เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๒๑ พ.ย. ๒๕๕๗

 

เทศน์เช้า วันที่ ๒๑ พฤศจิกายน ๒๕๕๗
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

มันเป็นสิทธิเสรีภาพ ทุกคนมีความคิดทั้งนั้นแหละ แต่ความคิดของผู้ที่ไม่มีประสบการณ์ไง เขาคิดไปอย่างนั้นแหละ แต่ถ้าความคิดของครูบาอาจารย์นะ ถ้าครูบาอาจารย์ ดูสิ เวลาครูบาอาจารย์เราบวชตั้งแต่เณร บวชตั้งแต่เด็กๆ บวชตั้งแต่เด็กๆ ประสบการณ์ ประสบการณ์ชีวิตตั้งแต่วัยเด็ก วัยเด็กนะ เวลาเป็นเด็ก เวลาบวชแล้วก็คิดถึงบ้าน คิดถึงพ่อคิดถึงแม่ทั้งนั้นแหละ ถ้าคิดถึงบ้าน คิดถึงพ่อคิดถึงแม่ ครูบาอาจารย์ท่านดูแลกันมาอย่างใด ถ้าดูแลมาอย่างไร ดูสามเณรน้อย สามเณรน้อยที่เขามาบวชเขามีอำนาจวาสนานะ สามเณรบวชตั้งแต่สามเณรน้อย เวลาถึงที่สุดแล้วเขาถึงเป็นสังฆราชนู่นน่ะ เพราะประสบการณ์ชีวิตของเขาในชีวิตของนักบวช

ถ้าชีวิตของนักบวช บวชขึ้นมาเพื่ออะไร ถ้าบวชขึ้นมา ถ้าชีวิตนะ บวชเพื่อการศึกษา มีปัญญา ถ้ามีปัญญาแล้วก็มีการบริหารจัดการไป การบริหารจัดการคือการปกครอง แต่ถ้ามีครูบาอาจารย์ที่ท่านมีอำนาจวาสนานะ เวลาท่านออกบวช ในสมัยพุทธกาล สามเณร ๗ ขวบเป็นพระอรหันต์ ถ้าเป็นพระอรหันต์ตั้งแต่อายุ ๗ ขวบ ๗ ขวบเป็นพระอรหันต์ วิมุตติสุขๆ ที่เราแสวงหากัน เราสนใจกันอยู่นี่ มันอยู่ที่ไหน

แต่ถ้าเราแสวงหา โลกนี้ โลกนี้เร่าร้อนนัก เธอเพลิดเพลินอยู่กับชีวิตได้อย่างไร โลกนี้เร่าร้อนนัก เธอให้หาที่พึ่ง ในธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้าสามเณร ๗ ขวบที่เป็นพระอรหันต์นะ มันมองโลกไปอีกอย่างหนึ่งไง แต่ถ้าสามเณร ๗ ขวบ เวลาสามเณรบวชขึ้นมาแล้วมีการศึกษา ศึกษามาแล้วเพื่อบริหารจัดการ เขาก็สร้างอำนาจวาสนาบารมีของเขา สร้างอำนาจวาสนาบารมีแบบชาวโลกเขา

ชาวโลก ถ้าเป็นรัฐบุรุษ เป็นคนสำคัญของโลก เขาได้สร้างคุณประโยชน์คุณงามความดีของโลก นี่เขามองกันอย่างนั้น แต่เวลาสามเณร ๗ ขวบเป็นพระอรหันต์ตั้งแต่อายุ ๗ ขวบ เขามองโลกไง มองโลกเป็นอนิจจัง โลกนี้มีการเปลี่ยนแปลง แต่สิ่งที่เปลี่ยนแปลงเราก็ต้องเคลื่อนไปกับโลกนั้น แต่ถ้าเรามีสติปัญญา มีสติปัญญาเราบริหารจัดการหัวใจของเรา บริหารจัดการหัวใจของเราได้อย่างไร บริหารหัวใจของเราด้วยปัญญา ด้วยมรรค

เวลามรรคมันเกิดขึ้นนะ เวลาคนที่ภาวนาเป็น เวลาเกิดปัญญา โลกียปัญญา ปัญญาที่เขาบริหารจัดการทางโลก ที่เขามีปัญญาๆ กัน สิ่งนั้นมันเป็นเรื่องโลก เป็นโลกียปัญญา มันไม่ทะลุเข้ามาไง มันไม่ทะลุเข้ามาสู่โลกทัศน์ สู่จิตวิญญาณของตัว ถ้าสู่จิตวิญญาณ มรรคมันเกิดตรงนั้นไง นี่ภาวนามยปัญญา ปัญญาที่เกิดจากจิต เกิดจากจิตมันจะย้อนทวนกระแสกลับเข้ามาในหัวใจนั้น ถ้ามันย้อนทวนกระแสกลับเข้ามาในหัวใจนั้น มันสำรอกมันคายอวิชชา คายความไม่รู้

แล้วใครไม่รู้ล่ะ ที่เกิดมาใครไม่รู้บ้าง ก็มีการศึกษา มีปัญญาทั้งนั้นแหละ ใครไม่รู้บ้าง

เขารู้ทางวิชาการ รู้ทางวิชาชีพ รู้ทางวิทยาศาสตร์ วิทยาศาสตร์องค์การนาซา เขาคำนวณเรื่องกระแสลม เขาคำนวณพลังลม แรงโน้มถ่วง นี่เขารู้ รู้เรื่องจักรวาล ดูสิ กาแล็กซีเข้าใจไปหมดเลย นี่ความรู้ของเขา ความรู้ของเขาเป็นวัตถุไง แล้วก็บอกว่าพระพุทธศาสนาสอนว่ามีพรหม กามภพ รูปภพ อรูปภพ มีโลกของพรหม มีโลกของเทวดา มีโลกของมนุษย์ อวกาศ จรวดก็ไปหมดแล้ว สำรวจอวกาศแล้วไม่เห็นเทวดาเลย ไม่เห็นภพเห็นชาติเลย ไม่เห็นมีเลย มันอยู่ที่ไหนล่ะ มันอยู่ที่ไหน

เวลาคนมันทุกข์มันยาก มันทุกข์ยากที่ไหน? มันทุกข์ยากที่หัวใจนี้ โลกทัศน์ สัตว์โลกเป็นวัฏฏะ เป็นผู้ข้อง ถ้าสัตว์โลก สัตว์โลกที่หมุนเวียนไปในวัฏฏะ แล้วใครเป็นคนไปเกิดล่ะ จิตมันไปเกิด เวลาจิตไปเกิด ไปเกิดเป็นเทวดา เป็นอินทร์ เป็นพรหม สามโลกธาตุ สามโลกมันอยู่ที่ไหน

สวรรค์ในอก นรกในใจ ดูสิ เวลาเกิดเป็นมนุษย์ ถ้ามันทุกข์มันยาก มนุสสเปโต มันเป็นเปรตเป็นผี มันเหยียบย่ำหัวใจ แต่ถ้าเรามาทำคุณงามความดีของเรา มนุสสเทโว จิตใจมันเป็นเทวดา สวรรค์ในอก นรกในใจ มันเกิดที่ว่า พอมันเวียนว่ายตายเกิดมันไปตามนั้น มันไปตามนั้น มันเห็นไง มันเห็นจากใจของเราไง มันเห็นจากเหตุ มันต้องมีเหตุสิ มันถึงมีภพมีชาติไง ถ้ามันไม่มีเหตุมันจะเอาภพชาติมาจากไหนล่ะ

แล้วภพชาติมันไปเกิดเป็นเทวดา เป็นอินทร์ เป็นพรหม แล้วเขาก็เอาจรวด เอายานอวกาศเข้าไปหาไง ส่งขึ้นไปบนอวกาศ สวรรค์มันอยู่ชั้นไหน มันทะลุก้อนเมฆ ทะลุอวกาศไปก็ไม่เห็นนรกไม่เห็นสวรรค์ ไม่เห็นหรอก

แต่ถ้าจิตมันสงบเข้ามา จิตมันสงบเข้ามา จิตมันรู้มันเห็นของมัน ถ้าจิตมันรู้ มันเห็น จิตมันสำคัญไง แต่เราไม่มีสติปัญญารักษาหัวใจของเราใช่ไหม เราก็ใช้สามัญสำนึกใช่ไหม ถ้าสามัญสำนึก สามัญสำนึกก็องค์การนาซาไง มันก็เป็นปัญญาสมองใช่ไหม มันก็ทางวิจัยใช่ไหม ทางวิทยาศาสตร์ใช่ไหม มันก็จะพิสูจน์กันว่าสวรรค์อยู่ที่ไหน สวรรค์มันก็วิ่งหาสวรรค์ไง มันวิ่งไปแล้วมันก็ไม่เจอสวรรค์ของมันไง

แต่ถ้าเรานับถือศาสนา พระพุทธศาสนาบอกว่าสุขอื่นใดเท่ากับจิตสงบไม่มี คนก็แสวงหาความสุขกัน แสวงหาความเพลิดเพลินกัน เขาแสวงหาทางโลกกัน เขาแสวงหากันไปมันเป็นผัสสะ มันเป็นอายตนะ อายตนะมันกระทบกัน

เวลาอายตนะกระทบกัน ลิ้นกระทบรส กลิ่นกระทบจมูก เสียงกระทบหู นี่มันเป็นอายตนะกระทบ เป็นอายตนะทั้งนั้นแหละ อายตนะ ๖ อายตนะภายนอก อายตนะภายใน สิ่งนี้มันเป็นสถานะ มันเป็นสถานะของมนุษย์ มนุษย์มีกายกับใจ มันมีอายตนะ ๖ มีภายนอก ภายใน มีสิ่งกระทบ พอสิ่งกระทบ เราก็ว่าสิ่งกระทบพอใจ พอพอใจ สิ่งที่พอใจมันก็แสวงหาสิ่งนี้เพราะมันพอใจ มันพอใจมันก็เพลิดเพลินไปกับความเป็นไปของมัน

แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเวลาบอก สิ่งนั้นมันเป็นเครื่องอาศัย สิ่งเครื่องอาศัย มันได้มาจริง ได้มาจริงๆ ตามสมมุติ เกิดเป็นมนุษย์จริงๆ นะ จริงตามสมมุตินะ มีจริงๆ แต่คำว่า “สมมุติ” สมมุติคือว่าเราก็เห็นใช่ไหม ทางวิทยาศาสตร์ก็พิสูจน์ได้ เกิดแล้วตาย มันจริงไหมล่ะ ถ้ามันจริงมันก็คงที่ของมัน แล้วสิ่งที่คงที่มันแน่นอนของเรา สมบัติของเรา เงินทองมันของจริงไหม? ของจริง ได้มาก็ใช้ไป แล้วใช้ถูกใช้ผิดอีกต่างหาก

นี่ก็เหมือนกัน มีปัญญาผิดปัญญาถูกอีกต่างหาก ถ้าปัญญาผิดปัญญาถูก ปัญญา เห็นไหม ไม่นับถือศาสนาอะไร ไม่นับถืออะไรเลย กูแน่ กูยอด กูเยี่ยม

อ้าว! ก็ทำไปสิ ก็เป็นจริงไปสิ แต่เวลาถึงที่สุดแล้วมันคอตกนะ คอตก คนเราเกิดมาต้องตาย วิทยาศาสตร์พิสูจน์ได้หมดแหละ คนเกิดมาต้องตายหมดแหละ แล้วตายแล้วก็ต้องเกิดอีก ทีนี้เกิดอีกนี่เป็นปัญหาแล้ว เกิดอีก อะไรไปเกิดล่ะ แล้วใครไปรู้ไปเห็นล่ะ เห็นไหม เพราะสงสัย เพราะความไม่รู้

แต่เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านะ เวลาจิตสงบเข้ามา บุพเพนิวาสานุสติญาณ เหตุใดถึงมาเกิดเป็นเจ้าชายสิทธัตถะ เหตุใดถึงมีอำนาจวาสนาบารมีออกแสวงหา ถึงได้เป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ย้อนไปตั้งแต่พระเวสสันดร “เราเคยเป็น” ปัจจุบันเจ้าชายสิทธัตถะเป็นเจ้าชายสิทธัตถะ ไม่ใช่เป็นพระเวสสันดร แต่จิตนี้ย้อนกลับไปมันเคยเป็นพระเวสสันดร ย้อนกลับไปทศชาติ ได้บำเพ็ญเพียรอันนั้นมา พันธุกรรมของมันได้ตัดแต่งมา ตัดแต่งมาจนบารมีเต็ม เกิดที่สวนลุมพินี “เราจะเกิดชาตินี้เป็นชาติสุดท้าย” คนเกิดมาพูดเลย “เกิดชาตินี้เป็นชาติสุดท้าย” นี่มันด้วยอำนาจวาสนาบารมี แต่ยังไม่เป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะยังไม่ได้ออกบวช เพราะยังไม่ได้ออกประพฤติปฏิบัติ เพราะการจะเป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามันต้องมีเหตุมีผลไง

เกิดมาเป็นเจ้าชายสิทธัตถะ มีครอบครัว พระเจ้าสุทโธทนะหานางพิมพาให้ สุดท้ายแล้วมีสามเณรราหุล เสร็จแล้วคนที่สร้างบารมีมาเต็มมันคิดสิ่งใดมันคิดบวกคิดดี คิดสิ่งที่โลกเขาคิดกันไม่ถึง เวลาออกไปประพฤติปฏิบัติขึ้นมา บุพเพนิวาสานุสติญาณ เรามาจากไหน ทุกคนสงสัยหมดแหละ ทุกคนสงสัยว่าจิตนี้มาจากไหน เกิด เกิดมาจากไหน ตาย ตายไปไหน ทุกคนสงสัยทั้งนั้น ทุกคนอยากรู้อยากเห็นไง นี่เขาเรียกว่าฌานโลกีย์ อภิญญา มันรู้ได้ ฤๅษีชีไพรเขาก็รู้ เพราะฤๅษีชีไพรเขาก็รู้อยู่แล้ว เวลาสมัยพุทธกาลเขาเป็นศาสดา มีคนเคารพศรัทธาเขามหาศาลเลย เคารพศรัทธาก็เคารพศรัทธาเป็นบริษัทบริวารไง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ไปศึกษากับเขามา สิ่งนั้นมันไม่จบ มันเคารพศรัทธาเพราะบุพเพนิวาสานุสติญาณ มันมีจุตูปปาตญาณ มันมีอดีตชาติมันก็มีไปของมัน

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าย้อนกลับมา ย้อนกลับมาหมด ย้อนกลับมาอาสวักขยญาณ ทำลายอวิชชา เวลาเหตุจะเป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามีมรรค ๘ ไง มีมรรคญาณไง มีสัจจะความจริงไง มีภาวนามยปัญญาถอดถอนไปไง พอถอดถอน แม้แต่รู้อดีตชาติ รู้อนาคต มันก็ยังเป็นอภิญญา อภิญญาคือมันมีอยู่ เพราะมันมีของมันอยู่ แต่เราพิสูจน์ไม่ได้ วิทยาศาสตร์พิสูจน์ไม่ได้ วิทยาศาสตร์พิสูจน์ก็พิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ วิทยาศาสตร์ยังพิสูจน์ย้อนไป เดี๋ยวนี้มีกล้องถ่ายภาพอดีต ๓ วัน ๔ วันยังย้อนภาพนั้นได้ นั่นมันย้อนภาพได้ ย้อนภาพมันก็เป็นวัตถุ มันไม่ใช่ความรู้สึก มันไม่ใช่จิต

แล้วเวลาที่ระลึกอดีตชาติได้ใครเป็นคนระลึกล่ะ? ก็จิตมันเป็นคนระลึก ใครจะมาระลึกล่ะ คอมพิวเตอร์ที่ไหนมันจะระลึกล่ะ คอมพิวเตอร์ระลึกมันก็สร้างภาพของมันไง คอมพิวเตอร์มันมีชีวิตไหม คอมพิวเตอร์มันเป็นวัตถุดิบที่ประกอบขึ้นมา แต่เขาใช้ปัญญาคน ปัญญาประดิษฐ์

แต่ของเราปัญญาจริงๆ ปัญญาจริงมันย้อนกลับ ถ้าย้อนกลับมาดูใจเรา ถ้าใจเรามันสงบเข้าไป สิ่งนี้มันสาวได้ มันสืบต่อได้ มันมีที่มาที่ไป มันไม่ใช่ลอยมาจากฟ้า มันไม่ใช่ว่าใครจะโกหกมดเท็จ ความโกหกมดเท็จมันเป็นเรื่องของคนที่มันทุจริต ถ้าทุจริตของเขา เขาคิดทุจริตของเขา

ทีนี้ในใจของเรา โลกนอก โลกนอกมันยุ่งขนาดนี้ แล้วถ้าโลกใน เวลากิเลสมันทุจริตมันก็หลอกเรา เราจะปฏิบัติ เราเชื่อมั่นแล้ว เราเป็นชาวพุทธ เราเชื่อมั่นเลย พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ แก้วสารพัดนึก เพราะเราเชื่อมั่นเราถึงมาประพฤติปฏิบัติกัน เราก็มานั่งทรมานกิเลส เขาบอกว่ามานั่งทำไมให้มันทุกข์มันยาก ชีวิตนี้ก็ทุกข์ยากพออยู่แล้ว โลกนี้ก็ทุกข์พออยู่แล้วแหละ ทำไมต้องมาทุกข์มาทรมาน

ไอ้ทุกข์แบบนั้นทุกข์แบบเศร้าโศกเสียใจ ทุกข์แบบรำพึงรำพัน ทุกข์แบบนั้นมันทุกข์แล้วทุกข์เล่า ทุกข์ซ้ำทุกข์ซาก แล้วทุกข์ มันชอบทุกข์ด้วยนะ ทุกข์แล้วมันปรารถนาไง มันอยากจะเกิดดี มันอยากของมันอยู่ไง ทุกข์อย่างนั้นมันทุกข์ประจำธาตุขันธ์ ทุกข์ประจำโลก แต่ของเราก็ทุกข์ ทุกข์เพราะมันเป็นอริยสัจ ทุกข์เพราะมันเป็นความจริง ถ้าเป็นความจริงเราจะจับมันได้ ทุกข์ควรกำหนด เราต้องหาต้นเหตุ ต้นเหตุของการหลงใหลไปในชีวิต ต้นเหตุของการหลงใหลที่เราคาดเคลื่อนไป ที่ไหนมีนามมันก็มีรูป ที่มีรูปมีนามมันก็หมุนของมันไป นี่ไง สัจจะมันเป็นแบบนี้ มันมีเหตุมีผลของมัน ธรรมชาติเป็นแบบนี้

ทีนี้ถ้าเราจะรู้จริงๆ ขึ้นมา เราวางธรรมชาติไว้ตามความเป็นจริงแล้วถอดถอนตัวเราออกมา ถ้ามันจะรู้จริง มันจะรู้จริงได้อย่างไร ถ้ามันรู้จริงขึ้นมา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามารู้จริง มาถอดถอนไอ้ความไม่รู้ ความไม่รู้มันถึงได้เวียนว่ายตายเกิด แล้วถ้ามันรู้ตัวมัน มันจะไปไหม

ถ้ามันรู้จริงขึ้นมา แล้วสิ่งที่รู้จริงจะรู้จริงอย่างไรล่ะ ถ้ารู้จริงอย่างไร แล้วไปหาที่ไหนล่ะ เวลาธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ธรรมและวินัยให้เราศึกษา ศึกษานี้เป็นความจริงขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่เป็นความจำของเรา สิ่งใดก็แล้วแต่มันเป็นทฤษฎี มันเป็นความจำของเรา เราค้นคว้าเราทำวิจัยอย่างไรก็แล้วแต่ ขนาดทำวิทยานิพนธ์มันก็ยังเป็นทฤษฎี ใครทำวิทยานิพนธ์ขนาดไหน แล้วเขาเอาวิทยานิพนธ์นี้มาทำประกอบเป็นธุรกิจขึ้นมาตามความเป็นจริงขึ้นมาให้ได้ ทำวิทยานิพนธ์เรื่องสิ่งใดก็แล้วแต่ เราเอามาทำเป็นวิชาชีพ เอามาทำให้มันเป็นข้อเท็จจริง เป็นรูปธรรมขึ้นมาให้ได้ ถ้าทำอย่างนั้นมันก็เป็นการปฏิบัติของคนคนนั้น

จิตก็เหมือนกัน เห็นไหม โลกนอกมันก็มีปัญหาพอสมควร เพราะเราเกิดเป็นมนุษย์ สัตว์สังคมมันต้องอาศัยพึ่งพากัน เวลาเราจะภาวนาขึ้นมา เรามีครูบาอาจารย์ของเรา ถ้ามีครูบาอาจารย์ของเรา ครูบาอาจารย์ของเราเป็นคนชี้นำ ชี้นำ เพราะอะไร เพราะว่าอริยสัจมันมีหนึ่งเดียว บุคคล ๔ คู่ บุคคล ๘ จิตใจมันเป็นบุคคล มันเป็นหนึ่ง ถ้าเป็นหนึ่ง ถ้าใครค้นคว้าหามา สัมมาสมาธิเข้าไปถึงตัวมัน ถ้าจิตมันจริง ถ้าเรามีตัวตนอยู่จริง มีความรู้จริงอันนี้ ความรู้จริงออกไปใช้ปัญญาแยกแยะขึ้นมา ภาวนามยปัญญาก็จะชำระล้าง ชำระล้างตัวตนอันนี้ไง ชำระล้างไอ้ที่เวียนว่ายตายเกิด

ไอ้นี่เราไม่รู้ว่าอะไรเวียนว่ายตายเกิดไง เราไม่เห็นว่าอะไรเวียนว่ายตายเกิด แล้วเราก็ปฏิเสธว่าเวียนว่ายตายเกิดมันไม่มีไง ถ้าเวียนว่ายตายเกิดไม่มี แล้วเวียนว่ายตายเกิดมันเป็นสัจจะ มันเป็นความจริงที่มันเวียนว่ายตายเกิดธรรมชาติของมันอยู่แล้วนะ

จิตที่เวียนว่ายตายเกิดมีอำนาจวาสนาขึ้นมา มานับถือพระพุทธศาสนา นับถือศาสนาอื่นเป็นลัทธิ เป็นความเชื่อ เป็นความยอมจำนนกับผู้นำของเขา ต้องให้ผู้นำเขาเป็นผู้พยากรณ์ ผู้นำของเขาเป็นผู้ตัดสิน

แต่ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า สัจธรรมเป็นผู้ตัดสิน มรรคเป็นผู้รื้อค้น มรรคเป็นผู้ประหัตประหาร ธรรมโอสถเป็นผู้ทำลาย ทำลายชำระล้างไอ้ความไม่รู้ไง ไอ้ความเซ่อ ไอ้ความเซ่อ ไอ้ความปิดตา ไอ้ความที่ชะล้างให้เราไป ปัญญาอย่างนี้มันจะเข้ามาแยกเข้ามาแยะ ปัญญามันจะเข้ามาถอดมาถอน ถ้าปัญญามันเข้ามาถอดมาถอน สิ่งนี้ สิ่งที่เราเป็นชาวพุทธ เราเกิดมาเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา เราถึงมีความเชื่อ มีศรัทธาความเชื่อ

มีความเชื่อ ความเชื่อแก้กิเลสไม่ได้ แต่มีความเชื่อให้พิสูจน์ไง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ให้เชื่อใครทั้งสิ้น เวลามีศรัทธาความเชื่อ ความเชื่อตามครูบาอาจารย์ชี้นำ แต่เวลาประพฤติปฏิบัติขึ้นมาท่านให้รู้ตามความเป็นจริง อย่าเชื่อว่ามันพออนุมานลงได้ อย่าเชื่อว่ามันเป็นสิ่งที่เรามีความเห็นอย่างนี้ แล้วครูบาอาจารย์ชี้นำ

มันเหมือนเรา โลกใน โลกในมันมีกิเลส มีกิเลสคือความเห็นแก่ตัว มีกิเลสคือความเข้าข้างตัวเอง มีกิเลสคือมีอีโก้ นั่นแหละตรงนั้นต้องทำความสงบเข้าไปถึงตรงนั้น แล้วพิจารณามัน แยกแยะมัน พิจารณาของมันไป เพราะมันไปเห็นเข้า มันไปรู้ไปเห็นเข้า จะบอกเลยว่ามันมีหรือไม่มี จะเชื่อหรือไม่เชื่อ โลกก็เป็นแบบนี้ ในเมื่อข้างนอกเขาเป็นกันแบบนี้ โลกนอกมันก็วุ่นวายพอสมควรอยู่แล้ว เวลาเราจะมาประพฤติปฏิบัติ โลกในของเรา เราต้องจำกัดของมันก่อน จำกัดไว้ ทำความสงบของใจเข้ามาให้ได้

ถ้าทำความสงบของใจได้ ตัวเขาเอง ตัวของจิตเองเขาจะใช้ปัญญาของเขาแยกแยะ พยายามสำรอก พยายามคายออก แล้วเราคายอะไร เราก็เป็นคนดีอยู่แล้ว เราก็เป็นยอดมนุษย์อยู่แล้ว จะไปคายอะไรมันอีกล่ะ

เพราะเป็นยอดมนุษย์นั่นล่ะมานะ เราเสมอเขา สำคัญตนว่าเสมอเขา เราเสมอเขานะ เราเสมอกันด้วยความเป็นมนุษย์ เราก็ยังสำคัญตนความเป็นมนุษย์ของเรา ความเป็นมนุษย์ของเราเหมือนเทียนไข จุดไฟแล้วมันเผาไหม้ตัวมันจนหมดไป

นี่ก็เหมือนกัน เราสำคัญตนว่าเป็นเรา สุดท้ายแล้วชีวิตนี้ต้องสิ้นไป ชีวิตนี้ต้องสิ้นไป เราสำคัญตนว่าเป็นเรานี่แหละมันต้องสิ้นไป มันจะหมดโอกาสไปไง แต่ถ้าเรามีสติมีปัญญา เราเชื่อมั่นในธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วเราประพฤติปฏิบัติของเราไป ถ้าเราประพฤติปฏิบัติของเราไปแล้วเราจะเข้าใจเอง เราจะเห็นแก่นแท้ แก่นแท้คือสัจธรรมในหัวใจ แก่นแท้คือความเป็นจริงของเรา

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเผยแผ่ธรรมๆ รื้อสัตว์ขนสัตว์ก็เพราะเหตุนี้ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ใช่เผยแผ่ศาสนามาให้คนเชื่อ ให้คนหลงใหล ให้คนงมงาย องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพยายามให้คนเชื่อ ให้คนเชื่อเพื่อให้เขาสร้างบารมีของเขา

ถ้าบารมีตบะธรรมของเขาแก่กล้าขึ้นมา ถึงสุดท้ายแล้วพระอรหันต์ทุกๆ องค์จะต้องมีการประพฤติปฏิบัติ จะต้องมีมรรคญาณ จะต้องมีสัจจะความจริง จะต้องมีวิชาการของตัวเอง อวิชชาคือความไม่รู้ มันต้องมีวิชชา วิชฺชาจรณสมฺปนฺโน วิชาของเรานี่แหละจะเข้าไปแยกแยะ มันต้องมีวิชาของคนคนนั้น มันต้องมีมรรคญาณของคนคนนั้น มันต้องมีสัจธรรมของคนคนนั้นเข้าไปชำระล้างกิเลสในใจดวงนั้น มันถึงจะเป็นความจริงไง ถ้าเป็นความจริงแล้วมันจะแตกต่างกันอย่างไรล่ะ? มันจะเป็นอันเดียวกันไง ฟังธรรมๆ เพื่อเหตุนี้

เขาตั้งสมาคมขึ้นมาเพราะสิทธิเสรีภาพ ยิ่งมีความเชื่ออย่างนั้นด้วยนะ ยิ่งแสดงออกได้ด้วยโดยที่ไม่ต้องแสดงตน โอ้โฮ! มันก็ออกมาเต็มที่แหละ แต่ของเรา เราพยายามมีศีล มีขอบเขต รักษาหัวใจ ดับไฟ ดับไฟที่มันเผาลน ดับไฟที่มันเผาหัวใจ พยายามดับไฟเรา แต่อย่างนั้นมันไปกระพือให้ไฟมันลุกโชติช่วงขึ้นมา แล้วก็เข้าใจว่าสิ่งนี้เป็นปัญญา แต่นั่นเป็นไฟของกิเลส เป็นไฟของสมุทัย เป็นไฟของกิเลสที่เผาผลาญหัวใจไง เราพยายามดับไฟของเรา แล้วสร้างสัจธรรมขึ้นมาให้เกิดธรรมโอสถรักษาไข้ รักษาความไม่รู้ สำรอกคายกิเลสออกมาจากในหัวใจของเรา นี้คือความปรารถนาของเรา เอวัง