เทศน์พระ

มีค่า

๔ มี.ค. ๒๕๕๘

 

มีค่า
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

เทศน์พระ วันที่ ๔ มีนาคม ๒๕๕๘
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ตั้งใจฟังธรรมะเนาะ วันนี้วันสำคัญนะ วันสำคัญทางพุทธศาสนา คนเขาเป็นฆราวาสเห็นไหม ฆราวาสญาติโยมเขายังเห็นความสำคัญของวันสำคัญทางพุทธศาสนา เพราะเขามีศาสนาประจำในหัวใจ แต่เราเป็นพระ เราเป็นพระเราเห็นภัยในวัฏสงสารเราถึงได้มาบวช พอมาบวชแล้วเห็นไหม บวชด้วยญัตติจตุตถกรรม บวชด้วยความเป็นจากธรรมวินัย ธรรมวินัยเป็นสงฆ์ บวชมาเป็นสงฆ์

ถ้าเป็นสงฆ์เป็นสงฆ์โดยจิตใต้สำนึก จิตใต้สำนึกเป็นสงฆ์ ถ้าจิตใจนี้เป็นสงฆ์ เราทำสิ่งใดเราจะสำนึกตัวว่าเราเป็นพระ ถ้าเราเป็นพระเรามีศีล เรามีศีลคุ้มครองเห็นไหม ศีลคุ้มครอง แต่ศีลถ้ามันก้าวล่วง ศีลมันด่างพร้อย ศีลขาด ศีลด่าง ศีลพร้อย มันจะเกิดความเหลวแหลก เกิดความเหลวแหลกจากอะไร เกิดความเหลวแหลกจากตัวเราเองไง ในเมื่อเราไม่มีศีลคุ้มครอง

ดูครูบาอาจารย์ของเรานะ เวลาครูบาอาจารย์เราท่านธุดงค์ไปในป่าเห็นไหม ศีลคุ้มครองๆ เพราะมีศีลนะ มีศีลด้วยความสะอาดบริสุทธิ์ ใจนี้องอาจกล้าหาญมากเพราะถือว่าเรามีศีล ศีลคุ้มครองเห็นไหม เวลาโลกเขาบอกว่ามีศีล ๕ ศีล ๘ ศีล ๑๐ เขาอยากมีคุณธรรม เพราะเขาอยากมีคุณธรรม “ผู้ใดปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม ธรรมะยอมคุ้มครอง”

นี่ก็เหมือนกัน เรามีศีลไง จิตใจเรามั่นคง อยู่ในป่าในเขามันจะมีวิกฤติขนาดไหนแต่ศีลเราสะอาดบริสุทธิ์มันมีความองอาจกล้าหาญ แต่ถ้าเราเห็นไหม ศีลเราด่างพร้อย พอศีลด่างพร้อยมันไม่สบายใจ มันลังเล พอลังเลสิ่งใดก็แล้วแต่มันระแวง พอระแวงขึ้นไป สิ่งใดที่เกิดขึ้น มันจะบอกว่าเราทำๆ เราทำทั้งนั้นน่ะ

กิเลสมันไปสร้างภาพไง กิเลสมันไปโน้มน้าวมาหมด สิ่งใดจะเกิดในป่าในเขานะ ผีต้องมากินหัวเรา เสือมันต้องมากัดเรา ทุกอย่างมันต้องมาหาเราหมดเลยล่ะ เพราะอะไร? เพราะจิตใจเราไม่เข้มแข็ง ถ้าจิตเราเข้มแข็งเห็นไหม เรามีศีลมีธรรม ศีลธรรมคุ้มครอง ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม ถ้าปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม เราบวชมาแล้วเรามีศีล เรามีศีลนะ เวลาจะลงอุโบสถเห็นไหม เพราะอะไร เพราะเวลาพระสวดปาฏิโมกข์ เขาจะถามครั้ง ๑ ครั้งที่ ๒ ครั้งที่ ๓ เราถามแล้วเห็นไหม

ฉะนั้นถ้าสมัยพุทธกาล สมัยพุทธกาลภาษามคธเป็นภาษาพื้นบ้าน ภาษาพื้นบ้านทุกคนฟังก็เข้าใจ นี่ภาษาบาลี ภาษาบาลีขึ้นมาเห็นไหม ภาษามคธ เราฟังไม่เข้าใจ เราถึงป้องกัน ความผิดพลาด เราปลงอาบัติก่อน ปลงอาบัติเลยถ้าใครมีอาบัติเห็นไหม รู้ก็ดี ไม่รู้ก็ดี สิ่งที่เราได้ทำผิดพลาดมาแล้วก็ดี เราปลงอาบัติ นี้ฟังปาฏิโมกข์ ฟังปาฏิโมกข์ นี่ตรวจสอบ ตรวจสอบกัน ๑๕ วันเราลงอุโบสถหนหนึ่งๆ เรามาเข้าหมู่ เข้าหมู่มาตรวจสอบศีลของเราไง

ถ้าศีลของเรามันสะอาดบริสุทธิ์ไหม ศีลของเราสะอาดบริสุทธิ์ เราอยู่ด้วยความอบอุ่น จะทำสิ่งใดก็ทำด้วยความมั่นคงนะ ถ้าความมั่นคงขึ้นมาเห็นไหม เรามีคุณค่า ถ้าเรามีคุณค่ามีราคาขึ้นมา สิ่งที่มีราคา มีราคามาจากความรู้สึกของเรา สิ่งที่ว่าความลับไม่มีในโลกๆ ความลับ เราทำเรารู้ ใครทำสิ่งใดคนนั้นรู้หมด

สิ่งที่ว่าเราทำระหว่างสังคม เราทำสิ่งใดเราปกปิดไว้ เขาไม่รู้ว่าเราทำถูกหรือผิด เราแสดงมารยาทขนาดไหนเขาก็ว่าเราเป็นคนดีๆ ไง แต่เรารู้ตัวเราเอง เราเน่าใน ถ้าใครเน่าใน ข้างในมันเน่า ข้างในมันมีความผิดพลาดทั้งนั้น หน้าฉากเห็นไหม ดูสิ เวลาห่มผ้ากาสาวพัสตร์ ห่มธงชัยของพระอรหันต์ สิ่งที่ว่าเราห่มธงชัยพระอรหันต์ ดูสิ เวลาเขาจะออกศึกออกรบกัน เขาไปขอพร เขาขอน้ำมนต์ นี่ให้เป็นมงคล

นี้เหมือนกัน ถ้าจิตใจของเรา ถ้ามันมั่นคงขึ้นมามันมีความองอาจกล้าหาญในหัวใจ แต่ถ้าเราทำสิ่งใดไว้เรารู้ เราทำผิดทำถูกเรารู้ของเรา แต่ถ้าเรามีความสะอาดบริสุทธิ์ในหัวใจ มันมีราคาที่ตัวเราก่อนไง ถ้าเรามีราคาเห็นไหม สิ่งที่มีคุณค่า มีคุณค่าคือสัจธรรม ถ้ามีคุณธรรมในหัวใจแล้วจิตใจนี่ธรรมเหนือโลกๆ

แต่เรามาจากโลกไง คนเรามาจากโลกจริตนิสัยของคนเห็นไหม มาจากโลก มาจากโลกก็เกิดจากพ่อจากแม่ เกิดจากพ่อแม่แล้วนี่เกิดผลของวัฏฏะ เราเห็นภัยในวัฏสงสารเราถึงมาบวช เรามากับโลก มันคุ้นชินไง ดังนั้นพระบวชใหม่ พระบวชใหม่ถึงว่าเป็นผู้ที่ทนคำสอนได้ยาก เราเรียกจิตใจมันเป็นทางโลกไง จิตใจเป็นทางโลก จิตใจมันยังไม่เป็นทางธรรม

พอจิตใจเป็นทางธรรมเห็นไหม บวชมาแล้วขอนิสัย ครูบาอาจารย์ให้นิสัย เราได้นิสัยแล้วเราพยายามประพฤติปฏิบัติให้เราขึ้นมาให้ได้ ถ้าได้นิสัย ได้นิสัยขึ้นมาในปัจจุบันถ้า ๕ พรรษาขึ้นไป เราจะเริ่มคุ้นชินกับความเป็นไปของชีวิตของสมณะ ถ้าชีวิตของสมณะ เราเห็นภัยในวัฏสงสารนะ ถ้าเราจะมีราคา คำว่ามีราคา มันต้องมีราคามาจากเราก่อน ถ้าเราไม่มีราคานะ พอเราไม่มีราคาเราจะผิดศีล เราจะทุศีล เราทำได้ทั้งนั้น แต่ถ้าเรามีราคาเราทำไม่ได้

ดูสิ ผู้ที่ประพฤติปฏิบัติ ถ้าเขาพิจารณาของเขา พิจารณาของเขานะ สักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาส ละสังโยชน์เห็นไหม สีลัพพตปรามาสไม่ลูบคลำในศีลน่ะ ถ้าไม่ลูบคลำในศีลนะ ดูสิ พระโสดาบันนะ ถ้าไม่ลูบคลำในศีลเขามองไปข้างหน้า พอมองไปข้างหน้าเพราะอะไร เพราะเขาหวังผลไง ถ้าหวังผลมาจากข้างหน้า ข้างหน้าเราทำสิ่งใดไป เราหวังผลสิ่งนั้น แล้วถ้าเราทำผิดเห็นไหม ทำผิด ถ้ามันทุศีล ทำผิดศีลความก้าวหน้าไปมันไม่สะดวก

ฉะนั้น เวลาพระโสดาบันถึงไม่สีลัพพตปรามาส ไม่ลูบคลำในศีล ถ้าไม่ลูบคลำในศีลนะ สัจจะนี่มั่นคงมากเลย แต่ถ้าเราปุถุชนล่ะ เราปุถุชนเราก็หวังว่าเราทำแล้วไม่มีใครรู้ เราทำสิ่งใดแล้วเราปกปิดไว้ พอปกปิดไว้เรารู้เห็นไหม มันหมดราคาที่ใจเราไง ถ้าหมดราคาที่ใจ ไม่องอาจไม่กล้าหาญ แล้วไม่กล้าเข้าสังคมใดเลย

แต่คนที่เขามีศีลของเขาบริสุทธิ์นะ เขาองอาจกล้าหาญมาก จะเข้าสังคมไหนก็ได้ เพียงแต่ว่าถ้าคนที่มีคุณธรรมนะ เขากาลเทศะ ครูบาอาจารย์ของเราท่านอยู่ป่าอยู่เขา ท่านไม่ออกมาสังคม เพราะออกมาสังคมแล้วต้องเกรงใจเขา เราทำสิ่งใดไม่ได้เต็มกำลังของเรา เวลาพระธุดงค์เห็นไหม ไป ๒ องค์ ถ้าไป ๒ องค์เราจะบิณฑบาตก็ต้องรอกัน ตามธรรมเนียมก็ต้องรอกัน แต่ถ้าองค์เดียวล่ะ ถ้าเราไปองค์เดียวของเรา เราทำสิ่งใดได้เต็มไม้เต็มมือของเราเลย ถ้าเราทำสิ่งใดเต็มไม้เต็มมือของเรามันองอาจ มันกล้าหาญ มันทำสิ่งใดมันประพฤติปฏิบัติเอาจริงเอาจังของเรา

แต่เพราะเอาจริงเอาจังของเรา เวลากิเลสมันพอกพูนขึ้นมามันก็น้อยเนื้อต่ำใจไง “บวชมาแล้วมันต้องมีคนอุปัฏฐาก มีคนดูแลรักษา” เวลาบวชใหม่ๆ คิดอย่างนั้นทั้งนั้น คิดอย่างนั้น แต่เวลาครูบาอาจารย์ท่านบวชมาผ่านกาลเวลามานานนะ เรื่องนั้นเป็นเรื่องที่เป็นภาระ เป็นภาระรุงรังทั้งนั้นเลย ถ้าเราทำสิ่งใดเพื่อประโยชน์กับเรานะเห็นไหม ถ้าใจเรามีราคาเพราะญาติโยมเขาเห็นว่าวันนี้วันมาฆบูชา

วันมาฆบูชาพระอรหันต์ ๑,๒๕๐ องค์ จาตุรงคสันนิบาตมารวมกัน มารวมกันมาเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นั่นพระอรหันต์นะ พระเหมือนกัน ทำไมท่านเป็นพระอรหันต์ล่ะ เราเป็นพระเหมือนกัน ทำไมเราบวชมาแล้วเรามีเป้าหมายอย่างใด ถ้ามีเป้าหมายอย่างเรา เราอยากจะเป็นพระอรหันต์ใช่ไหม ถ้าอยากจะเป็นพระอรหันต์มันต้องเริ่มต้นเห็นไหม ทางโลกเขาต้องมีทาน เวลาเขาทำทานของเขาทำทานเพื่ออะไร ทำทานของเขาเพื่อจิตใจควรแก่การงาน จิตใจควรแก่การงาน จิตใจควรแก่การงานอย่างไร

เพราะเขาเชื่อฟังไง ถ้าคนเราทำทานได้ คนเรามีจิตใจที่เป็นบุญกุศลมันเปิดกว้าง จิตใจที่บุญกุศลนะเขาแสวงหาความดี เขาต้องการคุณงามความดี เขาแสวงหาครูบาอาจารย์ของเขา ถ้ามีครูบาอาจารย์ของเขาเป็นหลักเป็นชัยขึ้นมา เขาพยายามประพฤติปฏิบัติขึ้นมาให้เขามีคุณธรรมในหัวใจของเขา นั่นพูดถึงว่าจิตใจของฆราวาสเขา

จิตใจของเราเป็นพระ เป็นพระเห็นไหม ดูสิ พระอรหันต์ ๑,๒๕๐ องค์ไปเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เวลาพระอรหันต์ไปเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เอหิภิกขุพระพุทธเจ้าบวชให้เองด้วย แล้วเวลาไปเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าห่มผ้ากาสาวพัสตร์นี้ไปเหมือนกัน เราบวชมาเราก็ห่มผ้ากาสาวพัสตร์เหมือนกัน ถ้าห่มผ้ากาสาวพัสตร์นี่ห่มธงชัยพระอรหันต์ไง

แล้วจิตใจเราล่ะ จิตใจเรามันมีแต่ความทุกข์ความยาก จิตใจเรามีแต่ความเร่าร้อน จิตใจเรามันมีแต่กิเลสตัณหาความทะยานอยาก กิเลสตัณหาทะยานอยาก กิเลสไง แล้วถ้ากิเลส กิเลสเราพยายามจะระงับมัน แต่เวลาจะเร่งความเพียรล่ะ ความเพียรนี่เป็นมรรค สิ่งที่ว่าเป็นมรรค เป็นมรรคคือความเป็นวิริยะ เป็นความเพียร เป็นความวิริยะ เป็นอุตสาหะ ความเพียรชอบ เพราะความเพียรชอบมันอยู่ในมรรค ๘ ความเพียรเพราะคนเราต้องขวนขวายต้องพยายามทั้งนั้น

ดูปลาสิ เห็นไหม เวลาปลามันจะไปวางไข่มันต้องไปต้นน้ำ มันต้องไปที่วางไข่ของมัน เวลาปลาเวลาน้ำมันแห้ง มันพยายามกระเสือกกระสนไปหาที่น้ำเพื่อหล่อเลี้ยงชีวิตของมัน เวลาปลามันยังต้องดิ้นรนของมันเลย สัตว์ เวลาฤดูกาลของมันยังดิ้นรนของมัน เราเป็นมนุษย์ เราเกิดมาเป็นมนุษย์เห็นภัยในวัฏสงสาร เรามาบวชเป็นพระ ถ้าบวชเป็นพระ โลกเวลาเขาทำมาหากินของเขา อาชีพของเขา เขาต้องขวนขวายของเขา ถ้าขวนขวายของเขาแล้วแต่บุญอำนาจวาสนาของเขา เขาทำได้มามากน้อยขนาดไหนมันเป็นบุญของเขา จังหวะและโอกาสมันเป็นบุญของเขา เป็นวาระของเขา เขาทำสิ่งใดประสบความสำเร็จของเขา

นั่นเขายังต้องลงทุนลงแรง พอลงทุนลงแรงไปแล้วเขาประสบความสำเร็จของเขา เขาได้ทรัพย์สมบัติของเขามา เขายังวิตกกังวลในชีวิตของเขา เห็นไหม สมบัตินี้ได้มาแล้ว คิดว่าได้สมบัติมาแล้วก็จะมีความสุข ทำสิ่งใดสมความปรารถนาแล้วก็จะมีความสุข พอได้มาแล้วมันมีความปลื้มใจแต่มันมีความสุขไหม เพราะมันเป็นทุกข์เป็นยาก เราจะดูแลรักษา เราจะต้องมีคนมารับมรดกตกทอด ถ้าเราได้ทำไว้มั่นคงแล้ว ลูกหลานเรามันจะรับมรดกตกทอดอันนี้ไปได้หรือไม่ มันต้องไปฝึกฝนให้ลูกหลานเพื่อมารับมรดก เขาคิดของเขาไป เขาเป็นภาระรับผิดชอบของเขาไป ทั้งๆ ที่ว่ามันจะเป็นความสุขๆ นะ ความสุขนั้นเจือด้วยกิเลส เจือด้วยทุกข์ไปตลอดเวลา

เราเห็นภัยในวัฏสงสาร เราทิ้งโลกมาแล้ว เราทิ้งโลกคือทิ้งสถานะความเป็นฆราวาส ทิ้งสถานะความเป็นมนุษย์ ทางรัฐบาลเขาให้สิทธิเสรีภาพในการประพฤติปฏิบัติแล้วก็ส่งเสริมด้วย ส่งเสริมเห็นไหม ส่งเสริมว่าไม่ต้องไปเกี่ยวโยงกับทางโลกเขา ให้ประพฤติปฏิบัติตามความเป็นจริง ไอ้พระก็อยากจะไปเกี่ยวกับเขา โน้มไปเลยจะเป็นผู้นำ จะเป็นอะไร นำหัวใจของเราให้ได้ หัวใจของเราดูแลรักษาให้ได้ ถ้าดูแลรักษาให้ได้เห็นไหม เพราะเราไม่มีคุณค่ามันเลยไม่มีคุณค่าสิ่งใดๆ เลย

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ดูสิ พระอรหันต์ ๑,๒๕๐ องค์ เวลาไปเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เขาไปด้วยความสงบระงับของเขา เขาไปด้วยความสุขของเขา เราเป็นพระ วันนี้วันสำคัญทางพุทธศาสนา เวลาเราออกประพฤติปฏิบัติ แม้แต่วันพระวันโกนเนสัชชิกตลอด เพราะอะไร เพราะเราแสวงหาไง เรามีเป้าหมาย เราบวชมาจะพ้นจากทุกข์ เราเป็นฆราวาสเราก็ศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ชีวิตนี้มาจากไหน เกิดมาทำไม เกิดมาอยู่ทำไม อยู่แล้วเพื่ออะไร แล้วมันจะได้อะไร โลกเขาๆ ก็บอกว่าเขาได้ทรัพย์สมบัติ เขาได้ประสบความสำเร็จในชีวิต

ชีวิตนี้มีการพลัดพรากเป็นที่สุด ในพรรษาพระก็บวชมาเห็นไหม ตายจากฆราวาสมาเกิดเป็นพระ ออกพรรษาแล้วตายจากพระไปเกิดเป็นฆราวาส แล้วเวลาคนตายคนเกิดในวัฏฏะเป็นภพเป็นชาติ แต่นี่การเวียนตายเวียนเกิดในสถานะไง สถานะของคฤหัสถ์ ตายจากคฤหัสถ์มาเกิดเป็นพระ พอสึกไปแล้วตายจากพระไปเกิดเป็นคฤหัสถ์ นี่วัฏสงสาร วัฏสงสารเวียนว่ายตายเกิดเห็นไหม เวียนว่ายตายเกิดในสถานะ นั่นเป็นสถานะของการเวียนว่ายตายเกิดในภพชาติที่เราเห็นได้ แต่เวลาเวียนว่ายตายเกิดในสถานะของวัฏฏะ เราเห็นได้ไหม

เราเห็นได้โดยองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า บุพเพนิวาสานุสติญาณอดีตชาติย้อนไปตั้งแต่พระเวสสันดรไป นี่รู้หมด ถ้ามันไม่มีสิ่งนั้นมาเห็นไหม พอเราเกิดที่สวนลุมเห็นไหม “เราจะเกิดชาตินี้เป็นชาติสุดท้าย” คนเรามีอำนาจวาสนาเต็ม เราจะเกิดชาตินี้เป็นชาติสุดท้าย ทั้งๆ ที่เป็นเจ้าชายสิทธัตถะยังมีครอบครัว ยังเกิดสามเณรราหุล จะเกิดชาตินี้เป็นชาติสุดท้าย แต่เวลาออกบวชแล้วไง เวลาออกบวชเห็นคนเกิด คนแก่ คนเจ็บ คนตาย เราต้องเป็นเช่นนี้หรือ มันต้องมีตรงข้ามฝั่งไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย แล้วไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย ก็ต้องเป็นอย่างนี้เหรอ

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะปรินิพพาน พระอานนท์นี่คร่ำครวญมากๆ “อานนท์ เราบอกเธอแล้วไม่ใช่หรือ สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีการเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นต้องดับเป็นธรรมดา” แต่เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะออกบวช เห็นคนเกิด คนแก่ คนเจ็บ คนตาย ต้องมีไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย ถ้าไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย ตรัสรู้เป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะอยู่ค้ำฟ้าไป มันก็ไปขัดกับข้อเท็จจริง ข้อเท็จจริงตรงไหน ข้อเท็จคือผลของวัฏฏะไง

เวลาพระโพธิสัตว์เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ ๔ อสงไขย ๘ อสงไขย ๑๖ อสงไขย การเวียนว่ายตายเกิดนี่การสร้างนี่ตัดแต่งพันธุกรรมของจิต จิตในแต่ละภพชาติทำคุณงามความดีสะสมลงที่นั่นๆ เห็นไหม ดูสิความลับไม่มีในโลกไง ความลับไม่มีในโลก เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบุพเพนิวาสานุสติญาณย้อนอดีตชาติไปมันเกิดจากไหนล่ะ มันก็เกิดจากสิ่งที่ท่านทำมาๆ ทำมามันย้อนกลับไปในปฏิสนธิจิตนั่นแหละ

ภพชาติจากอันละเอียดอันนั้นไง ภวาสวะภพอันนั้น แต่ว่าภพชาติของเราเกิดเป็นสถานะนี้ไง ภพชาติของฆราวาสเขาเกิดเป็นฆราวาส เขามีสิทธิตามกฎหมายทางฆราวาสนั้น เวลาบวชเป็นพระเห็นไหม ก็เป็นพระ ก็มีสิทธิตามกฎหมายตามความเป็นพระ ในสังคมประเทศที่เป็นพุทธ เขาก็มีกฎหมายยกเว้นไว้ให้ อันนั้นเป็นสถานะนะ แต่เวลาเป็นพระในหัวใจล่ะ ดูสิ ครูบาอาจารย์ของเราเวลาท่านไปวิเวกของท่าน ไปอยู่ที่ไหน ไปอยู่กับชาวเขา เขามีกติกาอะไรของเขา ไปอยู่กับชาวเขาไปอยู่กับคนที่ไม่รู้สิ่งใดเลย เขามีกติกาอะไรของเขา แต่ด้วยคุณงามความดีไง คุณงามความดีของเราเห็นไหม คุณงามความดีเป็นผู้ที่ละแล้ว ไม่ต้องการสิ่งใดเลย การฉันอาหารเพื่อดำรงชีวิตนี้ไว้ ดำรงชีวิตนี้ไว้ปฏิบัติ โลกเขากินเพื่อกาม เพื่อเกียรติ เพื่อศักดิ์ศรีของเขา เราฉันเพื่อดำรงชีวิตเท่านั่นล่ะ ดำรงชีวิตเห็นไหม ชีวิตนี้มีเท่านี้จริงๆ ในเมื่อเขาเห็นผู้ที่สละที่ละที่วางเขาก็มีความเลื่อมใสของเขา เขาก็จะส่งเสริมของเขา ส่งเสริมของเขา คำว่าส่งเสริมของเขา ในร่างกายนี้มันต้องการอะไรล่ะ ชีวิตนี้ต้องการอะไร ปัจจัยเครื่องอาศัยปัจจัย ๔ ปัจจัย ๔ เท่านั้นนะ

แต่เวลาจิตใจมันเร่าร้อน จิตใจที่มีกิเลสตัณหาความทะยานจะให้ใครมาดูแลให้ล่ะ เวลาเราบวชมาแล้วก็จะเอาหัวใจนี้ไปให้ชาวเขาเขาดูแลให้เหรอ ชาวเขาเขาจะให้ศีลสมาธิปัญญาให้ได้ไหม ศีล สมาธิ ปัญญาใครจะดูแลไว้ให้ได้ ศีล สมาธิ ปัญญาเราก็ต้องสร้างขึ้นมาทั้งนั้นล่ะ เราสร้าง เราสร้าง เราสร้างก็เป็นสมมุติละสิ มันต้องเป็นวิมุตติสิ มันต้องเป็นปรมัตถ์ ปรมัตถ์คือว่ามันหลุดพ้น ปรมัตถ์น่ะถึงที่สุดแห่งทุกข์

ในเมื่อมันสมมุติ เริ่มต้นจากต้นทุนจากเรานี้ไง ต้นทุนจากชีวิตเรานี้แหละ แต่ชีวิตเรามี ชีวิตของเรา ถ้าชีวิตของเราเห็นไหม มีคุณค่าไหม ชีวิตของเราความรู้สึกของเรา ความรู้สึกของเรานี่ใครดูแลมัน สติเกิดจากไหน? สมาธิเกิดจากไหน? ปัญญาเกิดจากไหน? ถ้าคนภาวนาไม่เป็นปัญญาเกิดจากสมองไง ปัญญาเกิดจากประสบการณ์ ไอ้นั่นมันส่งออกไปแล้ว มันเป็นสุตมยปัญญา

แต่ถ้ามันเป็นสมาธิเข้ามา สมาธิมันก็ละเอียดอยู่แล้ว แล้วพอสมาธิมันละเอียดอยู่แล้ว แล้วมันเกิดปัญญาขึ้น ปัญญามหัศจรรย์มาก มันมหัศจรรย์นะ ดูสิ พระเราเห็นไหม ขนาดที่ว่าท่องพระไตรปิฎกเป็นตู้ๆ นี่มหัศจรรย์ไหม พระไตรปิฎกในตู้ท่องได้หมด เมื่อก่อนคอมพิวเตอร์ต้องเขียนโปรแกรมมันถึงจะมีของมัน เวลาพระเรานี่ท่องพระไตรปิฎกได้ทั้งตู้เลย แล้วมาท่องปาฏิโมกข์ เวลามันท่องทีไรมันก็ทึ่งนะ โอ้ เก่งเนาะ มันท่องได้ มันเก่งไปหมด สัญญาทั้งนั้น จำมาทั้งนั้น มันมีตำรา มีตำราให้ท่อง

นี่ก็เหมือนกัน ศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นิพพานๆ นิพพานมันก็เป็นความว่างจินตนาการไปทั้งนั้นล่ะ มันไม่เคยเห็นจริงซักคนหนึ่ง ถ้ามันเห็นจริงขึ้นมาแล้วเห็นไหม ดูสิ หลวงปู่มั่น หลวงตา แม้แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั่งอยู่ตรงหน้าก็ไม่ทูลถามท่านๆ มันทูลถาม มันพูดออกมาได้อย่างไร มันพูดออกมาอย่างไร ถ้ามันรู้ของมันจริงน่ะ แล้วรู้จริงมันจะถามยังไง ถามยังไง แต่ถ้าเขารู้จริงนะ เวลาเขาถามเพื่อเป็นธมฺมสากจฺฉา เอตมฺมงฺคลมุตฺตมํ ถามเป็นธรรมะ

เวลาถามเป็นธรรมะเห็นไหม พิจารณาอย่างไร เริ่มต้นอย่างไร เริ่มต้นจากหนทาง เราจะเริ่มต้นหนทางอย่างไร แล้วก้าวเดินอยู่ตรอกอยู่ซอกอยู่ซอยเข้าไปอย่างไร มรรค ๔ ผล ๔ จิตใจมันพัฒนาการของมันอย่างไร จิตใจมันยกขึ้นอย่างไร จิตใจยกขึ้น ดูสิ เวลาดูทางโลกเขาจิตใจสูงจิตใจต่ำ จิตใจที่เขาสูงจิตใจเขามีเมตตาขึ้นมาเขาสงสารไปหมด เขาอยากทำคุณงามความดีนะ แต่เดี๋ยวนี้โลกหลอกลวงจนไม่กล้าทำดี กลัวเขาจะมาสวมรอย ทำความดีก็กลัวสวมรอย

แต่ทำดีกับตัวล่ะ ทำดีกับตัว เรานั่งสมาธิเราก็รู้ว่านั่งสมาธิ จิตมันไม่เป็นสมาธิเราก็รู้ว่าจิตมันไม่เป็นสมาธิ แล้วเรานั่งสมาธิขึ้นมาเราก็สู้มันไม่ไหว สู้ความเคยใจไม่ไหว สู้จิตใจที่มันเร่ร่อนไม่ได้ สู้ไม่ได้มันก็เหลวไหล แล้วจะเอาค่าเอาราคามาจากไหน ของดี ของดีมีน้อยราคาแพง

นี่ก็เหมือนกัน วันนี้วันมาฆบูชา ดูสิ สงฆ์ ๑,๒๕๐ องค์ พระอรหันต์ทั้งนั้นน่ะ เวลาพระอรหันต์ เวลาพัฒนาของเราเห็นไหม ที่ไหนมีหมู่บ้านเขาสร้างวัด สร้างวัดแล้วเขาก็ไปนิมนต์ครูบาอาจารย์มาอยู่วัดนั้น ถ้าอยู่วัดนั้นเขาอยากได้พระอะไร เขาก็อยากได้พระที่เขาเชื่อถือศรัทธา นี่ก็เหมือนกัน เราเชื่อถือศรัทธาตัวเราได้ไหม เรามีราคาไหมๆ ถามตัวเองว่ามีราคาไหม? ไม่ต้องให้ใครมาให้ราคา

มันไม่มีราคา ของไม่มีราคาอยู่ที่ไหนมันก็ไม่มีราคาทั้งนั้นล่ะ ถ้าของมันมีราคามันมีราคา โลกเขาไม่รู้จักมันก็มีราคาในความจริงของตัวเรา โลกเขาไม่รู้จัก โลกไม่รู้หรอก โลกจะรู้ได้แต่ด้วยมารยาทเท่านั่นละ มองกันแต่เปลือก เข้าสู่ความจริงไม่ได้ เพราะเขาไม่มีวุฒิภาวะที่จะจับได้ เป็นไปไม่ได้ที่โลกเขารู้ แม้จะยิ่งศึกษามากเท่าไหร่ก็เกิดทิฎฐิมานะว่าข้านี้มีปัญญา แล้วจะเอาปัญญาอย่างนั้นไปเปรียบเทียบว่าพระดีพระไม่ดี แล้วพระดีหรือพระไม่ดี พระไม่ดีแล้วเอ็งได้อะไรล่ะ เอ็งก็ได้ทิฏฐิมานะคอยจับเขาไง

แต่ถ้าเขามีราคาของเขา เขาอบอุ่นในใจของเขา เขาไม่ห่วง ห่วงกระแสสังคมตรงนั้นทำไม เพราะอะไร เพราะเราเป็นชักนำเขา เห็นไหม ดูสิ สมณะผู้ที่สงบระงับ ผู้ใดเห็นสมณะผู้นั้นเป็นมงคลชีวิต สมณะที่ ๑ สมณะที่ ๒ สมณะที่ ๓ สมณะที่ ๔ สมณะมันยังมีสูงมีต่ำ มีสูงมีต่ำเพราะอะไรล่ะ นี่ไงเพราะราคามันแตกต่างกันไง ราคาของมันราคาพื้นๆ ราคาที่มีคุณค่ามากขึ้น ราคาที่มีคุณค่าสูงสุด แล้วราคาที่มันพ้นไปจากโลกล่ะ

แต่พระเขารู้กัน พระปฏิบัติเขารู้กัน เขารู้กันเพราะอะไร เพราะสิ่งนั้นเราทำมาเห็นไหม สิ่งที่เราทำมาเรารู้ได้แค่นั้น แต่ผู้ที่เขารู้ได้มากกว่านั้น เขาส่งเสริมมากกว่านั้น แต่ไอ้คนไม่รู้หันรีหันขวางเลย เอ้อ มันมีอย่างนั้นจริงๆ ด้วยเหรอ มันต้องปฏิบัติอย่างนั้นเลยเหรอ มันจะไปอย่างนี้เชียวเหรอ มันเป็นอย่างงั้นเหรอ เหรอ! เหรอ! `ก็เอ็งไม่เคยรู้ไง เหรอ ก็ไม่เคยเห็น เพราะไม่รู้ไม่เคยเห็น มันไม่เคยรู้ไม่เคยเห็นมันจะมีคุณธรรมได้อย่างไร

มันก็บังเงาไง เอาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นฉากไว้แล้วตัวเองก็แสดงธรรม แหม แสดงธรรมดี้ดี ก็ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วคอมพิวเตอร์มันคีย์ออกมาแต่ละตัวมันไม่ผิดเลย คอมพิวเตอร์ทำไมไม่กราบมัน คอมพิวเตอร์มันคีย์ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามันมีผิดซักตัวหนึ่งไหม ถูกชัดเจนเลย คอมพิวเตอร์มันเป็นอะไรล่ะ มันก็เป็นเทคโนโลยีเท่านั้นเอง

แต่ใจของคน ศึกษามาเป็นสุตมยปัญญา ศึกษามาเพื่อประพฤติปฏิบัติ การศึกษานี้สมควรต้องศึกษาเพราะว่าความมั่นคงไง ถ้าความมั่นคงเห็นไหม คนที่มีการศึกษาแล้วพระที่ประพฤติปฏิบัติ ในบัณฑิตนั้น ในสังคมที่นักศึกษานั้น ปฏิบัติขึ้นมาแล้วมันถึงจะทึ่งไง แต่พอเราศึกษาขึ้นมาแล้วมันเป็นสัญญา เป็นสัญญา มันเป็นข้อมูลเดิม มันเป็นกิเลส มันมัดหัวใจ ไปไม่เป็น ไปไม่ได้เลย ขยับไม่ได้เลยเพราะมันอ่อนแอ

แต่ถ้าเราทำของเราตามความเป็นจริงล่ะ นี่ศึกษามานี่สาธุ ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเทิดใส่ศีรษะ วางไว้ก่อน แล้วเราจะเอาความจริงของเรานะ สติก็สติจริงๆ สมาธิก็สมาธิจริงๆ ถ้ามันเกิดปัญญาขึ้นมานะ ทึ่งเลย มันจะเข้าใจเลย เพราะในพระไตรปิฎกเขาบอกไว้แล้ว ปัญญา ๓ สุตมยปัญญา จินตมยปัญญา ภาวนามยปัญญา แล้วภาวนามยปัญญามันไม่เกิดขึ้น มันเกิดแต่สัญญาปัญญา สัญญาจินตนาการการสร้างภาพกันแล้วก็ว่าสิ่งนั้นมหัศจรรย์ มันมหัศจรรย์เพราะอะไร

เพราะหลวงปู่มั่นท่านพูดไว้ “จิตนี้เป็นได้หลากหลายนัก จิตนี้เป็นได้หลากหลายนัก” ดูสิ เวลาคนจะสลบจะช็อก มันวูบไปเลย นี้ไง จิตมันเป็น ตัวเองไม่รู้เรื่องมันหมดสติไปแล้ว เขาเอาแอมโมเนียใส่จมูกมันอยู่นั่น มันบอกว่าโอ๋ย นิพพาน ว่าง นิพพาน จิตมันเป็นได้หลากหลายนัก เป็นอย่างนั้นมันขาดสติ คนเราจะวูบจะขาดสตินะ อันนั้นมันเป็นนิพพานได้อย่างไร นิพพานเป็นอย่างนั้นเหรอ นิพพานเห็นไหม นิพพานมันเริ่มต้นตั้งแต่จิตมันสงบ จิตสงบแล้วฝึกหัดใช้ปัญญา ปัญญามันต้องฝึกหัดใช้ของมัน มันจะได้ถอดได้ถอน

กิเลสตัณหาความทะยานอยากมันไม่ได้ถอดไม่ได้ถอนไป มันไม่มีสิ่งใดมันไม่ได้คายความเป็นพิษไปเลย ชีวิตมันมีหนี้เวรหนี้กรรมนะ เราเกิดมาเรามีหนี้เวรหนี้กรรม มันไม่ได้ใช้หนี้ใช้เวรใช้กรรม มันไม่ได้ใช้หนี้เลย เวรกรรมเห็นไหม กรรมดี กรรมดีก็คือศีล สมาธิ ปัญญา กรรมชั่วๆ ก็คือกิเลสตัณหาความทะยานอยาก แล้วเวลากิเลสกับธรรมมันประหัตประหารกัน มันต่อสู้กันกลางหัวใจ กลางหัวใจคนที่ทำสมถกรรมฐาน ฐานที่ตั้งแห่งการงานขึ้นมาแล้ว เขามีฐานที่ตั้งแห่งการงานขึ้นมา เขาต้องมีคุณธรรมขึ้นมา มีการกระทำ

เวลากิเลสกับธรรมมันต่อกรกันเห็นไหม เดี๋ยวสงบศึก เดี๋ยวพ่ายแพ้ เดี๋ยวมีกำลังรุกขึ้นคืบหน้า นี่ไง เวลาภาวนามยปัญญามันเกิดขึ้น มันมีการกระทำต่อกัน เห็นไหมวิวัฒนาการของมัน จิตมันมีวิวัฒนาการของมัน ดูสิ ปุถุชน กัลยาณปุถุชน โสดาปัตติมรรค โสดาปัตติผล สกิทาคามิมรรค สกิทาคามิผล อนาคามิมรรค อนาคามิผล อรหัตตมรรค อรหัตตผล มรรค ๔ ผล ๔ นิพพาน ๑ วิวัฒนาการของมันแต่ละชั้นแต่ละตอนมันมีของมันเห็นไหม มันถึงมีคุณค่า มันถึงมีราคาไง ไอ้นี่มันมีราคาคุย ราคาคุยมันไม่มีค่าจริง มันเป็นราคาคุย ถ้าราคาคุยสังคมที่บ้า ไอ้บ้าขี้คุยด้วยกันมันก็เชื่อตามกันเพราะมันขี้คุยเหมือนกัน

แต่ถ้ามันเป็นความจริงล่ะ ราคาคุยนะ เวลาเขาประมูลนะ เขาไม่ฟังหรอก คนที่เขาจะประมูลสิ่งที่มีค่านะ เขาต้องมีประสบการณ์นะ จะประมูลอะไร เขาดูสินค้า สินค้านี่มันดีจริงหรือเปล่า สินค้านี่เป็นสินค้าหลอกลวงหรือเปล่า นักประมูลเวลาเขาประมูลเขาต้องดูสินค้า ดูความเหมาะสมของราคา ไอ้นี่มันขี้คุย มันไม่จริง

แต่ถ้าเป็นความจริงเห็นไหม ความจริงความสงบระงับ ถ้าจิตใจมันสงบระงับได้นี่ความจริง ความจริงเพราะอะไร เพราะมันมีคุณค่า มันทำให้จิตนี้สงบ พอจิตนี้สงบนะมันมีความมหัศจรรย์ เป็นสิ่งมหัศจรรย์ นี่ปัจจัตตัง สันทิฏฐิโก มันเกิดขึ้นที่ไหน มันเกิดขึ้นที่หัวใจ

เวลาใจมันเกิดนะเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ ปฏิสนธิจิตไม่รู้ถึงเกิด เกิดแล้วถึงรู้ว่าเกิด แต่ถ้ามีสติปัญญาน่ะมันรู้ทันไปหมด มันเข้าใจไปหมดล่ะ มันแตกต่างกันมากเลย ถ้ามันเกิดความแตกต่างด้วยความเห็นของเรา ด้วยจิตที่มันเข้าไปใคร่ครวญแล้วมันรู้มันเห็น แต่สิ่งที่เรายังไม่รู้ไม่เห็นเห็นไหม พระกรรมฐานเขาก็ฟังธรรมๆ ฟังจากครูบาอาจารย์ เวลาฟังธรรมนี่แหละจากใจดวงหนึ่งสู่ใจอีกดวงหนึ่ง ใจดวงมืดบอดของเราที่มันไม่รู้ไม่เห็นไง แต่ใจของครูบาอาจารย์ของเราท่านมาเทศนาว่าการ ท่านต้องรู้ต้องเห็น

ถ้าท่านไม่รู้ไม่เห็นท่านมาสอนทำไม เวลาท่านสอนขึ้นมาเห็นไหม ความรู้การศึกษามันเรียนทันกันได้ ผู้ที่ประพฤติปฏิบัติ จิตของคนที่มีอำนาจวาสนาบารมี เกิดถ้าจิตของเขาสงบลง แล้วจิตของเขารู้เขาเห็นตามความเป็นจริงล่ะ เขาจะเห็นเลยว่าอาจารย์โกหก เพราะอะไร เพราะความเป็นจริงของเรากับสิ่งที่อาจารย์เทศน์มามันไม่เหมือนกัน

แต่ถ้าเป็นความจริงเห็นไหม เวลาจิตเขาสงบลงจิตเขามีราคาขึ้นมา เขาจะซาบซึ้งนะ ซาบซึ้งเพราะครูบาอาจารย์ท่านยังทุกข์ไปมากกว่านี้ไง ครูบาอาจารย์ท่านพูด หลวงปู่มั่นเวลาท่านเทศน์ขึ้นมาตั้งแต่เริ่มต้น ตั้งแต่กัลยาณปุถุชนขึ้นไปถึงที่สุดแห่งทุกข์ มันเป็นขั้นเป็นตอน เป็นขั้นเป็นตอนไป แต่ไอ้พวกเรามันฟังไม่เป็น แล้วมันก็ไม่รู้จักวิธีการนะ โอ๊ย พูดซ้ำๆ ซากๆ ซ้ำๆ ซากๆ เพราะมรรค ๔ ผล ๔

มรรค ๔ ผล ๔ มันมีวิวัฒนาการของมัน วิวัฒนาการของมันอย่างหยาบ อย่างกลาง อย่างละเอียด มรรคแต่ละขั้นตอนมัน มรรคมันไม่เหมือนกัน มรรคมีคุณค่าแตกต่างกัน กิเลสหยาบ กิเลสหนา แตกต่างกัน ถ้ากิเลสหยาบกิเลสหนาแตกต่างกันนะ มรรคมันก็ต้องแตกต่างกัน ความหยาบความละเอียดของกิเลสเห็นไหม มรรคก็ต้องละเอียดมากขึ้น สติ มหาสติเห็นไหม ดูสิ ปัญญา มหาปัญญา มันยังมีปัญญาญาณ ปัญญาที่เข้าไปชำระล้างอวิชชา ปัญญาญาณเข้าไป

นี่ไง คนที่มีคุณค่าๆ นะ เขาฟังกันเขารู้ แต่ไอ้พวกเรามันไม่มีคุณค่ามันก็เกิดทิฏฐิมานะขึ้นมาไง มันก็บอกว่าเหมือนกันๆ เหมือนตรงไหน มันเหมือนตรงไหน เหมือนก็จำมาสิ ความจริงนะ ความจริง ดูสิ สายพันธุ์ สายพันธุ์ของพืช เวลามันออกลูกแล้วเมล็ดมันแก่ ไปปลูกขึ้นไป เวลาปลูกขึ้นมามันก็เป็นต้นของมัน สายพันธุ์ ใช่ มันสายพันธุ์ สายพันธุ์นั้นแต่ต้นมันก็เกิดจากเมล็ดพันธุ์นั้น เวลามันเกิดมันก็เป็นต้นไม้นั้น มันเป็นคนละต้น มันเป็นต้นเดียวกันเหรอ

นี่ก็เหมือนกัน เวลาประพฤติปฏิบัติขึ้นมา นิพพานขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นิพพานของพระอานนท์ นิพพานของพระสารีบุตร นิพพานของพระโมคคัลลานะ นิพพานของแต่ละองค์ๆ ก็นิพพานของใจท่าน เพราะท่านทำขึ้นมาจากมรรคของท่าน ทำขึ้นมาจากความเพียรของท่าน ความเพียรความวิริยะความอุตสาหะที่ท่านบากบั่นของท่านมา พอท่านบากบั่นของท่านมานะ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นศาสดา เป็นพระพุทธเจ้า ถึงได้ประพฤติปฏิบัติขึ้นมาแล้ววางธรรมและวินัย

ผู้ได้ยินได้ฟังขึ้นมาแล้วประพฤติปฏิบัติขึ้นมาให้เป็นตามความเป็นจริงนั้น เวลาประพฤติปฏิบัติขึ้นมาตามความเป็นจริงนั้นเขาก็ทำของเขาขึ้นมา แล้วเวลาทำของเขาขึ้นมาเป็นความจริง ดูสิ ทางวิชาการพันธุกรรมของเขา เวลาจะผลไม้ชนิดไหนเขารู้เลยว่าสายพันธุ์ไหน มันมาอย่างไร เขาแยกได้หมดเลย มันมาอย่างไร มันมีที่มาที่ไปไง แต่เวลามันเกิดขึ้นมา ผลไม้นั้นมันก็เกิดเป็นต้นไม้นั้น ต้นไม้ออกผลนั้น

นี่ก็เหมือนกัน จิตดวงใด จิตดวงใดประพฤติปฏิบัติขึ้นมาเป็นความจริงของจิตดวงนั้นสิ จิตดวงนั้นประพฤติปฏิบัติขึ้นมาไปห่วงอะไร ไปห่วงว่าจะให้เหมือนๆ ให้เหมือนใคร ทำไมต้องเหมือน แล้วฟังมา ฟัง ใช่ ฟังมา ฟังมาเป็นคติ ฟังมาเป็นครูบาอาจารย์ของเรา สาธุ เวลาหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น ท่านเทศนาว่าการเห็นไหม ลูกศิษย์ลูกหา อูย สาธุทั้งนั้น เวลาประพฤติปฏิบัติขึ้นมา เวลาท่านเทศน์ขึ้นมานั่งจั่บเลย ให้ธรรมมันมากระทบ ให้ธรรมมากระทบเห็นไหม

สิ่งที่เราค้นคว้าสิ่งที่เราพยายามประพฤติปฏิบัติขึ้นมา จิตใจเราอ่อนแอ วุฒิภาวะเราไม่ถึง ดูสิ ครูบาอาจารย์คุณธรรมของท่านออกมาจากใจของท่าน แล้วเรามีอะไรรองรับล่ะ ถ้าเรามีศีล สมาธิ ปัญญารองรับเห็นไหม พอรองรับขึ้นมามันเข้ากันได้ มันเข้ากันได้ จากใจดวงหนึ่งสู่ใจดวงหนึ่งชักจูงขึ้นมา เราปฏิบัติตาม ก้าวเดินตามๆ ก้าวเดินตามก้าวเดินตามด้วยปัญญาของเรานะ

เวลาครูบาอาจารย์ท่านเทศนาว่าการ เราปีนป่ายอยู่ จะขึ้นสู่ที่สูงมันปีนป่ายไม่ได้ไง ปีนตกๆๆ อยู่นี่ เวลาท่านเทศนาว่าการขึ้นมา เราอาศัยร่องนั้นเห็นไหม อาศัยร่องนั้นแง่นั้นปีนขึ้นๆ มันเป็นไป มันเป็นไป นี่ครูบาอาจารย์สำคัญอย่างนี้ไง สำคัญที่ท่านพยายามชักนำของท่านขึ้นไป ชักนำขึ้นไปเพราะอะไร เพราะครูบาอาจารย์ทุกองค์ ผู้ปฏิบัติทุกองค์ต้องทุกข์ยากมาทั้งนั้นนะ คำว่าทุกข์ยาก กิเลสมันปล่อยให้ใครรอดพ้นมันไป กิเลสของแต่ละดวงใจ กิเลสของใจดวงใดดวงหนึ่งก็เป็นกิเลสของใจดวงนั้น

เวลาทางโลกเขา เวลาเขามีความบาดหมาง มีความไม่พอใจ กิเลสของเขาเขาเที่ยวป้ายสีป้ายคนอื่นเจ็บช้ำน้ำใจไปหมดเลย นั้นเพราะกิเลสของเขา เขาสร้างเวรสร้างกรรมของเขา แต่เราประพฤติปฏิบัติ เราเป็นนักรบ เราไม่เอากิเลสไปป้ายใคร เราจะเอาศีล สมาธิ ปัญญาเข้าไปต่อกรกับมัน เราจะเอาความสงบระงับของเราระงับของเราไว้ให้อยู่ในขอบเขต อยู่ขอบเขตเห็นไหม พอจิตสงบแล้วยกขึ้นสู่วิปัสสนา ให้เห็นกาย เห็นเวทนา เห็นจิต เห็นธรรมตามความเป็นจริง แล้วเราจะชักธงรบ ชักธงรบด้วยศีล สมาธิ ปัญญา เข้าไปเผชิญหน้ากัน

เวลาเข้าไปเผชิญหน้ากันเห็นไหม วิปัสสนาเขาเกิดอย่างนี้ เวลาจิตเห็นอาการของจิต จิตเห็นกาย เห็นเวทนา เห็นจิต เห็นธรรมตามความเป็นจริง มันเห็นเพราะกิเลสเป็นนามธรรม กิเลสก็อาศัยธาตุ ๔ และขันธ์ ๕ ออกไปดำเนินสิ่งเป็นประโยชน์กับมัน เวลาจิตเราสงบแล้วเห็นไหม เราก็จะอาศัยธาตุ ๔ ขันธ์ ๕

ขันธ์ๆ สัญญา สังขาร วิญญาณ อาศัยสิ่งนั้นแต่มันมีสมาธิรองรับ มันมีสมาธิทำให้สมุทัยมันสงบระงับลง สมุทัยสงบระงับลงด้วยสัมมาสมาธิ เวลายกขึ้นสู่วิปัสสนานะ สัมมาสมาธิเป็นพื้นฐาน เวลาออกต่อกรต่อกัน เวลาออกต่อกรต่อกัน ดูสิ ไฟฟ้า พลังงานนี่ไฟฟ้า เราใช้พลังงานเพื่อแสงสว่าง เพื่อทำอาหาร เพื่อต่างๆ แต่ไฟฟ้ามันลัดวงจร มันเผาไหม้เผาเรือนหมดเลย ไฟไหม้บ้านเพราะไฟลัดวงจร

“สัมมาสมาธิ” เวลาสัมมาสมาธิ เวลามันมีสมาธิขึ้นมาเราก็ใช้เพื่อประโยชน์กับเราๆเพราะมีสัมมาสมาธิ สมุทัยสงบตัวลง สังขาร ความคิด ความปรุง ความแต่ง มันแยกของมันเห็นไหม เวลาสมาธิมันอ่อนลงมันลัดวงจร สมุทัยมันเสียบเข้ามา โอ๊ย พิจารณาแล้วว่างหมดเลย นอนหลับพึ่งตื่นเดี๋ยวนี้เลย เวลาสมาธิมันอ่อนตัวลง ถ้าไม่รู้ก็ไม่รู้ ไฟไหม้แล้วเรียกดับเพลิงมันมาดับ ดับเพลิงดับเสร็จแล้วบ้านฉันไหม้เพราะอะไร

นี่ก็เหมือนกัน เวลามันล้มลุกคลุกคลาน มันเสื่อมไปแล้ว “ภาวนาน่ะ มันว่างหมดเลยน่ะ” เวลาคนไม่เป็นมันก็ไม่เป็นวันยังค่ำนะ แต่ถ้าคนเขาเป็น ครูบาอาจารย์คอยสอนคอยบอกเห็นไหม ถ้าคอยบอกมันจะมีเหตุมีผลของมันเห็นไหม ธรรมทั้งหลายมาแต่เหตุ มันต้องมีเหตุมีปัจจัยมันถึงจะเป็นความจริง นี่ไม่อย่างนั้นน่ะถือทิฏฐิมานะว่าใช้ปัญญาๆ ปัญญาอะไรของเขา ปัญญาอย่างนั้น เพราะปัญญาอย่างนั้นมันไม่มีสมาธิ มันไม่มีการแยกแยะ จิตไม่มีเห็นอาการของจิต จิตไม่เป็นอิสระ

พลังงานอันนี้เห็นไหม ดูสิ เวลาเขาต่อไฟเข้าบ้านใครก็แล้วแต่เห็นไหม เขาต้องต่อไฟเสร็จแล้วเขาถึงเดินไฟจากสายส่งเข้าสู่บ้านของตัว แต่ถ้าเขาเอาไฟเข้าแล้วต่อไปด้วยก็ซ็อตตายหมด นี่ก็เหมือนกัน จิตมันสงบสงบอย่างไร มันปล่อยให้มันมีวาระที่ว่าเวลาจิตสงบเข้ามากิเลสมันไม่เข้ามา มันก็ออกทำงานได้ ออกวิปัสสนาได้ เวลาจิตมันเสื่อมล่ะ ถ้าจิตมันเสื่อมมันก็เสื่อมของมันไปเห็นไหม เวลาจิตเสื่อม เวลาที่ว่ากิเลสกับธรรมต่อสู้กันในหัวใจ มันมีเหตุมีผลอย่างนี้ พอทำอย่างนี้ขึ้นมามันถึงมีราคาขึ้นมา ถ้ามันมีราคามันมีราคาจากหัวใจ มันมีราคาจากมรรคจากผลจากการประพฤติปฏิบัติของเรา

พระเหมือนกัน ดูสิ เวลาหลวงตาท่านว่าพระหายาก พระหายาก พระหายากมันหายากอย่างไร พระมันเต็มประเทศไทย พระจะเดินชนกันอยู่นี่ แล้วพระองค์ไหนหาง่ายหายากล่ะ มันก็หาง่ายทั้งนั้น เพราะมันพระเหมือนกัน แต่ถ้ามีคุณธรรมในใจเห็นไหม มีคุณธรรมในใจ พระด้วยกันรู้ก่อน พระที่อยู่ใกล้ชิดนั่นน่ะรู้ก่อน พระอยู่ใกล้ชิดสัมผัสกันทุกวันๆ เราอยู่กับหลวงตา หลวงปู่เจี๊ยะ มันมหัศจรรย์ มหัศจรรย์เพราะเราชั่งสังเกต เรามหัศจรรย์สติของท่าน พูดเล่นพูดอะไรก็แล้วแต่นะ แต่สติของท่านน่ะเป็นไปไม่ได้เลยที่คนธรรมดาจะมีสติอย่างนั้น จะรู้เท่าทัน รู้เท่าทันอย่างนั้น

แต่เวลาท่านพูดเล่นๆ นี่ไง คนใกล้ชิดน่ะรู้ก่อน พระดีพระไม่ดีน่ะคนใกล้ชิดนะรู้ก่อน ราคามีไม่มี นี่คนใกล้ชิดใช่ไหม แต่เวลาจริงๆ แล้วในใจเรา มีค่าไม่มีค่าความลับไม่มีในโลก คนทำนะมันรู้ คนทำนี่รู้ก่อน ฉะนั้นสิ่งนี้เห็นไหม ดูสิ วันนี้วันสำคัญทางพุทธศาสนา พระอรหันต์ ๑,๒๕๐ องค์ ท่านเป็นพระอรหันต์ท่านถึงมีราคา อยู่ป่าอยู่เขานะ ท่านมีชื่อเสียงที่ไหน มีสื่อไหนไปเชิดชูท่าน ไม่มีเลย แต่ในใจของท่านเป็นพระอรหันต์

เวลาเป็นพระอรหันต์นะมีกตัญญูกตเวที นึกถึงบุญคุณขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เวลามันทุกข์มันทุกข์ขนาดไหน เวลาประพฤติปฏิบัติขึ้นไปหลงนะ ชฎิล ๓ พี่น้องบูชาไฟอยู่นั่น บูชาไฟมันก็เกิดอภิญญา เจ้าชายสิทธัตถะเวลาประพฤติปฏิบัติขึ้นมาเห็นถูกเห็นผิดมาแล้ว รู้ เวลาปฏิบัติพ้นจากทุกข์แล้วเอาวิธีการนั่นน่ะไปสอนชฎิล ๓ พี่น้องนั้น

แล้วเวลาชฎิล ๓ พี่น้องนั้นละทิฏฐิเดิมๆ แล้วมาประพฤติปฏิบัติ แล้วเวลามันพ้นทุกข์ เวลามันติดอยู่นะ บูชาไฟอยู่ มันจะเป็นผู้วิเศษขนาดไหนตนเองนะรู้ ในใจนี่รู้ ไม่มีค่าเลย แต่เวลามาฟังองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อาทิตตฯ เห็นไหม อาทิตตฯ พูดถึง มโนมิงปิ นิพพินทะติ มโนสัมผัสเสปิ นิพพินทะติ มโนๆ ทิ้งหมดเลยนะ แล้วมันมีค่าขึ้นมา มันมีค่ามาก พอมีค่ามากมันมีความกตัญญูกตเวทีไง จะไปกราบองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วยกัน ไม่ได้นัดไม่ได้หมาย

คนที่มีธรรมในหัวใจ ใครมีบุญมีคุณมันระลึกถึง เวลากรรมฐานเราเรียก “พ่อแม่ครูจารย์” พ่อแม่ครูจารย์องค์ไหนเลี้ยงดูเรามา เลี้ยงดูเราทั้งปัจจัยเครื่องอาศัย เลี้ยงดูเราทั้งหัวใจ หัวใจนี่เลี้ยงดูยากมาก ปัจจัยเครื่องอาศัยแม้แต่ฆราวาสเขายังทำทานได้เลย แต่ในหัวใจนี่ ในหัวใจใครจะชี้ผิดชี้ถูกให้เราได้ล่ะ ในหัวใจใครชี้ถูกชี้ผิด เราเองเรายังไม่รู้ ต้องให้ครูบาอาจารย์ชี้เห็นไหม เราถึงว่ามันไม่มีราคา ไม่มีค่า เพราะตัวเองไม่รู้จักราคา แต่ถ้าตัวเองมันรู้ราคาขึ้นมาเห็นไหม นี่มันรู้

สติขึ้นมามันยับยั้งหมดเลย เวลามันทุกข์แล้วมีสติปัญญาเท่าทันมันรู้แล้ว อ้อ มันผ่อนคลายได้ แล้วเวลาทำต่อเนื่องขึ้นไปมีสมาธิขึ้นมามัน อ้อ มันมีความสุขได้ เวลาเกิดปัญญาขึ้นมามันถอดมันถอนเห็นไหม กรรมดีมันใช้หนี้เวรหนี้กรรม ผลของวัฏฏะ ใครสร้างบุญกุศลมาเห็นไหม ดูสิ พระโพธิสัตว์ถ้ายังไม่ถึงที่สุดแห่งทุกข์ต้องเวียนว่ายตายเกิดตลอดไป

นี่ก็เหมือนกัน ถ้ามันไม่ถอดไม่ถอนทำดีขนาดไหนมันก็เวียนว่ายตายเกิดไป มันต้องไปของมัน ใครจะปฏิเสธ ใครจะเชื่อไม่เชื่อ มันเป็นสิทธิ์ของคนๆ นั้น แต่ข้อเท็จมันเป็นแบบนั้น แต่เวลามันสำรอกมันคาย กรรมดีๆ นี่ไง กรรมดี ความดี นี่มรรค เวลามันถอดมันถอนขึ้นมาเห็นไหม แล้วใครเป็นคนรู้ล่ะ มันเป็นปัจจัตตัง เป็นสันทิฏฐิโก หลวงตาบอกเห็นไหม “ยกให้กับสันทิฏฐิโก ยกให้กับความรู้จริงในหัวใจ” นี่มันรู้

ถ้ามันทุกข์มันรู้มันทุกข์ แล้วเวลามันถอดมันถอนมันรู้ของมัน แล้วเวลามันคาย มันเป็นจริงมันก็ต้องรู้ของมัน แล้วมันรู้แล้วไง รู้ถึงที่สุดเห็นไหม รู้จนทำลายภวาสวะทำลายภพ รู้จนไม่รู้อะไรเลย ไม่รู้ ไม่รู้อะไรแล้ว มันเป็นผลของวัฏฏะ มันเหนือโลก มันเหนือวัฏฏะ มันพ้นออกไปไม่รับรู้ เป็นเอกเทศ รู้จนไม่รับรู้อะไรเลย เป็นเอกเทศ แต่สมบูรณ์พร้อม สมบูรณ์พร้อม นี่มีราคา

พระอรหันต์ ๑,๒๕๐ องค์ ท่านมีคุณค่ามีราคาในใจของท่าน เราเป็นพระเหมือนกัน วันสำคัญทางพุทธศาสนา วันสำคัญเห็นไหม เราจะต้องเอาวันสำคัญนี้เป็นตัวตั้ง เป็นตัวตั้งไง แล้วเราพยายามของเรา พยายามขวนขวาย มีกระทำของเรา ทำของเราให้ขึ้นมา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นตถาคต เราต้องการหัวใจของเราให้มีคุณธรรม ให้มีราคาสมกับความเป็นพระ พระเป็นผู้ประเสริฐแล้วมันประเสริฐจริงไหม ถ้ามันประเสริฐจริง หัวใจของเราต้องมีความจริง เอวัง