เทศน์เช้า วันที่ ๒๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๘
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี
เราเกิดมาเป็นมนุษย์นะ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา ถ้าเกิดมาพบพระพุทธศาสนา ดูสิ วัยรุ่น ผู้ที่ยังวุฒิภาวะอ่อนด้อยเขาจะบอกพ่อแม่ พ่อแม่ไปวัดทำไม พ่อแม่อยู่บ้านก็มีความสุขได้ ไปวัดไปวาไปกราบทองเหลือง ไปกราบอิฐ กราบหิน กราบทราย กราบปูน เพราะพระพุทธรูปก็สร้างมาจากธาตุ ๔ นี่เวลาเด็กมันคิดมันคิดอย่างนั้นน่ะ เวลาเด็กมันคิดนะ ถ้าทำความดีเราก็ทำของเราได้ไง ถ้าวุฒิภาวะของเด็กมันคิดได้แค่นั้น
แต่เวลาเราไปวัดไปวา หลวงปู่ฝั้นท่านบอกเลย ไปวัดไปวัดใจเรา มันหงุดหงิดไหม มันพอใจไหม ถ้าความพอใจนั้น ดูสิ เขื่อนมันจะพังเพราะตามดนั่นล่ะ เวลาแผ่นดินไหวเขาว่าเขื่อนมันจะพังไหม เขื่อนมันจะพังไหม ถ้าพังน้ำจะท่วม มันจะทำลายบ้านเรือนคน
นี่ก็เหมือนกัน เรามาวัดมาวา ดูเจตนาของเรา ดูความรู้สึกนึกคิดเล็กน้อยๆ เราหามาเล็กน้อย แต่มันเคยไง เวลาหลวงตาท่านสอนพระนะ อย่าให้มีหนึ่งนะ ถ้ามีหนึ่งมันจะมีสอง เวลามันจะไป ดึงมันไว้ มันจะไปบอกกูไม่ไป มันจะทำบอกกูไม่ทำ นี่หลวงตาท่านสอนไง บอกอย่าให้มีหนึ่ง ถ้ามีหนึ่งมันจะมีสอง มีสาม มีสี่เลย พอเคยทำแล้วมันจะทำซ้ำทำซาก ให้ฝืนไว้ๆ ถ้าเราฝืนไว้ ถ้าเราฝืนไว้แล้วเราบอกว่าสิ่งที่ฝืนไว้มาจากไหนล่ะ
เราเกิดเป็นมนุษย์นะ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา พระพระพุทธศาสนาสอนถึงที่สุดแห่งทุกข์ เวลาเวียนว่ายตายเกิด คนจะมีความสุขความอุดมสมบูรณ์ขนาดไหนมันก็มีความสุขติดในใจมาทั้งนั้นแหละ ในสโมสรสันนิบาตทุกดวงใจว้าเหว่ ทุกดวงใจ ทุกดวงใจที่เวียนว่ายตายเกิดมีกิเลสมีตัณหาความทะยานอยากอยู่ในหัวใจแน่นอนล้านเปอร์เซ็นต์ แล้วล้านเปอร์เซ็นต์แล้วสิ่งนั้นมันคืออะไรล่ะ
แง่บวก-แง่ลบ สิ่งที่มันไม่มีขั้วบวก-ขั้วลบมันก็เกิดเป็นไฟขึ้นมาไม่ได้ สิ่งที่มันมีบวก-มีลบขึ้นมา มันมีกรรมดีกรรมชั่วมันถึงมีแรงขับดัน พอมีแรงขับดันขึ้นมามันก็มาเกิดในวัฏฏะ พอมาเกิดในวัฏฏะ เกิดในวัฏฏะก็เวียนว่ายตายเกิดอยู่อย่างนี้ ของนี้มันของเก่าแก่ทั้งนั้นแหละ เกิดซ้ำเกิดซากขึ้นมา ของอย่างนี้เราไม่เคยใช้หรือ ของอย่างนี้เราไม่เคยพบเคยเห็นหรือ มันก็เคยพบเคยเห็นมาทุกภพทุกชาตินั่นแหละ แต่มันเป็นความยอมจำนน เราต้องเวียนว่ายตายเกิด เพราะเราหลีกเลี่ยงไม่ได้ไง
แต่เวลามาฟังธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสร้างสมบุญญาธิการมาเป็นพระโพธิสัตว์ๆ จะได้เป็นกษัตริย์อยู่แล้ว ถ้าได้เป็นกษัตริย์ ในโลกนี้กษัตริย์ก็สูงที่สุดแล้ว ถ้าสูงที่สุดแล้ว สูงที่สุดแล้วมันก็เป็นเหยื่อ เหยื่อล่อให้เราอยู่ในวัฏฏะนี้ไง จะได้เป็นจักรพรรดิ จะได้ปกครองโลกทั้งหมดเลย แต่มันก็ต้องตาย คนปกครองโลกขนาดไหนนะ ดูสิ เวลาจะส่งต่อไป ดูสิ คนทุกคนมีธุรกิจ เวลาส่งต่อไปรุ่นที่ ๒ รุ่นที่ ๓ เราคิดอย่างไรล่ะ รุ่นที่ ๒ รุ่นที่ ๓ มันจะดูแลได้ไหม รุ่นที่ ๒ รุ่นที่ ๓ มันจะฉลาดพอเพียงไหม รุ่นที่ ๒ รุ่นที่ ๓ มันจะรักษาได้ไหม มันเป็นความทุกข์ไหม? เป็นความทุกข์ทั้งนั้นแหละ ถ้าเป็นความทุกข์ ความทุกข์เป็นเพราะพอใจไง เพราะชาติตระกูลเรามั่นคงไง ชาติตระกูลมั่นคงมันก็มั่นคง สาธุ! ใครทำบุญกุศลมาสิ่งใดมันก็ได้ประโยชน์สิ่งนั้น
แต่ถ้าเขาไม่ได้ทำของเขามา เขาไม่ได้ทำของเขามา สิ่งใดเขาจะรักษาเอาไว้ได้ไหม เป็นความทุกข์ไหม? เป็นความทุกข์ทั้งนั้นแหละ ถ้าเป็นความทุกข์ทั้งนั้น สิ่งที่เป็นทุกข์เป็นสัจจะ มันเป็นสัจจะ เป็นอริยสัจจะเลย แล้วถ้าเรามีสติมีปัญญา ฟังธรรมๆ ที่นี่ ไม่ใช่ว่าไปวัดไปวาก็ไปกราบอิฐ หิน ทราย ปูนนั่นน่ะ พระพุทธรูปก็สร้างจากอิฐ หิน ทราย ปูนไง
แต่เวลาหลวงตาท่านถามว่ากราบถึงพระไหม กราบถึงพระไหม
กราบถึงพระ กราบถึงพระ กราบถึงปัญญาคุณ พุทธคุณ เมตตาคุณขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ดูสิ เวลาพระอัญญาโกณฑัญญะเป็นสงฆ์องค์แรกของโลก เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเทศนาว่าการ พระอัญญาโกณฑัญญะมีดวงตาเห็นธรรมเป็นสงฆ์องค์แรกของโลกเลย ท่านอยู่ป่าอยู่เขามาตลอด เอาหลานมาบวชองค์หนึ่ง พระปุณณมันตานีบุตรเป็นธรรมกถึก เป็นเอตทัคคะในทางแจกแจงธรรมะ เป็นหลานของพระอัญญาโกณฑัญญะ เอาหลานมาบวชองค์เดียว แล้วอยู่ในป่ามาตลอดเลย
แล้วองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้แล้วอยู่ในป่าล่ะ ถ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้แล้วนะ เสวยวิมุตติสุขอยู่แต่ในป่า ไม่เผยแผ่ธรรม ไม่รื้อสัตว์ขนสัตว์ล่ะ นี่ไง พูดถึงเวลามารื้อสัตว์ขนสัตว์ สิ่งนั้นรื้อสัตว์ขนสัตว์ในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้ารื้อสัตว์ขนสัตว์ รื้อสัตว์ขนสัตว์ที่ไหน
เรารื้อสัตว์ขนสัตว์ก็ขึ้นคัทเอาท์เลย วันนี้จะเข้าสมาบัติ ใครอยากได้บุญ มาเยอะๆ จะรื้อสัตว์ขนสัตว์อย่างนั้นหรือ
รื้อสัตว์ขนสัตว์ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเล็งญาณ เล็งญาณเข้าไปในหัวใจของสัตว์โลก ใครที่มันมีทุกข์มียากในใจนั่นน่ะ แล้วถ้ามีอำนาจวาสนา แล้วอายุเขาสั้น ไปเอาคนนั้นก่อน เล็งญาณเขารื้อสัตว์ขนสัตว์ เขารื้อสัตว์ขนสัตว์ไปปลดทุกข์ในใจอันนั้น ปลดทุกข์ในหัวใจ หัวใจที่มันทุกข์มันยาก ที่มันเวียนว่ายตายเกิด ที่มันมืดบอดอยู่นั่นน่ะ เวลามันรื่นเริง มันหลงใหลอยู่ในโลกนั่นน่ะ ไปสะกิดให้มันรู้สึกตัวไง ถ้ามันรู้สึกตัวขึ้นมามันได้คิด ถ้ามันได้คิดแล้วมันได้หาทางออกของมันไง นี่เขารื้อสัตว์ขนสัตว์กันอย่างนั้น เขาไม่ได้รื้อสัตว์ขนสัตว์ขึ้นคัทเอาท์ตัวใหญ่ๆ จะเข้าสมาบัติ จะเข้านิโรธ
ไอ้นั่นมันหาสตางค์ ในเมื่อธรรมะมันมีคุณค่าน้อยกว่าเงินทองใช่ไหม ธรรมะมันมีคุณค่าน้อยกว่าเงินทอง แล้วธรรมมันเหนือโลกได้อย่างไร
เวลาครูบาอาจารย์ท่านมีคุณธรรมในหัวใจ ท่านบอกว่า นั่นน่ะไอ้หลังลาย กระดาษมันเปื้อนหมึก นี่ท่านมองกันอย่างนั้น ท่านมองว่าสิ่งนั้นในเมื่อถ้าอยู่กับโลกอยู่กับสมมุติ มันก็เป็นปัจจัยเครื่องอาศัยแลกเปลี่ยน ในเมื่อมันต้องมีปัจจัย ๔ ปัจจัย ๔ ก็คือปัจจัย ๔ ปัจจัย ๔ มันพึ่งได้ไหม กินเข้าไปแล้วมันก็หมด แต่ความสุขความทุกข์ในใจมันอยู่อย่างไร ถ้าความสุขความทุกข์ในใจอยู่อย่างไร เราเกิดมาเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา แล้วเรามีความขวนขวายของเราไง
เวลาต้นไม้นะ ดูสิ เวลาเขาปลูกป่ากัน ต้นไม้ ถ้าต้นไม้เนื้อแข็ง ต้นไม้ที่สวยงาม ใครๆ ก็อยากได้ต้นไม้นั้น แล้วในป่ามันมีแต่หญ้า มีแต่สิ่งรกชัฏ สิ่งที่ไม่มีใครต้องการ นี่ก็เหมือนกัน สิ่งที่เวลาเราไปวัดไปวา เราไปวัดไปวาเพื่ออะไร? เราไปวัดไปวาเพื่อวัดใจของเราไง ถ้าวัดใจของเรา เราดูแลหัวใจของเราไง
สิ่งที่มีค่าที่สุดคือความรู้สึกนะ แก้วแหวนเงินทองก็กองอยู่นั่นน่ะ มันมีความรู้สึกไหม ไอ้เราต่างหากสุขทุกข์ ไอ้เราต่างหากล่ะ ไอ้เราต่างหาก อู๋ย! ของกูๆ แล้วมันรู้อะไรกับเราไหม? มันไม่รู้อะไรกับเราเลย เราทั้งนั้น มีสุขมีทุกข์มันอยู่ที่ใจเรา สิ่งที่มีคุณค่าที่สุดคือหัวใจเรา เพราะเราเกิดมามีชีวิตนะ
สิทธิในธนาคาร สิทธิในทรัพย์สินเป็นของเรานะ ตายไปเดี๋ยวนี้มันของใคร ตายไปเดี๋ยวนี้มันของใคร เพราะมันมีสิทธิอยู่ มันมีชีวิตอยู่มันถึงเป็นของเรา แล้วของเรา แต่เวลาตายไปแล้ว สิ่งที่ตายไปกับหัวใจนี้คือเอ็งได้ทำดีทำชั่วมาขนาดไหนล่ะ บาปกับบุญไปกับเอ็ง นี่ไง เรามาวัดมาวา เราไปทำบุญๆ ไอ้ที่เขาบอกว่ามันโง่ๆ มันไม่รู้จักแสวงหาความสุข
ไอ้ที่แสวงหาความสุขมามันได้อะไรมา มันตายไปแล้วมันจะไปเฝ้าที่นั่น มันอยากจะไปเที่ยวต่อ แล้วมันได้ไปเฝ้าที่นั่นไหม แต่ถ้าเรามีบุญกุศลมันมีค่ากว่าไง เห็นไหม
เวลาหลวงปู่มั่นท่านธุดงค์ขึ้นไปเชียงใหม่ มันมีชีกับสามเณรน้อย สองคนพี่น้อง พี่สาวกับน้องชาย พี่สาวบวชชี น้องชายบวชเณร แล้วมีใจมั่นคงตรงกัน ได้สร้างเจดีย์ สร้างเจดีย์ถวาย มันเป็นวัฒนธรรมทางพม่าที่เจดีย์เยอะๆ มันวัฒนธรรมที่ไหนเขาก็ทำตามวัฒนธรรมของเขา เขาสร้างเจดีย์ของเขา เขามีความสุขของเขา เขารื่นเริงของเขา เพราะบวชทั้งพี่ทั้งน้อง พี่สาวเป็นชี น้องชายเป็นเณร แต่สร้างๆ อยู่มันเกิดโรคระบาดตายทั้งคู่ ได้เสียชีวิตไปก่อนไง หลวงปู่มั่นท่านไปภาวนาอยู่ที่นั่น เวลาจิตท่านลงไปท่านเห็นแม่ชีกับเณรน้อยมาเดินวนอยู่นั่นน่ะ
สุดท้ายแล้วหลวงปู่มั่นก็ถามว่าทำไมเป็นอย่างนี้ล่ะ
จะมาสร้างบุญกุศล ทำคุณงามความดี แต่ทำยังไม่เสร็จ พอทำไม่เสร็จ เสียชีวิตไปก่อน พอเสียชีวิตไปก่อนก็ยังห่วงอาลัยอาวรณ์อยู่
หลวงปู่มั่นท่านก็เทศนาว่าการ ความดีก็คือความดี เราทำความดีแล้วมันก็เป็นความดีของเรา เห็นไหม บุญกับบาปติดไปกับใจเรา บุญกับบาปติดไปกับใจเรา เราทำแล้วก็เป็นความดีของเราทั้งนั้นแหละ ความดีทำแล้วมันก็เป็นความดีไง ไอ้ที่ไม่เสร็จมันมีกรรมมาตัดรอน พอมีกรรมมาตัดรอน บุญเราได้เท่านี้ สิ่งที่บุญของเรา เราก็ควรเสวยบุญของเราอันนั้น ไม่ควรจะมาสิ่งที่ไอ้กรรมที่มันบังตามาตัดรอนว่าอยากให้เสร็จ อยากให้สมความปรารถนา สิ่งนี้มันทำให้เราต้องมาเสวยเป็นภพชาติอยู่ที่นี่ สัมภเวสีอยู่ที่นี่
พอได้คิด พอได้คิดไปคิดของท่านนะ พอสามเณรน้อยกับแม่ชีได้คิด เวลาเขาตัดความผูกพันอันนั้น จิตของเขาย้อนกลับมาบุญกุศลที่เขาได้ก่อร่างสร้างเจดีย์นั้นมา แต่ยังไม่เสร็จสมบูรณ์ พอบุญกุศลส่ง เกิดเป็นเทวดาเลย นี่พูดถึงครูบาอาจารย์ที่ท่านประพฤติปฏิบัติท่านเห็นของท่านตามความเป็นจริงนะ มันก็ไปขัดแย้งกัน มันจะไปขัดแย้งกับในตำรา ในตำราบอกว่าอุทิศส่วนกุศลได้แต่ปรทัตตูปชีวีเปรต เปรตนั้นจะได้รับ ไอ้พวกนี้รับไม่ได้ คนนี้รับไม่ได้
กรณีนั้น กรณีในพระไตรปิฎก ในธรรมะพุทธพจน์ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าโดยหลักๆ มันมีแอกซิเดนต์ มันมีผลปลีกย่อยที่คนจะทำ มันมีทั้งนั้นแหละ แต่ให้คนรู้จริงนะ อย่าให้แบบว่าขึ้นป้ายเลยนะ จะเข้าฌานสมาบัตินะ จะได้บุญเยอะๆ เอาเงินมาเยอะๆ นะ นี่ก็เหมือนกัน เดี๋ยวคนนู้นเห็นไอ้นู่น คนนี้เห็นไอ้นี่ เดี๋ยวคนนี้จะมาทัก คนนู้นจะมาทัก มันจะเอาสตางค์น่ะ
ถ้าหลวงปู่มั่นท่านรู้ของท่าน ท่านเก็บไว้ในใจของท่าน มันควรบอกหรือไม่ควรบอก บางทีมันบอกเพราะกาลเวลามันแตกต่างกันระหว่างผลของวัฏฏะ กาลเวลามันแตกต่างกัน เสวยภพชาติมันแตกต่างกัน บางทีท่านเห็นของท่าน แล้วครอบครัวนี้ตระกูลนี้ลูกหลานก็ตายไปหมดแล้ว ญาติของเขามาบอกว่าให้บอกลูกหลานหน่อยว่าให้อุทิศส่วนกุศลให้บ้าง เพราะมันทุกข์ยากเหลือเกิน
หลวงปู่มั่นก็ไปสืบก่อนว่าตระกูลนี้ยังมีอยู่ไหม ลูกหลานยังอยู่ไหม บางทีลูกหลานตายไปแล้ว หรือเขาย้ายบ้านไปแล้ว เขาย้ายไปอยู่ที่อื่นแล้ว มันมีแอกซิเดนต์เยอะแยะไปหมด แต่อย่างนี้มันให้เป็นรู้จริง ไอ้นี่มันเป็นผลของวัฏฏะนะ ไม่เกี่ยวกับอริยสัจเลย
ถ้าเกี่ยวกับอริยสัจนะ เราพยายามทำความสงบของใจเราเข้ามา ถ้าใจของเราสงบเข้ามาแล้ว ถ้าเรามีอำนาจวาสนา บุพเพนิวาสานุสติญาณ เราจะรู้เลยว่าจิตนี้มันมาจากไหน จิตของเรามันเวียนว่ายตายเกิดมาอย่างใด ถ้ามันมีบุพเพนิวาสานุสติญาณ แล้วถ้ายังไม่ถึงสิ้นสุด จุตูปปาตญาณ จิตมันจะไปเกิดอย่างไรมันรู้ของมัน แล้วถ้าอาสวักขยญาณทำลายอวิชชาในใจของเรา นี่วิชชา ๓ ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้ามันทำลายที่นี่ มันจบสิ้นแล้วมันจบสิ้นได้ที่นี่ ไอ้ผลของวัฏฏะมันมีอยู่ไม่มีที่สิ้นที่สุด
บุพเพนิวาสานุสติญาณ จิตนี้เวียนว่ายตายเกิดไม่มีต้นไม่มีปลาย มันมาไปถึงย้อนไปได้ไม่มีที่สิ้นสุดเลย แล้วมันจะมีมากมายขนาดไหนที่เปลี่ยนภพเปลี่ยนชาติแล้วมันมีการกระทบกระเทือนกันมา ถ้ามีครูมีอาจารย์ที่ดี สิ่งที่รู้ที่เห็นนี่ผลของวัฏฏะ คือมันมีของมันอยู่อย่างนี้ มันมีของมันอยู่ เราอยู่กับมันโดยแบกหาม อยู่ภพชาตินี้ก็อยากจะรู้ภพชาติอื่นทั่วไปหมดเลย แต่ภพชาตินี้ภาวนายังไม่ทำ ยังไม่รักษาใจของตัว ใจของตัวมีค่ามันยังไม่รู้จักรักษาเลย มันจะไปดูที่อื่น มันจะส่งไปหมดเลย นี่ผลของวัฏฏะ ถ้ามีครูบาอาจารย์ท่านจะดึงกลับมา
ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นตถาคต เรากราบองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราระลึกถึงพุทธคุณ เมตตาคุณ ปัญญาคุณขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า รัตนตรัย พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ แล้วเราก็พยายามทำของเราให้ได้สัมผัสที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ารู้ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้สัมผัส ถ้าจิตเราสงบขึ้นมา จิตสงบ พุทธะ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ถ้าจิตเราสงบเราก็เห็นร่องรอยแล้ว เห็นเงาแล้ว เห็นสมถกรรมฐาน ฐานที่ตั้งแห่งการงาน ฐานที่ตั้งคือต้นขั้ว คือปฏิสนธิจิต คือจุดชีวิต จุดความเป็นจริงของเรา แต่ทุกคนไม่เคยรู้ทุกคนไม่เคยเห็น มันถึงส่งออก อยากรู้อยากเห็น แล้วเคลื่อนออกไปจะไม่รู้ไม่เห็นอะไรเลย
แต่ถ้าย้อนกลับมาถึงใจ รู้แจ้งโลกใน รู้แจ้งโลกของเราแล้วรู้หมดทุกเรื่อง รู้แจ้งโลกใน รู้แจ้งหัวใจที่มีค่า รู้เข้ามาที่หัวใจนี้รู้จบ แล้วรู้จบแล้วทุกดวงใจว้าเหว่ ทุกดวงใจเป็นแบบนี้ แต่ดวงใจอื่นว้าเหว่ รู้จบแล้วมันไม่ว้าเหว่ รู้จบแล้วจบสิ้น ฟังธรรมๆ เพื่อเหตุนี้เป็นบุญกุศล
วัยรุ่นเขาบอกว่า ไปวัดทำไม ไปทำอะไร อยู่บ้านก็ได้ ทำอะไรก็ได้ อยู่บ้านก็มีความสุขแล้ว ทำไมต้องไปทุกข์ไปยาก
สมบัติที่จะไปกับจิตมีบุญกับบาปนี้เท่านั้น ใครประพฤติปฏิบัติขึ้นมาจะมีอัตตสมบัติ ใครได้สมาธิ มันจะอยู่กับจิตนั้นไป ใครได้ปัญญา ใครได้วิมุตติ ธรรมธาตุมันเป็นไปตามนั้น มันต้องมีต้นมีปลายสิ มันต้องมีที่มาที่ไปสิ ที่มาที่ไปอันนี้ มาวัดมาวามาสร้างอำนาจวาสนาบารมี ฟังธรรมๆ ฟังธรรมแล้วกลับไป กลับไปแล้วใคร่ครวญ กาลามสูตร ไม่ให้เชื่อ อย่าเชื่อ ถ้าใครเชื่อ คนนั้นโง่ เพราะเอ็งยังไม่ได้พิสูจน์เลย เวลาเขาขึ้นคัทเอาท์เขาจะเอาสตางค์ เอ็งไปให้เขา เวลาฟังเทศน์ก็เชื่อก็จะไปควักสตางค์ให้เขาอีกหรือ
กาลามสูตร ฟังแล้วไม่ให้เชื่อ กลับไปพิจารณาแยกแยะ ค้นหาหัวใจของตัวให้เจอ ถ้ารู้แจ้งโลกในแล้วมันจะจับผิดพระโกหกได้เลย ไอ้พระที่พูดมันโกหก ถ้าเรารู้โลกในของเรา เพราะโลกใน เห็นไหม มันมีหนึ่งเดียว อริยสัจมีหนึ่งเดียว คนรู้เห็นมันจะเป็นอริยสัจอันเดียวกันถ้าเป็นความจริง ถ้าเรารู้เห็นจริงของเรานะ จะจับไอ้พระโกหกได้ เอวัง