เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๑๕ ก.พ. ๒๕๕๘

 

เทศน์เช้า วันที่ ๑๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๘
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ทำไมเราต้องมาวัด เรามาวัด มาวัดทำไม? มาวัดมาทำบุญกุศล ทำบุญกุศลเพื่ออะไร? ทำบุญกุศลเพื่อให้หัวใจมันผ่องแผ้ว ปฏิสนธิจิต เวลาจิตเดิมแท้นี้ผ่องใส จิตเดิมแท้นี้ผ่องใส จิตเดิมแท้นี้เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ ถ้าจิตเดิมแท้นี้เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ เวลาเกิดมา เวลาเกิดมาจิตเดิมแท้พาเกิด มันต้องมีความสุขสิ เห็นไหม มันมีความสุขมากนะ เวลาลูกเล็กเด็กแดงเราดูแล พ่อแม่โอ๋ แก้วตาดวงใจเลยล่ะ เวลาเกิดมา แก้วตาดวงใจ

จิตเดิมแท้นี้ผ่องใส จิตเดิมแท้นี้หมองไปด้วยอุปกิเลส มันต้องมาศึกษาเล่าเรียน มันต้องมีมารยาทสังคม อุปกิเลส กิเลสอย่างละเอียด เราต้องสั่งต้องสอนให้ลูกของเราทันคน ให้ลูกของเรามีปัญญา ให้ลูกของเรา เห็นไหม จิตเดิมแท้นี้ผ่องใส จิตเดิมแท้นี้หมองไปด้วยอุปกิเลส สิ่งที่อุปกิเลส ชีวิตที่เกิดมา จิตเดิมแท้ๆ ปฏิสนธิจิตๆ เกิดมานี้จิตเดิมแท้เกิด พอจิตเดิมแท้มันเกิด เกิดในวัฏฏะ พอเกิดในวัฏฏะไปเกิดในสถานะไหนล่ะ ไปเกิดสถานะไหน เวลาทำบุญกุศลก็เพื่อเหตุนี้ไง

ถ้าทำสิ่งใดมา เวลาคนเกิดมามีอุปสรรคสิ่งใดขัดข้องขึ้นมา เราน้อยเนื้อต่ำใจๆ...ก็เราทำมาทั้งนั้นน่ะ เราทำมาทั้งนั้น เราทำมาทั้งนั้น ถ้าเราทำมาทั้งนั้น เราแก้ไข แก้ไขเพราะปัจจุบันนี้เรามีสติปัญญา มีสติปัญญาเกิดเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา

จะศาสนาใดก็แล้วแต่ ทุกศาสนาสอนให้เป็นคนดี ถ้าสอนให้เป็นคนดี คนดีก็ดีในวัฏฏะนี้ไง แต่ถ้าเราจะประพฤติปฏิบัติขึ้นมา เราจะประพฤติปฏิบัติ ถ้าเรามีความมั่นคงของใจ เวลาปฏิบัติมา พอจิตมันสงบเข้าไป จิตมันผ่องใสๆ จิตสงบเข้ามานี่สมาธิ ความผ่องใสมันมีหลายระดับชั้นนัก ความผ่องใสอย่างนี้มันผ่องใสหมองไปด้วยอุปกิเลส ผ่องใสด้วยการเวียนว่ายตายเกิดไง

แต่เวลาประพฤติปฏิบัติขึ้นไปถึงที่สุด เวลามันผ่านกามราคะไปแล้ว เวลามันใส มันเศร้าหมองมันผ่องใส มันเศร้าหมองมันผ่องใส เวลาประพฤติปฏิบัติทุกข์จนเข็ญใจนะ เวลาทุกข์จนเข็ญใจ เราอาบเหงื่อต่างน้ำเพื่อดำรงชีวิต เวลาประพฤติปฏิบัติ สติสักตัวหนึ่ง สมาธิสักนิดหนึ่งที่มาชโลมใจเรามันหามาจากไหน แล้วคนที่ไม่เคยเจอ มันไม่เคยเจอมันเป็นอย่างใด คนเคยเจอแล้ว คนเคยสุขสำราญ คนมีสถานะ แล้วสมบัติเรามันหายไป มันทุกข์ร้อนขนาดไหน

เวลาจิตไม่เคยสงบเลย มันก็ไม่รู้ว่าอะไรเป็นธรรมโอสถ อะไรเป็นสิ่งที่มันชโลมหัวใจ เราชโลมหัวใจเราก็หาสิ่งภายนอก เวลาเราตกทุกข์ได้ยากขึ้นมาเราก็มีแค่ปลอบประโลมใจกัน เราก็ให้กำลังใจกัน นั่นไง

แต่เวลาจิตมันสงบเข้าไป ดูสิ สุขอื่นใดเท่ากับจิตสงบไม่มี มันสงบ มันร่มเย็นของมัน มันเป็นความมหัศจรรย์ ถ้าใครเป็นสมาธิ จิตใครทำความสงบของใจได้นะ มันจะไปฝังใจอันนั้น แล้วมันจะเป็นความมหัศจรรย์ ความมหัศจรรย์มันพูดออกมาไม่ได้เลยแหละ แต่เวลาใครทำได้แล้ว พอพูดถึงมันซาบซึ้ง แล้วเวลาปฏิบัติมันก็อยากได้อย่างนั้น อยากได้อย่างนั้น นี่ความอยากได้อย่างนั้น

คนเราทุกข์จนเข็ญใจ เขาต้องอาบเหงื่อต่างน้ำเพื่อดำรงชีวิต หาปัจจัย ๔ มาเพื่ออาศัยดำรงชีวิตของเขา นักปฏิบัติเรา สติสักตัว สมาธิสักตัว สิ่งที่เป็นปัญญาสักตัวมันอยู่ไหน เวลาได้มา ได้มาเป็นนามธรรม ได้มาอยู่กับเรา เห็นไหม ธรรมทั้งหลายมาแต่เหตุ ความได้มา ทุกข์จนเข็ญใจ เดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนาด้วยสติ ด้วยความยับยั้งหัวใจ อย่าให้มันคิดมาก เวลามันคิดมากก็ปลอบใจมัน “เอ็งอย่าคิดอย่างนี้สิ ข้าทุกข์มากนะ เอ็งลากข้าไปไหน เอ็งลากข้าไปไหน ทำไมมันทุกข์ขนาดนี้” นี่มีสติยับยั้งไว้ แล้วเราเดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนา

เดินจงกรมเพื่อคำบริกรรมให้จิตมันเกาะไว้ๆ เวลามันคลายตัวออก คลายตัวออก เห็นไหม ความคิดมันเกิดดับ ความคิดมันคิดขึ้นมามันเกิดดับ พอมันเกิดดับ ทั้งๆ ที่เวลาคนทุกข์ขนาดไหน เขาจะทำร้ายตัวเองขนาดไหน มีคนยับยั้งไว้ด้วยสติ เวลาเขาผ่อนคลาย เวลาเขาผ่อนคลายมันไปไหนล่ะ

สิ่งใดเป็นอนิจจัง สิ่งนั้นเป็นทุกข์ สิ่งใดเป็นทุกข์ สิ่งนั้นเป็นอนัตตา ความเป็นอนัตตาของมัน แต่สิ่งนี้มันก็เผาลนเรามาแล้ว อนัตตาความเป็นไปของมันในตัวมันเองมันเผาลนเราแล้ว เผาลนเราเล่า เผาลนเราแล้ว เผาลนเราเล่าอยู่นี่ เราทำบุญกุศลเพื่อให้จิตใจของเรามีอำนาจวาสนาบารมี ถ้ามีอำนาจวาสนาบารมีมันจะมีขันติ ขันติธรรม ขันติธรรมคือยับยั้งไว้ก่อน สิ่งใดทำไม่ได้ก็ยับยั้งไว้ก่อน ทนได้ ว่าอย่างนั้นเถอะ ทุกข์คือความทนอยู่ไม่ได้ ที่ว่าความทุกข์ ทุกข์คืออะไร นั่งนานๆ ก็ทนไม่ได้แล้ว ต้องพลิก

ทุกข์คือความทนอยู่ไม่ได้ เราทนอยู่ไม่ได้ เราโดนสิ่งใดเผาลนอยู่ เราทนไม่ไหว เราทนไม่ไหว เห็นไหม เราสร้างอำนาจวาสนาบารมีของเรา มันมีขันติธรรม ขันติธรรมพอทนอยู่ได้ ทนอยู่ได้นะ แล้วเรามีคำบริกรรม ทนอยู่ได้แล้วจับมันได้ จับ จับหัวใจเรานี่แหละ จับความรู้สึกเรานี่แหละ

เขาดูจิตๆ กัน เขาดูอารมณ์ความรู้สึก ดูไอ ดูควันไง แต่ของเรา ความร้อนมันแผดเผา เรามีสติมีปัญญาของเรา เราดูของเรา ดูอารมณ์ความรู้สึก เวลามันวาง มันวาง เพราะมันทำทะลุเข้าไป เปลือกส้ม ซื้อส้มมาไม่มีใครกินเปลือกส้มเลย เขาแกะเปลือกทิ้ง เขาจะกินเนื้อส้ม ซื้อส้มมาก็แกะเปลือกส้มทิ้ง อารมณ์ความรู้สึกมันเป็นประโยชน์ไหม

ถ้าคน เด็กมันเกิดมาใบ้บ้า เขาต้องพยายามรักษาของเขา นี่ก็เหมือนกัน สิ่งที่มันเป็นเปลือกส้มมันก็เป็นประโยชน์ไง มันเป็นประโยชน์เพราะมันเป็นการสื่อสาร ขันธ์ ๕ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ สัญญา สัญญาการศึกษา สุตมยปัญญา ค้นคว้า วิเคราะห์วิจัยนี่เป็นสัญญา สัญญา เราวิเคราะห์วิจัย เราวิเคราะห์เรื่องอะไร เราวิจัยเรื่องอะไร แล้วมันวิจัยมันวิเคราะห์ไปเรื่อย ข้อมูลมันมากขึ้นไปเรื่อย มันลึกซึ้งไปเรื่อย มันลึกซึ้งไปเรื่อย มันมีสัญญา มีพื้นฐาน มันมีพื้นฐานของมัน

เราศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเราก็ศึกษาด้วยสัญญา ศึกษาด้วยความจำ สัญญา สังขาร ความคิด ความปรุง ความแต่ง วิเคราะห์วิจัยของเรา เวลามาปฏิบัติ ไอ้สิ่งที่ว่าวิเคราะห์วิจัย เปลือก ใครไปเคี้ยวเปลือกขมนะ ซื้อส้มมา อ้าว! เราปอกเปลือกส้มไว้นี่ แล้วเอ็งกินเปลือกส้มนะ ข้าจะกินเนื้อส้ม

นี่ไง สิ่งที่เราวิเคราะห์วิจัยมา สิ่งที่ว่าเป็นประโยชน์ๆ มันเป็นประโยชน์ทั้งนั้นแหละ แต่เวลาจะภาวนา เปลือกส้มเขาไม่กิน แต่เราทะลุเปลือกส้มเข้าไป เราก็ต้องมีสติปัญญา เรามีสติปัญญาของเรานะ สิ่งนี้เป็นประโยชน์ไหม? เป็น เป็นประโยชน์กับโลก แต่ตอนนี้เราจะประพฤติปฏิบัติ จิตเดิมแท้นี้ผ่องใส ปฏิสนธิจิต จิตที่เวียนว่ายตายเกิด เราจะรู้จัก เราจะสัมผัสไง

เขาไปอินเดียกัน ไปสังเวชนียสถานทั้ง ๔ ไประลึกถึงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราพุทธโธๆๆ เราจะเข้าไปถึงพุทธะของเราเองเลยล่ะ ถ้ามันผ่านเปลือกส้มนั้นเข้าไปมันก็เป็นเนื้อส้ม สิ่งที่เป็นสัญญา ศึกษาๆ มา ศึกษามาเป็นสัญญาทั้งนั้นแหละ แล้วเวลาปฏิบัติมันก็จินตนาการแล้ว “เป็นอย่างนั้นนะ” รู้ไปหมด เพราะรู้ไปหมด รู้ก่อน รู้โจทย์แล้ว สอบแล้วไม่ได้เลยเพราะว่าเขาไม่ให้คะแนน เพราะมันรู้ไปก่อน รู้ล่วงหน้า แล้วเวลาทำ เวลาจะทำก็ทำสัญญา ทำให้เหมือน แล้วมันเหมือนจริงไหม ถ้ามันเหมือนจริงนะ รสของธรรมชนะซึ่งรสทั้งปวง ถ้ามันจริง เวลาสงบมันสงบนะ เวลาสงบขึ้นมามันจะมีความร่มเย็นของมัน

จิตเดิมแท้นี้ผ่องใส เวลาพิจารณาไป เวลามันผ่องใสมันจะผ่องใสขนาดไหน ผ่องใสใครไปรู้ว่าผ่องใส ใครไปรู้ ถ้าเป็นสมาธิใครไปรู้ผ่องใส มันจะสว่างขนาดไหน มันจะผ่องใสขนาดไหน จิตรู้ทั้งนั้นแหละ ถ้าจิตไม่ออกรู้ ความผ่องใส พระอาทิตย์มันสว่างอยู่นั่นน่ะ พระอาทิตย์ก็พระอาทิตย์ พระอาทิตย์ให้พลังงาน แล้วใจของเรามันก็ให้พลังงานอยู่ พลังงานมันส่งออก นี่จิตเดิมแท้ สัญชาตญาณของมนุษย์ การเกิดหัวใจนี้สำคัญที่สุด แล้วมันเกิดขึ้นมาเป็นเรา สิ่งที่เป็นเรา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้ทวนกระแสกลับไง พระพุทธศาสนาคือทวนกระแสกลับ ทวนกระแสกลับด้วยสติด้วยปัญญา ถ้าทวนกระแสกลับด้วยสติด้วยปัญญา

คนคนหนึ่ง ในบรรดาสัตว์ ๒ เท้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประเสริฐที่สุด ในบรรดาสัตว์ ๒ เท้า คนคนหนึ่ง เจ้าชายสิทธัตถะเวลามาพิจารณาอาสวักขยญาณชำระล้างอวิชชาไปแล้ว นั่นล่ะมหาบุรุษ แล้วคนคนหนึ่ง เราก็เป็นคนคนหนึ่งไง เราก็สามารถทำได้ไง

เราศึกษามาทางวิชาการเป็นสัมมาอาชีวะ เราเกิดมาทำมาหากินเพื่อเลี้ยงชีพ เลี้ยงชีพขึ้นมา พอเลี้ยงชีพขึ้นมา เราเลี้ยงชีพขึ้นมามันมีความสุขความทุกข์ขนาดไหน มันก็เป็นความสุขความทุกข์ประจำโลกอย่างนี้ แต่ถ้าเรามีสติมีปัญญา เราจะแสวงหาของเรา ทำมาหากินเราก็ทำ มันเป็นอัตตสมบัติ สมบัติส่วนตนไง มันเป็นปัจจัตตัง เป็นสันทิฏฐิโกที่จิตดวงนั้นมันได้สัมผัส แล้วจิตได้สัมผัส ดูสิ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมา ในบรรดาสัตว์ ๒ เท้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประเสริฐที่สุด

ประเสริฐสิ ประเสริฐเพราะอะไร เพราะรื้อสัตว์ขนสัตว์ รื้อสัตว์ขนสัตว์เราจะไปรื้อที่ไหนล่ะ ดูสิ เวลาเขาเอาสัตว์เข้าฟาร์มเพื่อไปเชือด จะรื้อสัตว์ขนสัตว์อย่างนั้นใช่ไหม จะขนกันไปอย่างนั้นใช่ไหม...ไม่ใช่

รื้อสัตว์ขนสัตว์คือสัตตะผู้ข้อง แล้วใครเป็นคนข้อง ใครเป็นคนข้อง เวลาดีใจก็ใจนี้ดีใจ เวลาเสียใจก็ใจนี้เสียใจ เวลาทุกข์ก็ใจนี้เป็นคนทุกข์ ใครเป็นคนข้อง วัตถุมันทุกข์ไหม สสารมันทุกข์ไหม ความทุกข์มันอยู่ที่ไหน ความทุกข์ก็คือหัวใจเรานี่ไง ความทุกข์ก็ความชอกช้ำเจ็บช้ำนี่ไง นี่ไง สัตตะนี่ไง ไอ้สัตว์ตัวนี้ไง ไอ้ผู้ข้องเขาไปยึดเขา ไปรับรู้เขา

รื้อสัตว์ขนสัตว์ รื้อสัตว์ขนสัตว์ที่นี่ พุทธกิจ ๕ เช้าขึ้นมาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะเล็งญาณ เล็งญาณนะ สัตว์ตัวใดที่มีอำนาจวาสนา ถ้าไม่มีอำนาจวาสนาไปพูดเขาไม่ฟัง ไปพูดคนละเรื่องเลย นรกสวรรค์เรายังไม่เชื่อเลย สัตว์ตัวใดมีอำนาจวาสนา แล้วเขาจะหมดโอกาส จะไปโปรดสัตว์นั้นก่อน ไปโปรดสัตว์นั้นก่อน เพราะเขามีอำนาจวาสนา แล้วถ้าไม่ได้ไปโปรดเขา เขาจะหมดอำนาจวาสนา

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไปบิณฑบาตนะ ไปกับพระอานนท์ มันมีทุคตะเข็ญใจไป ๒ คนเขานั่งขอทานอยู่ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแย้มพระสรวล ยิ้ม ถ้ายิ้มต้องมีความหมาย พอยิ้ม พระอานนท์เป็นผู้อุปัฏฐากเห็นใช่ไหม กลับมาตอนเย็นตอนอุปัฏฐากก็ถามว่า “ตอนเช้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบิณฑบาตไปยิ้มทำไม”

“เห็นทุคตะเข็ญใจสองคนนั้นไหม”

“เห็น เห็นพระเจ้าค่ะ”

“ทุคตะสองคนนั้น ถ้าตอนที่เขาได้เห็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก่อนหน้านี้ อย่างน้อยเขาจะได้เป็นอนาคามี”

แต่เพราะรื้อสัตว์ขนสัตว์เวลามันไม่มี มันไม่พอไง ฉะนั้น สองคนตายายแต่เดิมเป็นเศรษฐี แล้วโดนคนใช้ โดนคนในบ้านหลอกลวงจนหมดเนื้อหมดตัว แล้วเขาเล่นการพนัน จิตใจพอคนเรามันสูงส่งขนาดนั้นแล้วมันหมดตัว จากเศรษฐีนะ ต้องมาเป็นขอทานเพราะเล่นการพนัน คนใช้ทำลายทรัพย์สินจนหมด มาเป็นขอทาน

พอเป็นขอทาน ขอทานเพื่อดำรงชีวิตไง ทีนี้ขอทานเพื่อดำรงชีวิต จิตใจมันมีแต่ความทุกข์ พูดธรรมะมันก็ไม่ฟังแล้ว พูดธรรมะนะ “เอาฐานะฉันกลับมา เอาความเป็นเศรษฐีของฉันกลับมา” มันจะคิดอย่างนั้นน่ะ นี่ไง เวลาเล็งญาณๆ เวลาประเสริฐประเสริฐอย่างนั้น ประเสริฐเพราะเล็งญาณ เห็นจิตใจดวงใดที่มีอำนาจวาสนา แล้วเขาจะหมดอายุขัย เขาจะมีปัญหา ไปเอาดวงนั้นก่อน แล้วมันเอาไม่ทัน มันเยอะมันแยะไปหมด นี่ไง ที่ว่าโปรดสัตว์ๆ เขาโปรดกันอย่างนั้น ไม่ใช่โปรดสัตว์ของเราหรอก โปรดสัตว์ของเรา โปรดตัวเองไง บิณฑบาตมา “ใส่บาตรฉันหรือเปล่า” สิ่งต่างๆ หาแต่ปัจจัยไง แต่หัวใจของคนล่ะ

ดูเวลาหลวงตาท่านพูด เวลาท่านไป เราก็มอง หลวงตาท่านไปโครงการช่วยชาติเราก็ว่าท่านไปหาสตางค์ ท่านบอกไม่ใช่ อันนั้นมันปลายเหตุ คือธรรมะมันจะได้ออก ธรรมะๆ เอาหัวใจคน หัวใจคนมันสัมผัสธรรมไง ให้เห็นว่าศาสนามันมีความสำคัญ ให้เห็นว่าศาสนาช่วยโลกได้ ให้เห็นว่าถึงคราวที่มันมีภัยต่างๆ ศาสนาก็เป็นประโยชน์ไง

เราก็บอก “พระลูกตุ้มสังคม เอารัดเอาเปรียบ ไม่ทำสิ่งใดเลย สังคมเขาต้องปากกัดตีนถีบ พระเอาสุขสบาย”

สุขสบายมันก็แค่ปัจจัย หัวใจมันสุขสบายที่ไหน หัวใจของคนที่แสวงหาทางออกมันสบายที่ไหน หัวใจ ถ้าหัวใจมันทุกข์มันยาก นั่นล่ะเขามาทำกันตรงนั้นแหละ ศาสนา ธรรมโอสถเขารักษาที่นั่น จิตเดิมแท้นี้ผ่องใส ดูสิ ปฏิสนธิจิตที่เวียนว่ายตายเกิด การเวียนว่ายตายเกิดมันเวียนว่ายตายเกิดเพราะอะไรล่ะ มันเวียนว่ายตายเกิดเพราะบุญกรรมนั่นล่ะ ถ้าเวียนว่ายตายเกิดเพราะบุญกรรม เราก็บอกว่าถ้าเราเกิดมาแล้วมีแต่กรรมชั่ว เราเกิดมาแล้วมีแต่ความทุกข์ความเข็ญใจ แล้วกรรมดีไม่มีหรือ

กรรมดี ถ้าไม่มีกรรมดีไม่มาเกิดเป็นมนุษย์ ไม่มาเกิดเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา แล้วกรรมดีๆ มันอยู่ที่ไหนล่ะ? กรรมดีอยู่ที่การกระทำ แล้วการกระทำพุทโธล่ะ หายใจเข้าและหายใจออก

เราบอกว่า “เราไม่มีอำนาจวาสนา เราทำสิ่งใดไม่ได้”

มีลมหายใจไหม ถ้ามีลมหายใจอยู่ แล้วมีสติอยู่ เรานึกพุท มีลมหายใจอยู่ ลมหายใจออกเรานึกโธ มีลมหายใจ เรามีสติอยู่ เป็นอานาปานสติ เป็นพุทธานุสติ แต่เวลาเขาหายใจทิ้งเปล่าๆ เขาก็หายใจอยู่ แต่เขาไม่กำหนด มันเป็นอานาปานสติหรือเปล่าล่ะ? มันไม่เป็น ไม่เป็นเพราะอะไรล่ะ สัตตะผู้ข้องมันไม่ได้สนใจไง จิตของเราไม่ได้สนใจไง จิตของเรามันไม่ได้ประโยชน์ไง

แต่ถ้าเราพุทโธขึ้นมา จิตของเราได้ประโยชน์ไง เพราะจิตของเราเป็นผู้เกาะ จิตของเราเป็นผู้กำหนด จิตของเราเป็นผู้กระทำ มันถึงเป็นพุทธานุสติ มันถึงเป็นอานาปานสติ แล้วมันก็เป็นขึ้นมา

ลมพัดอยู่อย่างนี้ ลมมันก็พัดของมันอยู่อย่างนั้น มันไม่เป็นอานาปานสติ แต่ถ้าใจมันติด ใจมันข้อง มันกำหนดขึ้นมามันก็เป็นอานาปานสติ แล้วบอกว่า “เราไม่มีอำนาจวาสนา เราเกิดมาเราทุกข์จนเข็ญใจ”

แล้วมันไม่มีลมใช่ไหม เราไม่มีลมหายใจหรือ เราไม่มีสติปัญญาหรือ แต่สติปัญญามันไม่คิดตรงนี้ไง มันไปคิดแต่ปัจจัยเครื่องอาศัย คิดแต่ผลประโยชน์ไง มันว่าเป็นผลประโยชน์

เรามีข้าวของเงินทองเยอะแยะเลย แต่ถึงเวลาเราต้องพลัดพรากจากมัน มันเป็นประโยชน์กับเราไหม แต่เวลาบุญกุศลเป็นประโยชน์กับเรา เราทำมาเรารู้ เราได้ทำอะไรมาบ้างเรารู้ทั้งนั้นแหละ มันเป็นประโยชน์กับเรา กรรมดีๆ กรรมดีที่นี่ ทำดีที่นี่ ไปวัดไปวา เพราะมันต้องมีปฏิคาหก ผู้ให้ ผู้รับ มันมีผู้ให้ ผู้รับ มันก็มีผล มันมีเจตนา มีการกระทำ มีผลกระทบ มันมีไปหมดแหละ นี่ธรรมทั้งหลายมาแต่เหตุ มันมีเหตุมีปัจจัยของมันทั้งนั้นแหละ ถ้ามีเหตุมีปัจจัยของเรา เราตั้งสติที่นี่ ทำที่นี่เพื่อประโยชน์กับเรา เพื่อประโยชน์กับเรา

ฟังธรรมๆ เพื่อเหตุนี้นะ แล้วถ้าใครภาวนาขึ้นไป พอจิตมันสงบเข้าไปนะ มันจะเห็นว่าไอ้จิตเดิมแท้ผ่องใสมันผ่องใสอย่างไร แล้วมันผ่องใสแค่ไหน ปฏิสนธิจิต จิตเดิมแท้ ปฏิสนธิจิต แต่ของเราวิญญาณ วิญญาณรับรู้ วิญญาณในขันธ์ ๕ โสตวิญญาณ ฆานวิญญาณ ชิวหาวิญญาณ วิญญาณนี้มันเป็นวิญญาณอายตนะ แต่ถ้ามันเป็นปฏิสนธิวิญญาณ วิญญาณเฉพาะตัวมันเอง แล้วถ้ามันสงบโดยตัวมันเอง นี่เป็นสัมมาสมาธิ วิปัสสนาเป็นชั้นเป็นตอนเข้าไปมันสำรอก มันคายของมัน สังโยชน์ มันคายสังโยชน์ออกเป็นชั้นเป็นตอนขึ้นไปถึงตัวมันแท้ๆ เลยนะ

ตัวมัน เวลาตัวมันแท้ๆ มันไม่กระทบสิ่งใดเลย มันจับต้องได้ยากไง นี่จิตเดิมแท้ แล้วมันเศร้าหมอง มันผ่องใสในตัวมันอยู่อย่างนั้นแหละ ถ้าจับได้สิ่งนี้ นี่ถึงที่สุดแห่งทุกข์ ถ้าจับได้จริง เห็นได้จริง เพราะอะไร อาสเวหิ จิตฺตานิ วิมุจฺจึสูติ อาสวะสิ้นไป จิตเป็นผู้บรรลุ อาสเวหิ สิ่งที่เป็นอาสวขัยมันสิ้นไปจากใจ อาสเวหิ จิตฺตานิ วิมุจฺจึสูติ จิตมันเป็นผู้วิมุตติ จิตมันพ้นออกไป ถ้าจิตมันพ้นออกไป จบ นั่นล่ะจิตเดิมแท้ ถ้ามันเป็นจริง ภาวนาไปมันจะเห็นของมัน นี่เราฟังธรรมเพื่อเหตุนี้

แต่บอกว่าเราฟังธรรมๆ เพื่อเป็นชาวพุทธ เราฟังธรรมเพื่อเป็นบุญกุศล บุญกุศลก็สร้างสมขึ้นมา ถึงที่สุดถ้ามันทำได้มันเป็นประโยชน์กับเรา เป็นประโยชน์กับเรา แล้วจะได้เห็นประโยชน์จริงๆ

เราเห็นกันนะ เห็นวัดเห็นวา เห็นสิ่งปลูกสร้าง โอ้โฮ! วัดมันเจริญงอกงามอย่างนั้น สิ่งนั้นมันเจริญงอกงาม แต่ไม่ได้เห็นเลย เราพูดบ่อยมาก ศาสนาเจริญอีกหนหนึ่ง เจริญในใจของหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพยากรณ์ไว้ กึ่งพุทธกาลศาสนาจะเจริญอีกหนหนึ่ง ถ้าไม่มีหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นมาเป็นผู้รื้อค้น ไม่มีคนวางข้อวัตรปฏิบัติให้เราประพฤติปฏิบัติตามกันมา มันจะไม่มีวงกรรมฐานอย่างนี้หรอก

วงกรรมฐานอย่างนี้มันต้องมีผู้นำ แล้วผู้นำก็หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นนำมา แล้ววางข้อวัตรปฏิบัติไว้ วางแนวทางไว้ให้เราเห็นร่องรอย ถ้าเราไม่เห็นร่องรอย เราจะเชื่อไหม คนที่ทำไม่ได้ผล คนที่ไม่มีมรรคมีผล เราจะเชื่อไหม แล้วถ้ามันมีมรรคมีผลอย่างนั้น แล้วเดินนำหน้าเราอยู่นี่ แล้วเราทำอะไรอยู่ ถ้าเรามีสติมีปัญญา เราคิดอย่างนี้เพื่อประโยชน์กับตัวเรา เอวัง