เทศน์พระ

กลัวทุกข์

๒๒ พ.ย. ๒๕๕๗

 

กลัวทุกข์
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

เทศน์พระ วันที่ ๒๒ พฤศจิกายน ๒๕๕๗
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

มา ตั้งใจฟังธรรมะ ธรรมะเพราะเราแสวงหา เราอยากได้สัจธรรมๆ เราต้องทำภาชนะให้สมกับสิ่งที่บรรจุสัจธรรมนั้นได้ ในพระไตรปิฎกเห็นไหม เวลาโรงพิมพ์เขาพิมพ์มา หนังสือ กระดาษมันสมกับหมึกกับแท่นพิมพ์นั้นออกมาเป็นหนังสือ เราไปศึกษาธรรมะอันนั้นเห็นไหม ธรรมะอันนั้นเป็นธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่เราต้องการสัจจะความจริงไง ต้องการสัจจะความจริง สิ่งที่เป็นสัจธรรม สัจธรรมที่สัมผัสได้กับหัวใจที่เป็นธรรม

ถ้าหัวใจที่เป็นธรรมเห็นไหม หัวใจที่เป็นธรรม ดูสิ เราไปอยู่ที่ไหนก็แล้วแต่ ถ้าหัวหน้าที่เป็นธรรมเห็นไหม หัวหน้าที่เป็นธรรมไม่ลำเอียงเพราะรัก ไม่ลำเอียงเพราะชัง ไม่ลำเอียงเพราะกลัวเขา กลัวคนโน้นว่าอย่างนี้ กลัวคนนี้ว่าอย่างนี้ ลำเอียงไปกับเขาหมด เพราะลำเอียงเห็นไหม ถ้าเราไปอยู่กับหัวหน้าที่เป็นธรรม ถ้าหัวหน้าเป็นธรรมเราฝากชีวิตได้เลย ชีวิตนี่ยกให้เลย ท่านเป็นผู้นำเรา เราเดินตามท่านได้สบายเลย

สมัยที่หลวงตาท่านยังอยู่เห็นไหม เราไม่ต้องคิดอะไรเลย นี่ธงนำนำไป เราเดินตามไปเลย เพราะว่าเราคิดเองไม่เป็น เราคิดเองไม่เป็น เราคิดเองไม่ได้ เราจะสร้างคุณงามความดี เรายังค้นหาความดีเราไม่เจอเลย แล้วเรายังแบ่งแยกสิ่งใดเป็นความดี สิ่งใดเป็นสัจจะ สิ่งใดเป็นสมมุติ สิ่งใดเป็นสมุทัย เรายังแยกไม่ถูก ไปตามกระแสโลกนะ เวลาโลกเขา เขาฮือฮากันเห็นไหม ตื่นคนเสียทีหนึ่งก็คิดว่าสิ่งนั้นเป็นคนดี ที่นั่นมีคนไปเยอะ ที่นั่นมีคนนับหน้าถือตา นับหน้าถือตาใครเป็นคนนับหน้าถือตาล่ะ ถ้าเราเข้าไปสัมผัส เรารู้ได้นะ

นี่เห็นไหม ถ้าหัวหน้าที่ดีไม่ลำเอียงเพราะรัก ไม่ลำเอียงเพราะชัง ไม่ลำเอียงเพราะว่ากลัวเขา กลัวเขาว่า กลัวเขาติเตียน ไปกลัวอะไร เพราะความกลัวไง เพราะความกลัวทำให้เราเคลื่อนไปจากความเป็นจริง เพราะความเป็นจริง ความเป็นจริงเราก็รู้ได้ เวลามันสุขมันทุกข์ในใจเรารู้ได้เห็นไหม แต่เพราะว่าเรากลัวเขา เรากลัวไปหมด ยิ่งผู้ที่ประพฤติปฏิบัติใหม่กลัวนักกลัวหนานะ กลัวอดกลัวอยาก กลัวอดกลัวอยากเพราะความกลัวไง

ดูสิ ทางโลกเขา เวลาทางโลกเขานะ คนที่เขาทำไร่ไถนา เวลาเกิดภัยแล้งขึ้นมา เขารู้เลยว่าถ้าเขาทำกสิกรรมของเขาไม่ได้ อนาคตของเขาๆ ต้องอดอยากแน่นอน ถ้าอดอยากแน่นอนเห็นไหม ถ้าเป็นรัฐสวัสดิการรัฐที่ดีเขาก็จะช่วยเหลือเจือจาน สิ่งที่ว่าคนที่เขารู้ถึงภัยพิบัติ เขาจะช่วยเหลือ เขาจะเจือจานเห็นไหม เราจะรู้เลยว่าเราจะอดเราอยากเพราะอะไร เราจะรู้ว่าเราอดเราอยากเพราะเราทำไร่ไถนาไม่ได้ ถ้าทำไร่ไถนาไม่ได้เราจะเอาอะไรกิน นี่มันอดอยากแน่นอน

เพราะคำข้าว กวฬิงการาหารเห็นไหม ผัสสาหาร มโนสัญเจตนาหาร เวลาอาหาร อาหาร ๔ ในกำเนิด ๔ ไง เราต้องเวียนว่ายตายเกิดอยู่แล้ว ถ้าเราไปกลัวอยู่สิ่งนั้น สิ่งนี้เรากลัว ถ้าเราประพฤติปฏิบัติเห็นไหม หลวงตาท่านพูดประจำ “อยากดูนักพระที่ประพฤติปฏิบัติดีแล้วไม่มีปัจจัยเครื่องอาศัย” ท่านอยากเห็นนัก อยากเห็นนักเห็นไหม เวลาท่านไป ไปดูตามวัดตามวา ดูตามวัดตามวาก็คอยไปเตือนไง คอยไปเตือน ไอ้พวกเราก็กลัวอดกลัวอยาก กลัวทุกข์กลัวยาก กลัวว่ามันจะไม่ได้สมน้ำสมเนื้อไง ก็กิเลสทั้งนั้น

ถ้าเราปัดทิ้งหมดเลย เราปัดทิ้งหมดเลย ความกลัวทำให้เสื่อม เราเสื่อมจากความเป็นจริง เสื่อมจากการกระทำของเราเห็นไหม เราไม่ต้องกลัวอดกลัวอยากกลัวทุกข์กลัวยากทั้งนั้น เราเอาความจริงของเรา ความจริงของเรานะ เพราะเราพอใจเห็นไหม เราพอใจ เราลงใจแล้ว เราถึงได้มีการกระทำ ถ้ามีการกระทำนะ ทำตามความจริงของเรา นี่มีอำนาจวาสนาขนาดไหน เราทำตามอำนาจวาสนานั้น เวลามันจะขาดมันจะเขิน มันขาดเขินลงตรงไหน มันขาดเขินปัจจัยเครื่องอาศัย

แต่ถ้ามันเติมเต็มด้วยศีล สมาธิ ปัญญาของเราล่ะ ถ้าศีล สมาธิ ปัญญาของเราเติมเต็มขึ้นมา สิ่งนี้มันมีคุณค่ามากเห็นไหม สิ่งนี้มีการกระทำ กระทำเพื่อหัวใจของเราเห็นไหม ถ้าทำเพื่อหัวใจของเรา ถ้าหัวใจมันสัมผัสแล้วมันออกมาจากใจ ออกมาจากใจ ถ้าออกมาจากใจเห็นไหม ทางวิชาการเขาเวลาเขาศึกษามาแล้วเขามีความรู้ของเขา เวลาเขาจะทำวิจัยเสียทีเขาค้นคว้า ๗ วัน ๘ วัน ทำวิจัยสรุปแล้วครึ่งชั่วโมง เวลาเขียนออกมาเป็นงานวิจัยได้ครึ่งชั่วโมงเห็นไหม จะเทศนาว่าการค้นคว้าเต็มที่เลยเพื่อจะเอานั้นเสนอเขา

แต่ถ้าเราประพฤติปฏิบัติขึ้นมาตามความเป็นจริงขึ้นมามันพร้อมเสมอไง มันพร้อมเสมอ มันออกมาจากใจ เพราะออกมาจากใจ ออกมาจากใจเพราะเหตุใด สิ่งที่เขาแสวงหากันอยู่นี่ เขาแสวงหาอะไร ศีล สมาธิ ปัญญา ปัญญามันเกิดมาจากไหน เพราะปัญญามันเกิดจากจิตเห็นไหม เกิดมาจากจิตมันเกิดเดี๋ยวนั้น มันเกิดในปัจจุบันนั้น มันใช้ในปัจจุบันตลอดไป แล้วไม่มีวันจบวันสิ้น ถ้าไม่มีวันจบวันสิ้นแล้วไปกลัวอะไรล่ะ แต่ถ้าเป็นการศึกษา เป็นทางวิชาการเห็นไหม เราไปค้นคว้ามาจับต้นชนปลายให้ได้ เรียบเรียงให้มันลงกันให้ได้ แล้วเอามาเป็นงานวิจัยได้ครึ่งชั่วโมงหามา ๗ วันกว่าจะสรุปลงได้

แต่ถ้าเป็นความจริงนะ มันชนเดี๋ยวนั้น ชนเดี๋ยวนั้นคือคำถามเดี๋ยวนั้น คือสิ่งที่เกิดขึ้นเดี๋ยวนั้น มันตอบออกมาเดี๋ยวนั้น ถ้าตอบออกมาเดี๋ยวนั้นมันเกิดมาจากไหน มันเกิดมาจากใจนี้ แล้วเราแสวงหาสิ่งนี้ เราแสวงหาความจริง ความจริงที่อยู่กับเราๆ แต่เห็นไหม ดูสิในธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอก “พระอาทิตย์เวลาเมฆหมอกมันปิดบัง แสงมันส่องไปไม่ได้” หัวใจของเราเห็นไหม สัจจะความจริง สิ่งนี้สิ่งที่เป็นสัจจะความจริงคือพุทธะ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน มันเศร้าหมองไปไง มันเศร้าหมองไปด้วยความรู้สึกนึกคิดของเรานี่

ความรู้สึกนึกคิดของเราเห็นไหม ความรู้สึกนึกคิดของเรานี่มันมีอวิชชา อวิชชามันเสวยอารมณ์ เสวยแล้วก็เป็นความคิด พอความคิดขึ้นมามันทำให้สั่นไหวแล้ว เรานี่สั่นไหวไปหมดเลย เราไม่มีจุดยืนอะไรเลย ไหลไปตามความรู้สึกนึกคิด นี่ไงมันก็เหมือนเมฆหมอกที่มาปิดปังพระอาทิตย์ แสงแดดนี้มันจะไป มันจะปกคลุมไปเสมอภาค มันส่องไปเสมอภาคไม่มีบ้านไหนคนรวยคนจน ไม่มีแบ่งแยกใครทั้งสิ้น ส่องแสงไปโดยความเสมอภาค แต่มันไปโดนบังโดยเมฆหมอกเห็นไหม เพราะเมฆหมอก ที่ไหนมีเมฆหมอกเมฆหนาต่างๆ บรรยากาศทำให้แสงนั้นมันไปไม่ได้

นี่ก็เหมือนกัน พุทธะ ปฏิสนธิจิตของเรา สิ่งนี้มันเป็นต้นกำเนิดเลยเห็นไหม ว่ามนุษย์ เกิดจากอะไร ปฏิสนธิจิต ปฏิสนธิจิตเกิดในไข่ ในน้ำครำ ในโอปปาติกะ กำเนิด ๔ มันเวียนว่ายตายเกิด มันปฏิสนธิจิต จิตนี้ปฏิสนธิมันสนธิมาเกิดมาเป็นเรา เราเกิดเป็นเราเห็นไหม เกิดเป็นเทวดา อินทร์ พรหมเป็นทิพย์ มาเกิดเป็นเราเราก็มีธาตุ ๔ และขันธ์ ๕ มีความรู้สึกนึกคิด ความรู้สึกนึกคิดมันนึกคิดไปด้วยอวิชชา อวิชชาคือความไม่รู้ไง ไม่รู้แล้วคิดได้ยังไง ไม่รู้พลังงานมันก็คิดไง

ดูสิ เวลาไฟรั่ว มันก็ไม่รู้ว่ามันมีไฟไปจับมันก็ตาย เวลาลัดวงจรมันมีไฟหรือเปล่าล่ะ มันลัดวงจรไปจับมันก็ตายทั้งนั้น นี่ก็เหมือนกัน ความรู้สึกนึกคิดถ้าไม่รู้ๆๆ ไม่รู้คิดได้ยังไง ก็มันคิดของมันโดยสัญชาตญาณมันเป็นอย่างนี้ มันเป็นอย่างนี้ขึ้นมา แล้วเราจะเอาความจริง ความจริงนี่คือต้นเหตุ แล้วต้นเหตุของเรานะ ถ้าทำความสงบของใจเข้าไปได้ เราก็จะมีโอกาสเข้าไปแก้ไข เราแก้ไขด้วยฝึกหัดด้วยเกิดศีล สมาธิ ปัญญา เป็นความจริงของเรา นี่เราต้องการสิ่งนี้

แต่เวลาเราบวชมาเห็นไหม เราเกิดมาเป็นมนุษย์ พบพระพุทธศาสนา เรามาบวชเป็นพระ เรามาบวชเป็นพระนี่สมมุติสงฆ์ มันสมบูรณ์มันเป็นพระอยู่แล้ว สมบูรณ์ในสมมุติสงฆ์เห็นไหม นี่สมบูรณ์ในธรรมวินัย เป็นญัตติจตุตถกรรมมาสมบูรณ์ สมบูรณ์ขึ้นมามันบวชที่ร่างกายนี้ บวชที่ร่างกายมันเป็นโอกาสของเราไง โอกาสของเรา เราได้มาบวชแล้วเราได้มาศึกษา เวลาศึกษาแล้วบวชเป็นประเพณีเห็นไหม เราไปศึกษาๆ ประเพณีวัฒนธรรม พอสึกออกมาแล้วเป็นทิด เป็นบัณฑิต บัณฑิตเพราะอะไร

เพราะเข้าใจประเพณีวัฒนธรรมในชาวพุทธศาสนา คนที่บวชเรียนแล้ว สึกไปแล้วเห็นไหม เขาอาราธนาศีลได้ เขาอาราธนาธรรมได้ เวลาพิธีกรรมในศาสนาเขาเข้าใจได้ แล้วศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทิศทั้งหมดเห็นไหม ทิศเบื้องลง ทิศเบื้องล่างเห็นไหม นี่การบริหารทิศ สึกไปแล้ว ชีวิตเห็นไหม มิตรแท้ มิตรเทียม คนเทียมมิตร ศึกษามาด้วยการบวชเรียน บวชเรียนมาเป็นบัณฑิตเพื่อประคองชีวิตนี้ให้มีคุณธรรม นั่นเขาบวชตามประเพณี

แต่ของเราบวชขึ้นมา เราเป็นสมมุติสงฆ์ บวชมาเพื่อจะศึกษาในการประพฤติปฏิบัติให้ตามความเป็นจริง ถ้าศึกษาในการประพฤติปฏิบัติตามเป็นจริงเห็นไหม สิ่งที่เราศึกษามาเห็นไหม นักธรรมตรี นักธรรมโท นักธรรมเอก ศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามา ศึกษามาแล้วเพื่อประพฤติปฏิบัติ ของเราเราบวชมาแล้ว เราบวชมาเป็นพระกรรมฐาน เราบวชมามีครูบาอาจารย์วางข้อปฏิบัติเอาไว้แล้ว

ในข้อวัตรปฏิบัติเห็นไหม ข้อวัตรปฏิบัติขึ้นมา สิ่งใดกระทำแล้วแต่มโนกรรมเป็นจิตเริ่มต้น มันต้องมีความรู้สึกนึกคิดขึ้นมา มันมีการกระทำ สิ่งที่การกระทำ ถ้ากระทำไปโดยมักง่าย กระทำโดยไม่มีสติปัญญามันก็ทำไปโดยสักแต่ว่า ทำสักแต่ว่าเหมือนเครื่องจักร เครื่องจักรเห็นไหม หุ่นยนต์มันทำของมันตามหน้าที่ของมัน หุ่นยนต์เขาตั้งโปรแกรมให้ทำอย่างนั้น นี่เหมือนกัน เราเกิดมาเป็นมนุษย์ หนังสือธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าข้อวัตรปฏิบัติขึ้นมาแล้ว เราก็ทำของเราเป็นเหมือนหุ่นยนต์ๆ

แต่ถ้าเรามีสติปัญญาเห็นไหม มันไม่ใช่หุ่นยนต์ มันมีความรับผิดชอบ มันมีความรู้สึกนึกคิด ครูบาอาจารย์ที่ท่านประพฤติปฏิบัติมาท่านมีครูบาอาจารย์ของท่าน ครูบาอาจารย์ของท่านให้ข้อธรรมะเห็นไหม ด้วยความเคารพด้วยความบูชา จะแทนคุณๆ จิตใจมันฟัง มันฟัง มันฟังมันระลึกนะ ทั้งๆ ที่เราเองมีอวิชชา อวิชชาหมายความว่ามันไม่รู้จริง ไม่รู้จริงตามสัจจะ แต่รู้จริงด้วยความจำ เราไปรู้มา เราศึกษามา เรามีข้อมูลของเรา เรามีข้อมูลของเราแล้วเราค้นคว้ามาด้วยปัญญาของเรา ด้วยความขวนขวายของเรา เราว่าสิ่งของเราถูกต้อง ถูกต้อง อวิชชา แต่เวลาครูบาอาจารย์ท่านประพฤติปฏิบัติขึ้นมาของท่านเป็นความจริง ความจริงของท่าน อวิชชามันเป็นเปลือก เห็นไหม ดูสิ เราไปซื้อของมามันมีบรรจุภัณฑ์มา เรากินไหม เราไม่ได้กินหรอก เราแกะทิ้งหมด เราต้องเอาเนื้อในมัน

นี่ก็เหมือนกัน ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกวิธีการๆ ค้นหาเอาหัวใจเราๆ แต่หัวใจเรามันจะเข้าไปสู่หัวใจเราได้ยังไง ถ้ามันไม่มีข้อวัตรปฏิบัตินั้น ไม่มีวิธีการเข้าไปหามัน เห็นไหม มันส่งออก มันส่งออก ความคิดมันส่งออกหมด เพราะความคิดๆๆ ความคิดนี้มันส่งออกมา แล้วมันส่งออกมาโดยอวิชชาด้วยนะ โดยอวิชชาแล้วยังบังเงาอีกนะ ไปแอบอ้างธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่าเป็นสมบัติของเราอีกด้วยนะ แล้วปฏิบัติไป ปฏิบัติไปก็ล้มเหลว ล้มเหลวนะ ทำสิ่งใดไปก็ขาดตกบกพร่อง ว่าจิตมันสงบมันก็ไม่สงบสักที ถ้าจิตมันสงบแล้ว มันเคยได้เห็นร่องเห็นรอยแล้วจับผลัดจับผลูเห็นไหม

ถ้าเป็นครูบาอาจารย์ของเรานะ ท่านจะบอกเลย “ให้ทบทวน” คำว่าทบทวนนี่การกระทำของเรา เห็นไหม ถ้าทบทวนการกระทำของเรามันขาดตกบกพร่องได้ยังไง ทำแล้วทำไมมันไม่ได้ดั่งใจเรา ถ้าไม่ได้ดั่งใจ เพราะดั่งใจเรามีเป้าหมาย แล้วทำไมมันสู่เป้าหมายนั้นไม่ได้ล่ะ ถ้ามันสู่เป้าหมายไม่ได้มันต้องมีเหตุสิ ต้องมีเหตุเห็นไหม

หนึ่ง สติของเราไม่สมบูรณ์พอ

คำบริกรรมเราไม่ต่อเนื่อง

แล้วถ้าสติของเราสมบูรณ์พอ คำบริกรรมเราต่อเนื่องทั้งหมด แล้วทำไมมันยังเป็นไปไม่ได้ล่ะ แล้วเป็นไปไม่ได้ เขาดูแล้ว ศีลของเรา ถ้าดูศีลของเรา ศีลของเราเราก็สมบูรณ์ทุกอย่างสมบูรณ์หมดแล้ว แล้วมันเป็นไงต่อ มันจะเป็นไงต่อเห็นไหม มันก็ต้องเรื่องบารมีแล้ว นี่บัว ๔ เหล่า บัว ๔ เหล่า ดูสิ บัวใต้น้ำมันไม่เคยพ้นจากใต้น้ำมาเลย มันเป็นอาหารของสัตว์น้ำ มันไม่พ้นขึ้นมา แล้วถ้าบัวปริ่มน้ำล่ะ บัวพ้นน้ำล่ะ แล้วบัวปริ่มน้ำ บัวพ้นน้ำ เห็นไหม ดูขิปปาภิญญาปฏิบัติที่ปฏิบัติง่ายรู้ง่าย เขาทำยังไงมา เขาสร้างของเขามาไง

ดูสายบัวมันคนละพันธุ์เห็นไหม เวลามันอยู่น้ำตื้นน้ำลึกมันก็พัฒนาการของมัน วิวัฒนาการของมันเพื่อจะชูช่อให้พ้นน้ำให้ได้ มันก็วิวัฒนาการของมันเห็นไหม นั่นมันเป็นพืช เป็นสิ่งที่มีชีวิต องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นบุคลาธิษฐานเปรียบเทียบเท่านั้น แต่ในวัฏฏะ ในเวียนว่ายตายเกิดของเรามันเป็นเพราะเหตุใด มันเป็นเพราะอะไร มันมีสิ่งใดมาปิดบังหัวใจเห็นไหม เพราะสิ่งที่ทำมา มันทำให้ที่ว่าจริต จริตของมันเป็นอย่างนั้น

แล้วพอจริตของมัน นี่พละกำลังของใจ ถ้าใครมีอำนาจวาสนามามันจุดยืนที่ดี จุดยืนที่ดีเห็นไหม ดูองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสิ เวลาค้นคว้าอยู่มีเป้าหมายนะ ไปศึกษากับอุทกดาบส อาฬารดาบสเห็นไหม เธอมีความรู้เสมอเรา ดูสิเวลาอาจารย์บอกว่ามีความเสมอกัน เก่งเหมือนเรา คนเราด้วยการยกย่องสรรเสริญนั้นทำไมไม่ลอยฟ่องไปกับเขา ไม่ลอยฟ่องไปกับเขา มันเพราะวัดด้วยปัจจัตตัง วัดด้วยวิญญูชน วัดด้วยความเป็นจริง มันไม่ใช่ มันไม่ใช่ มันไม่ใช่

ถ้ามันไม่ใช่เห็นไหม ลา ลาท่านซะ แล้วค้นคว้าเอง ค้นคว้าเอง ไปไหนไม่รอดเห็นไหม ถึงต้องมาค้นคว้าเอง มาค้นคว้าตั้งแต่ระลึกย้อนกลับไปตั้งแต่โคนต้นหว้า สิ่งที่โคนต้นหว้านะ เวลาพระเจ้าสุทโธทนะพาไปแรกนาขวัญเห็นไหม เวลากำหนดเอง กำหนดอานาปานสติกำหนดลมหายใจเข้าลมหายใจออก ความสิ่งนั้นจิตที่มันสงบจริง สัมมาสมาธิมันฝังใจมาขนาดนั้น มันฝังใจมานะ แล้วไปศึกษามา ไปค้นคว้ามาซะทั่วเลย ไปทางนะ ไปทางอภิญญา ไปทางโลกๆ ไปทางโลกมันมีกำลังของมันแต่มันไม่กลับเข้ามาสู่ใจ กลับเข้ามาสู่สัมมาสมาธิ กลับมาสู่ฐีติจิต กลับมาเพื่อชำระล้างกิเลส มันส่งออกไป แล้วก็มีการยกย่องนับหน้าถือตากันไปอย่างนั้นเห็นไหม แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่เอา

นี่พูดถึงพละ พูดถึงกำลังของใจ คนที่มีอำนาจแถมมีจุดยืนเห็นไหม มันไม่ไหลไปกับโลก มันไม่ไหลไปกับการยกย่องสรรเสริญ มันไม่ไหลไปแม้แต่ครูบาอาจารย์ยกย่อง ฉะนั้นสิ่งที่กำลังๆ มันวัดกันอย่างนี้ไง แล้วเวลาเราย้อนกลับมาที่ใจเราไง ใจเราเราก็บอก เอ้า เราก็ทำ ปฏิบัติแล้ว เราก็ถูกต้องดีงามของเราแล้ว เราก็ทำแล้ว

ถ้าทำแล้วมันมีกำลังมามันต้องทำได้ แล้วถ้าไม่มีกำลังมา ไม่มีกำลังมาเห็นไหม หลวงตาท่านพูดบ่อย แม้แต่คนเราเริ่มสนใจเรื่องการประพฤติปฏิบัตินั่นก็มีวาสนาแล้ว ถ้าไม่มีวาสนาจะคิดอย่างนั้นเหรอ ดูสิ เขาทำงานกัน เขาทุกข์เขายากกัน เขาทำงานกัน เขาทุกข์เขายากของเขา เขาก็จะหาความสุขของเขา แล้วเรา เรามาเนี่ย เรามาทรมานตน มันไม่ทุกข์ไม่ยากเหรอ เวลาทรมานตนเห็นไหม บอกว่าทำสิ่งใดแล้วมันก็ไม่ประสบความสำเร็จ ทำสิ่งใดมันไม่ลงเห็นไหม

ถ้ามันไม่ลงเห็นไหม อดนอนผ่อนอาหารเลย มันก็สวนกระแสโลก กระแสโลกของเขา เขามีกินอิ่มนอนอุ่นนั้นถึงเป็นความสุข กินอิ่มนอนอุ่นมันเป็นเรื่องความปรารถนานะ ดูสิ รัฐบาลทุกรัฐบาลถ้าทำให้ประชาชนมีอยู่มีกินรัฐบาลนั้นก็มั่นคง รัฐบาลไหนก็แล้วแต่ถ้าทำให้ประชาชนอดอยากปากแห้งรัฐบาลนั้นอยู่ไม่ได้หรอก การกินอิ่มนอนอุ่นมันเป็นเรื่องพิสูจน์ มันเรื่องรู้กันโดยสัญชาตญาณเลยว่าสิ่งนั้นเป็นความสุขความดีงาม

แล้วกินอิ่มนอนอุ่น ดูสิ เราบิณฑบาตมา ดูอาหารสิ จะกินขนาดไหนก็ได้ จะเสวยสุขยังไงก็ได้ มันอยู่ที่การเราควบคุมตัวเราเองไง ถ้าเราควบคุมตัวเราเองนะ กินอิ่มนอนอุ่นแล้ว แล้วภาวนามันเป็นผลไหม แล้วนั่งสมาธิภาวนาไปเราก็รู้ มันสัปหงกโงกง่วงเพราะเหตุใด ครูบาอาจารย์ท่านประพฤติปฏิบัติมาแล้ว เรามีครูมีอาจารย์ที่ท่านใช้ชีวิตเห็นไหม หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น แล้วครูบาอาจารย์เป็นช่วงชีวิตๆ มา ปฏิบัติมา สามสี่ช่วงชีวิตคนมันพิสูจน์กันมาแล้ว

กินอิ่มนอนอุ่นนั่นมันหมู หมูเขาเลี้ยงขุนเอาไว้ ขุนเอาไว้เชือด เอาไว้เชือดเพื่อเอาเป็นอาหาร แล้วเราจะมีข้อปฏิบัติแบบหมูใช่ไหม แล้วเราก็มาภูมิใจกัน โอ้ เรามีความสุข เราปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ไอ้พวกนั้นพวกอัตตกิลมถานุโยค พวกนั้นมีแต่ความทุกข์ความยาก ชีวิตไม่มีความเห็นไม่มีความสุขอะไรเลย มีแต่ความทุกข์ความยาก

ก็เกิดมามันก็ทุกข์ ๙ เดือนนอนในครรภ์มันทุกข์ไหม แล้วมันทุกข์มาทั้งนั้น แล้วเวลาเนี่ยมันจะพ้นจากทุกข์ เกลือจิ้มเกลือ จิตแก้จิต ถ้าเราเอาจิตแก้จิตแล้วจิตอยู่ไหน เราหาจิตไม่เจอเห็นไหม แล้วเราก็กลัวไปหมดเลย ทำสิ่งใดก็ผวาไปหมดเลย ไม่กล้าทำสิ่งใดจริงจังสักอย่างหนึ่ง

แต่ถ้ามีครูบาอาจารย์ล่ะ ครูบาอาจารย์ท่านทำของท่านมาแล้วท่านหวั่นไหวไปกับสิ่งใด กระแสโลกมันจะแรงขนาดไหนนั้นก็กระแสโลก กระแสโลกโลกเป็นใหญ่ใช่ไหม ถ้าโลกเป็นใหญ่ เราจะออกจากโลกได้ยังไง ธรรมเป็นใหญ่สิ ถ้าธรรมเป็นใหญ่แล้วธรรมอยู่ไหน ธรรมเป็นยังไง อะไรเป็นธรรม สติธรรม สมาธิธรรม ปัญญาธรรม ถ้าสติธรรม สติธรรมตัวจริงมันเกิดขึ้นมา มันหยุดหมดนะ ถ้าเรามีสติสัมปชัญญะนะ สิ่งที่มันแผดเผาในใจมันหยุดได้หมดเลย

หลวงตาพูดบ่อยมากว่า “ฝ่ามือสามารถกั้นน้ำทะเลได้”

ดูสิ คลื่นสึนามิมันกวาด มันกวาดเป็นเมืองๆ ไปเลยเห็นไหม เวลาคลื่นสึนามิมา คลื่นมันใหญ่ขนาดนั้นแต่ฝ่ามือมันกั้นได้ยังไง ฝ่ามือนี้กั้นคลื่นได้ทุกอย่างเลย ฝ่ามือไง สติไง คลื่นมันก็คือคลื่นทะเลใช่ไหม คลื่นมันก็อยู่ที่พลังงาน เวลาคลื่นเวลาแผ่นดินไหวมันมากน้อยแค่ไหน คลื่นเล็กคลื่นใหญ่นั้นเป็นที่คลื่นใช่ไหม ความคิด อารมณ์ อารมณ์ที่มันเกิดขึ้นกับหัวใจ สิ่งที่มันพัดหัวใจมันทำความทุกข์ยากอยู่เนี่ย ถ้าสติมันทันขึ้นมามันยับยั้งได้หมดเลย มันยับยั้งคลื่น ฝ่ามือนี่สามารถยับยั้งคลื่นได้หมดเลย ถ้าทำความเป็นจริงแล้วพิสูจน์ มันจริงหรือเปล่า

อันนั้นมันเป็นของครูบาอาจารย์ไง ของครูบาอาจารย์ท่านยืนยันไง ยืนยันเห็นไหม หลวงตาพูดบ่อย “หมู่คณะให้จำไว้นะ ที่เวลาผมเทศน์แล้วปฏิบัติมาถึง เวลาผมตายไปแล้วก็จะมากราบศพ” ผมตายไปแล้วเพราะว่าอะไร เพราะท่านเทศน์เอาไว้ ท่านพูดเอาไว้ เวลาหลวงตาท่านประพฤติปฏิบัติขึ้นมา เวลาท่านบรรลุธรรมขึ้นมาเห็นไหม เวลาไปกราบองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านรู้ด้วยได้ยังไง ท่านรู้ได้ยังไง มันกราบด้วยความซาบซึ้ง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านิพพานไปแล้วสองพันกว่าปีนะ สองพันกว่าปี เราเข้าไปรู้ไปเห็น เรายังซาบซึ้งได้ขนาดนั้น

นี่ก็เหมือนกัน ถ้าทำจริงความจริงมันเป็นความจริง ถ้าใครเดินสู่ร่องรอยความจริงนั้น มันต้องเข้าสู่ความจริงนั้น แต่ถ้าเราเดินเข้าสู่ความจริงอันนั้นไม่ได้ แล้วเรายังมากลัวของเราอยู่ไง กลัวทุกข์กลัวยาก กลัวร้อยแปดพันเก้า ความกลัวทำให้เสื่อม เพราะความเสื่อมเห็นไหม เวลาทางโลกเขา เขากลัวของเขา ไอ้นั่นเป็นวัตถุนะ เวลาเขากลัวของเขา เขาแตกตื่น หนีภัย หนีภัย หนีภัยของเขา แล้วหนีภัยของเขา หนีภัยแล้วถ้ามีการช่วยเหลือ มีการอพยพเขาก็หนีภัยของเขาได้

แต่ของเรา เราจะหนีมรณภัยไม่ได้ ถึงเวลาแล้วชีวิตนี้มีการพลัดพรากเป็นที่สุด เราจะหนีไปไหน เราจะไปกลัวใคร เราเผชิญหน้ากับความจริงสิ เราจะเผชิญหน้ากับพญามาร เราต้องเผชิญหน้ากับพญามาร เห็นไหมเราต่อสู้กับพญามาร ถ้าเราไม่ต่อสู้ เราไม่ค้นคว้า เราไม่ใช้ปัญญา เราจะชำระล้างได้ยังไง

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านะ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอนาคตังสญาณนะ รู้ไปหมดนะ แล้วบอกไว้เลยนะ อย่าทำร้ายกัน อย่าเบียดเบียนกัน สัพเพ สัตตา สัตว์ทั้งหลายเป็นเพื่อนเกิดแก่เจ็บตายด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น จงเป็นสุขเป็นสุขเถิด จงเป็นสุขเป็นสุขเถิด อย่าได้เบียดเบียนซึ่งกันและกันเลย เขาจะมีทุกข์ เขาจะมีเวรมีภัยขนาดไหน นั้นมันเป็นเวรกรรมของเขา เขาได้สร้างของเขามา

แต่ของเราล่ะ ของเราเห็นไหม เวลาของเรา สิ่งที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านบอกไว้เลย “การฆ่ากิเลสนี้ประเสริฐที่สุด” เพราะการฆ่ากิเลสมันไม่ได้ทำร้ายใครเลย มันทำร้ายมารของเรา มันทำร้ายกิเลสตัณหาความทะยานอยากของเรา ชำระล้างในใจของเรา มันเป็นประโยชน์กับเรา มันเป็นเรื่องของเรา มันเป็นเรื่องระหว่างความดีความชั่วในหัวใจของเรา มันไปเกี่ยวกับใคร

แต่เรื่องของคนอื่นเห็นไหม เป็นสุขเป็นสุขเถิด อย่าได้เบียดเบียนซึ่งกันและกันเลย ขอให้เป็นสุขเป็นสุขเถิด เราไม่ไปยุ่งอะไร เราไม่เบียดเบียนเขา เราไม่ได้ไปทำลายเขา เราส่งเสริมเขา ถ้าเป็นหมู่คณะกัน ถ้าใครประพฤติปฏิบัติเราเปิดช่องทางให้เขา ใครปฏิบัติอยู่มีสิ่งใดที่เราช่วยเหลือเจือจานได้เราจะช่วยเหลือเจือจานเขา เห็นไหมขอให้เขาประสบความสำเร็จ ขอให้เขามีความสุข ขอให้เขาได้มีดวงตาเห็นธรรม ขอให้เขามี ขอให้เขา ขอให้เขา ขอให้เขาเพื่ออะไร

เพราะอะไร ถ้าสังคมมันร่มเย็นเป็นสุขเราก็ได้ประพฤติปฏิบัติใช่ไหม ถ้าเราจะปฏิบัติของเรานะ เราก็อยากได้อย่างนี้ เราก็อยากได้ เวลาเราปฏิบัติเราก็ต้องการความสงบสงัดเห็นไหม เราทำสิ่งใดถ้ามีอะไรขาดตกบกพร่อง ถ้าสิ่งใดมีคนช่วยเหลือเจือจานเห็นไหม มีสิ่งใดขาดตกบกพร่องเขามาเติมให้เต็ม เราก็อนุโมทนา เราก็พอใจกับเขา เราพอใจกับเขา เราชำระล้างกิเลสเห็นไหม

ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอก “ตัดป่าหมดโล่งเตียนเลย แต่ไม่ได้ตัดไม้แม้แต่ต้นเดียว” เห็นไหม นี่การชำระล้างกิเลส การฆ่ากิเลสเพราะกิเลสเป็นนามธรรม กิเลสเห็นไหม มันมีปู่ มีย่า มีตา มียาย มีลูกมีหลาน เราเลาะ เราพยายามต่อสู้ไปต่อเนื่อง เริ่มต้นเห็นไหม ป่า หลงป่านะ เราเข้าป่าเราหลงป่า ป่ารกชัฏ เราไม่มีทางออก แล้วไม่รู้จะไปทางไหนนะ เราไปไม่ถูก หลงป่าๆ หลงทิศๆ ก็จับต้นชนปลายไม่ได้ ไม่รู้จะไปทางไหน

นี่ก็เหมือนกัน เวลาเราจะประพฤติปฏิบัติขึ้นมา หัวใจเราดิบๆ นี่หลงป่า ป่ารกชัฏป่ากิเลสไง ป่ากิเลสแล้วก็ไปกลัวมันไง ป่ากิเลสนะแล้วก็ตื่น ตื่นกลัวไปหมดเลย ตื่น ความตื่นทางโลกเขามีภัยจริงๆ มันเป็นทางสถิติที่เขาเก็บไว้แล้วว่าถ้ามันมีภัยพิบัติอย่างนั้นมันจะเกิดทุพภิกขภัยคือจะอดอยาก อดอยากปากแห้ง เขากลัวเขาต้องมีหน่วยบรรเทาสาธารณภัย เขาต้องมีความมั่นคงทางอาหารของเขาเพื่อประโยชน์เห็นไหม นี่ปัญญาของโลก ปัญญาที่เจริญของโลก ปัญญาของโลกเห็นไหม

แต่การเวียนว่ายตายเกิดผลของวัฏฏะ ปัญญาของธรรม ถ้าไม่มีดวงตาเห็นธรรมมันจะรู้อย่างนี้ไม่ได้ มันจะรู้เรื่องอย่างนี้ไม่ได้ ถ้ามันจะรู้เรื่องอย่างนี้เห็นไหม เราต้องมีสติมีปัญญา คำว่า “มีสติมีปัญญานะ” นี่เก็บเล็กผสมน้อยนะ เวลาหลวงปู่มั่น หลวงปู่มั่นท่านเป็นพระอรหันต์ ถ้าเป็นพระอรหันต์เขาเรียกสติวินัย สติวินัยเพราะมันสติสมบูรณ์ตลอด เรื่องเจตนาทำความผิดไม่มี ฉะนั้นมันเป็นปาปมุติ ปาปมุติคือไม่มีอาบัติ ท่านยังเก็บหอมรอมริบ

หลวงตาท่านชมบ่อยมากว่า “หลวงปู่มั่นเป็นพระอะไรๆ หลวงปู่มั่นเป็นพระอรหันต์นะ” ถ้าเป็นพระอรหันต์แล้วมันเหนือโลก มันไม่มีสิ่งใดในหัวใจแล้ว แต่ทำไมท่านยังต้องดำรงธาตุขันธ์เป็นแบบอย่างของเราล่ะ ท่านทำทุกอย่างเพื่อเป็นคติเป็นแบบอย่างเห็นไหม ถ้าเป็นคติเป็นแบบอย่าง เราดูสิ่งนั้นเรามองสิ่งนั้นๆ แล้วเอามาเตือนตัวเราไง เตือนตัวเราๆ เพราะอะไร เพราะท่านทำของท่านจนถึงที่สุดแห่งทุกข์ ท่านยังทำเป็นคติเป็นแบบอย่าง ถ้าแบบอย่างนั้นแสดงว่ามันต้องมีคุณค่า มันต้องมีคุณค่าสิ

แต่ของเรา เราขาดอะไรไม่ได้เลย กลัวไปหมด กลัวทุกข์กลัวยาก กลัวอดกลัวอยาก กลัวลำบากลำบน ไปกลัวมันทำไมๆ มันก็เรื่องของเราทั้งนั้น ถ้าจิตใจมันเบิกบานนะ จิตใจมันพร้อมนะ มันจะไปทุกข์ไปยากตรงไหน เวลามันนั่งไปมันก็เกิดเวทนาแน่นอนอยู่แล้ว แล้วถ้าเวทนาอย่างนี้เห็นไหม เวลามันสุขเวทนาทำไมพอใจกับมัน ถ้ามันเกิดทุกขเวทนา ทุกขเวทนามันมาจากไหน เวลาไม่นั่งไม่เดินมันมาจากไหน เวลามันนั่งมันเดินแล้วมันมาๆ

ก็มีสติปัญญาไล่ต้อนกันไปสิ มีปัญญาแยกแยะมันไปสิ เวลาพิจารณาเวทนาจนมันปล่อยเวทนาไปแล้วเวทนามันไปไหน ทำไมเดินจงกรมด้วยกัน นั่งสมาธิเหมือนกัน เวลาจิตมันไม่ลงมันทุกข์มันยากนัก เวลามันลงขึ้นมาทำไมมันปลอดโปร่งขนาดนี้ ทำไมมันตัวเบาขนาดนี้ เวลาเดินไปเหมือนมันลอยไปลอยมาอยู่อย่างนี้ เวลาจิตมันดับจากอารมณ์นี่ มันดับจากอารมณ์มันเด่นในตัวของมัน มันเด่นขึ้นมา

เวลาเราไปเจอหัวใจของเราเอง ไปเจอสัจจะความจริงขึ้นมาแล้วมันมหัศจรรย์ขนาดไหน แล้วมันจะไปรื้อค้นที่ไหนถ้ามันรื้อค้นที่กลางหัวใจ มันไม่ต้องไปรื้อค้นในตำรับตำรา ไม่ต้องไปรื้อค้นจากพระไตรปิฎก มันรื้อค้นจากหัวใจ

ศึกษามาเท่าไรก็ไม่รู้ ศึกษาน่ะเป็นปริยัติ มันไม่เป็นความจริงขึ้นมาได้ มันจะเป็นความจริงขึ้นมาได้จากการเดินจงกรม จากการนั่งสมาธิภาวนา แล้วมันเด่นขึ้นมากลางหัวใจ มันมหัศจรรย์ขนาดนี้ แล้วเวทนามันไปไหนล่ะ เวลานั่งสมาธิเดินจงกรมเวทนาไปไหน ทำไมมันผ่องแผ้วขนาดนี้ ทำไมมันมหัศจรรย์ขนาดนี้ แล้วมหัศจรรย์เห็นไหม ถ้าไม่มีวุฒิภาวะมันก็หลุดไม้หลุดมือคือมันเสื่อมไป จับไม่ได้ จับต้องไม่ได้ ผ่านมา ผ่านมาแล้วก็ผ่านไป แล้วทำยังไง

ครูบาอาจารย์ท่านถึงสอนไง สอนให้ชำนาญในวสี ชำนาญในวสีทำชำนาญในเหตุไง ชำนาญในการเข้าไง อารมณ์ที่เป็นอย่างนี้ทำยังไง เริ่มต้นเห็นไหมกลัวไปหมด ล้มลุกคลุกคลานไปหมด แล้วเวลามีสติปัญญาต่อสู้กับมัน เข้มแข็งขึ้น เข้มงวดกับตนเองดีขึ้น จนจิตมันมีหลักมีเกณฑ์ขึ้น จนนั่งสมาธิภาวนาจิตมันสามารถสงบได้ดีขึ้น

ถ้าดีขึ้นเห็นไหม แล้วพอดีขึ้นแล้วมันหลุดไม้หลุดมือไปเราจะทำยังไงต่อเนื่องไป เห็นไหม เราก็เริ่มต้นจากที่มันอ่อนแอ จากที่มันมีแต่ความตกอกตกใจ ที่มันมีแต่ความกลัวไปทุกๆ อย่าง แล้วเราก็มีสติปัญญาแยกแยะไง กลัวอะไร ถามตัวเองกลัวอะไร กลัวทำไม ทำไมไปกลัวมัน ก็เรื่องความคิดเราเท่านั้น สิ่งที่เป็นความคิดเรา เราคิดขึ้นมาหลอกตัวเอง เราก็กลัวความคิดเราเอง เราคิดเอง ความสุขความทุกข์เห็นไหม ความสุขความทุกข์ก็เราคิดเองทั้งนั้น สิ่งที่พอใจก็เป็นความคิดว่าพอใจ ได้สิ่งของมาเข้าใจผิดว่าสิ่งนี้ไม่ใช่ของเรา สิ่งนี้ไม่ใช่ที่เราต้องการ มันก็เป็นความทุกข์ใจ ทั้งๆ ที่มันเป็นของของที่เราปรารถนา

เห็นไหมมันเกิดขึ้นเพราะความคิดทั้งนั้น เกิดขึ้นเพราะเราทั้งนั้น ความกลัวก็เกิดจากความคิดเรา แล้วคิดขึ้นมาแล้วก็กลัวตกอกตกใจไปหมดเห็นไหม แล้วเราจะมีสติปัญญาใคร่ครวญแยกแยะมันจนสามารถพุทโธได้ จนสามารถเดินจงกรมได้ เดินจงกรมได้นะ เวลาแช่มชื่นแจ่มใสเดินจงกรม โอ๋ย เป็นวันเป็นคืน มีแต่ความสุขอยู่ในทางจงกรมเดินได้ทั้งวันทั้งคืน เพราะอะไร เพราะจิตมันมีไง มันมีเครื่องอยู่ไง

แต่ถ้าไม่มีเครื่องอยู่นะ เดินจงกรมสองนาทีมันก็ไม่ไหวแล้ว มันเครียด มันอยากไป มันอยากออก มันอึดอัดไปหมดเลย ถ้ายังยอมจำนนกับมันมันก็พาเลิก แต่ถ้าไม่ยอมจำนนกับมัน บังคับ! ทำไมครูบาอาจารย์ท่านเดินได้ ทำไมคนอื่นเขาภาวนาได้ แล้วเวลาภาวนาขึ้นมาแล้วทำไมครูบาอาจารย์ท่านเป็น ๗ วัน ๗ คืน

ดูสิ หลวงปู่ตื้อท่านนั่ง ๗ วัน ๗ คืนท่านทำของท่านได้ เวลาคนเห็นว่าทำอย่างนั้นได้ว่าหลวงปู่ตื้อท่านทำได้ด้วยศักยภาพของท่าน เพราะหลวงปู่ตื้อท่านใช้ฤทธิ์ของท่านโดยความสะดวกสบายของท่าน ก็บอกหลวงปู่ตื้อทำได้ๆ เวลาหลวงปู่ตื้อท่านเร่งความเพียรของท่าน ท่านอยู่ในป่าในเขาของท่าน ท่านทุกข์ท่านยากของท่าน ใครอยู่กับหลวงปู่ตื้อได้ ไปธุดงค์ได้ นั่นสุดยอด ท่านสมบุกสมบันมาก ท่านเอาจริงเอาจังมาก

ฉะนั้น ท่านถึงมีประสบการณ์ในใจมาก ท่านรู้ท่านเห็นสิ่งแปลกๆ มหาศาลเลย แล้วเราไม่รู้กับท่าน เราไม่เห็นกับท่าน แล้วมันจะเป็นไปได้ไหม เป็นความจริงขึ้นมาไหม สิ่งที่ท่านพูดจะเป็นความจริงไหม เพราะอะไร เพราะอำนาจวาสนาคนมันไม่เหมือนกัน ความกว้างขวางของปัญญาไม่เหมือนกัน กำลังของจิตไม่เหมือนกัน แล้วทำไมท่านทำได้ล่ะ ท่านทำได้เห็นไหม เราเพียงแค่เอาชนะใจเราเท่านั้น เอาชนะใจเราเห็นไหม ชนะใจเรา

การชนะกองทัพคูณด้วยร้อยคูณด้วยพัน สร้างเวรสร้างกรรมทั้งนั้น คนที่พ่ายแพ้ คนที่เสียเปรียบ คนที่ผิดพลาด เขาต้องขุ่นข้องหมองใจเป็นเรื่องธรรมดา คนชนะข้าศึกคูณด้วยพันคูณด้วยร้อย สร้างเวรสร้างกรรมทั้งนั้น ชนะตนประเสริฐที่สุด

ชนะความคิดไง ถ้าชนะความคิดได้เห็นไหม กำหนดพุทโธๆ ก็เป็นความคิดอันหนึ่งนะ วิตก วิจาร ระลึกพุทโธๆ นี่วิตก วิจาร วิตก วิจาร ปีติ สุข เอกัคคตารมณ์ วิตกวิจารนี่พุทโธๆ พลังงานที่มันไม่ให้คิดไปนอกเรื่องให้มันอยู่ในพุทธานุสติ พุทโธๆๆๆ ถ้ามีสติมีปัญญาแล้วพยายามทำให้ต่อเนื่อง พิสูจน์กันๆๆ พิสูจน์สิเวลาใจที่มันระลึกรู้ ความคิดที่เราคิดขึ้นมาแล้วทุกข์ยาก คิดขึ้นมาแล้วตกใจ คิดขึ้นมาแล้วมีแต่ความกลัว คิดขึ้นมาแล้วมันมีแต่ความเร่าร้อน แล้วเรานึกพุทโธๆๆๆ เห็นไหม หลวงตาท่านบอกว่าระลึกพุทโธนี่สะเทือนสามโลกธาตุๆ สะเทือนหัวใจ พุทโธๆๆ แต่ทำไมเราพุทโธไม่ได้ พุทโธแล้วมันไม่ลง

เวลามันฟุ้งซ่าน เวลามันส่งออก การส่งออกมันเป็นข้อเท็จจริง เพราะว่ามนุษย์เกิดมามีธาตุ ๔ และขันธ์ ๕ มันเป็นความคิด แม้แต่เด็กเห็นไหม เวลาเด็กมันไร้เดียงสา เด็กไร้เดียงสามันก็คิดภาษามันนะ แล้วมันไม่กลัวอะไรด้วย เด็กมันไม่กลัวหรอกเพราะมันคิดของมันไป มันไม่เคยกลัวอะไรเลย แต่ผู้ใหญ่นี่กลัว เพราะอะไร เพราะเรามีปัญญา เรารู้ถูกรู้ผิด เรารู้เลยว่ามันจะขาดตกเมื่อไหร่ เรานี่กลัวมาก กลัวถึงความทุกข์ความยาก กลัวถึงภัยพิบัติ เรากลัวไปหมดเลย

แล้วความคิดเห็นไหม แล้วถ้าเรามีสติมีปัญญา สิ่งที่มันจะเกิดขึ้น ภัยพิบัติอะไรจะเกิดขึ้นก็แล้วแต่เรามีสติมีปัญญาเราแก้ไขได้ เราหลบหลีกได้ แต่เวลาภัย มรณภัย เราหลบหลีกไม่ได้ เราต้องเผชิญหน้าแน่นอน ชีวิตนี้มีการพลัดพรากเป็นที่สุด แล้วถ้ามันพลัดพรากไปแล้วเราจะไปแก้ไขเอาตรงไหน ในปัจจุบันนี้เพราะเรามีสติมีปัญญานะ เราถึงแยกถูกแยกผิดได้นะ อะไรมีคุณค่า อะไรไม่มีคุณค่าเราแยกได้นะ

แต่เวลาเราจนตรอกแล้ว เวลาไปอยู่ในสถานะนั้นมันโดน มันอยู่ในสถานะของกรรม กรรมมันแผดเผาทั้งนั้น พอถึงตรงนั้นแล้วมันต้องเป็นแบบนั้น แล้วต้องอยู่อย่างนั้นจนกว่ากรรมนั้นมันจะเบาบางลง กรรมนั้นมันจะหมดไปมันถึงจะเปลี่ยนสถานะไปเรื่อยๆ นั่นอยู่ที่การกระทำของเราเห็นไหม สิ่งนั้นมันเป็นไปโดยกรรม แต่ในปัจจุบันนี้เพราะเราเกิดเป็นมนุษย์ๆ มันมีค่าสถานะของมนุษย์ สถานะของมนุษย์อายุขัยของมนุษย์มันรองรับเราไว้ แล้วมนุษย์คิดดีคิดชั่ว มีทั้งดีและชั่ว คิดดีนั่นเป็นบุญ คิดชั่วนั่นเป็นบาป

ความคิดชั่วทำไมไม่ให้ผลเป็นปัจจุบัน ไม่ให้ผลเป็นปัจจุบันเพราะว่าสถานะของมนุษย์ อายุขัยมันรับไว้ แต่เวลามันหมดอายุขัยนี้ไปมันก็ไปตามสถานะนั้นไง ถ้าไปเกิดเป็นเทวดาเป็นอินทร์เป็นพรหม อายุขัยเขามากกว่าเราอีก พอหมดอายุขัยมันก็วนมาเหมือนกัน นั้นเห็นไหม มันเป็นที่ว่าความคิดเวลาเกิดขึ้นมา ถ้าพูดถึงนักภาวนาก็ภพชาติหนึ่ง อารมณ์หนึ่งก็ภพชาติหนึ่งความคิดหนึ่งเห็นไหม มันคิดดีคิดชั่วเราก็มีความสุขความทุกข์ในใจเราไปตลอด

ถ้าเรามีสติปัญญา เราทำความสงบของใจเข้ามา ถ้าจิตมันสงบแล้วเห็นไหม มันอยู่ยาวนาน ความสงบระงับมันอยู่ได้นาน ความสุขมันมากขึ้น แล้วสุขมากขึ้น ถ้ามันมีสติปัญญา ยกขึ้นสู่วิปัสสนา ใช้ปัญญา ปัญญาที่เราใช้กันอยู่นี้ปัญญานี้มันเป็นปัญญาโลกียปัญญา ปัญญาที่การบริหารจัดการความดำรงชีวิต แต่เวลามันเกิดมรรคนะ เวลาเกิดภาวนามยปัญญา มันเป็นปัจจุบันเดี๋ยวนั้น ปัจจุบันเดี๋ยวนั้นนะ

สิ่งที่นามธรรมเห็นไหม ดูสิ ความคิดนี้มันเร็วขนาดไหน สติมันทันมันหยุดไปหมด แล้วเวลามันมีสัมมาสมาธิ แล้วปัญญาที่เกิดจากสัมมาสมาธิมันจะเป็นโลกุตตรปัญญา ปัญญาเนี่ย ปัญญาจะเกิดขึ้นต่อเมื่อจิตสงบแล้วเห็นกาย เห็นเวทนา เห็นจิต เห็นธรรม ตามความเป็นจริง เห็นเวทนา เห็นกาย เห็นเวทนา เห็นจิต เห็นธรรม นี่สติปัฏฐาน ๔ สติปัฏฐาน ๔ มันเกิดอริยสัจเกิดมรรค ถ้าเกิดมรรคเกิดปัญญาญาณ เห็นไหมปัญญาญาณ ปัญญาอย่างนี้ปัญญาที่ชำระล้างกิเลส ปัญญาที่มันจะสำรอกคายออก พอสำรอกคายออกแล้ว เวลามันสำรอกคายออกเป็นชั้นเป็นตอนไปจนถึงที่สุด แล้วมันกลัวอะไรล่ะ สมมุติทั้งนั้น

เหมือนทางวิทยาศาสตร์ที่เขาบอกว่า สิ่งที่พูดมันเป็นเรื่องนามธรรม มันเป็นเรื่องนามธรรม มันพิสูจน์ตรวจสอบไม่ได้ นั่นเวลาความคิดที่ไม่มีหลักเกณฑ์ แต่เวลาความคิดที่มีหลักเกณฑ์สมมุติทั้งนั้น แต่สมมุตินี่มันมีผล มันมีผลเพราะอะไร เพราะมันเป็นวิบาก เพราะมันมีการกระทำ เวลาเราคิดเห็นไหม เราคิดเรื่องต่ำทราม ดูใจเราสิมันเป็นยังไง เราคิดเรื่องคุณงามความดีจิตใจเราเป็นยังไง นี่มโนกรรม มันมีผลไหม มันมีผลทั้งนั้น

แต่เวลาเราเห็นแล้ว เราเห็นสิ่งใดมันเป็นสิ่งยั่วยุ สิ่งใดที่มันเป็นอวิชชา สิ่งใดที่เป็นมารที่ทำให้มันคิดอย่างนั้น แล้วเราสำรอกคายมันออกแล้วเห็นไหม มันเก้อๆ เขินๆ เห็นไหม มันก็บอกมันเหมือนโกหก คือเราจะไม่มีวิบากอย่างนั้นอีกแล้ว มโนกรรมอย่างนั้นไม่มี แล้วสิ่งนั้นมันจะเข้ามาถึงใจไม่ได้เห็นไหม ถ้าเราไม่กลัว ถ้าเรากลัวนะ เรากลัวแต่เริ่มต้น เราไม่กล้าทำอะไรเลย ถ้าไม่กล้า กลัวผิดกลัวถูกกลัวไปหมดทุกอย่างเลย แล้วไม่เอาจริงเอาจัง

แต่ถ้าเราไม่กลัว ผิดก็คือผิด ผิดก็แก้ไข ผิดก็สู้ ผิดแล้วก็วางแล้วเอาใหม่ ทำใหม่สิ ทำใหม่ วางอารมณ์ใหม่ สู้ใหม่ พิจารณาใหม่ มันต้องถูก ไม่มีใครไม่มีความผิดมาก่อน ไม่ต้องกลัว เอาจริงๆ เลย เอาจริงๆ เอาจริงเห็นไหม เอาจริงแล้วมันมีประสบการณ์เห็นไหม

เวลาหลวงตาขึ้นไปหาหลวงปู่มั่น ท่านบอกเลย เคารพหลวงปู่มั่นมากนะ แต่เวลาเข้าไปหาความจริงเราก็มีของเรา หมายถึงมันมีประสบการณ์ของใจ แต่ปฏิบัติแล้วมันรู้มันเห็นของมัน ความรู้ความเห็นเห็นไหม ที่บอกว่า เห็นจริงไหม จริง แต่ความเห็นนั้นยังไม่จริง เพราะเรายังไม่รอบคอบ เวลาหลวงปู่มั่นท่านก็แก้ไขให้ เถียง เถียงเต็มที่เลยๆ แล้วท่านพูดเลย การเถียงนี้ไม่ได้เถียงด้วยความตีตนเสมอท่าน ไม่ได้เถียงเพราะทิฏฐิมานะ แต่เถียงเพื่อเอาข้อเท็จจริง เรารู้เราเห็น นี่ไงที่ผิดมาก่อนไง ใครไม่ผิดล่ะเพราะเราไปรู้ไปเห็น เพราะจิตใจเรายังไม่ถึงระดับ เรารู้เราเห็น แล้วมันเห็นหยาบๆ มันก็ยึดมั่นถือมั่น

แต่เราโต้เถียงก็ด้วยเหตุด้วยผล ก็เรารู้อย่างนี้ มันเหตุผลอย่างนี้ ฉะนั้นหลวงปู่มั่นท่านหักล้าง หักล้างด้วยเหตุผลของธรรม พอหักล้างก็โอ๊ะ เพราะเราคิดไม่ถึงไง เราไม่คิดถึงมุมมองนี้ เราคิดแต่ที่เรารู้เราเห็น แล้วเราก็คิดว่าเรารู้รอบ เรารู้จริงๆ เพราะมันทำมายาก ทำมาเกือบตาย มันรู้ต้องยอดเยี่ยมๆ แต่เวลาเหตุผลของหลวงปู่มั่นท่านหักล้างด้วยเหตุผลของธรรม ไปไม่รอด

ฉะนั้น เหตุและผลรวมลงสู่ธรรม เราต้องฟังเหตุฟังผล เราจะไม่มีทิฏฐิมานะจนไม่ยอมฟังใคร เราต้องฟังเหตุฟังผล เพราะเรามาหาเหตุหาผล เรามาหาสัจจะความจริงกัน แต่อย่ากลัว ให้สู้ ให้ทำ เพราะไม่มีการกระทำเราก็ไม่มีเหตุมีผลไปคุยกับท่านไง เราก็ไม่มีเหตุมีผลตามความจริงของเราไง เราต้องสู้ให้จริง ให้มีเหตุมีผล แล้วมีครูบาอาจารย์ถามเลย ถามปัญหานี่ แล้วถามปัญหาเห็นไหม

ธรรมทั้งหลายเห็นไหม ธรรมทั้งหลายมาแต่เหตุ มันต้องมีเหตุมีผลของมัน แล้วเหตุของใคร เหตุเป็นอย่างไร ถ้าเหตุผลมันลงในทางเดียวกันเห็นไหม อริยสัจมีหนึ่งเดียว อริยสัจ สัจธรรมมีหนึ่งเดียว

อย่ากลัว อย่าไปกลัว อย่าไปตกใจ ให้มีความเข้มแข้ง ให้สู้ ให้มีการกระทำ แล้วมันจะเป็นสมบัติของเรา เอวัง