเป็นโลกียปัญญา อะไรเป็นโลกุตตรปัญญา แล้วก็เข้าใจ ผลของการปฏิบัติที่รายงานผลมา มันจะเป็นโลกียปัญญา มันจะเป็นจินตมยปัญญา มันจะเป็นของมันไป แล้วพอเป็นของมันไป มันผิดไหมล่ะ ทางอยู่ไหน มันผิดไหม

นี่ไง ดูสิ คนเราเกิดมามันเป็นทารกอยู่แล้ว แล้วเวลาเป็นทารก มันจะเติบโตขึ้นมา แล้วมันเติบโตขึ้นมา อยู่ที่พ่อแม่มีความอบอุ่น พ่อแม่ฝึกหัดขึ้นมา เด็กคนไหนมันเป็นเด็กที่ไม่มีปมด้อย เด็กต่างๆ ชีวิตมันก็เป็นปกติ

นี่ก็เหมือนกัน สิ่งที่ว่าโลกียปัญญากับโลกุตตรปัญญา สิ่งที่ว่าเป็นปัญญา สิ่งที่มันเกิดขึ้นมาเป็นโลกียปัญญา ถ้าโลกียปัญญา พอโลกียปัญญามันผิดไหม มันไม่ผิด ไม่ผิดตรงไหน ไม่ผิดที่ว่า มันก็เป็นแบบนี้ เพราะมันเป็นเรื่องโลก เห็นไหม ปุถุชน ปุถุชนมันก็คิดกันแบบนี้ แล้วเวลาปฏิบัติขึ้นมาก็บอกว่าเป็นนู่นเป็นนี่

เวลาเราฟังคำถามขึ้นมา เราก็รับฟังไง เรารับฟัง เราก็รู้ไง รู้ว่าเบสิกมันเป็นแบบนี้ นี่ไง ที่หลวงตาท่านบอกว่าเวลาปฏิบัติเริ่มต้นมันแสนยาก การปฏิบัติมียากอยู่ ๒ คราว คราวหนึ่งคือคราวฝึกหัดเริ่มต้นจะปฏิบัติให้มันทำงานเป็น เหมือนคนฝึกงาน คนทำงานไม่เป็นมันก็ต้องฝึกงานทำงานให้เป็น ทำงานให้เป็นมันถึงจะทำงานเป็นประโยชน์ขึ้นมา แล้วถ้าคนไม่ฝึกงานเลย คนทำงานไม่เป็นไม่ให้มันฝึกเลย มันก็ไม่เป็น ฉะนั้น เวลาคนฝึกงานมันก็ต้องฝึกอย่างนั้นน่ะ มันจะผิดจะถูกมันก็อยู่ที่อำนาจวาสนาของบุคคลคนนั้น

บุคคลคนนั้นเวลาปฏิบัติถูกปฏิบัติผิด เห็นไหม ทั้งๆ ที่บุคคลมีวาสนานะ ปฏิบัติครั้งแรก โอ้โฮ! จิตมันลงดีมาก จิตมันทำสิ่งใดมันคล้อยตามหมด มันประสบความสำเร็จ มันเป็นไปที่เป็นความสุขหมดเลย เวลามันเสื่อมนี่หมดเลย แล้วจะฟื้นฟูขึ้นมาได้อย่างไร พอฟื้นฟูก็ฟื้นฟูขึ้นมาไม่ได้ ทั้งๆ ที่เวลามันทำ เวลาครั้งแรกที่ทำมันถูกนะ

เราจะบอกว่า จิตนี้มันเป็นนามธรรม จิตนี้มันหลากหลายนัก เดี๋ยวมันก็ดี เดี๋ยวมันก็ร้าย คำว่าเดี๋ยวมันเป็นไปได้หลากหลาย มันเป็นไปได้ทุกๆ อย่าง แล้วมันเป็นไปได้ทุกๆ อย่าง แล้วจะควบคุมมันอย่างไร เวลาจะควบคุม จะควบคุมมันอย่างไร จะควบคุมดูแลอย่างไร

ทีนี้การจะควบคุมดูแล มันก็การฝึกหัดไง ถ้าการฝึกหัด ทางอยู่ไหนๆ ทางที่มันเป็นอยู่นี่ เวลาทางอยู่ไหน เวลาปฏิบัติล้มลุกคลุกคลานหมดเลย แล้วทุกข์ยากมาก แล้วเขาก็เสนอทางที่ปฏิบัติใหม่นะ รู้ตัวทั่วพร้อม ถ้ารู้ตัวทั่วพร้อม ทางอยู่ไหน มันปฏิเสธทางเลย มันปฏิเสธทางของจิต มันปฏิเสธทางของเรา มันปฏิเสธผลการกระทำของเรา แต่เวลาไปปฏิบัติ ไปใช้ทางสาธารณะ ทางด่วน เวลาขึ้นทางด่วน เขาต้องเสียค่าขึ้นทางด่วนนะ แล้วขึ้นทางด่วนมันต้องขึ้นที่ป้อมยามของทางด่วน ขึ้นที่ทางขึ้นทางด่วน นี่ทางด่วน ทางด่วนนี่ทางสาธารณะ

ถ้าเป็นทางสาธารณะเป็นทางขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทางด่วนคือธรรมและวินัย ธรรมและวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี่ทางสาธารณะ

พอทางสาธารณะ เราไปใช้ทางสาธารณะ ถ้าทางสาธารณะนะ ทางสาธารณะบางประเทศ ทางสาธารณะเขาไม่ให้ปลูกบ้านเรือนในริมทางสาธารณะนั้น เขาจะให้เป็นซอกเป็นซอยเข้าไปแยกออกจากทางสาธารณะ เขาถึงมีเทศบัญญัติ ถึงจะให้ปลูกบ้านเรือนขึ้นมาได้ แต่ถ้าทางสาธารณะเขาไม่ให้ปลูกบ้านเรือนขึ้นมาเลย เพราะมันจะเป็นอันตราย เขาจะไม่ให้ผู้คนอาศัยอยู่ที่ริมทางซูเปอร์ ไม่ให้อาศัย จะให้อาศัยตั้งแต่ตัดถนนแยกออกไป

นี่ก็เหมือนกัน ถ้าทางสาธารณะเป็นทางขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เวลาเราบอกว่ารู้ตัวทั่วพร้อมๆ แล้วพอรู้ตัวทั่วพร้อมมันรู้หมด แล้วว่างหมด เขาใช้คำว่าว่างหมดมันจะไม่มีผลกระทบเลยเพราะรู้เท่าหมด แล้วปัญญารู้หมด แล้วได้อะไรต่อ เพราะอะไร เพราะเป็นทางสาธารณะ ทางสาธารณะมันเป็นทางขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วเราเอาสิ่งนั้นมาเป็นสูตรสำเร็จครอบใจเราไว้ แล้วมันเติบโตขึ้นมาได้ แล้วมันว่างไหม

ทีนี้เพียงแต่ว่าเวลาเราเกิดมาเป็นมนุษย์ เราจะมีความทุกข์ความยากในใจ เวลาความทุกข์ความยาก เวลากิเลสมันเผาลนในใจมันมีความทุกข์มาก แล้วเวลาประพฤติปฏิบัติขึ้นมา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็บอกต้องให้ทำความสงบของใจเข้ามา ต้องหาทางของเราให้เจอ

ทางของเราคือจิตของเราสงบเข้ามาได้ มันปล่อยวางเข้ามาได้ ถ้าจิตเราปล่อยวางเข้ามาได้ เราก็ฝึกหัดของเราขึ้นไป มันจะเป็นทางส่วนบุคคล พระอรหันต์ ๑๐๐ องค์ก็ ๑๐๐ อย่าง พระอรหันต์แต่ละองค์จะมีมรรคมีผลในใจของพระอรหันต์องค์นั้นๆ แล้วมันก็เป็นความชำนาญขององค์นั้น

แต่เวลาปฏิบัติไปแล้วมันจะเป็นอย่างไรล่ะ ทางอยู่ไหนๆ ล้มลุกคลุกคลานกันอยู่อย่างนี้ คำว่าล้มลุกคลุกคลานเพราะเราทำแล้วมันเป็นพื้นฐานไง

ในการประพฤติปฏิบัตินะ ดูสิ เราชาวพุทธ ชาวพุทธของเราในเมืองไทย ๖๐ กว่าล้านคน แล้วชาวพุทธที่นับถือพระพุทธศาสนาที่ใหญ่ที่สุดในโลกคือประเทศจีน ประเทศจีนมีพันกว่าล้าน แต่ศาสนาเขามีหลายศาสนา แต่เวลาประชากรเขามาก แล้วเขาถือพระพุทธศาสนา แต่พระพุทธศาสนานิกายอะไรนั่นอีกเรื่องหนึ่งนะ นี่พูดถึงจำนวนชาวพุทธว่ามีมากมายขนาดไหน แล้วเวลาประพฤติปฏิบัติขึ้นไป ถ้าเป็นความจริงมันเหลือมากี่องค์ เหลือมากี่คน ถ้าเป็นความจริงขึ้นมา เป็นความจริงได้

ถ้าเป็นความจริงไม่ได้ เราปฏิบัติเป็นการบรรเทาทุกข์ไง เราปฏิบัติกันเพื่อบรรเทาทุกข์ ดูสิ เราทำบุญกุศลกัน ทำบุญกุศลเพื่อความสุข ทำบุญกุศลเพื่อผลบุญของเรา นี่ทำบุญกุศล ถ้าเวลาทำบุญแต่ละภพแต่ละชาติขึ้นไป สร้างอำนาจวาสนาบารมี ถ้าสร้างอำนาจวาสนาบารมี ผู้ที่มีปัญญานะ เขาไม่ได้สอนตัวเองเลย ครูพักลักจำ เขาสอนคนอื่นแท้ๆ ไปเก็บเกี่ยวมาเป็นผลประโยชน์ของเราหมดเลย ไอ้คนที่มันเบาปัญญานะ เขาสอนจ้ำจี้จ้ำไชเลย มันยังไม่ได้ประโยชน์เลย

แต่คนที่เขามีปัญญา ครูพักลักจำนะ เขาไม่ได้สอนเราเลย อย่างพระสารีบุตร องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเทศน์สอนหลาน แต่พระสารีบุตรฟังอยู่ พระสารีบุตรเป็นพระอรหันต์เลย แต่เวลาพระพุทธเจ้าไปจ้ำจี้จ้ำไชกับพระทั่วๆ ไป ไม่ได้อะไรเลย มันอยู่อย่างนั้นน่ะ นี่พูดถึงอำนาจวาสนาที่เราทำบุญกุศลกันอยู่นี้ ทำเพื่อประโยชน์นี้

ฉะนั้น เวลาเราฝึกหัดปฏิบัติ เขาว่าทางอยู่ไหนๆ เราจะปฏิบัติอย่างไร การปฏิบัติของเรานะ เราปฏิบัติเพื่อประโยชน์กับเรา ทีนี้เพื่อประโยชน์กับเราแล้ว แล้วถูกต้องไหมล่ะ ถ้ามันถูกต้อง มันถูกต้อง คำว่าถูกต้องมันก็เจริญแล้วเสื่อม การถูกต้องไม่ใช่ถูกต้องแล้วมันจะเป็นวิทยาศาสตร์

เห็นไหม ทำสิ่งใด ตอนนี้การศึกษาไง เราเรียนมหาวิทยาลัยนี้ เวลาเราไปเรียนมหาวิทยาลัยอื่น เราก็โอนหน่วยกิตเราไปเลย ได้เรียนมาแล้ว เอาหน่วยกิตนี้มาว่าเราได้ผ่านแล้ว แล้วเวลาปฏิบัติล่ะ

สมาธิเดี๋ยวนี้นะ ทำสมาธิเดี๋ยวนี้ พอเวลามันเสื่อมไป หมดเลย แล้วทำอย่างไร แล้วทำต่อเนื่อง จิตเวลามันเจริญแล้วเสื่อมมันยิ่งลำบากกว่าคนปฏิบัติใหม่อีก ฉะนั้น เวลาเป็นนามธรรมแล้วมันไม่อยู่กับเราตลอดไป มันเจริญแล้วเสื่อมๆ ที่มันจะเหลืออยู่ เหลืออยู่ประสบการณ์ ประสบการณ์ว่าเราเคยทำได้อย่างนั้น ถ้าเราเคยทำได้อย่างนั้น ถ้าเรามั่นคง เราทำได้จริง มันก็จะเป็นอย่างนั้น ถ้าเราทำไม่ได้จริง มันก็ไม่เป็นอย่างนั้น

ฉะนั้น เขาก็เล่ามาเป็นฉากๆ มาเลย บอกว่าเวลาเขาใช้ปัญญาอบรมสมาธิ พอมีความคิดอะไรเกิดขึ้นมาก็ตัดฉับๆๆ ไปเลยนะ ไม่มีการพิจารณาอย่างใด...นี่มันก็แบบว่าเราปฏิเสธ

เริ่มต้นการปฏิเสธ เขาว่าขันติธรรม ขันติธรรม การอดทนนะ เราทำสิ่งใดถ้ามันทำแล้วไม่ได้ผล ถ้าเราอ่อนแอ เราก็จะไม่ได้สิ่งใดเลย แต่ถ้าเรามีขันติ มีความมานะ มีความบากบั่น เราทำของเราไป เพราะอะไร เพราะว่าสิ่งที่ใช้ปัญญาอบรมสมาธิ แล้วถ้ามันเกิดดับ ถ้าปัญญาเราไม่พอ เราก็ใคร่ครวญสิ่งใดไม่ได้หรอก เราใคร่ครวญสิ่งใดไม่ได้ เราก็ต้องใช้ขันติความอดทนต่อสู้

การตัดฉับๆๆ โดยไม่ใช้ปัญญามันก็ถูกส่วนหนึ่ง มันก็ถูก เวลาที่เราจะเอาประโยชน์กับความสงบ แต่เวลาถ้าเราใช้ปัญญา การตัดโดยที่ไม่พิจารณามันเป็นไปไม่ได้ ถ้าพิจารณา เอาอะไรพิจารณา ถ้าจะพิจารณา เพราะกำลังเราไม่มี ถ้ากำลังเรามีแล้วเราถึงพิจารณาได้

แล้วถ้าคนที่ไม่เคยทำสมาธิเลย เวลาพิจารณา เราพิจารณาได้อยู่แล้ว เพราะอะไร เพราะเริ่มต้นเราจะปฏิบัติ เราก็มีกำลังใจ เรายังสดชื่นอยู่ แล้วมันพิจารณาได้หมด มันตั้งปัญหาอะไรขึ้นมามันก็ขบคิดขบแตกได้หมด มันขบแตกได้หมด แล้วเป็นปัญญาอะไร

นี่ไง เราตั้งปัญหาขึ้นมา แล้วเราก็ใช้ปัญญาขบปัญหานั้น ปัญหานั้นจบ ปัญหานั้นจบแล้วมันเป็นอะไรล่ะ เพราะจิตเรายังไม่สงบอะไรขึ้นมา เห็นไหม

แต่ถ้าเป็นปัญญาอบรมสมาธิ มันพิจารณาของมันเป็นชั้นเป็นตอนขึ้นมาจนจิตมันสงบ จิตสงบ เรารับรู้ได้ รับรู้ได้ นี่ทางของเรา ไม่ใช่ทางสาธารณะ

ทางสาธารณะคือธรรมและวินัย คือเราชาวพุทธ สัจธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นสมบัติสาธารณะ ของที่เป็นอยู่มันเป็นของสาธารณะ แต่ไม่ใช่ของของเรา

ของของเรา เราจะต้องทำของเราขึ้นมาเป็นถนนส่วนบุคคล ถนนของเรา แล้วถนนของเราอยู่ไหน ถนนของเราอยู่ไหน ถ้าจิตเราไม่สงบ เราไม่เห็นถนนของเรา

เวลาเราใช้ปัญญาอบรมสมาธิ คือว่าเราเกิดมาในวัฏฏะ เราเกิดในวัฏฏะ เรามีสิทธิ์ในความเป็นมนุษย์ แต่เพราะเรานับถือพระพุทธศาสนา เราถึงมาใคร่ครวญในธรรมะของพระพุทธเจ้า นั่นทางสาธารณะ

ทางสาธารณะ เราก็ฝึกหัดสิ เพราะเรามีครูมีอาจารย์ไง เรามีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นศาสดาไง เราเป็นชาวพุทธไง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าฝากมรดกธรรมไว้กับเราไง ฝากมรดกธรรมไว้กับเรา แต่เรายังไม่ทำความเป็นจริงขึ้นมาไง เวลาเราใช้ เราก็เป็นเจ้าของศาสนา เราก็เป็นบริษัท ๔ เราก็มีสิทธิ เรามีสิทธิในพระพุทธศาสนา นี่ไง ปัญญาอบรมสมาธิ

เพราะเราก็ตรึกในธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ เราก็คิดของเราได้ไง มันเป็นธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่เราฝึกหัดของเราขึ้นมา ถ้าจิตมันสงบขึ้นมา เวลาเราใช้ปัญญาอบรมสมาธิ ถ้าจิตสงบเข้ามา เวลาจิตมันเสวยมันถึงเห็นไง จิตเห็นอาการของจิต จิตเป็นผู้เห็นการเกิดดับ กับความรู้สึกนึกคิดเป็นผู้เห็นความเกิดดับ

เริ่มต้นขึ้นมา ความรู้สึกนึกคิด สามัญสำนึกไง เราก็รู้ว่ามันเกิดมันดับ เพราะความคิดเราก็รู้ ความคิดดับเราก็รู้ นี่โลกียปัญญา เพราะเป็นทางสาธารณะ ไม่ใช่เป็นทางส่วนบุคคล เป็นทางของเรา ถ้าทางของเรา เวลาจิตมันสงบแล้วมันถึงจะรู้จะเห็น ถ้าจะรู้จะเห็นขึ้นมา มันเห็นขึ้นมามันก็พิจารณาของมันเข้ามา

แล้วบอกว่า เขาทำสมาธิ ผลที่ลูกทำสมาธิมากขึ้น มันก็มีการเปลี่ยนแปลง ไปรู้ไปเห็นนิมิตร้อยแปดไปเลย

ถ้าผลของการทำสมาธิ เวลาสมาธิยังไม่เกิดขึ้น เวลาใช้ทางสาธารณะ ใช้ทางขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไปได้เตลิดเปิดเปิงเลย พอเราทำสมาธิได้ พอเราจะมีถนนหนทาง มันใช้ทางตัวเองไม่เป็นอีก ไปรู้ไปเห็นสมาธิ ไปเห็นนิมิต ไปเห็นร้อยแปด เห็นสมาธิ

คนไม่มีถนนหนทางนะ ที่ตาบอด ไม่มีทางเข้าออก ลำบากนะ ที่ตาบอด บ้านเรามันไม่มีทางเข้าออก ลำบากมาก เพราะว่าจะเข้าจะออกมันลำบาก ต้องอาศัยคนอื่นตลอดเลย เวลาเราจะหาทางออก เราต้องไปเจรจา เราต้องหาหนทางออกจนได้

นี่ก็เหมือนกัน ถ้ายังทำความสงบของใจไม่เป็นก็ไม่มีทางไปเหมือนกัน พอทำความสงบของใจได้ มันไปรู้ไปเห็นนิมิตต่างๆ ไปรู้ไปเห็นนิมิตต่างๆ รู้เห็นนิมิตแล้วได้ประโยชน์อะไรล่ะ รู้เห็นนิมิต ไปรู้ไปเห็นร้อยแปดพันเก้าเลย

ฉะนั้น เวลาอย่างนี้ เวลาฝ่ายแนวทางปฏิบัติที่เขารู้ตัวทั่วพร้อมเขาถึงบอกว่าไอ้พวกพุทโธ ไอ้พวกสมถะมันจะเกิดนิมิต

จะเกิดนิมิตมันก็ต้องแก้ตามนิมิตไง มันต้องแก้ตามนั้นไง นี่มันทางของเราไง ทางของเรา

เพราะถนนหนทางของเรามันไม่มี บ้านเรือนบางที่นะ ดูสิ ถนนหนทางของเขา ๘ เลน ๑๐ เลน ถนนเขากว้างขวางมากเลย เขาก็สะดวกสบายของเขา เขาไม่มีนิมิตเลย เพราะถนนมันโล่ง มันไม่มีต้นไม้มาบังให้เกิดอุปาทานยึดมั่นถือมั่นสิ่งใด ถนนโล่งไปหมดเลย เขาไม่มีนิมิตหรอก เขาจะพุทโธก็ไม่มีนิมิต เขาทำอะไรก็ไม่มีนิมิต ทางของเขาจะโล่งโถง ทางของเขานี่ทางส่วนบุคคล ทางของเขาดี เขาก็ไม่ติด

ไอ้ทางของเรา หนึ่ง ที่ตาบอดอยู่แล้วไม่มีทางเข้าทางออก กว่าจะหาหนทางได้ พอหาหนทางได้ มันเป็นหลุมเป็นบ่อขึ้นมาก็บอกว่า นั่นน่ะเป็นสระเลี้ยงปลา นั่นน่ะเป็นสระว่ายน้ำ มันเกิดนิมิต

นิมิตมันไม่จริง ถนนเป็นหลุมเป็นบ่อมันเป็นสระที่ไหนล่ะ จิตมันไปรู้ไปเห็นนิมิตมันจะชักนำให้จิตมันไปน่ะ ถนนเขาเอาไว้ใช้สัญจร เขาเอาไว้ใช้เข้าออก เขาไม่ได้ไปทำสระน้ำ เขาไม่ได้ไปทำสระว่ายน้ำไว้กลางถนนน่ะ แต่พอมันมีเป็นหลุมเป็นบ่อขึ้นมา สระว่ายน้ำ นั่นนิมิต

ถ้าเราเป็นคนปกติใช่ไหม เรารู้ว่าไอ้ถนนเป็นหลุมเป็นบ่อ เราก็ถมซะ ถนนเป็นหลุมเป็นบ่อ เราก็ปรับหน้าดิน มันก็จบ ถนนเราก็นิมิต นิมิตก็คือนิมิต ถนนเขาเอาไว้สัญจรไง สัญจรไปไหน สัญจรไปหาคุณธรรมไง เพราะสมาธิมันจะยกขึ้นสู่วิปัสสนา ถ้าสู่วิปัสสนานะ มันก็เป็นอีกแบบหนึ่ง นี่พูดถึงถ้าเป็นอีกแบบหนึ่ง

ฉะนั้นว่า เวลาถ้าจิตเขาเป็นนิมิตแล้ว เขาใช้ปัญญาแล้ว เขาไปดูนู่นดูนี่ ว่าสิ่งนั้นมีการไม่เสมอภาค ไปเห็นสัตว์ เห็นคนแล้วไม่เสมอภาค

ก็ปัญญามันเกิด เกิดก็เกิด ปัญญาอบรมสมาธิมันก็เป็นรอบๆ หนึ่ง เวลาปัญญามันเกิดขึ้นมาบอกว่า เป็นผู้มีอุเบกขา เป็นผู้วาง

อุเบกขาเป็นธรรมหรือเปล่า อุเบกขาเป็นธรรมไหม สุขเวทนา ทุกขเวทนา อุเบกขาเวทนา ถ้าอุเบกขาเวทนา เพียงแต่ว่าเราเปรียบเทียบกัน เราเปรียบเทียบว่าสิ่งที่เป็นประโยชน์ไม่เป็นประโยชน์

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าวางธรรมวินัยนี้ไว้ สิ่งที่เป็นธรรมวินัย ที่เป็นบัญญัติที่เราคุยกันอยู่นี่ ที่ว่าสิ่งที่เราสื่อสารกันอยู่นี่ เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าวางเป็นธรรมวินัย เราถึงมีบัญญัติ บัญญัติสิ่งที่พระพุทธเจ้าวางไว้แล้วเราสื่อสารกัน

แต่ถ้าพระปัจเจกพุทธเจ้าสอนได้เหมือนกัน แต่ท่านไม่ได้บัญญัติไว้ ท่านรู้ของท่าน ท่านรู้ของท่าน ท่านสอนได้เฉพาะของท่าน นี่พระปัจเจกพุทธเจ้า

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าวางธรรมและวินัย ถ้าวางธรรมวินัย เราเองเราก็เปรียบเทียบ นี่ทางสาธารณะ อย่างนี้เป็นอุเบกขา อุเบกขา สิ่งที่มันเป็นอัตตา ก็ว่าไป

เราจะบอกว่า สิ่งที่ทำมามากน้อยขนาดไหนนะ ถ้ามันเป็นประสบการณ์ มันวางไว้ การประพฤติปฏิบัติมันต้องมีการลองผิดลองถูก แล้วจิตมันมีร้อยแปด จิตนี่นะ มันเป็นได้หลากหลาย จิตนี้มหัศจรรย์มาก มหัศจรรย์จริงๆ

เวลาจิตนี้ไปเกิดเป็นเทวดา เป็นอินทร์ เป็นพรหม เวลาเขาจะเป็นเทพบุตร เขาจะสื่อสารมา เขาสื่อสารมาไง จิตมันเป็นได้หลากหลายขนาดนั้นน่ะ มันมหัศจรรย์ แล้วเขาจะรู้ว่าคิดอย่างไร มีความเห็นอย่างไร โลกของเทวดา โลกของสิ่งที่เป็นทิพย์ กับโลกของเรา โลกสิ่งที่เป็นมนุษย์

มนุษย์ของเรา ตอนนี้สมัยปัจจุบันนี้เขามีทางจิตแพทย์ จิตวิทยาเขาพยายามจะขุดเข้าไปถึงความรู้สึกนึกคิดของมนุษย์ เรื่องจิตเภท เรื่องการรักษา นี่เรื่องของจิตไง ขนาดว่าหมอนะ หมอรักษาเรื่องความเจ็บไข้ได้ป่วยของมนุษย์ก็อย่างหนึ่ง ในปัจจุบันนี้คนเจ็บไข้ได้ป่วยทางความรู้สึก เจ็บไข้ได้ป่วยทางจิต เขาก็มีจิตแพทย์

แต่เวลาเราประพฤติปฏิบัติขึ้นมา เราประพฤติปฏิบัติ เราก็มีกายกับใจเหมือนกัน เวลาเราบวช เราเอาร่างกายมาบวช แต่จิตใจของเราล่ะ จิตใจของเรา เราบวชมาแล้วเป็นสมมุติสงฆ์ พระเราบวชมาแล้วเป็นสมมุติสงฆ์ บวชมาโดยญัตติจตุตถกรรม เป็นพระโดยสมบูรณ์ สมบูรณ์โดยสิทธิตามกฎหมายไง สิทธิตาม พระพุทธศาสนา สิทธิตามชาวพุทธที่ยอมรับ แล้วจิตใจมันเป็นพระจริงหรือเปล่าล่ะ

ความเป็นพระขึ้นมามันก็ต้องประพฤติปฏิบัติขึ้นมา ต้องให้เป็นจริงขึ้นมา ให้ใจเป็นพระขึ้นมา ฉะนั้น เวลาปฏิบัติขึ้นมานี่เรื่องของจิตแล้ว

ทางโลกเขามีหมอ แพทย์เขารักษาทางร่างกาย แล้วก็แพทย์รักษาทางจิต เพราะอะไร เพราะต้องการให้คนสมบูรณ์ทั้งจิตและร่างกาย

ฉะนั้น เวลาประพฤติปฏิบัติขึ้นมา เราบวชขึ้นมา สิ่งที่เป็นรูปธรรมก็คือร่างกายของมนุษย์ มนุษย์มีศรัทธามีความเชื่อก็ไปบวชมาเป็นพระ บวชเป็นพระก็บวชที่ร่างกายไง มันยังไม่ได้บวชหัวใจไง ถ้ามันจะบวชหัวใจ นี่หนทางของใครล่ะ

ไปอยู่กับหลวงปู่มั่น พวกเราไปศึกษากับหลวงปู่มั่น หลวงปู่มั่นท่านประพฤติปฏิบัติขึ้นมามีแนวทางของท่านแล้ว ท่านทำความเป็นจริงของท่าน นั่นเป็นทางของหลวงปู่มั่น ทางของหลวงปู่มั่นเป็นทางกว้างขวางด้วย เพราะทางของหลวงปู่มั่นท่านปรารถนาเป็นพระโพธิสัตว์ เวลาหลวงปู่เสาร์ท่านปรารถนาเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้า พระโพธิสัตว์ไปแก้พระปัจเจกพุทธเจ้า พระโพธิสัตว์ไปแก้พระโพธิสัตว์ เวลาหลวงปู่มั่นท่านไปแก้ ท่านต้องแก้ตัวท่านก่อนไง ท่านแก้ตัวท่าน ท่านถึงไปแก้คนอื่น

นี่พูดถึงหนทาง หนทางที่กว้างขวาง กว้างขวางเพราะท่านสร้างบารมีมา หนทางของท่านถึงกว้างขวางมาก ทางมันอยู่ที่ไหน แล้วนี่เวลาเราปฏิบัติ ทางอยู่ที่เรา เราเป็นชาวพุทธ เราก็ยึดถือศาสดาของเรา ครูเอกของโลก เราก็ระลึกถึงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราศึกษาพระไตรปิฎก แต่ศึกษาแล้วปัญญาของเรามันอ่อนด้อย ปัญญาของเราศึกษาแล้วมันหาหนทางไม่เจอ เพราะพระพุทธเจ้าสอนไว้มากมายมหาศาล พระพุทธเจ้า พุทธปัญญากว้างขวางมาก แล้วทางของเราอยู่ไหนล่ะ ทางของเรา

ทีนี้พอในยุคปัจจุบันนี้ หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นท่านปฏิบัติของท่านด้วยความเป็นจริงของท่าน พวกเราถึงหาครูอาจารย์คอยชี้นำทาง แล้วพอชี้นำทาง ครูบาอาจารย์ที่ท่านเป็นจริงท่านชี้นำทาง ชี้นำทางเข้าสู่หัวใจ เข้าสู่หัวใจผู้ที่ประพฤติปฏิบัติ เพราะทุกหัวใจต้องหาทางของตัว

อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน ตนต้องหาทางของตนให้เจอ ถ้าตนหาทางของตนให้เจอ ตนก็จะเข้าไปสู่ฐีติจิต มารมันอยู่ที่นั่น กิเลสมันอยู่ที่นั่น ทุกคนประพฤติปฏิบัติขึ้นมาก็ต้องเข้าไปสู่กิเลสของตัว ไปชำระล้างกิเลสของตัว ไปกำจัดกันที่นั่นไง ทางของตัวมันอยู่ที่นี่

ฉะนั้น ไอ้สิ่งที่ทำมามันเป็นประสบการณ์ ประสบการณ์ที่เขียนมานี่นะ มันน้อยนิด มันขี้เล็บเลยล่ะ มันขี้เล็บของหลวงปู่มั่น มันขี้เล็บของครูบาอาจารย์ หลวงปู่มั่นท่านตกระกำลำบากยิ่งกว่านี้ เพราะมันไม่มีครูบาอาจารย์

เพราะเวลาหลวงปู่มั่นเวลาท่านเล่าให้หลวงตาฟัง ท่านไปทั่วนะ ไปพม่า ตอนที่ท่านปฏิบัติ คนมันเอาจริง แล้วมันไม่มีใครสอน ไปถามใคร ใครก็ไม่รู้เรื่อง เปิดพระไตรปิฎกอ่านแล้วก็งง เข้าไปในพม่านะ เข้าไปในลาว เข้าไปในเขมร ไปหมด ไปจนทั่ว สุดท้ายต้องทำเอง สุดท้ายต้องกลับมาทำเองเหมือนกัน

เวลาทำเองขึ้นมา ทำเองแล้วก็ศึกษา ทำเองก็ไม่ทิ้งพระไตรปิฎก ไม่ทิ้งศาสดา ทำเองก็เทียบเคียงๆ ท่านทำของท่านมา แล้วท่านรู้ท่านเห็นมากกว่านี้เยอะ ท่านรู้ท่านเห็นมากกว่านี้เยอะ แล้วเห็นจริงๆ ด้วย พอเห็นจริงๆ ดูสิ อยู่ที่ถ้ำสาริกา สงสารนะ กำหนดจิตลงมาถึงหลวงตาที่ตีนเขา คิดถึงครอบครัว

ด้วยลงมาอยากจะเตือนเขา อยากจะให้เขาได้ฝืน ฝืนความคิดถึงครอบครัวไง ตอนเช้าก็ไปทักหลวงตา หลวงตาแต่งงานกับภรรยาคนเดิมเมื่อคืนกี่รอบคิดแต่เรื่องครอบครัวไง จนหลวงตานั้นสะอึกเลย เพราะทั้งคืนเลย คิดถึงแต่แม่อีหนูที่บ้านทั้งคืนเลย พอหลวงปู่มั่นพูดอย่างนั้นปั๊บ เช้าขึ้นมาเก็บข้าวเก็บของหนีไปเลย

นั่นน่ะ เพื่อจะเตือนเขา เพื่อจะบอกเขา แต่การบอกนั้น คนที่อ่อนด้อยมันรับไม่ได้ มันรับไม่ไหว ตั้งแต่นั้นมา ท่านรู้อะไรท่านค่อยๆ เลียบๆ เคียงๆ จะบอกใคร จะอะไรใคร เพราะคนที่จะรับฟังได้มันก็ต้องมีวุฒิภาวะ

คนที่มีวุฒิภาวะหมายความว่าคนที่ค้นหาความผิดของตัว แล้วใครชี้ถึงความผิดของตัวได้ คนนั้นเป็นอาจารย์ คนนั้นเป็นผู้ชี้อริยทรัพย์ให้

ใครชี้ความผิดของตัวได้ ความผิดของเราได้ ใครแนะนำเราได้ เขาชี้ขุมสมบัติ เขาชี้ขุมทรัพย์ให้เรา เราแสวงหาสิ่งนั้น แต่นี้ไปชี้ขุมทรัพย์ให้เขา แต่เขาตกใจ เขากลัว เขาเสียผลประโยชน์ของเขา

เวลาครูบาอาจารย์เรา ถนนหนทางที่กว้างใหญ่ ประสบการณ์จิตของท่าน หนึ่ง

สอง ท่านได้สร้างอำนาจวาสนาบารมีของท่านมา

แล้วสาม ท่านก็ยังมาสั่งสอนพวกเราอยู่

แล้วนี่เราปฏิบัติมา ล้มลุกคลุกคลานมาทั้งหมด

ฉะนั้นบอกว่า เวลาเขาทำกัน จิตเขาเป็นพุทธะ จิตคือพุทธะ จิตคือผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน เวลาจิตเขาสงบนะ เสร็จแล้วเขาจะคิดอย่างไรของเขา

อันนี้จิตเวลาหุ้นมันขาขึ้น มันดีงามไปหมดแหละ แต่หุ้นเวลาขาลงนะ มันติดหุ้นอยู่ โอ๋ย! มันไปนอนทุกข์ยาก

นี่ก็เหมือนกัน เวลาจิตมันเป็นพุทธะ จิตมันเป็นต่างๆ เวลาปัญญามันเกิด โอ๋ย! มันดีงามไปหมดเลย แต่เวลามันเสื่อม เสื่อมจะไปไหนล่ะ เสื่อมมันก็เสื่อมหมด เสื่อมมันก็พยายามต้องสร้างขึ้นมานะ เวลาแต่ละวันๆ ที่ปฏิบัติไปมันเยอะกว่านี้นะ

เวลาคนไปศึกษามานะ มีความรู้มากน้อยขนาดไหน ความรู้มันไม่ใช่แบกใช่หาม มันไม่ใช่วัตถุ ถ้าเป็นวัตถุนะ มันต้องหาที่เก็บที่รักษานะ แต่ถ้าปัญญามันไม่มีวันจบวันสิ้น ถ้าไม่มีวันจบวันสิ้นนะ พอวันจบวันสิ้นมันก็วางสิ แล้วเวลามันขึ้นใหม่ มันมีมา มันเป็นไป มันก็เป็นประโยชน์กับเรา ถ้าไม่มีมา หนทางมันอยู่ที่นี่ พอหนทาง หนทางมันอยู่ที่เรา เวลาคำตอบ เวลาธรรมะที่มันไหลออกมาจากจิต ธรรมะมันไหลออกมานะ ถ้าธรรมะของเรา ถ้าเรามีสติปัญญา ธรรมะของเราจะเป็นประโยชน์กับเรา

สังเกตคนบ้าที่โรงพยาบาลไหม ธรรมะเขาไหลทั้งวันเลย มันมีความคิดทั้งวัน มันนั่งพูดคนเดียวทั้งวันเลย อันนั้นเป็นธรรมะไหม เวลาคนขาดสติแล้วมันเพ้อเจ้ออยู่ทั้งวันๆ เป็นธรรมะไหม

แล้วเวลาที่ว่าเราธรรมะมันเกิดทั้งวันๆ เรามีสติไหม สิ่งที่เกิดขึ้นมาเป็นประโยชน์กับเราไหม ถ้าขาดสตินะ เดี๋ยวเขาส่งโรงพยาบาล เดี๋ยวจะได้เป็นพระอรหันต์ที่โรงพยาบาลศรีธัญญา ถ้าทางอย่างนั้นมันไม่ใช่ทาง

แต่ถ้าทางของเรา เราต้องมีสตินะ ถ้ามีสติแล้วฝึกของเราขึ้นมา กลับมาทำความสงบของใจของเรา ถ้าใจมันสงบแล้วฝึกหัดใช้ปัญญา

เขาบอกเขาเจ็บไข้ได้ป่วย เวลาเขาเจ็บไข้ได้ป่วย เขาเห็นโทษของการเจ็บไข้ได้ป่วย เขาสู้

ธรรมโอสถนะ ครูบาอาจารย์ของเราเวลาทุกข์เวลายาก มันอยู่ในป่าในเขา อยู่ในป่าในเขา ถ้าการศึกษาตำราพื้นบ้านเขามีสมุนไพรสิ่งใด เขาใช้ตามนั้น แต่ถ้าใช้แล้วมันไม่เป็นประโยชน์นะ ธรรมโอสถ กำหนดตายเลย กำหนดตาย

แล้วเวลามาลาเรียต่างๆ ขึ้นมา สมัยที่ครูบาอาจารย์ท่านเที่ยวอยู่ ยาสักเม็ดหนึ่งก็ไม่มี มาลาเรียขึ้น มาลาเรียมันมาจากไหนล่ะ มาลาเรียมันเป็นเชื้อ มาลาเรียมันเข้าสู่ร่างกายเรา ก็ต้องพุทโธจนกว่ามันจะหาย มันหายของมันไปเอง

แล้วเวลาหลวงปู่มั่นท่านพูด เวลาไข้มันเกิด มันเกิดมาจากไหน เวลาไข้มันหายไปแล้ว เราก็อยู่เหมือนเดิมอย่างนี้ มันมาจากไหน ต้องใช้ปัญญาไล่กับมัน นี่ธรรมโอสถ

สิ่งที่เวลาเจ็บไข้ได้ป่วย ไอ้ที่เราเจ็บไข้ได้ป่วย ใช่ คนไม่เจ็บไข้ได้ป่วยก็ไม่รู้ว่าเจ็บไข้ได้ป่วยมันทุกข์ยากขนาดไหน คนเราเจ็บไข้ได้ป่วย จิตใจมันว้าเหว่ จิตใจมันออกจากร่างไปเลย มันไม่มีกำลังใจ

แต่เวลาครูบาอาจารย์ของเราท่านปลุกปลอบให้มีกำลังใจขึ้นมา แล้วทำขึ้นมาก็เป็นประโยชน์ ฉะนั้น สิ่งที่ประสบการณ์ สิ่งที่เป็นมาที่เล่ามาให้ฟังทั้งหมด ครูบาอาจารย์ท่านผ่านมาเยอะกว่านี้หลายเท่า ถ้าผ่านมาเยอะกว่านี้หลายเท่า

เวลาเราประพฤติปฏิบัติอยู่ในป่า เราปฏิบัติอยู่ในป่า เราธุดงค์อยู่นะ เราก็พยายามประพฤติปฏิบัติของเรา เวลามันท้อแท้ เวลาปฏิบัตินะ เราก็ว่าเราก็คนจริงคนหนึ่ง เวลาอดนอนผ่อนอาหาร ๗ วัน ๗ คืน เดินจงกรมทั้งวัน เดินจงกรมตลอด แล้วถือเนสัชชิก กลางคืนก็ไม่ได้นอน แล้วจิตมันเอาไม่อยู่ จิตมันเอาไม่อยู่หมายความว่ามันไม่เจริญ มันไม่ถอย มันไม่ท้อแท้ แต่มันก็ไม่ดีขึ้น เมื่อไหร่มันจะได้ผล

เวลามันท้อแท้นะ เราคิดถึงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราคิดถึงหลวงปู่มั่น แล้วที่เราปฏิบัติอยู่มันขี้เล็บ ขี้เล็บ เราขี้เล็บ

แต่ถ้าบอกว่า อู๋ย! เราปฏิบัติ เราจริงจังๆ โอ๋ย! กิเลสมันเหยียบตายเลย

พอเราเทียบเคียงกับครูบาอาจารย์ ไอ้พวกนี้มันขี้เล็บ พอขี้เล็บนะ มันก็กลับมาให้เราสดชื่น ให้เราได้ฟื้นฟู ให้เราปฏิบัติต่อไป

สิ่งที่เป็นทั้งหมดที่มันเห็นขึ้นมา จะเห็นกาย เห็นอะไรก็แล้วแต่ เห็นมันเป็นอดีตไปแล้ว เห็นมันเป็นอดีตไปแล้ว

ฉะนั้น เราจะบอกว่า ทางของเรา เราแสวงหาหนทางของเรา ถ้าแสวงหาทางของเรานะ จิตสงบก็รู้ว่าจิตสงบ จิตยกขึ้นสู่วิปัสสนาก็รู้ว่าจิตยกขึ้นสู่วิปัสสนา

เวลาจิตมันสงบนะ จิตสงบแล้วมันเสื่อม รู้ว่าจิตสงบ เวลาจิตมันเสื่อมก็รู้ว่ามันเสื่อม มันเสื่อม มันเข้าสมาธิไม่ได้ไง เวลามันเข้าสมาธิไม่ได้ เราก็ต้องหาอุบายวิธีการจนเข้าสมาธิได้ พอเข้าสมาธิได้แล้ว เราก็มีความชำนาญการเข้าและการออก พอมีความชำนาญในการเข้าและการออก พอมันชำนาญการเข้าออกแล้ว เรายกขึ้นวิปัสสนา เพราะมันชำนาญแล้ว มันมีทุน มันมีถนนหนทาง มันมีทางของเรา สัมมาสมาธิ สมถกรรมฐานยกขึ้นสู่วิปัสสนากรรมฐาน

ไม่มีสมถกรรมฐาน ใช้ถนนสาธารณะ ใช้ทางด่วน ต้องจ่ายค่าขึ้นทางด่วน เวลาลงไปแล้วนะ ไปซะ ถ้าขึ้นต้องจ่ายใหม่ ไม่ใช่ประโยชน์อะไรเราเลย เวลาขึ้นทางด่วน จ่ายสตางค์มา ลงไปแล้วไปซะ จะขึ้นใหม่ จ่ายสตางค์มาใหม่ จ่ายสตางค์มาใหม่ ทางด่วน

นี่ไง แต่ถ้าเราชำนาญในสัมมาสมาธิ ทางของเรา ไม่ได้จ่ายสตางค์ใคร เราพุทโธๆ เราสร้างทางของเราขึ้นมาเอง พุทโธๆๆ จิตสงบ ชำนาญในการเข้าและการออก ยกขึ้นสู่วิปัสสนา ทางของเรา ยกขึ้นเห็นกาย เห็นเวทนา เห็นจิต เห็นธรรมตามความเป็นจริง แล้วพิจารณาแยกแยะตามความเป็นจริงนั้น ทางของเราจะขึ้นเมื่อไหร่ก็ได้ จะลงเมื่อไหร่ก็ได้ ก็ทางของเรา ไม่ใช่ทางด่วน ไม่ต้องไปขึ้นทางด่วนเสียค่าบัตร

ทางของเรา เราสร้างเอง ก็ทางอยู่กับเรา ทางอยู่กับใจ ใจยกขึ้นสู่วิปัสสนา เห็นไหม ถ้ายกขึ้นสู่วิปัสสนา ใช้ปัญญา วิปัสสนาคือปัญญารู้แจ้ง รู้แจ้งในอะไรล่ะ รู้แจ้งในอะไร ถ้ามันรู้แจ้งแล้วนะ มันไม่ล้มลุกคลุกคลานอย่างนี้ไง ไอ้ที่เล่ามาให้ฟัง ๔-๕ หน้ากระดาษไง

-๕ หน้ากระดาษนะ คนเราคิดแค่วินาทีเดียวได้มากกว่านี้อีก จิตนี้มันเร็วมาก คิดได้ร้อยแปด แล้วมันคิดไปร้อยแปด สมบัติบ้า สมบัติบ้า แต่ถ้าเป็นมรรคล่ะ เป็นมรรคคิดแล้วมันย้อนกลับมา มันสำรอกมันคายของมัน นี่มันเป็นการฝึกฝนนะ มันเป็นการฝึกฝน

คำถามว่าลูกควรปฏิบัติอย่างไร ที่เดินมาถูกต้องหรือไม่ ต้องทำเช่นไรต่อไปคะ

ที่ปฏิบัติมาถูกต้องไหม ถ้าถูกต้องก็ถูกต้องแบบว่าผู้ที่ประพฤติปฏิบัติ ผู้ที่ปฏิบัติมันลองผิดลองถูก นี่ถูกต้อง

แต่บอกให้ถูกต้อง แต่ไม่ลองผิดลองถูกเลย แล้วลองผิดไม่ได้ ต้องลองถูกอย่างเดียว ถ้ามันจะถูกอย่างเดียว ไม่มีผิดเลย เอามาจากไหน

ถ้าผิดก็คือผิด แต่เป็นการลองถูกลองผิด ลองถูกลองผิดนะ มรรคหยาบฆ่ามรรคละเอียดด้วย

โสดาปัตติมรรค ถ้าโสดาปัตติมรรค ถ้าสมดุล มรรคสามัคคี มันก็ได้เป็นโสดาปัตติผล โสดาปัตติมรรคจะไปเห็นกิเลสของสกิทาคามิมรรค สกิทาคามิผลไม่ได้ จะไปเห็นกิเลสของอนาคามิผลไม่ได้ จะไปเห็นกิเลสของขั้นพระอรหันต์ไม่ได้

โสดาปัตติมรรคมันจะชำระล้างกิเลสในขั้นของโสดาบัน มันจะได้เป็นโสดาปัตติผล สกิทาคามิมรรคมันจะไปเห็นกิเลสของขั้นสกิทาคามี อนาคามิมรรคมันจะไปเห็นกิเลสของขั้นอนาคามี อรหัตตมรรคจะไปเห็นกิเลสของขั้นที่จะเป็นพระอรหันต์

มรรคหยาบมรรคละเอียดมันยังแตกต่างกันเลย พูดมรรคผิด เขายังไม่ฟังเลย มรรค มรรคหยาบ มรรคละเอียด มรรคหยาบมันจะละเอียดไปไม่ได้ มรรคหยาบก็คือโสดาปัตติมรรค เวลายกขึ้นสู่กาย เวทนา จิต ธรรมตามความเป็นจริง พิจารณาแยกแยะตามความเป็นจริง เวลามันขาด รู้เลย โสดาปัตติมรรค โสดาปัตติผล สกิทาคามิมรรค สกิทาคามิผล อนาคามิมรรค อนาคามิผล อรหัตตมรรค อรหัตตผล บุคคล ๔ คู่ บุคคล ๘ มันต้องมีจริงของมัน แล้วถ้าเป็นจริงแล้วนะ โอ้โฮ!

ไอ้เรื่องที่อธิบายมานี่เพราะอะไร อธิบายมามันก็เป็นการลองผิดลองถูก หญ้าปากคอก ถ้าเป็นความจริงขึ้นมาแล้ว ถ้ามันเป็นความจริง ความจริงแล้ว ความจริงแล้วจะไม่ถาม ถ้าถามแสดงว่ามันไม่จริง

แต่ถ้ามันยังถามมาขนาดนี้ ถามมาอย่างนี้นะ นี่พูดให้ฟัง อธิบายให้ฟัง เพราะว่าถ้าว่าที่ทำมานี้ถูกไหม ทำมานี่ผิดหมดเลยใช่ไหม

ทำมานี้เป็นประสบการณ์ ระยะทางของคน ถ้าระยะทางของคนที่ต้องเดินทางไกล ไอ้นี่ก็อีกเรื่องหนึ่ง ระยะทางของคนมันสั้น ระยะทางของคนมันมี หลวงตาบอกขุดน้ำ ขุดบ่อ ถ้าที่ดินของใครบ่อน้ำตื้น มันก็ได้น้ำเร็ว ถ้าที่ดินของใครบ่อน้ำอยู่ในที่ดอนก็บ่อน้ำลึก

นี่ก็เหมือนกัน ทางของใคร ที่ดินของใคร แหล่งน้ำของใคร อำนาจวาสนาของใคร เราสร้างมา แต่สรุปนิดหนึ่ง เดี๋ยวจะน้อยใจ สรุปนิดหนึ่งว่า แต่คนเราก็มีวาสนานะ มีวาสนาเกิดเป็นชาวพุทธ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา แล้วขวนขวายหาประโยชน์ของตน ขวนขวายคือพยายามสร้างบุญกุศล คือพยายามประพฤติปฏิบัติเพื่อผลประโยชน์ของตน

ถ้าไม่สนใจเลย เกิดมาเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา แล้วเราไม่ขวนขวายเอาสมบัติส่วนตนเลย เป็นสมบัติสาธารณะ ภูมิอกภูมิใจว่าเราเกิดเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา ศาสนาพุทธเป็นศาสนาแห่งเหตุและผล ภูมิอกภูมิใจกับพระพุทธศาสนา แต่เราไม่ได้ประโยชน์ส่วนตนเลย

ประโยชน์ส่วนตนของเรา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นตถาคต เอวัง