ถาม : เรื่อง “อริยบุคคลมีโอกาสหลงยศ หลงทรัพย์ทางโลกไหมคะ”
กราบหลวงพ่อ ผู้ที่เขาว่ากันว่าเขาได้บรรลุธรรมขั้นต้นคือโสดาปัตติมรรค เขายังจะหลงในยศถาบรรดาศักดิ์ไหมคะ ยังหลงให้คนอื่นออกทรัพย์เพื่อตัวเขาไหมคะ แล้วถ้าเขาหลงอยู่ในทางโลกซึ่งคนอื่นเห็นได้ชัด แต่ตัวเขาไม่รู้สึกตัว สักวันเขาจะรู้ตัวและปรับปรุงตัวเองไหมคะ
ตอนนี้ก็ฟังธรรมหลวงพ่อทุกบท รู้ว่ายังเอาตัวไม่รอด ไม่ควรยุ่งเรื่องของคนอื่นเขา แต่ทางโลกมันยุ่งเหยิงค่ะ เราไม่ใช่อยู่คนเดียว ชีวิตก็ต้องมีการติดต่อพัวพันกันค่ะ กราบขอบพระคุณ
ตอบ : อ้าว! นี่ถามเรื่องคนอื่นไง บอกว่า “ถ้าอริยบุคคลเขาบรรลุธรรมขั้นโสดาบัน เขายังหลงในยศถาบรรดาศักดิ์ไหมคะ ยังหลงให้คนอื่นออกทรัพย์เพื่อตัวเองไหมคะ แล้วถ้าเขาหลงอยู่ในทางโลกซึ่งคนอื่นเห็นชัด แต่เขาไม่รู้สึกตัว สักวันเขาจะรู้ตัวไหม”
ถ้าเป็นคนปฏิบัตินะ เป็นคนปฏิบัติเอาจริงเอาจัง เราปฏิบัติ ทุกคนปฏิบัติ เวลาครูบาอาจารย์ท่านปฏิบัตินะ อย่างเช่นหลวงปู่มั่น หลวงปู่มั่นท่านปฏิบัติ เวลาท่านพิจารณาของท่านเอง ท่านพยายามขวนขวาย จากภาวนาไม่เป็น หลวงปู่เสาร์ก็พยายามอบรม พยายามจนเริ่มต้นวางรากฐานการภาวนาได้
เวลาท่านภาวนาได้ของท่าน ท่านพิจารณากายของท่านได้ พอพิจารณากายไปแล้วท่านบอกว่ามันเหมือนถนนขาด มันเหมือนกับท่านไปชนกำแพง คือมันไม่ไป มันไปไม่ได้ เวลาพิจารณากายแล้ว ออกมาแล้วมันก็เหมือนปกติ เหมือนกับคนเรายังไม่ได้ภาวนา เหมือนกับธรรมดา
เวลาครูบาอาจารย์ที่ท่านมีอำนาจวาสนานะ ท่านจะตรวจสอบตัวท่านเอง เห็นไหม ท่านบอกว่า เวลามันภาวนาไปแล้ว ในตำรับตำราก็บอกว่าจิตสงบแล้วให้พิจารณากาย เราก็ได้พิจารณากายของเราแล้ว แต่ออกมาแล้วทำไมมันไม่มีอะไรดีขึ้นเลย จิตใจของเรายังหงุดหงิดเหมือนเดิม จิตใจเรามีอะไรกระทบกระทั่งแล้วมันก็หลงไปกับเขาเหมือนเดิม มันเป็นเพราะอะไร มันใช่สัจธรรมจริงหรือไม่ใช่สัจธรรมจริง ท่านก็ค้นคว้าของท่าน ท่านก็พยายามหาเหตุหาผลของท่าน นี่พูดถึงคนที่มีหลักนะ คนที่มีอำนาจวาสนาเขาภาวนาไปแล้วเขายังตรวจสอบใจของเขา ถ้าพิจารณาแล้วอะไรไม่ถูกต้อง เขาก็พิจารณาของเขา
หลวงปู่มั่นท่านทำอย่างนี้ พิจารณากายเหมือนกัน ท่านบอกพิจารณาไปแล้วนะ พอพิจารณาไปแล้วมันเหมือนไปไม่ได้เพราะถนนมันขาด ถนนขาดมันไปไม่ได้หรอก มันสุดแค่นั้น เวลาพิจารณาไปๆ เหมือนกับไปถึงไปชนกำแพง เหมือนทางซอยมันตัน มันไปไม่ได้ มันไปไม่ได้ มันทำอย่างไร มันไปไม่ได้
ท่านพิสูจน์อย่างนี้ ท่านตรวจสอบ ท่านหาเหตุหาผลๆ จนท่านหาเหตุผลจนมาเข้าใจว่า ท่านเองเคยปรารถนาพระโพธิสัตว์ ท่านเคยปรารถนาเป็นพุทธภูมิ ปรารถนาเป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไปในอนาคต สิ่งนี้มันมากีดมาขวาง ถ้ามากีดมาขวางนะ ท่านถึงหาหนทาง หาหนทางแล้วท่านพยายามลา ลาพระโพธิสัตว์
คำว่า “ลา” คนเราทำมามากแล้วใช่ไหม มาลา สิ่งที่ทำมาแล้วมันก็เป็นกรรมดี สิ่งที่เป็นอำนาจวาสนา ท่านถึงได้มีบารมีแก่กล้ามาก ฉะนั้น เวลาท่านทำของท่าน มันเป็นความจริงของท่าน
คนที่มีอำนาจวาสนาเขาจะตรวจสอบเขาจะทดสอบของเขาว่าอะไรจริงอะไรเท็จ ถ้าอะไรที่เป็นความเท็จ เป็นความเท็จ แต่เป็นความดีของโลก ความดีของโลกคือพระโพธิสัตว์ไง พระโพธิสัตว์ก็พยายามชักชวนคนเขาทำบุญ พยายามเป็นหัวหน้า หัวหน้าพยายามชักนำให้คนทำคุณงามความดี มันก็เรื่องคนดี
เวลาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าข้ามพ้นทั้งดีและชั่ว ดีก็ข้ามพ้นไป เพราะดีมันก็ติด แต่คำว่า “ดีก็ติด” มันก็ต้องติด แต่ความดีมันเป็นการก่อสร้าง เป็นการสร้างเนื้อสร้างตัว เป็นการสร้างคุณงามความดี อาศัยคุณงามความดีนี้เป็นทางเดินไป ฉะนั้น เวลาทำไป พระโพธิสัตว์มันต้องเจริญงอกงามขึ้นไปจนกว่าจะบารมีเต็มไปตรัสรู้เป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าข้างหน้านู่น ฉะนั้น ท่านเห็นสภาวะแบบนั้นท่านถึงลา ลาสิ่งนั้น ลาสิ่งนั้นแล้วมาประพฤติปฏิบัติ
พอมาประพฤติปฏิบัติ มาพิจารณาเหมือนกัน เห็นไหม พิจารณากายเหมือนกัน พอจิตสงบแล้ว เพราะพิจารณากายเป็นแล้วก็จับกายพิจารณา พอพิจารณาไปแล้วมันถอดมันถอนนะ...เออ! มันต้องอย่างนี้สิ มันต้องอย่างนี้ มันมีเหตุผล มีเหตุมีผล มีความแตกต่าง มีความแตกต่างว่ามันเป็นจริงหรือไม่เป็นจริง
เพราะคำว่า “เป็นจริง” เรารู้เอง เราเป็นคนชำระล้าง เราเป็นคนสำรอก เราเป็นคนคายออก เราไปเห็นความมหัศจรรย์ของจิต เราไปเห็นมรรคญาณ สิ่งที่เหตุและผล ศีล สมาธิ ปัญญาที่มันเป็นเหตุเป็นผล แล้วเวลาเกิดปัญญา มันเกิดวิปัสสนาญาณ วิปัสสนาญาณคือความรู้แจ้ง ความรู้แจ้งความเห็นจริงในการวิปัสสนา มันเห็นเข้าไปอย่างนั้นมันก็เลยชัดเจน นี้เปรียบเทียบถึงคนที่เขาตรวจสอบตัวเอง
คนที่มีอำนาจวาสนาบารมียิ่งปฏิบัติเท่าไรนะ เขาจะไม่เอาสิ่งนี้กระจายออกไป เพราะเขาเรียกว่าส่งออก ส่งออกแล้ว คนจะเชื่อ คนจะไม่เชื่อ คนจะติฉินนินทาหรือไม่ เราจะหวั่นไหว ฉะนั้น ครูบาอาจารย์ในวงกรรมฐาน เวลาผู้ปฏิบัติเขาจะบังคับเลยว่าไม่ให้พูด ถ้าจะพูดก็ให้พูดกับครูบาอาจารย์ ให้พูดกับเวลาธมฺมสากจฺฉา คือเวลาพูดกับนักปฏิบัติด้วยกัน คือคนที่ค้นคว้าด้วยกัน คนที่ขวนขวายด้วยกัน คนที่มีจุดมุ่งหมายเป้าเดียวกัน แล้วเราคุยกัน เขาคุยกันด้วยเหตุด้วยผล
ถ้าจิตใจใครสูงกว่า เขาพิจารณาแล้ว เพราะมันมีปัญญาที่ลึกซึ้งกว่า ปัญญาที่ลึกซึ้งกว่า จิตใจที่ต่ำกว่า พอได้ยินปัญญาที่ลึกซึ้งกว่า มันจะฉุดให้ปัญญาที่ต่ำกว่าพยายามพัฒนาตัวเองให้ปัญญาสูงขึ้นไปได้ ปัญญาที่ต่ำกว่าได้ยินปัญญาที่สูงกว่า เวลาพูดถึงว่า เอ๊ะ! ปัญญาของเรา เราก็ว่าเรากว้างขวางแล้ว ทำไมของท่าน ท่านยังขยายความไปได้อีก เราก็จะพยายามขึ้นไป
ถ้า ธมฺมสากจฺฉา เอตมฺมงฺคลมุตฺตมํ มันเป็นมงคลอย่างยิ่ง มงคล ๓๘ ประการ มงคลของการมีชีวิต มงคลของนักปฏิบัติที่เป็นสัมมาทิฏฐิที่พยายามขวนขวายหาสัจธรรม เขาสนทนาธรรมกันเพื่อเหตุเพื่อผล เพื่อการพัฒนาร่วมกัน การชักจูงกันไปสู่คุณงามความดี นี่เวลาเขาคุย เขาคุยอย่างนั้น
เขาไม่คุยสะเปะสะปะ ไปคุยกับคนที่เขาไม่ภาวนา คนที่เขาภาวนาไม่เป็น เขาภาวนาไม่เป็น เขาไม่เคยเห็น อย่างเช่นคนภาวนาไม่เป็นเขาบอกว่า ไม่อยากเห็นกายเลย เพราะกลัวเห็นผี กลัวผีกลัวสางมาก ไม่อยากเห็นกาย ไปพิจารณาทางอื่นได้ไหม
เขาไม่เข้าใจหรอกว่าการเห็นกายมันไม่ใช่การเห็นผี การเห็นกายมันเห็นอริยสัจ เห็นสติปัฏฐาน ๔ เห็นกาย เห็นเวทนา เห็นจิต เห็นธรรมตามความเป็นจริง ความเป็นจริงอันนั้นมันเป็นอริยสัจ มันเป็นมรรค มันเป็นทางก้าวเดิน เป็นกิจจญาณ สัจจญาณ เป็นสัจจะ เป็นกิจจะ เป็นความกระทำของจิตที่จิตมันจะพัฒนาของมันขึ้นไปเป็นชั้นเป็นตอนขึ้นไป เวลาคนจะบรรลุธรรมจะผ่านมันต้องเดินทางนั้น มันไม่ใช่ไปเห็นจิต เห็นวิญญาณ เห็นผีอย่างที่เราคิดเราคาดกัน
ถ้าเห็นผี เห็นจิตอย่างที่เราคิดเราคาดกัน มันไปเห็นวิญญาณข้างนอก วิญญาณข้างนอกมันส่งออก เห็นไหม วิญญาณในคือจิตของเรา เรายังไม่รู้ยังไม่เห็น แล้วจิตของเรายังไม่วิปัสสนาจนเห็นกาย แล้วมันไปเห็นผีเห็นสาง มันไปเห็นคนอื่น เห็นจิตวิญญาณดวงอื่น เห็นคนอื่น มันไม่ใช่มรรค แต่เราเข้าใจกันว่าอย่างนั้นไง เข้าใจว่า การเห็นกายคือการเห็นจิต เห็นวิญญาณ...ไม่ใช่
การเห็นกายคือการเห็นสัจจะ เห็นกายานุปัสสนา มันเห็นกาย พิจารณากายของตัวเอง เห็นกายของตัวเอง เห็นกายของเรานี่แหละ เห็นความติดข้องของใจนี่แหละ เวลามันเห็น มันเห็นอย่างนั้น มันเห็นอริยสัจ มันไม่ใช่เห็นจิตอย่างนั้น แต่คนเวลาฟังแล้วก็ตีความกันโดยประสาโลกๆ ก็เข้าใจผิดกันไปไง
นี่พูดถึงว่า “เวลาคนที่ได้บรรลุธรรม เขายังหลงในยศถาบรรดาศักดิ์ไหม”
ยศกับศักดิ์ ยศถาบรรดาศักดิ์ กิตติศัพท์กิตติคุณมันเป็นเรื่องโลกธรรม ๘ มันไม่เกี่ยวกับโสดาบันเลย มันไม่เกี่ยวกับอริยสัจเลย
คนที่ได้โสดาบันจริงนะ ถ้าได้โสดาบันจริง ถ้าเป็นนักปฏิบัติ เขาจะเงียบ แล้วเขาพยายามจะขวนขวายให้ได้สกิทาคามี ได้อนาคามี ได้ต่อไป แล้วมันจะได้ยากขึ้น เพราะคนที่จะได้โสดาบันจริง เขาเรียกภาวนาเป็น คนภาวนาเป็นมันต้องมีการผิดพลาดมามหาศาลเลย
คนที่ไม่ผิดพลาดมามันจะรู้สิ่งใดถูกต้องไหม มันก็ผิดมาทั้งนั้นน่ะ แต่คนเวลาภาวนาผิดไปแล้วนะ หลงใหลตามความผิดนั้นไปก็จินตนาการไปว่าฉันบรรลุธรรมๆ แล้วทีนี้คนที่ตรวจสอบมันไม่มีไง คนที่ตรวจสอบคือคนที่รู้จริงในกลุ่มนั้นไม่มีใช่ไหม เวลาเขาพูด เขาพูดของเขาด้วยจินตนาการของเขา ไอ้คนฟังมันไม่มีหู คือหูก็เป็นหูกระทะ หูก็เป็นหูหม้อ มันไม่ใช่หูของนักปราชญ์
ถ้าเป็นหูของนักปราชญ์ฟังทีเดียวก็รู้ว่าจริงหรือปลอม ข้อเท็จจริงมันอยู่ตรงนั้น แต่เวลาพฤติกรรมไง ถ้าพฤติกรรม “เขาว่ากันว่า เขาว่ากันว่า เขาว่ากันว่า” นี่เชื่อได้หรือ เขาว่ากันว่าเขาบรรลุธรรม เขาบรรลุธรรม แล้วเราเอาเครื่องอะไรไปจับล่ะ
เออ! ถ้าเป็นเงินเป็นทอง เงินบาทก็หนึ่งบาท มีค่าเท่ากับหนึ่งบาท เงินสิบบาทก็มีค่าเท่ากับสิบบาท มันมีธนาคารแห่งประเทศไทยรองรับ ไอ้นี่ก็เหมือนกัน ถ้ามันเป็นโสดาบัน เป็นสกิทาคามี เป็นอนาคามี สันทิฏฐิโก ธรรมวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบัญญัติไว้ แต่ให้เป็นปัจจัตตัง ให้รู้จำเพาะตน ให้รู้จำเพาะตนมันก็รู้ของเขา แต่ครูบาอาจารย์ที่รู้จริงท่านก็แก้ไขได้ ท่านก็รู้จริงของท่านได้ แล้วท่านจะบอกได้ว่าจริงหรือไม่จริง นี่ถ้ามันจริงนะ
พระโสดาบันยังหลงในยศถาบรรดาศักดิ์ ยังหลง แล้วอย่างที่เขาบอกด้วย คนอื่นเห็นหมดเลย แต่ตัวเขาไม่เห็น ตัวเขาไม่รู้
ถ้าตัวเขาไม่รู้นี่มันก็แปลกแล้ว พระโสดาบันนะ คำว่า “โสดาบัน” สิ่งที่เป็นสัจธรรมในใจมันมีคุณค่ามาก มีคุณค่ามากเพราะอะไร เพราะครูบาอาจารย์ท่านบอก เวลาภาวนาขั้นที่ยากที่สุดคือขั้นแรก ขั้นแรกมันยากเพราะอะไร เพราะมันดิบๆ ใช่ไหม คนเราปุถุชนยกขึ้นสู่กัลยาณปุถุชน ยกขึ้นสู่โสดาปัตติมรรค แล้วโสดาปัตติมรรคพิจารณาแล้วพิจารณาอีกมันเสื่อม เจริญแล้วเสื่อม เสื่อมแล้วเจริญ ล้มลุกคลุกคลานอยู่ตรงนี้เยอะมาก จนกว่าจะหาเหตุหาผล พยายามสร้างฐานของเราขึ้นมา ฐานก็คือสัมมาสมาธิ ถ้าไม่มีสัมมาสมาธิ มันก็ไม่เข้าสู่มรรค มันเป็นเรื่องโลกๆ หมดแหละ
ถ้ามันเป็นความจริงขึ้นมา เราล้มลุกคลุกคลาน เราพยายามทำมาขนาดนั้น ถ้ามันได้จริงนะ ถ้ามันเป็นความจริง ไอ้เรื่องทรัพย์นะ แม้แต่ปุถุชนเขายังสละ แล้วเป็นโสดาบันแล้วจะให้คนอื่นออกทรัพย์เพื่อตัว มันเป็นไปไม่ได้ มันเป็นไปไม่ได้ มันเป็นไปไม่ได้เลย เขาจะไม่ยุ่งกับทางโลกเลย แล้วเขาอยู่ของเขาโดยเอกเทศได้ เพราะอะไร เพราะถ้าเขาเป็นโสดาบัน สิ่งที่เป็นคุณธรรมในใจเขาจะมีความสุข มันจะมีความสุข มันจะแปลกโลก มันจะมีค่ากว่าสิ่งที่มีค่าที่โลกเขาใช้สอยกัน ไอ้ปัจจัย ๔
ไอ้ปัจจัย ๔ มันเป็นเรื่อง เห็นไหม เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกพระอานนท์ เวลาที่โจรมันปล้นเงินมาแล้วมันทำเงินตกไว้ “อานนท์ อสรพิษ อสรพิษ”
เงินนี้เป็นอสรพิษนะ มันกัดใจปุถุชน กัดหัวใจของพวกเรา เพราะเงินทั้งนั้นน่ะที่ทำให้เราขัดแย้งกัน เงินทั้งนั้นทำให้เราประหัตประหารกัน เงินเป็นอสรพิษ แล้วพระโสดาบันยังหลงในทรัพย์ ยังให้คนอื่นออกทรัพย์เพื่อตัว มันขัดแย้งกัน มันแปลกๆ อยู่ ฉะนั้น ถ้าเป็นเรา เราไม่เชื่อ เราไม่เชื่อเลย
ฉะนั้น ถ้าเป็นโยมว่า “เขาว่า” โยมบอก “เขาว่า” นี่เรื่องของเขา ถ้าเรื่องของเขา ไม่ใช่เรื่องของเรา ถ้าเรื่องของเขานะ เรามอง เรามองสิ่งนี้แล้วนะ แล้วเราเอามาเตือนตนเอง เราอย่าเป็นอย่างนั้นนะ เราอย่าให้เขาว่าเราเป็นโสดาบันแล้วก็จะให้คนอื่นออกทรัพย์เพื่อเขาอีกนะ เราเห็นเขา เรายังรับไม่ได้ เราอย่าทำอย่างนั้น เราไม่ทำอย่างนั้น
แล้วเขาถามว่า “สักวันเขาจะรู้ตัวหรือไม่”
ถ้าเขาตั้งใจ เขาเป็นนักปฏิบัติ เป็นผู้ที่เป็นสุภาพบุรุษ เป็นคนที่แสวงหาความจริง ถ้าเขารู้ตัว เขาจะรู้ตัว แต่ถ้าเขาไม่ใช่สุภาพบุรุษ เขาเป็นนักเล่นแร่แปรธาตุ ก็คือเขาตั้งใจทำอย่างนี้อยู่แล้ว เขาตั้งใจพยายามจะประชาสัมพันธ์ตัวเองให้คนนึกว่าเขาเป็นอย่างนั้น เพื่อจะได้ออกทรัพย์เพื่อเขา แล้วเขาจะรู้ไหม
สักวันหนึ่งเขาจะรู้ มันต้องดูที่จิตใจของคนด้วย จิตใจของคนที่เขาแสวงหาความจริง ถ้าเขาต้องการแสวงหาความจริง ถ้าเขาผิดพลาดนี่เขารู้ได้
แต่คนหนึ่งเขาตั้งใจ ตั้งใจประชาสัมพันธ์ตัวเอง ตั้งใจให้คนเชื่อเขาว่าเขาเป็นอย่างนั้นเพื่อเขาแสวงหาลาภของเขา แล้วสักวันเขาจะรู้ไหม สักวันเขาจะรู้ต่อเมื่อสังคมโลกรู้ทันเขาแล้ว เขาจะวิ่งหนีต่างหากล่ะ เขาจะหลบหลีกต่อเมื่อคนรู้เท่าทันเขา อย่างนี้มันไม่ใช่ว่าเขาจะรู้ตัวเขานี่ เขาไม่ใช่ว่าจะรู้ตัวเขา แต่เพื่อผลประโยชน์ของเขา
นี่พูดถึงว่า อริยบุคคลที่ยังหลงในยศ หลงในลาภ
คำว่า “หลงในยศ ในลาภ” มันก็ไม่ใช่อยู่แล้ว แล้วไม่ใช่อยู่แล้ว ถ้าเรารู้เราเห็นแล้วเราก็ปล่อยวางซะ เราไม่ไปยุ่งกับเขา เราไม่ยุ่งกับเขาเลยล่ะ
ทีนี้เขาบอกว่า สิ่งที่ว่าไม่ยุ่งกับเขา แต่ในเมื่อเราอยู่กับโลก โลกมันยุ่งเหยิงต่างๆ เขาว่าของเขาไป
อันนี้ก็เรื่องของเขานะ เพราะว่า ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นสัจธรรมเป็นความจริงที่ทุกคนประพฤติปฏิบัติ ทุกคนมีสิทธิ์ แต่ถ้าเขาหลงว่าเขาเป็นโสดาบัน เขาหลง มันเป็นสิทธิ์ของเขา สิทธิ์ของเขาคือว่าเขาเอาบาปเอากรรมของเขาหรือเขาจะเอาคุณความดีของเขา
เราก็เหมือนกัน เราก็มีสิทธิ์เหมือนกัน ถ้าเราประพฤติปฏิบัติจริง เราก็มีสิทธิ์ทำได้ ถ้าเรามีสิทธิ์ทำได้ เราจะเอาความจริงด้วย ถ้าเราจะเอาความจริง เราพยายามทำของเรา เรื่องของเขาเป็นเรื่องของเขา
แล้วตอนนี้ไอ้เรื่องบรรลุธรรมๆ บรรลุธรรมแล้วทำไมต้องบอกเราด้วยล่ะ เฮ้ย! เอ็งบรรลุธรรม ทำไมเอ็งต้องบอกกูด้วยล่ะ อ้าว! เอ็งบรรลุธรรมก็ของเอ็ง มันเกี่ยวอะไรกับกูด้วยล่ะ นี่ก็เหมือนกัน บรรลุธรรม ทำไมต้องบอกกันด้วยล่ะ แล้วต้องให้คนอื่นมาเดือดร้อนด้วยล่ะ
หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นท่านอยู่ในป่าในเขานะ หลวงปู่มั่น เวลาคนจะทำบุญยังต้องซื้อทางเข้าไปเลย ต้องแสวงหาเข้าไป เพราะท่านมี ในสัจธรรมในหัวใจของท่านมีคุณค่าจริง ทุกคนแสวงหา ทุกคนเข้าไปเพื่อบุญกุศลของตัวเอง นี่เขาแสวงหากันอย่างนั้น ไม่ใช่โสดาบันประชาสัมพันธ์โฆษณาชวนเชื่อไปเรื่อย โอ้โฮ!
เราจะบอกว่า คุณธรรมมันมีค่ามาก สัจธรรมมีค่ามาก อย่างอื่นไม่มีค่าเลย อย่างอื่นไม่มีค่าเลย อยู่กันเพื่อใช้สอย ใช้สอยเพื่อเป็นการดำรงชีวิตเท่านั้น แล้วชีวิตนี้มันแสวงหามาก็ไม่ใช่เพื่อเหตุนั้น ชีวิตนี้แสวงหามาก็เพื่อสัจธรรม แล้วคนได้สัจธรรมความจริง แล้วลงมาหาอสรพิษ หาเงินหาทอง มันแปลกนะ มันแปลก
อันนี้เรื่องของเขา ทีนี้เรื่องของเราแล้ว
ถาม : เรื่อง “ดวงแก้วมีจริงไหมคะ”
กราบนมัสการหลวงพ่อ เมื่อวานหนูถามเรื่องของคนอื่น วันนี้หนูถามเรื่องปัญหาที่ตนเจอตอนปฏิบัติธรรมค่ะ ดวงแก้วของเรามีจริงไหมคะ ดวงแก้วของคนก็คือดวงวิญญาณหรือคะ
ครั้งหนึ่งหนูปฏิบัติธรรม ตอนนั่งภาวนาหนูเห็นดวงแก้วของหนูออกจากร่าง ขนาดประมาณ ๔ นิ้วเห็นจะได้ รูปแบนกลม มีแสงเหมือนพระจันทร์ ไม่จัดจ้าน พอออกจากร่างก็มีมังกรตัวหนึ่งมาเล่นกับดวงแก้วหนูค่ะ (ที่ว่าเป็นมังกรไม่ใช่พญานาค เพราะลักษณะสีสันตามตำราจีน ไม่ใช่แบบตำราไทยค่ะ)
ตอนแรกดวงแก้วก็ขึ้นๆ ลงๆ เล่นกับมังกรนั้นค่ะ และตอนนั้นมีความรู้สึกมังกรเป็นผู้อาวุโสที่มีจิตเมตตาต่อดวงแก้วหนูค่ะ ก็เล่นตามหนูขึ้นๆ ลงๆ อยู่บนท้องฟ้า
หลวงพ่อ : เขาเขียนว่ามันยังมีปัญหาไปอีกมาก
ถาม : แต่อยู่ๆ หนูก็นึกกลัวขึ้นมาว่า ถ้ามังกรกลืนดวงแก้วหนู หนูก็ไม่มีชีวิตสิคะ พอนึกแค่นี้ปั๊บ ดวงแก้วของหนูก็เข้าสู่ร่างทันที หนูก็ออกจากกรรมฐานเลย
นี่คือวิญญาณของหนูหรือเปล่าคะ เคยเห็นที่เขาถ่ายรูปกัน และลือกันว่าจุด จุด จุด มีแสงเป็นขาวบ้าง แดงบ้าง น้ำเงินบ้าง นั้นคือดวงเทวดา ก็แค่เหมือนดวงดาวนิดเดียวค่ะ แต่ทำไมของหนูรู้สึกใหญ่ แปลว่าเป็นดวงวิญญาณที่หยาบหรือคะ กราบหลวงพ่อช่วยคลายข้อสงสัยด้วยค่ะ กราบขอบพระคุณ
ตอบ : เมื่อกี้เรื่องของเขา คราวนี้เรื่องของเรา
พูดถึงการปฏิบัติก่อน การปฏิบัติ เขาบอกกำหนดพุทโธ พวกนี้จะเกิดนิมิต จะเกิดนิมิต จะติดในนิมิต เขากำหนดนามรูปต่างๆ เพื่อใช้ปัญญาไปมันจะไม่เกิดนิมิต การกำหนดนามรูปต่างๆ ให้รู้เท่าทันจิต ให้รู้ตามความเป็นจริง เขาบอกรู้ตามความเป็นจริงในการปฏิบัติแนวทางสติปัฏฐาน ๔ ตามความเป็นจริง ก็กำหนดรู้เท่าทันกาย เวทนา จิต ธรรมไปเรื่อย เขาว่าสิ่งนั้นมันเป็นปัญญา
อันนั้นมันเป็นสัญญา มันเป็นการจำ มันเป็นการเลียนแบบธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ถ้ากำหนดพุทโธๆๆ เขาว่าเป็นสมถะ ถ้าสมถะมันจะเกิดนิมิต ถ้าเกิดนิมิตแล้วจะติดในนิมิต สิ่งนี้เป็นสมถะ สมถะมันไม่เกิดปัญญา มันต้องใช้ปัญญาไปเลย แต่เขาไม่ได้ศึกษาธรรมะให้รอบคอบ
ศึกษาธรรมะให้รอบคอบ เขาบอกปุถุชนคนหนา เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเทศนาว่าการก็อนุปุพพิกถาให้ทำทานก่อน ให้เตรียมความพร้อมก่อน ทำทานแล้วถ้าจิตมันสงบร่มเย็นขึ้นไป ถ้ามันถึงเวลามันจะได้บุญไปบนสวรรค์ ก็ให้ถือเนกขัมมะ ให้ถือเนกขัมมะแล้วก็เทศน์อริยสัจให้จิตมันสงบไง
อนุปุพพิกถาเทศน์สอนปุถุชน ปุถุชนคนหนาเราก็ต้องมีการกล่อมเกลาหัวใจให้มันพร้อมกับการทำงาน ฉะนั้น เราเป็นชาวพุทธ เราศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วเราอยากจะประพฤติปฏิบัติ เราอยากทำความเป็นจริง
ถ้าจิตใจเรายังไม่สงบ เราพยายามทำความสงบของใจเข้ามา ถ้าใจสงบแล้ว ใจสงบเข้ามามันเป็นสัมมาสมาธิ ถ้าสัมมาสมาธิ เรายกขึ้นวิปัสสนา นั่นน่ะวิปัสสนา สติปัฏฐาน ๔ จริงมันอยู่ที่นั่น
ฉะนั้น เวลากำหนดพุทโธๆ ที่มันจะเกิดนิมิต เกิดต่างๆ เขาจะเกิดนิมิต คำว่า “เกิดนิมิต” มันเป็นตามจริตนิสัย ถ้าจริตนิสัย จิตดวงใดก็แล้วแต่สร้างบุญญาธิการมาอย่างนี้ เวลาจิตมันสงบแล้วมันต้องเห็นนิมิตอย่างนี้ เวลากำหนดพุทโธมันก็จะเป็นนิมิต
ไปกำหนดนามรูปที่ว่าเป็นแนวสติปัฏฐาน ๔ ในการใช้ปัญญา ถ้าใช้ปัญญา ปัญญามันสงบลง มันก็เกิดนิมิตเหมือนกัน เพราะมีคนที่ใช้แนวทางกำหนดรู้ตัวทั่วพร้อมโดยการใช้ปัญญา โดยการรู้นามรูป เกิดนิมิตเยอะ เกิดนิมิตเยอะเพราะอะไร เพราะคนที่ภาวนาอย่างนี้มาหาเราหลายคนแล้ว บอกว่ามันภาวนาไปแล้วมันก็เกิดนิมิตเหมือนกัน ก็ไหนว่ามันไม่เกิดไง
ถ้ามันเกิดนิมิตแสดงว่ามันลงจริงไง เพราะจิตมันลงจริง ถ้าจิตเขา นิสัยเขาจะเห็นนิมิตของเขา แต่ถ้าจิตของเขามีนิสัยอย่างนี้มากำหนดพุทโธ ถ้าจิตเขาลงไป จิตเขาเป็นไป มันก็จะเห็นนิมิตอย่างนี้เหมือนกัน
แต่ถ้าจิตของเขามันไม่มี เขาไปกำหนดนามรูปมันก็ไม่มี เพราะมันใช้ปัญญาไปมันก็ปัญญาอยู่อย่างนั้นน่ะ มันไม่ลงสู่สมาธิ
แต่ถ้ากำหนดพุทโธๆ ถ้าจิตกำหนดพุทโธ ถ้าจิตจริตนิสัยเขาเป็นแบบนั้น เคยสร้างเวรกรรมมาอย่างนั้น พอพุทโธๆ จิตของเขาเวลาสงบแล้วเขาจะเห็นนิมิตของเขา เห็นไหม เห็นนิมิตของเขา แต่โดยหลักการ เรากำหนดพุทโธๆ เขาต้องการความสงบของใจ เราไม่ต้องการนิมิตหรอก แต่นิมิตทำไมมันเกิดล่ะ
นิมิตเกิดเพราะมันเป็นจริตนิสัย ถ้าจริตนิสัย หลวงตาท่านบอกว่าเป็นมโนภาพ เป็นมโนภาพ เป็นมโนกรรม ถ้าเป็นมโนภาพ เป็นมโนกรรม แล้วมันจะแก้อย่างไร
มันต้องแก้ไขไง เพราะว่าสิ่งนี้ถ้ามันเป็นนิมิต พักไว้ก่อน เราพยายามกำหนดพุทโธชัดๆ เราพยายาม เราจะแก้นิมิตนี้เพื่อไม่ให้จิตมันส่งออก
นิมิต ใครเป็นคนเห็น ดูสิ คนที่เขาไม่มีจริตนิสัยที่เห็นนิมิต จิตเขาสงบลงไปนิ่งๆ เขาไม่เห็นอะไรเลย แต่จิตของเขาไม่สงบลึกมากขึ้น เขาขณิกสมาธิ อุปจารสมาธิ อัปปนาสมาธิ
ถ้าจิตของเขา เขาจะสงบมากขึ้นไม่ได้ เขาต้องพยายามหาเหตุหาผลให้จิตของเขาสงบมากขึ้นไปกว่านี้ เพราะจิตสงบมากขึ้นกว่านี้มันก็มีบาทฐาน สมถกรรมฐาน ฐานที่ตั้งแห่งการงาน ถ้ามีฐานที่ตั้งแห่งการงาน เอาฐานนี้ออกวิปัสสนา มันก็จะเป็นวิปัสสนากรรมฐาน สมถกรรมฐานก็ยกขึ้นสู่วิปัสสนากรรมฐาน
ถ้าไม่มีสมถกรรมฐาน เราไปทำงานที่ไหน เราทำงานบนอากาศใช่ไหม เราไปทำงาน เราไปซื้อขายแลกเปลี่ยนสินค้าโดยที่เราไม่ได้สิ่งใดมาเลยใช่ไหม เราต้องจ่ายเงินไปโดยที่ไม่มีสินค้ามาเลยหรือ เราจะทำอะไรไป เราต้องมีกฎหมายรองรับ มีทุกอย่างรองรับ มันถึงจะได้มีผลบังคับใช้ตามกฎหมายนั้น
จิตถ้ามันจิตสงบ จิตสงบเข้าไปแล้ว จิตเป็นสมถกรรมฐาน จิตของเรายกขึ้นวิปัสสนา จิตดวงนั้นมันจะแก้ไขจิตดวงนั้น ถ้าจิตดวงนั้นไม่สงบ มันเป็นอาการ อาการคือสาธารณะ คือความคิด ความคิดของคนมีอิสรภาพเสรีภาพ ทุกคนมีสิทธิเสรีภาพที่จะคิดสิ่งใดก็ได้ แต่ความคิดนั้นมันคิดโดยสามัญสำนึกของมนุษย์ มันก็เป็นแค่นั้นน่ะ มันไม่เข้าสู่ใจไง
แล้วถ้าจิตมันสงบขึ้นมา ถ้าจิตมันสงบ ถ้าเห็นนิมิต เกิดมโนภาพ เกิดมโนภาพ เราก็แก้ไขสิ เราแก้ไขนะ เราพุทโธชัดๆ ก็ได้
อย่างเช่นคำถาม คำถามบอกว่า “พอหนูออกไป หนูเห็นเป็นดวงแก้ว หนูเห็นดวงแก้วมันก็จินตนาการกับดวงแก้ว กับพญามังกรนั้น แต่สักพักอยู่ๆ หนูก็นึกขึ้นมาได้ หนูนึกขึ้นมาได้เพราะหนูกลัวขึ้นมา พอนึกขึ้นปั๊บ ดวงแก้วหายหมดเลย”
“หนูนึกขึ้นมาได้” นึกขึ้นมาได้นั่นคืออะไร นั่นคือสติไง ถ้ามีสติ พอเรานึกได้ กลัวมังกรมันจะมากินดวงแก้วนั้น กลัวเราจะตาย พอกลัวตาย มีสติปั๊บ ดวงแก้วรีบเข้าร่างหนูปั๊บเลย ภาพนั้นหายหมดเลย
เวลามันออกไป มันไปเห็นนิมิตมันก็เห็นนิมิต แต่นิมิตนี้เขาเอาไว้มันเป็นวาสนาของคน มันมีนิมิตเอาไว้อย่างนั้น แล้วนิมิตเวลามันออกไปมันรู้มันเห็น แต่นิมิตมันไม่ใช่อริยสัจ นิมิตมันไม่ใช่ความจริง เราถึงไม่ส่งออกไปแบบนั้น ถ้าไม่ส่งออกไปแบบนั้น เราแก้ไขแบบนั้น
ฉะนั้นที่ว่า สิ่งที่ว่า “ครั้งหนึ่งหนูปฏิบัติธรรมนั่งภาวนา หนูเห็นดวงแก้วของหนูออกจากร่าง ขนาด ๔ นิ้ว รูปแบนกลม มีแสงเหมือนพระจันทร์จ้าออกจากร่างนี้ไป” เขาถามว่า “อันนี้เป็นวิญญาณของหนูหรือเปล่า”
ถ้าเป็นวิญญาณของหนูหรือเปล่า เวลาหนูออกไปหนูก็ตายไปแล้ว แต่หนูทำไมยังอยู่ล่ะ นี่เรายังอยู่ เรารู้เราเห็น มันเห็นนิมิตไป ไอ้ดวงแก้วๆ สิ่งที่ว่าดวงแก้ว
ทีนี้เขาว่า มีเทวดาประจำร่างกาย มีเทวดาประจำ
นั่นมันเป็นผลของวัฏฏะ เทวดามีอยู่จริง แต่ว่าจะมาประจำอย่างนั้น ประจำอย่างนี้ ไอ้นี่มันเป็นวิทยาศาสตร์แล้วนะ มันเป็นเหมือนของคงที่ตายตัว
โลกนี้เป็นอนิจจัง โลกนี้เป็นอจินไตย มันไม่มีอะไรคงที่ตายตัว ทีนี้ไม่มีอะไรคงที่ตายตัว สิ่งที่ว่าแสงออกไป มันออกรู้ออกเห็น ถ้ามันเห็นเป็นนิมิต เห็นไหม
ฉะนั้น สิ่งที่ว่ามันออกไป มันเป็นอย่างไรก็แล้วแต่ มันเป็นดวงแก้ว ดวงอะไร ดวงแก้วมีอยู่จริงหรือไม่ ทีนี้พอดวงแก้วมีอยู่จริงหรือไม่ เวลาคนภาวนา พอจิตมันสงบขึ้นมา มันเห็นเป็นดวงแก้วก็มี เห็นเป็นดวงสว่างไสวก็มี แต่คนที่ไม่เห็น ไม่เห็นสิ่งใดเลยก็มี แล้วทุกคนต้องเห็นหรือ
นี่ไง ที่บอกพระอรหันต์แต่ละองค์ก็มีปัญญาของแต่ละองค์ เพราะอำนาจวาสนาของคนไม่เหมือนกัน ความชอบ กิเลสของคนไม่เท่ากัน ฉะนั้น เวลาเกิดมรรคของบุคคลคนนั้นเป็นปัจจัตตัง เป็นสันทิฏฐิโก
เพียงแต่ว่าโดยหลัก ฐานใหญ่ สติปัฏฐาน ๔ กาย เวทนา จิต ธรรม โดยการค้นคว้าจากสติปัฏฐาน ๔ นี้ แล้วค้นคว้าสิ่งใดสิ่งหนึ่ง เอาชัดเจนสิ่งหนึ่ง แล้วทำตามความเป็นจริงอันนั้น เวลาถ้ามันจะเกิดมรรคเกิดผล มันก็เกิดปัญญา เกิดมรรคญาณ เกิดมรรค เวลาฝึกหัดมรรค ฝึกหัดปัญญา ฝึกหัดต่างๆ นั่นน่ะเวลาฝึกหัดอย่างนั้น นี่ไง สิ่งที่เป็นอริยบุคคล สิ่งที่จะเป็นมรรคเป็นผลมันเกิดจากสิ่งนั้น
แต่สิ่งที่ว่าเรานอนหลับไป แล้วอยู่ดีๆ มันก็มีดวงออกจากร่างหนูไป
นี่ขนาดนอนฝัน เวลาเห็นในฝัน เวลาถามปัญหา บางทีมาถามหลวงพ่อ หลวงพ่อก็โง่มากเลย
มาถามปัญหา “พิจารณากายอย่างนั้นๆ”
บอก “ต้องแก้อย่างนั้น”
“ไม่ได้หรอกค่ะ เพราะหนูนอนฝันไป”
โอ้โฮ! ก็ฝันไป มึงจะแก้ได้อย่างไร ก็มึงฝันไปแล้วก็มาถาม ไอ้เราก็โง่มากเลย พอมันถามปัญหาก็ตอบใหญ่เลย พอตอบเสร็จให้แก้ไข บอกว่า “หนูทำไม่ได้หรอกค่ะ เพราะหนูฝันไป”
โอ้โฮ! หลวงพ่อก็ปล่อยไก่ไป ๕ ตัว ฝันไปมันจะแก้ได้อย่างไร
นี่เขาไม่ได้ฝันไป เขานั่งสมาธินี่แหละ แล้วมันรู้ๆ อยู่นี่ว่าแก้ไข สติมันก็พร้อมอยู่นี่ มันก็แก้ไขไปได้
แต่ถ้ามันฝันไป มันเป็นความฝัน มันยังแก้ไขอะไรไม่ได้เลย แต่คนฝันไป ไปฝันนะ ฝันว่าวิปัสสนานะ ฝันว่าพิจารณา โอ้โฮ! ฝันอย่างใหญ่โตเลย ฝันว่าเป็นพระอรหันต์เลย เวลาตื่นขึ้นมากลายเป็นคนเก่านี่ แต่มันฝันไป ฝันจบแล้ว
นี่ไง ความฝันก็ยังใช้ไม่ได้ ความฝันมันเป็นการบอกอำนาจวาสนาบารมีของตัว คนเคยนอนฝันมันก็ฝันของมัน คนไม่ฝันนะ นอนให้ตายมันก็ไม่ฝัน ถ้าคนไม่เคยฝัน ไอ้คนฝันมันก็ฝันแล้วฝันอีก มันก็เป็นนิสัยของมันอีกแหละ นิสัยมันเป็นเรื่องความฝัน มันไม่ใช่ปัจจุบันไง มันไม่ใช่เรื่องสติสัมปชัญญะในปัจจุบัน นั่นก็เรื่องของฝันนะ
นี่ก็เหมือนกัน นี่เขาไม่ได้ฝันนะ หนูนั่งกรรมฐานอยู่ เพราะเวลามันกลับมาปั๊บ หนูกลับเข้ากรรมฐานเลย
ทีนี้นั่งกรรมฐานมันก็ออกได้ เวลาออกนะ ในสังคมนักปฏิบัติ หลวงตาท่านเล่าให้ฟังบ่อย มีคนคนหนึ่งเวลาจิตมันสงบแล้วมันจะเห็นดวงแก้ว แล้วมันสว่างไสว มันมีความสุขมาก แล้วมันก็ชักนำให้ไป คนที่นั่งอยู่ลุกขึ้นเดินตามไป ดวงแก้วลอยขึ้นไปเรื่อยๆ ลอยขึ้นสูงขึ้น
โยมคนนี้ ตอนนั้นเป็นพระ เขาก็ปีนต้นไม้ตามขึ้นไป คือจะเอาดวงแก้วนี้ให้ได้ เพราะขนาดเห็นมันก็ยังสุข มีความสุข โอ้โฮ! ระงับขนาดนี้ แล้วถ้าเราจับดวงแก้วนี้เป็นของเรา โอ๋ย! มันจะมีความสุขมากกว่านี้ไง ก็ตามดวงแก้วนั้นขึ้นไป ดวงแก้วก็ลอยขึ้นสูงขึ้น พระองค์นั้นก็ปีนต้นไม้ขึ้นไป ปีนต้นไม้ขึ้นไป ดวงแก้วก็ขึ้นไป
ทีนี้คงออกกำลังมาก มันก็แบบว่ามันคลายออกไง พอคลายออก ดวงแก้วก็หายแว็บเลย ลงต้นไม้ไม่ได้ ร้องเอะอะมะเทิ่ง ต้องให้คนไปช่วยเอาลงมา แล้วสุดท้ายพระองค์นี้ก็สึกไป แล้วหลวงตาท่านไปเจอ ท่านบอกว่าทิดคนนี้เมื่อก่อนที่มันเห็นดวงแก้ว
ในวงกรรมฐานเรา จริตนิสัยของคนมันแตกต่าง คนเราจะไปเจอประสบการณ์ของแต่ละคนแตกต่างกันมหาศาลเลย แต่มหาศาล ถ้ามีครูบาอาจารย์ที่จริง ท่านจะแก้ตามนั้น ไอ้นี่เขานั่งภาวนาเขาเห็นลอยเลย
อย่างเช่นหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่เสาร์เวลาท่านนั่ง ตัวท่านลอยขึ้น ท่านมีความรู้สึกว่าตัวท่านลอยขึ้น ท่านยังไม่เชื่อตัวท่านเอง ท่านก็เอาก้านไม้ขีดไปเสียบไว้บนจาก บนจากนะ แล้วกำหนดตัวให้ลอยขึ้น แล้วก็จะเอามือไปเอาไม้ขีด พอขยับมือไป สมาธิมันออก ท่านบอกว่าท่านหล่นจากที่สูงกระแทกมานี่ ก้นกระแทกปังเลย
ทีนี้ตั้งเอาใหม่ๆ เห็นไหม บัณฑิตเขาต้องแก้ไข ท่านบอกเอาใหม่ ไม้ขีดก็เสียบไว้ที่บนจากนั่นแหละ แล้วกลับมากำหนดใหม่ พุทโธๆ พอจิตมันละเอียดขึ้นมา มันก็ลอยขึ้นไป แล้วน้อมจิตไว้ อย่าให้มันออก แล้วรำพึงเอา พยายามรำพึงเอาให้พอรับรู้ได้ ให้ไม่ออกจากสมาธิไง แล้วมือนั้นก็เคลื่อนออกไป เคลื่อนออกไป นี่อยู่ในสมาธินะ ไม่ใช่ออกสมาธิ ออกจากสมาธิ เดี๋ยวมันกระแทกเลย ล้มกระแทกเลย
นี่เคลื่อนขึ้นไป แล้วไปหยิบไม้ขีดนั้น แล้วอยู่ในสมาธินะ อย่าออก คุมจิตให้ดี แล้วมันก็กลับลงมา กลับลงมาในท่านั่งสมาธิ แล้วก็กำหนดให้ลงไป แล้วออกจากสมาธิ ลืมตาขึ้นมา ไม้ขีดเว้ย ไม้ขีดจริงๆ เออ! เราลอยได้จริงๆ ว่ะ
นี่เขาพิสูจน์กันอย่างนี้ คนเขามีปัญญาเขาทำ ถ้ามันลอยขึ้นไปแล้วขยับเลย มันก็ออก แล้วพอลอยขึ้นไป เขาพิสูจน์กันอย่างนี้ ถ้าพิสูจน์อย่างนี้ นี่พิสูจน์ทางสมาธิเลย ยังไม่ได้เกิดปัญญา ยังไม่ได้ทำอะไรเลย
ฉะนั้น สิ่งที่มันออกไปมันเป็นนิมิต มโนภาพ แล้วบางคนก็เกิด บางคนก็ไม่เกิด แต่คนที่เกิดแล้ว อย่างนี้เราไม่ส่งออก เราพยายามแก้ไข ยังไม่เป็นประโยชน์กับเรา เอาวางไว้ก่อน ยังไม่เป็นประโยชน์กับเรา วางไว้ก่อน คือให้มันอยู่ข้างทางก่อน เราจะเข้าสู่สมาธิก่อน เราจะทำคุณงามความดีก่อน ถ้าเข้าสู่สมาธิแล้วพยายามใช้ปัญญาก่อน
สิ่งนี้คือจริตนิสัย คืออำนาจวาสนา คนที่มีอำนาจวาสนานะ คือสันดาน คือความชอบ มันก็อยู่กับเราตลอดไปนั่นแหละ แต่เวลาสาวก สาวกะ เวลาปฏิบัติไปแล้วถ้าสิ้นสุดแห่งทุกข์แล้วนะ แก้กิเลสได้ แต่แก้สันดานไม่ได้ พระสารีบุตร พระโมคคัลลานะท่านก็ยังมีของท่านอยู่ จริตนิสัยเดิมก็ยังมีอยู่ แต่กิเลสตัณหาความทะยานอยากของท่าน ท่านสามารถแก้ได้
คนที่แก้กิเลสด้วย แล้วชำระสันดาน ทำให้เป็นพุทธวิสัยแบบองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์เดียว พระสารีบุตรแก้กิเลสได้ ยังแก้นิสัยของตัวเองไม่ได้ สันดานแก้ไม่ได้
ฉะนั้น สิ่งที่ว่าคำว่า “สันดาน” จริตนิสัยที่มันเป็นมามันก็อยู่อย่างนั้นน่ะ ฉะนั้น ถ้าจิตเรามันจะส่งออก มันจะไปรู้นิม้งนิมิต เราพักไว้ก่อน สันดาน พยายามฝืนมัน พยายามดัดแปลงมัน เราพยายามเข้าสู่มรรคก่อน เข้าสู่สติปัญญาก่อน แล้วพยายามประพฤติปฏิบัติเข้าไปให้ได้ความจริงก่อน ไปแก้กิเลสนั้น ไปชำระล้างกิเลสนั้น
พอกิเลสนั้นหมดไปจากใจ คราวนี้สิ่งที่ว่าออกรู้ออกเห็นนี่ประโยชน์ทั้งนั้นเลย เพราะมันไม่มีอวิชชา มันไม่มีมาร มันไม่มีกิเลสแล้ว ไอ้ที่ว่าจริตนิสัยจะเป็นประโยชน์แล้ว เอตทัคคะ ๘๐ ทางไง
ฉะนั้น สิ่งที่ว่าเป็น นี่พูดเป็นคุ้งเป็นแควเลยนะ ทีแรกก็ไปถามเรื่องโสดาบันของคนอื่นใช่ไหม แล้วของเรา ขนาดเราดวงแก้วออกไปเล่นกับมังกร เรายังไม่ได้เป็นโสดาบันเลย แล้วไอ้ที่เขาบอกเขาว่าๆ ไปเชื่ออะไรเขา
ฉะนั้น สิ่งที่ออกไปมันเป็นหรือเปล่า เขาถามว่า “ที่ออกไปนี้คือวิญญาณของหนูหรือเปล่าคะ”
ไม่ใช่ ใจเรารับรู้ รับรู้ ออกนิมิต ส่งออก ส่งออกไปเห็น เกิดจากความรับรู้จากวิญญาณเราออกไปรับรู้
“เป็นวิญญาณหรือเปล่าคะ”
ถ้ามันเป็นวิญญาณหรือเปล่าคะ วิญญาณเราก็เป็นดวงแก้วอยู่อย่างนั้นสิ แล้วดวงแก้วมันลอยออกไป แล้วลอยกลับมา แล้วถ้ามังกรมันกินไปแล้วก็ตายไปเลยสิ เห็นไหม มันถึงไม่ใช่วิญญาณของเรา
เพราะเรารู้เราเห็น เพราะคนเราเวลากำหนดแล้วไปเห็นดวงกงดวงแก้วนั่นน่ะ มันเห็นนิมิตทั้งนั้นน่ะ ฉะนั้น สิ่งที่เห็นนิมิต
ถ้าเขาว่าที่เขาถ่ายรูปกันที่เป็นจุดๆๆ นะ จุดแดง จุดเขียว เขาว่าเป็นเทวดา นี่เขาว่าเป็นเทวดา
ในความเชื่อ ในความเชื่อของเขา เขาเชื่ออย่างนั้น แต่ถ้าเป็นพวกนักถ่ายภาพเขาว่ามันเป็นปฏิกิริยาของแสง ถ้าพูดทางวิทยาศาสตร์ วิทยาศาสตร์เขาเชื่อกันอย่างนั้น
แต่ถ้าเป็นกรรมฐาน เป็นครูบาอาจารย์ที่ท่านประพฤติปฏิบัติ สิ่งนี้มันรู้จำเพาะตน ถ้ามันรู้จำเพาะตน เขาเห็นได้ เทวดา อินทร์ พรหม เขาเห็นได้ทั้งนั้น เขารับรู้ได้ เทวดาก็รับรู้มนุษย์ได้ แต่นี่เวลาการสื่อสารกัน การสื่อสารกันอย่างไร
อยู่ในธรรมบทในพระไตรปิฎก ที่ว่าเศรษฐีขี้เหนียว เศรษฐีเขาขี้เหนียวมาก เขารวยมาก แต่ขี้เหนียวมาก มีลูกชายคนเดียว ฉะนั้น เวลาลูกชายป่วยขึ้นมาจะไปเอาหมอมารักษาก็กลัวหมอมาเห็นทรัพย์ของตัว จะเรียกค่ารักษาแพง ก็เอาลูกชายไปทิ้งไว้หน้าบ้าน แล้วก็จะไปเรียกหมอมารักษา
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเห็นถึงอำนาจวาสนานะ ก็บิณฑบาตผ่านมา เขาเป็นพราหมณ์ เขาขี้เหนียว เขาไม่ใส่บาตรหรอก องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าฉายแสงฉัพพรรณรังสีให้ลูกเศรษฐีเห็น พอมันเห็น โอ๋ย! มันปลื้มใจ
คนมันใกล้ตาย มันทุกข์มาก พอมันเห็นแสง มันแสงอะไร พอหันไปเห็นแสงขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มันปลื้มใจ มันมีบุญมากไง ตายจากตรงนั้นไปเกิดเป็นเทวดา พอเกิดเป็นเทวดาปั๊บ ก็ตายใช่ไหม ตายจากนั่นไปเกิดเป็นเทวดา
เศรษฐี ลูกชายตายก็เสียใจมาก อู้ฮู! หาทรัพย์สมบัติมามหาศาล เป็นเศรษฐีเลย แล้วมีลูกอยู่คนเดียว ลูกตายไป แล้วตอนนี้สมบัติจะไปให้ใครล่ะ คร่ำครวญแล้วคร่ำครวญอีกนะ เอาลูกไปฝังไว้ ทุกวันก็ไปนั่งเฝ้าหลุมศพ ร้องไห้คิดถึงลูกๆ
ไอ้ลูกชายไปเกิดเป็นเทวดา มองเห็นพ่อร้องไห้ทุกวันเลย สุดท้ายแล้วก็แปลงร่างมาก่อน มาเป็นมนุษย์มานั่งร้องไห้ที่หลุมฝังศพ วันนั้นพอเศรษฐีจะไปร้องไห้ จะไปร้องไห้ที่หลุมฝังศพ คิดถึงลูก ก็ไปเห็นใครมาร้องไห้อยู่นี่ เอ๊! ใครมาตัดหน้าร้องไห้แทนเราวะ มาร้องไห้อยู่ที่หลุมฝังศพ ก็ถามว่า นี่ในธรรมบทนะ “เฮ้ย! เอ็งเป็นใคร เอ็งมาร้องไห้ทำไม”
“อู๋ย! ร้องไห้อยากได้ดาวอยากได้เดือน” ร้องไห้ใหญ่เลย อยากได้ดาวอยากได้เดือน
เศรษฐีก็บอกว่า “มึงจะบ้าหรือ ดาวเดือนมันจะเอาได้อย่างไรล่ะ”
ไอ้เทวดาที่เป็นลูกชายย้อนกลับเลย “แล้วเอ็งก็จะบ้าหรือ มาร้องไห้หาคนตาย คนตายจะฟื้นได้อย่างไรล่ะ”
ได้สติเลย เห็นไหม
นี่บอกว่าเทวดาไม่มี เทวดาที่มีเขาจะแปลงกายลงมา อันนี้อยู่ในธรรมบทนะ จะมาโทษพระสงบไม่ได้ เดี๋ยวหาว่าพระสงบโกหก
เทวดามีหรือไม่มี แล้วเทวดามีจริงหรือไม่มีจริง
แล้วที่จุดๆๆ ที่เขาว่ากันเพราะอะไร เพราะมีคนมีความเห็นต่าง ฝ่ายหนึ่งที่เขาเชื่อของเขา เขามีศรัทธาของเขา เขาว่าเขาถ่ายของเขาได้ เขาว่านั่นเป็นเทวดา ไอ้ทางวิทยาศาสตร์ก็บอกว่ามันเป็นเรื่องของแสง มันเป็นเรื่องของวัตถุ มันเป็นเรื่องของมุมกล้อง
แล้วเราจะเอาจุดๆ นั้นมาทะเลาะกันใช่ไหม ไอ้เชื่อว่าเทวดาก็ถือข้างหนึ่ง ไอ้เชื่อถือทางวิทยาศาสตร์ก็ถือข้างหนึ่ง แล้วเราก็มาทะเลาะกันว่ามีเทวดาหรือไม่มีเทวดา มีเทวดาหรือไม่มีเทวดายังไม่รู้เลย แต่คนมันทะเลาะกันแล้ว
นี่ก็เหมือนกัน เขาบอกว่าไอ้จุดๆ นั้นเป็นเทวดาหรือเปล่า ถ้าเขาเป็นเทวดานะ ของหนูมันเป็นดวงตั้ง ๔ นิ้ว มันใหญ่กว่าเขา มันก็คงจะเป็นคนหยาบ
อันนี้เพราะเราฟังมาแล้วเราก็เชื่อ ศรัทธาความเชื่อนะ แต่เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกกาลามสูตรไง ความเชื่อแก้กิเลสไม่ได้ ความเชื่อทำให้เรามีเชาวน์มีปัญญา ถ้าเราค้นคว้านะ แต่ถ้าจะประพฤติปฏิบัติมันต้องใช้ปัญญา
เขาบอกว่า “วิญญาณของหนูหยาบหรือเปล่ามันถึงได้กว้างอย่างนั้น มันใหญ่โตอย่างนั้น”
อันนี้มันเป็นนิมิตอันหนึ่ง คำว่า “นิมิต” เรายังให้ค่าอยู่สำหรับนักปฏิบัติ ถ้านักปฏิบัตินะ ถ้าจิตมันเป็นไปได้มันจะไปรู้ไปเห็น ถ้าจิตมันสงบได้ มันวัดถึงว่าจิตของเรามันไม่เป็นปกติ คือมันดีขึ้น มันดีขึ้นกว่านั้น แต่ถ้าจิตของคนมันหลงใหลไป มันจะเห็นอย่างนั้น ถ้าเห็นนิมิต ถ้าเห็นนิมิตสิ่งที่ดี
ไอ้คนที่เสพยาบ้ามันเสพยาบ้าจนมันหลอน เสพยาบ้าจนมันหลอน มันเห็นนิมิตตลอดเลย เห็นคนถือมีดจะเข้ามาฆ่า มันเป็นนิมิตไหม นั่นนิมิตของคนเสพยาบ้า เสพยาบ้ามันระแวงไปหมดเลย มันกลัวคนมาทำร้ายมันตลอดเลย นั่นอะไรล่ะ นั่นคนขาดสติ
แล้วเราเป็นนักปฏิบัติ เห็นนิมิต เราก็มีสติใช่ไหม เรารับรู้ได้ ถ้าใครรู้ใครเห็นนะ เราวางได้ เราไม่ใช่เสพยาบ้า
คนเสพยาบ้ามันกลัวนะ มันกลัวคนจะไปทำร้ายมัน มันกลัวคนที่จะไปรังแกมัน มันกลัวจนมันต้องไปฆ่าคนอื่นก่อน มันกลัวจนมันต้องทำลายคนอื่นก่อนที่จะไปทำร้ายมันน่ะ
ถ้าของเราก็เหมือนกัน ถ้ามันเห็นนิมิต มันส่งออกไปให้กิเลสมันทำร้ายเราใช่ไหม เราจะทำคุณงามความดี เราจะสร้างของเรา มันจริตนิสัยเป็นอย่างนี้ ถ้ามันรู้มันเห็นก็วางไว้ๆๆ แล้วพยายามทำความสงบของใจเข้ามา ถ้าใจสงบเข้ามาแล้ว ถ้ามันฝึกหัดใช้ปัญญา สติปัฏฐาน ๔ หัดวิปัสสนาแล้วมันจะดีขึ้น
มันพูดแบบว่าผู้ใหญ่กับผู้ใหญ่พูดกันง่าย เหมือนวิชาชีพเดียวกันพูดกันจะง่ายมาก แต่คนละวิชาชีพคุยกันไม่ค่อยรู้เรื่อง นี่ก็เหมือนกัน คนที่เคยภาวนาแล้วเขาเคยผ่านอย่างนี้มา พูดอย่างนี้เขาก็เข้าใจ
แต่คนถามก็บอกว่า “เอ๊ะ! ก็ถามหลวงพ่อ หลวงพ่อตอบให้หนูเข้าใจสิ หลวงพ่อตอบไปไหนมา สามวาสองศอก ยิ่งถามยิ่งงง” คนถามก็เลยงงใหญ่เลย
ไม่ ที่อธิบายนี้อธิบายให้เป็นภาพกว้าง เพราะการรู้การเห็นของคนมันมีการรู้การเห็นของคนเป็นจำเพาะ คนที่เขาไม่รู้ไม่เห็น แต่เขาทำความสงบของใจก็ได้ มันเป็นเฉพาะกลุ่ม เฉพาะส่วนของจิต จิตเฉพาะกลุ่มนี้มันจะเป็นอย่างนี้ จิตเฉพาะๆ อย่างนั้น แล้วจิตเฉพาะเวลาเข้าไปสังคมใดๆ เขาก็ชักนำไปอีกนะ
แต่ของเรา เราประพฤติปฏิบัติกันในวงกรรมฐาน ที่บอกว่า พระอรหันต์ ๑๐๐ องค์ก็ ๑๐๐ อย่าง จริตนิสัยของคนมันไม่เหมือนกัน เวลาเราทำไป เราก็ต้องย้อนกลับมาที่จริตนิสัยของเรา ถ้าเรากำหนดแล้วมันเป็นอย่างนั้น เราก็วางไว้ คราวนี้เห็นอย่างนี้ เห็นเป็นดวงแก้วออกไป พญามังกรมาเล่นด้วย โอ๋ย! มันมีความสุข
มีความสุขเพราะจิตมันสงบแล้วมันรู้มันเห็นอย่างนั้น มันก็มีความเบา ความแปลกประหลาดมหัศจรรย์ แต่สิ่งที่รู้ที่เห็นมันจะทำให้เราติดอยู่ที่นี่ คือติดอยู่ที่นี่ ถ้าเราติดอยู่ที่นี่ เราคิดว่าสิ่งนี้เป็นความจริง ต่อไปจะให้เป็นนิมิตมันจะไม่เป็นมังกรแล้ว มันจะเป็นไส้เดือน ถ้าเห็นรอบใหม่มันจะเป็นไส้เดือนแล้วนะ มันไม่เป็นมังกร
อ้าว! แล้วคราวนี้ทำไมมันเป็นไส้เดือนล่ะ
ก็มันเห็นคนละรอบไง มันก็เป็นไส้เดือน ถ้าเห็นอีกทีหนึ่ง เดี๋ยวมันเป็นอย่างอื่นไปเรื่อยๆ แล้วเราก็ยิ่งเป็นภาระ มันเป็นภาระกังวล มันยิ่งเป็นความทุกข์ มันไปใหญ่เลย เห็นไหม
วางให้หมด เห็นครั้งใดก็เป็นปัจจุบันในครั้งนั้น แล้วถ้ามันวางได้ก็วางซะ กลับมาที่ความสงบของใจ เพราะในการประพฤติปฏิบัติ หลวงปู่มั่นท่านสอน อย่าทิ้งผู้รู้ อย่าทิ้งพุทโธ
ถ้ากลับไปที่ผู้รู้ กลับไปที่พุทโธๆๆ อย่าทิ้งผู้รู้ อย่าทิ้งพุทโธ จะไม่เสีย เราไม่ทิ้งผู้รู้ เราไม่ทิ้งพุทโธ
นี่เราทิ้ง เราพุทโธๆ พอจิตมันสงบแล้วมันส่งออก มันทิ้งแล้ว ทิ้งออกไปเห็นดวงที่ออกไปจากร่างเรา ทิ้งไปเห็นมังกรนั่น เห็นไปเล่นกัน ทิ้งผู้รู้ ทิ้งบ้านทิ้งเรือนไปอยู่ที่ภาพนั้น ถ้าเราพุทโธๆ มันกลับมาที่บ้านที่เรือนเรา
อย่าทิ้งผู้รู้ อย่าทิ้งพุทโธจะไม่เสีย อย่าทิ้งเรา
ไอ้ที่เห็นนั้นมันเป็นอาการ มันเป็นอาการเท่านั้น มันเป็นเหมือนเครื่องล่อ ล่อให้เราออก เราจะทำคุณงามความดี มันล่อให้ออกไปข้างนอก มันล่อให้ออกไปเคว้งคว้างอยู่นั่นน่ะ ถ้าพุทโธต่อเนื่องๆ จิตสงบมากๆ ขึ้นไป จิตมันมีหลักมีเกณฑ์ขึ้นไป แล้วยกขึ้นวิปัสสนา
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนอย่างนี้ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนถึงวิปัสสนาญาณ ปัญญาที่รู้แจ้ง รู้แจ้งในความลังเลสงสัยของเรา รู้แจ้งในสิ่งที่เราเห็นมังกร เห็นดวงนั่นน่ะ พอมันรู้แจ้ง อ๋อ! ทีแรกไม่น่าโง่อย่างนั้นเลย
แต่ถ้าไม่อ๋อ! มันจะโง่อย่างนี้ แล้วโง่มากขึ้น แล้วโง่ออกไป แล้วไม่กลับไปสู่ความจริง ถ้ากลับไปสู่ความจริง อ๋อ! ไม่น่าโง่ตามมันไปเลย ไม่น่าโง่ไปอย่างนั้นเลย ถ้าเห็นตอนนั้นจะรู้จริง แล้วจะเป็นประโยชน์กับเรา เห็นไหม ไม่ทิ้งผู้รู้ ไม่ทิ้งพุทโธ จะเป็นนักปฏิบัติโดยความเป็นจริง เอวัง