เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๒๙ พ.ย. ๒๕๕๗

 

เทศน์เช้า วันที่ ๒๙ พฤศจิกายน ๒๕๕๗
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

พ่อแม่ผู้สร้าง ผู้สร้างและผู้ทำลาย พ่อแม่เป็นผู้สร้าง สร้างให้เกิดขึ้นมา เห็นไหม กรรมดีกรรมชั่ว กรรมคือการกระทำ กรรมดี สิ่งที่กรรมดี ผู้สร้าง ผู้สร้างคือผู้สร้างสิ่งที่ดีงามขึ้นมา แล้วกรรม การกระทำเหมือนกัน นี่กรรม กรรมชั่วๆ กรรมที่ทำลาย มันทำลายทั้งหมดแหละ ในสังคมมันมีผู้สร้างและผู้ทำลาย ถ้าผู้สร้าง ผู้ที่มีอำนาจวาสนาบารมี

ผู้สร้าง เราก็เป็นผู้สร้าง เราก็โดนสร้างมาเหมือนกัน เพราะเรามีพ่อมีแม่เหมือนกัน พ่อแม่สร้างเรามา พ่อแม่เป็นพระอรหันต์ของลูก เวลาเขาเตือนกันๆ อย่าลืมพระในบ้าน อย่าลืมพระในบ้าน พระในบ้านมีบุญคุณกับเรานะ ถ้าไม่มีพระในบ้านเราจะไม่มีชีวิตนี้มาได้ แล้วชีวิตนี้มาได้ แล้วเรามีได้ สิ่งใดมันเป็นประโยชน์หรือไม่เป็นประโยชน์ล่ะ

ถ้ามีธรรมะๆ ฟังธรรมๆ เพื่อเหตุนี้ไง ฟังธรรมเพื่อเตือนเรา เวลาครูบาอาจารย์ท่านพูดถึงหลวงปู่มั่นที่เทศน์ที่วัดเจดีย์หลวง ท่านพูดเรื่องใกล้ๆ ตัวเรานี่แหละ ท่านพูดเรื่องชีวิตประจำวันเรานี่แหละ ท่านพูดเรื่องความรู้สึกเรานี่แหละ แต่มันอยู่กับเรา คุ้นเคยกับเราจนเราไม่เห็นมันไง

ถ้าไม่เห็นมัน กิเลสตัณหาความทะยานอยาก พญามารๆ ผู้ทำลาย ทำลายโอกาสของเรานะ มันทำลายได้อย่างไร เกิดมาเป็นคนดีทั้งนั้นแหละ เกิดมาทำสิ่งใดประสบความสำเร็จ เป็นคนดีทั้งนั้นเลย คนดีมันก็ดีแค่โลกๆ ไง ถ้าดีโลกๆ ถ้าครูบาอาจารย์ที่ท่านมีหูมีตาท่านเสียดายชีวิต ถ้าชีวิตท่านสละออกมา ท่านสละออกมา ประพฤติปฏิบัติขึ้นมา อริยทรัพย์ สัจจะความจริงในใจ นี่มันเสียตรงนี้ไปไง ถ้ามันเสียตรงนี้ไป แล้วเวลาทางโลกเขามองกลับมาล่ะ

ถ้ามองกลับมา พระที่บวชมาบวชพระกันอยู่นี้เขาว่าไม่สู้สังคม คนไม่จริง ถ้าคนจริงต้องอยู่กับสังคมสิ ต้องเผชิญกับความจริงอันนั้นสิ...ความจริงอย่างนั้นเป็นความจริงทางโลกไง เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแบ่งอำนาจวาสนาไว้ บัว ๔ เหล่า ถ้าบัว ๔ เหล่ามันอยู่ใต้น้ำก็เป็นอาหารของเต่าของปลาเท่านั้นแหละ

นี่เหมือนกัน ชีวิตของเรา เราก็ว่าเราทำคุณงามความดี ทำคุณงามความดี ความดีของเรา เห็นไหม ศาสนาแรกของโลกคือศาสนาถือผี เพราะมันยังไม่มีศาสดา ยังไม่มีศาสนาขึ้นมา จิตมันว้าเหว่อยู่แล้ว มันก็หาที่พึ่งของมัน ทีนี้จิตวิญญาณๆ ก็เชื่อเรื่องจิตวิญญาณ เพราะเรามีจิตวิญญาณ เราก็รับรู้จิตวิญญาณ ศาสนาแรกนี้ศาสนาของโลก ศาสนาแรกของโลกคือศาสนาถือผี ถือจิตวิญญาณนั่นน่ะ

แต่เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมาแล้วนะ เธอไม่ต้องตกใจ ไม่ต้องกราบไหว้ภูเขา ไม่ต้องกราบไหว้ไฟ ไม่ต้องกราบไหว้สิ่งใดเลย

สิ่งที่ว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเวลาเราคิดถึงของเรา เราคิดถึงพระในบ้านของเรา เราคิดถึงปู่ย่าตายายของเรา อย่าเสียใจ ไม่ต้องเสียใจ ไม่ต้องคร่ำครวญ ทำคุณงามความดีแล้วอุทิศส่วนกุศล กุศลคืออะไร? กุศลก็คือความสุขใจ คือความเข้าใจของเราไง

ดูสิ พ่อแม่ที่ตายไปแล้วถ้าเป็นเทวดา เป็นอินทร์ เป็นพรหมเขามองลงมา ลูกหลานของเขาเป็นอย่างไร ลูกหลานของเขาเป็นคนดี ลูกหลานเขาทำสิ่งใดประสบความสำเร็จ ลูกหลานเขาดีเขาก็ปลื้มใจ ทำคุณงามความดีๆ แล้วอุทิศส่วนกุศลนี้ให้ อุทิศความดีของเรา แล้วทำความดีของเรา ใครทำความดีถึงที่สุดในหัวใจ ในหัวใจมันผ่องแผ้ว อุทิศส่วนกุศลที่นี่ไง เวลาเราบอกเราอยากอุทิศส่วนกุศลบุญกุศลให้กับญาติของเราให้ได้มีความสุข แล้วทำอย่างไรล่ะ ทุกคนก็ถามว่าจะทำอย่างไร ทำอย่างไรให้ได้บุญเยอะๆ ทำอย่างไร

เราก็เสียสละกัน เสียสละ เวลาพระให้พรเราก็ระลึกถึง ระลึกถึง เราอุทิศส่วนกุศลอันนั้นไป แล้วจะได้มากได้น้อย เขาบอกว่าเวลาต้องนั่งภาวนา จิตสงบยิ่งดีเข้าไปใหญ่ แต่ถ้าครูบาอาจารย์ถ้าจิตของท่านเป็นธรรมๆ นั่นยิ่งได้บุญกุศลมหาศาล คำว่า “บุญกุศลมหาศาล” เราแสวงหาสิ่งนี้กัน แสวงหาสิ่งนี้กันไง ฉะนั้น เราก็ทำหัวใจของเรา ถ้าเราทำหัวใจของเราให้เป็นจริงขึ้นมา

ผู้สร้าง-ผู้ทำลาย เวลาผู้สร้างเขาสร้างสิ่งดีงามมากับโลก สร้างมาดีทั้งนั้นแหละ ไอ้ผู้ทำลาย ทำลายทั้งนั้นแหละ เห็นแก่ตัว ตักตวงไปทั้งนั้นแหละ ไอ้นั่นผู้สร้างผู้ทำลายข้างนอกนะ มันมีประจำโลก นี่ธรรมะเก่าแก่ ธรรมะเก่าแก่มันอยู่ในหัวใจของสัตว์โลก

มนุษย์เป็นสัตว์สังคม เราจะอยู่ด้วยตัวคนเดียวไม่ได้ เราอยู่ด้วยตัวคนเดียวไม่ได้หรอก เว้นไว้แต่พระอยู่ได้ พระวิเวกไปคนเดียว พระอยู่ตัวคนเดียว แต่สังคมอยู่ด้วยตัวคนเดียวไม่ได้ ต้องพึ่งพาอาศัยกัน ถ้าพึ่งพาอาศัยกันนะ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพูดไว้เป็นธรรมะ มนุษย์โง่กว่าสัตว์ สัตว์มันยังมีอิสรภาพของมัน ดูนกดูกาสิ มันบินไปมีอิสรภาพ มนุษย์เกิดมาแล้วต้องมีกติกาสังคม เราเขียนกติกาขึ้นมาแล้วก็ละตัวเราเองไว้ เราเขียนไว้เอง กฎหมายนี้มนุษย์เขียนขึ้นมา แล้วมันก็รอนสิทธิ์ของพวกเราเองเพื่อให้สังคมมันอยู่ร่มเย็นเป็นสุขไง นี่มนุษย์โง่กว่าสัตว์

สัตว์มันมีอิสรภาพของมัน มันมีเสรีภาพของมัน มันปรารถนาจะบินไปไหนมันก็บินไปของมัน มันไม่มีกฎกติกาของมัน แม้แต่กฎของธรรมชาติที่มันต้องยอมจำนนกับกฎของธรรมชาติ

มนุษย์โง่กว่าสัตว์ แล้วมนุษย์จะฉลาดกว่าสัตว์อย่างไรล่ะ ฉลาดที่ไหนล่ะ ฉลาดต้องมีศีลมีธรรม คำว่า “มีศีลมีธรรม” มันฉลาด มันดีกว่าสัตว์ตรงไหน สัตว์มันเหมือนมนุษย์หมดล่ะ มันมีชีวิต มันมีอาหาร มันมีการสืบพันธุ์ มันมีหมดล่ะ มนุษย์ก็มีเหมือนมันนี่แหละ แต่มนุษย์ต่างกับมันเพราะมนุษย์มีศีลธรรมไง มนุษย์มีหัวใจที่สูงส่งไง มนุสสเทโว มนุษย์ที่หัวใจเป็นเทวดา มนุสสติรัจฉาโน ผู้ทำลาย มนุษย์เปรต มนุสสเปโต มนุษย์ทั้งนั้นแหละ แต่ใจมันเป็น ใจมันเป็น เวลาใจมันเป็น มันเป็นขึ้นมาแล้วมันแสดงออกของมันไปเพราะใจมันเป็น แต่ใจของเรา ใจของเรา เรารักษาใจของเราไว้

นี่ผู้สร้าง-ผู้ทำลายจากภายนอก เห็นไหม ผู้สร้าง-ผู้ทำลายในหัวใจของเรา คุณงามความดี บุญกุศลเป็นผู้สร้าง สร้างอะไร? สร้างบุญกุศลในหัวใจของเรา เวลาถ้ามันออกจากร่างนี้ไป ใครจะเชื่อหรือไม่เชื่อมันตายทั้งนั้นแหละ คนเกิดมาตายหมด เวลาตายไปแล้ว จิตนี้ออกจากร่างนี้ไป ถ้าผู้สร้างมันสร้างคุณงามความดีขึ้นมามันก็ลอยสูงขึ้นไปนะ ผู้ทำลาย ทำลายเขาไว้ทั้งนั้นแหละ แล้วใครเป็นคนทำล่ะ จิตนี้เป็นคนทำ ความลับไม่มีในโลก มันรู้ของมัน

เวลาทางโลกมีสิ่งใดเขาก็เก็บไว้ใต้พรม นั่งทับไว้ ทำความชั่วแล้วนั่งทับมันไว้ แล้วเวลาตายไปใครไปนั่งทับมันล่ะ มันอยู่ในใจ มันไปตามนั้นน่ะ เวลาจิตออกจากร่าง ถ้าทำคุณงามความดีมันสูงส่ง มันเบามันก็ลอยขึ้นสูง แต่จิตใจที่มันมีแต่ความโลภ ความโกรธ ความหลงมันกดทับในหัวใจ จิตใจมันหนักหน่วง เวลามันออกจากร่างนี้ไปมันก็ไปตามกำลังของมัน นี่ไง กฎแห่งกรรมไง นี่ไง ที่ว่าพูดถึงทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่วไง

กฎแห่งกรรม เราบอกเรามีแต่กรรมชั่วมา มีแต่ความทุกข์ความยากทั้งนั้นแหละ ความทุกข์ความยากเพราะเราไปแบกรับมัน มันก็ความทุกข์ความยาก มันจะทุกข์ยากไปที่ไหนล่ะ โยมต้องทำมาหากินใช่ไหม เวลาพระ ดูสิ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังบิณฑบาต องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังจะต้องมีปัจจัยเครื่องอาศัย องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นศาสดานะ มันก็ต้องมีปัจจัย ๔ เหมือนกัน มันจะทุกข์ยากตรงไหนล่ะ มันก็หาอยู่หากินเหมือนกัน

พระเราเสียสละทางโลกมาแล้ว เลี้ยงชีพด้วยปลีแข้ง เช้าออกบิณฑบาตเป็นวัตร บิณฑบาต ถ้าวันไหนอดอาหาร ไม่ฉัน ก็ไม่ต้องบิณฯ แต่วันไหนจะฉันเราก็ต้องบิณฑบาต เห็นไหม การบิณฑบาตบังคับไว้เลย บังคับไว้

เวลาออกบิณฑบาตเราไปเห็นครอบครัวไหนเขามีความสุขความร่มเย็น เราเห็นแล้วเราก็ชื่นใจ ครอบครัวไหนเขามีความกระทบกระเทือนกัน เขาทะเลาะเบาะแว้ง นี่เทศน์กัณฑ์หนึ่ง ออกไปบิณฑบาตนี่เทศน์กัณฑ์หนึ่ง

ดูสิ เวลาสัตว์นักล่า เวลามันจะหาอาหารของมันแต่ละมื้อนะ ถ้ามันล่าประสบความสำเร็จ วันนั้นมันก็อิ่มท้องมัน ถ้าวันไหนมันล่าไม่ได้มันก็ต้องหิวกระหายของมันไป สัตว์กินพืช สัตว์กินพืชมันก็เล็มหญ้าของมันไป มันกินแต่ใบไม้ของมันไป นี่สัตว์กินพืช แล้วเวลามันแห้งแล้งขึ้นมามันจะไปกินอะไรล่ะ นี่มันเป็นผลของวัฏฏะ

นี่ก็เหมือนกัน เราเป็นมนุษย์ เราเป็นผู้ฉลาด แต่ก่อนกสิกรรม เดี๋ยวนี้เป็นอุตสาหกรรม เราแสวงหาปัจจัยเครื่องอาศัยของเรา มนุษย์ฉลาดขึ้น รู้จักถนอมอาหารขึ้น การดำรงอยู่ สุขภาพชีวิตดีขึ้น

พระเรา พระเราเลี้ยงชีพด้วยปลีแข้ง แข้งมันกินได้อย่างไร ปลีแข้งมันกินได้อย่างไร แม้แต่เนื้อ ๑๐ อย่าง ภิกษุห้ามฉัน เนื้อ ๑๐ อย่าง พระพุทธเจ้าห้ามไว้ แล้วเนื้อที่สะอาดบริสุทธิ์ แล้วเนื้อที่เป็นอาบัติ เนื้อที่เป็นโทษ เนื้อที่บริสุทธิ์ มีเนื้อที่บริสุทธิ์ด้วยหรือ

เนื้อที่บริสุทธิ์ ไม่ได้ยิน ไม่ได้ฟัง ไม่ได้เห็น ไม่ได้รู้ว่าเขาทำเพื่อเรา ถ้าเนื้อเจาะจง เนื้อเจาะจงนั้นฉันไม่ได้ อาบัติปาจิตตีย์ทุกคำกลืน แล้วแข้ง ปลีแข้งมันก็เนื้อ กินได้หรือ เลี้ยงชีพด้วยปลีแข้งจะเลี้ยงด้วยเนื้อนี้หรือ...ไม่ใช่

เลี้ยงชีพด้วยปลีแข้ง เราขวนขวายภิกขาจาร ออกบิณฑบาตเป็นวัตร ด้วยศรัทธาความเชื่อ บริษัท ๔ เขาอยากแสวงหาบุญกุศลของเขา เช้าขึ้นมาเขาได้หุงหาอาหารของเขา เขาตักข้าวปากหม้อของเขาเพื่อทำบุญกุศลของเขา ด้วยเจตนา ด้วยความปรารถนาเขาอยากได้บุญกุศล อาหารการกินของเขา เขาทุกข์ยากของเขา เขาหาอยู่หากินของเขา เขาทำเพื่อปากท้องของเขา แต่ด้วยใจที่เป็นศีลเป็นธรรมของเขา เขาอยากเสียสละ เขาอยากเจือจาน

ภิกษุผู้ไม่มีอาชีพ ภิกษุผู้พยายามค้นคว้าหาสัจจะความจริงในหัวใจของตัว อาศัยชีวิตไว้กับข้าวปากหม้อของเขา บิณฑบาตด้วยปลีแข้ง บิณฑบาตเพื่อดำรงชีพ เพื่อเลี้ยงชีพของเรา เลี้ยงชีพมาทำไม

ผู้สร้าง-ผู้ทำลาย ผู้สร้าง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นผู้สร้างที่ยิ่งใหญ่ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นผู้วางธรรมวินัยนี้ไว้ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าฝากศาสนาไว้กับบริษัท ๔ ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา อุบาสก-อุบาสิกาเขาแสวงหาเพื่อปัจจัยเครื่องอาศัยของเขา แล้วเขาอยากได้บุญกุศลของเขา เพื่อบุญกุศล เพื่อหัวใจที่ร่มเย็นเป็นสุข

ถ้าหัวใจที่มันร่มเย็นเป็นสุข ทำสิ่งใดมันก็มีความร่มเย็นเป็นสุข เห็นไหม หัวใจที่มันทุกข์มันยาก ทำสิ่งใดก็ประสบความสำเร็จ ทำสิ่งใดทรัพย์สมบัติเต็มบ้าน มันก็มีแต่ความทุกข์ สิ่งที่ปัจจัยเครื่องอาศัยมันเลี้ยงร่างกาย เลี้ยงปากเลี้ยงท้อง สิ่งที่เลี้ยงหัวใจนี้มันคือคุณธรรมใช่ไหม มนุษย์ต่างจากสัตว์เพราะมีศีลมีธรรมนี่ไง ถ้ามนุษย์ต่างจากสัตว์ที่มีศีลมีธรรม เขามีศีลมีธรรมในใจของเขา เขาอยากสร้างบุญกุศลของเขา

เขาอยากสร้าง ไม่มีภิกษุเลี้ยงชีพด้วยปลีแข้ง ไม่มีแข้งที่นำภิกษุนั้นไปเขาก็ไม่ได้ทำ เห็นไหม องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าวางธรรมวินัย เพราะมีภิกษุเขาจึงได้มีโอกาสได้เสียสละของเขา ถ้าไม่มีภิกษุผู้รับ ปฏิคาหก เป็นผู้รับ ไม่มีผู้รับ ส่งไปรษณีย์ไปไม่มีคนรับ แล้วไปรษณีย์มันตีกลับ ส่งไปรษณีย์ไปแล้วไม่มีผู้รับ แล้วก็บอกว่าพระเป็นบุรุษไปรษณีย์...ไม่ใช่ พระไม่ใช่บุรุษไปรษณีย์

พระนี้เป็นภิกษุผู้เห็นภัยในวัฏสงสาร สิ่งที่เป็นกฎของมันคือกฎแห่งกรรม กรรมอันนั้นต่างหากล่ะ ไปรษณีย์คือการกระทำ คือสิ่งที่เรามีความเสียสละ ไอ้นั่นล่ะเหตุ พระไม่ใช่ไปรษณีย์ พระเป็นปฏิคาหก ผู้รับ แล้วรับแล้วเป็นประโยชน์หรือไม่เป็นประโยชน์ แต่ถ้ามีพระแล้วเขาถึงได้มีโอกาสทำไง แต่ถ้าไม่มีพระ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ขึ้นมามีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากับพระธรรม

เวลาแสดงธัมมจักฯ ไป สงฆ์องค์แรกของโลก พระอัญญาโกณฑัญญะเป็นสงฆ์องค์แรกของโลก เพราะมีสงฆ์ อริยสงฆ์ เพราะมีสงฆ์ขึ้นมา สงฆ์นั้นถึงเป็นเนื้อนาบุญไง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ารื้อสัตว์ขนสัตว์ได้สิ่งนั้นมา ภิกษุทั้งหลาย เธอกับเราพ้นจากบ่วงที่เป็นโลกและเป็นทิพย์ เธออย่าไปซ้อนทางกัน โลกเขาเร่าร้อนนัก โลกเขาอยากมีภิกษุ มีผู้รับ โลกเขาอยากจะมีสถานที่ของเขา เขาได้เสียสละเจือจานของเขา ถ้าไม่มี เขามี แต่เขาเสียสละกับใครล่ะ

นี่ถ้ามีศาสนาไง ถ้ามีศาสนา ผู้สร้างและผู้ทำลาย ถ้าผู้สร้าง สร้างสิ่งที่ดีงามขึ้นมา พระที่ดีก็สร้างสิ่งที่ดีงามขึ้นมา แล้วเวลาเขาเห็นว่าศาสนา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเผยแผ่ธรรม ลัทธิต่างๆ เขาก็ตระหนี่ถี่เหนียวของเขา เขากีดขวางของเขา แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสร้างสมบุญญาธิการมา เผยแผ่ธรรมไปมันเจริญรุ่งเรืองขึ้นมา เห็นไหม ผู้ทำลาย เห็นลาภสักการะก็มาบวชในศาสนาไง มาบวชในศาสนา พระจริง พระปลอม พระอะไรเยอะแยะไปหมดเลย ไอ้นี่ปลอมด้วยการบวชนะ

แต่ถ้าผู้สร้าง-ผู้ทำลายในหัวใจ เราบวชจริงๆ นี่แหละ เราบวชเป็นพระจริงๆ แล้วเราพยายามสร้างสมขึ้นมา ผู้สร้าง สร้างคุณงามความดีในหัวใจของเรา มันมีหิริมีโอตตัปปะ มันมีความละอาย มันรู้ถูกรู้ผิด มันทำไม่ลงหรอก แต่ผู้ที่มีเป้าหมายมันไม่มีหิริมีโอตตัปปะ มันเห็นว่าสิ่งนั้น “อ้าว! ก็บวชเป็นพระ เขาก็ทำบุญกับเรา สิทธิของเรา สิทธิ”

เอ็งไปเซ็นสัญญากับเขาตั้งแต่เมื่อไหร่ สิทธิ์ตั้งแต่ตรงไหนล่ะ มันเกิดขึ้นเพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าวางธรรมและวินัย แล้วเขาเชื่อธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เขาไม่เชื่อเราหรอก ถ้าไม่มีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าวางธรรมวินัยนี้ไว้ ศาสนามันจะเคลื่อนไปอย่างไร ใครจะคุ้มครองดูแลศาสนาล่ะ

ศาสนาคือสัจธรรม ศาสนาคือสัจธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วคำสั่งสอนนั้นเป็นทฤษฎี ครูบาอาจารย์ของเราท่านพยายามประพฤติปฏิบัติให้เข้าถึงธรรมนั้น ถ้าเข้าถึงธรรมนั้น ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นตถาคต เห็นเจตนา เห็นเป้าหมาย เห็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าต้องการสิ่งใด แล้วสิ่งที่เราทำกันเป็นอุบาย การทำทาน การรักษาศีล การประพฤติปฏิบัติเป็นอุบายเท่านั้นแหละ อุบายเข้าสู่เป้าหมายนั้น เราพยายามทำใจของเราให้เข้าสู่เป้าหมายนั้น เห็นไหม ผู้สร้างๆ ศีลธรรมเป็นผู้สร้าง สร้างใจของเรา สร้างหัวใจของเราให้มีคุณธรรม สร้างคุณงามความดี แล้วคุณงามความดีมันสร้างมาจากไหนล่ะ? ก็มาจากมือจากเท้าแหละ มือเราก็ทำเอา พระเดินจงกรม ก็เท้านี่แหละเดินกลับไปกลับมา ผู้สร้าง สร้างขึ้นมาจากมือของเราเท้าของเรา สร้างคุณงามความดี

เดินจงกรม นั่งสมาธิเพื่ออะไร? เพื่อความสุขสงบ เพื่อความระงับ เพื่อความจริง แล้วเวลามันรู้ธรรมขึ้นมาแล้วนะ พระสารีบุตรไม่เชื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เวลาร่ำลือกันไป พระไปฟ้ององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่าพระสารีบุตรไม่เชื่อ

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถามพระสารีบุตร เรียกพระสารีบุตรมา “สารีบุตรเธอไม่เชื่อเราหรือ”

“โอ๋ย! เมื่อก่อนเชื่อ เมื่อก่อนเชื่อ เมื่อก่อนเชื่อ ก่อนที่ยังไม่รู้ธรรม เห็นธรรม เชื่อๆๆ แต่ตอนนี้ไม่เชื่อ”

“ไม่เชื่อเพราะอะไร”

“ไม่เชื่อเพราะว่ารู้จริงเห็นจริงเหมือนองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า”

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอก “เออ ใช่”

เห็นไหม เวลาผู้สร้าง เวลาเราจะทำขึ้นมา เรามีศรัทธาความเชื่อ เราพยายามขวนขวายของเรา ถ้าถึงที่สุดแล้วศรัทธาความเชื่อ คุณงามความดีต่างๆ ศรัทธาความเชื่อเป็นวิธีการ กิริยา แต่เข้าไปถึงความจริงแล้ว ผู้สร้าง สร้างจากคุณงามความดี สร้างจากความวิริยอุตสาหะ สร้างจากความเพียรของเรา สร้างจากการขวนขวายของเรา หมั่นทำ

ฟังธรรมๆ ขึ้นไป พอถึง ปล่อยหมด ก็ปล่อยตั้งแต่เริ่มต้น “พระพุทธเจ้าสอนให้ปล่อยวาง พระพุทธเจ้าสอนให้ว่าง”...ขี้ลอยน้ำ ขี้ ขี้มันจะไปถึงไหนล่ะ

ปลาเป็นทวนกระแส ปลาเป็นมันต้องขวนขวาย มันว่ายไปวางไข่มันต้องขึ้นไปต้นน้ำ ไอ้ว่างๆ อย่างนั้นไอ้ปลาตาย ปลาตายมันก็ไหลไปตามกระแส มันจะเน่ามันจะเหม็น มันจะเป็นเหยื่อ มันจะเป็นอาหารของสัตว์

เอาความจริง เราทำความจริงของเรา เห็นไหม ผู้สร้าง-ผู้ทำลาย ไม่ต้องมองใครนะ หลวงตาท่านสอนว่า ถ้าพูดถึงความทุกข์ ให้พวกเราหันหน้าเข้าปรับทุกข์กันจะไม่มีวันจบเลย เราปรับทุกข์กันสองคนปรับไปเถอะทั้งปีทั้งชาติ ปรับได้หมดแหละ เห็นไหม ทุกข์ของคนอื่นไง ถ้าหันหน้าเข้าหากันแล้วคุยเรื่องความทุกข์นะ ไม่มีวันจบหรอก

แต่ถ้าเราเข้าสู่ใจเรามันจบนะ เราเข้าสู่ใจเรา ค้นคว้าหาใจเรา เกิดมาทำไม เกิดมานั่งอยู่นี่ทำอะไร แล้วตายแล้วจะไปไหน ถามมันซิ เอ็งเกิดมาทำไมเนี่ย อ้าว! ก็เกิดมาเลี้ยงลูกไง เกิดมาดูแลเขา

ถามตัวมันว่าเอ็งเกิดมาทำไม แล้วทำอะไร แล้วตายแล้วจะไปไหน แล้วมันจะจบ ไม่ต้องไปคุยกับใคร คุยกับตัวเองนี่แหละ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้ทวนกระแสแบบนี้ ทวนเข้ามา

ผู้สร้าง สร้างคุณงามความดี สร้างหัวใจให้เป็นธรรม เราจะมีอัตตสมบัติประจำหัวใจของเรา เอวัง