เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๒๑ ธ.ค. ๒๕๕๗

 

เทศน์เช้า วันที่ ๒๑ ธันวาคม ๒๕๕๗
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

หลวงตาบอกว่าเราเกิดเป็นมนุษย์มีอำนาจวาสนาถึงได้นับถือศาสนาพุทธ ถ้าไม่นับถือศาสนาพุทธ นับถือศาสนาของเขามันก็เหมือนการทรงเจ้าเข้าผีนั่นน่ะ เชื่อตามๆ กันไป มันมีเหตุมีผลพอสมควรไหม ฉะนั้น เราเกิดเป็นมนุษย์มีอำนาจวาสนาถึงได้นับถือศาสนาพุทธ พอนับถือศาสนาพุทธนะ เวลาคนเขามองในพระพุทธศาสนาเรา ทำไมชาวพุทธของเราทำไมเชื่อสิ่งงมงาย

สิ่งงมงายมันเป็นพื้นเพไง เป็นพื้นเพวัฒนธรรม จิตของคนมันไม่แข็งแรง ถ้าจิตคนเขาแข็งแรง เราแยกถูกแยกผิดเป็น ถ้าเราแยกถูกแยกผิดไม่เป็น บางคนมีสตินะ มีสติแยกถูกแยกผิดได้เป็นบางเรื่อง แต่บางเรื่องแยกถูกแยกผิดไม่ได้ แยกถูกแยกผิดไม่ได้เพราะว่าเราไม่มีกำลังพอที่แยกถูกแยกผิดเรื่องอย่างนั้นได้ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเทศนาว่าการอนุปุพพิกถา อนุปุพพิกถา ให้เสียสละทาน การให้เสียสละทาน ให้เสียสละทานก่อน ถ้าเสียสละทานได้มันจะได้จิตสาธารณะ มันจะได้การเปิดกว้างมา ถ้าได้การเปิดกว้างมา มันจะฟังความเห็นต่าง ถ้าความเห็นต่างได้ขึ้นมามันคุยกันได้แล้วล่ะ

การที่เราจะแก้ปัญหาต้องเป็นการเจรจา เป็นการเจรจา...ใช่ เป็นการเจรจา ต้องเจรจากัน เราจะเอาลมใส่กัน เราจะเอากำลังประหัตประหารกัน มันไม่จบหรอก เราต้องมีการเจรจา แต่การเจรจา ใครจะไปเจรจาล่ะ คนเจรจามันต้องมีวุฒิภาวะ มันต้องมีสติปัญญาที่ไปเจรจากับเขาได้ ไปเจรจากับเขามันเจรจาอะไรล่ะ

การเจรจานะ เราต้องแยกถูกแยกผิดเป็น ถ้าแยกถูกแยกผิด เวลามีคนปรารถนาดีมาช่วยเหลือเจือจาน เมื่อก่อนก็บอกว่าเราจะช่วยเหลือมนุษย์ ตอนนี้ก็บอกว่าเราต้องให้ปัญญามนุษย์ ให้มนุษย์ทำมาหากินเป็น เราช่วยเหลือเวลามีความจำเป็น มีความจำเป็นมันต้องช่วยเหลือกัน เพราะการช่วยเหลือกันนั้นมันเป็นการแสดงน้ำใจไง มีน้ำใจ เห็นไหม เวลาคนตกทุกข์ได้ยาก ยังมีคนคิดถึงเราอยู่ มันมีกำลังใจนะ เวลาเราตกทุกข์ได้ยาก หันซ้ายหันขวา เราไม่มีที่พึ่งเลย มันว้าเหว่ แต่ถ้าเราทุกข์เรายาก ยังมีคนเห็นใจเราอยู่ มันมีกำลังใจขึ้นมา ถ้ามีกำลังใจขึ้นมา แบ่งแยกถูกแยกผิดตั้งแต่เริ่มต้นพื้นฐาน ถ้าแยกถูกแยกผิดขึ้นไป เวลาแยกถูกแยกผิดขึ้นไป เวลาบอกว่าเวลาเราทำหน้าที่การงานของเรา เราทุกข์เรายาก เราแสนเข็ญ เราเหนื่อยล้านัก เราก็อยากจะมีความสุขของเรา

ถ้ามีความสุขของเรา ความสุขของเราความสุขที่ไหนล่ะ ความสุขมันก็ไปหาเงินหาทองมา แล้วก็เที่ยวใช้ชีวิตให้หมดเปลืองไป สิ้นเปลืองไปไง เวลาชาวพุทธเรา ประเพณีของเราพอแก่เฒ่าแล้วเข้าวัด เข้าวัดเพื่ออะไร เพื่อหาเสบียง เราจะเดินทางแล้ว การเดินทางของเราเพราะเราเชื่อ เราเชื่อการเกิด การแก่ การเจ็บ การตาย เราเชื่อการเวียนว่ายตายเกิด ถ้าเชื่อการเวียนว่ายตายเกิด มันทำสิ่งใดมันมีกรอบ มันทำให้เรามีเป้าหมาย ถ้าเราไม่เชื่อสิ่งใดเลยนะ ว่าเราทำคุณงามความดีแล้ว ความดีก็คือความดี ความดีจบสิ้นแล้วชาตินี้ก็จบสิ้นกันไป แต่เราเชื่อการเวียนว่ายตายเกิด เราเตรียมเสบียงกรังของเรา เราทำคุณงามความดีของเรา

คุณงามความดี เห็นไหม อนุโมทนาทาน เห็นเขาทำความดีกัน เราส่งเสริมเขา อันนี้ก็เป็นบุญกุศล เป็นบุญกุศลมันไม่มีใครโต้แย้ง ไม่มีใครขัดแย้ง การทำคุณงามความดีมันเป็นประโยชน์ ถ้าเป็นประโยชน์ สังคมร่มเย็นเป็นสุขมันก็น่ารื่นรมย์ ถ้าน่ารื่นรมย์แล้วจิตใจมันก็ร่มเย็นเป็นสุข ร่มเย็นเป็นสุขเราก็อยากจะประพฤติปฏิบัติ แยกถูกแยกผิด แยกถูกแยกผิดจากพื้นฐานข้างนอกขึ้นมา เราเสียสละของเราเพื่อประโยชน์กับเรา เพื่อหัวใจของเรา เพื่อความเปิดกว้างของเรา ถ้าเราจะมาประพฤติปฏิบัติของเรา เราจะแยกถูกแยกผิดอย่างไร

ถ้าเราแยกถูกแยกผิด เราไม่เคยรู้เคยเห็นสิ่งนี้ไง ถ้าเราไม่เคยรู้ไม่เคยเห็นสิ่งนี้ เวลาครูบาอาจารย์ท่านปฏิบัติแล้วท่านบอกจิตนี้มหัศจรรย์นัก จิตนี้มันเป็นได้หลากหลายนัก จิตนี้เวลาดีมันดีสูงส่งนัก เวลาร้ายมันก็ร้ายจนทำร้ายตัวเองได้ สมบัติอะไรมันจะมีค่ากับชีวิตของเรา มันยังทำลายชีวิตของเขาได้เพราะเขาไม่มีทางออกของเขา แต่เขามีทางออกของเขา เขามีทางออกของเขา เขาต้องหาทางออกของเขา

นี่ก็เหมือนกัน เวลาเราจะประพฤติปฏิบัติขึ้นมา จิตมันเป็นไป เวลาจิตมันเป็นไป เราก็ว่าสิ่งนั้นเป็นธรรมๆ สิ่งนั้นเป็นธรรม มันมหัศจรรย์ ดูสิ คนเวลาจิตใจอ่อนไหว เจออะไรสิ่งใดมันก็ตกใจ เจอสิ่งใดมันก็หลงใหลไปหมด แต่จิตใจของคนกระด้างมากมันก็ไม่เชื่ออะไรเลย ไม่เชื่อสิ่งใดๆ เลย เวลาเกิดขึ้นมา สมาธิเกิดกับเรา เราไม่เชื่อว่าสมาธิเป็นได้อย่างไร มันเป็นนามธรรม มันจับต้องสิ่งใดไม่ได้

ก็เป็นนามธรรม สิ่งที่เป็นนามธรรมมันถึงเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ เป็นมิติ เวลามิติหนึ่งๆ เวลาข้ามภพข้ามชาติ ข้ามมิติกันไป เวลาจิตมันเป็นไปได้ ถ้าจิตมันเป็นไปได้ เวลาเป็นไปได้ เวลาจะแก้ไขกันมันก็แก้ไขด้วยจิตแก้จิตไง

เราจะเอาอะไรไปแก้มันล่ะ มันต้องเอาจิตแก้จิต แล้วจิตมันอยู่ไหนล่ะ ถ้าจิตเวลามันสงบระงับเข้ามา ไปรู้ไปเห็นสิ่งต่างๆ ก็ไปตื่นเต้น แล้วคนเวลาชักนำออกไปข้างนอกจะไปรู้เห็นต่างๆ จะไปรู้เห็นทำไม ไปรู้เห็นสิ่งนั้น รู้เห็นทางวิทยาศาสตร์เขาทำได้ดีกว่านี้อีก แต่เวลามันเกิดสัมมาสมาธิขึ้นมา ถ้ามันเกิดปัญญาขึ้นมามันมหัศจรรย์ มันมหัศจรรย์ขึ้นมานะ

ดูสิ เวลาพระเรา เห็นพระไหม พระเขาท่องปาติโมกข์เป็นตู้ๆ เขาท่องได้หมดเลย แล้วมหัศจรรย์ไหม เราว่าคอมพิวเตอร์มันทำได้ๆ มนุษย์ก็ทำได้ เวลาพระบวชมาแล้ว จะพ้นนิสัยเป็นผู้ฉลาด ผู้ฉลาดต้องท่องปาติโมกข์ได้ ปาติโมกข์เพราะอะไร นั่นแหละคือหัวใจของพระพุทธศาสนา ถ้าพระท่องปาติโมกข์ได้ เหมือนเรารู้กฎหมาย เรารู้กฎหมาย เราทำอะไร กฎหมายบังคับเรา แต่ถ้าเราไม่รู้กฎหมาย นี่ผู้ที่ฉลาด ถ้าท่องปาติโมกข์ได้ พอท่องปาติโมกข์ได้สิ่งนั้นมันจะเตือนใจตลอด

ถ้ามันเตือนใจเรา ถ้ามันเตือนใจ เวลาเตือนใจว่าทำถูกทำผิด เวลาทำถูกทำผิดอันนี้มันก็ยังเป็นตัวอักษรที่เราท่องมา แล้วเวลาจิตถ้าเราทำความสงบของใจเข้าไปล่ะ ถ้าใจมันสงบเข้ามาล่ะ ทีนี้มันเป็นที่อำนาจวาสนาของคนนะ ถ้าจิตของคนถ้ามันได้สร้างสิ่งใดมา มันรู้มันเห็นอะไรของมัน เห็นแล้วให้วางไว้ๆ แต่เราวางไม่ได้ เราไม่เคยรู้เคยเห็น พอจะมารู้มาเห็นขึ้นมา ถ้าเราไปติดสิ่งนั้นส่งออกแล้ว จิตมันส่งออกๆ ไปเห็นนิมิต จิตส่งออกไปอาศัยสิ่งนั้น จิตเห็นอาการของจิต ถ้าจิตเห็นอาการของจิต จิตเห็นความคิด เห็นอารมณ์ต่างๆ แต่เวลาถ้าจิตมันขาดสติ เวลามันส่งออกไป มันว่าสิ่งนั้นเป็นผลงานของมันไง นี่มันแยกถูกแยกผิดไม่เป็นไง

แต่ครูบาอาจารย์ท่านแยกถูกแยกผิดได้ ถ้ามันจะแยกถูกแยกผิดเพราะอะไร เพราะสิ่งนั้นมันส่งออกไป มันต้องวาง วางแล้วกำหนดพุทโธให้จิตเข้ามาเป็นอิสรภาพของมัน พออิสรภาพของมันแล้ว ถ้ามันยกขึ้นวิปัสสนา มันเห็นกายเห็นอย่างไร การเห็นกายอย่างนี้มันไม่ใช่เห็นผีเห็นสาง มันไม่ใช่เห็นอย่างที่เราคิดเราจินตนาการการเห็นอย่างนี้ เวลามันเห็นอย่างนั้นมันสะเทือนหัวใจเพราะอะไร เพราะตัวเองเห็นของตัวเอง สมบัติของตัวเองไง จิตมันเห็นอาการของมัน เห็นสิ่งที่มันไปผูกมัดของมัน ถ้าไปเห็นของมัน เวลามันเห็นแล้วมันก็กระเทือนใจ แค่เห็นมันก็กระเทือนใจแล้ว มันยังไม่มีปัญญานะ ปัญญายังไม่เกิดขึ้น ถ้าเห็นแล้วมันสะเทือนใจ สะเทือนใจแล้วเราอยากได้อย่างนี้เพราะมันสะเทือนใจ

สุขอื่นใดเท่ากับจิตสงบไม่มี แต่เวลาจิตสงบแล้วฝึกหัดใช้ปัญญาไป มันเกิดอริยทรัพย์ มันเกิดมรรคญาณในหัวใจ ดูสิ สิ่งที่มันมีคุณค่าแล้วมันเดินไม่เป็นไง พอมันเห็นแล้วมันก็เดินไม่เป็นนะ พอเดินไม่เป็น มันเดินไม่เป็น ถ้าครูบาอาจารย์ เราจะต้องการสิ่งนั้นมันไม่มี มันไม่มี ดูสิ เวลาบอกเราทำความสงบแล้ว เรามีปัญญาแล้ว ทางโลกเขาคิดแบบเก็บหน่วยกิตไง เรามีหน่วยกิตแล้ว เราผ่านแล้วมันต้องอยู่กับเราตลอดไป นั่นคือความรู้ นั่นเป็นกระดาษ

แต่ถ้าการภาวนามันเจริญแล้วเสื่อม เวลาเจริญมันดีมากเลย เสื่อมก็เท่ากับไม่มีเลย เสื่อมมันก็หมดไปเลย พอเสื่อมหมดไปเลยมันจะทำขึ้นมามันต้องเป็นปัจจุบันไง เวลาเป็นสมาธิก็เป็นสมาธิอย่างนั้น เวลาปัญญาเกิดปัญญาเกิดอย่างนั้นไง แล้วจิตสงบแล้วมันไปเห็นของมัน แต่มันเดินไม่เป็น พอเดินไม่เป็น ไม่เป็นมันก็หลุด คือมันเสื่อมว่าอย่างนั้นเถอะ มันเสื่อม จิตมันไปไม่ได้ พอจิตมันไปไม่ได้ แล้วเคยมี เราก็ต่อยอด

แต่ถ้าเป็นครูบาอาจารย์นะ กลับมาพุทโธ กลับมาทำความสงบของใจเข้ามา พื้นฐานมันต้องเจริญขึ้นมา เขาจะสร้างบ้านสร้างเรือน ดูสิ ตึกสูงต่างๆ เขาต้องมีนั่งร้านของเขา เขาต้องมีนั่งร้านประกอบสิ่งการปลูกสร้างนั้น เวลาเขาปลูกสร้างเสร็จแล้วเขาก็รื้อนั่งร้านนั้นทิ้ง เขาไม่เอานั่งร้านนั้นไว้หรอก ศีล สมาธิ ปัญญา มันก็เหมือน มันเป็นวิธีการขึ้นไปเพื่อสู่สัจจะความจริง แล้วไม่มีนั่งร้านแล้วจะเทปูนอย่างไร ไม่มีนั่งร้าน มันจะขึ้นไปสร้างตึกสูงขึ้นไปได้อย่างไร มันเป็นไปไม่ได้ ถ้ามันเป็นไปไม่ได้ แล้วตึกสูงถ้ามันจะมั่นคงขึ้นมา รากฐานมันต้องมั่นคง เสาเข็มต่างๆ สูงเท่าไร ฐานมันต้องมั่นคงมากขนาดนั้น จิตที่มันสูงขนาดไหนมันก็ต้องกลับมาพุทโธ ต้องมีฐานมั่นคงขนาดนั้น ถ้ามีฐานที่มั่นคงขึ้นมาแล้วมันพัฒนาขึ้นไป มันจะเป็นจริงของมันขึ้นไปไง

แต่ของเราพวกเรามันไม่เห็นฐาน ฐานมั่นคงที่อยู่ใต้ดินไง เราจะเห็นแต่ตึกสูงขึ้นมาไง เราเห็นแต่ตึกสูง ตึกที่สวยงาม มันก็เป็นบ้านตุ๊กตาของเด็กเล่น วางแล้วมันก็กลิ้งไปกลิ้งมา มันจะล้ม บ้านเด็กๆ บ้านพลาสติกเอาไว้เล่นกัน มันวางไว้เดี๋ยวมันก็ล้ม ลมพัดมันก็ปลิวแล้ว แต่ของเรา เราจะสร้างของเรา เพราะอะไร

ปฏิสนธิจิต จิตเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ จิตเวียนว่ายตายเกิด สุขทุกข์นั้นเป็นของเรา สุข ทุกข์มันเป็นของเรานะ เราเกิดเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา หลวงตาท่านพูดบ่อย บอกว่าเราเป็นคนมีวาสนา เราถึงได้นับถือศาสนาพุทธ ไอ้เราก็ว่าพวกเรานับถือศาสนาพุทธแล้วมันก็ยังทุกข์ มันยังทุกข์ยังยากของเรา

ทุกข์ยากเพราะพระพุทธศาสนาเป็นเครื่องกลั่นกรองแยกแยะว่าสิ่งใดเป็นความจริง สิ่งใดมันเป็นผลของวัฏฏะ ผลของวัฏฏะคือสถานะที่ต้องเผชิญ สถานะที่เราต้องมีไง ผลของวัฏฏะคือสิ่งที่มันมี สิ่งที่มันต้องเป็น ถ้าสิ่งที่ต้องมีต้องเป็นแล้วมันก็เวียนว่ายตายเกิดอย่างนี้ สิ่งที่ต้องมีต้องเป็น เอาสิ่งที่ต้องมีต้องเป็นนี้มาพิจารณา เอาสิ่งที่ต้องมีต้องเป็นมาทำความสงบของใจเข้ามา แล้วเอาสิ่งที่ต้องมีต้องเป็นศึกษา ศึกษาค้นคว้าสิ่งที่ต้องมีต้องเป็นมันสามารถสำรอกสามารถคายออก สามารถเป็นความจริงขึ้นมาได้ ถ้าเป็นความจริงขึ้นมา นี่เพราะเรามีวาสนามันถึงทำอย่างนี้ได้ไง

ถ้าไม่มีวาสนามันเป็นสัญญาอารมณ์หมดไง สิ่งใดก็แล้วแต่ก็ยกให้ผู้มีฤทธิ์มีเดชเป็นผู้บงการ ชีวิตทั้งชีวิตต้องให้คนอื่นไปบงการหมดเลย ตามแต่ความปรารถนาของเจ้าลัทธิ แล้วชีวิตของเราล่ะ พระพุทธศาสนาถึงปฏิเสธหมดไง เราปฏิเสธแม้แต่เวลากาลามสูตร ไม่ให้เชื่อใครทั้งสิ้น ไม่ให้เชื่อแม้แต่ครูบาอาจารย์ของเรา แต่ต้องอาศัย การอาศัย ดูสิ ลูกก็อาศัยพ่อแม่ขึ้นมาเลี้ยงดูมา สัทธิวิหาริกก็อาศัยครูบาอาจารย์เป็นผู้ฝึกหัดดัดแปลงขึ้นมา แล้วถ้ามีจริตนิสัย ศาสนทายาทมันก็เป็นความจริงขึ้นมา ถ้าเป็นความจริงขึ้นมา

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมา เวลาเทศนาว่าการ เอตทัคคะ ๘๐ องค์ เวลาเทศนาว่าการอริยสัจสัจจะความจริง คือพระอรหันต์ เวลาอาสวักขยญาณสำคัญที่สุด สำคัญที่ว่ามันได้สำรอกคายกิเลสออกไป แต่ความชำนาญการ ความชำนาญจริตนิสัยของคนแต่ละคนไม่เหมือนกัน เอตทัคคะ ความเลิศ เลิศคือความชำนาญ ความชำนาญ จริตนิสัยความชำนาญของเขา ๘๐ แขนง แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นผู้ตั้งเขา เป็นผู้บอกเขา มีความชำนาญ ต้องมีความชำนาญเหนือกว่าถึงจะตั้งเขาได้ รวมยอดแล้วทุกอย่างไปรวมยอดศูนย์อยู่ที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสร้างสมบุญญาธิการมาเป็นศาสดา รื้อค้นเป็นเจ้าของศาสนา สิ่งนี้เป็นความจริง

ความจริงในใจนั้น แล้วเราได้นับถือศาสนา แล้วเราก็เดี๋ยวเราจะไปกัน เวลาเราคิดถึงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราจะไปสังเวชนียสถานทั้ง ๔ จะไปเคารพองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า โดยพื้นเพคนที่เขาไปกันเขาก็ชื่นใจนะ เพราะมันเป็นคำสั่งขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเวลาพูดถึงโดยทั่วไป

โดยทั่วไปถ้าเราระลึกถึงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไปที่ไหน พระอานนท์เป็นคนถาม ให้ไปสังเวชนียสถานทั้ง ๔ ให้ระลึกถึงเราๆ แต่ของเรา เรามีครูบาอาจารย์ เรากำหนดพุทโธๆ เราจะเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในหัวใจของเราเลย เราเข้าไปเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เวลาจิตสงบเข้ามา นี่แหละตัวเป็นๆ เลย องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสดๆ ร้อนๆ เลย พุทธะ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน

เวลาเขาไปเฝ้าที่นั่นเขาก็ชื่นใจกัน ไปสังเวชนียสถานเขาก็ระลึกถึง มันเหมือนพระพุทธเจ้ามีอยู่จริง แหม! ปลื้มใจๆ แต่ของเรา เราจะเอาจริงเลย เอาจริง เอาความจริงๆ เลย กำหนดพุทโธ ใช้ปัญญาอบรมสมาธิเข้ามา เราจะไปเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พุทธะ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ถ้าถึงพุทธะ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน สิ่งนี้ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นตถาคต

ใครอยู่ไกลถึงสุดหล้าฟ้าเขียวอย่างใดก็แล้วแต่ ถ้าประพฤติปฏิบัติตามเราเหมือนอยู่ใกล้เรา คนเราเกาะชายจีวรไว้เลย อยู่ติดกันเลย แต่พูดเท่าไรมันก็ไม่ทำ พูดเท่าไหร่มันก็ไม่ฟัง มันเหมือนอยู่ห่างไกล คนอยู่ใกล้กันแต่ไม่ทำเหมือนอยู่ไกล คนอยู่ไกลกันสุดหล้าฟ้าเขียว แต่เวลาประพฤติปฏิบัติขึ้นมา เหมือนอยู่ใกล้เรา เหมือนอยู่ใกล้เรา พุทโธๆ ไปถึงหัวใจ เหมือนเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสดๆ ร้อนๆ เลย แล้วถ้ายกจิตขึ้นสู่วิปัสสนา ใช้ปัญญาของเรา ถ้าใช้ปัญญาของเรา พระพุทธศาสนา ศาสนาแห่งปัญญา ปัญญาคือภาวนามยปัญญา

ปัญญาในการศึกษา ดูสิ เวลาพระเราศึกษา ศึกษาจนมีวิชาการแล้วสึกออกไป พอสึกออกไปแล้วไปเป็นฐานให้กับลัทธิศาสนาอื่น เอาธรรมและวินัยไปเพื่อประโยชน์กับคนอื่น ทั้งๆ ที่เขาบวชมานะ บวชมาแล้วศึกษาพระพุทธศาสนา เวลาสึกไปแล้วเอาอริยสัจเอาต่างๆ ไปให้ลัทธิศาสนาอื่นใช้ประโยชน์ ใช้ประโยชน์ แล้วใช้ประโยชน์เป็นอะไร ก็เป็นประโยชน์เพื่อเอามาโฆษณาว่าเขามีอริยสัจเหมือนกัน เขามีมรรคเหมือนกัน แต่เขามีมรรคเขาก็มีมรรคเป็นตำราเป็นวิชาการไง แต่ของเรา เราประพฤติปฏิบัติขึ้นมา เราศึกษา เราเอาความจริง แล้วปฏิบัติจริง ให้รู้จริงเห็นจริงขึ้นมาในหัวใจของเรา นั้นแยกถูกแยกผิดมา

ทุกคนปรารถนาความสุข เกลียดความทุกข์ทั้งนั้นแหละ ปรารถนาความสุขทางโลก ความสุขทางปัจจัยเครื่องอาศัยสมบูรณ์มันก็มีความสุขของเรา ความสุขที่ดำรงชีวิตของเราได้ ดำรงชีวิตของเราได้แล้วเราเห็นคุณค่าที่มากกว่า การดำรงชีวิตของเรา เห็นไหม ดูสิ สัตว์มันก็ดำรงชีวิตเหมือนกัน มนุษย์กับสัตว์ก็อยู่ร่วมกัน นี่ผลของวัฏฏะ คนดีก็ดี เขาก็ทำคุณงามความดีของเขา คนที่ร้ายกาจเขาก็ทำแต่ความพอใจของเขา เราก็แยกถูกแยกผิดของเรา เราจะไม่เป็นอย่างนั้น เราจะเป็นอย่างนี้ เราจะทำคุณงามความดีอย่างนี้ แล้วถ้าจิตใจควรแก่การงาน องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเทศนาว่าการจนจิตใจเขาควรแก่การงานถึงจะเทศน์เรื่องอริยสัจ

เพราะอริยสัจถ้ามันจดจำมามันก็พูดปากเปียกปากแฉะ มันพูดไปอย่างนั้นแหละ แต่ถ้าเป็นความจริงขึ้นมา ความจริงเวลามันซาบซึ้งก็ซาบซึ้งนะ แต่เวลาไปเห็นจริงเข้า โอ้โฮ! มันมหัศจรรย์ มันมหัศจรรย์เลยล่ะ สิ่งที่มีคุณค่าๆ นี่ไง ธรรมะเหนือโลกๆ เหนือโลกเพราะมันมีคุณค่า มันมีความสุข มันมีความจริงเหนือโลก

ชีวิตชีวิตหนึ่ง ดูสิ ดูครูบาอาจารย์ของเราเป็นกรรมฐาน บวชมาตั้งแต่เณร บวชมาตั้งแต่ชีวิตทั้งชีวิต ทำไมท่านมีความสุขของท่านล่ะ ดูสิ หลวงปู่มั่นอยู่ป่าอยู่เขามาตลอด อยู่ป่าอยู่เขามาตลอด ทำไมท่านมีความสุขของท่านล่ะ เวลามาพูดกันเพื่อให้เป็นคติเป็นแบบอย่าง หลวงตาท่านบอก เวลาถ้าพูดถึงทางโลกๆ เหมือนผ้าขี้ริ้ว ชีวิตของหลวงปู่มั่นเหมือนผ้าขี้ริ้วเลย เพราะมันไม่มีค่าไง แต่ถ้าพูดทางธรรม สุดยอด สุดยอด สุดยอดเพราะอะไร เพราะใจมันมีคุณค่า เห็นไหม

เราเสพสุขกัน เราแสวงหาความสุขทางโลกกัน เราแสวงหา เราขี่เครื่องบินไปจักรวาล ไปเที่ยวดาวอังคารกันเลย เราจะหาความสุขกันไง ไปเที่ยวอวกาศกัน เพราะเที่ยวในโลกนี้มันไม่สนุกแล้ว ความสุขอย่างนั้นหรือ แล้วอยู่ในป่าในเขามันสุดยอดอย่างนั้น มันสุดยอดเพราะอะไรล่ะ มันสุดยอดเพราะความสุขในใจไง สัจธรรมไง ธรรมที่มันมีความสุขจริงๆ ไง แล้วเรามานั่งสมาธิภาวนากันอยู่นี่ทรมานตน ทรมานตนก็ทรมานกิเลส นั่งสมาธิภาวนามันก็เจ็บปวดเป็นเรื่องธรรมดา เราพอใจไง เราพอใจว่าสิ่งนี้มันเป็นวิธีการที่จะเข้าไปหาตัวตนของเรา จะเข้าไปหาความจริงของเรา

ทรัพย์สมบัติของเรา เห็นไหม ดูสิ มีเงินมีทองเก็บไว้ในเซฟ กลัวคนจะมาลักมาชิง แต่คุณงามความดีอยู่ในใจ เราจะเข้าไปหามัน เราจะทำของเราขึ้นมา จะทำคุณงามความดีของเรา แยกถูกแยกผิดเป็นชั้นเป็นตอนขึ้นมา แยกถูกแยกผิดจากการดำรงชีวิต แยกถูกแยกผิดจากการประพฤติปฏิบัติ เวลามันเกิดกิเลสกับธรรม แยกถูกแยกผิดระหว่างกิเลสกับธรรม ถ้ามันเป็นสัจธรรมมันก็เกิดเป็นมรรค ถ้าเป็นกิเลสมันก็เป็นสมุทัย พญามารมันอยู่ในหัวใจของเรา อวิชชามันครอบครองใจเรามาตลอดอยู่แล้ว เวลาเรามาปฏิบัติ ทุกคนก็ว่าฉันเป็นคนดี คนเก่ง คนแน่ทั้งนั้นเลย ถ้าคนดี คนเก่ง คนแน่มันต้องทำใจของเราให้ได้สิ เราก็ปรารถนาอย่างนั้น

ถ้ามันได้ขึ้นมาแล้วมันมีธรรมาวุธ มันมีอาวุธสัจธรรมอยู่ในใจ สิ่งใดมันจะเข้ามาเหยียบย่ำ สิ่งใดมันจะเข้ามามีอำนาจเหนือกว่าล่ะ มันไม่มีอำนาจเหนือกว่า เราเหนือโลก เหนือโลกแล้วไปไหนล่ะ เหนือโลกก็จะต้องให้คนยอมรับ จะต้องอวดเขาไปใช่ไหม เหนือโลกก็เหนือกิเลสของตัวไง เหนือโลกก็เหนือกิเลส เหนืออวิชชา แล้วก็เก็บตัว เพราะมันเหนือมันถึงไม่คัน พอไม่คันหลวงปู่มั่นท่านอยู่ในป่าได้ ครูบาอาจารย์เราท่านมีคุณธรรม ท่านนิ่ง แล้วท่านอยู่ด้วยความสงบ ชีวิตเป็นอย่างนั้น

ไอ้นี่พอบอกว่ามีคุณธรรมขึ้นมาแล้วจะยิงพลุเลยนะ จะสว่างไปครอบจักรวาล จะให้เขาเห็นแสง ไอ้นั่นเหนือโลก นั่นอยู่ใต้โลก อยู่ใต้ของกิเลส อยากอวดอยากรู้ไง ไอ้นี่เหนือโลกไง เหนือโลกเหนือสงสาร แต่อยู่ในหัวใจนั้น มีความสุข วิมุตติสุข เอวัง