เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๑๑ ก.พ. ๒๕๕๘

 

เทศน์เช้า วันที่ ๑๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๘
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

เราเกิดมาเป็นชาวพุทธ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา แต่พระพุทธศาสนาสอน วันนี้วันพระ วันพระเราระลึกถึง ระลึกถึงพุทธะ ระลึกถึงหัวใจของเราไง ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นตถาคต เราระลึกถึงชีวิตของเราไง ถ้าชีวิตของเรานะ เราประพฤติปฏิบัติถึงที่สุดแห่งทุกข์ไง ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นตถาคต

เวลาเขาตื่นเต้นกัน เขาไปสังเวชนียสถานทั้ง ๔ เขาไปอินเดียกัน ไประลึกถึงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วพอไปแล้วนะ น้ำตาร่วงน้ำตาไหล ซาบซึ้งๆ แต่พวกเรานะ นักปฏิบัติ ใครนั่งสมาธิจิตเข้าถึงความสงบของใจ มันไปเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่มีชีวิต นี่สิ่งที่จิตเราสงบ เห็นไหม

ที่เขาไปอินเดียๆ กัน เขาก็ไปนั่งสมาธิ เขาก็ไปทำบุญกุศลกัน ไปทำบุญกุศล แต่ทำบุญกุศล เราต้องเดินทางไกล แต่ถ้าเรานั่งอยู่ในห้องพระหรือนั่งอยู่ที่โคนต้นไม้ เรานั่งอยู่ที่ไหนเราเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นี่สัจจะ สัจจะความจริงไง ถ้าสัจจะความจริงแล้วเขาเห็นความจริง เราต้องดิ้นรนไปที่ไหนล่ะ

เราดิ้นรนอย่างนั้นดิ้นรนเพราะว่าคนจิตใจอ่อนแอ คนไม่มีความศรัทธา คนไม่มีความเชื่อมั่นตัวเอง ถ้าเราระลึกถึงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้ไปที่สังเวชนียสถานทั้ง ๔ ที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเกิด ที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ ที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปฐมเทศนา ที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรินิพพาน เราไปหาวัตถุนั้นไง

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประพฤติปฏิบัติมานะ ไปศึกษามากับเจ้าลัทธิต่างๆ โลกธรรม ๘ โลกธรรม ๘ มีลาภเสื่อมลาภ มียศเสื่อมยศ สรรเสริญนินทา มันมีการสรรเสริญมันมีการนินทา เราชอบ เราชอบให้คนสรรเสริญ ชอบให้คนยกย่อง ชอบให้คนเชิดหน้าชูตา ไปทำบุญกุศลนะ ต้องให้มีคนนับหน้าถือตา ไปทำบุญกุศลต้องให้คนยอมรับ ไปทำบุญกุศลต้องให้คนคอยต้อนรับ...ไอ้นั่นมันเป็นการตลาด เราบอกเราอยากจะเจอสัจจะ เราอยากเจอความจริง เราประพฤติปฏิบัติเราอยากจะพ้นจากทุกข์ แต่เรามีวุฒิภาวะแค่ไหน

เมืองลาวเขามี 4G แล้ว เมืองไทยยังไม่มีเลย เครื่องรับ เครื่องรับของเรามันไม่รู้ เครื่องรับของเรามันอ่อนด้อย เขาใช้ 3G 4G 5G 8G ไปแล้ว ไอ้เรายัง 2G ยังใช้อยู่ เมืองไทยยังใช้อยู่

เครื่องรับเราไม่มี เครื่องรับเราไม่รู้ เราไม่รู้หรอกว่าใครจริงหรือใครไม่จริง เราไม่รู้หรอกว่าคลื่นที่ส่งมาเรารับได้หรือรับไม่ได้ เพราะเรารับไม่ได้เราก็ตีความกันไปไง นี่ไง โลกธรรม ๘ มีลาภเสื่อมลาภไง มีลาภเสื่อมลาภ มียศเสื่อมยศ เรามีวุฒิภาวะอะไรไปรับสิ่งนั้น ถ้าไปที่ไหนเขาเชิดชู เขาสรรเสริญ เขาเยินยอนี่ชอบ

หลวงตาท่านพูดบ่อย ไอ้พวกนี้ชอบกินลูกยอ ถ้าลูกยอนะ ใครเอาลูกยอมายัดหน่อย โอ้โฮ! มันลอยเลยนะ “ทีนี่ดี๊ดี” เพราะอะไร เพราะได้กินลูกยอ ถ้าไปที่ไหนนะ เขาคอยเอาเข็มทิ่ม มันลอยมาเอาเข็มทิ่มให้มันแฟบ

มันแฟบสิ เพราะอะไร เพราะความเห่อเหิม ความเห่อเหิมมันจะเป็นธรรมได้อย่างไร ความเห่อเหิม ความทะเยอทะยานมันเป็นธรรมได้อย่างไร แล้วความเห่อเหิมทะเยอทะยานมันไม่เป็นธรรม แล้วเรามีเป้าหมาย เรามีเป้าหมายจะพ้นจากทุกข์ มันเห่อเหิมหรือเปล่า มันจะพ้นจากทุกข์ๆ มันไม่ใช่เห่อเหิม พ้นจากทุกข์มันพ้นที่ไหนล่ะ ไอ้ที่เห่อเหิมมันเห่อเหิม

เด็ดดอกไม้สะเทือนถึงดวงดาว เด็ดดอกไม้สะเทือนถึงดวงดาวเพราะมันสะเทือน สภาวะแวดล้อมมันเกี่ยวเนื่องกันไปทั้งนั้นแหละ นี่ก็เหมือนกัน เราเห่อเหิม เราส่งออก การส่งออกเป็นเรื่องโลกทั้งนั้นแหละ ถ้าเป็นเรื่องความจริงมันย้อนกลับมาที่ใจ ถ้าย้อนกลับมาที่ใจ เราระลึกถึง เรามาทำบุญๆ ใครเป็นคนมา จิตใจถ้าไม่มีเจตนา ไม่มีความมุ่งหมายมันมาได้อย่างไร ถ้ามันมา เจตนา เจตนามันเกิดมาจากไหน? เจตนามันเกิดจากจิต ถ้ามันเกิดมาจากจิต เราย้อนกลับมาที่จิต ที่เรามาค้นคว้ากันอยู่นี่เราก็ค้นคว้า

สมถกรรมฐาน ฐานที่ตั้งแห่งการงาน ลูกเรา เราสอนลูกเรา เราให้ปัญญาลูกเรา ลูกเราจะออกไปเผชิญสังคมด้วยความเข้มแข็ง เพราะมันมีสติมีปัญญา ใครจะหลอกมันไม่ได้ มันมาจากไหนล่ะ? มันมาจากจิตของเขา เราสร้างจิตของเราให้เข้มแข็ง ลูกเรา เราสอนเขา เราให้ปัญญาเขา เขาจะออกไปเผชิญกับสังคม ไปเผชิญกับเพื่อนเขา เผชิญสังคมด้วยวุฒิภาวะ ด้วยปัญญาของเขา ไม่ใช่เป็นเหยื่อของเขา ลูกของเราอ่อนแอ เราโอ๋! กันไปนะ เราดูแลรักษา ออกไปนะ มันต้องไปยืนแปะเพื่อนมันไว้ มันกลัวล้ม แล้วเพื่อนมันจูงไปไหนมันก็ไปด้วย นี่ไงลูกเราอ่อนแอไง ถ้าลูกอ่อนแอ

เรารู้อยู่ เราเลี้ยงของเรามาเรารู้ว่าลูกของเรามันมีวุฒิภาวะแค่ไหน ถ้ามันอ่อนแอในบ้าน ไปข้างนอกมันก็ต้องไปอิงเพื่อนมันทั้งนั้นแหละ แล้วเพื่อนมันชักไปทางไหนมันก็ไปทางนั้นแหละ แต่ถ้าเราสอนของเรา มีสติปัญญา เขามีความเข้มแข็ง เขาจะเผชิญสังคม เขาอยู่สังคมได้สะดวกสบายของเขาเลย

นี่ก็เหมือนกัน หัวใจที่มันอ่อนแอ ต้องกินลูกยอไว้ ลูกยอยกตูดไว้ คอยเสริมไว้ “โอ๋ย! ภาวนาเก๊งเก่ง ภาวนาดี๊ดี”

เราบอกว่าภาวนาดีร้อยคำพันคำนะ มันก็ไม่ใช่ความจริงของผู้ที่ปฏิบัตินั้น ถ้าผู้ที่ปฏิบัตินั้น ถ้ามันเป็นความจริงขึ้นมามันเป็นความจริงขึ้นมาในหัวใจนั้น คนพูด พูดเท่าไรมันก็เป็นเรื่องที่สอง เพราะเรื่องจริงคือเรื่องในหัวใจของเรา ถ้าใจของเรามันเป็นจริงขึ้นมามันเป็นจริงที่นี่ ถ้าเป็นจริงที่นี่ ถ้ามีเจตนา มีความเชื่อของเรา ถ้ามีเจตนาความเชื่อ เราทำบุญกุศล เราทำบุญกุศลทิ้งเหว ทิ้งเหวทำแล้วก็แล้ว ทำแล้ว ทำดีเพื่อดี ไม่ได้ทำดีเพื่อสิ่งใดทั้งสิ้น ทำดีเพื่อเรา ทำดีเพื่อเราเสียสละ เสียสละมา ไปวัดไปวา ข้อวัตรปฏิบัติ มันขี้เกียจ มันขี้คร้าน มันไม่อยากไป มันอะไร

อันนี้พูด “พระก็อยากได้น่ะสิ”

ครูบาอาจารย์ที่จะประพฤติปฏิบัตินะ ท่านต้องการความสงัด ต้องการความวิเวก ความสงัดความวิเวกนั่นล่ะเป็นสัปปายะ สิ่งที่เป็นสัปปายะ เรา ถ้าจิตเราสงบร่มเย็น เราอยากจะอยู่ของเราด้วยความสงบระงับใช่ไหม เราอยากคลุกคลีไหม? เราไม่อยากคลุกคลีเลย สิ่งใดคลุกคลี สิ่งนั้นมันเป็นเรื่องภาระไปทั้งนั้นเลย ถ้าครูบาอาจารย์ท่านมีคุณธรรมนะ เห็นไหม วิหารธรรม ใจที่มันมีวิหารธรรม มีคุณธรรม มันอยู่ของมันด้วยความสงบสุขของมันอยู่แล้ว สิ่งใดมานั้นเป็นของเกินทั้งนั้นแหละ เป็นของเกิน แต่ครูบาอาจารย์ที่ท่านเป็นธรรม ท่านจะสอนโลก การสอนนะ สอนโดยไม่ต้องสอน การสอนคือดำรงชีวิตให้เขาเห็นนั่นล่ะ ทำไมท่านอยู่ได้ ทำไมท่านมีความสงบสงัดของท่านได้ เราพยายามแสวงหา

ดูสิ สร้างตึกสร้างร้านกันใหญ่โตมโหฬาร เขาไปทุกข์อยู่บนตึกนั่นน่ะ เราติดแอร์ให้มันเย็นจนติดลบเลย มันก็ทุกข์อยู่ในใจนั่นแหละ มันเป็นไปไม่ได้ไง แต่ถ้ามันเป็นความจริงขึ้นมา ถ้ามันสร้างคุณธรรมในหัวใจขึ้นมา สิ่งนั้นเป็นความจริง แล้วเป็นความจริงเขาอยากคลุกคลีไหม แต่ความคลุกคลีนี้มันเป็นหน้าที่ มันเป็นความจำเป็น เป็นความจำเป็นเพราะอะไร

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเทศนาว่าการ ภิกษุทั้งหลาย เธอพ้นจากบ่วงที่เป็นโลก ชื่อเสียง กิตติศัพท์กิตติคุณ ลาภสักการะ ลูกยอที่เขายกใส่ก้น นี่เธอพ้นแล้ว พ้นจากบ่วงที่เป็นโลก จะยอไม่ขึ้นหรอก จะส่งเสริมไม่ขึ้นหรอก ยิ่งมาส่งเสริม พระที่มีคุณธรรมเขารู้ว่านี่ประจบ สอพลอ มารยาสาไถย นี่กิเลสทั้งนั้นแหละ แต่ถ้าเขาพูดด้วยความเป็นจริงของเขา เขาพูดด้วยความจริงของเขา นั่นแสดงว่าเขาพูดโดยความซื่อสัตย์ โดยสัจจะของเขา ถ้าเขามีปัญญาของเขา

“เธอพ้นจากบ่วงที่เป็นโลก และเธอพ้นจากบ่วงที่เป็นทิพย์” จะเกิดเป็นเทวดา เป็นอินทร์ เป็นพรหม จะได้ทิพย์สมบัติ นี่ถ้าบ่วงที่เป็นทิพย์ “เธอพ้นจากบ่วงที่เป็นโลกและบ่วงที่เป็นทิพย์ เธอจงไปอย่าซ้อนทางกัน โลกเขาเร่าร้อนนัก โลกเขาเร่าร้อนนัก” การเร่าร้อนนัก เร่าร้อนที่ไหนล่ะ นี่ไง สิ่งที่ว่าถ้าพ้นจากบ่วงที่เป็นโลกและบ่วงที่เป็นทิพย์ เขาต้องการความคลุกคลีไหม

แต่ถ้าเขามีคุณธรรมในหัวใจ เขาเรียก “วิหารธรรม” มีธรรมเป็นเครื่องอยู่ ถ้ามีธรรมเป็นเครื่องอยู่ มันสุขตลอดไป มันสุข มันสงบมันระงับของมัน ไม่ใช่โลกธรรม ๘ แต่พวกเราต้องการลูกยอ เราศึกษาธรรม ศึกษาด้วยโลกธรรม ๘ ที่ไหนมีลาภเสื่อมลาภมียศเสื่อมยศ เสื่อมกับเจริญ ถ้ามันเจริญ เจริญทางโลกมันก็มีวัตถุข้าวของ มันก็มีสิ่งที่เป็นโลกธรรม

ถ้ามันเจริญทางธรรมล่ะ ถ้ามันเจริญทางธรรม ดูสิ เวลาหลวงปู่มั่นท่านอยู่ในป่าในเขา ท่านเจริญของท่าน ยิ่งท่านบอก ท่านเล่าให้ฟังว่าท่านอยู่เชียงใหม่ ๔ ทุ่มมาแล้ว เทวดามาแล้ว ยิ่งอยู่ในที่สงบสงัดนะ มันยิ่งสงบสงัด มีคุณธรรมไง คนมีคุณธรรม มีสัจธรรมในหัวใจ วิหารธรรม เทวดา อินทร์ พรหมมาฟังเทศน์ เทวดา อินทร์ พรหมเข้ามาแสวงหา เทวดา อินทร์ พรหมเข้ามาสื่อสาร นี่รับแขกสิ่งที่เป็นทิพย์ๆ

พ้นจากบ่วงที่เป็นทิพย์ ความเป็นทิพย์สมบัตินั้นไม่มีคุณค่า ความเป็นทิพย์สมบัตินั้นมันเป็นอนิจจัง ความเป็นทิพย์สมบัตินั้นมันเป็นผลของวัฏฏะ แล้วผู้ที่อยู่บ่วงที่เป็นทิพย์ๆ เขาก็ต้องหมดอายุของเขา เขาก็อยากจะพ้นทุกข์เหมือนกัน เขามาฟังเทศน์ๆ เอาอะไรสอนเขา เอาอะไรสอนเขา ถ้าไม่พ้นบ่วงที่เป็นทิพย์ เอาอะไรไปสอนเรื่องความเป็นทิพย์สมบัตินั้น ถ้ามันพ้นจากบ่วงที่เป็นโลก-บ่วงที่เป็นทิพย์มันจะไปโลกธรรมไหม มันจะกลัวลูกยอไหม ลูกยอให้โยนมา โยนมาก็ตกอยู่นั่นล่ะ มันไม่ต้องเข้ามาถึงเรา มันเข้ามาถึงเราไม่ได้ ถ้ามันเข้าถึงไม่ได้ เห็นไหม เพราะอะไร

เพราะเขาใช้ 4G แล้ว เรายัง 2G อยู่ไง รับไม่ได้ เรารับไม่ได้ เรารู้ไม่ได้ เรารู้ไม่ได้หรอก แต่ชอบกินลูกยอ ถืออยู่นะ 2G เขาบอก 4G ดีมากเลย ก็เชื่อเขา มันรับไม่ได้ มันรับไม่ได้ คลื่นมันเข้ากันไม่ได้

นี่ไง ถ้ามันเป็นจริง เราอยากได้คุณธรรม เราอยากได้ธรรม แต่วุฒิภาวะของเราแค่ไหนล่ะ วุฒิภาวะแค่ไหน เราจะรู้ได้อย่างไรอะไรเป็นธรรมและไม่เป็นธรรมล่ะ เขาใช้ 4G กัน เราใช้ 2G แล้วเราจะไปรู้ได้อย่างไรล่ะ แต่อวดรู้ อวดรู้ อวดเก่ง อวดมีปัญญา อวดไป อวดไปมันก็เรื่องโกหกมดเท็จทั้งนั้นแหละ มารยาสาไถย มันเป็นเรื่องของมารยาสาไถย

ถ้ามารยาสาไถย มันเป็นเรื่องจริตนิสัย จริตนิสัยต้องแก้ไข คนที่มีคุณธรรมนะ คนที่เขาปรารถนานะ เราก็รู้อยู่แล้วใช่ไหมว่าเรามีอวิชชา เรามีความไม่รู้ พอมีความไม่รู้มันมีเหตุมีผล เหตุผลนั้นมันต้องลงใจสิ เหตุผลนั้นมันต้องแก้ไขสิ ไม่ใช่ว่าพูดจนชินปาก ฟังจนชินหู แต่ใจมันด้าน มันด้าน มันด้านด้วยทิฏฐิมานะของมัน

เวลาบอกว่ามิจฉาทิฏฐิ มิจฉาทิฏฐิคือความเห็นผิด เวลาสัมมาทิฏฐิขึ้นมา ถ้าครูบาอาจารย์ที่มีวิหารธรรมท่านมีสัมมาทิฏฐิ สัมมาทิฏฐินั้นอยู่ในหัวใจของท่าน เวลาจะเทศนาว่าการ เวลาแสดงออก แสดงออกด้วยสัมมาทิฏฐิ สัมมาทิฏฐินั้น สัมมาทิฏฐิมีจุดยืนไง มันต้องมีความจริงไง ถ้ามันไม่มีสัมมาทิฏฐิ ไม่มีจุดยืน แล้วคุณธรรมมันอยู่ที่ไหน แล้วความจริงมันอยู่ที่ไหน

แต่ของเรา เรามีแต่มิจฉาทิฏฐิ ว่าความรู้ความเห็นของเรา แล้วเราพยายามจะน้อมนำมาให้เป็นความเห็นของเรา นี่มันโง่หรือมันฉลาดล่ะ คนโง่ก็คือคนโง่วันยังค่ำ มันจะมีฐานะสูงส่งขนาดไหน ถ้าโง่มันก็คือโง่ แต่ถ้าคนที่มีปัญญา จะสูงส่งขนาดไหน จะทุกข์จนเข็ญใจขนาดไหน ฉลาดก็ฉลาด ถ้าคนที่ฉลาด ฉลาดในทิพย์สมบัติ ฉลาดขึ้นมามันรู้จักแยกแยะ อะไรจริง อะไรปลอม อะไรปลอมมันก็ต้องทิ้งสิ ต้องวางสิ มันต้องวาง ของปลอม เราต้องไปสู่ความจริงสิ

แต่นี่ไม่ใช่ ติดของปลอมมานานแล้ว ของปลอมก็เป็นความจริงอยู่ ดูสิ เพชรนิลจินดามีค่าไหม? มีค่า เราไว้ที่ไหนล่ะ? ไว้ที่คอ ไว้ที่ข้อมือ ไว้ที่นิ้ว แล้วถอดทำไมล่ะ ถอดทำไม...นี่มันของปลอมทั้งนั้นแหละ ของจริงคือความรู้สึกเรานี่ไง เพชรนิลจินดามันเครื่องประดับ มันของปลอม มิจฉาทิฏฐิ มันเป็นสมบัติของโลก แล้วเราจะเอาเพชรนิลจินดาไปใช่ไหม เวลาเราตายนะ ต้องใส่เพชรเต็มโลงเราเลยล่ะ เพราะเรามีชื่อเสียง เอาเพชรเต็มโลงแล้วเผาไปเลย อ้าว! ฉันมีชื่อเสียงนะ ฉันมีเงินนะ เวลาเผาต้องเอาเพชรใส่เต็มโลงไปเลย...ใส่ไหมล่ะ เอาออกทำไมล่ะ นี่ไง มันของไม่จริง ถ้าของไม่จริงมิจฉาทิฏฐิ ถ้ามิจฉาทิฏฐิแล้วมันไม่จริงหรอก

เพชรนิลจินดามันมีค่าไหม? มี เพชรมีค่ามาก โลกเขาแสวงหากัน มีคุณค่ามาก แต่มันเป็นสมบัติเราจริงหรือเปล่าล่ะ มันจริงหรือเปล่า มิจฉาทิฏฐิมันจริงหรือเปล่า ถ้าสัมมาทิฏฐิสิ ความดี ความชั่ว บุญกุศลนี้ของเรา จะปฏิเสธไม่ปฏิเสธ เรารู้ ความลับไม่มีในโลก ใครทำสิ่งใดคนนั้นรู้ แล้วไปกับใจดวงนั้น นี่ของเรา สิ่งที่เป็นจริงมันจริงตรงนี้ไง ถ้าเป็นจริงตรงนี้ ที่เรามัดมาวากันก็มาเตือนสตินี่แหละ

เวลาฟังเทศน์ๆ เวลาเบื่อมากเลย “อยู่บ้านมีแต่หลับทั้งวันเลย ไปวัดพระยังจะเทศน์อีก น่าเบื่อ” ไอ้นั่นมันเป็นทิฏฐิมานะ มันเป็นทิฏฐิมานะ แต่เวลาครูบาอาจารย์ท่านพูด ท่านพูดสัจธรรม ถ้าสัจธรรมมันเตือนหัวใจเรา ถ้าใครได้สิ่งนี้มาเป็นสมบัติ การฟังธรรมนี้แสนยาก การฟังธรรมเพราะอะไร เพราะจะฟังธรรมที่ออกมาจากใจ ฟังธรรมที่ออกมาจากสัจธรรมมันแสนยาก เพราะมันไม่มี เวลาไปมันก็ลูกยอทั้งนั้นแหละ มาเถอะ ลูกยอกูเยอะแยะเลย กูยัดตูดทั้งนั้นแหละ ลอยหมด “โอ้โฮ! หลวงพ่อดี๊ดี” ดีอะไรล่ะ ดีเพราะยัดลูกยอเข้าไปไง แต่ถ้าลองเอาเข็มทิ่มมันสิ ทิ่มให้ลูกโป่งมันแตก...ไม่ชอบ ที่ไหนก็ไม่ชอบ นั่นล่ะความจริง ความจริงคือความจริง

ฉะนั้น สิ่งที่เป็นความจริง สิ่งที่เป็นความจริง ยอดของเจดีย์มันเล็กน้อยนัก ฐานของเจดีย์มันกว้าง โลกนี้คนโง่มากหรือคนฉลาดมาก ถ้าคนโง่มาก ไม่ต้องไปสนใจ คนโง่แล้วเราพยายามจะไปดัดแปลงคนโง่ให้ฉลาด เพราะอะไร กรรมบังตาก็มีนะ บางทีคนกรรมบังตา มันรู้ๆ อยู่ ถูกผิด เด็กมันรู้ถูกผิดนะ แต่มันประชดพ่อแม่มัน มันก็แถอยู่อย่างนั้นแหละ มันรู้อยู่ ถูกหรือผิด เด็กมันรู้ แต่มันไม่พอใจพ่อแม่มัน มันแถ มันแถของมันอยู่อย่างนั้นแหละ มันไม่พอใจ แต่รู้ว่าถูกผิดอยู่

นี่ก็เหมือนกัน มันก็รู้ถูกรู้ผิดอยู่ แต่มันก็ถือทิฏฐิมานะมันนั่นแหละ แต่ถ้าลูกยอ ยอเข้าไปเลย ยอเข้าไปมันอาจจะปล่อยถูกผิดได้ เพราะได้ลูกยอแล้ว อันนั้นมันก็เป็นเทคนิค มันเป็นอุบายไง เวลาประพฤติปฏิบัติ ครูบาอาจารย์ที่ดีท่านมีอุบายนะ อุบายสั่งสอน จิตที่สูงกว่าพยายามดึงจิตที่ต่ำกว่า เราก็ว่ามันสูงกว่าต่ำกว่าตรงไหนล่ะ มันไม่เห็นหรอกอะไรสูงกว่าต่ำกว่า รู้ต่อเมื่อเวลาพูดมา คนโง่-คนฉลาดเขาจะรู้ตอนพูด ยิ่งพูดมากมันก็ยิ่งโง่มาก ยิ่งพูดมากมันก็ยิ่งเปิดใจมาก

นี่ไง เวลาเทศน์ หลวงตาท่านบอก เปิดหัวอกเลย ใครมีคุณธรรมแค่ไหนพูดมาได้แค่นั้นแหละ จำมานะ ไปจำธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามา แล้วเวลาเทศน์นะ ท่านเทศน์ดี๊ดี ก็ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็มันจำมาพูด แต่เวลามันพูดๆ ไปแล้วเดี๋ยวมันหลุดของมันออกมา รู้ พูดไปพูดมานะ ทิฏฐิมานะมันออกมาแล้ว เทศน์ธรรมะพระพุทธเจ้าเลย พระพุทธเจ้าบอกให้เสียสละ มักน้อยสันโดษ เทศน์ธรรมะพระพุทธเจ้าเสร็จแล้ว “อาตมายังขาดไอ้นั่น วัดนี้ยังขาดไอ้นู่น” นั่นแหละ นี่มันพูดไง เวลาพูดธรรมะนะ จบลงด้วยเงิน จบลงด้วย มันพูดธรรมะ

แต่เวลาหลวงตาท่านออกมาโครงการช่วยชาติ เวลาคนให้ไม่มีวันจบวันสิ้น ท่านบอกว่าข้าวของเงินทองมันหามาได้แสนยาก ทำพอประมาณ โครงการช่วยชาติทำพอประมาณ ที่ท่านเทศนาว่าการนี้เทศนาว่าการคนที่มันไม่ทำ คนที่มีแล้วตระหนี่ ไม่ช่วยเหลือเจือจานสังคม ท่านพูดเพื่อเหตุนั้น แต่คนที่มีธรรมแล้วต้องรู้จักบันยะบันยัง ต้องรู้จัก ท่านพูดว่า “ต้องรู้จัก เราทำให้ลูกศิษย์กระทบกระเทือน เราทำลูกศิษย์ของเราเศร้าหมอง เราทำๆ” ท่านว่า “เราทำ” แต่สิ่งนั้นมันแลกมาด้วยบุญกุศล สิ่งนั้นเรามาเพื่อหัวใจของเรา ถ้าทำ

เวลาท่านได้มานะ คนที่ทำมากท่านบอกว่าทำพอที่ทำ ที่พูดนี้ไม่ใช่พูดจะเอาอย่างเดียว คนที่ใจเป็นธรรมมันก็จะให้อยู่อย่างเดียว ทั้งๆ ที่ไม่มีมันก็แสวงหาเพื่อจะให้ แต่คนที่มันไม่ให้ อย่างไรมันก็ไม่ให้ ท่านพูดตรงนี้ ท่านพูดตรงคนที่มันไม่ให้ เพราะมันไม่ให้ แต่มันก็ยังอยู่ในสังคมนี้ เพราะมันไม่ให้ ไฟฟ้าเราก็ใช้เท่ากัน ใครมีบ้านมีเรือนก็ต่อไฟเข้าบ้านทั้งนั้น ใครใช้ประปาก็ใช้เท่ากัน ใครเดินถนนก็ต้องเดินด้วยกัน สาธารณูปโภคมาจากไหน? มันก็มาจากรัฐบาล มันก็มาจากเงินของชาติ แล้วเวลาชาติมันกระทบกระเทือน มึงก็ใช้ด้วยกันทั้งนั้นแหละ แต่ฝ่ายหนึ่งเขาช่วยเหลือ แล้วเอ็งช่วยเหลือไหม ท่านพูดตรงนี้ไง จิตใจของคนมันแตกต่างกันอย่างนี้ไง

แต่คนที่มีคุณธรรมท่านรู้ ท่านบอกว่าท่านพูดๆ นี้ พูดที่คนที่มันไม่ให้ แต่คนที่ให้แล้วรู้จักบันยะบันยัง ท่านไม่บอกจะเอาๆๆ...ไม่ใช่ ท่านบอกเอาเท่านี้พอ ที่เหลือเก็บไว้ใช้สอยของเราบ้าง ท่านพูดนะ นี่เวลาท่านพูดออกมา แต่ส่วนใหญ่ท่านไม่พูด ไม่ใช่ว่าพูดเพื่อจะเอาๆ...มันเอาอะไร เขาเอาคุณธรรม เอาน้ำใจต่างหาก เอาจิตใจที่ดีๆ ไปอยู่ที่ไหนมันก็ดี โลกเขาร้อนขนาดไหน เอาคนที่ลงไปนะ คนที่ดีไปพูดให้เขาดีมันก็ดีได้ขึ้นมา หัวใจที่ดีๆ หัวใจที่เป็นน้ำใจ เอาตรงนี้ๆ เอาตรงนี้ เห็นไหม ค่าของใจ แล้วยิ่งปฏิบัติขึ้นไปเป็นสมาธิ เป็นปัญญาขึ้นมา มันมีคุณค่าตรงนั้น

สิ่งที่มีค่าที่สุดคือใจของคน ใจของคนมีค่าที่สุด ทุกข์จนเข็ญใจ ถ้ามีน้ำใจต่อกัน มองด้วยสายตามันลึกซึ้งนะ มันอบอุ่นนะ แต่อยู่ด้วยกัน อยู่ใกล้เคียงกัน แต่ไว้ใจกันไม่ได้เลย ระแวงไปหมดเลย เห็นไหม บอกทุกที ในบ้านเราถ้ามันอบอุ่น ใครๆ ก็อยากกลับบ้าน บ้านเรามันเป็นที่น่ารื่นรมย์ แต่ทำไมบางคนไม่อยากกลับบ้านล่ะ เพราะบ้านมันไม่อบอุ่นไง บ้านไม่อบอุ่น

หัวใจของเราๆ ถ้ามันมีแต่เรื่องเครียดๆ มันมีแต่สิ่งที่บีบคั้น แล้วหัวใจอยู่ไหนล่ะ ถ้าหัวใจอยู่ไหนมันก็ถึงกับทำลายชีวิตเลยไง ไม่มีทางออก ทำร้ายตัวเองๆ เพราะไม่มีทางออกไง มันเข้าบ้านไม่ได้ไง แต่ถ้าเรามาหัด เราฟังธรรมๆ เราพุทโธ ใช้ปัญญาอบรมสมาธิของเรา แก้ไขบ้านของเราก่อน แก้ไขหัวใจของเราก่อน ให้หัวใจเราอบอุ่น เห็นไหม มีน้ำใจแล้ว พอมันคิดได้ ถ้าเราดูสังคม ถ้าบอกว่าคนดีๆ เราต้องแบกรับภาระใช่ไหม คนที่แบบว่ามันดื้อด้าน เราก็ยืนอยู่ห่างๆ

ในหลวงบอก ทำให้คนดีทั้งหมดเป็นไปไม่ได้ แต่ต้องเอาคนดีปกครองคนชั่ว

ทำให้ทุกคนเป็นคนดีไปหมดเป็นไปไม่ได้ เป็นไปไม่ได้ กรรมของสัตว์ เขาทำมาอย่างนั้น เขาคิดอย่างนั้น ยิ่งไปพูด ยิ่งไม่รู้จัก เขาว่าเราโง่นะ เขาจะว่าเราโง่เลย แต่เราก็รักษาคุณธรรมในหัวใจของเรา แต่เอาคนดีปกครองคนชั่ว เอาคนดีปกครองคนชั่ว เรายืนดูอยู่ห่างๆ ถ้ามันเป็นไปไม่ได้ก็คือเป็นไปไม่ได้ แต่เราก็ไม่ลดตัวเราไปเป็นอย่างนั้น

จิตใจที่สูงกว่าจะชักจิตใจที่ต่ำกว่า...อะไรสูง อะไรต่ำล่ะ จิตใจตรงไหนสูง จิตใจตรงไหนต่ำ แล้วถ้าเวลาปฏิบัติไป โสดาปัตติมรรค สกิทาคามิมรรค อนาคามิมรรค อรหัตตมรรค ครูบาอาจารย์ที่ปฏิบัติท่านรู้ สูงกว่าสูงกว่าอย่างไร สูงกว่ามีคุณธรรมมากน้อยแค่ไหน ไอ้ต่ำกว่าๆ มึงพิจารณาขึ้นมาได้ไหม มึงทำตัวให้มีหลักฐานขึ้นมาพิจารณาได้ไหม เขาวัดกันตรงนี้ เขาวัดกันตรงนี้ว่ามรรค ๔ ผล ๔ บุคคล ๔ คู่ ใจดวงเดียวมันเป็นได้หลากหลายนัก เลวก็เลวร้ายนัก เวลามันพัฒนา มันดีนักๆ มันเป็นใครล่ะ ใครมันเป็น

พัฒนาที่นี่ แล้วไม่เดือดร้อน ไม่ต้องวุ่นวาย ไม่เดือดร้อนใคร เวลาภาวนานั่งสมาธิอยู่คนเดียว สว่างเลยนั่งไป ภาวนา ๗ วัน ๗ คืน เดือดร้อนใคร เรานั่งสมาธิเราภาวนาไปเดือดร้อนใคร หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นเดือดร้อนใคร ท่านทำของท่านมาจนพ้นทุกข์ไปแล้วมันเดือดร้อนใคร แต่ท่านทำมีคุณธรรมแล้วสิ สังคมหวังพึ่ง เราหวังพึ่งท่านต่างหาก แล้วท่านมีวิหารธรรม ท่านถึงเป็นหลักของสังคม ท่านถึงให้เราพึ่งได้ เอวัง